The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน นิทานพื้นบ้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐา ค้ำชู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by taspol7200, 2022-06-28 01:22:37

นิทานพื้นบ้าน

เอกสารประกอบการสอน นิทานพื้นบ้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐา ค้ำชู

Keywords: นิทานพื้นบ้าน

94

ผิวพรรณ “เขาศัลยคีรี” สถานเสริมความงาม และ “หอคอยเมืองทานตะวัน” ซึ่งเป็นคลังเก็บสูตร
ความสวยความงามที่เป็นอมตะของนางยักษ์สนธมาร เนื้อหาในการต์ ูนเรื่องนี้รกั ษาเฉพาะโครงเรื่อง
และตัวละครจากนิทานพื้นบ้าน โดยได้ปรบั เปล่ียนแนวคิดสำคัญของเร่ืองให้สื่อนัยยะถึง “ยุคบรโิ ภค
ความงาม” มีน้ำเสียงเสียดสแี ละไมส่ นบั สนุนความงามแบบศัลยกรรม การปรับเปลี่ยนนิทานพ้ืนบา้ น
เรื่องนี้ให้เป็นสื่อบันเทิงร่วมสมยั จึงแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างนิทานพื้นบ้านกับสังคม และยงั
เป็นการสอนคนในสงั คมใหต้ ระหนกั ถึงโทษของศัลยกรรม ไมล่ ุ่มหลงความสวยความงามท่ปี รุงแต่งเกิน
จรงิ ซง่ึ ไม่จีรังด้วย (นิธอิ ร พรอำไพสกลุ และสภุ ัค มหาวรากร, 2560, หน้า 194)

2.1.2 นทิ านพื้นบ้านกับละครเวที
ปัจจบุ นั สอ่ื บันเทงิ ทีไ่ ด้รบั ความนิยมมากอกี ประเภทหน่งึ นัน่ คอื ละครเวที คือ ละครแบบหนงึ่
แสดงบนเวที มีฉากสมจรงิ และมกี ารปดิ เปดิ ม่าน ผู้แสดงดำเนินเรอ่ื งดว้ ยบทเจรจา อาจมเี พลงแทรก
บ้าง (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2556, หน้า 1044) เนอ้ื เร่ืองทน่ี ยิ มนำมาแสดงละครเวทีมหี ลากหลาย และ
นิทานพนื้ บา้ นกเ็ ปน็ เรื่องหนง่ึ ท่เี คยมกี ารนำมาดดั แปลงแสดงละครเวที เชน่ เรอ่ื งแก้วหน้ามา้ พญากง
พญาพาน นางนาคพระโขนง เปน็ ต้น

ภาพที่ 4-9 ละครเวทเี รอื่ งแกว้ หนา้ ม้า เดอะ มวิ สคิ ลั
ท่ีมา : https://www.facebook.com/CicadaAmphitheatre/posts/1630088103695951

ละครเวทีเรอ่ื ง “แก้วหนา้ มา้ เดอะ มวิ สคิ ัล” ดัดแปลงมาจากนิทานพน้ื บา้ นมาเป็นละครเพลง
โดยมีการดัดแปลงเค้าโครงเรื่องเพื่อให้สามารถรวบรัดตัดความให้กระชับ ฉับไว ปรับเนื้อหาบางส่วน
บางตอนให้เหมาะกับผชู้ มต้ังแต่เดก็ จนถึงผใู้ หญ่ โดยนำประเด็นในเรื่อง ความดี ความงาม และความรกั
มาสร้างเป็นบทประพันธ์ชิ้นใหม่ เปิดแสดงทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่วันท่ี 3 พฤศจิกายน
2560 ถึง วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 เวลา 20.30 น. ความยาวของการแสดง 60 นาที จัดแสดงท่ีโรง
ละครกลางแจง้ ซิเคด้า มารเ์ กต็ หัวหิน

95

ภาพท่ี 4-10 ละครเวทีเรอ่ื งพญากงพญาพาน
ทมี่ า : https://www.facebook.com/Phayaphan2017/posts/473619599671878/

