The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sor_sor2005, 2024-06-17 04:03:24

หนังสือโคนสมอ

หนังสือโคนสมอ

100 คำปลอบจากขอบฟ้า “สุรีย์มาศ มันตสูตร” แนวเขตเขินเนินพนาขอบฟ้ากว้าง มิอาจขวางกระแสจิตที่คิดถึง แพเมฆขาวพราวพรายเป็นสายรึง หัวใจซึ่งห่างไกลมาใกล้กัน หว่างความมืดยืดยาว และหนาวชื้น ความขมขื่นแผ่ขยายล้อมสายขวัญ ห้วงสายลมพรมผ่านม่านแสงจันทร์ อารมณ์อันหวิวหวาม พลิ้วตามลม ด้วยหึงหวงห่วงหาอาวรณ์ถวิล เล่ห์วาริน ไหลผสานเป็นธารผสม คือกระแสแม่นํ้าความชํ้าตรม หลั่งนองจมแอ่งใจไม่สร่างซา ถ้าแรงจิตคิดถึง ซึ่งสุดห่วง เป็นแรงถ่วงธรรมชาติดังปรารถนา จะดูดดึงดวงใจที่ไกลตา มาซุกหน้าแนบถนอมกลางอ้อมใจ เฝ้าแอบถามความเงียบที่เพียบเศร้า ที่รักเราบัดนี้ยังมีไหม เพียงคำตอบปลอบมาจากฟ้าไกล ถึงวันนี้วันไหนก็ไม่มี...ฯ


101 สร้อยสวาท “วิเชียร แถบทอง” ร้อยวาทีครั้งสุดท้ายเพื่อทายทัก ประจงเขียนเพียรสลักเป็นอักษร ในเนื้อความถามเขาเท่าอาทร เอื้อนอาวรณ์อ้อนว่าอย่าใจดำ จดหมายรักหลายฉบับที่พับเก็บ อ่านทุกคืนฟื้นตะเข็บความเจ็บหนำ หลงซาบซึ้งสวาทสร้อยกับถ้อยคำ แท้เขาทำ เพื่อประชดหวังทดลอง จากความจริงในใจคนไร้รัก กลัวอกหักรักห่าง จืดจางหมอง ใจชอกชํ้านํ้าตารินสิ้นลำ พอง หลงเพ้อปองแล้วกลับชวด แสบปวดทรวง รักด้วยใจด้วยชีวีเหนือชีวิต มาทีหลังจึงไร้สิทธิ์เขาคิดหวง จึงจำ ไกลไปให้ห่างหนทางลวง สิ้นความห่วงกันเถิดหนารักลาเลย กับจดหมายกอดหมอนนอนพิลาป วังเวงวาบหวั่นไหวโอ้ใจเอ๋ย สิ้นแล้วหรือรักเราหญิงเจ้าเอย ขวากรักเคย ร่วมถางสร้างทางมา


102 ในความจริงคิดไม่กล้า แม้ว่าใกล้ หากมีสิทธิ์จะชื่นใจให้ผวา ไม่มีหวังหมดสำ นวนควรไกลตา สังเวชนักวาสนานิจจา....เรา....ฯ


103 ร้อยพิสมัย “กล้วยไม้ป่า” นั่งดูดาวพราวดวงหว่างทรวงฟ้า เหมือนใกล้ตาแต่ไกล...จนใจหาย ดาวหลายดวงเริ่มหยุดจุดประกาย เป็นความหมายว่าจะมืดอีกยืดยาว หน่ายรู้สึกดึกสนิทมืดมิดหมด นํ้าค้างหยดย้อยพรมฝ่าลมหนาว เป็นคำ พ้อต่อว่ามาจากดาว เหมือนบอกกล่าวน้อยใจ...ใครคนดี พันธนาแห่งรักอันหนักหน่วง เป็นแรงถ่วงอิสระเกินผละหนี การหลบเร้นหัวใจใครคนนี้ หากจะมีก็พร้อมและยอมรับ ถ้าความรักมันจะสิ้น ก็สิ้นเถิด มีวันเกิด ก็ต้องมีวันที่ดับ เมื่อใจหนึ่งเฉยเชือนเลือนระงับ อีกใจหนึ่งจึงยับซับนํ้าตา ร้อยแห่งฤทธิ์ พิสมัยจากใครอื่น ไม่สดชื่นเหมือนเธอที่เพ้อหา ร้อยแห่งรักจากใจใต้แผ่นฟ้า ไม่อาจฆ่าฉันได้ เหมือนใจเธอ...ฯ


