The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน นิทานพื้นบ้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐา ค้ำชู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by taspol7200, 2022-06-28 01:22:37

นิทานพื้นบ้าน

เอกสารประกอบการสอน นิทานพื้นบ้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐา ค้ำชู

Keywords: นิทานพื้นบ้าน

44

เร่อื งดาวลูกไก่
เรอ่ื งดาวลูกไกเ่ ปน็ นทิ านอธบิ ายเหตุที่มาของชอ่ื ดาวลกู ไกแ่ ละจำนวนดาวลูกไกท่ ่มี ี 7 ดวง ตำนาน
ดาวลูกไกม่ ีเน้อื หากลา่ วถึงแมไ่ กก่ บั ลกู 7 ตวั ที่เสียสละชวี ิตกระโดดเขา้ กองไฟเพอื่ ใหต้ ายายผเู้ ล้ียงดูแม่ไก่
และลกู ไก่มาได้นำไปทำอาหารถวายพระธุดงค์ ด้วยกุศลกรรมนี้ทำให้วญิ ญาณของแม่ไกแ่ ละลูกไก่ไปเกิด
เปน็ กลมุ่ ดาวฤกษ์ 7 ดวงบนทอ้ งฟา้

(วฒั นะ บญุ จับ, 2559, หน้า 7)

เรอื่ งอธบิ ายพิธจี ุดบงั้ ไฟเพอื่ ขอฝน
ฝนมคี วามสำคัญอย่างย่งิ ตอ่ ชวี ติ มนษุ ย์ เพราะมนุษยต์ อ้ งอาศัยนำ้ ในการเพาะปลกู เลย้ี งสตั ว์ และ
อาบกิน ในภาคเหนือ และภาคอีสานมีความเชื่อเหมือนกันว่า ผู้ท่ีคอยดูแลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล คือ
พญาแถน มีตำนานทางอีสานเรื่องหนึง่ คือ พญาคันคาก ได้กล่าวถึงบทบาทหนึง่ ที่ในการดูแลฝนฟ้าของ
พญาแถน ตามเรื่องเล่าว่า เดิมมนุษย์บูชาแถนอย่างสม่ำเสมอ แถนจึงบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ต่อมาพญาคันคากได้เป็นผู้ครองเมืองมนุษย์ เป็นผูม้ ที ศพธิ ราชธรรม มนุษย์จึงบูชาพญาคันคาก และเลกิ
บูชาแถน แถนจงึ ไมใ่ หฝ้ นแก่มนุษย์ จงึ เกิดภาวะอดอยากแหง้ แล้ง ฝนไมต่ ก ราษฎรทำไรท่ ำนาไม่ได้ จึงเกดิ
ข้าวยากหมากแพง ทำให้เดือดร้อนไปทั่ว พญาคันคากจึงรวบรวมกองทพั เพื่อไปรบกับแถนบนเมืองฟา้
กองทัพพญาคันคากประกอบด้วยงู กบ เขียด คางคก มด ต่อ แตน เป็นต้น พญาคันคากได้รบกับแถน
จนกระทัง่ แถนยอมแพ้ และบอกวา่ ตอ่ ไปนีถ้ ้าตอ้ งการฝนเมอื่ ใด กใ็ หจ้ ุดบั้งไฟขึน้ มาบอก ตำนานเรื่องน้ี จงึ
เปน็ ทีม่ าของประเพณกี ารจดุ บง้ั ไฟ เพ่ือขอฝนจนทุกวนั นี้

(สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชนฯ เล่ม 26, 2550, หนา้ 21)

เร่อื งเหตุท่กี ระดองเต่ามีลวดลาย
นิทานจากตำบลรงั กาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เล่าถึงสาเหตุทีเ่ ต่ามกี ระดองเป็น
ลวดลายเช่นนวี้ า่ เดิมทีเต่าและกระรอกเป็นเพือ่ นกัน วนั หน่งึ เมียของกระรอกปวดท้องจะออกลกู กระรอก
ได้ไปขอให้เต่ามาช่วยดูแล เต่าขึ้นต้นไม้ไม่ได้ต้องใชป้ ากกดั หางกระรอกไว้ แล้วให้กระรอกปนี ขึ้นไป เมือ่
กระรอกปนี ข้ึนต้นไมเ้ กือบจะถึงรงั เมยี ของกระรอกเห็นเตา่ กร็ ้องทกั เตา่ ไดย้ นิ กอ็ ้าปากจะพดู ตอบ จึงตก
ลงไปยังพืน้ ดนิ ตัวแตกเป็นช้นิ ๆ กลายเปน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ เชน่ เน้ือส่วนหนงึ่ กไ็ ปติดอยู่กบั ทา้ ยทอยของคนเรียก
กันว่า ก้นเต่า หรือหางเตา่ อีกส่วนหนึ่งตกลงไปในน้ำ กลายเป็นผักตับเต่า พระอินทร์รู้สกึ สงสารเตา่ จึง
ชว่ ยหยิบตัวเต่าที่แตกแลว้ มาตอ่ กนั ใหม่ ตั้งแต่นนั้ มากระดองเต่าจึงมีลวดลายดังเช่นทกุ วนั นี้

(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2550, หนา้ 34)

เรือ่ งเหตุท่งี เู หลือมไม่มพี ษิ
เหตุที่งูเหลือมไม่มีพิษมีเรื่องเล่าว่าเป็นเพราะพระอินทร์เห็นว่าถ้าให้งูเหลือมมีพิษมากจะไม่ดี
ต่อมาแมงปอ่ งและงจู งอางไปขอแบง่ พิษจากงเู หลือมบ้าง งูเหลือมกย็ กใหไ้ ปจนหมด ตั้งแต่น้ันมางูเหลือม
จงึ ไมม่ พี ิษ กัดคนไม่ตาย ฝา่ ยมดตะนอยก็ไปขอแบ่งพิษจากงูเหลือมบ้าง โดยไปยนื เทา้ สะเอวจึงทำให้เอว
คอดกิว่ ไป

(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2550, หนา้ 33)

45

เรอ่ื งเหตุท่ีควายไมม่ ีฟนั บน
เหตุที่ควายไม่มีฟันบนนี้ ตามเรื่องเล่าว่าเป็นเพราะควายชอบโต้เถียงคน เวลาถูกคนใช้งาน
นอกจากจะไม่ยอมทำตามคำสัง่ แล้วยังดา่ คนอีกดว้ ย พระอนิ ทรเ์ หน็ วา่ ถ้าปลอ่ ยไว้เชน่ นี้ จะทำความลำบาก
ใหแ้ กค่ น จึงตบให้ฟันบนของควายหลดุ ไป ต้ังแตน่ ้นั มาควายจงึ ไมม่ ฟี นั บนและพดู ไมไ่ ด้

(สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน, 2550, หนา้ 33)

เรอื่ งสาเหตุที่คนตบยุง
สาเหตุท่ีคนตบยุง มีเรื่องเลา่ ว่าเดิมพระอนิ ทร์มอบสิว่ ใหย้ ุงเอาไวใ้ ชเ้ จาะกนิ เลือดคน ยงุ จึงมีส่ิวอยู่
ทห่ี วั เวลาจะกนิ เลอื ดยุงตอ้ งออกแรงใช้หวั กดผิวหนังคนจึงจะเจาะกินเลือดได้ ทำใหย้ งุ ไมพ่ อใจ บินไปขอ
ค้อนมาไว้ตอกส่ิว พระอินทร์โมโหจงึ บอกว่า ค้อนอยูท่ ่ีคนแล้ว เอาหัวเจาะเข้าไปเถอะ แล้วคนจะใชค้ อ้ น
ตอกใหเ้ อง ตั้งแต่น้ันมาพอยงุ กดั คนกจ็ ะตบทันที

(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2550, หนา้ 34)

เรอื่ งทำไมมนษุ ย์จงึ รจู้ กั การกินเมล็ดขา้ ว
นิทานพ้นื บา้ นเร่ืองนี้ผ้เู ก็บขอ้ มูลคือประสงค์ สายหงส์ ผูใ้ ห้ขอ้ มลู คือสรอ้ ยอมุ า หอมกล่ิน เนื้อหา
ของนิทานกล่าวว่าสมัยก่อนคนยังไม่รู้จักกินข้าว กินแต่รำข้าว ตอนทำนาได้ก็จะฝัดเอาแต่รำข้าวมากนิ
ส่วนแก่นข้าวกจ็ ะท้งิ ไป มีครอบครัวอยู่ครอบครวั หนง่ึ มีลกู เลก็ ๆ หน่ึงคน ลกู เล็กไม่ยอมกินรำขา้ ว เวลาพอ่
แมจ่ ะต้มรำขา้ วให้กนิ ลูกก็จะรอ้ ง พอ่ แมก่ ร็ สู้ กึ รำคาญจึงพูดวา่ “เอง็ จะกินอะไรหา รอ้ งมากเดี๋ยวจะต้มแก่น
ข้าวให้กินตาย ๆ ไปซะแหละ” พอพดู จบลูกกห็ ยดุ รอ้ ง แต่พักเดียวก็ร้องอกี ทีนีแ้ มก่ ็อารมณ์เสยี แล้วพูดไป
ว่า “ทีนี้จะต้มเอาแกน่ ข้าว ให้กินจริง ๆ แหละ ร้องไปเลย” จากนั้นพ่อแม่กเ็ อาแกน่ ข้าวไปต้มให้ลูกกิน
จริง ๆ แลว้ ลกู กด็ ีใจกินขา้ วได้เยอะ พอกินอิม่ นอนหลบั พ่อแม่นั้นก็ตกใจนึกวา่ ลูกตายที่เอาแก่นข้าวที่คน
กินกนั ไปให้ลูกกิน กร็ ้องไหใ้ หญส่ ักพกั ลูกกต็ ่นื ข้ึนมาอยา่ งมีความสุข จากน้ันพ่อแม่กด็ ใี จมากก็ต้มแก่นข้าว
ให้ลกู กินตลอดจนมีข่าวลอื ไปทว่ั จากน้ันคนกห็ ันมากนิ แกน่ ขา้ วแทนรำข้าวมาจนถึงปจั จุบัน

(โครงการลา้ นนาคดี มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 2562, ออนไลน์)
นทิ านพ้ืนบ้านที่มีเน้อื หาอธิบายเหตตุ ่าง ๆ ยังมีอกี มาก เชน่ เหตุทอ่ี ีกามีสดี ำ เหตุทีต่ ุ๊กแกเป็นศตั รู
กับงูเขียว เหตุทแ่ี มวกบั หนไู มถ่ กู กัน ฯลฯ

1.3.2 นิทานประจำถนิ่
นิทานประจำถิ่นที่พบบ่อยส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับบุคคลในท้องถิ่น หรือบุคคลใน
ประวัติศาสตร์ นิทานประจำถิน่ อีกประเภทหนึง่ เป็นนิทานท่ีอธิบายสภาพภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะแปลก ๆ
ในทอ้ งถน่ิ อาจเปน็ ภเู ขา ทะเลสาบ เกาะ ฯลฯ ตวั อยา่ งนทิ านประจำถิ่นมดี ังน้ี
เรอื่ งพระยากง - พระยาพาน
เรื่องพระยากง – พระยาพานหรือบางตำนานเขียนว่าพญากงพญาพานเป็นนิทานประจำถิ่น
จังหวัดนครปฐม อธิบายถงึ ทม่ี าของพระปฐมเจดยี ์ซึง่ เปน็ เร่อื งราวเกีย่ วกบั ปติ ุฆาต เน้ือหาของเรอ่ื งกลา่ วถงึ
พระยากงถูกโอรสของตนเองซึ่งได้ใหค้ นนำไปฆ่าทิง้ ตัง้ แต่เล็ก ๆ ฆ่า ต่อมาโอรสทราบว่าได้ฆ่าพระบิดาก็
เสยี ใจจึงได้สร้างพระปฐมเจดยี ท์ ีจ่ งั หวัดนครปฐมเป็นท่ีระลกึ นอกจากนยี้ งั โปรดใหส้ รา้ งเจดียพ์ ระประโทณ

46

เพื่อเป็นท่ีระลึกถงึ ยายหอมซึง่ เลีย้ งตนมาแตต่ นไดส้ ัง่ ประหารชีวิตไปเมื่อบันดาลโทสะ โดยเรือ่ งเล่ากนั ว่า
พระยากงเจ้าเมืองศรีวิชยั หรือนครชยั ศรี (บางสำนวนว่าเป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรี) เมอ่ื มเหสที รงพระครรภ์
โหรหลวงทำนายว่าจะได้โอรสเป็นผู้มีบุญและเป็นใหญ่ภายหน้า แต่จะเป็นผู้ฆ่าพระราชบิดา เมื่อครบ
กำหนดพระมเหสีก็ให้กำเนิดพระโอรส ขณะที่ข้าราชบริพารนำพานไปรองรับ บังเอิญหน้าผากของโอรส
กระทบกับขอบพานจนเป็นแผล พระยากงสั่งให้นำโอรสไปทิ้งตามยถากรรม ยายหอมพบทารกจึงนำไป
เลี้ยงไว้และใหช้ ื่อว่า “พาน” เมื่อเดก็ ชายพานโตขึ้นยายหอมได้นำไปฝากให้เล่าเรียนที่วัด สมภารผ้เู ปน็
อาจารยร์ ักใคร่เอ็นดจู ึงสอนวชิ าทกุ อยา่ งและไดน้ ำพานไปฝากรบั ราชการกบั เจ้าเมอื งราชบุรี พานปัญญาดี
เรยี บร้อยและขยนั จงึ เป็นทโ่ี ปรดปรานของเจ้าเมืองราชบุรมี าก จนถึงกับรบั ไวเ้ ปน็ โอรสบุญธรรม

สมยั นน้ั เมอื งราชบุรีข้ึนกบั เมอื งกาญจนบรุ ี (บางสำนวนก็ว่าเมืองนครชยั ศร)ี เจา้ เมืองราชบุรีต้อง
ส่งเคร่ืองบรรณาการทุกปี พระยาพานจงึ ชักชวนให้เจา้ เมืองราชบุรแี ข็งเมอื ง พระยาพานเปน็ แมท่ ัพออกไป
รบกบั พระยากง ท้งั สองทำยุทธหตั ถกี นั ในท่ีสดุ พระยากงกถ็ ูกฟนั ด้วยของา้ วคอขาดตายในทีร่ บ เม่ือพระยา
พานเข้ายดึ เมอื งของพระยากงไดแ้ ลว้ ยอ่ มได้ทงั้ ราชสมบัติและมเหสีของพระยากงด้วย แต่ในขณะทพี่ ระยา
พานจะเข้าไปหาพระมเหสีนน้ั เทวดาได้แปลงกายเป็นแมวแม่ลูกอ่อนให้ลกู กินนมขวางประตูไวแ้ ละร้องทัก
เสยี กอ่ น พระยากงจงึ อธษิ ฐานวา่ ถ้าพระมเหสเี ป็นแมข่ องตนจรงิ ก็ขอใหม้ นี ้ำนมไหลซึมออกมา น้ำนมกไ็ หล
ออกมาจริง จึงรู้ว่าทั้งสองเปน็ แม่ลกู กนั พระยาพานโกรธยายหอมทีป่ ดิ บังความจริง ด้วยโทสจริตจึงส่ังให้
นำยายหอมไปฆ่าเสีย ตอ่ มาพระยาพานสำนึกได้ว่าไดก้ ระทำปิตฆุ าตฆ่าพระบิดาและยายหอมผู้มีพระคุณ
จึงได้สรา้ งพระเจดยี ์ขนาดใหญ่สูงชั่วนกเขาเหินตามคำแนะนำของพระอรหนั ต์เพื่อล้างบาปให้บรรเทาลง
ซึ่งก็คือพระปฐมเจดียท์ ี่เมืองนครชัยศรี (ปัจจบุ ันตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม) และสร้างพระประโทณเจดีย์
เพอ่ื ล้างบาปท่ีฆา่ ยายหอม

(อภิลักษณ์ เกษมผลกูล, 2559, หน้า 68 - 69)

เรือ่ งพระรว่ ง
เรื่องพระร่วงเป็นนิทานพื้นบ้านตำบลคีรีมาศ อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย เล่าว่ามีสองตายาย
อาศยั อย่ทู ีเ่ ขาหลวงมีอาชพี ลา่ สัตว์ วันหนงึ่ เขา้ ป่าแลว้ เกิดฝนตกไม่หยดุ จึงตอ้ งเข้าไปหลบฝนอยู่ในถ้ำ เม่ือ
ฝนหยุดกอ็ อกมาจากถ้ำและไดพ้ บเดก็ ทารกคนหน่งึ แตพ่ ออมุ้ ทไี รเดก็ กร็ ว่ งทุกคร้งั แมว้ า่ จะเอาผา้ หอ่ หรอื
ใชเ้ ชือกผกู กย็ งั ร่วงทกุ ครั้ง ในทสี่ ุดสองตายายจงึ เอาใสช่ ะลอม ปรากฏว่าสามารถอมุ้ ไปได้ จงึ นำไปเล้ียงไว้
และให้ชื่อวา่ พระร่วง ต่อมาพระร่วงอยากจะได้น้อง สองตายายจงึ นำไม้ทองหลางมาแกะเป็นรูปเด็กให้เลน่
ปรากฏวา่ ต๊กุ ตาไมต้ ัวนเี้ กดิ มชี วี ิต จึงได้ชื่อวา่ พระลอื ตามเนื้อเรอ่ื งเชอ่ื วา่ พระร่วงเปน็ ผู้สรา้ งสถานท่ีต่าง ๆ
ในสุโขทยั เชน่ สวนขวญั สระอโนดาต ถ้ำพระนารายณ์ส่กี ร

(สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน เลม่ ท่ี 26, 2550, หน้า 28)

เรื่องทา้ วแสนปม
ท่เี มอื งไตรตรึงษ์ (ปจั จบุ ันคือบา้ นวงั พระธาตุ ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร) มี
ตำนานกล่าวถงึ เร่ืองท้าวแสนปมวา่ เจา้ เมอื งไตรตรึงษ์ มพี ระธิดาสิริโฉมงดงาม และทใ่ี กล้เมอื งไตรตรึงษ์น้ี
มชี ายคนหน่ึงมีรา่ งกายเต็มไปด้วยปมุ่ ปม ชาวบา้ นเรยี กเขาว่าแสนปม แสนปมมีอาชพี ปลูกผัก มาวันหน่ึง
เทวดาดลใจใหพ้ ระธดิ านกึ อยากเสวยมะเขือ นางขา้ หลวงพบมะเขือในสวนของแสนปมลกู ใหญ่อวบ จึงซ้ือ

47

ไปถวาย หลงั จากพระธดิ าเสวยมะเขอื ของแสนปมไดไ้ มน่ านก็ต้ังครรภ์ ทา้ วไตรตรงึ ษร์ ้สู ึกอบั อาย พยายาม
สอบถามอยา่ งไรพระธิดาก็ไม่บอกวา่ ใครคอื พอ่ ของเด็ก ครัน้ เม่ือพระกมุ ารเติบโตพอรู้ความ ท้าวไตรตรึงษ์
จงึ ประกาศให้ขนุ นางและเหล่าราษฎรทง้ั หลายนำของกนิ เขา้ มาในวัง หากพระกมุ ารยอมกินของผู้ใดผู้นั้น
จะไดเ้ ปน็ เขยหลวง บรรดาผ้ชู ายทุกคนพากนั มาเสย่ี งทายเป็นบดิ าของพระโอรส แตพ่ ระโอรสไม่ได้คลาน
ไปหาใครเลย เจา้ เมอื งจึงให้เสนาไปตามแสนปมซึ่งยังไม่ได้มาเสย่ี งทาย แสนปมมาเขา้ เฝ้าพร้อมทั้งถือกอ้ น
ขา้ วเย็นมา 1 ก้อน เมื่อมาถงึ จึงอธิษฐานและย่ืนก้อนข้าวเย็นให้ พระโอรสกค็ ลานเข้ามาหา ท้าวไตรตรึงษ์
ทรงกริ้วที่พระธิดาไปได้กับคนชั้นไพร่อัปลักษณ์ จึงขับไล่ออกจากวัง แสนปมพาพระธิดากับพระกุมาร
เดนิ ทางไปหาทอ่ี ยู่ใหม่ ร้อนถงึ พระอินทรต์ อ้ งแปลงเปน็ ลิงนำกลองวเิ ศษมามอบให้ อยากไดอ้ ะไรก็ตีกลอง
ก็จะไดด้ งั สารพดั นกึ แสนปมอธิษฐานให้ปมุ่ ปมตามตวั หายไปแล้วตีกลองวิเศษ รา่ งก็กลายเป็นชายรูปงาม
ต่อมาตีกลองขอบ้านเมอื งให้ชือ่ ว่าเมอื งเทพนคร และสถาปนาตัวเองเป็นพระเจา้ แผน่ ดิน ทรงพระนามว่า
ท้าวแสนปม ปกครองไพร่ฟ้าด้วยความสงบสุข ทา้ วแสนปมใช้ทองคำมาทำเป็นอู่ (เปล) ใหพ้ ระโอรส และ
ต้งั ชือ่ พระโอรสว่า 'อู่ทอง' ตอ่ มาพระเจ้าอู่ทองจงึ ยา้ ยเมอื งมาสรา้ งกรุงศรีอยธุ ยา

(องค์การบรหิ ารส่วนตำบลไตรตรึงษ์, 2562, ออนไลน์)
อีกตำนานหนึ่งเล่าวา่ ท้าวแสนปมเกดิ มาแลว้ ตามตวั เปน็ ป่มุ เป็นปมเดนิ ไมไ่ ด้ จึงไปขอให้ฤๅษีช่วย
รักษาให้หาย ฤๅษใี หข้ ี่มา้ มาหาทกุ วัน เวลาผ่านไปครงึ่ ปี ทา้ วแสนปมกเ็ ดินไดแ้ ละหายเปน็ ปกติ ท้าวแสนปม
เดินทางไปกำแพงเพชร รบั จา้ งหาบผกั ไปสุโขทัย ขณะทหี่ าบผกั อยู่ ฝนตกฟ้าผ่าถกู ไม้คานหัก ท้าวแสนปม
และผกั ปลอดภยั ตำบลนนั้ จึงไดช้ อ่ื ว่า “บ้านบ่อฟา้ ” ต่อมาไดพ้ บหมอดู หมอดทู ำนายว่าถ้าไปทางทศิ เหนอื
จะได้เป็นพระเจ้าแผน่ ดนิ ถา้ ไปทางทิศใต้หรือทศิ ตะวันตกจะถกู ฆ่า ทา้ วแสนปมไปถึงสุโขทัยและได้รักกับ
ลูกสาวพระเจา้ แผ่นดนิ จึงพาลูกสาวพระเจา้ แผน่ ดนิ หนีไปกำแพงเพชร แล้วเขยี นจดหมายไปทูลถึงความ
รักท่ีทง้ั สองมตี อ่ กนั พระเจา้ แผ่นดินกเ็ หน็ ใจและไม่คิดฆ่า ทา้ วแสนปมจงึ ได้เปน็ ลกู เขยพระเจ้าแผน่ ดนิ

(สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน เล่มท่ี 26, 2550, หนา้ 29)

เรอื่ งสองพี่นอ้ ง
ทจี่ ังหวัดสุพรรณบุรีมีคลองอย่คู ลองหนึง่ เรียกวา่ “คลองสองพีน่ ้อง” ปัจจบุ ันอยู่ในท้องท่ีอำเภอ
สองพี่น้อง มนี ิทานเล่ากนั มาแต่โบราณว่า สมยั หน่งึ มชี ายสองคนพ่ีนอ้ งอาศัยอย่ทู ่ีคลองนี้ ท้ังสองมีอาชีพ
ทำไรท่ ำสวน ฐานะค่อนขา้ งมีอนั จะกนิ และรปู รา่ งหนา้ ตากห็ ล่อเหลาเอาการ เป็นที่หมายปองของสาวใน
บ้านเดียวกัน แต่ชายหนุม่ ทั้งสองหาสนใจไม่ ต่อมาไม่นานทั้งสองได้ข่าวว่ามสี าวงามสองคนอยู่ในตำบล
ท้องท่อี ำเภอบางปลามา้ หญงิ ทง้ั สองนีส้ วยงามมาก ชายทั้งสองพี่นอ้ งจงึ คดิ ตอ้ งการนางมาเป็นคู่ครองท้ัง
สองคน ต่อมาสองพ่ีน้องไดจ้ ัดเถ้าแก่ไปสู่ขอ พ่อแม่ฝ่ายหญงิ เม่ือได้ฟงั คณุ สมบัตขิ องฝ่ายชายก็ไมร่ ังเกียจ
และเหน็ ว่าลกู สาวของตนอายสุ มควรทจี่ ะมคี ู่ครองไดแ้ ล้วจึงตอบตกลง “เมอ่ื มาสู่ขอลกู สาวของฉันไปตกไป
แต่งทั้งทีก็ขอให้สมกับหน้าตาฐานะหน่อยหนึ่งจะได้ไหม” พ่อของฝ่ายหญิงกล่าวกับเถ้าแก่ ฝ่ายหญิง
ตอ้ งการใหจ้ ัดขบวนขันหมากลงเรือสำเภาให้ใหญ่โต จะได้เป็นทีเ่ ชดิ หนา้ ชูตาของชาวบ้านแถวนี้ ครั้นถงึ วัน
กำหนดนัด ฝ่ายชายก็จดั เครือ่ งขนั หมากและเครื่องใช้ในการแต่งงานลงเรอื สำเภา มีมโหรีปพ่ี าทยค์ รบครัน
เมื่อได้ฤกษ์ขบวนขันหมากพร้อมทัง้ เจ้าบ่าวทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนที่จากคลองสองพี่น้องออกไปทางแม่น้ำ
สุพรรณขึ้นไปทางเหนือมุ่งหน้าไปบ้านเจ้าสาว ขณะที่เรือแล่นไปนักดนตรีก็เล่นดนตรีดังไปตลอดทาง

48

จนถึงตำบลหนง่ึ นกั ดนตรีเปลย่ี นเพลงมาเล่นซอ ชาวบา้ นจึงเรยี กทแ่ี ห่งนวี้ า่ “บางซอ” เมือ่ แล่นเรอื ไปอีก
ไม่นานเสียงดนตรีก็ยิ่งดงั ครึกครื้น สนุกสนาน ผู้คนในเรือก็ร้องรำกันไม่ได้หยดุ ที่แหง่ นีจ้ ึงเรยี กว่า “บ้าน
สนุก” จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือ เรือสำเภาที่บรรทุกคนและเครื่องใช้ไม้สอยสำหรับงาน
แต่งงานได้เกิดอุบตั ิเหตุอับปางล่มลง คนและสิง่ ของเครื่องใช้ท่ีมากับขบวนขันหมากจมหายไปในน้ำหมด
ตรงทสี่ ำเภาลม่ นน้ั ปัจจุบันจึงเรยี กว่า “สำเภาทลาย” สว่ นเจา้ บ่าวสองพน่ี อ้ งจมนำ้ ตายท้ังคู่ ฝ่ายเจ้าสาวก็
รอขบวนขันหมาก แตเ่ มื่อมีคนมาสง่ ขา่ ววา่ ขบวนเรอื ขนั หมากของสองพน่ี ้องล่มลงกลางแม่นำ้ เสียแลว้ และ
เจา้ บ่าวของเธอกจ็ มนำ้ ตายดว้ ย หญิงทงั้ สองเสียใจมาก เธอรอ้ งไห้ครำ่ ครวญอย่างน่าเวทนา ต่อมาชาวบ้าน
จึงเรยี กบ้านท่ีหญงิ ทง้ั สองอย่วู า่ “บ้านแม่หมา้ ย” ซ่งึ ปัจจุบนั ขนึ้ อยกู่ ับอำเภอบางปลามา้ จงั หวดั สุพรรณบรุ ี

(ผจงวาด กมลเสรรี ัตน์, 2543, หนา้ 8 - 12)

เร่อื งตามอ่ งล่าย
นิทานเรื่องตาม่องล่ายเป็นนิทานประจำถิ่นของคนในท้องถิ่นแถบบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
ตอนบน ทั้งทางฝัง่ ตะวันตกในเขตจังหวดั เพชรบุรี ประจวบคีรขี ันธ์ ชุมพร และทางฝั่งทะเลตะวันออกใน
เขตจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง และชลบุรี มีเนื้อหาอธิบายภูมิศาสตร์และภูมินามต่าง ๆ ของท้องถิน่
เรอ่ื งเลา่ ว่า สองสามภี รรยาคอื ตาม่องลา่ ยและยายรำพงึ มลี กู สาวสวยชื่อยมโดย นางยมโดยเปน็ ทหี่ มายปอง
ของเจ้าลายและเจ้ากรงุ จีน เจ้าลายนำข้าวของไปให้ยายรำพงึ เสมอทำใหย้ ายรำพึงพอใจ ส่วนเจา้ กรงุ จีนก็
มกั จะแวะนำของมาขายให้ตามอ่ งลา่ ย ซึ่งก็ทำให้ตาม่องลา่ ยพอใจเช่นกัน ต่อมาเจา้ ลายไดใ้ หผ้ ู้ใหญม่ าสขู่ อ
นางยมโดย บงั เอิญตามอ่ งลา่ ยไมอ่ ยบู่ ้าน ยายรำพึงกต็ กลงยกให้ ฝ่ายเจา้ กรงุ จนี ก็ได้ติดตอ่ สู่ขอนางยมโดย
จากตามอ่ งลา่ ยซึง่ ตามอ่ งลา่ ยก็ไดต้ กลงยกให้โดยไมไ่ ด้ปรกึ ษากบั นางรำพงึ ทั้งสองฝ่ายไดก้ ำหนดนัดหมาย
ให้มีพิธีแต่งงานในวันเดียวกันโดยบังเอิญ เมื่อถึงกำหนดเจ้าลายและเจ้ากรุงจีนก็ยกขบวนขันหมากมา
พรอ้ มกัน ตาม่องล่ายและยายรำพึงตา่ งตกใจ ไมท่ ราบจะทำอย่างไร ต่างก็กลา่ วโทษกันและทะเลาะวิวาท
กันอย่างรนุ แรง ยายรำพงึ ฉวยหมวกไดก้ ็ขว้างตามอ่ งลา่ ย หมวกลอยไปตกเปน็ “เขาลอ้ มหมวก” ในจงั หวัด
ประจวบครี ีขันธ์ ตาม่องลา่ ยคว้ากระบุงขว้างยายรำพึง กระบุงลอยไปตกเป็น “เกาะกระบุง” ในจังหวดั
ตราด ยายรำพึงหยิบงอบไดก้ ็ขว้างตาม่องล่ายอีก งอบกระเด็นไปตกเปน็ “แหลมงอบ” ในจงั หวัดตราด
ตาม่องลา่ ยคว้าสากขวา้ งยายรำพงึ สากลอยไปปะทะเกาะแหง่ หนง่ึ ทอ่ี ่าวบางสะพานใหญ่จนทะลุ เกาะน้ัน
จึงได้ชื่อวา่ “เกาะทะลุ” ในจังหวดั ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ หรือชมุ พร สากก็ลอยไปเป็น “เกาะสาก” ใน
จังหวดั ชลบรุ ี ยายรำพงึ โมโหมากจงึ ไปนอนน่งิ อยจู่ นกลายเปน็ “เขาแมร่ ำพงึ ” ในจงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์
ตามอ่ งลา่ ยจงึ จับนางยมโดยฉกี เป็นสองซกี แลว้ โยนซีกหนึง่ ไปทางเจา้ ลาย ไปตกเป็น “เกาะนมสาว” ที่บา้ น
บางปใู นท้องทอ่ี ำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรขี ันธ์ อีกซีกหน่ึงโยนไปทางเจ้ากรงุ จีน ไปตกเป็น “เกาะ
นมสาว” ในจังหวัดชลบรุ ี ตาม่องล่ายได้โยนหมากพลแู ละสิง่ ของ กระจายไปตกในที่ต่าง ๆ คือ พลูไปตก
กลายเปน็ “หอยมวนพลู” ขนมจีนกลายเปน็ “สาหรา่ ยทะเล” กระจกไปตดิ ที่ “เขาชอ่ งกระจก” ตะเกียบ
ไปติดท่ี “เขาตะเกยี บ” จานก็ตกเปน็ “เกาะจาน” เจ้าลายตรอมใจตายไป กลายเปน็ “เขาเจา้ ลาย” ส่วน
ตามอ่ งลา่ ยกเ็ สยี ใจมาก จงึ ไปนง่ั ดม่ื เหล้า และด่ืมจนเกนิ ขนาด จนในท่ีสดุ ก็กลายเป็นหิน

(สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน เล่มที่ 26, 2550, หน้า 30 - 31)