ละครเวทีเรื่อง “พญากงพญาพาน เดอะ มิวสิคัล” ดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านซึ่งเป็น
ตำนานพระปฐมเจดยี ์ กล่าวถงึ เรือ่ งราวชีวติ ของชายหนุ่มท่ีมีนามว่า “พาน” เม่อื ถอื กำเนดิ มาก็ถูกบิดา
ผู้เป็นเจ้าเมืองนครชัยศรี นามว่า “พญากง” สั่งให้นําไปประหาร เพียงเพราะโหรทํานายทายทัก แต่
ด้วยความรกั จากผู้เป็นแม่ จึงได้ชว่ ยชีวติ พานไว้ โดยนําไปลอยนํา้ แทนการประหาร แต่มี “ยายหอม”
หญิงชาวบ้านใจดีผู้ไร้สามีเก็บไปเลี้ยงจนเติบใหญ่ พานเป็นผู้เรียนรู้ไว เก่งกล้า สามารถ จนได้รับ
ราชการในเมืองราชบุรี และได้รับความเมตตาเอ็นดจู ากกษัตริย์เมอื งราชบุรีใหเ้ ป็นบุตรบุญธรรม และ
ได้รบั การแตง่ ต้ังให้เป็น “พญาพาน” ซึ่งเป็นเมืองขึน้ ของเมอื งนครชัยศรอี ันเปน็ เมอื งของผเู้ ปน็ พระบดิ า
ความรกั อนั บรสิ ทุ ธิแ์ ละการเล่นตลกของโชคชะตาเหมอื นกลั่นแกลง้ ให้ชวี ิตของ “พาน” ต้องเผชิญกับ
ความไมร่ ู้ อันเปน็ บ่อเกดิ แห่งความสูญเสยี อนั ยิ่งใหญท่ ่ีประวตั ิศาสตร์ต้องจดจาํ ไปตลอดกาล เปดิ แสดง
วนั ท่ี 28 กันยายน 2560 จัดแสดงท่ีหอแสดงดนตรี MACM วทิ ยาลยั ดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
ศาลายา

2.1.3 นทิ านพ้นื บา้ นกับเพลง

นิทานพืน้ บ้านทัง้ เรื่องและบางส่วนของเนื้อเรือ่ งถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นบทเพลงหลากหลาย

แนว ทั้งเพลงพืน้ บ้าน เพลงแหล่ เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกทุ่งสมยั ใหม่ เป็นต้น เช่น นิทานเรื่องขุนช้าง –

ขุนแผนมีการนำมาดัดแปลงเป็นกลอนเพลงทรงเครื่องซึ่งแสดงกันอยู่แถวจังหวัดสุพรรณบุรี และ

อา่ งทอง (สุกญั ญา สจุ ฉายา, 2557, หน้า 59 - 60) นทิ านพระสธุ นมโนห์ราถูกนำไปแต่งเป็นบทชาน้อง

หรอื เพลงร้องเรอื (เพลงกลอ่ มเด็ก) ในภาคใต้ (ประพนธ์ เรืองณรงค์, 2559, หน้า 27) นทิ านเร่ืองดาว

ลูกไก่ ถูกนำไปประพันธ์เป็นเพลงแหล่ดาวลูกไก่ ของ พร ภิรมย์ (วัฒนะ บุญจับ, 2559, หน้า 7) ดัง

ตัวอย่างเนือ้ เพลงวา่

นา่ สงสารแมไ่ ก่ น้ำตาไหลสอนลกู

เช้ากถ็ ูกตาเชือด ตอ้ งหล่งั เลอื ดนองเล้า

96

ส่วนลูกไกท่ ้งั เจ็ด เหมอื นถูกเดด็ ดวงใจ
พากันโดดเขา้ กองไฟ ตายตามแมไ่ กด่ งั กลา่ ว
ดว้ ยอานิสงส์ใจประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเปน็ ดาว

ในเพลงสมยั ใหม่ก็มีการนำอนุภาคใดอนุภาคหนึ่งของนิทานพื้นบ้านมากล่าวอ้างถึงด้วย เช่น
เพลง อวสานรัก (ทศกัณฐ์, 2560, ออนไลน์) ของศิลปิน วงทศกัณฐ์ ที่ใช้นางโมราจากนิทานพืน้ บ้าน
เรื่องจนั ทโครพ และนางกากีจากนิทานพื้นบ้านเร่ืองกากี เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่ไม่น่าคบหา ดัง
เนื้อความในเพลงท่วี า่ “…อวสานแลว้ หนอรักพี่ ตอ้ งอวสานแลว้ พอกันที อวสานแล้วพอแค่น้ีพีน่ ้นั ขอลา
พอกันทีแม่นางโมรา พอกันทีแม่นางกากี ไม่ว่าชาติหนา้ หรอื วา่ ชาตินี้อย่าได้พบเจอ รักเราพีข่ อจบแต่
เพยี งเทา่ น้ี ขอให้โชคดีพน่ี ้ขี ออวสาน”