104 แล้วก็ได้พบ “ประวิทย์ หงส์สีทอง” แล้วสิ่งที่คิดหวั่นจึงพลันพบ ถึงจุดจบในรู้สึกสำ นึกที่ เธอผู้เป็นความหวังทั้งชีวี จะไม่มีวันได้เข้าใจกัน เมื่อสองชายหมายชิง หญิง เพียงหนึ่ง เราผู้ซึ่งเจียมใจจึงไหวหวั่น ใจหนึ่งคิดหมายแข่งแย่งสัมพันธ์ อีกใจมันคัดค้านไม่ด้านพอ อาจจะเป็นเหตุผล คนเหลวไหล ยอมปราชัยทั้งที่เห็นว่าเป็นต่อ ทั้งเลือดเนื้อ วิญญาณ และการรอ เราจึงขออุทิศให้...ใจสองดวง ความอาลัยในนามความห่วงหา กระซิบยํ้าคลอนํ้าตาว่าเป็นห่วง พร้อมความรักเอิบอิ่มอยู่ริมทรวง ถูกทับถ่วงด้วยคำ เอ่ยอำลา


105 จะอ้างว้างหม่นหมองจะร้องไห้ เชือดดวงใจให้เขาเราก็กล้า แต่อารมณ์วูบสุดท้ายจากสายตา ไม่อาจฆ่าหัวใจ...ใครคนนั้น แห่งมานะ, ทะนง, หลง และหยิ่ง รัก, ความจริง, ดี, ชั่ว คือตัวฉัน ด้วยเลือดเข้มเต็มทิฐิ จนนิรันดร์ มาพบวันที่เรากล้า...ฆ่าตัวเอง...ฯ


106 ใจชาย “เทพี เกษสัมมะ” อันนํ้าใจผู้ชายนี่ร้ายนัก ไม่ประจักษ์ลึกลํ้าคำ เฉลย ถ้อยวจีจริงใจไม่มีเลย เพียงเพื่อเชยชื่นชู้คือผู้ชาย นํ้าตาตกอกหญิงเรื่องจริงแท้ จะคิดแก้ป้องกันมันก็สาย ลิ้มลมลวงมากเล่ห์เพทุบาย แสนเสียดายกับคำ ที่พรํ่าวอน ดูทีท่ามองเห็นเป็นคนซื่อ นั้นแหละคือเสือร้ายชายชอบหลอน ถ้อยคำกับภาพพจน์ทุกบทตอน เพียงเพื่ออ้อนออดหมายหญิงตายใจ เมื่อหญิงรู้เท่าทันก็พลันหนี เลวสิ้นดีนี่หรือคนทนไม่ไหว หมดสิ้นแล้วความเชื่อแม้เยื่อใย เกิดชาติใดขอห่างชายอย่างนี้ รู้ก็รู้อยู่แก่ใจชายชอบปด แต่ก็อดคิดไม่ได้ใจหญิงนี่ คิดแล้วชํ้าหม่นไหม้ในฤดี อยากจะลี้หนีไกลไปให้พ้น


107 แต่ต้องแพ้แก่จิตความคิดถึง ห่วงคะนึงถามใจอยู่หลายหน ยอมรันทดหมดหวังก็ยังทน หญิงก็คนไฉนชายจึงไม่คิด...ฯ ม.ศ. ๓ โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา


108 ไฟ...ในอารมณ์ “นลินพร เหมนฤชิต” เกล็ดนํ้าค้าง กลางซอกกลีบดอกโศก ยิ้มปลอบโลกแห่งทิวาในหน้าหนาว ก่อนราตรีหรี่ตาพร่าแสงพราว แล้วดับดาวดวงสุดท้ายในแพรทอง แสงสีขาวทาบกำแพงแห่งสีเขียว ดับความเปลี่ยวเพิ่มช่วงวัย โชนไฟหมอง เพิ่มช่วงวันโดยความชํ้าเป็นทำ นอง และภาพของอดีตผ่านเมื่อวานนี้ ความเอย...ความหลังครั้งล่าสุด ถูกเหยียบทรุดในความฝันอันริบหรี่ ร้างแล้วรัก...รักแล้วร้าง อย่างทุกที มันคือกฎทฤษฎีที่ตายตัว พรุ่งนี้...พรุ่งนี้เถอะชีวิต บังอาจคิดถึงอีกโลกโศกสลัว และหวังว่าต่อไปจะไม่กลัว จะยิ้มหัวให้มัน...เรามั่นใจ