49

จะเห็นไดว้ า่ นิทานพืน้ บ้านท่ีมเี นื้อหาเกีย่ วกับการอธบิ ายเหตุและนทิ านประจำถ่นิ น้ันมีจำนวนมาก
และยังมีอีกหลายเรื่องทีย่ ังมิได้กล่าวถึงในที่นี้ นิทานอธิบายเหตุและนิทานประจำถิ่นบางเรื่องมีลักษณะ
เนอื้ หาอย่างนิทานมหศั จรรย์ และนิทานประจำถน่ิ บางเรอื่ งก็ถกู กล่าวอา้ งว่าเป็นนทิ านของทอ้ งถ่นิ ไดห้ ลาย
ถ่นิ ซึ่งแต่ละถิน่ กม็ ีหลักฐานประกอบความนา่ เชือ่ ถอื ในท้องถนิ่ ของตนอกี ดว้ ย

1.4 นิทานท่มี ีเนอ้ื หาเกยี่ วกบั มุกตลกขบขัน

นทิ านพ้ืนบ้านไทยท่มี เี น้ือหาเกีย่ วกับมุกตลกขบขันมักเปน็ เรือ่ งตลกเกี่ยวกับความฉลาด ความโง่
คนพกิ าร นกั บวช เรือ่ งเพศ การชนะการแขง่ ขันหรอื พนนั ขนั ต่อดว้ ยกลลวง การล้อเลียน ความเกียจครา้ น
การโม้ ฯลฯ เป็นนทิ านทีม่ ุ่งใหผ้ ู้ฟงั สนุกสนาน เนอ้ื หามีทง้ั ที่หยาบโลนและไม่หยาบโลน ผู้ทีต่ กเป็นเปา้ ของ
การลอ้ เลยี นสว่ นใหญ่คอื ผปู้ ระพฤติพรหมจรรย์ เชน่ พระภิกษุและชี ผูท้ เ่ี คยบวชเรยี นนาน ๆ แล้วสึก และ
ในบรรดาเครือญาติซึ่งสังคมไม่ยอมรับ เช่น ลูกเขยกับแม่ยาย พี่เขยกับน้อยเมีย และพ่อผัวกับลกู สะใภ้
(ประคอง นิมมานเหมนิ ท,์ 2551, หน้า 144) มที งั้ ตอนเดยี วจบและหลายตอนจบ ดังตัวอย่าง

เร่ืองศรีธนญไชย
เรื่องศรีธนญไชยหรือสีทนนไชย บางท้องถิ่นเรียกชื่อว่าเชี่ยงเมี่ยง หรือเสียวสวาด เป็นนิทาน
พ้ืนบา้ นท่ีได้รับความนิยมแพรห่ ลายไปทว่ั อษุ าคเนย์ มหี ลายสำนวน เน้อื เรอ่ื งของศรธี นญไชยมีหลายตอน
เช่น ตอนชาวบ้านท้าทายให้หลอกพวกตนใหห้ ลงเชอื่ ศรีธนญไชยลวงวา่ ไม่มีเวลาเพราะตอ้ งไปหาปลาตาม
รบั ส่งั ชาวบา้ นรีบเกณฑค์ นไปช่วยหาปลาแต่ไม่พบใคร จงึ รู้วา่ ถกู หลอก
ตอนพระราชาท้าทายให้ศรธี นญไชยลวงตนลงน้ำ ศรีธนญไชยว่าตนมิอาจลวงพระราชาใหล้ งน้ำได้
แตล่ วงพระราชาใหข้ ้นึ บกได้ พระราชาต้องการทดสอบจึงเดินลงนำ้
ตอนพระราชาทดสอบให้ศรีธนญไชยพูดสิ่งที่พวกขุนนางอำมาตย์ตอ้ งเห็นด้วย ศรีธนญไชยกล่าว
ชมความงามของชา้ งทรง ปราสาทราชมณเฑยี ร และความซื่อตรงของขุนนาง ทกุ คนตา่ งเหน็ ด้วย

(ณัฐา คำ้ ช,ู 2553, หน้า 286)

เรอ่ื งเปาะเนกบั เมาะเน

เรือ่ งเปาะเนกบั เมาะเนเป็นนทิ านพ้ืนบ้านภาคใต้ เปาะเนกบั เมาะเนเป็นชื่อของสามีภรรยาคู่หนึ่ง

คำว่า เปาะ ในภาษามลายแู ปลว่า พ่อ เมาะแปลวา่ แม่ ส่วนเนเป็นช่อื ของลูกชาย เปาะเนและเมาะเนจึง

หมายถึงผเู้ ป็นพ่อและแม่ของเน เปาะเนเป็นคนเซอ่ ซ่า ปญั ญาทึบ ทำอะไรเป่นิ ๆ อย่เู สมอ เมาะเนฉลาด

กว่าจงึ เป็นผจู้ ดั การกิจการต่าง ๆ ภายในบ้าน เรอ่ื งทเี่ ล่ามีหลายตอน เช่น ตอนเปาะเนหาพนั ธุ์ข้าวเปลือก

เรื่องเลา่ ว่า ภรรยาสง่ั ให้เปาะเนหาขา้ วเบามาปลูก เปาะเนได้ข้าวเบามาจากเพ่ือนบ้านแตเ่ ขาไม่รวู้ า่ ข้าวเบา

เปน็ อย่างไร เขาหอบหิว้ ไปถึงสะพานและหกลม้ ขา้ วร่วงลงนำ้ ทงั้ หมด ขา้ วทม่ี ีเมลด็ ข้าวจมลงไปใตน้ ำ้ ส่วน

ขา้ วลบี ลอยฟ่องอยูบ่ นผวิ น้ำ เปาะเนเข้าใจว่าขา้ วลบี คือขา้ วเบา กร็ ีบช้อนมาให้ภรรยา

ตอนเมาะเนทำบญุ แก้บน เรื่องเล่าว่าเปาะเนอยากเลี้ยงอาหารคนท่ีมีธรรมแต่ไม่ทราบว่าคนที่มี

ธรรมนั้นมีลกั ษณะอย่างไร เมาะเนจึงให้ข้อสังเกตว่าคนทม่ี ธี รรมคือคนท่ีใส่หมวกขาว หรือโพกผ้าสะระบ่ัน

สีขาว มีเครายาว ๆ เปาะเนออกไปเดินหา เขาพบแพะตวั ผตู้ วั หนึง่ เปาะเนเห็นแพะตวั น้ัน มีเครา และบน

หวั มีสขี าวด้วย จงึ บอกเชิญแพะมากนิ เล้ียง (ประพนธ์ เรอื งณรงค,์ 2542, หน้า 152-156)

50

เร่อื งนายดัน
นิทานพ้ืนบา้ นเรือ่ งนายดันเป็นนิทานทีช่ าวใตโ้ ดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช สุราษฎรธ์ านี และ
สงขลา เลา่ กนั มาชา้ นาน เรอ่ื งเล่าวา่ นายดนั เปน็ บตุ รตาพลายและยายเจย้ นายดันตาบอดตาใส คนท่ัวไป
เข้าใจว่าสายตาดี เหตุที่นายดนั ตาบอดเป็นเพราะชาติก่อนแกล้งทำเปน็ มองไมเ่ หน็ พระภกิ ษุมาบิณฑบาตที่
หนา้ บ้าน แม้นายดันตาบอดแตม่ ปี ฏิภาณไหวพรบิ ดี สามารถหาขอ้ แก้ตัวได้ทุกคร้งั เชน่ ตอนแห่ขันหมาก
นายดันเดินชนต้นกล้วยก็แสร้งดึงใบกล้วยแล้วบอกว่านกข้ีใส่ช่วยเช็ดให้ดว้ ย เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวนายดัน
เดินเขา้ ไปใต้ถุนบา้ นแทนทจี่ ะเดนิ ขน้ึ บนั ไดเรอื น นายดันกแ็ สรง้ บอกวา่ ไม้ตงไม้รอดไม่แขง็ แรง เมื่อข้ึนบน
เรอื นไดก้ น็ ง่ั ท่นี อกชาน พอมคี นมาเตอื น นายดันก็บอกว่าเท้าเลอะข้ไี ก่ ขอนำ้ มาล้างด้วย สุดท้ายนายดัน
จะกินหมากแต่หาปูนไม่พบท้ัง ๆ ทว่ี างอยปู่ ลายเทา้ นางไรโมโหควกั ปูนขย้ีตาสามี นายดันจงึ รอ้ งวา่ ปูนเข้า
ตาทำให้ตาบอด นางไรจึงไปพบหมอชอ่ื ตาบัวศรี ไดย้ ามารักษาจนนายดันหายกลายเปน็ คนตาดี หมดเวร
กรรมต้งั แต่บดั นน้ั เหตุท่นี ิทานเรอื่ งนี้ชอื่ นายดนั จงึ นา่ จะมาจากความดนั ทุรงั ไมย่ อมรับผิดนน่ั เอง

(ประพนธ์ เรืองณรงค,์ 2559, หน้า 16 - 17)

เร่อื งเจ้าง่อยกบั เจ้าตาบอด
เรือ่ งเจ้าง่อยกบั เจา้ บอดเป็นนทิ านมุกตลกของภาคกลาง เรื่องเลา่ วา่ มีชายพกิ ารสองคนเป็นเพื่อน
กัน คนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำเนิดเดินไม่ได้ อีกคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด ทั้งสองไดพ้ ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เวลาไปไหนมาไหนคนเปน็ งอ่ ยจะเปน็ ตา ส่วนคนตาบอดจะเป็นขาให้คนเป็นง่อยข่คี อไปโดยคนเป็นง่อยจะ
บอกทิศทางใหเ้ ดนิ ไป วนั หนึ่งทงั้ สองเดินทางไปในปา่ เดนิ ไป ๆ ทัง้ สองร้สู ึกหิวเปน็ กำลงั คนเปน็ งอ่ ยเหน็ รงั
นกอยบู่ นยอดไม้จงึ คดิ ว่าหากได้ไข่นกมากนิ กค็ งจะช่วยบรรเทาความหิวได้ไม่นอ้ ย จึงชวนกันไปเก็บไข่นก
มากนิ เม่ือถงึ โคนตน้ ไม้ก็ให้คนง่อยบอกทศิ ทางอยูใ่ ต้ตน้ ไม้ ส่วนคนตาบอดกป็ ีนตน้ ไม้ตามคำบอกของเพ่อื น
ครนั้ ถึงรังนก คนตาบอดก็ใช้มอื คลำเขา้ ไปในรังนก เมือ่ พบตัวหย่นุ ๆ จึงตะโกนบอกเพอื่ นว่า
“ไข่นกเป็นตวั แล้วหยุน่ ๆ แต่ยังไม่มีขน”
คนง่อยก็ตะโกนบอกว่า “จบั ไว้ ๆ ไม่ไดไ้ ข่ก็เอาลกู นกมาปง้ิ กนิ ก็ได”้
ชายตาบอดกจ็ ับไวแ้ นน่ ไมใ่ ห้ดิน้ หลุดไป ครน้ั เอามอื ออกมาจากรังนก คนงอ่ ยเห็นเปน็ งูไม่ใช่ลกู นก
อยา่ งอ้ายบอดบอก จึงตะโกนไปว่า
“อ้ายบอด งู มงึ จับงู”
ชายตาบอดรบี ปล่อยงูทนั ที แต่ในขณะเดยี วกนั งกู พ็ น่ พิษใสต่ าของชายตาบอด บงั เอญิ เป็นงูหมอ
พิษของงูจงึ ช่วยรักษาตาใหห้ ายบอดทนั ที เมอ่ื ชายตาบอดเหว่ียงดว้ ยความตกใจ งูไปตกทีท่ ชี่ ายง่อยนั่งอยู่
ด้วยความกลัว ชายง่อยกระโดดหนีงู ขาซง่ึ เคยตดิ กนั ก็หลุดออกจากกันทันที ชายทง้ั สองก็กลับกลายหาย
จากพิการ ชายท้งั สองกม็ คี วามสุขสบื ต่อมา

(ธวชั ปุณโณทก, 2553, หนา้ 224)

เรอ่ื งสามสหายทะเลาะกนั
สามสหายทะเลาะกนั เป็นนทิ านมกุ ตลกของภาคกลาง เร่ืองเล่าว่ายงั มชี ายหนุ่มสามคนเป็นเพ่ือน
รักกัน ทั้งสามคนต่างก็เป็นคนพิการ คนหนึ่งแขนด้วนทัง้ สองข้าง คนหนึ่งขาด้วนท้ังสองขา้ ง และอกี คน
หนึ่งร่างกายดีกว่าเพื่อน เพียงแต่เป็นคนหูหนวกเท่านั้น ทั้งสามคนไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอและ

51

ช่วยเหลือเกื้อกูลกนั มาโดยตลอด พวกเขาทำมาหากินโดยวิธีขอทาน อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสามปรึกษากันว่า
จะต้องย้ายไปขอทานหมู่บ้านอื่นบ้าง คนหนึ่งก็เสนอว่าไปเมืองใหญ่ ๆ อีกคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย จึงได้
ถกเถียงกันไปกนั มาจนถึงทะเลาะกนั

แขนด้วน : มงึ อย่ามาพูดมาก เดยี๋ วกูเอากำป้ันซัดหนา้ มึงเลยนี่
ขาดว้ น: กูไม่กลวั มึงหรอก มงึ นั่นแหละระวงั ปากไว้ เด๋ยี วกูเตะ ไมเ่ ล้ยี งเลยน่ี
หูหนวก : (เห็นถกเถียงตั้งท่ากนั มากนัก รู้สึกรำคาญจึงว่า) หยุด ๆ ทีเถอะ กูหนวกหูจะ
ตายอยู่แลว้ ถา้ มงึ อยากเถียงกันก็ไปเถียงกันท่กี ลางทุ่งโน่นไป

(ธวชั ปณุ โณทก, 2553, หนา้ 223)

เรอื่ งสองเกลอ
สองเกลอเปน็ นิทานมกุ ตลกของภาคกลาง เรื่องเล่ากนั วา่ ชายสองคนเป็นเพื่อนเกลอกัน คนหนง่ึ
ตาบอดสองข้าง อกี คนหน่งึ ขาเสยี ท้ังสองขา้ ง ทัง้ สองพงึ่ พาอาศัยกันดี วันหนงึ่ ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์
รักษาความพกิ ารได้ ท้งั สองจงึ เดินทางไปหาอาจารย์ ขณะทีเ่ ดนิ ทาง อา้ ยตาดเี หน็ จอบกบ็ อกว่า “จอบ ๆ”
นายตาบอดก็วา่ “เอา ๆ หยิบแขวนคอเราไป”
คร้นั เดินตอ่ ไปอกี พบเต่า ชายตาบอดก็ว่า “เอา ๆ หยิบแขวนเอวเราไป”
ครน้ั เดนิ ตอ่ ไปพบเชอื กหนงั ซ่ึงฟนั่ เปน็ เส้น ชายขาพิการก็พดู ว่า “เชอื ก ๆ” ชายตาบอดกว็ ่า “เอา ๆ
หยิบผกู เอวเราไปกไ็ ด”้
ทั้งสองเดนิ ทางวันแล้ววันเล่าจนไปถึงเมอื งเมอื งหนึง่ เมือ่ เดนิ เขา้ ไปจึงร้วู ่าเป็นมืองยกั ษ์ ท้ังสองถูก
ยกั ษจ์ บั ไดจ้ งึ อ้อนวอนว่าตนเปน็ คนพิการขอใหป้ ล่อยตนไปเถอะ ตนจะไปหาอาจารยร์ ักษาร่างกายให้หาย
พิการ ยักษ์ก็ว่าคนเปน็ อาหารของยกั ษ์ พิการหรือไม่พิการก็กินได้ทั้งนัน้ ยักษ์ตนนี้ชอบเล่นการพนันจึง
กล่าววา่
“ไหน ๆ เจา้ ทัง้ สองกจ็ ะตายแล้ว เราจะใหโ้ อกาสเจ้าบา้ ง มาเลน่ พนันกัน หากเจ้าชนะ 3 ขอ้ เรา
จะยกเมอื งใหแ้ ละยอมเป็นข้ีข้า”
ทัง้ สองอยู่ในภาวะจำยอม จึงเลน่ พนันกับยกั ษ์
ขอ้ ท่ีหน่ึงยักษ์ว่า : “เหาของใครจะใหญ่กวา่ กนั ”
ยกั ษ์ก็จับเหาออกมา สองสหายกเ็ อาเต่าออกมาบอกว่า “น่ีคอื เหา” ยักษ์ยอมแพ้
ขอ้ ทสี่ องยักษ์วา่ : “ฟนั ใครจะใหญ่กว่ากนั ”
สองเกลอก็เอาจอบออกมา แลว้ บอกว่า “เหน็ ไหมน่เี ปน็ เพยี งฟันหกั ๆ ซห่ี น่งึ เท่านัน้ ”
ข้อทส่ี ามยักษจ์ งึ วา่ : “ผมใครจะยาวกว่ากนั ”
สองเกลอจงึ หยิบเชือกหนังทีน่ ำติดตวั มาดว้ ย แลว้ พดู ว่า “นี่เปน็ เสน้ ผมท่ีร่วงเส้นหน่ึง”
ยกั ษเ์ หน็ ดังน้นั จึงยอมแพ้ทัง้ 3 ข้อ ยอมยกเมอื งให้ชายท้ังสอง และยอมเปน็ ทาส ชายทั้งสองก็ได้
ครองเมอื งยักษ์มีขา้ ทาสบรวิ ารยักษ์มากมาย

(ธวัช ปณุ โณทก, 2553, หน้า 225 - 226)

52

เรอื่ งหลวงพอ่ ฉนั ข้ไี ก่
หลวงพ่อฉนั ขไ้ี กเ่ ป็นนิทานมกุ ตลกจังหวัดขอนแก่น เร่ืองเล่าว่ายังมวี ัด ๆ หนง่ึ มีหลวงพ่อรูปหนึ่ง
กับจัว่ น้อย (เณร) อีกองค์หนึ่ง วันหนึ่งชาวบ้านนิมนตห์ ลวงพอ่ ไปฉันเพลท่ีบ้าน หลวงพ่อจึงสั่งจั่วนอ้ ยให้
เฝ้ากฏุ ใิ หด้ ี ดูแลไลไ่ กอ่ ยา่ ให้มาขีบ้ นกุฏอิ กี จั่วน้อยกท็ ำตามคำสง่ั ทุกประการ
พอตกบา่ ยจว่ั น้อยจงึ นำนำ้ ตาลมาเคย่ี วเป็นตังเมฉนั แตด่ ว้ ยความโลภทำมากเกนิ ไปฉันไมห่ มด จึง
นำตังเมมาหยอดเลน่ บนพื้นกุฏติ ามประสาเด็กซกุ ซน ตังเมที่หยอดเปน็ จุด ๆ เหมือนข้ไี ก่
คร้ันหลวงพอ่ กลับมาถงึ วัด เหน็ ตังเมทจี่ ่วั น้อยหยอดเลน่ คดิ ว่าเป็นกอ้ นขไ้ี ก่ จงึ ดดุ า่ จั่วนอ้ ยที่
ไมด่ แู ลไลไ่ ก่ ปลอ่ ยให้มาข้ีบนกุฏมิ ากมาย
หลวงพอ่ : “ขไี้ กเ่ ตม็ พนื้ ทำไมไม่ลา้ งไม่เช็ด เณรจะเก็บไว้กินหรอื ยังไง”
จ่ัวนอ้ ย : “กินกไ็ ด้ ข้ไี ก่น่ียิ่งกินย่ิงแซบ (อร่อย)”
หลวงพ่อ : (โมโหมากหาวา่ จัว่ นอ้ ยพดู เลน่ ลิน้ ) “ถา้ อย่างนั้นเณรกินให้หมด ถา้ ไม่หมดข้าจะตใี ห้

หลังหัก”
จั่วน้อยก็ก้มลงกินอย่างเอรด็ อรอ่ ยกอ้ นแลว้ กอ้ นเลา่ ปากก็แกลง้ พดู พรำ่ วา่ “หวาน ๆ ข้ไี กน่ ห่ี วาน
ทง้ั น้นั ” หลวงพ่อไม่วา่ กระไรปลอ่ ยใหจ้ ั่วน้อยกนิ จนหมด
วันรุ่งขน้ึ หลวงพอ่ เห็นไกข่ นึ้ มาบนกุฏิ จวั่ นอ้ ยจะไลไ่ ป หลวงพอ่ กห็ ้ามไว้ แลว้ พดู ว่า “ปล่อยมัน ๆ
ให้มันข้ีไป”
จั่วน้อยพดู สวนไปทันควันวา่ “ข้อยไมก่ นิ แลว้ เด้อ”
หลวงพ่อ : “เออ มันขเี้ ท่าไรข้าจะกินเอง เณรไมต่ อ้ งช่วยข้ากนิ หรอก”
ครน้ั เมอ่ื เห็นไกข่ ้หี ลายกองแล้ว หลวงพ่อก็เอามากนิ กนิ กองไหน ๆ มนั กเ็ หมน็ ทุกกอง ทำไมเมื่อ
วานน้ีจ่ัวน้อยมันบอกว่าขไี้ ก่หวานอร่อยดี จงึ เรยี กจวั่ นอ้ ยมาแล้วก็ถามวา่
หลวงพ่อ : “น้อยเอ๊ย ทำไมขไี้ ก่นีม่ ันเหม็นล่ะ”
จวั่ น้อย : “มันกเ็ หม็นแหล่ว ขไ้ี ก่นี่”
หลวงพอ่ : “อา้ ว เม่อื วานข้าเห็นเณรกินเอา ๆ ยงั บอกว่าอรอ่ ยดี”
จว่ั น้อย : “เมือ่ วานมันบ่แม่นขีไ้ ก่ มันเปน็ นำ้ ตาลตังเมที่ขอ้ ย (ฉนั ) ทำไวต้ ่างหากละ่ ”
หลวงพ่อได้ยินดงั นนั้ กโ็ กรธ กล่าวหาว่าจ่วั นอ้ ยหลอกใหก้ ินขี้ไก่

(ธวชั ปณุ โณทก, 2553, หนา้ 227 – 228)

เร่ืองหลวงตากับเณร
หลวงตากบั เณรเปน็ นิทานมุกตลกภาคกลาง เร่ืองเลา่ วา่ มีหลวงตารปู หน่งึ บวชมาหลายพรรษาแลว้
หลวงตารูปนเี้ ปน็ คนเหน็ แกก่ ารฉนั มาก เม่ือชาวบา้ นถวายอาหารมักจะเก็บไวฉ้ นั เพียงผู้เดยี ว ไมแ่ บ่งใหใ้ คร
ฉันเลย ทว่ี ดั นัน้ มเี ณรอยู่องค์หนงึ่ อยใู่ นวัยกำลงั กินกำลังนอน เหน็ อะไรกอ็ ยากกนิ กินอะไรก็อร่อยไปหมด
ทกุ สิง่ ทกุ อยา่ ง
วนั หน่งึ หลวงตาทำข้าวตม้ หมแู ตเ่ ช้า ครัน้ จะฉนั ก็เกรงวา่ จะสายไปบณิ ฑบาตไม่ทัน จึงใสห่ มอ้ เกบ็
ไว้ หวังใจวา่ กลับจากบิณฑบาตจะฉัน

53

เณรเฝา้ วัดอยูผ่ ู้เดยี ว ได้ค้นหาอาหารท่จี ะฉันเพราะท้องหิวมาตง้ั แตเ่ มื่อเย็นวานแลว้ ครนั้ พบหม้อ
ขา้ วตม้ หมูของหลวงตา ตัง้ ใจจะแบ่งไปฉนั เพยี งคร่งึ หนง่ึ แตฉ่ ันไป ๆ ก็ยังไม่อม่ิ เลยฉนั จนหมดหมอ้ เณรจึง
เปิดฝาหม้อไวใ้ หแ้ มลงวันมาตอม เมือ่ แมลงวันมจี ำนวนมากกร็ บี ปดิ ฝา

ครั้นหลวงตากลับจากบิณฑบาตก็นำหม้อข้าวต้มมาจะฉัน เมื่อเปิดหม้อแมลงวันบินหึ่งไปหมด
เหน็ วา่ ขา้ วตม้ หมหู มดไปด้วยจงึ ถามเณรว่า “ใครมากนิ ขา้ วตม้ ของกหู มดวะ” เณรตอบทันทวี า่ “แมลงวัน
มนั กนิ หมดแล้ว”

หลวงตาโกรธแมลงวันมากท่ีมาขัดลาภปาก จึงสั่งเณรว่าต่อไปน้ีพบแมลงวันทีไ่ หนตตี ายใหห้ มด
ฉะนนั้ เณรจงึ มีหนา้ ท่ีปราบแมลงวนั อกี หน้าทีห่ นงึ่ เวลาไปไหนต้องถอื ไม้ตีแมลงวันไปด้วย

วันหนงึ่ ขณะท่หี ลวงตาฉันจังหันอยูน่ นั้ มีแมลงวันตัวหน่ึงบินมาเกาะที่จมูกหลวงตา เณรเห็นดงั น้นั
จงึ ฉวยได้ไมต้ ีลงไปทจี่ มกู หลวงตา หลวงตารอ้ งไดเ้ พียงคำเดยี วว่า “โอ้ย”

(ธวชั ปณุ โณทก, 2553, หนา้ 230)

1.5 นิทานทีม่ เี นอื้ หาเกยี่ วกบั เรอื่ งผี

คนไทยนิยมฟังการเลา่ เรอ่ื งเกยี่ วกับผี ๆ สาง ๆ และเรอื่ งตื่นเตน้ เขย่าขวญั เชน่ เดยี วกับคนชาติอื่น
กล่าวได้ว่ามีเล่าอยู่ทุกถิ่น ในขณะที่เล่าทั้งผู้เล่าและผู้ฟังมักเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับผีนี้
สะท้อนใหเ้ หน็ ความเชอ่ื เร่อื งวญิ ญาณและภูตผีตา่ ง ๆ ของคนไทยได้เปน็ อย่างดี ผีในเร่ืองเล่ามีท้ังผีที่ดีให้
ความช่วยเหลือคุ้มครองคนหรือบอกลาภให้ และผีร้ายที่คอยหลอกหลอนรังควานคน ผีในนิทานไทยมี
หลายประเภท เชน่ ผีคนตาย ผบี ้านผีเรือน ผปี ระจำต้นไม้ ผปี า่ และผที ีส่ ิงอย่ใู นร่างคน ฯลฯ ดังตวั อย่าง

เรื่องผโี พง
มเี ร่ืองเลา่ ว่าถา้ ถงึ หน้าฝน ฝนจะตกนัก นำ้ จะนอง (น้ำหลาก) เตม็ ทุง่ เต็มนา เมอ่ื นำ้ นองกม็ กี บมี
เขียดออกมาอยูต่ ามท่ีมีน้ำ เขาว่าถ้าอยากเห็นผโี พง พอถึงเวลากลางคืนตอนดึก ๆ ลองออกมาดูอยู่แถว
นอกชานบ้าน ส่องไปตามทีก่ ลางทุง่ ก็จะเห็นแสงไฟริบหร่ี ๆ แดง ๆ อยกู่ ลางทุง่ น้ัน น่ันแหละท่เี ขาเรยี กว่า
ผีโพง มนั ออกหากินกบกนิ เขยี ด ผโี พงกลวั คน ไมส่ หู้ นา้ คน เมื่อเราสอ่ งดูมนั เราไม่เห็นวา่ มนั เป็นคนหรือวา่
มนั เป็นอะไร จะเห็นแต่แสงไฟ ถ้าดไู ม่ดจี ะเห็นแต่แสงเขยี วเดี๋ยวสวา่ งเดี๋ยวดบั คนเมอ่ื ก่อนเขาว่าผโี พงก็คือ
คนเราธรรมดานีแ่ หละ แตเ่ ขาน้ันมกี รรมทำให้ต้องเป็นผโี พง เวลาทม่ี ันออกไปหากนิ มันก็ไมร่ ูต้ ัว เขาวา่ ผีจะ
เขา้ สงิ มัน มันชอบกนิ ของคาว ๆ เม่อื มนั จะกินกบกินเขียดมันกจ็ ะจับขน้ึ มาแลว้ ก็ดูดกินเลือดแล้วก็ละซาก
มันไว้ คนที่เป็นผีโพงเวลาที่ออกหากินมันจะเอาไม้วางแทนตัวมนั ผีโพงทีเ่ ป็นผู้ชายเมือ่ มันออกบ้าน เมยี
มันก็จะไม่รู้ ถึงตอนเช้าจะมกี บมเี ขียดตายอยู่ตามประตูบ้านเรือน เสื้อก็เป็นดินโคลน เขาว่าถา้ อยากรู้ว่า
ใครเปน็ ผีโพงใหเ้ อาไมค้ านแมม่ ่ายทีผ่ ัวตายมาชที้ ี่ตัวผที ี่เราเห็น แล้วใหห้ กั ไมค้ านทีช่ นี้ น้ั เผาไฟเสีย พอเช้าก็
จะมีคนมายืมไมค้ าน คนที่มายืมกค็ ือผีโพง ถ้าเราให้ไม้คานมัน มันก็จะเอาไม้คานนั้นพุ่งข้ามหลังคาบ้าน
ทำให้เจ้าของบา้ นไมส่ บายได้ ถา้ ไมท่ ำอย่างนี้กใ็ ห้ดหู นา้ ดตู า คนท่ีเป็นผโี พงผิวมันจะเหลอื งซดี จมูกมันจะ
แดงขนาดหนักไม่เหมือนคนธรรมดา ขนตาสั้น ผีโพงน้ีสืบต่อกันไปจนถงึ ลูกถึงหลาน เขาว่าถ้าเหน็ ผีโพง
ห้ามส่งเสยี งดงั ไมอ่ ยา่ งนน้ั มันจะเอากา้ นกล้วยขวา้ งข้ามหลังคาบา้ นเรา เรากจ็ ะไม่สบายปว่ ยไขไ้ ด้

(โครงการลา้ นนาคดศี ึกษา มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่, 2562, ออนไลน์)

54

เรอ่ื งผพี ราย
ผพี รายเปน็ ผีท่ีชอบกินของดบิ ๆ มักจะชอบเข้าไปสิงอยู่ในร่างของคนท่ีปว่ ย กลางวนั ผ้ปู ว่ ยทถ่ี กู
ผีพรายสิงจะลุกไมไ่ ด้ นอนซมตลอดวัน แตพ่ อกลางคนื จะมชี วี ิตชีวาเหมอื นไมไ่ ดเ้ ปน็ อะไร เร่อื งนี้เกิดข้ึนที่
หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้ ๆ บ้านของผู้เล่า มีชายคนหนึ่งชื่อว่าพ่อหนานนวล แกป่วยมาประมาณ 15 วัน
อาการไม่ดขี น้ึ จนลุกไปไหนไม่ได้และมกั ชอบกนิ แตข่ องดิบ ทำให้ญาตพิ น่ี อ้ งลำบากใจ ตอนกลางวันแกจะ
นอนซมตลอดไม่พูดอะไรเลย พอตอนกลางคืนพ่อหนานนวลมักจะทำอาการแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกญาติ
ทม่ี าเฝ้าไข้เสมอ พอตอนดกึ ญาตพิ ากันหลบั แกจะลุกขึ้นมาเดนิ ตามบ้าน บางครัง้ กล็ งไปทางเล้าไก่เพื่อจะ
จับไก่กิน ถ้ามีคนใดคนหนึ่งเรียก แกจะล้มตัวลงนอนทันทีเดินต่อไปก็ไม่ได้ ญาติต้องหามไปนอนที่เดมิ
เป็นอยู่เชน่ นนั้ หลายสบิ วนั ญาติต้องไปหาหมอทางไสยศาสตรม์ าทำพธิ ีไลผ่ ี (เรียกว่าตดั พราย) หมอท่มี าทำ
ต้องเก่งจรงิ พอทำพธิ ตี ัดพรายเสรจ็ ผพี รายกจ็ ะออกจากรา่ งของคนป่วย คนปว่ ยกจ็ ะตายทันที ทั้งนีเ้ พราะ
วญิ ญาณของคนปว่ ยนน้ั ได้ออกจากรา่ งไปนานแลว้ แต่ทอี่ ยไู่ ดน้ นั้ เพราะวิญญาณของผพี รายนั่นเอง

(โครงการลา้ นนาคดศี ึกษา มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่, 2562, ออนไลน์)