109 หลงหาสีชมพูงามในความมืด ความชาชืดเริ่มข่มอารมณ์ไหว เย็นจากหยาดนํ้าค้างกลางกองไฟ สัมผัสในอ้างว้างโดยบางเบา ก้าวต่อไปในพรุ่งนี้ของชีวิต จะพิชิตทั่วสนามของความเหงา หรือจะปาดหยาดนํ้าตาประสาเรา กับความเศร้า ทุกครั้งที่ หนีไม่พ้น....ฯ


110 พอกันที “คนที่ถูกลืม” เธอที่เคยเข้าใจในวันก่อน เคยอาทรห่วงใยให้ความหวัง แต่กลับมาเปลี่ยนไปไม่จริงจัง ฉันจึงนั่งหน้าหมองนองนํ้าตา เมื่อลมหนาวบรรเลงเพลงผ้าห่ม เราหนาวลมหนาวใจอย่างใหญ่หลวง เธออุ่นกับรักใหม่อุ่นไอทรวง ฉันหมดห่วงเธอแน่ต่อแต่นี้ ข้าวซบรวงเขียวระยับกอดกับนํ้า ดอกม่วงชํ้าของผักตบลบเลือนสี เธอลืมฉันคนโง่เพราะโลกีย์ ฉันลืมเธอด้วยศักดิ์ศรีที่ผลักดัน สายระยางแห่งกมลเธอคนตัด คนซื่อสัตย์ ยอมได้และไม่พรั่น เมื่อเธอพบคนดีของชีวัน ไม่มีฉันแต่นี้ชั่วชีวา ฝนเริ่มซาลาฤดู เมื่อครู่นี้ รุ้งเลือนสายเจ็ดสีที่โค้งหล้า ฉัน...หมดแววอาลัยในอุรา เธอ...หมดแววเสน่หาในอารมณ์...ฯ


111 เจ็บแค้น-แสนเสียดาย “สำรวย เอ๊าเจริญ” ดอกมะลิกำลังรีบแย้มกลีบนิ่ม เพื่อจะยิ้มรับลมที่พรมหนาว ซอกกลีบฉํ่านํ้าค้างอยู่พร่างพราว อวดสีขาวแต่งแต้มบนแก้มนวล ไยเธอเป็นเช่นชายไร้ศักดิ์ศรี ช่างพาทีจนใจฉันไห้หา มอบรักแท้แด่เธอเสมอมา แต่ทว่าชํ้าเพราะเธอเสมอไป เมื่อเธอมาเปลี่ยนไปในวันนั้น กมลหมองของฉันจึงหวั่นไหว เสียดายคำ เคยพรํ่าฉํ่าหัวใจ ไม่ทันไรเธอก็เลือนไม่เหมือนเคย ยอมรับว่าสุดเศร้าใจในชีวิต แทบจะปลิดชีวาชํ้าชาเฉย เสียดายความบูชาไร้ค่าเลย เสียดายเอยศักดิ์ชายเธอไม่มี เมื่อเธอมาเปลี่ยนไปฉันไม่ว่า ขอเธออย่าชิดใกล้ให้เสียศรี ขอเราสิ้นเยื่อใยสิ้นไมตรี พอกันทีคนสามพรานมารหัวใจ...ฯ


112 เลือน...อารมณ์ “วิทย์” เดือนสิบสอง... ดอกโสน ริมหนองมันร้องไห้ เดือนเริ่มหม่น, ฝนสั่งฟ้า, มาแต่ไกล ลมเปลี่ยนทิศพัดใหม่มาหลายวัน หอมไอหมอกระลอกใหม่ใต้ฟ้าเก่า ใจคนเหงาคนหนึ่งจึงเริ่มหวั่น ความหวังของชีวีสีอำ พัน จึงมีอันลางเลือนเหมือนภาพลวง อนาถนักลักยิ้มที่ริมแก้ม เคยยั่วแย้มยิ้มละไมให้ใจหวน เสียดายเอยเคยฝันเคยรัญจวน กลับมาด่วนโรยร้างเสียห่างไกล เห็นมะลิแรกแย้มที่แซมผม ไม่อาจชมกลิ่นชื่นสะอื้นไหว ความเจ็บปวดแผ่พิษเจ็บจิตใจ เมื่อถูกคนมือไวเด็ดไปดม