เรื่องผีบา้ นผีเรือน
คนไทยโบราณมักเช่อื ว่าบ้านเรอื นมีผีประจำอยู่ โดยบางคนกเ็ ชอื่ วา่ เปน็ ผบี รรพบุรษุ ปกตผิ ีเรอื น
มักเป็นผที ี่ดี คอยคุ้มครองผทู้ อี่ าศัยอยู่ในบา้ นเรอื น และรกั ษาทรัพยส์ มบัตใิ หป้ ลอดภยั นทิ านเรือ่ งหนึง่ เล่า
ว่า ขโมยไดว้ างแผนจะเข้าไปขโมยของในบ้านหลังหนึง่ และไดส้ ง่ พรรคพวกเข้าไปเปน็ คนใช้ในบ้านน้นั กอ่ น
แล้ว เมื่อได้จังหวะเหมาะ คนที่เข้าไปเป็นคนใช้ก็แอบเอายานอนหลับใสป่ นกับอาหารให้เจ้าของบ้านกนิ
แต่ปรากฏว่าถึงแมเ้ จ้าของบ้านจะนอนหลบั กันหมดทกุ คน ขโมยก็ไม่กล้าเข้าไปในบ้านเปน็ เพราะผเี รอื น
ชว่ ยคุม้ ครอง ทำใหข้ โมยซงึ่ อยู่นอกบา้ นมองเหน็ คนเดนิ กนั พลกุ พล่านอยใู่ นบา้ น
(โครงการสารานุกรมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั , 2550, หน้า 38)

นทิ านเรื่องผนี างตะเคียน
ต้นไมท้ ่ีมักมีเรือ่ งเลา่ วา่ มผี ปี ระจำ ได้แก่ ตน้ ไม้ใหญๆ่ ตน้ ตะเคยี น และตน้ กลว้ ยตานี ผีประจำ
ต้นไม้ใหญ่โดยทัว่ ไปมักเปน็ ผีผู้ชาย แต่ผีประจำต้นตะเคียนและต้นกล้วยตานีจะเป็นผู้หญิง ชอบแต่งกาย
สวยงาม และชอบหลอกหลอนผชู้ าย เรอ่ื งเลา่ เก่ียวกับผีนางตะเคียนเรอื่ งหนึ่งเลา่ ว่า ตน้ ตะเคยี นต้นหนง่ึ มผี ี
ประจำอยู่ ใครจะตัดตะเคียนต้นน้ีก็ตัดไม่ได้ ชายตัดไม้คนหนึ่งจึงได้อ้อนวอนขอไม้จากนางตะเคยี น และ
ตกลงกับนางตะเคียนว่าถ้ายอมให้ตัดไม้ไปทำเสาเอกของบ้านที่กรุงเทพฯ เขาจะเป็นคนพานางไปส่ง
กรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่บังเอิญชายคนนี้ถูกฆ่าตายระหว่างทาง ตะเคียนต้นนั้นจึงถูกทิ้งไว้ไม่ได้ใช้
ประโยชน์ ไมม่ ใี ครนำมาเปน็ เสาเอกของบ้าน ทำใหน้ างตะเคยี นร้องไหด้ ว้ ยความเสยี ใจ ตำบลท่ีเสานั้นถูก
ทิ้งอยู่และนางตะเคียนร้องไห้ จึงมีผู้เรียกว่าบ้านเสาไห้ ซึ่งย่อมาจากบา้ นเสาร้องไห้นั่นเอง นิทานเรื่องน้ี
จดั เปน็ นิทานประจำถิน่ ของบ้านเสาไหด้ ้วย
(โครงการสารานกุ รมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว, 2550, หน้า 38)

จะเหน็ วา่ นิทานพ้ืนบ้านที่เล่ากันในประเทศไทยมีหลากหลายเร่ืองและมีทกุ ภูมิภาคของประเทศ
เนื้อหาของนิทานพ้ืนบ้านไทยส่วนใหญ่เปน็ เร่ืองเกี่ยวกบั ความมหศั จรรย์ ศาสนาและคำสอน อธิบายเหตุ

55

และเร่อื งเลา่ ประจำถิ่นตา่ ง ๆ มุกตลกขบขนั และเน้อื หาเกย่ี วกบั เรอื่ งผี ซง่ึ สัมพนั ธ์กับประเภทของนิทาน
พนื้ บ้าน เปน็ ทีน่ า่ สงั เกตวา่ นิทานพ้ืนบา้ นบ้างเร่อื งสามารถจัดอยูใ่ นกลุ่มเน้ือหาไดห้ ลายกลุ่ม ทัง้ น้ีอาจเป็น
เพราะในการแต่งหรือเล่านิทานพื้นบ้านปกติแล้วไม่มีกฎเกณฑต์ ายตัว ผู้เล่าจะสร้างสรรค์เนื้อเรื่องตาม
จินตนาการอย่างไรกไ็ ด้ เน้ือหานทิ านจึงไม่ไดม้ รี ปู แบบเฉพาะเจาะจง อีกท้งั การจัดกลุ่มเนื้อหานิทานก็มีมา
ภายหลังเพื่อใหส้ ะดวกตอ่ การศึกษา

นิทานพื้นบา้ นยังมีเนื้อหาอย่างอื่นอีกมาก สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญา จินตนาการ และกุศโลบาย
ของคนไทยท่ีใช้นทิ านเป็นสอ่ื กลางในการระบายอารมณ์ กำหนดกฎระเบียบของสงั คม และสือ่ สารถงึ กัน

2. แนวคดิ ท่ีปรากฏในนิทานพืน้ บา้ นไทย

นิทานพื้นบ้านไทยนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว นิทานพื้นบ้านไทยยังมีแนวคิดหรือ
สารตั ถะของเรือ่ งที่สะท้อนมโนทศั นต์ ่าง ๆ ของคนไทย อกี ทัง้ ยงั เป็นประโยชนต์ อ่ การนำไปปรับใช้ในการ
ดำเนนิ ชีวิต การวิเคราะห์แนวคดิ ของเร่อื งจะกระทำไดต้ อ่ เมอ่ื ไดอ้ ่านนิทานเร่ืองน้นั จบแล้ว เพราะแนวคิด
ของเรื่องจะปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอเมื่อเรือ่ งดำเนินไป การวิเคราะห์หาแนวคดิ ของเรื่อง แต่ละคนอาจ
เห็นแนวคิดอยา่ งเดยี วกนั หรอื ตา่ งกันกไ็ ด้

แนวคิดต่าง ๆ ท่ีได้จากการอ่านนิทานพื้นบ้านไทยมีหลายอย่าง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างแนวคิดท่ี
สอดคล้องกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา และแนวคิดทส่ี อดคล้องกับการดำเนนิ ชวี ติ ดังนี้

2.1 แนวคดิ ทสี่ อดคลอ้ งกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

นิทานพื้นบา้ นไทยมกั มีเนอื้ หาสะท้อนให้เหน็ แนวคดิ ของคนไทยทีส่ อดคลอ้ งกบั หลกั ความเช่ือทาง
พระพทุ ธศาสนา เช่น เรอื่ งกฎแหง่ กรรม หลักไตรลกั ษณ์ โลกธรรม 8 ศลี 5 เป็นตน้

2.1.1. แนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรม
กฎแห่งกรรม คือ กฎว่าด้วยกรรมและผลแห่งกรรมทีผ่ ู้กระทำจักต้องได้รับ (ราชบัณฑิตยสถาน,
2556, หน้า 4) กฎหรือข้อบังคับของธรรมชาติที่วา่ ด้วยผลของกรรมที่ผู้กระทำจะต้องได้รับ ไม่มีใครหลีก
พน้ ผลของกรรมนั้นได้ ใครทำกรรมดีไวย้ อ่ มได้รับผลดี ทำกรรมชั่วไวย้ อ่ มได้รับผลชัว่ กฎแห่งกรรมเปน็ คำที่
ใชห้ มายถึงทัง้ กรรมดแี ละกรรมชั่ว แตส่ ่วนใหญ่มักใช้หมายถงึ กรรมไม่ดี (พระธรรมกติ ตวิ งศ,์ 2556, หน้า
12 - 13)
เนื้อหาของนิทานพื้นบ้านไทยสะท้อนใหเ้ ห็นหลักกฎแห่งกรรมเสมอ กล่าวคือ ตัวละครฝ่ายร้าย
ย่อมได้รับผลการกระทำของตน บั้นปลายชีวิตของตัวละครมักได้รับความทุกข์ ความลำบาก หรือถูก
ลงโทษจนเสยี ชีวิต สว่ นตัวละครฝ่ายดีก็จะมีชีวิตทด่ี ี เจริญรงุ่ เรอื ง และมคี วามสุข เชน่ เรอ่ื งปลาบู่ทองซึ่ง
เปน็ เรื่องของความอจิ ฉาริษยาอาฆาตระหว่างเมยี หลวงเมียน้อย เมยี หลวงตายไปเกดิ เปน็ ปลาบ่ทู อง เป็น
ตน้ มะเขือ และต่อมาเกิดเปน็ ต้นโพธ์เิ งนิ โพธิ์ทอง นางเอือ้ ยผเู้ ปน็ นางเอกถกู แม่เล้ยี งกล่นั แกลง้ อย่างไม่เป็น
ธรรมจนตกทุกข์ได้ยาก แต่เมื่อกษัตรยิ ์ประพาสปา่ นางเอื้อยเป็นผู้ถอนต้นโพธ์ิเงินโพธิ์ทองได้ จงึ ไดเ้ ปน็
มเหสขี องกษัตริย์ แต่ตอ่ มาก็หลงกลแม่เลีย้ งจนตายไปและเกิดเป็นนกแขกเต้า จนฤๅษตี ้องมาช่วยชุบชีวิต
คนื มา และตอนทา้ ยเรอ่ื งสะท้อนใหเ้ หน็ กฎแหง่ กรรมว่า “ทำดไี ดด้ ี ทำชัว่ ไดช้ ่วั ”

56

เรอื่ งนางอึ่งทอง กท็ ำให้เห็นผลกรรมของตาท่เี คยนำนางองึ่ ทองไปฝังดนิ เพราะอบั อายที่มีลูกเป็น
อึ่งอ่าง จึงทำให้ตาเข้าใจผิดคิดว่าท้าวสันนุราชนำทองขนาดเท่าลูกฟักมาใหเ้ พราะตอ้ งการใส่ร้ายว่าตน
ขโมยของหลวง ตาจึงตัดสินใจชวนยายกระโดดบนั ไดฆา่ ตวั ตาย ตาเคยทำกรรมชวั่ ทำใหต้ กไปถกู หินคอหัก
ตาย สว่ นยายรักและช่วยเหลือนางอึ่งทอง กรรมดีจงึ สง่ ผลให้ยายรอดชีวิต ได้ทรพั ย์สนิ เงินทอง มีข้าทาส
บริวารมากมาย

เรอ่ื งนางอทุ ัยหรอื อุทัยเทวี ตอนทีน่ างฉันนาอิจฉารษิ ยานางอุทยั จึงให้คนไปลวงนางอุทัยมาฆา่ แต่
นางอุทยั ไม่ตายและได้กลับมาแก้แค้นนางฉันนาจนตาย แม้การแกแ้ ค้นจะเปน็ การกระทำที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง
แต่ในโลกของนทิ านพน้ื บ้านแลว้ การทีต่ ัวละครเอกแก้แคน้ ตัวละครฝ่ายร้ายก็แสดงให้เหน็ ถงึ หลักความเชื่อ
เร่ืองกฎแหง่ กรรม ทำให้ตัวละครฝ่ายรา้ ยไดร้ ับผลกรรมท่ตี นเองก่อไว้จนถึงแกค่ วามตาย

เรือ่ งพรานคนื ศีลซ่งึ เป็นนทิ านพ้นื บา้ นทชี่ าวไทยลื้อในอำเภอเชียงคำ จงั หวดั พะเยา นยิ มเล่าสู่กัน
ฟัง เปน็ การอธบิ ายกฎแห่งกรรมว่าเปน็ วิบากหรอื ผลมาจากบาปทส่ี รา้ งไว้เมอื่ ชาตปิ างก่อน โดยเนอ้ื เรอื่ งได้
กล่าวถงึ พรานคนหนงึ่ มอี าชีพลา่ สัตว์มา 7 ช่วั โคตรกไ็ ม่ร่ำรวยสักที จึงเพยี รหาคนฉลาดเพ่ือสอบถาม ครั้น
ไดพ้ บฤๅษกี เ็ ข้าไปถาม ฤๅษกี ลา่ วว่าเพราะพรานมอี าชพี ฆา่ สัตว์ตดั ชีวติ ไม่มศี ลี ธรรม พรานจึงถามว่าศีลคือ
อะไร สามารถชว่ ยใหค้ นร่ำรวยได้จรงิ หรือ ฤๅษีตอบว่าศลี จะใหค้ วามสงบสขุ ต่อผปู้ ระพฤติดี พรานจงึ ขอศีล
จากฤๅษี เมือ่ พรานกลับบา้ นเมียพรานเห็นไมไ่ ด้เนื้อสัตว์กลับมาก็ดา่ พรานจึงเลา่ ว่าตนถือศีล ฆ่าสัตว์ตดั
ชวี ิตไม่ได้ เมียกใ็ หพ้ รานเอาศีลไปคืนฤๅษี พรานทนเมียไมไ่ หวจงึ นำศีลไปคนื แตฤ่ ๅษีไม่รับคืน ให้พรานไปคนื
กบั พระเจ้า (น่าจะหมายถงึ พระพุทธเจา้ ) ในปา่ พรานจึงตามหาพระเจา้ ระหว่างทางพบงอู ยทู่ ่จี อมปลวก งู
ฝากถามพระเจ้าว่าเหตใุ ดตนจงึ ตอ้ งมาเฝา้ จอมปลวก พรานเดินไปถึงเมืองหนงึ่ เจา้ เมอื งฝากถามพระเจา้ วา่
ธดิ าของตนไดร้ บั วิบากอะไรจึงมีน้ำลายไหลขณะที่พดู ทุกครง้ั พรานไปถงึ ป่าหมิ พานต์พบชายสองคนหาม
สะพานให้คนไต่ ฝากไปถามพระเจา้ ว่าวบิ ากกรรมอะไรทำให้ตนตอ้ งมาเฝา้ หามสะพาน พรานไปพบกวาง
กวางกฝ็ ากถามวา่ วิบากกรรมอะไรทำให้ตนต้องเฝา้ ต้นโพธ์ิ ช้างกฝ็ ากถามว่าเพราะอะไรตนถงึ ต้องชนกนั อยู่
เช่นนี้ พบชีเปลือยก็ฝากถามว่าวิบากอะไรตนถึงต้องเป็นชีเปลือย จนพรานได้มาถึงเมือง ๆ หนึ่ง ผู้คน
แตง่ ตวั สวยงามถอื ดอกไม้เดินตามกันเป็นทวิ แถว พรานถามชาวบ้านวา่ จะไปไหน ชาวบา้ นตอบวา่ ไปรบั ศีล
พรานตกใจเพราะตนเดินทางมาเพ่ือคนื ศีล จึงเดนิ ตามไปจนพบพระเจา้ และถามว่าเหตใุ ดตนเป็นพรานล่า
สัตว์ได้ 7 ช่วั โคตรแลว้ จงึ ยากจน รวมทงั้ นำคำถามท่ีมีผู้ฝากมาถามพระเจา้ ดว้ ย พระเจา้ จึงเทศนาถงึ วิบาก
ทีบ่ คุ คลทัง้ หลายตา่ งได้รับวา่ เหตทุ ีง่ ตู อ้ งเฝ้าจอมปลวกเปน็ เพราะชาติกอ่ นเกดิ เป็นคนตระหนี่ ได้ทรัพย์สิน
ก็นำเกบ็ ฝงั ดิน ไม่กิน ไม่ทำทาน ไมแ่ บ่งปนั ใคร ครนั้ ตายจึงเกดิ เปน็ งูเฝ้าขมุ ทรพั ย์ท่จี อมปลวกนั้น ธิดาเจ้า
เมืองพูดนำ้ ลายไหลเปน็ เพราะเม่ือชาตกิ อ่ นเป็นหญงิ ปากจัด ดา่ แม่ผวั ดา่ พ่อผวั และถ่มน้ำลายใส่หน้าผัว
เกดิ ชาติใหมจ่ ึงเป็นดง่ั น้นั คนหามสะพานเปน็ เพราะชาตกิ อ่ นเขาทง้ั สองทำลายสะพาน ถนนหนทาง และ
ของสาธารณะ ช้างชนกันเปน็ เพราะชาติก่อนเปน็ เจ้าเมืองแต่ทง้ั สองชอบชนไก่ กวางตอ้ งเฝ้าตน้ โพธ์ิเพราะ
ชาติก่อนปลูกต้นโพธิ์แล้วไม่ได้บวช ครั้นตายไปเกิดเป็นกวางจึงมีความอาลัยต้นโพธิ์ (เป รียบเสมือน
หลกั ธรรม) ส่วนชีเปลอื ยท่ีเป็นเชน่ น้นั เพราะชาติก่อนเกิดเป็นคนมีฐานะแต่ไม่เคยให้ทานเสื้อผ้า ข้าวของ
แก่ยาจกขอทานเลย เม่อื เทศนาจบนายพรานก็รับศีลและนำความไปบอกแกฝ่ งู วิบาก ทำใหต้ า่ งกพ็ ้นวิบาก
และรักษาศีลสืบมา (ธวชั ปณุ โณทก, 2553, หน้า 185 - 188)

57

เรือ่ งนายดนั ก็ได้บอกใหท้ ราบว่าเหตทุ น่ี ายดนั เกิดมาตาบอดเปน็ เพราะชาตทิ ่แี ล้วแสรง้ ทำเป็นมอง
ไมเ่ หน็ พระพทุ ธเจา้ มาบิณฑบาต บางสำนวนกว็ า่ ชาตกิ ่อนนายดันมหี น้าท่บี อกชาวบ้านว่าพระมาบิณฑบาต
แลว้ แต่ความนึกสนุก นายดนั จึงแกล้งมองไม่เห็นพระ ผลแหง่ กรรมน้นั จึงสง่ ผลให้นายดันเกิดมาตาบอด

เรื่องนางสิบสองก็ได้กล่าวถึงเหตุที่นางทัง้ สิบสองคนถูกนางยักษ์ควกั ลูกตาวา่ เป็นเพราะกรรมที่
ตอนเด็กนางทง้ั สิบสองเคยควักตาปลาหรอื นำปลามารอ้ ยตาเลน่ แต่นางเภานอ้ งคนสดุ ทอ้ งควกั ตาหรือร้อย
ตาปลาเพยี งขา้ งเดียว นางเภาจึงถกู นางยกั ษ์ควกั ดวงตาขา้ งเดียว

เร่ืองจนั ทคาด กลา่ วถงึ สุทัสนจกั รปรารถนาไดน้ างเทวธสิ ังคาเปน็ มเหสที งั้ ท่ีมนี างพรหมจารีเป็น
มเหสอี ย่แู ล้ว เมือ่ นางพรหมจารไี ม่ยนิ ยอมสทุ สั นจักรก็บันดาลโทสะจับนางพรหมจารีลอยแพ ต่อมากิเลส
และกรรมชัว่ ของสุทสั นจักรดงั กล่าวส่งผลให้สุทสั นจักรรบแพ้กองทัพของนางพรหมจารีและกลั้นใจตาย
ส่วนการที่นางพรหมจารีต้องถูกลอยแพนัน้ ในนทิ านพื้นบ้านกล่าวว่าเป็นเพราะผลกรรมในอดีตที่นางเคย
โกรธและแกล้งนำแมวใส่แพลอยไวใ้ นสระตั้งแต่เช้าจนค่ำก่อนทจ่ี ะนำตัวข้ึนมาจากสระ

เร่ืองสุบนิ กล่าวถึงชีวิตครอบครัวนายพราน ภรรยาชือ่ นางสภุ าคี ลูกชายชื่อสบุ ินรักการทำบุญให้
ทาน เมอื่ บิดาเสยี ชวี ติ ต้องตกนรกเปน็ เปรต นางสภุ าคไี มท่ ำการงานก็เลยยากจนลง ตอ่ มาสุบนิ ขอบวชเณร
แตม่ ารดาไม่ยอมเพราะตอ้ งการใหล้ ูกชายเป็นพรานและแต่งงาน สบุ ินไมเ่ ชื่อทำให้มารดาโกรธตดั แม่ตัดลูก
คนื หนึ่งนางสภุ าคนี อนพักในป่า ยมทูตหาคนบาปไปลงโทษในนรกจึงได้นำวิญญาณนางสุภาคีไปนรกทิ้งลง
ในหม้อไฟกัลป์ แต่อานิสงส์ที่สุบินบวช นางสุภาคีเห็นชายผ้าเหลือง เกิดดอกบวั ทองบานรับร่างกายนาง
ฝนสวรรค์ตกดบั ถา่ นเพลงิ หายไป ยมบาลจงึ ส่งตวั นางไปยังโลกมนษุ ย์ดังเดมิ เม่อื นางสภุ าคฟี ื้นสำนึกได้จึง
นบั ถือพุทธศาสนา ยนิ ดีบวชลูก ส่วนนายพรานเป็นเปรตมาขอสว่ นบุญจากสุบิน พระเถระผใู้ หญ่แนะนำให้
สบุ นิ บวชจะได้อานิสงสม์ าก บดิ าได้อานสิ งส์กลายเปน็ เทพบุตรอยู่บนสวรรค์

เรอ่ื งพระลอแสดงให้เหน็ ว่ากรรมกำเนดิ จากชีวติ และชวี ติ เปน็ ผ้กู ำหนดกรรม กลา่ วคอื มนุษย์เป็น
ผ้บู งการชวี ติ ของตนด้วยอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อปุ าทาน มนุษยผ์ ้ไู ม่สามารถชนะตวั เองได้ก็จะตกเป็น
เหย่ือแหง่ ความปรารถนาด้นิ รนของตัวเองอย่างนา่ สลดสงั เวช (ดวงมน จติ รจ์ ำนงค์, 2521, หนา้ 104)

นอกจากนยี้ ังมีนทิ านพืน้ บ้านไทยอกี หลายเรอ่ื งทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ ชวี ิตเปน็ ไปตามกฎแห่งกรรมเสมอ
แนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมน้ียังเป็นเหมือนคำสอนผู้อ่านผู้ฟังให้เกรงกลัวต่อการกระทำบาปหรือความชว่ั
กระทำแตค่ วามดี เพ่อื ชวี ติ จะไดป้ ระสบแต่ความสุขด้วย

2.1.2 แนวคดิ เรื่องไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะที่เป็นสามัญทั่วไป 3 ประการ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์
ความมิใช่ตัวตนที่แท้จริง (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 521) ส่วนไตรลักษณ์ตามความหมายใน
พจนานุกรมพุทธศาสน์ หมายถึง ลักษณะสาม อาการที่เป็นเครื่องกำหนดหมายให้รู้ถึงความจริงของ
สภาวธรรมทั้งหลายท่เี ป็นอย่างน้ัน ๆ 3 ประการ ไดแ้ ก่ อนิจจตา คอื ความเป็นของไมเ่ ท่ียง ไมค่ งที่ สภาพ
ทเี่ กดิ มขี ้ึนแล้วกด็ ับล่วงไป ทุกขตา คอื ความเป็นทุกขห์ รือความเปน็ ของคงทนอย่มู ไิ ด้ อนัตตตา คือ ความ
เป็นของมใิ ช่ตัวตน (พระพรหมคณุ าภรณ์, 2559, หนา้ 120) ลกั ษณะหรือขอ้ กำหนดหรอื สิ่งท่ีมีประจำอยู่
ในตัวของสงั ขารทั้งปวง 3 อย่างนี้เรียกวา่ สามัญลักษณะ คือ ลักษณะที่มเี สมอกันแก่สังขารทั้งปวง และ
เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่าธรรมนิยาม คือ กฎธรรมดาหรือข้อกำหนดทีแ่ น่นอนของสังขารทั้งปวง (พระธรรม
กติ ติวงศ์, 2556, หนา้ 300)

58

อนิจจตาหรืออนจิ จัง คือ ความไมเ่ ท่ียง ไมแ่ น่นอน ไมค่ งที่ ใช้แสดงลักษณะของสงั ขารหรือสิ่งที่มี
รูปร่างทั้งปวงว่าเป็นเช่นนั้น ภาวะที่สังขารทั้งปวงหาความแน่นอนตายตัวไม่ได้ ไม่อยู่คงที่ แปรปรวน
เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช่น เป็นเด็กแล้วก็เปลีย่ นเป็นหนุม่ สาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนชรา เป็นคนตาย
ตามลำดับ โดยทั่วไปนยิ มใชแ้ สดงถึงความไม่แนน่ อนของสรรพส่งิ ท้งั ปวงมใิ ช่เฉพาะเรื่องของสงั ขารเท่านั้น
(พระธรรมกิตติวงศ์, 2556, หน้า 1274) สัมพันธ์กับคำวา่ อนิจจลกั ษณะ ได้แก่ 1) เป็นไปโดยการเกิดข้ึน
และสลายไป เกิดดับ มี แล้วก็ไมม่ ี 2) เป็นของแปรปรวน เปลี่ยนแปลงแปรสภาพไปเร่ือย ๆ 3) เป็นของ
ชั่วคราว อย่ไู ดช้ ว่ั ขณะ 4) แย้งตอ่ ความเทีย่ ง คือ โดยสภาวะของมนั เองก็ปฏิเสธความเท่ียงอยู่ในตัว (พระ
พรหมคณุ าภรณ์, 2559, หนา้ 494)

ทุกขตา ทกุ ขัง หรอื ทกุ ข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ภาวะทท่ี นไดย้ าก ภาวะทีด่ ำรงทนอยู่
ในสภาพเดิมไม่ได้ (พระธรรมกิตติวงศ์, 2556, หน้า 355) เพราะถูกบีบคั้นดว้ ยความเกิดขึ้นและความดับ
สลาย เนื่องจากต้องเปน็ ไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง สัมพันธ์กับคำว่าทุกขลักษณะ คือ เครื่อง
กำหนดวา่ เปน็ ทกุ ข์ ลกั ษณะท่ีจดั ว่าเป็นทกุ ข์ ลักษณะทแี่ สดงให้เหน็ ว่าเปน็ ทุกข์ คือ 1) ถกู การเกิดข้ึนและ
การดับสลายบีบค้ันอยู่ตลอดเวลา 2) ทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ 3) เป็นที่ต้ังแห่งความทกุ ข์
4) แย้งตอ่ สุขหรือเปน็ สภาวะทีป่ ฏเิ สธความสขุ (พระพรหมคณุ าภรณ,์ 2559, หนา้ 136)

อนตั ตตาหรอื อนัตตา คือ ไมใ่ ช่อัตตา ไมใ่ ชต่ ัวตน เป็นลักษณะสามญั กล่าวคือ เกดิ มีเสมอกันแก่
สงั ขารทุกอยา่ ง (พระธรรมกติ ตวิ งศ์, 2556, หนา้ 1265) สมั พันธ์กบั คำวา่ อนตั ตลักษณะ คือ ลกั ษณะที่ให้
เห็นว่าเป็นของมใิ ชต่ ัวตน เช่น 1) เปน็ ของสูญ หาสภาวะทีแ่ ท้จริงไมไ่ ด้ ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล
ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่าง ๆ 2) เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง ไม่มีใครเป็น
เจ้าของแท้จรงิ สงวนรกั ษามิใหเ้ ปลยี่ นแปลงไมไ่ ด้ 3) ไมอ่ ย่ใู นอำนาจ ไมเ่ ป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้น
ตอ่ การบังคบั บัญชาของใคร ๆ 4) เปน็ สภาวธรรมทด่ี ำรงอยู่หรอื เปน็ ไปตามธรรมดาของมัน 5) โดยสภาวะ
ของมนั เองก็แยง้ หรือคา้ นต่อความเปน็ อตั ตา (พระพรหมคณุ าภรณ์, 2559, หนา้ 491 – 492)

เนื้อหาของนิทานพื้นบ้านไทยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์น้ี เช่น
นิทานเร่อื งแม่นากหรือบางสำนวนเรยี กวา่ แมน่ ากพระโขนงที่สะท้อนใหเ้ หน็ วา่ ชวี ติ มนุษย์ไม่เท่ยี งแท้ มเี กิด
แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครเลี่ยงพ้น นอกจากนี้ในนิทานพื้นบ้านที่มีเนื้อหาเน้นการผจญภัยได้นางก็มักเล่า
เรื่องราวของตัวละครต้ังแต่เกิดจนถึงเสียชีวติ เมื่อแรกเกดิ ก็เปน็ เด็กทารก ต่อมาก็เตบิ โตเป็นวัยหน่มุ สาว
ร่างกายงดงาม แข็งแรง ต่อมาก็ชรา เสียชีวิต มลี ูกหลานสืบทอดและมีชีวิตวนเวยี นเช่นนี้สบื ไป ระหว่างท่ีมี
ชวี ติ กจ็ ะเหน็ ไดว้ ่าตัวละครตอ้ งเผชญิ กบั ความพลดั พราก ถกู ใส่รา้ ย เขา้ ใจผดิ ชวี ติ ประสบแตค่ วามทุกขเ์ ป็น
สว่ นใหญ่กวา่ ที่จะได้พบความสุขในตอนท้ายเร่ือง เป็นตน้

แนวคิดของนิทานพ้ืนบ้านจงึ สอดคลอ้ งกบั หลกั ไตรลักษณ์ ทำให้เหน็ ความไม่แน่นอนของชีวิตที่มี
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างท่ีเกิดข้ึนล้วนเป็นทกุ ข์ ไม่มีสิง่ ใดที่จะอยูค่ งกะพันตลอดไป ทุกสิ่งไมว่ ่าจะเป็น
สง่ิ มชี วี ติ หรอื ไมม่ ชี ีวติ ตา่ งย่อมเสอ่ื มสลายไปตามกาลเวลา ไมม่ ตี ัวตนท่แี ทจ้ รงิ จึงไม่ควรยดึ มนั่ ถือม่ัน

2.1.3 แนวคดิ เรอ่ื งโลกธรรม 8
โลกธรรม แปลว่า ธรรมที่มีประจำโลก ธรรมดาของโลก ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกก็
เปน็ ไปตามมนั โลกธรรมตามหลกั พทุ ธศาสนามี 8 ประการ เรียกวา่ โลกธรรม 8 คอื มีลาภ เส่อื มลาภ มียศ
เสอื่ มยศ สรรเสรญิ นนิ ทา สุข และทุกข์ (พระพรหมคุณาภรณ์, 2559 หนา้ 353)

59

โลกธรรม 8 แบ่งเป็น 2 ประเภท 1) อิฏฐารมณ์ คือ สิ่งที่คนทั่วไปต้องการ ได้แก่ มีลาภ มียศ
สรรเสริญ สุข 2) อนฏิ ฐารมณ์ คอื สิง่ ทีค่ นท่ัวไปไม่ตอ้ งการ ไดแ้ ก่ เสอ่ื มลาภ เสือ่ มยศ นนิ ทา และทกุ ข์

โลกธรรมหรอื เรื่องของโลกนี้เป็นสิง่ ที่มีอยู่ประจำในโลกไม่มีใครหลีกพ้นไปได้ ไม่ว่าจะต้องการ
หรอื ไม่ต้องการกต็ าม (พระธรรมกิตติวงศ์, 2556, หน้า 895)

เนื้อหาของนิทานพ้ืนบ้านไทยหลายเรื่องสอดคล้องกับแนวคดิ เรื่องโลกธรรม 8 ดังจะเห็นไดจ้ าก
ชีวติ ของตัวละคร จากทม่ี ีความสขุ มสี ถานภาพสูง มีข้าทาสบรวิ าร ผู้คนเคารพสรรเสริญมากมาย วันหน่ึง
กลับถูกใสร่ ้ายหรอื เขา้ ใจผดิ หรอื ประสบปัญหาบางอย่างทำใหก้ ลายเปน็ คนจน ต้องซดั เซพเนจร ถูกลงโทษ
ถูกใส่รา้ ย ทำให้ประสบความทุกข์ยาก และสุดทา้ ยเมอื่ ความจริงหรอื ความดีเปิดเผยกไ็ ด้กลับมามีความสุข
อีกครงั้ ชวี ิตของตัวละครท่ีเดีย๋ วดีเด๋ียวรา้ ย หรอื เดี๋ยวทุกข์เดย๋ี วสขุ เชน่ นี้สอดคล้องกับเรื่องโลกธรรม 8 อัน
เป็นหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา เชน่ ในเร่อื งสงั ขท์ อง การทพี่ ระสังขแ์ ละพระมารดาซ่งึ เปน็ โอรส
และมเหสีของพระราชาเคยมีชีวิตที่สุขสบาย มีสถานภาพสูง แต่ต่อมาถูกใส่ร้าย ทำให้ถูกไล่ออกจาก
บา้ นเมอื ง ต้องไปอาศัยอยู่กบั ตายายยากจน

เรื่องพระวรวงศ์ และเรอื่ งศรสี ทุ ัศน์สังหัสไชย ตัวละครเอกทั้งสองเร่ืองน้ีถกู ใส่ร้าย ทำให้พระบิดา
โกรธ สั่งประหารโอรส และลงโทษพระมารดาให้ไปทำงานในครัว ถูกคนนนิ ทาวา่ รา้ ย ส่วนโอรสรอดชีวิต
จากการถูกประหาร ซัดเซพเนจรได้รบั ความยากลำบาก พลัดพรากจากมารดา ต่อมามรี าชรถมาเกยทำให้
ตัวละครเอกผู้เป็นพี่ชายได้เป็นพระราชา ส่วนตัวละครเอกผู้เป็นน้องชายต้องเดินทางฝา่ ฟันอุปสรรคไป
จนกระทง่ั ได้รับความชว่ ยเหลือจากผู้มอี ำนาจวเิ ศษ ไดม้ เหสี ตกระกำลำบาก พลัดพราก เผชิญความทุกข์
ยากจนได้พบพ่ีชาย และพากันกลับไปหามารดา ความจริงเปิดเผย ตัวละครฝา่ ยร้ายถูกลงโทษ มีชีวิตท่มี ี
ความสุขอกี คร้งั

เรื่องเบญจมาศทอง กล่าวถึงชะตาชีวิตของนางศรีดอกไม้พระธิดาของเจ้าเมือง นางไม่ต้องการ
อภิเษกสมรส นางจึงหนีออกจากเมืองมาอาศัยอยู่กับชาวนา ต่อมาท้าวทศวงศ์ได้พบและหลงรักนาง
ชาวนาจึงขอให้นางอภิเษกสมรสกับพระราชา แต่นางก็มีลาภยศได้ไม่นานนางก็ถกู มเหสีแรกของท้าวทศ
วงศ์ใส่ร้าย ทำให้นางตอ้ งกลบั มาอยูก่ ับชาวนา จนกระท่งั ความจรงิ เปดิ เผยนางจงึ ไดค้ นื ส่รู าชบัลลงั กอ์ ีกคร้งั

เรื่องราวชวี ิตของตัวละครที่เคยมีลาภ มียศ ผู้คนสรรเสริญ และมีความสุข กลับกลายเป็นเสื่อม
ลาภ เสื่อมยศ ผู้คนที่เข้าใจผิดต่างก็นินทาว่าร้าย ประสบความทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหล่าน้ีมีปรากฏใน
นทิ านพ้นื บา้ นหลายเร่ือง โดยเฉพาะนทิ านที่มเี นื้อหาเกย่ี วกับความมหัศจรรย์ ผจญภยั ได้นาง หรือจักร ๆ
วงศ์ ๆ ซึ่งมกั นำเสนอเรือ่ งราวชีวติ ตัวละครที่ดำเนนิ คล้ายมนษุ ยใ์ นสงั คมจริง ตอ้ งพบเจอความขัดแย้งและ
การคลค่ี ลายอุปสรรค การมีทกุ ข์ มสี ขุ เชน่ น้ีจงึ สอดคลอ้ งกับหลกั คำสอนเรอื่ งโลกธรรม 8

2.1.4 แนวคดิ เรอื่ งศลี 5
ศีล 5 เป็นหลักธรรมพืน้ ฐานสำหรับทุกคน เรียกว่าเป็นศีลระดับต้น คือ นิจศีล หรือศีลของคน
ทั่วไป (พระธรรมกิตตวิ งศ,์ 2556, หน้า1014) คือ 1. เว้นจากทำลายชวี ติ 2. เวน้ จากถอื เอาของที่เขามิได้
ให้ 3. เว้นจากประพฤติผิดในกาม 4. เว้นจากพูดเท็จ 5. เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแหง่
ความประมาท (พระพรหมคุณาภรณ์, 2559, หนา้ 395)

60

เน้อื หานทิ านพน้ื บา้ นไทยมักสอดแทรกแนวคดิ เรือ่ งศีล 5 อยใู่ นเนื้อเร่อื งดว้ ยเสมอ โดยตวั ละครที่
ละเมดิ ไม่ปฏบิ ตั ิตามหลกั ศีล 5 มักจะได้รับความเดอื ดรอ้ น ความเสียหาย ความทกุ ข์ ไม่เป็นท่ยี อมรับของ
สังคม และอาจไดร้ ับผลของการละเมิดศีล 5 จนถงึ แก่ความตาย สว่ นตัวละครที่ปฏิบตั ิตามศลี 5 ก็จะพบ
แตค่ วามสุขความเจริญ ดงั จะเหน็ ได้จากตัวอยา่ งต่อไปนี้

โทษของการผิดศีลข้อท่ี 1 คือ การทำลายชีวติ ดงั จะเหน็ ได้จากนิทานพนื้ บ้านเรื่องสุบิน พ่อของ
สุบินเปน็ นายพรานฆา่ สัตว์ ด้วยกรรมท่ีฆา่ สัตว์น้ีจึงทำให้ตกนรก เร่ืองนางอง่ึ ทอง นางฉันนาไดส้ ง่ บรวิ ารไป
ลวงนางศรีมณฑาหรือนางอึ่งทองมาทำร้ายและหวังฆ่านาง สุดท้ายด้วยผลกรรมชั่วทำให้นางฉันนาจบั
สลากไดเ้ ป็นกาลกณิ ีจงึ ถกู ชาวเรอื โยนท้งิ มหาสมทุ รตาย

โทษของการผิดศีลข้อ 2 คือการถือเอาของที่เขามิได้ให้ ดังจะเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านเรื่อง
ดาวเรือง จากตอนที่ดาวเรืองถูกท้าวอกุศลหลอกนำเต่าทองมาใส่ในสำเภาเพื่อหวังจะยึดทรัพย์สินของ
ดาวเรืองมาเป็นของตน พระอินทร์จงึ ให้นางโสฬสมาชว่ ยเหลอื โดยนางได้นำสำเภาบรรทุกแก้วแหวนเงิน
ทองและสินคา้ มาขาย ทา้ วอกศุ ลให้เสนาแอบนำเตา่ ทองมาซ่อนในเรอื หวังใสร่ ้ายว่านางขโมยเต่าทองเพื่อ
จะได้ยดึ สำเภาของนาง นางโสฬสรแู้ ผนการจงึ นำเต่าทองท้ิงนำ้ แล้วทา้ พนนั กับท้าวอกุศลว่าถา้ พบเต่าทอง
ในสำเภา นางก็ใหท้ ้าวอกุศลยึดทรพั ย์สินทั้งหมด แต่ถ้าไมพ่ บท้าวอกศุ ลก็จะยกบ้านเมืองให้นาง สุดท้าย
ทา้ วอกุศลแพ้ตอ้ งเสียบา้ นเมอื ง ทัง้ น้กี เ็ ป็นผลกรรมมาจากความโลภท่อี ยากได้ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ

โทษของการผิดศีลข้อที่ 3 คือ การประพฤติผิดในกาม ดังจะเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านหลาย ๆ
เรือ่ ง เชน่ เรอื่ งปาจิต - อรพมิ พ์ นายพรานเหน็ นางอรพิมพง์ ดงามกอ็ ยากไดจ้ ึงใชห้ น้าไม้ยิงท้าวปาจิตตาย
แลว้ อ้มุ นางอรพิมพ์ขค่ี วายหนไี ป ต่อมาผลกรรมนกี้ ส็ ง่ ผลใหน้ ายพรานถกู นางอรพิมพ์ฆา่ ส่วนเณรเห็นนาง
อรพิมพง์ ดงามกอ็ ยากไดจ้ ึงลวงนางอรพิมพ์ให้พลดั พรากจากท้าวปาจติ สุดทา้ ยเณรก็ถูกลวงให้ตายอยู่บน
ต้นมะเดื่อ เรื่องดาวเรือง ก็ทำให้เห็นโทษของการประพฤติผิดในกาม ดังจะเห็นได้จากมูลโคตรน้องชาย
เศรษฐอี ยากไดน้ างสวุ รรณพิมพาพส่ี ะใภเ้ ปน็ ภรรยา นางสุวรรณพิมพาไมย่ ินยอมจงึ ถูกทำรา้ ย ริบทรัพยส์ ิน
และจองจำไว้ ตอ่ มานางสุวรรณพมิ พาคลอดโอรสช่ือว่าดาวเรือง เทวดาดลใจใหม้ ลู โคตรคลายความโกรธ
ขับไลน่ างสวุ รรณพมิ พาและโอรสไปอย่กู ระท่อม สดุ ทา้ ยเมอ่ื ดาวเรืองไดเ้ ปน็ ใหญ่ได้กลบั มาลงโทษมลู โคตร
นอกจากนเ้ี มื่อดาวเรืองแต่งงานกบั นางสาครธดิ าเศรษฐกี าลหกแล้ว เศรษฐีโกณฑญั อยากได้นางสาครเป็น
ภรรยาจึงใช้นางเฒ่าพัทธกาลีมายุแหย่เศรษฐีกาลหก เศรษฐีกาลหกมีความโลภจึงอุบายนำดาวเรืองไป
ปลอ่ ยเกาะ ทำให้ดาวเรืองกับนางสาครพลัดพรากกัน นางสาครบวชชเี พราะไม่ตอ้ งการเป็นภรรยาเศรษฐี
โกณฑัญ สุดทา้ ยเศรษฐโี กณฑัญได้นางเฒ่าพทั ธกาลีเปน็ ภรรยา

โทษของการผดิ ศีลขอ้ ท่ี 4 คือ การพดู เทจ็ ดังจะเห็นไดจ้ ากนทิ านพน้ื บ้านเรอ่ื งสังข์ทอง มเหสฝี ่าย
รา้ ยตดิ สนิ บนโหรใหท้ ำนายเทจ็ วา่ พระโอรสเปน็ กาลกิณี ทำให้นางจนั ทาเทวีและพระสังข์ถูกขบั ไลอ่ อกจาก
เมอื ง สุดท้ายเม่อื ความจรงิ เปิดเผยมเหสฝี ่ายร้ายกถ็ กู ลงโทษ เร่อื งพระวรวงศ์และศรสี ทุ ัศนส์ ังหัสไชย นาง
ฉันนาและนางกาไวยใส่ร้ายพระโอรสของมเหสีเอกว่าข่มเหงลวนลามตน ทำให้พระราชาเข้าใจผิดสั่ง
ประหารโอรส ทำใหโ้ อรสต้องระหกระเหินเผชิญชะตากรรมต่าง ๆ สุดทา้ ยเมอื่ ความจริงเปดิ เผยนางฉันนา
และนางกาไวยกถ็ กู ลงโทษจนถึงแกค่ วามตาย

61

โทษของการผิดศีลข้อที่ 5 คือ การเสพสุราและของมึนเมา ดังจะเห็นได้จากนิทานพืน้ บ้านเรื่อง
พระรถเมรี รถเสนมอมเหลา้ นางเมรีทำให้นางเมรเี มาไม่ไดส้ ติ บอกทซี่ ่อนของมะม่วงไม่รู้หาวมะนาวไม่รู้โห่
ห่อดวงตาของนางสิบสอง กล่องดวงใจของนางยักษ์สันธมาร และผงวิเศษ รถเสนจึงนำสิ่งของต่าง ๆ
หลบหนีและชว่ ยเหลอื แมแ่ ละปา้ ได้ เป็นต้น

2.2 แนวคิดท่ีสอดคล้องกับการดำเนนิ ชีวติ

แนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นและฟงั นิทานพนื้ บา้ นไทยมหี ลายแนวคิดทสี่ อดคลอ้ งกับหลักการดำเนิน
ชีวิต ผู้อ่านและผู้ฟังนิทานสามารถนำแนวคิดต่าง ๆ ที่ได้มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของตน ในที่น้ีขอ
ยกตวั อย่างแนวคิดเรือ่ งความกตญั ญูเปน็ เครื่องหมายของคนดี ความมปี ญั ญาทำใหป้ ระสบความสำเรจ็ และ
รอดพ้นอันตราย ความรักเป็นเหตุแห่งความสุขและความทุกข์ คนดีย่อมได้รับการเกื้อหนุนหรือความ
ช่วยเหลือ ดงั น้ี

2.2.1 แนวคิดเร่ืองความกตัญญูเปน็ เคร่อื งหมายของคนดี
ความกตญั ญเู ป็นหลักการดำเนินชีวติ ท่สี ำคญั ผทู้ ี่มีความกตญั ญคู อื ผ้ทู รี่ คู้ ณุ รู้อุปการะทีท่ ่านทำให้
และอาจกตเวทีกลา่ วคอื ประกาศคณุ ท่าน สนองคณุ ท่าน หรือตอบแทนพระคณุ ทา่ นผูม้ บี ญุ คุณ การแสดง
ความกตญั ญูสามารถกระทำได้หลายวิธี เชน่ การระลึกถงึ ผูม้ พี ระคุณ การเชอื่ ฟัง ปรนนบิ ัติ ชว่ ยเหลอื แบ่ง
เบาภาระหนา้ ท่ี หรอื ตอบแทนพระคุณดว้ ยการเลีย้ งดใู หม้ ชี วี ติ ที่สุขสบายขึ้น เปน็ ตน้
นทิ านพื้นบา้ นไทยมักจะสอดแทรกแนวคดิ เรื่องความกตัญญู เชน่ นทิ านพน้ื บ้านเร่ืองดาวลูกไก่ท่ี
แม่ไก่และลูกไกส่ ละชวี ติ กระโดดเข้ากองไฟเพือ่ ใหต้ ายายที่เลย้ี งดมู านำไปทำอาหารถวายพระธุดงค์
เร่ืองพระรถเมรี จะเหน็ ไดว้ า่ รถเสนมีความกตญั ญู เมอ่ื ครั้งยังเดก็ ก็ออกไปหาอาหารมาให้แม่และ
ปา้ กิน เมื่อท้าวรถสิทธิท์ ราบว่ารถเสนเป็นโอรสก็รบั เข้าวัง นางสนทราหลอกรถเสนให้ไปนำยาท่ีเมืองของ
นางมาให้ รถเสนก็เดินทางไปทำกิจดงั กลา่ วใหน้ างยักษ์ซงึ่ เปน็ มเหสขี องพ่อ และเม่ือรถเสนทราบความจรงิ
ว่านางยักษ์เปน็ ผทู้ ่ีทำรา้ ยแมแ่ ละปา้ ของตน รถเสนกน็ ำยาและดวงตามารักษาแม่กับปา้ ไดส้ ำเร็จ
เรื่องจันทคาด เมื่อสุริยคาดและจนั ทคาดได้ดีแล้ว สองพี่น้องไดป้ ลอมเป็นชาวบ้านนำเงินทองใส่
กระบอกไมไ้ ผ่นำกลบั ไปให้ผ้มู ีพระคณุ และพอ่ แม่
เรือ่ งเจด็ จา เจด็ จาไดน้ ำตน้ ไม้ใหญม่ าทำเรอื และได้รับท้าพนันแข่งเรอื กบั ทา้ วกาหม เจด็ จาชนะได้
รางวัลมากมายจงึ นำทรัพย์ไปฝงั แบง่ ไว้ใช้เอง และแจกจ่ายใหผ้ มู้ พี ระคณุ
นิทานเรื่องลูกกตัญญู เลา่ วา่ มีพี่นอ้ งสองคน คนพม่ี ีภรรยาเป็นลูกสาวเศรษฐี คนน้องมีภรรยาเป็น
ลกู สาวคนจน อยมู่ าวนั หน่ึงพอ่ เดนิ ทางมาหาลกู คนโต ถามวา่ ไอ้ทิดอยไู่ หน ลกู คนโตอายภรรยาทม่ี พี ่อเป็น
คนจนจึงทำเป็นไม่รู้จัก พ่อจึงไปหาลูกคนเล็ก บอกว่าหิวข้าว ถึงแม้ลูกคนนี้ยากจนมีข้าวเหลือเพียง
เลก็ น้อยแต่กน็ ำมาใหพ้ อ่ กิน พ่อบอกวา่ พอ่ จะตายอยู่แลว้ ใหห้ ามไปปา่ ชา้ ถ้ามสี ัตว์อะไรมาเกาะฝาโลงก็ให้
จบั สตั ว์นัน้ ต่อมาเมื่อพ่อตายกป็ รากฏวา่ มีนกเขาไปเกาะท่ฝี าโลง แตพ่ อจะจบั มันก็บนิ มาเกาะไหล่ พอนก
ร้องทหี นึ่ง เงนิ กร็ ว่ งออกมา น้องก็เอานกไปเลีย้ งจนรำ่ รวย ส่วนพ่นี ั้นยากจนลง เห็นว่านอ้ งร่ำรวย จึงมาขอ
ยืมนกไปเล้ียงบ้าง แต่พอนกรอ้ ง จั่วบ้านก็พังลงมา และต่อมาหลังคาก็พังลงมา พี่โมโหจึงฆ่านกตาย เมอ่ื
น้องทราบข่าวกต็ ามไปเก็บกระดกู แล้วเอากระดูกมาทำหวี เมื่อหวผี มผมก็ร่วงเปน็ ทอง พี่จึงมาขอยืมหวี
แต่หวแี ล้วผมร่วงหมด พ่กี โ็ มโหเอาหวีไปทิ้ง นอ้ งไปขุดได้ กเ็ อามาทำเปน็ ไมแ้ คะฟัน พ่ีมาขอยืมอกี แต่แคะ

62

ไปแคะมาฟันหลุดหมด น่ีแหละคนที่ไม่สำนกึ ถงึ บญุ คุณพ่อแม่ บ้านกไ็ มม่ ีอยู่ หวั กล็ ้าน ฟนั ก็หัก (ประคอง
นมิ มานเหมนิ ท์, 2551, หนา้ 110)

เรื่องนางหมาขาว หรือแม่หมาขาว กล่าวถึงสองผัวเมียอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจันทคาม เมียน้ัน
ทอ้ งแกจ่ วนคลอดแล้ว แตใ่ นตอนน้ันเกิดโรคระบาด ผคู้ นลม้ ตายเป็นอันมาก สองผัวเมียจึงชวนกันอพยพ
หนจี ากหมู่บา้ นมาอยู่กลางป่า ต่อมาเมียคลอดลกู ออกมาเปน็ ลูกแฝดผู้หญงิ สองคน แล้วนางก็ส้ินใจตายไป
สว่ นสามีอย่มู าไม่นานกต็ รอมใจตายตามไป ปล่อยใหเ้ ดก็ ทารกเกดิ ใหมท่ ้ังสองร้องไห้อย่ใู นปา่ เชน่ นนั้ ต่อมา
มีหมาขาวตวั เมียตัวหนึ่งมาเหน็ เด็กทั้งสองก็เกิดสงสารจงึ เอาไปเล้ยี งเปน็ ลกู แมห่ มาขาวให้เด็กกินนมของ
ตวั เองและหาอาหารใหก้ นิ เลยี้ งจนเตบิ โตมาเป็นสาว ทุกวันนางหมาขาวจะพาลูกสาวทัง้ สองออกไปหากิน
ในปา่ ดว้ ย วันหน่งึ เกดิ พายุพัดให้นางหมาขาวตอ้ งพลดั พรากจากลกู ไป ลูกสาวทั้งสองก็โดนลมพดั ไปถึงเขต
บ้านนายพราน เมื่อนายพรานเหน็ หญิงสาวทั้งสองงดงามมากจึงนำหญิงสาวทั้งสองถวายพระราชาซ่งึ ยงั
โสดอยู่ พระราชามีพระอนุชาซ่งึ ยังโสดเหมอื นกนั ฝา่ ยพระราชาได้ผู้พเี่ ป็นมเหสี ฝา่ ยอนุชาก็รับผู้น้องเป็น
ชายา ขณะน้ันนางหมาขาวซึ่งพลัดพรากจากลูกมาเปน็ เวลานานกไ็ ดแ้ ต่ร่ำไห้คดิ ถงึ ลกู และออกติดตามหา
ลูก จนได้ยินข่าวว่านายพรานเป็นผู้อปุ การะเลี้ยงดูลูกสาวต่อจากตน นางหมาขาวจึงมาหานายพรานเพ่อื
ถามหาลกู สาวและไดเ้ ล่าว่าเหตกุ ารณ์เปน็ มาอยา่ งไร เม่อื นายพรานทราบกเ็ กดิ ความสงสาร บอกความจริง
และพานางหมาขาวไปหาลูกสาวทีใ่ นวงั เม่ือมาถงึ วงั นายพรานกท็ ูลพระราชาตามความจรงิ แต่พระมเหสี
อับอายเกรงวา่ คนจะรู้วา่ ตนเปน็ ลกู ของหมาขาว จงึ ทลู เท็จต่อพระสวามีไปวา่ “ไม่เป็นความจรงิ ” พร้อมทัง้
ขบั ไลน่ ายพรานและหมาขาวออกไป นอกจากนยี้ งั ด่า เตะถบี ใชไ้ มท้ บุ ตีนางหมาขาวจนนางหมาขาวนอน
ลม้ ลงแล้วกเ็ อานำ้ รอ้ น ๆ ที่ต้มเดอื ดสาดใส่นางหมาขาวท่นี อนเจบ็ อยู่ นางหมาขาวได้รับความเจบ็ ปวดแสน
สาหสั นายพรานเห็นท่าไมด่ จี งึ รีบนำหมาขาวไปท่ีวังของลูกสาวคนเล็ก เมอื่ ลกู สาวคนเล็กเห็นก็จำได้ทันที
วา่ เป็นแมห่ มาขาวของตน จึงรีบมากอดและอ้มุ แม่หมาขาวทันทีและรีบพาไปรกั ษา แต่นางทนพษิ บาดแผล
ไม่ไหวจึงสิ้นใจตาย ก่อนตายนางบอกว่าห้ามเผาหรือฝัง ให้เก็บกระดูกแม่ไว้บูชา ลูกสาวคนเล็กก็ทำตาม
เก็บกระดูกแมใ่ ส่ไหเอาไวบ้ นหิ้งบูชาเป็นประจำในวันพระวันสำคัญมิได้ขาด แล้วก็ทำบุญอทุ ิศส่วนบุญให้
แม่เปน็ ประจำ อยู่ตอ่ มาเกิดอศั จรรยก์ ระดูกของแมก่ ลายเปน็ ทองคำ ข่าวนี้เลอื่ งลอื ไปถึงผเู้ ปน็ พส่ี าว พส่ี าว
ก็มาขอสว่ นแบง่ ทองคำ แตน่ ้องไม่ยินยอมให้ จึงเกิดโตเ้ ถียงกนั จนรู้ไปถงึ หูพระราชา พระราชาจึงได้เรียก
ทั้งสองเข้ามาถามความจรงิ ในทสี่ ุดความจริงก็ปรากฏ พระราชาโกรธท่มี เหสีของพระองค์ทูลเท็จและเป็น
คนอกตญั ญตู ่อผมู้ พี ระคุณ จงึ ตดั สินให้ประหารชวี ติ เสยี ส่วนนอ้ งสาวไดอ้ ยใู่ นพระราชวังดงั เดมิ และมีชีวิตที่
รม่ เยน็ เปน็ สุขตลอดไป (นิทานพนื้ บ้านภาคอสี าน เรือ่ งนางหมาขาว, 2562, ออนไลน์)

นิทานพื้นบ้านที่มีแนวคิดเรื่องความกตัญญูที่พบบ่อยมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความกตัญญูต่อผู้มี
พระคุณ พ่อแม่ ครบู าอาจารย์ ในบางเรือ่ งผู้มพี ระคุณอาจเปน็ สตั ว์ นา่ สงั เกตว่าผู้เลา่ มักชี้ให้เห็นผลดีและ
ผลร้ายของกรรมในตอนท้ายเรอื่ งดว้ ย

2.2.2 แนวคิดเรือ่ งความมปี ญั ญาทำให้ประสบความสำเรจ็ และรอดพน้ อันตราย
นิทานพ้ืนบ้านไทยสะท้อนให้เห็นถงึ คุณของความมีปัญญา ทำให้สามารถรอดพ้นจากปัญหาและ
อุปสรรคต่าง ๆ ได้ ดังจะเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านภาคใต้เรื่องนายดั้นหรือนายดัน ซึ่งเป็นเร่ืองเกี่ยวกับ
“นายดั้น” หรอื บางสำนวนเรยี กวา่ “นายดัน” เปน็ คนตาบอดตาใสอยากไดน้ างริง้ ไรเปน็ ภรรยา จึงส่งคน

63

ไปสู่ขอและนัดวันแต่ง โดยฝ่ายนางริ้งไรไม่รู้ว่านายดั้นตาบอด เมื่อถึงวันแต่งงานนายดั้นพยายามกลบ
เกล่อื นความพกิ ารของตนโดยใช้สตปิ ญั ญาและไหวพริบต่าง ๆ แกป้ ัญหา เม่อื ทำอะไรผิดพลาดนายด้ันกจ็ ะ
หาเรือ่ งแกต้ ัวไปได้ตลอด จนกระทัง่ วันหน่งึ นายด้นั จะกนิ หมากแตใ่ นเชย่ี นหมากไมม่ ีปนู จงึ ตะโกนถามนาง
ริง้ ไร นางก็บอกทว่ี างปูนใหแ้ ตน่ ายดัน้ หาไมพ่ บ ได้รอ้ งถามอกี หลายคร้งั นางร้งิ ไรโมโห บอกว่าถ้าตนหาเจอ
จะเอาปูนขยต้ี านายด้นั นางรง้ิ ไรจึงเอาปนู ขย้ตี านายดนั้ นายด้นั จงึ ถือโอกาสร้องบอกว่าตนตาบอดเพราะ
ปูนน้นั นางร้งิ ไรจงึ ตอ้ งหมอมารักษานายด้ันจนตาหายบอด

เรอ่ื งพระวรวงศ์ เมอ่ื วงศส์ รุ ิยามาศพลัดพรากจากน้องชายก็คร่ำครวญหานอ้ ง อำมาตยจ์ ึงแนะนำ
ใหท้ รงสร้างศาลาทานและวาดภาพเรื่องราวชีวิต ทำใหว้ รวงศ์ซง่ึ ซัดเซพเนจรมาพบศาลาและได้พบพ่ีชาย
อีกครั้ง เช่นเดียวกับเรื่องศรีสุทัศน์สังหัสไชยท่ีนางรัตนมาลามีปัญญาแนะนำศรีสุทัศน์ใหส้ รา้ งศาลาทาน
และวาดภาพเรือ่ งราวชีวิตของตนกับน้องชายทีพ่ ลัดพรากกนั จนวนั หน่งึ สงั หสั ไชยได้มาพบศาลาทานจึงทำ
ให้ไดพ้ บพ่ชี ายในทสี่ ุด

เรื่องปาจติ - อรพมิ พ์ เมอื่ นายพรานฆา่ ปาจิตแลว้ อุ้มนางอรพิมพข์ ่ีควายหนี นางอรพิมพใ์ ชป้ ัญญา
อุบายขอไปนัง่ ด้านหลงั นายพรานเพ่อื ชมนกชมไม้ เมอ่ื นายพรานเผลอนางกใ็ ช้มีดแทงนายพรานตาย นาง
จึงหนีไปได้ อีกเหตุการณ์หนึ่งเห็นได้จากตอนที่เณรลวงลักพานางอรพิมพ์มาจากปาจิต นางอรพิมพ์ ได้
อบุ ายให้เณรปีนไปเกบ็ ผลมะเด่อื ขณะท่เี ณรปีนไปบนต้นมะเดือ่ นั้นนางได้นำหนามมาไว้รอบโคนต้น เณร
จึงลงมาไมไ่ ดต้ อ้ งตายบนตน้ มะเด่ือน้นั นอกจากนน้ี างอรพมิ พ์ได้สร้างศาลาทานและวาดภาพเรอ่ื งราวชีวิต
ทำใหน้ างได้พบปาจิตอกี ครั้ง

เรื่องนกกระจาบหรือนกจาบ ทำให้เห็นว่าผู้มีปัญญาย่อมประสบความสำเร็จและรอดพ้นจาก
อนั ตราย ดังจะเห็นได้จากสรรพสทิ ธต์ิ ัวละครเอกของเรอื่ งเปน็ ผูม้ ีปญั ญา เลา่ เรยี นวชิ าถอดดวงจิต สามารถ
ทำให้พระธดิ าซึง่ ไมพ่ ูดกับชายใดเลยพดู ดว้ ยได้ ทำให้ไดอ้ ภิเษกสมรสกับพระธิดา ตอ่ มาพี่เลย้ี งอิจฉาริษยา
ถอดดวงจติ ใสร่ ่างของสรรพสิทธ์ิในขณะท่ีสรรพสทิ ธ์ิถอดดวงจิตไปใส่ร่างกวาง นางสวุ รรณเกสรมเหสีของ
สรรพสิทธิ์มีปญั ญาสังเกตรูว้ ่าสรรพสิทธิ์ที่กลับมานั้นไม่เหมือนเดิมจึงอุบายหลีกหนีสรรพสิทธิ์ปลอมได้
ต่อมาสรรพสิทธิ์ถอดดวงจิตจากร่างกวางไปใส่ร่างนก แล้วบินมาบอกนางสุวรรณเกสรให้รูค้ วามจริงและ
วางแผนอุบายใหพ้ เ่ี ล้ียงถอดดวงจติ ใสซ่ ากแพะ สว่ นสรรพสิทธ์ถิ อดดวงจิตจากร่างนกเข้ารา่ งตนเองดังเดิม
และสั่งฆา่ แพะ

อีกตัวอยา่ งหนงึ่ จะเห็นไดจ้ ากเรอ่ื งศรีธนญชัย ตอนที่พระราชาให้สนมนำไข่ไกล่ งไปในน้ำ เม่ือผุด
ขึน้ มาใหก้ ระต๊ากเสยี งไก่แลว้ ชไู ข่ ใครผุดขน้ึ มาไม่มไี ขจ่ ะถูกทำโทษ ศรธี นญไชยไมม่ ีไขจ่ งึ ผุดข้ึนมาทำเสียง
ไกต่ ัวผู้ ทำใหร้ อดพ้นจากการถกู ทำโทษ

ในขณะเดียวกนั นิทานพื้นบ้านก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่ไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบกจ็ ะทำให้
เกิดปัญหาตามมา ดังจะเห็นได้จากเรือ่ งศภุ มิตร ตอนท่ีนายพานชิ เห็นนายเวร 2 คนกอดนางเกษนีหญิงท่ี
ตนหมายปองโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นแม่ลูกกนั จึงโกรธและไปฟ้องศุภมิตรวา่ 2 นายเวรจะลักเมีย ศุภมิตร
โกรธและไม่ไตร่ตรองจึงส่งั ลงโทษนายเวร แต่ปุโรหิตร้ดู ้วยญาณจึงมาเตอื นสตศิ ุภมติ รใหพ้ ิจารณาสอบสวน
กอ่ น จนไดร้ ูค้ วามจริงว่าตน นางเกษนี และนายเวรเปน็ พ่อแมล่ ูกทพ่ี ลดั พรากกันไป