113 ไม่นึกว่าความรักจะหักหาย หมดความหมายเมื่อสวรรค์เราพลันล่ม แต่นี้จะทรมานจนซานซม หมดคู่ชม หมดค่าอยากลาตาย มะลิเอยมะลิซ้อนซ่อนความรัก ปวดหัวใจหน่วงหนักเมื่อรักหาย ถูกเขาแย่งของรักเสียศักดิ์ชาย ถึงเสียดายก็ไม่เท่าเราเจ็บแค้น.


114 สุสานเสน่หา “วิทย์” แม่แควน้อยคลอระลอกซบซอกหิน กระซิบรินกับขุนเขา “ตะนาวศรี” เมื่อดอกรักแย้มบานที่กาญจน์บุรี ในวันที่เราเปิดใจ ยิ้มให้กัน ในอ้อมกรอ่อนหวานแห่งม่านหมอก ได้เด็ดดอกปาริฉัตรมาทัดขวัญ รินลำ นำ เสน่หาใต้ตาวัน บนเส้นทางสีอำ พันที่สัญจร จากแนวเขินเนินเขาใต้เงาผา หอมงิ้วป่าโปรยเสน่ห์กลิ่นเกสร คือดอกไม้อาถรรพณ์นิรันดร เมื่อราตรีคลี่สังหรณ์ต้อนรับเรา โอ้ความหวานนานมากจากความหวัง มาจุดไฟความหลังครั้งเก่าเก่า เป็นดวงไฟไร้ควันอันซบเซา คือไฟเหงาดวงที่เริ่มหรี่รา


115 ความต้องการของหัวใจเหมือนไฟบาป เป็นมนต์สาปเราให้ได้มาหา โดยครั้งหนึ่งแม้ใจให้สัญญา ชั่วชีวิตจะไม่มาป่าเมืองกาญจน์ สุดปลายทางกลางป่าที่ว้าเหว่ คนพ่ายเล่ห์อำ มหิตแห่งพิษหวาน มาฝากใจไร้หวังฝังวิญญาณ กับสุสานเสน่หาวันปราชัย.


116 อันเป็นความตั้งใจ “เสริมศักดิ์ สุขทัศน์” เหมือนอ่อนแอแพ้พ่ายเบื่อหน่ายโลก ความสุขโศกแทรกชีวิตให้จิตเขลา ความเป็นคนทุกวันนี้ที่เป็นเรา มีความเศร้ารุมใจให้สุดทน อ่อนระโหยโรยแรงแล้งหัวอก ความคิดวกเวียนว่ายหน่ายเหตุผล กระเจิดกระเจิงจิตใจดังไฟลน หวังเลิศล้นเรื่องเรียนกลับเปลี่ยนไป ค้นคิดหาต้นตอตัวก่อเหตุ เพราะทุเรศทุรังหวังแก้ไข ไร้คำตอบเพราะไม่รู้หดหู่ใจ แล้วทำ ไมหมองหม่นผิดคนเดิม คงเป็นเพราะหัวใจแหละใช่แน่ มาอ่อนแอแงงอ หงอฮึกเหิม ยามตกยากหลากสถลคนซํ้าเติม เอาเถอะเริ่มตั้งต้นใหม่ให้ชีวิต เคยตั้งใจอย่างไรเล่าเมื่อคราวแรก สลัดแอกทุกข์ออกบอกกับจิต เพียรให้ถึงจุดตั้งใจได้พิชิต เมื่อสมคิดคงจะมี คนที่รัก. ม.ศ.๓ ร.ร.วัดไร่ขิงวิทยา