64

2.2.3 แนวคิดเรื่องความรักเปน็ เหตแุ หง่ ความสขุ และความทกุ ข์
นิทานพื้นบ้านสะท้อนให้เห็นวา่ ความรักเป็นธรรมชาติและเป็นความต้องการพ้ืนฐานของมนุษย์
ทำให้มนุษย์มคี วามสุข ตวั ละครในนทิ านพ้ืนบ้านจึงมักแสวงหาความรกั แตใ่ นขณะเดยี วกนั ความรกั กท็ ำให้
เกิดความทุกข์ เช่น การพลัดพรากจากคนรัก การไม่ทำตามกรอบประเพณี และการมีค่านิยมมีภรรยา
หลายคนทำให้เกิดปัญหาครอบครัว ภรรยาต่างอิจฉารษิ ยาและทำร้ายกัน เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากเรื่อง
พระสธุ น – มโนห์รา พระสุธนออกตดิ ตามหานางมโนห์รา แม้หนทางจะยากลำบากเพยี งใด แต่ด้วยความ
มุ่งมน่ั ในความรกั พระสธุ นก็สามารถติดตามหานางจนพบและไดก้ ลบั มาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขได้
เรื่องแม่นากทำให้เห็นถึงความรักของแม่นากที่มีต่อพ่อมาก แม้สิ้นชีวิตไปแล้วความรักก็ยังคงอยู่ เรื่อง
สมุทรโคดม ทำให้เห็นความรักแท้ของนางชลคัพภาที่มีรักแท้รักเดียวต่อสมุทรโคดม นางมิยอมตกเป็น
มเหสขี องทา้ วพกาจงึ อธษิ ฐานขอเปน็ คกู่ ับสมทุ รโคดมทุกชาติแลว้ จงึ กลน้ั ใจตาย ตอ่ มานางไดถ้ อื กำเนิดใหม่
เปน็ นางสวุ รรณมาลาธิดาทา้ วกินนรและได้เปน็ ชายาของสมุทรโคดมอกี ครง้ั
นทิ านพน้ื บ้านหลายเร่ืองยงั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความทุกข์ทีเ่ กดิ จากความรกั ด้วย เชน่ ผทู้ ่ีไม่กระทำ
ตามกรอบประเพณีกท็ ำใหเ้ กิดปญั หา ความทกุ ข์ และความพลัดพรากจากคนรกั ได้ ดังจะเห็นได้จากเร่ือง
สุธนูที่กล่าวถึงพระสุธนูลักลอบเข้าหานางจีรัปภา เมื่อบิดาของนางทราบเรื่องก็โกรธ เรื่องสุวรรณรัตน์
สวุ รรณรตั น์ลกั ลอบไดน้ างเกศแกว้ ทำใหเ้ กดิ ววิ าทกับนางวารีผเู้ ป็นมารดาของนาง เร่อื งหงสย์ นต์ สวุ รรณท
กุมารและนางปทุมเกสรลักลอบมีความสัมพันธ์กันจนนางมีครรภ์ เมื่อท้าวเบญจาทราบเรื่องก็โกรธสง่ั
ประหารสุวรรณทกุมาร จากนั้นเป็นเหตุการณ์พลัดพรากของสุวรรณทกุมาร นางปทุมเกสร และโอรส
แสดงให้เห็นถงึ ความทกุ ขท์ ี่เกดิ จากความรักที่ผดิ จารีตประเพณเี ป็นเหตุให้ต้องเผชญิ ความเดอื ดร้อน
นอกจากน้ีนิทานพื้นบ้านมกั แสดงให้ถึงความทุกขจ์ ากความรักจากการที่ผู้ชายนิยมมีภรรยามาก
ทำให้เกิดปัญหาความหึงหวง อิจฉาริษยา ภรรยาใส่รา้ ยหรือทำร้ายกันเพ่ือกำจัดภรรยาและบุตรของอีก
ฝา่ ยหน่งึ เปน็ เหตุให้เกิดความพลดั พราก ได้รบั ความลำบากเดอื ดร้อน ทุกข์เขญ็ เช่น เรื่องพระวรวงศ์ เรอ่ื ง
ศรสี ุทศั นส์ งั หัสไชย ทีม่ เหสีฝา่ ยร้ายใส่รา้ ยว่าตวั ละครเอกขม่ เหงจนเปน็ เหตุใหพ้ ระบดิ าส่งั ประหารโอรสทัง้
สอง เร่อื งเบญจมาศทอง มเหสีแรกใสร่ า้ ยว่านางศรีดอกไม้คลอดธดิ าออกมาเป็นลกู หมา เรื่องนาวนั มเหสี
ฝ่ายร้ายใสร่ ้ายว่ามเหสีฝา่ ยดคี ลอดลูกออกมาเปน็ ท่อนไม้ และยังมีนทิ านพืน้ บ้านอีกหลายเรื่องท่มี เหสีฝ่าย
หน่ึงได้ใสร่ ้ายหรอื ตดิ สินบนโหรให้ใสร่ ้ายว่าบตุ รหรอื ธิดาของมเหสอี กี ฝ่ายหน่ึงเป็นกาลกิณีเพ่ือกำจัดออก
จากวังไป เพราะตนต้องการเป็นที่รักและต้องการให้บุตรธิดาของตนได้ครอบครองราชสมบัติ เป็นต้น
ความทกุ ข์จากความรักที่สามีมภี รรยาหลายคนยงั ปรากฏในนทิ านพนื้ บ้านไทยอีกหลายเรื่องดว้ ย

2.2.4 แนวคดิ เรื่องคนดยี อ่ มไดร้ ับการเก้ือหนนุ หรือความชว่ ยเหลือ
นิทานพ้ืนบา้ นไทยมกั นำเสนอใหเ้ หน็ วา่ ผทู้ ี่เป็นคนดีหรอื ผูท้ ม่ี ีบญุ (ซง่ึ มักจะหมายถึงตวั ละครเอก)
มักจะได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลหรือสิ่งเหนือธรรมชาติให้รอดพ้นจากภัยอันตราย และได้ประสบ
ความโชคดีเสมอ เช่น เรื่องจันทคาด ระหว่างที่สุริยคาดและจันทคาดเดินอยู่ในป่า พระอินทร์และ
วษิ ณุกรรมแปลงเปน็ งูสู้กับพงั พอนกัดกนั ตายแล้วใชเ้ ปลือกไม้พน่ ใส่กนั แล้วฟ้นื สองพน่ี ้องสงั เกตเหน็ จึงนำ
เปลอื กไม้วิเศษติดตัวไปด้วยและได้ใช้เปลอื กไม้วเิ ศษน้ีชบุ ชีวิตผู้คนทพ่ี บระหว่างเดินทาง ทำให้สองพี่น้อง
รอดพ้นจากอุปสรรคและประสบความโชคดี

65

เรื่องพระรถเมรี พระอินทร์แปลงเป็นไก่ให้รถเสนเลี้ยงนำไปชนพนนั กับชาวบ้านแลกอาหารมา
เลีย้ งแม่และปา้ จนมชี ่ือเสยี งและได้พบกับท้าวรถสทิ ธ์ิและรู้ความจรงิ ว่าเป็นพ่อลกู กัน นอกจากนี้จะเหน็ ได้
จากตอนที่รถเสนนำสารจากนางยักษ์สันธมารไปเมืองนางเมรี ระหว่างทางรถเสนได้พบฤๅษี ฤๅษีรู้ว่าสาร
นั้นเป็นอันตรายต่อรถเสนจงึ ได้แปลงสารนั้นเสยี ใหม่ให้รถเสนไดอ้ ภเิ ษกสมรสกับนางเมรีแทน รถเสนจึง
รอดพน้ จากความตาย

แมน้ ทิ านพื้นบา้ นสว่ นใหญ่จะเนน้ คุณสมบตั ิของตัวละครเอกท่ีเป็นคนดีและมีความสามารถ แต่ก็
มีนิทานพ้ืนบ้านเร่ืองเจ้าพุทโทหรือวนั คารที่ตัวละครเอกมิได้แสดงความสามารถหรือกระทำกรรมดีแตก่ ็
โชคดแี ละประสบความสำเรจ็ ในชีวิต นิทานเร่อื งน้ีเลา่ ว่า พทุ โทฝากปลาช่อนยา่ งเศรษฐีไปแลกเสื้อผ้าของ
พระยา เศรษฐีไปถึงเมอื ง ๆ หน่งึ บังเอญิ เจา้ เมืองปว่ ยไดป้ ระกาศหาปลามาทำกระสายยา เศรษฐีจงึ นำปลา
ช่อนถวาย เจ้าเมืองหายป่วยมอบกลองบรรจุเครื่องทรงและแก้วแหวนฝากให้เจ้าของปลา พุทโทไมพ่ อใจ
จึงฝากกลองไปแลกเสื้อผา้ เศรษฐีนำกลองถวายโอรส โอรสได้เคร่ืองทรงและแก้วแหวนเงนิ ทองที่อย่ใู น
กลองกด็ ใี จ ฝากศรวเิ ศษมาให้เจา้ ของกลองแต่พุทโทกไ็ มส่ นใจ ต่อมาพุทโทฝากศรไปแลกเส้ือผ้า เศรษฐจี ึง
ถวายศรแดท่ ้าวมทั ราชซงึ่ ถูกกษตั ริยต์ า่ ง ๆ ล้อมเมืองเพื่อชิงนางพมิ พา ท้าวมัทราชแผลงศรชนะ มอบนาง
พิมพาใหพ้ ทุ โท พุทโทไม่รปู้ ระสีประสา พระอินทร์และนางสชุ าดาจึงแปลงเปน็ ตายายมาส่งั สอน ทำให้พุท
โทได้นางพิมพาเป็นภรรยา นางพมิ พาเนรมติ เมืองใหม่และพาตายายไปอยดู่ ้วยความสขุ นิทานเรื่องน้ที ำให้
เห็นว่าผมู้ บี ญุ แมไ้ มไ่ ดท้ ำการอนั ใดกย็ อ่ มประสบความโชคดีและความสำเรจ็ ในชวี ิต

อย่างไรก็ดี นิทานพื้นบ้านไทยส่วนใหญ่มักนำเสนอให้เห็นว่าตัวละครที่กระทำกรรมดีย่อมได้รบั
ความชว่ ยเหลอื และประสบความสำเร็จในชีวิต สอดคล้องกบั สำนวนว่า “คนดตี กน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้”
นัน่ เอง แนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นและฟงั นิทานพืน้ บา้ นยังมีอกี มาก เชน่ แนวคิดเร่ืองการให้อภัย เรือ่ งความ
รับผดิ ชอบและความพากเพยี ร แนวคิดที่กล่าวถึงในบทนีเ้ ป็นเพียงตัวอยา่ งบางส่วนเท่านั้น

จากท่กี ลา่ วถึงเนือ้ หาและแนวคิดของนทิ านพ้นื บ้านไทยในเบ้อื งต้นเปน็ เพยี งผลการวิเคราะห์จาก
นิทานพื้นบ้านไทยบางเรื่องเท่านัน้ ยังมีนิทานพื้นบ้านไทยอีกหลายเรื่องทีอ่ าจผู้เรียนอาจพบว่ามีเน้อื หา
และแนวคิดอยา่ งอ่ืนไดอ้ กี ข้นึ อยกู่ บั การวเิ คราะหแ์ ละตีความของผ้อู ่านและฟังนทิ านแต่ละคน

66

แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 2

จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี

1. นิทานพนื้ บา้ นทม่ี ีเน้ือหาเกีย่ วกบั ความมหศั จรรยม์ ลี ักษณะอย่างไร
2. นิทานพืน้ บา้ นทม่ี ีเนือ้ หาเก่ียวกบั ศาสนาและคำสอนมลี กั ษณะอย่างไร
3. นทิ านพ้ืนบา้ นทม่ี เี น้อื หาเกย่ี วกบั การอธบิ ายเหตุและเร่ืองเลา่ ประจำถิ่นมลี กั ษณะอยา่ งไร
4. นทิ านพ้ืนบา้ นทม่ี ีเนื้อหาเกย่ี วกบั มกุ ตลกขบขันมลี กั ษณะอยา่ งไร
5. นทิ านพื้นบา้ นทมี่ ีเนื้อหาเก่ียวกบั เร่ืองผมี ลี กั ษณะอย่างไร
6. นทิ านพ้ืนบา้ นในท้องถ่นิ ท่นี ิสติ อาศัยอยู่มเี นอ้ื หาเกี่ยวกับอะไรบ้าง จงยกตัวอยา่ งประกอบให้

ชดั เจน
7. นทิ านพื้นบา้ นในทอ้ งถ่นิ ของนสิ ิตสะทอ้ นแนวคิดเร่อื งอะไรบา้ ง จงยกตัวอยา่ งประกอบให้

ชัดเจน

บรรณานกุ รม

กรมศลิ ปากร. (2542). นางอทุ ยั กลอนสวด. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม. (2559). วรรณกรรมพน้ื บ้าน : มรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ.

กรุงเทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม.
โครงการลา้ นนาคดี มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่. (2562). ฐานขอ้ มูลนิทานพน้ื บ้านลา้ นนา. เข้าถงึ เมอื่ 6 มิถุนายน

2562, เขา้ ถงึ จาก http://lannakadee.cmu.ac.th/area1/story/index.php?pid=135
โครงการสารานกุ รมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว. (2550). สารานกุ รม

ไทยสำหรบั เยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว เล่ม 26. กรงุ เทพฯ :
โครงการสารานุกรมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั .
ณัฐา คำ้ ช.ู (2553). วิเคราะห์การสร้างสรรคน์ ิทานคำกาพย์. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาอกั ษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต
, สาขาวชิ าภาษาไทย, บณั ฑติ วิทยาลยั , มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
ดวงมน จิตรจ์ ำนงค์. (2521). บทวิเคราะหล์ ลิ ติ พระลอในเชงิ วรรณคดีวจิ ารณ์. ปตั ตานี : โครงการส่งเสริม
การแต่งตำรา มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี.
ธวชั ปณุ โณทก. (2553). นิทานพ้นื บ้าน. นนทบรุ ี : ปันร.ู้
นทิ านพืน้ บา้ นภาคอสี าน เรอื่ งนางหมาขาว. (2562). เขา้ ถึงเมือ่ 28 พฤศจิกายน 2562, เขา้ ถึงจาก
https://bkkseek.com/นิทานพ้ืนบ้าน-นางหมาขาว/
นิพทั ธพ์ ร เพง็ แกว้ . (2552). ไทบา้ นดดู าว (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 3). กรุงเทพฯ : ศยาม.
ประคอง นิมมานเหมนิ ท์ (2551). นทิ านพนื้ บ้านศกึ ษา (พมิ พ์คร้งั ที่ 3). กรงุ เทพฯ : โครงการเผยแพร่
ผลงานวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
ประพนธ์ เรอื งณรงค.์ (2542). นทิ านพน้ื บ้านชายแดนภาคใต้. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .

67

ประพนธ์ เรอื งณรงค์. (2559). นทิ านนายดนั . ใน วรรณกรรมพน้ื บ้าน : มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ของชาติ. กรุงเทพฯ : กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม.

ผจงวาด กมลเสรรี ตั น์. (2543). นิทานพ้นื บา้ นภาคกลาง. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ิยาสาส์น.
พระธรรมกติ ติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช). (2556). พจนานุกรมเพอื่ การศกึ ษาพทุ ธศาสน์ ชดุ คำวัด. กรงุ เทพฯ :

เล่ียงเชยี ง.
พระพรหมคณุ าภรณ์ [ป.อ.ปยุตโฺ ต]. (2559). พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 27).

กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พพ์ ระพทุ ธศาสนาของธรรมสภา.
มรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม (2562). เขา้ ถึงเม่ือ 7 กนั ยายน 2562 เข้าถงึ ได้จาก

http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/folk-literature/252-folk/82-2012-01-31-09-
48-15
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (พมิ พ์ครัง้ ที่ 2).
กรุงเทพฯ : นานมีบุค๊ สพ์ ับลเิ คชัน่ ส์.
วัฒนะ บุญจบั . (2559). นิทานดาวลกู ไก.่ ใน วรรณกรรมพื้นบ้าน : มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ.
กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.
ศนู ยม์ านุษยวิทยาสริ นิ ธร. (2561). Folktale ฐานข้อมูลนทิ าน ตำนาน เร่ืองเลา่ พน้ื บ้าน. เขา้ ถงึ เมอ่ื วันท่ี
4 กรกฏาคม 2562. เข้าถึงจาก http://www.sac.or.th/databases/folktales/folktale
details.php?id=158
สุกัญญา สจุ ฉายา. (2557). วรรณคดนี ิทานไทย (พิมพค์ ร้ังท่ี 2). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
องค์การบรหิ ารส่วนตำบลไตรตรงึ ษ์. (2562). ท้าวแสนปม. เผยแพรเ่ ม่ือ 20 มนี าคม 2562, เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://www.tritrueng.go.th/travel/detail/284
อภลิ ักษณ์ เกษมผลกลู . (2559). ตำนานพญากงพญาพาน. ใน วรรณกรรมพ้นื บ้าน : มรดกภูมิปญั ญา
ทางวัฒนธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม.
อภลิ ักษณ์ เกษมผลกลู . (2559). ตำนานพระเจ้าหา้ พระองค.์ ใน วรรณกรรมพืน้ บ้าน : มรดกภูมปิ ญั ญา
ทางวัฒนธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม.
เอกรัตน์ อดุ มพร. (2553). รวมนิทานพืน้ บา้ นประจำจังหวัดภาคกลาง. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
เอนก นาวกิ มูล. (2561). ประวัติศาสตร์เมขลา - รามสรู – ขวานรามสรู . ศิลปวัฒนธรรม,
เผยแพรเ่ มอ่ื 8 กรกฎาคม 2561, เขา้ ถึงจาก https://www.silpa- mag.com /history/
article_18139.

บทที่ 3

กลวธิ กี ารประพันธ์นทิ านพ้ืนบา้ น

ความมุง่ หมายของบทเรยี น

1. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจและสามารถอธบิ ายกลวธิ กี ารประพนั ธโ์ ครงเรอื่ งของนทิ านพ้นื บา้ นได้
2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเข้าใจและสามารถอธิบายกลวิธกี ารประพนั ธ์ตวั ละครของนทิ านพืน้ บา้ นได้
3. เพื่อใหผ้ เู้ รียนเข้าใจและสามารถอธบิ ายกลวธิ กี ารประพนั ธ์ฉากของนิทานพนื้ บ้านได้
4. เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจและสามารถอธบิ ายลกั ษณะคำประพนั ธ์ของนิทานพน้ื บา้ นได้

เนอื้ หาของบทเรยี น

1. โครงเร่ืองของนิทานพนื้ บ้าน
2. ตัวละครในนทิ านพื้นบา้ น
3. ฉากในนทิ านพ้ืนบ้าน
4. ลักษณะคำประพันธ์ของนทิ านพื้นบา้ น

วธิ กี ารสอนและกิจกรรม

1. การบรรยาย
2. การอภิปราย
3. ฝึกปฏิบตั กิ ิจกรรมในชั้นเรยี น
4. แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทเรียน

อปุ กรณ์การสอน

1. เอกสารประกอบการสอน
2. ส่ืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ power point
3. แบบฝกึ หัด
4. ตำราและเอกสารอ่ืน ๆ

การวัดผลและประเมินผล

1. สังเกตจากการมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน
2. ความถูกตอ้ งของการตอบคำถาม
3. การทำแบบฝกึ หดั ท้ายบท
4. การทำแบบทดสอบ

69

บทที่ 3

กลวิธีการประพนั ธ์นิทานพนื้ บา้ น

กลวิธีในการประพนั ธ์นิทานพื้นบ้านนั้นไม่มีกฎเกณฑห์ รือหลักเกณฑ์ตายตัว ผู้แต่งหรือผู้เลา่
นิทานนยิ มใชว้ ิธีการคล้าย ๆ กัน เพยี งแตเ่ ปล่ยี นรายละเอยี ดของเน้ือเรอื่ งหรือเหตุการณใ์ นแต่ละเรื่อง
ให้แตกต่างกันออกไป จากการศึกษาเนื้อเรื่องนิทานต่าง ๆ พอที่จะสรุปกลวิธีการประพันธ์นิทาน
พืน้ บา้ นของไทยได้ดังน้ี

1. โครงเรอ่ื งของนทิ านพ้ืนบา้ น

โครงเรื่อง คือ สถานการณ์ เหตุการณ์สำคัญ พฤติกรรมของตัวละครที่เกิดขึ้นอย่างมี
สัมพันธภาพต่อเนื่องกันไปในเนื้อเรื่อง มีปัญหา การแก้ปัญหา จุดน่าสนใจ และน่าตื่นเต้น มีการ
คลี่คลายเหตุการณ์จนกระทั่งจุดจบเรื่อง (สมพร มันตะสูตร, 2525, หน้า 138) หรือหมายถึงการ
จดั ลำดบั เหตกุ ารณ์โดยเรียงตามลำดับเวลาทเี่ กดิ หรอื เรยี งลำดับใหม่ (อิราวดี ไตลงั คะ, 2546, หน้า 6)
โครงเรอ่ื งจะต้องมีความขัดแยง้ (conflict) คอื มปี มปญั หาท่จี ะทำให้เร่อื งดำเนนิ ตอ่ ไป ความขัดแย้งท่ี
เกิดขึ้นอาจเป็นการขดั แย้งระหว่างตัวละครเอกของเรือ่ งกับคู่กรณี ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างมนษุ ย์
กบั มนุษย์ มนษุ ย์กบั ส่งิ แวดลอ้ ม และมนษุ ยก์ ับตัวเอง และมีจุดจบของปัญหาที่มีความเช่ือมโยงสมั พนั ธ์
กนั อยา่ งสมเหตุสมผล (ยวุ พาส์ ชัยศิลปว์ ัฒนา, 2544, หน้า 112 - 113)

สำหรับโครงเรอ่ื งของนทิ านพน้ื บ้านไทยสว่ นใหญ่เป็นโครงเร่ืองแบบงา่ ย ๆ ไมซ่ บั ซอ้ น แต่บาง
เร่อื งก็มหี ลายตอน หลายอนภุ าค ซึง่ มกั เป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน หรอื เป็นเรือ่ งราวรุ่นลกู รนุ่ หลาน
โครงเรื่องนิยมดำเนินเรื่องด้วยความขัดแย้ง และมีการคลี่คลายความขัดแย้งนั้น ๆ นิยมเล่าเรื่อง
ตามลำดบั ปฏิทนิ หรือลำดบั เวลาก่อน - หลงั และดำเนินไปจนจบเร่อื งหรือปดิ เร่อื ง

กลวิธีการประพันธ์โครงเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยที่สำคัญมักประกอบด้วยการเปิดเรื่อง การ
ดำเนินเรอื่ ง และการปดิ เร่อื ง ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

1.1 การเปิดเรื่อง

การเปดิ เรือ่ งเปน็ องค์ประกอบหน่ึงทีม่ ีความสำคัญเนื่องจากทำให้ผู้อ่านและฟงั เข้าใจพืน้ ฐาน
ชีวิต ประวัติความเป็นมา และสิ่งแวดล้อมรอบตัวละคร นิทานพื้นบ้านนิยมเปดิ เรื่องด้วยภาวะท่สี งบ
ก่อนที่จะไปสู่เหตุการณ์ขัดแย้ง มักกล่าวถึงเวลาที่เกิดเรื่อง สถานที่หรือสภาพบ้านเมืองรวมทั้ง
สิ่งแวดล้อม ความเปน็ มาหรือลักษณะของตัวละคร หรือการบอกทมี่ าของเรื่อง

1.1.1 เปดิ เรื่องด้วยการกลา่ วถงึ เวลาท่ีเกดิ เร่อื ง
เวลาที่เกิดเรอ่ื งในนิทานพ้นื บ้านมกั กล่าวถงึ เวลาที่มิอาจระบุเฉพาะเจาะจงได้ว่าเกิดข้ึนเม่ือไร
อย่างแน่ชัด รู้เพียงว่าเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อเวลาไกลโพ้น หรือนานมาแล้วในอดีต โดยมักขึ้นว่า
“กาลคร้งั หน่งึ นานมาแล้ว...” หรือ “ครง้ั หนึง่ นานมาแลว้ ...” เช่น เรอื่ งเหตุทแ่ี ผน่ ดินไหว เปิดเร่ืองว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสมัยเริ่มต้นของโลก คราวนั้นมุมหนึ่งของสวรรค์เกิดทรุดทำท่าจะพังลงไป...”
(ประคอง นมิ มานเหมินท์, 2551, หนา้ 192) เรอื่ งเตา่ ทำไมกระดกู ออกนอกเน้อื ได้ ซ่ึงเล่าโดยนายบุญดี

70

พลิ กึ เปดิ เรอื่ งวา่ “นานมาแล้ว สมยั ทส่ี ตั ว์ยังพูดภาษากันร้เู รอื่ ง คือคนพดู กบั เตา่ รเู้ ร่อื ง ร้เู ร่ืองกันหมด
จะกล่าวถึงเตา่ ตัวหนึ่ง...” (วิเชียร เกษประทุม, 2550, หน้า 69) เรื่องบาปตกอยู่กับใคร หรือใครเป็น
ผู้รบั บาป ซึง่ เล่าโดยนางกี ศโิ นทศ เปิดเรือ่ งว่า “ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานจนจำไมไ่ ด้ สมัยน้ันมี
สตั วป์ ่านานาชนิด พูดไดร้ ูภ้ าษาคน...” (วิเชยี ร เกษประทมุ , 2550, หนา้ 122) เปน็ ตน้

1.1.2 เปดิ เร่ืองดว้ ยการกล่าวถงึ สถานที่หรือสภาพแวดลอ้ มทเี่ กิดเรอ่ื ง
นิทานพื้นบ้านบางเรื่องเปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงสถานที่ บ้านเมือง หรือสภาพแวดล้อม ซ่ึง
อาจระบุสถานที่อย่างเฉพาะเจาะจงหรือไม่ระบุสถานที่ ซึ่งเป็นการนำเข้าสู่เนื้อเรื่องอย่างเรียบ ๆ
ธรรมดา ๆ ดังจะเหน็ ได้จากตอนเริ่มเรื่องนทิ านส่วนใหญ่ที่ผู้เล่ามักกลา่ วถึงเมอื ง ๆ หนึ่ง มีพระราชา
มเหสี พระโอรส เช่น การเปิดเรื่องของเรอื่ งนางมโนราหซ์ งึ่ เล่าโดยนายจนั ทร์ สเี งนิ ทีเ่ ลา่ ว่า “มเี มอื งอยู่
เมอื งหนงึ่ ชอ่ื เมืองเจ้าพระยาสุรสทิ ธิ์ มีลกู ชายชอ่ื พระสุธน และมอี ำมาตย์อยูห่ น่งึ คน อำมาตยม์ ีลูกสาว
ชื่อกรรณิการ์ และตอ้ งการให้ลกู สาวแต่งงานกบั พระสุธน...” (วิเชียร เกษประทมุ , 2550, หนา้ 46)
เรื่องจำปาสี่ต้นซึ่งเล่าโดยนายจุดไฝ มาลัยทอง เปิดเรื่องว่า “มีเมืองหนึ่ง เจ้าพระยาชื่อว่า
พระยาขัตถิน คืนหนึ่งพระยาขัตถินฝันว่าบา้ นเมืองของเขาจะลม่ จม ผู้คน ช้าง ม้า หมู หมา เป็ด ไก่
ตายหมด ไม่มีใครเหลืออยู.่ ..” (วเิ ชยี ร เกษประทมุ , 2550, หนา้ 48)
เรื่องนางนาคพระโขนงเปิดเรื่องว่า “ในแผ่นดินพระจอมเกลา้ ฯ มผี วั หน่มุ เมียสาวค่หู นง่ึ ผัวช่ือ
ทิดมาก เมียชื่อนางนาค ตัง้ บ้านเรอื นอยรู่ มิ คลองอจี ีน...” (ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์, 2551, หนา้ 200)

1.1.3 เปดิ เรื่องดว้ ยการกล่าวถึงความเป็นมาและลักษณะตัวละคร
นิทานพื้นบ้านบางเรื่องเปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงความเป็นมาหรือลักษณะของตัวละครเลย
เช่น เรื่องปู่อ้ายต๊ายเลิกและอ้ายข้าวเจด็ ไหซ่ึงเป็นนิทานพื้นบ้านเชียงใหม่ เปิดเรื่องว่า “ยังมีชายคน
หนึ่ง ชื่อว่าปูอ่ ้ายตา๊ ยเลิก รูปร่างสูงใหญ่มาก ส่วนล่างตัง้ แต่เอวลงไปถึงเท้ายาวมาก แต่ส่วนบนตั้งแต่
เอวข้นึ ไปถึงหัวสั้น มชี ื่อวา่ ปู่อา้ ยต๊ายเลิก แตบ่ างคนก็เรยี กว่าบ่าอา้ ยโง้มฟ้า เหตเุ พราะว่ารูปรา่ งสูงมาก
เวลายืนขึ้นยังคืบเดียวหัวจะถึงฟ้า ปู่อ้ายต๊ายเลิกยังเป็นคนมีกำลังวังชาแข็งขันสมกับรูปร่างสูงใหญ่
สามารถยกภเู ขาเปน็ ลกู ๆ หรอื จะผลกั ดอยใหเ้ คลอ่ื นไปมากท็ ำไดด้ ้วยกำลงั ... (ประคอง นมิ มานเหมินท์
, 2551, หนา้ 207)
เรื่องอาจารย์ทอง เปิดเรื่องว่า “อาจารย์ทองอยู่วัดแห่งหนึ่ง มีลูกศิษย์วัดก็ชื่อเจ้าทองอีก
เหมอื นกัน อาจารย์ทองแกประพฤติผิดวินัย กนิ เหล้าเมายาจนไมม่ ีคนเขามาทำบุญกันเลย...” (ประคอง
นิมมานเหมนิ ท์, 2551, หนา้ 205)
เรือ่ งนางพิกลุ ทองซ่ึงเลา่ โดยนายจดุ ไฝ มาลัยทอง เปดิ เรอื่ งว่า “ครัง้ หน่ึงมีเจา้ เมอื ง มภี รรยาชอ่ื
นางพกิ ลุ ทอง วนั หน่งึ พากันออกไปเทยี่ วทะเล...” (วเิ ชยี ร เกษประทุม, 2550, หนา้ 48)
เรื่องไม้ตพี ริกวเิ ศษ เปิดเรือ่ งว่า “มคี นคนหนง่ึ เปน็ คนหัวดหี นอ่ ย สมมตุ ิชื่อว่านายดี ก็คุยว่ามี
ไม้ตพี ริกวิเศษ คือสามารถตีคนแก่ใหก้ ลบั เปน็ สาวได้ หากวา่ ใครมเี มียแก่ ๆ ไมอ่ ยากไดเ้ มียแก่ก็ไปใช้ไม้
ตพี ริกของนายดตี เี มียแก่ ๆ เป็นสาวได้...” (วเิ ชียร เกษประทมุ , 2550, หน้า 130)

71

1.1.4 เปดิ เร่ืองด้วยการบอกทีม่ าของเรื่อง
นิทานพื้นบ้านบางเรอ่ื งเปดิ เร่ืองดว้ ยการบอกท่มี าของเรื่อง บางเรอ่ื งอ้างว่านิทานเรื่องนั้นเป็น
ชาดกหรือพระชาตหิ นึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตของพระโพธิสัตว์ครั้งทีย่ ังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้
นิทานที่เปดิ เรื่องดว้ ยการบอกที่มาของเรอื่ งน้ีสว่ นหนงึ่ เปน็ ชาดกทร่ี ู้จกั กันดี อีกสว่ นหนึ่งเป็นเรอื่ งท่ีแต่ง
เลียนแบบชาดก การเปดิ เรอ่ื งแบบนี้สว่ นใหญ่ผ้เู ลา่ พยายามเลียนแบบปจั จุบันวัตถุในชาดก แต่มิได้ให้
รายละเอียดทีช่ ดั เจน เช่น เรอื่ งทา้ วขุลนู างอว้ั เคย่ี ม สำนวนจังหวดั ร้อยเอ็ดเปิดเร่ืองวา่ “เร่ืองท้าวขุลูนี้
ชาวบ้านชาวเมอื งเชื่อกันว่าเปน็ เรือ่ งพระโพธสิ ตั วม์ าเสวยพระชาติเป็นทา้ วขุลู และตอ่ ไปอีก 50 ชาติ ก็
จะตรสั รู้เปน็ พระพุทธเจ้า...” (วเิ ชียร เกษประทมุ , 2550, หน้า 203)
เรื่องจระเข้กับลิง เปิดเรื่องว่า “เรื่องชาดกนะ มีลำคลองหนึง่ มีต้นไม้ ทีนี้ลำคลองก็ไม่กว้าง
เท่าไรหรอก...” (วเิ ชียร เกษประทุม, 2550, หน้า 135)
เรื่องกากี เปิดเรื่องว่า “ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์กรุงพาราณสี มีพระ
มเหสีชื่อพระนางกากาติ มีสิริโฉมงดงามมากจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหัวเมืองใกล้เคยี ง ครั้งนั้นมีพญา
ครุฑจำแจงเพศเปน็ มานพมาเลน่ สกากับพระเจ้ากรุงพาราณสี...” (ธวัช ปณุ โณทก, 2553, หน้า 178)
นิทานพ้นื บ้านบางเร่อื งก็อ้างวา่ เป็นพทุ ธประวัตเิ ลย เชน่ เรื่องนางทาสกี ับพระพุทธเจ้า ซ่งึ เป็น
นิทานพ้นื บา้ นอีสานทเ่ี ลา่ ถงึ สาเหตุของการทำบญุ ข้าวจี่ คอื การนำข้าวเหนยี วมาปนั้ เป็นก้อนขนาดไข่
ห่าน ใส่น้ำอ้อยข้างในแล้วนำมาเสียบไม้ปิ้งจนเหลือง แล้วทาด้วยไข่เพื่อนำไปตักบาตร เปิดเรื่องว่า
“เมือ่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาประทับท่กี รุงราชคฤห์ ครัง้ น้ันบ้านเศรษฐีมนี างทาสคี นหนึง่ ช่ือว่าปุณณา...”
(ธวัช ปุณโณทก, 2553, หน้า 184)
นอกจากนี้บางเรื่องก็เล่าเพียงว่าเป็นเร่ืองที่เล่าต่อ ๆ กันมา เช่น เรื่องผีปา่ กินคน ซึ่งเล่าโดย
นายเกิน ไชเชิงชน เปิดเรื่องว่า “มีคนเก่า ๆ เล่าต่อ ๆ กันมา ไม่ทราบว่าใครเป็นต้นเรือ่ ง เป็นผ้สู ร้าง
เรื่องนิทานนี้ขึ้น...” (ถวัลย์ พึง่ เงนิ , 2552, หน้า 65)