117 หนึ่งในนพรัตน์ “วิทยา” ณ จุดที่ ความหลังวังเวงไหว กลางอาณาจักรใจไกลความหมอง นางฟ้าทรงเสด็จผ่านธารสีทอง โปรยละอองนพรัตน์ ชัชวาล หนึ่งมณีนพเก้า ไร้เจ้าของ จะมัวหมองในระหว่างทางเท้าผ่าน ขออุทิศ หัทยา เป็นปราการ ก่อนแหลกลาญ ร่วงดับ กับกรวดทราย แก้วเอ๋ยแก้วเพทาย สายสวาท ขอบังอาจแอบนิมิต จุมพิตหมาย เป็นมงกุฎมิ่งกมล ไปจนตาย เพื่อทักทาย ลักยิ้มที่ริมปราง คิดถึงนัก ลักยิ้ม ริมแก้มแก้ว เจียนจะขาดใจแล้วเมื่อแคล้วห่าง หนาวเสน่ห์เล่ห์รัดหัทยางค์ มาจืดจาง บรรจงเร่ง เพลงปรวนแปร แดงสลัวเพทาย พรายนํ้าเอก เหมือนเจ้าเสกมนตรา ผ่ารอยแผล เมื่อนางฟ้ามาชม้าย ชายเนตรแล แล้วโบยแส้พิศวง ให้หลงคอย


118 อยากพ้อแก้วด้วยกลอนวอนคิดถึง ใครคนหนึ่ง ก้าวข้ามความเหงาหงอย ไปหลงรอลักยิ้มที่ริมดอย ข้างลำธาร ไทรโยคน้อย แล้ว...น้อยใจ...ฯ


119 นกปีกหักหลงฟ้า “ไก่” กาญจนบุรีที่รัก.... วันนี้นกปีกหักมาพักผ่อน ยามหลงไพรไกลถิ่น แผ่นดินนอน ไร้อ้อมกร แห่งรักพิทักษ์แล้ว ในอ้อมเขาโอบกระแส แควสองสาย คือจุดหมายที่ความหลังยังเจื้อยแจ้ว คนสำลักเสน่หา นํ้าตาแพรว มาเสียขวัญสะอื้นแผ่ว กับแนวไพร เจ็บปวด...อ้างว้าง...อย่างที่สุด มีมนุษย์สักกี่คน ที่ทนไหว รักเอ๋ย ยิ่งรักสักเท่าไร ยิ่งเจ็บในใจเรา ร้อยเท่าตัว ในโลกแห่งสีเขียวเริ่มเปลี่ยวเหงา กลางทะเลหุบเขาเศร้าสลัว วันนี้จึง รู้ว่ามันน่ากลัว และมืดมัวอยู่ในใจเหลือเกิน


120 ปีกหัวใจหักลงตรงจุดจบ รักถูกลบโดยนามความห่างเหิน ปัญหาที่มืดมนทนเผชิญ เราจะเดินสู่ระหว่างหนทางใด หวั่นเอยหวั่นวิตก นกปีกหัก มิรู้จักโผผวาสู่ฟ้าไหน รู้แต่จะกระซิบบอกกลีบดอกไม้ ว่าจะไม่ได้มาหาอีกนาน...ฯ


121 นิทานผีพุ่งไต้ “จิ๊ก” ผีพุ่งไต้ว่ายฟ้ามาเงียบเงียบ สู่คืนที่เย็นเฉียบยะเยียบหนาว โดยสารปีกแห่งฟ้ามาจากดาว บอกเรื่องราวเป็นลำ นำ นํ้าค้างพรม ยังมีดาวหนึ่งดวงในห้วงหาว กำลังแตกเนื้อสาวหนาวผ้าห่ม ส่องรังสีวาวหวานฝานอารมณ์ หลงชื่นชมด้วยแสงแห่งดาวเอง ด้วยมานะทะนงหลงโอหัง ดาวกำลังคิดว่าตัวกล้าเก่ง เทพธิดาสีดำยังยำ เกรง เมื่อดาวเร่งแสงช่วงชิงดวงจันทร์ อยู่บนฟ้าก็ยังมีที่เหนือฟ้า กฎแห่งกาลเวลาน่าหวาดหวั่น จะดับดาวทีละดวงให้ร่วงพลัน ด้วยแสงเจริดแจรงแห่งสุรีย์


122 ดาวดวงหนึ่งลิบลับกับโพ้นฟ้า โดยอ่อนล้าอัตคัดรัศมี บทเรียนของความดื้อและถือดี จบลงที่เปิดม่านสุสานดาว ผีพุ่งไต้ว่ายฟ้ามาว้าเหว่ นํ้าค้างเห่กล่อมคืนสะอื้นหนาว จบนิทานความมืดที่ยืดยาว เมื่อสีขาวตื่นนิทรามาเยี่ยม-เยือน.


123 สมอเอ๋ย ใยนิ่งเฉยยืนเฉื่อยหรือเมื่อยล้า ทิวากาลผ่านกลายหลายเพลา แผ่สาขาร่มครึ้มดูซึมเซา ขออาศัยแผ่นอักษรกลอนโคลงกาพย์ วางพิงทาบกับต้นท่านนั้นแทนเสา เห็นใครมายืนอ่านกานท์ของเรา ช่วยบอกเขาเราต้องการผลงานกลอน ใบเจ้าเกลื่อนใครเล่าเขากวาดให้ คะนึงใคร่ใฝ่คิดจิตทอดถอน เขามาอีกฝากเจ้าเฝ้าอ้อนวอน อย่ามัวนอนนะสมอขอไว้เอย... “เพชร”


124 ก ร า ว ส่ ง ----------------------------------------------- สนิมของกาลเวลาได้ผ่านไปอย่างเหนื่อยๆ พร้อมกับความเติบใหญ่ของ “โคนสมอ” ที่ค่อย ๆ เผยโฉมหน้าปรากฏขึ้นในบรรณโลก อย่างทระนง แม้ว่าจะถูกตีกรอบด้วย “ม่านคำ” แวดวงอยู่ในอารมณ์อันอ่อนไหว เพ้อฝัน ซาบซึ้งซึ่งคลอคู่ไปกับบทเพลงของวณิพกอันขมขื่นและซึมเซา บัดนี้ “โคนสมอ” มีมลทินเสียแล้ว เพราะความซุกซนภายใต้ คมตาของท่าน...ด้วยความเต็มใจและพอใจของสมอเอง “โคนสมอ” ไม่ใช่ชื่อของกลุ่มนักกลอนและไม่ใช่นักกลอนรวม กลุ่มกันขึ้น แต่ “โคนสมอ” ก็คือ “โคนสมอ” ที่มีอิสรทัศน์และเสรีภาพ อย่างฟุ้งเฟ้อ เป็นจุดรวมผลงานที่ใครก็ได้นำ มาฝากเป็นของขวัญมอบแด่ ผู้ที่รออยู่ ณ “โคนสมอ” นี้ และพร้อมที่จะสัมผัสกับอารมณ์ของกลอน ทุก ๆ กลุ่ม ด้วยยินดี หนาวปีนี้ “โคนสมอ” หนาวกว่าทุกปี จึงได้แผ่เงาออกมาอย่าง ที่เห็น และคิดว่า “โคนสมอ” คง “หนาว” ได้บ่อย ๆ ถ้าท่านไม่ใจดำต่อ โคนสมอจนเกินไป และอภัยกันบ้าง ร่มเงาของ “สมอ” แม้ไม่อาจจะสร้างความอบอุ่นให้อารมณ์ ระอุและเปลวไฟแห่งความปรารถนาของท่านให้ดับลงได้อย่างสิ้นเชิง ก็ตาม อย่างน้อย “โคนสมอ” ก็ยังมีไออุ่นพอที่จะให้ร่มเงาแก่ท่าน “พักนอน” ได้หลาย ๆหน ตราบเท่าที่สมอยังมีใบและกำลังพอที่พยุง ตัวเองให้อยู่ได้นาน ๆ


125 หากกิ่งสมอไม่หักโค่นลงเสียก่อน คงมี “โคนสมอ” ให้ได้แอบ ยิ้มกันอีกหลายครั้ง..เพราะโคนสมอไม่ใช่นิตยสาร ไม่ใช่จุลสาร ทั้งไม่ใช่ วารสาร จึงยากที่จะทำ นายว่า เมื่อไร จึงจะได้รับไออุ่นจาก “โคนสมอ” อีก...แต่ก็คงไม่นานเกินรอ...