1.2 การดำเนินเร่ือง

กลวิธีการประพนั ธ์การดำเนนิ เรอ่ื งนทิ านพน้ื บ้านประกอบดว้ ยการเลา่ ตามลำดับเวลา และการ
สรา้ งความขดั แยง้ และการคลคี่ ลายปัญหา

1.2.1 ดำเนนิ เร่ืองตามลำดบั เวลา
นทิ านพ้นื บ้านไทยโดยเฉพาะท่ถี ่ายทอดกนั แบบมุขปาฐะนยิ มเล่าเรอ่ื งตามลำดับเวลากอ่ น -
หลงั ดังตัวอย่าง
เร่อื งนกจาบหรอื ที่ภาคกลางเรียกว่านกกระจาบมโี ครงเรื่องเล่าตามลำดบั เวลาดงั นี้
- นกกระจาบสองผัวเมยี เขา้ ใจผดิ จงึ ฆา่ ตัวตายในกองไฟ
- ตัวเมยี เกิดเป็นนางสุวรรณเกสรธิดากษัตริย์ ตัวผ้เู กดิ เป็นสรรพสทิ ธิ์ลกู ชายเศรษฐี
- นางสุวรรณเกสรไม่พูดกับชายใด พระบิดาจึงเกณฑ์ชายหนุ่มมาแสดงความสามารถให้
พระธดิ าเลอื กคู่
- สรรพสิทธ์ิถอดหวั ใจพ่เี ลยี้ งเลา่ นิทานทำให้นางสุวรรณเกสรเจรจาและไดอ้ ภเิ ษกสมรส

72

- ระหวา่ งที่สรรพสทิ ธิ์ถอดหัวใจใสร่ า่ งกวาง พเี่ ลยี้ งถอดหวั ใจใสร่ า่ งสรรพสิทธิ์แล้วเข้าวงั
- นางสวุ รรณเกสรจับผดิ สงั เกตได้ จึงหลกี เล่ยี งไม่ใหส้ รรพสิทธ์ิปลอมเขา้ ใกล้
- สรรพสิทธ์ิถอดหัวใจใส่รา่ งนกบินมาหานางสวุ รรณเกสรและอบุ ายกำจัดพ่ีเลย้ี ง
- นางสวุ รรณเกสรอบุ ายใหพ้ ่ีเลย้ี งถอดหัวใจใสร่ า่ งแพะ ส่วนสรรพสิทธิ์ถอดหัวใจเข้ารา่ งตนเอง
และส่ังฆ่าแพะ
- สรรพสิทธิ์และสวุ รรณเกสรครองราชสมบตั อิ ยูใ่ นศีลในธรรม ทำบญุ ใหท้ าน เม่ือเสยี ชีวติ ได้ไป
เกดิ บนสวรรค์

เรือ่ งศภุ มติ ร มโี ครงเร่ืองเลา่ ตามลำดบั เวลาดงั น้ี
- ศุภมิตร เกศนี และโอรสสององค์ ครองเมอื งมคี วามสขุ
- อศภุ มิตรผ้เู ปน็ นอ้ งชายคิดกบฏ ศุภมติ รไม่ปรารถนานองเลอื ดจงึ พาครอบครัวหลบหนี
- ศุภมิตรพลดั พรากจากครอบครัว เนื่องจากพาณิชลักพานางเกศนี สว่ นนายพรานเบ็ดลัก
โอรสท้ังสองไปเล้ียง
- ราชรถมาเกย ศภุ มิตรได้เป็นพระราชา
- นายพรานเบด็ นำโอรสท้งั สองมาถวายตัว ศุภมิตรใหโ้ อรสเป็นนายเวรเฝ้าสำเภา
- นายเวรพบนางเกศนีและรูว้ า่ เป็นแมล่ กู กนั
- พาณชิ ใส่รา้ ยวา่ นายเวรข่มเหงภรรยา ศุภมติ รจงึ ลงโทษนายเวร
- ปุโรหิตเตอื นสติศุภมติ รใหพ้ ิจารณาไต่สวนจงึ ทราบว่าเปน็ โอรสและได้พบนางเกศนี
- ศภุ มิตร เกศนี และโอรสครองเมืองมคี วามสุข ปลูกโรงทาน เม่อื เสยี ชีวติ ได้ไปเกดิ บนสวรรค์

เรอ่ื งเจ้าพุทโท มีโครงเร่อื งเลา่ ตามลำดับเวลา ดังน้ี
- พทุ โทเปน็ ลูกตายายยากจน มีนิสยั เกยี จคร้าน
- พทุ โทจำใจออกไปหาปลา พระอนิ ทร์ไมต่ อ้ งการใหพ้ ทุ โททำบาปจงึ เนรมติ ปลาชอ่ นให้
- พทุ โทนำปลามาย่างเสียบไวท้ ห่ี ลงั คา
- เรอื ของพาณิชไมเ่ คลอ่ื น พุทโทฝากปลาช่อนไปแลกเคร่ืองทรงกษตั รยิ ท์ ำให้เรอื เคลื่อน
- พาณิชนำปลาชอ่ นถวายมเหสที ำใหห้ ายป่วย พระราชาจึงมอบเงินทองใสก่ ลองให้พทุ โท
- พทุ โทไมร่ วู้ า่ ภายในกลองมีของมคี า่ จงึ ไมส่ นใจและฝากกลองไปแลกเครอ่ื งทรงกษตั ริย์
- พาณิชนำกลองถวายโอรส โอรสเห็นของมีค่าในกลองจงึ หายป่วย ฝากศรวิเศษให้พทุ โท
- พทุ โทไมร่ ู้ว่าศรมีความวิเศษจงึ ไม่สนใจและฝากไปแลกเครอื่ งทรงกษัตรยิ ์
- พาณิชนำศรถวายท้าวมทั ราชใชป้ ราบศตั รูชนะ จงึ มอบนางพิมพาใหพ้ ทุ โท
- พทุ โทโวยวายอาละวาดไม่รวู้ ่าได้คู่ พระอนิ ทร์และนางสชุ าดาจงึ มาสัง่ สอน
- พทุ โทเปลีย่ นแปลงนสิ ยั ได้นางพมิ พาเปน็ คแู่ ละเนรมติ เมืองใหม่
จากตัวอย่างจะเห็นได้วา่ นทิ านพ้ืนบา้ นนยิ มดำเนนิ เรื่องตามลำดบั เวลา จากเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน้
ก่อนไปหาเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ภายหลงั

73

ส่วนนิทานพน้ื บ้านทม่ี กี ารบันทกึ เป็นลายลักษณแ์ ลว้ อาจมกี ารเล่าท้ังตามลำดับเวลากอ่ น -
หลงั และการเลา่ ย้อนอดตี กลา่ วคอื การทีต่ วั ละครเล่าเหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ข้นึ แลว้ ใหต้ ัวละครอ่ืนไดท้ ราบ
เหตกุ ารณน์ ั้นอีกครง้ั

1.2.2 ดำเนนิ เรอ่ื งด้วยความขัดแยง้ และการคลีค่ ลายปญั หา
นิทานพื้นบ้านมักดำเนินเรื่องด้วยความขัดแย้งหรืออปุ สรรคที่มีสาเหตตุ ่าง ๆ แต่ก็มักจะเป็น
ทำนองเดียวกันทกุ เรอ่ื ง ความขัดแย้งทปี่ รากฏในนิทานพืน้ บ้านมักเกิดขนึ้ ระหวา่ งตัวละครกับตัวละคร
ดว้ ยกนั ความขดั แย้งระหวา่ งตวั ละครกบั พระเจ้า ชะตากรรม หรอื อำนาจเหนอื ธรรมชาติ ความขดั แย้ง
ระหว่างตัวละครกับธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างตัวละครกับสังคม และความขัดแย้งภายในจิตใจ
ของตัวละครเอง ดงั ตัวอยา่ งดังน้ี
1) ความขัดแย้งระหว่างตัวละครกับตัวละครด้วยกัน เช่น เรื่องปลาบู่ทอง เป็นเรื่องความ
ขดั แยง้ ระหว่างพอ่ และแมข่ องนางเอ้ือย พอ่ ทอดแหไดป้ ลาบู่แตแ่ ม่กลบั ปลอ่ ยปลาบู่ พอ่ โกรธจึงถีบแม่
ตกน้ำตาย จากนั้นเป็นความขัดแยง้ ระหวา่ งแม่เลี้ยงและลูกสาวกับเอื้อย แม่เลี้ยงและลูกสาวคอยทำ
ร้ายกลั่นแกล้งนางเอื้อยตลอดเวลา เรื่องจำปาสี่ต้น เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างภรรยาหลวงกับ
ภรรยาน้อย ภรรยาหลวงอุบายให้พระราชาเข้าใจผิดว่าภรรยาน้อยคลอดลกู เป็นสุนัข 4 ตัว เพ่ือกำจัด
ทารกและภรรยาน้อย จนเป็นเหตุให้เกิดการดำเนินเรื่องด้วยเหตุการณ์อื่น ๆ ตามมา เรื่อง พระสุธน
นางมโนห์รา เปน็ เรอ่ื งความขดั แยง้ ระหว่างพระสุธนกบั โหราทีป่ รารถนาครองเมือง บางสำนวนก็วา่ เปน็
ความขัดแย้งระหว่างพระสธุ นกับโหราท่ีปรารถนาให้ธิดาสมรสกับพระสุธน จนเป็นเหตใุ ห้โหราอุบาย
กำจัดพระสุธนและนางมโนหร์ า เรื่องสงั ขท์ อง เป็นความขัดแยง้ ระหว่างพ่อตากบั ลูกเขยที่อัปลักษณ์
และต่ำตอ้ ย เป็นตน้

2) ความขดั แย้งระหวา่ งตวั ละครกับพระเจา้ ชะตากรรม หรืออำนาจเหนอื ธรรมชาติ เชน่ เรอ่ื ง
พระส่เี สาร์ เปน็ ความขัดแยง้ ระหวา่ งพระส่เี สาร์กับโชคชะตาราศี เกดิ พระศกุ รเ์ ขา้ พระเสาร์แทรกทำให้
พระสเ่ี สาร์ตอ้ งได้รบั ความทุกข์เดอื ดรอ้ นอยา่ งหลกี เล่ียงไมไ่ ด้ เรือ่ งศรีสทุ ศั น์สงั หสั ไชย เปน็ ความขดั แย้ง
ระหว่างศรีสุทัศน์และสังหัสไชยกบั วิบากกรรมในอดีต ทำให้สำเภาที่ทั้งสองอาศัยมาแตก ทั้งสองต้อง
พลัดพรากจากกัน เรื่องจันทคาด การที่นางพรหมจารีไม่ให้ท้าวสุทัสนจักรมีมเหสีใหม่ ทำให้ถูกท้าว
สุทัสนจักรลอยแพน้ันเป็นเพราะผลกรรมที่นางพรหมจารีเคยนำลูกแมวไปลอยน้ำ เรื่องทำไมข้าวจงึ มี
เมล็ดเล็ก เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับแม่โพสพ กล่าวคือ สมัยดกึ ดำบรรพ์ข้าวสาลเี กิดเองตาม
ธรรมชาติ ผลใหญ่เท่าลูกฟักทอง เวลาข้าวแก่จะกลิ้งเขา้ ยุ้งฉางเองไม่ต้องเก็บเกี่ยว วันหนึ่งมีแม่ม่าย
อารณ์ร้ายเห็นข้าวกล้ิงมาจำนวนมากเกะกะเต็มบ้าน จึงเอามีดฟันทั้งด่าไล่ให้ข้าวหนีไปจากบ้านของ
นาง แมโ่ พสพไดย้ นิ ดังนั้นก็โกรธทีน่ างไมร่ ู้จกั บญุ คณุ ของข้าว จงึ หนไี ปอยปู่ า่ กับฤๅษี ต่อมาฤๅษอี ้อนวอน
แมโ่ พสพให้ไปอย่กู บั ปู่เยอยา่ เยอ แมโ่ พสพจงึ ให้พันธข์ุ า้ วเมลด็ เลก็ แกเ่ ฒ่าทั้งสองไปปลกู เรื่องทำไมคน
จึงกินข้าววันละสามมื้อ เป็นความขัดแย้งระหว่างสุนัขกับพระยาแถน พระยาแถนสั่งให้สนุ ัขไปบอก
มนุษยว์ า่ ใหก้ นิ อาหารสามวันหนงึ่ ครง้ั แต่สุนัขแวะเทีย่ วเตร่จนลืมคำพระยาแถน พอได้พบมนุษย์ก็บอก

74

ว่าพระยาแถนสั่งให้กินข้าววนั หนึ่งสามครั้ง พระยาแถนโมโหจึงส่ังให้สุนัขมหี น้าท่ีกินมลู ของมนษุ ยใ์ ห้
หมดอย่าให้เหม็นมาถงึ เมอื งแถน เป็นตน้

3) ความขัดแย้งระหว่างตวั ละครกับธรรมชาติ เชน่ ตัวละครในนทิ านพ้นื บา้ นหลาย ๆ เรื่องทม่ี ี
เหตใุ หเ้ สยี ชวี ิต การเสยี ชวี ิตเป็นธรรมชาติของมนษุ ย์ แตห่ ากตวั ละครเอกเสยี ชีวิตกอ่ นกาลอันควรกเ็ ปน็
เหตกุ ารณ์ทไ่ี มพ่ งึ ปรารถนา เร่ืองเดโชไชย ขณะที่เดโชไชยตอ่ แพเพอื่ จะข้ามฟาก นางพรหมเกสรถูกน้ำ
ซดั หายไป ทำใหต้ ัวละครพลัดพรากจากกนั เป็นต้น

4) ความขัดแย้งระหว่างตัวละครกับสังคม เช่น การที่ตัวละครต่อสู้กับความยากจน การต่อสู้
ระหว่างเผ่าพันธุ์ การต่อสู้กับระบบค่านิยม เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านหลายเรื่องที่มกั
แสดงความขัดแย้งระหว่างตัวละครท่ีเป็นมนษุ ย์กับยกั ษ์ เร่อื งไกรทอง เป็นความขดั แย้งระหว่างมนุษย์
กบั จระเข้ เรือ่ งสุบนิ เปน็ ความขัดแย้งระหว่างมนษุ ย์กบั คา่ นิยมของสงั คม ดังจะเห็นได้จากการทแ่ี มข่ อง
สบุ ินไมใ่ ห้ลกู ชายบวช อยากให้ลูกเป็นนายพรานลา่ สตั ว์เหมอื นพอ่ แต่สบุ นิ ไมเ่ ชอื่ ฟังแม่ จนแมโ่ กรธ ตัด
แม่ตัดลูก เป็นตน้

5) ความขัดแย้งภายในจิตใจของตัวละครเอง เช่น เรื่องพระลอ พระเพื่อนพระแพงปรารถนา
จะไดพ้ ระลอแตใ่ นขณะเดยี วกันก็เกดิ ความละอายเกรงจะถูกตฉิ นิ นนิ ทา เป็นต้น

สาเหตุความขัดแย้งทีป่ รากฏมากในนิทานพ้ืนบ้านของไทย เช่น ความขัดแยง้ อนั เนือ่ งมาจาก
ความรัก ดังจะเห็นไดจ้ ากในนิทานพืน้ บา้ นมักมเี หตุการณ์ทีต่ วั ละครไม่สมหวงั ในความรัก การหงึ หวง
การอิจฉาริษยาเป็นเหตุให้เกิดการทำร้าย การใส่ร้าย การกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความทุกข์
เดือดร้อน ความขดั แย้งเนื่องจากความแตกต่างทางชนช้ัน ดงั จะเห็นไดจ้ ากเหตกุ ารณใ์ นนิทานพื้นบ้าน
ทีม่ กั นำเสนอใหเ้ หน็ ถึงความแตกต่างทางชนชั้นสถานะของตัวละครเป็นเหตใุ หต้ วั ละครที่สถานะต่ำตอ้ ย
ถกู รังเกียจ ถูกกำจัด ความขัดแย้งอนั เนื่องมาจากกเิ ลสราคะ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง การ
ไมป่ ฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ของสังคม ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากกรรม เช่น การท่ีตวั ละครตอ้ งพลดั พราก
จากกนั ในนทิ านพน้ื บา้ นมักกลา่ วว่าเป็นเพราะกรรมในอดตี ชาติ เปน็ ตน้

สว่ นการคลคี่ ลายปัญหานน้ั ในนิทานพ้ืนบา้ นไทยมกั คลี่คลายปญั หาด้วยการใช้ความสามารถ
ของตัวละคร เช่น การใช้ความสามารถในการรบ หรือการใช้ปัญญาแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ และการไดร้ บั
ความช่วยเหลือจากผู้วิเศษหรืออำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ รวมทั้งความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์
ธรรมดาทำให้ความขดั แยง้ หรอื อุปสรรคในเร่อื งคลคี่ ลายไป

เป็นทนี่ ่าสังเกตวา่ ความขดั แยง้ และการคล่ีคลายความขดั แย้งหรอื อุปสรรคในนิทานพน้ื บ้านมกั
เกดิ ขน้ึ คู่กนั เสมอ เมอ่ื เกิดความขัดแยง้ ขึ้นกม็ ักจะมกี ารคล่คี ลายความขัดแย้งนั้น แล้วจงึ มคี วามขัดแย้ง
และการคลี่คลายความขัดแย้งเรื่องอื่นต่อไป ซึ่งหากเรื่องใดมีความขัดแย้งและการคลี่คลายความ
ขัดแย้งหลายเร่ืองนิทานเรอื่ งนัน้ ก็จะมีความยาวมากข้นึ

75

1.3 การปดิ เรื่อง

นิทานพื้นบ้านนิยมปิดเรื่องหรือจบเรื่องด้วยความสุข มักสอนให้เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ช่วั
แตก่ ็มีบางเรอ่ื งทไี่ ม่ไดจ้ บเรอ่ื งด้วยความสุข ซึ่งมักเป็นนทิ านคำสอนหรืออธบิ ายเหตุ ส่วนเร่ืองใดที่อ้าง
ว่าเป็นชาดกก็มักปดิ เรือ่ งดว้ ยการประชุมชาดกหรือสโมธานคือการกล่าววา่ ตวั ละครในเรอื่ งได้กลับชาติ
มาเป็นใครในสมยั พุทธกาล ซ่ึงส่วนใหญ่จะกลา่ วถึงพระพุทธเจ้าเทา่ น้ัน นอกจากน้ีบางเรื่องยังจบด้วย
คำสอนอกี ด้วย

ปิดเรื่องดว้ ยความสขุ เชน่ เรอ่ื งเจา้ พทุ โทปดิ เรือ่ งว่า “...พุทโทได้นางพมิ พาเป็นภรรยา จากนั้น
นางพิมพาเนรมิตเมืองใหม่และพาตายายไปอยู่ด้วยความสุข” เรื่องเจ้าง่อยกับเจ้าตาบอดปดิ เรื่องว่า
“...ชายทั้งสองกก็ ลับกลายหายจากพกิ าร ชายท้งั สองก็มคี วามสุขสืบต่อมา”

ปดิ เรอ่ื งดว้ ยการประชุมชาดก เชน่ เร่ืองนางอทุ ยั ปดิ เรอ่ื งว่า “...ท้าวกญั จาคอื เทวทตั นางอุทัย
คือพระนางพิมพา ทา้ วกาวิโสทคอื พระสมั มาสัมพุทธเจ้า” เร่ืองนางอึ่งทองปิดเร่ืองว่า “...ทา้ วกาลราช
คือเทวทัต นางกาลเทวีคือนางสนทรี พระยาประเทศราชคือพระเจ้าสุทโธธน พระนางสุทเทวีคือ
พระนางสริ มิ หามายา นางอง่ึ ทองคือพระนางพิมพา ทา้ วสันนรุ าชคอื พระสมั มาสมั พุทธเจ้า”

ปิดเรื่องด้วยการอธิบายเหตุ เช่น เรื่องประวัติกินสลากปิดเรื่องว่า “...เหตุการณ์นี้จึงเป็น
มูลเหตใุ หเ้ กิดการทานสลากภัตรจนถึงทกุ วนั น้ี” เรอ่ื งเหตุท่ีเรียกหมาวา่ หมาปิดเรอ่ื งวา่ “...มนั ก็เลยช่ือ
ว่าหมามาตั้งแต่นั้น” เรื่องเหตุที่กระดองเต่ามีลวดลายปิดเรื่องว่า “...ตั้งแต่นั้นมากระดองเต่าจึงมี
ลวดลายดังเช่นทกุ วันน้ี”

2. ตัวละครในนิทานพ้นื บ้าน

ตัวละครในนิทานพ้ืนบ้านมที ั้งที่เป็นมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ สิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เทวดา นาค
กินรี คนธรรพ์ ยักษ์ มที ง้ั ท่ีเป็นส่ิงมีชีวิตและไม่มชี วี ติ ตวั ละครมีลักษณะท่สี มจรงิ แสดงพฤติกรรมและมี
ความรู้สึกนึกคิดคล้ายมนุษย์จริง ๆ และลักษณะที่เหนือจริง แสดงพฤติกรรมที่เกินวิสัยที่มนุษย์จะ
กระทำได้ พฤติกรรมของตวั ละครเป็นแบบฝ่ายธรรมและฝ่ายอธรรม สำหรบั ตัวละครในนิทานวรี บุรุษ
นิทานชีวติ และนิทานประจำถน่ิ มกั เปน็ ตัวละครที่คนในท้องถิน่ ท่เี ล่านิทานเชื่อว่าเปน็ บุคคลจริง มีชื่อ
ในประวตั ศิ าสตร์ หรอื เช่ือวา่ เปน็ บคุ คลท่มี อี ยจู่ รงิ ในประวตั ศิ าสตร์ เช่น พระร่วง พระยากง พระยาพาน
ไกรทอง ขุนแผน ขุนชา้ ง นางพิม เปน็ ต้น

ตัวละครหลักในนิทานพื้นบ้านประกอบไปด้วยตัวละครเอกชายและตัวละครเอกหญงิ ตัวโกง
และผชู้ ่วยเหลอื บุคลิกของตัวละครในนทิ านพ้นื บา้ นจะมลี กั ษณะคล้าย ๆ กนั ในทุกเรือ่ ง

2.1 ตวั ละครเอกชายและตัวละครเอกหญิง

ตวั ละครเอกชายและหญิงในนทิ านพ้ืนบ้านของไทยมักหมายถงึ พระเอกและนางเอกของเร่ือง
ตัวละครเอกจะมบี ทบาททุกตอนต้ังแตต่ ้นเรื่องจนจบเรอ่ื ง โดยเฉพาะตวั ละครเอกชายจะมีบทบาทต่อ
เนื้อเรือ่ งอย่างมาก ส่วนตัวละครเอกหญงิ จะมีบทบาทน้อยกว่า (ธวัช ปุณโณทก, 2553, หน้า 22) แต่
นิทานพืน้ บ้านไทยบางเรอ่ื งตวั ละครเอกหญงิ กม็ บี ทบาทเด่นและมากกว่า

76

รูปลักษณ์ของตัวละครเอก ตัวละครเอกชายและตวั ละครเอกหญิงในนิทานพ้ืนบา้ นสว่ นใหญม่ ี
รูปร่างหนา้ ตางดงาม แต่ก็มีตวั ละครเอกในบางเรื่องทม่ี ีรูปรา่ งหนา้ ตาอัปลักษณ์ เช่น สวุ รรณสิรสาเกิด
มามีแต่ศีรษะ ท้าวก่ำกาดำเกิดมาตัวดำ ท้าวกุศราชมีหน้าตาอัปลักษณ์ นายดันเกิดมาตาบอดตาใส
พระสังขซ์ ่อนอยูใ่ นรูปเงาะ นางอทุ ยั เกดิ มาซ่อนรปู อยูใ่ นคางคกหรอื กบ นางอึ่งทองเกดิ มาซ่อนรปู อยู่ใน
อึ่งอา่ ง นางแกว้ หน้าม้าหน้าตาเหมือนม้า เป็นต้น ตัวละครที่อัปลักษณ์นี้มีทัง้ ท่ีอัปลักษณ์ตั้งแต่กำเนิด
และการซ่อนรปู งามไว้ในรูปรา่ งภายนอกท่อี ปั ลกั ษณ์ ซึ่งมักอ้างว่าเป็นเพราะผลของกรรมที่ตวั ละครเอก
สร้างมาในอดีต หรือซ่อนตัวเพื่อให้พ่อแม่ไม่ลำบาก และการอำพรางตัวเพื่อทดสอบบุคคลอ่ืน
นอกจากนี้ยังมีตัวละครเอกทีไ่ ม่ใช่มนุษย์ด้วย รูปลักษณ์ของตัวละครเอกนี้ส่งผลต่อการดำเนินเรื่อง
นทิ าน รูปรา่ งหน้าตาทงี่ ดงามอาจเป็นสาเหตุทำให้เกดิ การสรู้ บแยง่ ชิง สว่ นรปู รา่ งหน้าตาทีอ่ ัปลักษณ์ก็
เป็นสาเหตุให้ไม่เป็นที่ยอมรับหรือถูกรังเกียจ ซึ่งเป็นปมขัดแย้งที่สำคัญเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในนิทาน
พื้นบ้านของไทย

สถานภาพทางสังคมของตัวละครเอก ตัวละครเอกในนิทานพืน้ บ้านมักถอื กำเนิดอยู่ในชนชน้ั
กษัตริย์ หรือชนชั้นสูง ฐานะร่ำรวย แต่มีบางเรื่องที่ตัวละครเอกเป็นคนชนชั้นต่ำต้อย ยากจน เช่น
นิทานท้าวกำพร้าทางภาคอีสาน สุวรรณสิรสา เจ้าพุทโท บุนทนาวงศ์ นางอุทัย นางอึ่งทอง นางแก้ว
หน้าม้า หรือตวั ละครบางตัวถือกำเนิดจากสตั ว์ เชน่ นางผมหอมมพี ่อเปน็ ช้างเพราะแม่ด่ืมน้ำปัสสาวะ
ช้าง กำพร้าบัวตองนางเอกมีแม่เป็นสุนัข เป็นต้น นอกจากนี้ตัวละครเอกหญิงบางตัวเป็นนางฟ้าถือ
กำเนิดในดอกบัวซึ่งฤๅษีเป็นผู้เลี้ยงดูก็มี ตัวละครเอกที่มีสถานภาพสูงอาจเป็นเสมือนตัวแทนความ
ปรารถนาของมนุษย์ในสังคมที่ต้องการมีชีวติ มีความเปน็ อยู่ที่สุขสบายเพยี บพรอ้ ม ส่วนตัวละครที่มี
ฐานะต่ำตอ้ ยกม็ กั จะเปน็ สาเหตขุ องความขดั แยง้ หรอื ปญั หาในเรอื่ ง แตใ่ นนิทานพนื้ บ้านมกั แสดงให้เหน็
ว่าแมต้ วั ละครจะมชี าติกำเนดิ หรอื ฐานะทยี่ ากจนแตห่ ากเป็นผมู้ ปี ญั ญา ประพฤตดิ ีงาม และมบี ุญแล้วก็
จะประสบความสำเร็จ ได้เลอ่ื นสถานภาพเป็นคนชนช้ันสูงได้

คุณสมบัติพิเศษของตัวละครเอก ตัวละครเอกในนิทานพื้นบ้านมักเป็นผู้มีบุญญาธิการหรือ
เปน็ /อา้ งวา่ เป็นพระโพธสิ ตั ว์เสวยชาตมิ าบำเพญ็ บารมี ตัวละครเอกจึงมกั มลี กั ษณะหรอื คุณสมบตั พิ เิ ศษ
แปลกกว่าบุคคลทัว่ ไป เช่น มีของวิเศษคู่กายมาแต่กำเนดิ หรือได้รับในภายหลัง พูดแล้วมีดอกไม้ทอง
รว่ งจากปากบ้าง สามารถเหาะเหนิ เดนิ อากาศได้ มสี ัตวว์ ิเศษเป็นพาหนะคใู่ จ เป็นตน้

ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของตัวละครเอก ตัวละครเอกชายมักเป็นผู้กล้าหาญ กตัญญู มี
ปัญญา มีความเพียร และมักมีเมตตา ให้อภัยผู้อื่น แต่มักมีภรรยาหลายคนซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความ
ขัดแย้งต่าง ๆ ในเรื่อง ส่วนตัวละครเอกหญิงมักมีลักษณะอย่างกุลสตรี รักเดียวใจเดียว ตัวละครเอก
หญิงในนทิ านพน้ื บา้ นบางเรือ่ งมีปัญญาและมีความกล้าหาญมาก บางคร้ังเก่งและมีบทบาทเด่นกว่าตัว
ละครเอกชาย เช่น นางแกว้ ในเร่ืองแกว้ หนา้ ม้าหรอื นางสัปดนในภาคใต้ นางพรหมเกสรในเร่อื งเดโชชยั
นางพรหมเกสรในเร่ืองจนั ทคาด นางอทุ ัยในเรอื่ งนางอทุ ัยหรอื อุทยั เทวี เป็นต้น

77

2.2 ตวั โกง

ตวั โกงหรือศตั รู เป็นตัวละครฝ่ายอธรรมที่คอยขัดขวางหรือทำรา้ ยตวั ละครอน่ื ใหเ้ ดือดรอ้ นเปน็
ทุกข์ ตวั โกงมบี ทบาททำให้เห็นความเก่งกลา้ สามารถของตัวละครเอก ตัวโกงในนทิ านพ้ืนบา้ นของไทย
มักมีลกั ษณะร่วมดงั นี้

รูปลักษณ์ของตัวโกง นิทานพื้นบ้านมักไม่ค่อยกล่าวถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกของตัวละครท่ี
เปน็ ตัวโกงนัก มักกล่าวเพยี งว่าเป็นยักษ์ เปน็ สัตว์ หรอื เปน็ มนษุ ย์ ครงึ่ มนุษย์ครึง่ สัตว์ ตัวโกงในนิทาน
พื้นบ้านบางเรื่องเป็นคนในครอบครัวเดียวกันหรือเป็นพี่น้องกับตวั ละครเอก มีรูปร่างหน้าตางดงาม
คลา้ ยตวั ละครเอกดว้ ย แต่มนี ิสยั และพฤตกิ รรมต่างจากตัวละครเอก

สถานภาพทางสังคมของตัวโกง ตัวโกงในนิทานพื้นบ้านมักเป็นผู้ที่มสี ถานภาพสูง เช่น เป็น
กษัตรยิ ์หรอื โอรสกษตั รยิ ์ เป็นพระยายกั ษ์ เป็นโหร อำมาตย์ อาจเปน็ มเหสอี งค์ใดองคห์ นงึ่ เป็นพี่น้อง
กับตวั ละครเอก เป็นพระยาแห่งสัตว์ เปน็ ต้น ซึ่งจะสังเกตไดว้ ่าตัวโกงมักมีสถานภาพทางสงั คมสงู เป็น
ผมู้ ีอำนาจมาก สามารถกระทำบทบาท “เหนือ” และส่งผลดผี ลรา้ ยต่อตัวละครอ่ืน ๆ ได้

คุณสมบัตพิ เิ ศษของตัวโกง ตัวโกงบางตวั มีอำนาจวเิ ศษหรอื มขี องวิเศษตดิ ตัวตัง้ แต่กำเนิดหรือ
ได้รับในภายหลังเช่นเดยี วกับคุณสมบัติพเิ ศษของตัวละครเอก ซึ่งส่งผลให้บทบาทและความสามารถ
ของตวั ละครเอกเด่นขึ้น เพราะสามารถชนะตวั โกงซ่ึงมีอทิ ธิฤทธฤิ ทธม์ิ ากได้

ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของตวั โกง ตัวโกงในนิทานพ้ืนบา้ นมักเป็นผู้ทมี่ ีกิเลส โทสะ โมหะ
โลภะ ฆา่ สัตวต์ ดั ชวี ติ อยากไดอ้ ำนาจ ทรัพย์สมบตั ิ สามหี รือภรรยาของผู้อืน่ ประพฤติผดิ ศีล 5 เปน็ ต้น
ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือปัญหาในการดำเนินเรื่อง ซึ่งเป็นเสมือนภาพ
สะท้อนของมนษุ ยใ์ นสังคมจริงท่มี ีท้ังคนดแี ละคนไมด่ ปี ะปนกนั ไป

ตัวโกงมักมีจุดจบด้วยความตาย ความผิดหวัง ถูกลงโทษ ได้รับความทุกข์ทรมาน นอกจากนี้
ตัวโกงในนิทานพื้นบ้านบางเรื่องยังเป็นตวั ละครท่ีเปล่ียนแปลงนสิ ัย ในตอนท้ายเรื่องเปลีย่ นเปน็ คนดี
ตลอดจนเปน็ บรวิ ารของตวั ละครเอกด้วย