126 สมอใบสุดท้าย พบกันอีกแล้ว บนลานแคบ ๆ ของอาณาจักร “โคนสมอ” อยากถือโอกาสนี้ระบายความคับแค้นให้ท่านได้รับรู้ไว้บ้าง มิฉะนั้น เรา ก็ยิ้มไม่เต็มแก้ม ก่อนที่สมอจะผลิใบอ่อนอีกครั้ง ช่วยรับรู้ไว้ด้วยว่า ๐๐๐ เราลืมพิมพ์ “กลุ่มรวมฤดีกวีศิลป์” ไว้ใต้ผลงานกลอนของ “จตุเมษ นวปัญจารักษ์” ๐๐๐ เราลืมพิมพ์ “ม.ศ. ๓ ร.ร. วัดไร่ขิง ไว้ใต้ผลงานกลอนของ “กุลวรรณ์ ตัณฑวิรุฬห์” ๐๐๐ นามปากกา “ปัทมา” เป็นนิคเนมใหม่ของนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กำลังร้องไห้อยู่ที่ “สงขลา” โน้น ๐๐๐ สำ นวนกลอน “สมอ” เปิดม่าน...อ่านยาก ก้อเราต้องการ ให้ท่าน...อ่านอย่างสุขุม...นี่นา ๐๐๐ กราวนำและกราวส่ง ผู้ให้คำ ...เป็นคนเดียวกับ...สมอใบ สุดท้าย...คือ “คณะผู้จัดทำ” ๐๐๐ โคนสมอไม่มีหน้า ก็ “โคนสมอไม่ใช่คน” เราไม่ต้องการ ให้มีเอง...แหละ ๐๐๐ โคนสมอ...ทั้งหมดมีด้วยกัน ๘ ใบ คือ... ใบที่ ๑ กราวนำ ใบที่ ๒ เพลงจากตู้พระธรรม ใบที่ ๓ ลำ นำแห่งชีวิต ใบที่ ๔ นํ้าใจจากเพื่อน ใบที่ ๕ เสน่หา – อาลัย ใบที่ ๖ อาถรรพณ์– เสน่หา


127 ใบที่ ๗ กราวส่ง ใบที่ ๘ สมอ – ใบสุดท้าย ๐๐๐ นํ้าใจจากเพื่อน...น้อยไปหน่อย ก็เพื่อนเรา...ไม่รู้ ที่รู้ก็เรา รู้จักกันในหน้าแล้ง นี่ไม่ใช่เราไม่มีเพื่อน ๐๐๐ “โคนสมอ” เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่เราได้รวมผลงานกลอน จาก “โคนสมอ” มาบันทึกไว้ และอยากจะเกริ่นไว้ให้ “แอบช๊อค” กัน เล่น ๆ ว่าโคนสมอจะผลิใบอีกครั้งหรืออีกหลายครั้ง ขอให้มีเวลา สมอ ได้พักผ่อนรอรับลมหนาวและไออุ่นอีกสักพัก....เถอะ ๐๐๐ สำ นวนกลอนใน “โคนสมอ” มีบางสำ นวนที่เป็นใบสมอ อ่อน ๆ เพิ่งผลิ ออกมาใหม่ ๆ น่ารัก น่าเอ็นดู ไว้ให้ท่านหยอกรังแกเล่น แต่อย่าเหลิงใบสมอเขียว ๆ และเข้มก็อยู่ใน “โคนสมอ” ด้วย ๐๐๐ เราบอกท่านแค่นี้ ถ้าเสี้ยนสมอ ทำ ให้ท่านเจ็บและคัน เกล็ดสมอ รังแกอารมณ์ท่านละก้อ...เราให้อภัยแก่ท่าน...ได้ ๐๐๐ สุดท้ายนี้ “ชื่นใจ” สำ หรับนํ้าใจ จาก “คุณวิโรจน์ สุข ถาวร” ที่เห็นด้วยกับงานร้อยกรอง ได้ให้ความสนับสนุน “โคนสมอ” มาด้วยดี.


128 โคนสมอ จัดพิมพ์โดย : วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จังหวัดนครปฐม ปีที่พิมพ์ : มิถุนายน ๒๕๖๗ จำ นวน : ๑,๐๐๐ เล่ม ที่ปรึกษา พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค ๑๔, เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระรัตนสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กองบรรณาธิการ พระวชิรปัญญาภรณ์ เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูโสภณปฐมาภรณ์ เจ้าคณะตำ บลบ้านใหม่ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูปฐมธีรวัฒน์ เจ้าคณะตำ บลหอมเกร็ด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูปฐมธรรมวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูพิสิฐธรรมนันท์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูปลัดโพธิวรวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูปฐมรัตนาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระครูวินัยธรอภิเชษฐ์ อภิเชฏฺโฐ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง นายทองดี อรุณโณ ที่ปรึกษาผู้อำ นวยการ วส.พุทธปัญญาศรีทวารวดี รูปเล่ม-แบบปก นายสรพงษ์ ชิวค้า ดำ เนินการพิมพ์ เมืองราชการพิมพ์ จ.ราชบุรี โทร. ๐๘๕-๑๙๓๗๒๗๙


1


Click to View FlipBook Version