2.3 ผู้ชว่ ยเหลือ

ผู้ช่วยเหลือคือตวั ละครฝ่ายธรรมที่คอยช่วยเหลือตัวละครเอกหรือตัวละครฝ่ายธรรมเมื่อตก
ระกำลำบาก ได้รับความทุกขย์ ากเดือดรอ้ น ตัวละครที่เป็นผู้ช่วยเหลือในนทิ านพื้นบ้านคือพระอนิ ทร์
ฤๅษี เทวดา นางฟ้า สัตว์วเิ ศษ ตายาย หรือวิญญาณของผทู้ ่เี สียชวี ติ ไปแลว้

บทบาทของตวั ละครผูช้ ว่ ยเหลือ เช่น ชว่ ยอปุ ถัมภเ์ ล้ยี งดู มอบของวเิ ศษ หรอื ช่วยชุบชีวิตหาก
ตัวละครเอกเสยี ชวี ิตกอ่ นกาลอนั ควร เช่น พระอินทรใ์ นนทิ านพน้ื บ้านมีบทบาทช่วยเหลือตัวละครเอก
อาจชุบชวี ติ สรา้ งปราสาทใหอ้ ยู่ ใหข้ องวเิ ศษ บอกทศิ ทาง ฤๅษีมีบทบาทอปุ ถมั ภ์เล้ยี งดู สอนวิชาความรู้
มอบของวิเศษ มอบนางในดอกบวั ใหเ้ ป็นชายาของตวั ละครเอก ตายายมบี ทบาทให้ท่ีพกั อาศยั เปน็ ต้น
ตัวละครผชู้ ่วยเหลือน้ชี ว่ ยให้ปญั หาและอุปสรรคในเรอ่ื งคลี่คลายและเปน็ ส่วนหนึง่ ที่ทำใหเ้ หน็ ความเปน็

78

ผมู้ บี ญุ และเปน็ คนดขี องตัวละครเอกที่ “ตกนำ้ ไมไ่ หล ตกไฟไม่ไหม้” รวมท้งั ทำให้เห็นลกั ษณะนิสัยของ
ตัวละครเอกที่เป็นคนกตัญญู และสามารถปรบั ตัวให้ดำเนินชวี ิตไดแ้ ม้จะอยู่ในสถานภาพเช่นไรกต็ าม

นอกจากตัวละครเอกฝ่ายชายฝ่ายหญิง ตัวโกง และผู้ช่วยเหลอื ซึ่งเป็นตัวละครหลักแล้ว ใน
นิทานพื้นบ้านยังมีตัวละครประกอบอืน่ ๆ อีก เช่น พ่อ แม่ อำมาตย์ นายพราน พราหมณ์ ชาวบ้าน
สัตว์ ฯลฯ ที่อาจมีบทบาทในเนื้อเรื่องไม่มากนักแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปได้อยา่ ง
สมบูรณ์จนจบเรื่อง และแม้นิทานพื้นบ้านจะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้สำหรับสั่งสอนโดยตรง แต่
พฤติกรรมของตวั ละครตา่ ง ๆ ในเรือ่ งกช็ ้ีให้เห็นว่าฝ่ายธรรมย่อมชนะฝ่ายอธรรมเสมอ

3. ฉากของนทิ านพนื้ บ้าน

ฉากคือสถานท่ี สิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั บรรยากาศตา่ ง ๆ ท่ปี รากฏในเรอ่ื ง ฉากของนิทานพื้นบ้าน
มที ัง้ ฉากโลกแห่งความจริงและฉากโลกจนิ ตนาการ

3.1 ฉากโลกแห่งความจรงิ
ฉากโลกแหง่ ความจริง คือ ฉากท่ีเปน็ สถานทีท่ มี่ อี ยจู่ รงิ ดังจะเหน็ ไดจ้ ากฉากบ้านเมืองที่ระบุ
สถานที่ชัดเจนตามภมู ิศาสตร์หรอื ประวัตศิ าสตร์ เช่น ฉากเกาะหนู เกาะแมว ทจ่ี ังหวดั สงขลา จากเร่ือง
ประวตั เิ กาะหนเู กาะแมว ฉากเขานมสาว เกาะกระบงุ เขาล้อมหมวก เกาะสาก แหลมงอบ เขาตะเกียบ
เกาะจาน เขาช่องกระจก ที่จังหวัดประจวบครี ีขันธ์และจังหวัดทางทะเลในภาคตะวันออก จากเรื่อง
ตาม่องล่าย พระธาตุก่องข้าวน้อย ที่จังหวัดยโสธร จากเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ฉากเขาสามมุก หาด
บางแสน จังหวัดชลบุรี จากเรื่องตำนานเขาสามมุก เป็นต้น นิทานพื้นบ้านท่ีมักใช้ฉากโลกแห่งความ
จรงิ มกั เป็นนิทานพ้ืนบา้ นประเภทตำนาน นิทานประจำถิน่ หรือนทิ านอธิบายเหตุ นิทานวรี บรุ ุษ
3.2 ฉากโลกจินตนาการ
ฉากโลกแห่งจนิ ตนาการ คอื ฉากท่ไี ม่ได้มีสถานทอ่ี ยจู่ รงิ เป็นฉากทผี่ ูแ้ ตง่ จินตนาการหรือเป็น
ความเชื่อที่เชื่อถือกันมา เช่น สวรรค์ นรก บาดาล ป่าหิมพานต์ เมืองยักษ์ เมืองมนุษย์ที่แปลก
ประหลาด เป็นต้น นทิ านพน้ื บ้านทมี่ ักใช้ฉากโลกแหง่ จนิ ตนาการมกั เป็นนทิ านพื้นบ้านประเภทนิทาน
มหัศจรรย์หรอื นิทานจกั ร ๆ วงศ์ ๆ
ในนิทานพืน้ บ้านเรอื่ งหน่งึ ๆ จะปรากฏฉากตา่ ง ๆ หลากหลายฉาก ท้ังฉากโลกแหง่ ความจริง
และฉากโลกจนิ ตนาการปะปนกันไป เช่น ฉากบ้านเมอื ง ฉากพระราชวงั ฉากบ้านเศรษฐี บ้านตายาย
ป่า ภเู ขา แมน่ ้ำ ฯลฯ ฉากทปี่ รากฏในนิทานพ้นื บา้ นของไทยส่วนมากเป็นฉากส่ิงแวดล้อมที่เป็นท่ีราบ
ลุ่ม ประกอบไปดว้ ยป่าไม้ ภเู ขา แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง (วเิ ชียร เกษประทมุ , 2550, หนา้ 18) ทผี่ ู้
แต่งหรือผเู้ ล่าพรรณนาตามความเป็นจรงิ และที่แต่งเตมิ เสริมจนิ ตนาการเข้าไป และแม้ว่าจะไมส่ ามารถ
ตอบได้ว่าฉากที่ปรากฏในนิทานเป็นสถานที่เกิดเหตุจริง ๆ หรือไม่ แต่ฉากในนิทานก็สามารถทำให้
ผู้อา่ นผู้ฟงั พอจะมองเห็นสภาพความเปน็ อยู่ การคมนาคมขนส่ง สภาพธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม ตลอดท้งั
สตั วต์ า่ ง ๆ ในทอ้ งถิน่ ได้
ฉากในนิทานพื้นบ้านจึงมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนให้เห็นสภาพบ้านเมืองจริง ๆ และ
สะท้อนจินตนาการของผู้แต่งนิทาน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเสริมให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของตัวละครเอกที่มี

79

อภินิหารเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ได้ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์เร้นลับ (ธวัช ปุณโณทก, 2553, หนา้
22) ท้งั โลกมนษุ ย์ สวรรค์ และบาดาล (ธวัช ปณุ โณทก, 2543, หน้า 17) นอกจากน้ีจะเห็นไดว้ ่าฉากใน
นิทานพืน้ บ้านที่เลา่ แบบมขุ ปาฐะจะมกี ารพรรณนารายละเอียดนอ้ ยกว่านทิ านพื้นบ้านที่บันทึกไว้เป็น
ลายลกั ษณ์

4. ลกั ษณะคำประพันธข์ องนทิ านพ้ืนบา้ น

ปกติแล้วการถ่ายทอดนิทานพื้นบา้ นนยิ มถา่ ยทอดกันแบบมุขปาฐะ ด้วยลักษณะคำประพันธ์
แบบร้อยแกว้ อาจมกี ารขบั เปน็ ทำนองตามลักษณะคำประพันธ์ทนี่ ยิ มกนั ในแต่ละทอ้ งถิ่นบา้ ง ลักษณะ
คำประพนั ธ์ของนิทานพื้นบา้ นจงึ มีทง้ั ทีเ่ ปน็ คำประพันธ์แบบรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองพนื้ บ้าน

4.1 รอ้ ยแก้ว

นิทานพื้นบ้านส่วนใหญ่ถูกเล่าเป็นภาษาพูดร้อยแก้วธรรมดา มักมีถ้อยคำเจรจาของผู้เล่า
สอดแทรกอยู่ด้วย เช่น เรอื่ งงเู หลือมทำไมไม่มพี ิษ ซงึ่ เล่าโดยนายเสวียน อุน่ ดี เรือ่ งเล่าวา่ เมือ่ สมัยก่อน
นี้งเู หลอื มเขาเรียกว่างเู จา้ ผู้ย่งิ ใหญ่ งูเหลือมมฤี ทธ์ิเดชมาก ๆ สามารถกัดปบุ๊ ตายป๊บั ไมต่ อ้ งกลัวหรอก
ว่างนู ี่กดั แลว้ จะไมต่ าย อยู่มาวันหน่งึ เกิดการพนนั กับงูด้วยกันทีอ่ ยู่ในท่นี ั้น งตู ัวหนงึ่ ก็บอกว่า “เค้าเล่า
วา่ งเู หลือมกดั คนไมต่ ายหรอกเปน็ งูไม่มีพษิ ” ฝา่ ยงเู หลอื มเม่ือถูกสบประมาทต่อหนา้ มันดถู ูกกนั เกนิ ไป
ดังนั้นงูเหลือมก็บอกว่าเรามาพนนั กนั มยั้ เจา้ งตู ัวน้นั กบ็ อกว่า “เอาละวา่ มาเลยจะพนนั กันอย่างไรวา่ มา
เรายนิ ดี” ฝา่ ยงเู หลอื มกพ็ ูดขึ้นว่า “เราจะกัดชาวนาคนนี้แหละทีก่ ำลงั เดนิ มานี่ให้ตาย” ทีน้ีงูก็บอกว่า
“ถ้ากดั ไม่ตายท่านจะมอี ะไรเป็นส่ิงตอบแทน” งูเหลอื มก็บอกวา่ “ถ้าเรากัดชาวนาคนนไี้ ม่ตาย เราจะ
ยอมคายพษิ ทมี่ อี ยู่ในรา่ งกายเราออกใหห้ มด และเราจะเปน็ สตั ว์ธรรมดา ไม่เป็นเจา้ สัตว์ และไม่ยอมสู้
กบั งดู ้วยกัน” พอดีชาวนาคนน้ันก็เดินผ่านมา งเู หลอื มก็ฉกทนั ทีเลยครบั ชาวนานน้ั ล้มลง งูตัวน้ันก็คิด
สงสัยว่า เราจะถูกลบชือ่ ออกจากบัญชี เราคงต้องแพ้แน่ ก็เกิดการตรวจชาวนาที่ล้มลงว่ามันตายจรงิ
หรือเปล่า ก็เขา้ ไปดกู นั เลย ปรากฏว่ากระเปา๋ ทางซ้ายตรงหัวใจยงั เตน้ อยู่ งเู หลือมไดเ้ ห็นเช่นนั้นก็ตกใจ
เจ้างูตัวนัน้ เมื่อเห็นก็ทวงสัญญาเลยทันที “เจ้างเู หลือมว่ายังไงกนั ล่ะสัญญา” งูเหลือมก็เสียอกเสียใจ
กระทอกพษิ ที่มีออกมากองเป็นพะเนินเลย บรรดางูต่าง ๆ ที่ไม่มีพิษทีอ่ ยู่ในป่านั้นก็เขา้ ไปกินพิษเลย
ขั้นแรกงูจงอางเข้าไปกินก่อน งูเห่าก็เข้าไปกินอกี งูทับทาง งูแมวเซา ฝ่ายเจ้ามดตะนอยอยู่ขา้ งหลัง
กว่าจะได้เขา้ ไปก็ยืนเอามือเท้าสะเอวจนสะเอวกิ่ว แต่ก็ยังมีโอกาสได้เอากน้ จุ่ม ทีนี้สัตว์เหล่านีก้ ็มพี ษิ
เพราะงูเหลอื มเข้าใจผิด คิดว่ากัดคนแล้วไม่ตาย แต่ความจรงิ ตายแลว้ ที่ตรงกระเป๋าด้านซ้ายที่เต้นอยู่
น้ันคือปู ไม่ใช่หวั ใจเต้น (วิเชียร เกษประทมุ , 2550, หนา้ 73 – 74)

อีกตัวอยา่ งคอื เร่อื งทำบุญไม่เจตนา เลา่ โดยนายเสริม เย็นฉำ่ เร่ืองเลา่ วา่ กม็ ีนางคนหนงึ่ แกทำ
ขนมเบื้อง มีพระอรหันต์เถระมาบิณฑบาต ความจริงแกเป็นคนขี้ตระหนี่ไม่อยากให้ใครกิน ตานี้
พระองค์นั้นเขารู้นี่จะโปรดปรานก็ต้องรู้จรติ ของคนก่อน ก็ไปยืนคอยอยู่ ไอ้นางก็กำลังโขลกทำขนม
เบ้อื งอยู่ ก็เลยฉวิ ข้นึ มา ไมร่ จู้ ะทำยงั ไงกเ็ ลยให้ไปเลย ขว้างขนมเบือ้ งใหเ้ ลย ใหด้ ว้ ยความไม่ใช่วา่ ศรทั ธา
จรงิ นะครับ กเ็ ลยไปถกู เอา ขวา้ งไปในท่ีสุด ท่านกไ็ มเ่ คอื งนะพระอรหนั ตน์ ่ะ อานสิ งสน์ น้ั ไปเกิดเป็นลูก

80

เศรษฐีหนา้ ไมส่ วยแตก่ ล่ินตัวหอม ก็มีเจา้ ชายองคห์ นึ่งไปถูกตัวเข้ากต็ ดิ อกตดิ ใจเอามาเปน็ พระราชินีได้

แตร่ ปู รา่ งไมส่ วยนะครบั แตก่ ล่นิ ตัวหอม เป็นคนขี้ตระหนี่ทำบุญไมเ่ จตนาจึงไดเ้ ปน็ เช่นนั้น (ถวัลย์ พ่ึง

เงนิ , 2552, หนา้ 64)

นทิ านบางเรื่องเปน็ ร้อยแกว้ แบบเปน็ บทสนทนาโตต้ อบกนั ตามแบบแผนของผู้เลา่ และผูฟ้ งั

เชน่ ผเู้ ลา่ : มหี ญิงสาวผเู้ ฉิดโฉมคนหนงึ่

ผ้ฟู งั : นั่นฉนั เอง

ผู้เล่า : เธอสวยงามยงิ่ นัก

ผฟู้ ัง : น่นั ฉนั เอง

ฯลฯ (ตอบทกุ ประโยคเหมอื นกนั )

ผ้เู ล่า : เธออมุ้ ลงิ ตวั หน่งึ

ผูฟ้ งั : นน่ั ฉันเอง (ธวัช ปุณโณทก, 2553, หน้า 27)

เหตทุ กี่ ารถา่ ยทอดนทิ านเปน็ การเลา่ สืบตอ่ กันมาเปน็ เวลานาน จึงทำใหม้ ีการเปลี่ยนแปลง

ถอ้ ยคำสำนวนไม่คงที่ อีกทง้ั ภาษาพดู ของผูเ้ ลา่ แต่ละคนกม็ วี ธิ ีการเลา่ ที่แตกตา่ งกัน ขึน้ อยู่กบั อารมณ์

นำ้ เสียง คำอทุ าน ประกอบการเลา่ นทิ านในทอ้ งถิน่ แต่ละทอ้ งถนิ่ กย็ ่อมทำใหถ้ ้อยคำภาษาแตกตา่ งกัน

ไปด้วย (ถวัลย์ พงึ่ เงนิ , 2552, หน้า 89)

4.2 รอ้ ยกรองพ้ืนบ้าน

นทิ านพื้นบา้ นไดร้ บั ความนยิ มมาก นอกจากจะเลา่ กันแบบมุขปาฐะแล้ว นทิ านเร่ืองใดที่ได้รับ

ความนยิ มแพรห่ ลายมากกม็ ักจะมีการบนั ทึกไว้เปน็ ลายลกั ษณ์ในสมุดไทยหรอื สมดุ ขอ่ ยหรือหนงั สือบดุ

ใบลาน ป๊ับสา เป็นตน้ ด้วยลักษณะคำประพันธ์ทีน่ ิยมในแต่ละทอ้ งถ่ิน เป็น “วรรณกรรมลายลักษณ์”

เพื่อใช้อ่านหรอื ขบั ลำในทีช่ มุ ชน (ธวชั ปณุ โณทก, 2553, หนา้ 23 – 24) เช่น

ภาคเหนือ มีผู้นำนิทานพื้นบ้านมาประพนั ธ์เป็นวรรณกรรมลายลักษณเ์ รียกว่า “ค่าวซอ” ไว้

ขับลำ เช่น ค่าวซอเร่ืองหงสห์ ิน ค่าวซอเรื่องพระแสงเมืองหลงถำ้ ค่าวซอเรื่องช้างโพงกบั นางผมหอม

เปน็ ต้น

ตัวอยา่ งคา่ วซอ

สงั วา่ บก่ ลับ คนื มารอดแลว้

ไปดักขามด้าน ตงั ใด

หลางวา่ ปอคิด ใจตดิ จติ หมาย

ห่วงแหนอาลยั เมยี แปงนอ้ งเหนา้

กาวา่ ผัวตู หลงหนไต่เต้า

เสยี ลมื กลับมา ด่านยกั ษ์

สว่ นสุนัขขา รกั ษาลกู น้อย

ห้อื สองลูกรัก ดูดก๋ินนมต๋น...

(กำพร้าบัวตอง)

81

ภาคอีสาน มีผู้นำนทิ านพื้นบ้านมาประพนั ธเ์ ปน็ วรรณกรรมลายลักษณ์ เรียกวา่ “โคลงสาร”
เพื่อใชข้ ับลำ เชน่ ลำเรอ่ื งท้าวสีทน ลำเรอื่ งกาละเกด ลำเรอื่ งสินไซ เปน็ ต้น

ตวั อยา่ งโครงสาร ไมล้ า่ วล้ม ตันฮอ่ มเขาฮอม
หลงิ เหน็ ภธู รลดั เสยี บพนองนำน้อง
เหน็ ผากวา้ ง เขาคำคล้อยคำ่
ตอนน้ัน อนิ ทร์แตง่ ต้ัง เขาเรื้องรุง่ เรือง
เลง็ ภาคพ้ืน เป็นรม่ เรงิ รมย์
พระลานเพียงงาม ดังลานเลยี นลา้ น
ทกุ ประดาถว้ น สวุ รรณทที กุ ที่
ภวู นาถเจา้ ในสล้ังรุง่ หลงั
เยอ้ื นยากทา้ ว ทง้ั แร่งโรยแรง
เดนิ ดอยหลวง กว่าไกลฤๅใกล้
เลยคราวขึ้น เขางอนเมืองอ่ น
คดิ แม่ปา้ ปนุ ใหฮ้ ำ่ ไฮ...

(ลำสนิ ไซ ตอนชมดง)

ภาคกลาง มผี ้นู ำนทิ านพืน้ บา้ นมาประพันธ์เปน็ กลอนสวด คือ วรรณกรรมที่ใช้สำหรับสวดอ่าน

ในที่ประชุมชนหรืออ่านกันเองตามครวั เรอื น ประพันธ์ด้วยกาพย์ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ กาพย์ยานี กาพย์

ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ สลบั กันไปตลอดเรื่อง อาจมีคำประพันธ์ประเภทอื่นแทรกบ้างเล็กน้อย และ

อาจมีคำประพนั ธก์ าพยท์ ่เี รียกชือ่ เปน็ อยา่ งอื่นซ่ึงสันนิษฐานวา่ เป็นการบอกท่วงทำนองในการสวด ซงึ่ มี

ลีลาสอดคล้องกับเนอ้ื หาและอารมณ์ในเนื้อเรื่อง (ตรีศลิ ป์ บญุ ขจร, 2547, หนา้ 80) เชน่ เรียกกาพย์

ยานีว่านางกราย กาบอกขา่ ว พิลาปสงั กา เอวงั โอ้โลม เรียกกาพย์ฉบงั ว่า มหาเสนา ฉบงั นางนอง ฉบัง

โลมกนั เรียกกาพยส์ ุรางคนางค์วา่ พลิ าป โรทรรตี มังกอน นิทานกลอนสวดภาคกลางมีหลายเร่อื ง บาง

เรือ่ งมีชอ่ื เสยี งเป็นทีร่ จู้ กั กันดีจนถึงปจั จบุ ัน เช่น สงั ข์ศลิ ป์ชัยกลอนสวด ปลาบู่ทองกลอนสวด นางอุทัย

กลอนสวด นกกระจาบกลอนสวด สุธนูกลอนสวด พระสี่เสารก์ ลอนสวด เปน็ ตน้

ตวั อยา่ งกาพย์ยานี

๏ นางคิดสร้างศาลา คนไปมานจิ กาล

แตง่ โภชนาหาร ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศาลา

๏ จา้ งชา่ งใหเ้ ขียนไว้ เรื่องทา้ วไทแตต่ ้นมา

จนเถงิ พระราชา พาขนึ้ ลำสำเภาไป…

(สุธนูกลอนสวด)

82

ตัวอย่างกาพยฉ์ บงั ยมบาลท้งั หลาย
เกิดชาติใหมน่ นั้
๏ ไฟนรกนนั้ เลา่ เผากาย
จะทม่ิ จะแทงสบั ฟัน (ณรงคจิตรชาดกกลอนสวด)
๏ ไปชั่วพุทธนั ดรกัลป์
เขญ็ ใจไรท้ รัพยอ์ ปั รีย์

ตัวอย่างกาพยส์ รุ างคนางค์

๏ แม่นกเปน็ ทกุ ข์ สรอ้ ยเศรา้ เจา่ จกุ ทกุ ข์หนกั ใครจะปาน

ไม่เหน็ ผัวมา โศการำคาญ ด้วยลูกสงสาร จะมาบรรลยั

๏ จง่ึ นางนกกระจาบ เอาปากจกิ คาบ เอาลูกทันใจ

จะพาลกู ตน ไปให้พน้ ไฟ คาบไปไม่ได้ รำ่ ไรโศกา

(นกกระจาบกลอนสวด)

นอกจากนยี้ งั มผี นู้ ำนทิ านพน้ื บ้านมาประพนั ธเ์ ป็นกลอนบทละคร (นอก) และกลอนนทิ านด้วย

เชน่ กลอนบทละครเรือ่ งนางมโนห์รา ไชยเชษฐ์ มณพี ิชัย กลอนนทิ านเรอื่ งโสนนอ้ ยเรอื นงาม โคบุตร

เปน็ ตน้

ตวั อย่างกลอนบทละคร

๏ เมือ่ น้นั นางจนั ทรเทวศี รีใส

อินทรามาเขา้ ดลใจ พเอิญให้รอ้ นรนพ้นปัญญา

คิดจะใคร่ไปสรงชลธี ยังท่ีฉนวนนำ้ ประจำท่า

ชวนฝงู กำนัลในไคลคลา ลีลามาสตู่ ำหนกั แพ...

(มณพี ิไชย ตอนพราหมณย์ อพระกลนิ่ ขอพระมณพี ไิ ชยไปเปนทาษ)

ตวั อยา่ งกลอนนทิ าน รบั ผอบอัยกานา้ํ ตาไหล
๏ บดั นนั้ พระจันทโครบ ชลนัยนไ์ หลหลงั่ ลงพรงั่ พราย
เข้ากอดบาทดาวบสระทดใจ จะประเวศไปไกลก็ไจหาย
โอพ้ ระคณุ เคยอ่นุ ศโิ รเพศ ใครจะสอยผลไมก้ ็ไมม่ ี
เคยประเคนเพลเชา้ จะเปล่าดาย (จนั ทโครบเปิดผอบ โจรป่าชิงนางโมรา)

ภาคใต้ มีผู้นำนิทานพื้นบ้านมาประพันธ์เป็นกลอนสวดหรือคำกาพย์เช่นเดียวกับภาคกลาง
เชน่ นางสปั ดนคำกาพย์ นายดนั คำกาพย์ สบุ นิ คำกาพย์ สุวรรณหงส์คำกาพย์ วนั คารคำกาพย์ นกจาบ
คำกาพย์ นางอุทัยคำกาพย์ เปน็ ต้น

83

ตวั อย่างกาพยย์ านี นางน้องแก้วผบู้ ตุ รี
๏ แตเ่ ช้าจนค่ำแลว้ นางเทวีคืนเอามา
คิดถงึ วิฬารี กรรมนัน้ เลา่ ตดิ ตามมา
๏ เลยี้ งดูไปดังเกา่ มาชาตินต้ี ้องลอยแพ…
เพราะทำแก่วิฬาร์
(จันทคาดคำกาพย์)

ตวั อย่างกาพยฉ์ บงั เขา้ ในคามนั
๏ วนั หนงึ่ แตเ่ ช้าเต้าผนั เหน็ แล้วเบอื นหน้า
หันเข้าไปสเู่ คหา
๏ นายดันผนั แปรแลมา (นายดันคำกาพย์)
ทำวา่ ไมร่ ไู้ มเ่ หน็ …

ตัวอยา่ งกาพยส์ รุ างคนางค์

๏ เกิดมาชาตนิ ้ี นอ้ ยทรัพยอ์ ัปรยี ์ มแี ต่จะขดั ขอ้ ง

ทำบญุ ตามป่าว แตกร้าวเศรา้ หมอง ใหท้ านขา้ วของ เปน็ ทาสทานทำ

๏ ไม่ประณีตบรรจง ทำบุญหมุนหลง ลงใส่ในกรรม

เอาของอปั รา เอามากระทำ ใหป้ นแกลบรำ ราคีหมงิ าม...

(สุวรรณหงสค์ ำกาพย)์

กลวิธกี ารประพันธ์นิทานพ้ืนบ้านไทยทก่ี ล่าวมาทง้ั หมดเป็นเพียงข้อสงั เกตจากลักษณะรว่ ม

ของนทิ านพน้ื บา้ น หากแตค่ วามจรงิ แลว้ นทิ านพ้นื บ้านไม่มกี ฎเกณฑก์ ารประพันธท์ ่ีตายตัวแต่อย่างใด

แบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 3

จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้

1. กลวธิ กี ารประพนั ธโ์ ครงเรื่องของนิทานพน้ื บ้านเปน็ อยา่ งไร
2. กลวธิ ีการประพนั ธต์ วั ละครของนิทานพื้นบ้านเปน็ อย่างไร
3. กลวธิ กี ารประพันธ์ฉากของนทิ านพื้นบา้ นเปน็ อยา่ งไร
4. ลกั ษณะคำประพันธ์ของนิทานพื้นบา้ นเปน็ อยา่ งไร
5. จงเลือกนทิ านพื้นบา้ น 1 เร่ือง แลว้ วิเคราะหก์ ลวธิ กี ารประพันธ์ พรอ้ มยกตวั อยา่ งให้ชัดเจน

84

บรรณานกุ รม

กรมศลิ ปากร. (2547). สุธนกู ลอนสวด. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2548). นกกระจาบกลอนสวด. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
ตรีศิลป์ บุญขจร. (2547). วรรณกรรมประเภทกลอนสวดภาคกลาง : การศกึ ษาเชิงวเิ คราะห์.

กรงุ เทพฯ : สถาบนั ไทยศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ถวลั ย์ พึง่ เงนิ . (2552). นิทานพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
ธวชั ปุณโณทก. (2543). วเิ คราะหว์ รรณกรรมท้องถน่ิ เชิงเปรยี บเทยี บ (พิมพค์ รั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ :

มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ธวัช ปณุ โณทก. (2553). นทิ านพื้นบา้ น. นนทบุรี : ปันรู.้
ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์. (2551). นิทานพื้นบา้ นศกึ ษา (พิมพ์คร้งั ท่ี 3). กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่

ผลงานวิชาการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย..
ประทปี ชมุ พล. (2558). พืน้ ฐานวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ สี่ภาค. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร.์
ยวุ พาส์ ชัยศิลป์วฒั นา. (2544). ความร้เู บ้ืองตน้ เกีย่ วกับวรรณคดี. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั

ธรรมศาสตร์.
วชริ ญาณ. (2562). นิทานคำกลอนสุนทรภเู่ รือ่ งจนั ทโครบ. เขา้ ถึงเม่ือ 3 พฤศจกิ ายน 2562, เขา้ ถงึ จาก

https://vajirayana.org/นิทานคำกลอนสนุ ทรภ่เู ร่อื งจันทโครบ
วชิรญาณ. (2562). บทลครเรื่องมณพี ิไชย ตอนพราหมณย์ อพระกลิ่นขอพระมณพี ไิ ชยไปเปนทาษ.

เขา้ ถงึ เมอื่ 3 พฤศจิกายน 2562, เข้าถงึ จาก https://vajirayana.org/บทลครนอก-พระราช
นิพนธร์ ชั กาลที่-๒-รวม-๖-เรอื่ ง-ฉบบั หอพระสมดุ วชริ ญาณ/บทลครเรือ่ งมณีพิไชย-ตอน
พราหมณ์ยอพระกล่ินขอพระมณีพไิ ชยไปเปนทาษ
วิเชยี ร เกษประทมุ . (2550). นิทานพ้นื บา้ น. กรุงเทพฯ : พ.ศ. พัฒนา.
สมพร มนั ตะสูตร. (2525). วรรณกรรมไทยปัจจุบนั . กรุงเทพฯ : พรี ะพธั นา.
สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.) มหาวิทยาลยั ราชภฏั สุราษฎร์ธานี. (2548). จันทคาด
คำกาพย์ วนั คารคำกาพย์ ปอ้ งครกคำกาพย์ เจด็ จาคำกาพย์ นายดันคำกาพย์. ใน วรรณกรรม
ทกั ษณิ : วรรณกรรมคดั สรร เลม่ ท่ี 6. กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทร์พร้นิ ติง้ แอนดพ์ บั ลชิ ชิ่ง.
สำนักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสุราษฎรธ์ านี. (2548). สวุ รรณหงส์. ใน
วรรณกรรมทักษณิ : วรรณกรรมคดั สรร เล่มที่ 11. กรุงเทพฯ : อมรนิ ทรพ์ ริน้ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ .
อิราวดี ไตลังคะ. (2546). ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งการเล่าเรื่อง (พิมพค์ รง้ั ที่ 2). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์.

บทท่ี 4

คุณค่าของนทิ านพน้ื บา้ นและความสัมพนั ธ์กับสงั คม

ความมงุ่ หมายของบทเรยี น

1. เพื่อใหผ้ ู้เรยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจและสามารถอธบิ ายคุณคา่ ของนิทานพ้ืนบา้ นได้
1.1 นิทานพ้ืนบ้านเป็นร่องรอยของเหตุการณท์ ี่เคยเกดิ ข้นึ จรงิ ในอดีต
1.2 นิทานพื้นบ้านเปน็ เครอื่ งระบายความเกบ็ กดบางอย่างและเป็นการแสดงออกของ
จิตใตส้ ำนึก
1.3 นทิ านพน้ื บ้านเป็นแหลง่ ความรแู้ ละถ่ายทอดความรรู้ วมทัง้ ประสบการณ์
1.4 นิทานพน้ื บ้านเปน็ เครื่องมือปลกู ฝงั จริยธรรมและคำสอน
1.5 นทิ านพน้ื บ้านเปน็ เครอ่ื งใหค้ วามเพลดิ เพลิน
1.6 นิทานพน้ื บา้ นเปน็ บอ่ เกิดของวรรณกรรมลายลักษณ์

2. เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจและสามารถอธบิ ายความสัมพนั ธ์ของนิทานพืน้ บ้านกับ
สงั คมดา้ นตา่ ง ๆ ได้

2.1 ความสมั พันธ์ของนทิ านพ้นื บา้ นกบั ส่อื บนั เทงิ
2.2 ความสัมพนั ธข์ องนทิ านพื้นบา้ นกับการท่องเทย่ี ว
2.3 ความสมั พนั ธ์ของนิทานพน้ื บา้ นกบั วตั ถมุ งคล
2.4 ความสมั พนั ธข์ องนิทานพ้นื บา้ นกับสอ่ื การเรียนรู้
2.5 ความสมั พันธข์ องนิทานพน้ื บ้านกับผลิตภณั ฑส์ นิ ค้า
2.6 ความสมั พันธข์ องนิทานพน้ื บ้านกับศลิ ปกรรม
2.7 ความสัมพนั ธข์ องนิทานพื้นบ้านกบั สำนวนไทย
3. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสรา้ งสรรค์นทิ านพ้ืนบ้านเชือ่ มโยงกบั ศิลปวฒั นธรรมแขนงอื่น ๆ ได้

เนอ้ื หาของบทเรยี น

1. คณุ ค่าของนทิ านพน้ื บ้าน
1.1 นิทานพน้ื บา้ นเป็นร่องรอยของเหตกุ ารณท์ ีเ่ คยเกิดขึ้นจริงในอดตี
1.2 นทิ านพน้ื บา้ นเป็นเครือ่ งระบายความเกบ็ กดบางอยา่ งและเป็นการแสดงออกของ
จติ ใตส้ ำนกึ
1.3 นิทานพน้ื บ้านเป็นแหลง่ ความรู้และถา่ ยทอดความรรู้ วมทง้ั ประสบการณ์
1.4 นทิ านพื้นบ้านเปน็ เครื่องมอื ปลกู ฝงั จริยธรรมและคำสอน
1.5 นทิ านพน้ื บา้ นเปน็ เครือ่ งใหค้ วามเพลดิ เพลนิ
1.6 นิทานพื้นบา้ นเป็นบ่อเกิดของวรรณกรรมลายลกั ษณ์

86

2. ความสัมพันธ์ของนทิ านพน้ื บ้านกับสงั คมไทย
2.1 นทิ านพน้ื บ้านกบั สอ่ื บนั เทงิ
2.2 นิทานพน้ื บ้านกับการทอ่ งเทยี่ ว
2.3 นิทานพื้นบ้านกบั วตั ถมุ งคล
2.4 นทิ านพน้ื บ้านกับส่อื การเรยี นรู้
2.5 นิทานพน้ื บ้านกบั ผลติ ภณั ฑส์ ินค้า
2.6 นทิ านพื้นบ้านกบั ศลิ ปกรรม
2.7 นทิ านพน้ื บา้ นกบั สำนวนไทย

วธิ กี ารสอนและกิจกรรม

1. การบรรยาย
2. การอภปิ ราย
3. ฝึกปฏิบตั กิ จิ กรรมในชนั้ เรียน
4. แบบฝกึ หัดท้ายบทเรียน
5. ฝกึ สรา้ งสรรค์เชอื่ มโยงนิทานพนื้ บ้านกบั ศลิ ปวฒั นธรรม

อปุ กรณก์ ารสอน

1. เอกสารประกอบการสอน
2. สอ่ื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ power point
3. แบบฝึกหดั
4. ตำราและเอกสารอน่ื ๆ
5. ตัวอย่างงานสร้างสรรคจ์ ากการเชือ่ มโยงนทิ านพ้นื บ้านกบั ศลิ ปวฒั นธรรม

การวดั ผลและประเมินผล

1. สงั เกตจากการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนการสอน
2. ความถกู ต้องของการตอบคำถาม
3. การทำแบบฝึกหัดท้ายบท
4. การทำแบบทดสอบ
5. ผลงานสรา้ งสรรคน์ ทิ านพืน้ บา้ นกบั ศลิ ปวัฒนธรรม

87

บทท่ี 4

คุณค่าของนิทานพื้นบา้ นและความสมั พันธ์กับสังคม

นทิ านพื้นบา้ นนอกจากจะให้ความบันเทิงเพลดิ เพลนิ ใจแล้ว นทิ านพนื้ บ้านยงั มคี ณุ คา่ อกี หลาย
ด้าน ปัจจุบันมีหน่วยงานและปัจเจกบุคคลเห็นความสำคัญของนิทานพื้นบ้าน นำนิทานพื้นบ้านไป
สรา้ งสรรคเ์ ชอื่ มโยงกับศลิ ปวฒั นธรรม ตลอดท้ังศาสตรแ์ ขนงตา่ ง ๆ ตามความนยิ มของสงั คม ในบทนี้
จะกล่าวถึงคุณค่าของนิทานพนื้ บ้านและความสัมพันธข์ องนทิ านพ้นื บา้ นกบั สังคมไทย

1. คณุ คา่ ของนทิ านพ้นื บ้าน

นิทานพน้ื บา้ นมีบทบาทสำคญั ในการเปน็ เคร่ืองบันเทิง สร้างความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ และ
ผอ่ นคลายอารมณ์ แต่นอกจากนี้นิทานพื้นบา้ นยงั มบี ทบาทตอ่ สังคมอกี หลายประการ ดังน้ี

1.1 นิทานพืน้ บา้ นเป็นร่องรอยของเหตกุ ารณท์ ี่เคยเกิดข้นึ จรงิ ในอดตี

นิทานพื้นบ้านที่มผี ู้เชื่อว่าอาจจะเป็นการแสดงถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงใน
อดีตมักเป็นนิทานประเภทตำนานและเทวปกรณ์ตา่ ง ๆ เช่น เรื่องรายมายณะซึ่งเป็นเทวปกรณ์ของ
อินเดีย มีผู้ตีความว่าเป็นเรื่องราวการต่อสูข้ องชน 2 กลุ่มในอดีต คือ พวกที่เจริญและพวกที่ล้าหลงั
พวกท่ีลา้ หลังถูกเปรยี บใหเ้ ปน็ ยกั ษ์ นทิ านเกยี่ วกับการสร้างโลกของชาตติ า่ ง ๆ มักกล่าวถึงเรอ่ื งนำ้ ท่วม
โลก เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ขึ้น เป็นต้น
อยา่ งไรก็ดีการศกึ ษานทิ านในแง่น้ีมปี ญั หาวา่ ส่วนไหนจรงิ สว่ นไหนไม่จรงิ และกำหนดระยะเวลาทเ่ี กิด
เหตุการณไ์ ดไ้ ม่แน่นอน ได้แต่สันนษิ ฐานว่าเคยเกิดขน้ึ การศึกษานิทานในแง่นี้จงึ จำเป็นตอ้ งใช้หลักฐาน
ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดปี ระกอบดว้ ย (ประคอง นมิ มานเหมินท์, 2551, หน้า 60)

1.2 นทิ านพ้ืนบา้ นเป็นเครอ่ื งระบายความเกบ็ กดบางอยา่ งและเปน็ การแสดงออกของจติ ใต้
สำนึก

บทบาทนิทานพื้นบ้านดา้ นนี้อาศัยความรูท้ างจิตวิเคราะห์โดยเฉพาะตามแนวคิดของฟรอยด์
(Sigmund Freud) ที่เสนอว่าสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่พบในความฝันของมนุษย์นั้นมักปรากฏในคติชน
ตา่ ง ๆ เช่น นทิ าน เพลง ปริศนา เปน็ ต้น ความฝนั เหล่านี้เป็นการแสดงออกของจิตใตส้ ำนกึ เน้ือหาใน
นิทานบางเร่ืองจึงเปน็ เสมือนเคร่ืองระบายความเกบ็ กดบางอยา่ งของมนษุ ย์ อาจเปน็ ความเก็บกดทตี่ อ้ ง
อย่ใู นระเบยี บประเพณี การปกครอง หรอื เน่อื งมาจากเศรษฐกจิ เช่น นทิ านประเภทมุกตลกเรอื่ งเพศก็
อาจเปน็ การระบายความเกบ็ กดในเรอื่ งเพศเพราะมนุษยโ์ ดยปกติยอ่ มมีความต้องการทางเพศ แต่เมื่อ
อยูใ่ นสังคมกต็ ้องยอมรับขนบประเพณี ศีลธรรมจรยิ ธรรมต่าง ๆ ที่สังคมยดึ ถอื ไม่สามารถปฏิบัติตามใจ
ปรารถนาได้ จึงระบายความเก็บกดน้ีออกมาเป็นมกุ ตลกตา่ ง ๆ และเปน็ ที่น่าสังเกตว่านิทานมุกตลก
เร่อื งเพศมกั เปน็ เรอ่ื งท่สี งั คมไม่ยอมรบั ถา้ เกดิ ขนึ้ จริงก็ถอื ว่าผดิ ร้ายแรง เชน่ เรอ่ื งเพศของตาเถรยายชี
พระกับสีกา แม่ยายกับลกู เขย พี่เขยกับนอ้ งเมีย คนกับสัตว์ เป็นต้น ส่วนตัวละครที่ตวั ละครเอกต้อง

88

เผชิญเทพยดา ภูตผีปศี าจ และนิมิตอื่น ๆ กล็ ว้ นเปน็ สัญลกั ษณ์ของความรสู้ กึ หวาดกลวั ความปรารถนา
และความตงึ เครียดทีซ่ อ่ นเร้นอยใู่ นจติ ใต้สำนึกของคนเราทั้งสน้ิ การตีความนิทานพน้ื บ้านแนวจิตวิทยา
นี้บางเรื่องก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับและบางเรื่องก็สามารถตีความได้หลายนัยยะ ผู้ศึกษาต้องมีความ
รอบคอบและพยายามใช้ขอ้ มลู ดา้ นอ่ืนประกอบดว้ ย (ประคอง นมิ มานเหมินท์, 2551, หนา้ 60 – 61)

นอกจากนี้นิทานพื้นบ้านบางเรื่อง เช่น นิทานเรื่องศรีธนญชัยก็เป็นการระบายอารมณ์
ความรู้สกึ เนื่องจากในชีวติ จรงิ มอิ าจกระทำไดห้ รือเกดิ ขึ้นได้ ผู้แต่งนิทานจึงระบายความอดั อั้นน้ผี า่ น
การสรา้ งมุกตลกล้อเลียน เสยี ดสบี ุคคล หรือกฎเกณฑท์ ่เี คร่งครัดในสงั คม

1.3 นิทานพ้ืนบ้านเป็นแหลง่ ความรแู้ ละถา่ ยทอดความร้รู วมทงั้ ประสบการณ์

นทิ านพื้นบา้ นมกั มีความรู้สอดแทรกอยู่ เช่น ความรู้เกี่ยวกบั จารตี ประเพณี พธิ กี รรม ศาสนา
และประวัติศาสตร์ (ธวัช ปุณโณทก, 2553, หน้า 13) ทำให้ได้รู้ประวัติที่มาของชุมชน รวมทั้งความ
เป็นมาของสถานที่ต่าง ๆ ชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ประวัติศาสตร์สมบูรณ์ข้ึน
(ถวัลย์ พึ่งเงิน, 2552, หน้า 99) อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจใคร่รู้ของมนุษย์ที่มีต่อ
ปรากฏการณธ์ รรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมวา่ เพราะเหตุใดจึงเปน็ เชน่ นัน้

นอกจากนี้ด้วยเหตุที่นิทานพื้นบ้านมีตัวละครซึ่งมีชีวิตจิตใจแบบมนุษย์ ผู้ที่ได้ฟังนิทานจึง
เท่ากบั ได้มีโอกาสเรยี นรู้ลกั ษณะมนษุ ย์ ไดเ้ รียนรูเ้ กย่ี วกบั อปุ สรรคตา่ ง ๆ ตลอดจนการเอาชนะอปุ สรรค
ของตัวละคร ซง่ึ เทา่ กับไดเ้ รยี นรู้เร่ืองของชีวติ มากขน้ึ (ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์, 2551, หนา้ 79)

1.4 นทิ านพนื้ บา้ นเปน็ เคร่อื งมอื ปลูกฝงั จรยิ ธรรมและคำสอน

นอกจากความสนกุ สนานท่ีได้จากการอ่านและฟงั นิทานพื้นบา้ นแล้ว ในนิทานพืน้ บ้านมักจะ
สอดแทรกหลักประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งคำสอน อุทาหรณ์ต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตไว้ด้วย เช่น เรื่อง
ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความมีน้ำใจ การพูดจาให้ไพเราะอ่อนหวาน การเชื่อฟังผู้ใหญ่ การใช้
ปัญญาแก้ไขปัญหา คุณและโทษของความรัก ฯลฯ อีกทั้งเนื้อหาและแนวคิดของนิทานพ้ืนบ้านยัง
สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอน เช่น คำสอนเรื่องไตรลักษณ์ ไตรวัฏฏ์ ไตรสิกขา โลกธรรม ตลอดจน
เร่อื งกฎแหง่ กรรม เป็นต้น เหตกุ ารณ์ในนทิ านพื้นบ้านมักสะท้อนให้เห็นวา่ ผทู้ ีท่ ำดี ประพฤติปฏิบตั ติ าม
หลักคุณธรรมจริยธรรมย่อมมีความสุข ประสบความสำเร็จ ส่วนผู้ที่ประพฤติไม่ดี ไม่ปฏิบัติตาม
กฎระเบยี บและศีลธรรมอนั ดยี อ่ มประสบความทกุ ข์ นทิ านพ้ืนบา้ นจงึ เปน็ เสมือนเคร่อื งมือที่ใช้ควบคุม
หรือกระตุกเตือนให้คนในสังคมปฏิบัติตนตามกรอบของศีลธรรม กฎระเบียบของสังคม จึงเป็นดั่ง
เคร่ืองมอื ปลูกฝงั จริยธรรมและคำสอน

1.5 นิทานพ้นื บ้านเป็นเคร่อื งให้ความเพลิดเพลิน

นิทานพ้นื บ้านชว่ ยใหเ้ วลาผ่านไปอย่างไม่นา่ เบ่ือหน่าย ท้งั น้ีเนื่องจากในอดีตสมัยที่เทคโนโลยี
ยังไม่เจริญก้าวหน้า ผู้คนนิยมผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานหรือในชีวิตประจำวันด้วยการ
เล่าและฟังนิทาน การเล่านิทานของไทยมีทั้งเล่ากันในครอบครัว เช่น ปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่เล่าให้
ลูกหลานฟงั ก่อนนอนหรือยามว่าง หรอื เล่าขณะท่ผี ้คู นได้มารวมกลุ่มกันประกอบกจิ กรรมอยา่ งใดอยา่ ง

89

หนึ่งเป็นเวลานาน ๆ เช่น ขณะทำงานร่วมกัน อาจเป็นการเกี่ยวข้าว ดำนา จัดดอกไม้ หรือขณะไป
ทำบญุ ทว่ี ัด ยามวา่ งหรือขณะหยดุ พักกินข้าว หยุดพกั ผอ่ นหลงั ประกอบภารกจิ รว่ มกนั ในสงั คมก็จะนำ
นิทานมาเล่าสู่กันฟัง ในระยะแรกที่ยังมีผูร้ ู้หนังสือและอา่ นออกเขียนได้ไม่มาก ก็จะมีผู้รู้หรือนักเล่า
นทิ านเปน็ ผเู้ ลา่ ตอ่ มาเมอ่ื มผี ู้ร้หู นังสอื มากขนึ้ การถา่ ยทอดนทิ านด้วยการเล่าแบบมขุ ปาฐะก็ลดนอ้ ยลง
กลายเป็นการจดบนั ทกึ นทิ านไว้เป็นลายลักษณ์แทน การเล่าและฟังนิทานด้วย “ห”ู จงึ เปลี่ยนไปเป็น
การอ่านนิทานด้วย “ตา” มากยิ่งขึ้น อีกทั้งความนิยมในการเล่าและฟังนิทานในที่ประชุมชนก็ลด
น้อยลง กลายเปน็ การนำต้นฉบับนทิ านไปอ่านกันเองในครัวเรอื นมากยิง่ ขึ้น อย่างไรกต็ าม แม้ปัจจุบัน
เทคโนโลยนี วตั กรรมตา่ ง ๆ ไดเ้ จรญิ ก้าวหนา้ มากย่งิ ข้ึน ความนิยมในการเลา่ และฟงั นิทานพ้ืนบ้านเพ่ือ
ความเพลิดเพลินบนั เทงิ ใจก็ยงั คงมสี บื ทอดอยู่ โดยเปล่ียนรปู แบบไปเปน็ รูปแบบทที่ ันสมยั สอดคลอ้ งกบั
ความนยิ มของผคู้ นในสังคม เชน่ ภาพยนตร์ ละครโทรทศั น์ การต์ ูน แอนเิ มช่ัน หนังสือนิทาน วีดิทัศน์
ละครเวที หุ่นละคร ฯลฯ นอกจากนี้อนภุ าคต่าง ๆ ในนิทานพื้นบา้ นยังถูกนำไปสร้างสรรค์เปน็ เพลง
สมัยใหม่อกี ด้วย

1.6 นิทานพ้ืนบา้ นเป็นบ่อเกดิ ของวรรณกรรมลายลกั ษณ์

นทิ านพื้นบ้านบางเรื่องมคี วามสัมพันธก์ ับวรรณกรรมลายลักษณ์ เช่น เป็นบอ่ เกิดหรือที่มาของ
วรรณกรรมลายลกั ษณ์ กลา่ วคอื นทิ านพนื้ บ้านบางเร่อื งเปน็ เรอื่ งทีผ่ คู้ นเล่ากันมาช้านานแล้ว ต่อมามี
ผู้ฟังแล้วนำไปเล่าหรือจดบันทึก แรก ๆ เป็นภาษาร้อยแก้ว จากนั้นก็มีการประพันธ์เป็นร้อยกรอง
รูปแบบต่าง ๆ เช่น เรื่องขนุ ช้าง – ขุนแผน ซึ่งเป็นนิทานประจำถิ่นจังหวัดสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี
กลา่ วถงึ ชวี ติ รกั สามเสา้ ของหนุ่มสาวสองรุ่น ร่นุ พ่อและรุ่นลกู โครงเร่ืองร่นุ พอ่ เป็นเรื่องชิงรักหักสวาท
ของขุนแผน ขุนชา้ ง และนางพิมพิลาไลย ชาวบา้ นสพุ รรณบรุ ี ส่วนโครงเรอ่ื งรุ่นลกู เปน็ เรอื่ งการหึงหวง
ระหวา่ งเมียน้อยเมียหลวงของพระไวยวรนาถ จนถงึ ขั้นนางสร้อยฟา้ เมยี น้อยทำเสน่หเ์ พ่อื ให้สามีรักตน
คนเดียว สนั นิษฐานวา่ เป็นเร่อื งทช่ี าวกรงุ ศรีอยุธยารจู้ กั กนั ดี แตเ่ ดิมนำมาเลา่ ขานในรูปของลำนำปาก
เปล่าประกอบการขยับกรับทีเ่ รียกว่าการขับเสภามาตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา นักขับเสภาจะร้อง
เฉพาะตอนสำคญั ๆ ไมบ่ นั ทึกเปน็ ลายลักษณ์ เพง่ิ มารวบรวมเรยี บเรียงเปน็ เรอื่ งเดียวกนั ในสมยั รชั กาล
ท่ี 3 แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ และไดต้ ีพมิ พข์ ึน้ คร้ังแรกในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปี พ.ศ. 2415 โดยโรงพิมพห์ มอสมิท ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2460 จงึ ไดม้ กี ารชำระตน้ ฉบับของหลวงและของ
ชาวบา้ นจดั พิมพข์ ึน้ เป็นฉบบั หอสมุดวชิรญาณซง่ึ เปน็ ตน้ แบบของเรือ่ งขุนช้าง - ขนุ แผนทีร่ ู้จกั กันท่ัวไป
(กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม, 2559, หน้า 5)

นิทานพื้นบา้ นที่นำมาสร้างสรรค์เปน็ วรรณกรรมลายลักษณ์มีหลายเรื่อง เช่น เรื่องพระสุธน
มโนห์ราเป็นท่ีมาของวรรณกรรมลายลกั ษณ์หลายเรือ่ ง เชน่ พระสุธนคำฉันท์ ของพระยาอิศรานุภาพ
(อน้ ) พระสุธนคำกลอนของนายพลอย พระสธุ นฉบับร้อยแกว้ ของหลวงศรอี มรญาณ เปน็ ต้น (ประพนธ์
เรอื งณรงค์, 2559, หน้า 26) เปน็ ตน้

การนำนิทานพ้ืนบา้ นมาบนั ทกึ และแต่งเปน็ วรรณกรรมลายลักษณ์น้ี ผู้แตง่ อาจจำเคา้ โครงเรอ่ื ง
มาหรือฟังผู้อื่นเล่าสืบต่อกันมา เนื้อเร่ืองวรรณกรรมลายลักษณ์จึงแตกต่างไปจากนิทานต้นแบบมาก

90

บ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับความสามารถ วัตถุประสงค์ หรือความตอ้ งการและบริบทแวดล้อมของผู้แตง่
และผแู้ ตง่ อาจนำนทิ านพืน้ บา้ นทั้งเรือ่ งหรอื บางสว่ นของเร่ืองมาแต่งเปน็ วรรณกรรมลายลกั ษณ์กไ็ ด้

นอกจากนี้ในทางกลบั กันวรรณกรรมลายลักษณ์บางเรื่องกอ็ าจเป็นบอ่ เกิดหรอื ที่มาของนิทาน
พื้นบ้านก็ได้ เช่น เรื่องพระลอหรือลิลิตพระลอเป็นเรื่องที่กวีแต่งเป็นโคลงดั้นในสมัยอยุธยา อีกท้ัง
วรรณกรรมลายลกั ษณ์กม็ คี ณุ ปู การในการชว่ ยเก็บรกั ษาและเปน็ ส่ือกลางในการถ่ายทอดนทิ านพืน้ บ้าน
อกี ดว้ ย (ประคอง นิมมานเหมินท์, 2551, หนา้ 84)

2. ความสมั พนั ธ์ของนทิ านพื้นบา้ นกบั สงั คม

นทิ านพื้นบา้ นมคี วามสมั พันธ์กบั สงั คมประเพณไี ทยมาช้านาน ในอดีตนทิ านพื้นบ้านประเภท
นิทานมหศั จรรยห์ รือนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ใชเ้ ป็นวัตถดุ ิบในการแสดงละครพ้นื บา้ น นทิ านประจำถิ่นใช้
อธิบายเร่ืองราวประวตั ิทีม่ าของทอ้ งถิ่นหรืออธิบายที่มาของภูมินามในท้องถิ่น ตำนานใช้อธิบายที่มา
ของพิธีกรรม และแม้บริบททางสังคมได้เปลีย่ นแปลงไปแต่นิทานพื้นบา้ นก็ยังคงได้รับการสืบทอดใน
รูปแบบท่ีสอดคล้องกับความนิยมในแต่ละยุคสมัย และอาจถูกนำไปใช้ด้วยวัตถปุ ระสงค์ใหมท่ ี่ต่างไป
จากวัตถุประสงค์เดิม รวมทั้งมีบทบาทหน้าที่แบบใหม่ (ศิราพร ณ ถลาง, 2558, หน้า 14) นิทาน
พื้นบ้านจงึ มีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างมาก ทั้งในรูปแบบความสัมพันธก์ บั สื่อบนั เทิง การท่องเท่ยี ว
วัตถุมงคล สื่อการเรียนรู้สาระบันเทงิ ผลิตภัณฑ์สินค้า ศิลปกรรม และสำนวนไทย ซึ่งในหัวข้อนี้ขอ
ยกตวั อยา่ ง ดังนี้

2.1 นิทานพืน้ บา้ นกับสอ่ื บนั เทิง

แต่เดิมการถ่ายทอดนิทานพืน้ บ้านเป็นไปในรูปแบบของวรรณกรรมมุขปาฐะและวรรณกรรม
ลายลักษณ์ ปัจจุบันนิทานพืน้ บ้านถูกนำมา “เล่าใหม่” ในรูปแบบของสื่อบันเทิงร่วมสมัยที่สอดคล้อง
กับความนิยมของสังคมและวัฒนธรรมการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การนำนิทานพื้นบ้านมา
สร้างสรรค์ในรูปแบบภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตูน แอนิเมชั่น ละครเวที เพลง ศิลปะการแสดง
และการร้องรำพื้นบา้ นต่าง ๆ ทัง้ ที่ยงั คงเนื้อเร่อื งหรอื เคา้ โครงเร่ืองเดมิ การดดั แปลงใหแ้ ตกต่างไปจาก
ตัวบทตน้ ทาง และการนำอนุภาคบางอย่างมาสร้างสรรค์ ประสมประสาน เปน็ ส่อื บนั เทงิ นทิ านพ้ืนบ้าน
รูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตนู และแอนิเมชนั ละครเวที เพลง ศลิ ปะการแสดง
และการร้องรำพน้ื บา้ น

2.1.1 นทิ านพืน้ บา้ นกับภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตูน และแอนิเมชนั
ปัจจุบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีสือ่ สารเจริญก้าวหน้าไปมาก ผู้คนนิยมรับสาระบนั เทงิ ตาม
ช่องทางการส่ือสารสมัยใหม่ นทิ านพ้ืนบ้านหลายเรอื่ งจึงถกู นำไปผลิตซำ้ เลา่ ใหม่ ตลอดจนสรา้ งสรรค์
ดัดแปลง และนำเสนอผา่ นช่องทางส่อื สารตลอดทั้งสอื่ อิเล็กทรอนกิ สส์ มัยใหม่อยู่เสมอ เช่น นทิ านเรือ่ ง
ขุนช้าง - ขุนแผน ซึ่งเปน็ นิทานที่คนไทยรู้จักกันดีและไดร้ ับความนิยมมากจนถูกนำไปสร้างเป็นละคร
โทรทศั น์และภาพยนตร์ไทยหลายครั้งหลายหน เช่น ภาพยนตรเ์ รือ่ งขุนแผน กำกับการแสดงโดยธนิต
จิตนุกูล เข้าฉายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2545 เป็นการดัดแปลงนิทานพื้นบ้านเป็นภาพยนตร์

91

เก่ียวกับโศกนาฏกรรมแหง่ ความรกั ของหนง่ึ หญิงสองชาย ขุนแผนชายรูปงามผู้ต้องการจะเป็นยอดคน
ด้วยการเป็นเจา้ ของอำนาจวเิ ศษทัง้ สามสงิ่ คอื ดาบฟ้าฟ้นื ม้าสหี มอก และกมุ ารทอง เขาผ่านช่วงชีวิต
ที่รงุ่ โรจน์ และตกต่ำ โชคชะตาพลิกผนั ทำใหต้ ้องพลดั พรากจากพิมพิลาไลยหญงิ คนรัก และมีภรรยาอกี
หลายคน ส่วนขุนช้างชายรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์แต่ฐานะร่ำรวยมาหลงรักและทำทุกวิถีทางให้ได้
ครอบครองนางพิมพลิ าไลย จนทำใหท้ ้ายที่สดุ นางพมิ ถกู ตราหนา้ วา่ เปน็ หญิงสองใจ

ภาพท่ี 4-1 โปสเตอร์ภาพยนตร์ขนุ แผน Kun pan (Legend of the Warlord)
ทม่ี า : http://www.fivestarproduction.co.th/ขนุ แผน/

ปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2562) นิทานพืน้ บ้านเรื่องขุนช้างขุนแผนถูกนำมาตีความใหมแ่ ละดดั แปลง
เป็นภาพยนตร์ Khun-Phaen-Fha-Feun หรือชื่อไทยว่า ขุนแผน ฟ้าฟื้น ผลงานการกำกับของก้อง
เกียรติ โขมศิริ เปน็ การนำนิทานพนื้ บา้ นมาดัดแปลงเป็นภาพยนตรแ์ นวแฟนตาซี กลา่ วถงึ เรือ่ งราวของ
แก้ว เด็กหนุม่ จากสุพรรณบรุ ที จี่ ดจำเร่ืองราวของตัวเองไม่ได้ เขาจงึ ออกเดนิ ทางตามหาความทรงจำว่า
เขาเป็นใครและเป็นลูกของใคร ในขณะเดียวกันก็ต้องผจญภัยไปกับกลุ่มเพื่อนสุดฮา โดยมีวิชา
คาถาอาคมทร่ี ำ่ เรียนมาคอยชว่ ยเหลือเพอื่ กำจดั อปุ สรรคท่ขี วางกน้ั เขา้ ฉายเม่ือวนั ท่ี 10 ตุลาคม 2562
(หนงั ขนุ แผน ฟา้ ฟ้ืน, 2562, ออนไลน)์

ภาพท่ี 4-2 โปสเตอร์ภาพยนตร์ขนุ แผน ฟา้ ฟ้นื
ทม่ี า : https://mereview.in.th/synopsis-khun-phaen-the-movies/

92

นิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทองกเ็ ป็นนิทานอีกเรื่องหน่ึงที่เป็นที่รู้จักกันดแี ละได้รบั ความนยิ ม
มาก เรื่องปลาบู่ทองนี้ถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นบทภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ มาตั้งแต่อดีตจนถึง
ปจั จุบันกย็ ังคงนยิ มนำมาดัดแปลงเพ่ือออกอากาศอยู่เสมอโดยเฉพาะในรปู แบบของละครโทรทัศน์แนว
จกั ร ๆ วงศ์ ๆ และยงั พบวา่ ปจั จุบนั มีการนำเร่อื งปลาบทู่ องมาสร้างสรรค์เป็นละครบารบ์ อ้ี ีกดว้ ย

ภาพที่ 4-3 ละครโทรทัศนป์ ลาบูท่ องออกอากาศทางชอ่ งไบร์ททีวี
ทม่ี า : https://www.imgrumsite.com/hashtag/ช่องไบรท์ ทวี ี

ภาพท่ี 4-4 ละครบาร์บป้ี ลาบู่ทอง
ที่มา : http://tuinghe.com/videos/ละครบารบ์ ้รี วมตอน-เร่ือ-q4n695y45645o4v285g6y4.html

นทิ านพืน้ บา้ นยังถกู นำไปสรา้ งเป็นการต์ ูนและแอนเิ มชัน เชน่ เรอ่ื งขุนช้างขุนแผน แกว้ หน้ามา้
สงั ขท์ อง ไกรทอง โสนน้อยเรอื นงามฉบบั การ์ตนู ฯลฯ

ภาพท่ี 4-5 การ์ตนู เรอื่ งสังข์ทองออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา : http://www.ytmega.com/-3-26-1-55-1800-1830--rNWolsCjmumglL8.html

93

ภาพที่ 4-6 การ์ตูนเรื่องแก้วหน้าม้าและโสนนอ้ ยเรือนงาม
ที่มา : http://www.broadcastthai.com/web/promote_cartoon/

ปัจจบุ ันนิทานพื้นบ้านยังถูกนำมาผลิตซ้ำเปน็ ส่ือบนั เทิงด้านภาพยนตร์อยู่เสมอ แต่ได้พัฒนา
รูปแบบให้ทันสมัยสอดคล้องกับสื่อเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น เช่น แอนิเมชัน (Animation) หรือ
ภาพเคลอื่ นไหว หมายถึง ภาพเคลื่อนไหวทส่ี ร้างข้นึ โดยการนำภาพนิง่ หลาย ๆ ภาพมาฉายตอ่ เนอื่ งกัน
ด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหว (สวทช, 2562, ออนไลน์) ดังจะเหน็ ไดจ้ าก
การ์ตูนแอนิเมช่นั 3D พนั ธ์ไุ ทยยุคไฮเทค เร่ืองเอื้อยกบั อ้าย ซึ่งดดั แปลงมาจากเรือ่ งปลาบู่ทอง ผลิตโดย
บริษัทจ๊ะ ทิง จา จำกัด ออกอากาศทางช่องโมเดริ ์นไนนท์ ีวี และแอนิเมชน่ั เร่อื งนาคซ่ึงดดั แปลงมาจาก
นิทานพนื้ บา้ นเร่อื งแม่นาคพระโขนง

ภาพท่ี 4-7 แอนเิ มชนั 3D เรอื่ งเออื้ ยกับอ้าย ภาพที่ 4-8 แอนิเมชนั เรื่องนาค
ท่ีมา : http://samsearn.com/pro/tj2.html ท่มี า : https://sudsapda.com/top-

lists/81674.html

นอกจากนย้ี ังมีการต์ ูนเรอื่ งนางสบิ สอง – พระรถเมรีท่ไี ดน้ ำตัวละครสำคญั จากนิทานพื้นบ้าน
คือ นางยักษ์สนธมาร นางสิบสอง และอนุภาคดวงตานางสิบสอง มาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ
รายละเอยี ดใหส้ อดคล้องกบั เรือ่ ง “ความสวยความงาม” แบบ “ศลั ยกรรม” ซง่ึ เปน็ กระแสสังคมไทย
ปจั จบุ ัน โดยการเนน้ พฤตกิ รรมของนางยักษ์สนธมารทเ่ี สพติดการเสรมิ ความงามแบบศัลยกรรม มกี าร
เพิ่มตัวละคร “ศัลยมาร” ภาพตัวแทนแพทย์ศัลยกรรมที่ทำหน้าที่บำรุงและฟื้นฟูความงามและ


Click to View FlipBook Version