นอกจากนี้ในเพลงไทยสากลยังมีการนำลักษณะของตัวละครในนทิ านพื้นบ้านมาสร้างสรรค์
ใหม่ มีทั้งการคงลักษณะเด่น การเปลี่ยนแปลงบทบาทของตัวละคร รวมทั้งการคงลักษณะเดิมและ
เปลี่ยนบทบาทของตัวละครในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นการตีความพฤติกรรมของตัวละครใหม่ตาม
ทรรศนะของผู้แตง่ เช่น เพลง “พระรามอกหกั ” ผู้แตง่ ไดก้ ำหนดใหต้ วั ละครพระรามจากนทิ านพน้ื บ้าน
เร่อื งพระรามตอ้ งเสียใจ ร้องไหค้ ร่ำครวญเพราะนางสีดาไปรกั กบั ทศกณั ฐ์ ดังตวั อยา่ งเน้ือเพลงว่า “จะ
กล่าวถึงเรื่องรามเกียรติ์ ที่หนูเคยเรียนยังมีอีกตอนที่พลาดไป ชื่อว่าตอนพระรามเสียใจ อกหักจาก
หวานใจนามว่านางสีดา เลือ่ งลอื นามก็มีอย่วู ่าแมน่ างสีดากลบั มาแปรผนั ใจ บอกวา่ พระรามนั้นดเี กินไป
และยกหวั ใจให้กบั ทศกัณฐ์ ฝา่ ยพระรามได้ยินแล้วสะอ้นื แทบล้มทั้งยืนบอกเธอทำไดไ้ ง รู้ไหมวา่ รกั เจ้า
แค่ไหนนะ ทำไม ทำไม เจ้าจงึ ทำได้ลง...” บทเพลงนีจ้ ึงทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงนิทานพ้ืนบ้านผา่ น
บทเพลงจากจนิ ตนาการของคนร่นุ ใหม่ (วรรณวิภา วงษ์เดอื น และวีรวัฒน์ อินทรพร, 2562, หนา้ 286)

2.1.4 นิทานพืน้ บา้ นกบั ศลิ ปะการแสดงและการร้องรำ
นิทานพื้นบ้านหลายเรือ่ งถูกนำไปเป็นบทสำหรับการแสดง ทั้งละครนอก ลิเก เสภา หมอลำ
ค่าวซอ โนห์รา บัลเล่ต์ หุ่นกระบอก เช่น นิทานขุนช้างขนุ แผนมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวติ ของคนไทย
ภาคกลางมาโดยตลอดเพราะเกี่ยวขอ้ งกบั การแสดงหลายประเภท ตั้งแตแ่ รกเริม่ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ใช้เล่าเร่อื งประกอบทำนองเรียกว่าขบั เสภา ต่อมานำปีพ่ าทย์เขา้ มารับทำใหเ้ กดิ ขับเสภาพร้อมป่ีพาทย์
ต่อมาชนชั้นสูงนำละครรำมาผสมจนเกิดเสภารำ ละครเสภา ละครพันทาง ส่วนชาวบ้านนำเพลง
พนื้ บ้านมาผสมจนเกิดเพลงทรงเครื่องและนำไปแสดงลเิ ก (สุกญั ญา สจุ ฉายา, 2559, หน้า 6)
นิทานเรื่องตาม่องล่ายเคยถูกนำมาสร้างสรรค์ในรูปแบบละครพันทาง จัดแสดงเนื่องใน
เทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2551 ท่จี ังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์ และมีการสรา้ งสรรค์ในรูปแบบเพลง
ชือ่ ตาม่องล่าย เพอื่ ใชป้ ระกอบละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เรอ่ื งตามอ่ งล่าย โดยมีศาสตราจารย์ ดร. อุทศิ นาค
สวัสดิ์ เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง คุณครูจำเนียร ศรีไทยพันธ์ เป็นผู้ประพันธ์ทำนอง (กัญญรัตน์ เวชช
ศาสตร์, 2559, หน้า 9)
เรื่องพระรถเสนหรือเรื่องพระรถ – นางเมรีและเรื่องพระสุธนมโนห์ราถูกนำไปเป็นตัวบทใน
การแสดงละครชาตรใี นภาคกลางและแสดงโนราที่นยิ มในภาคใต้ (สุกญั ญา สุจฉายา, 2557, หนา้ 65)

97

อีกทั้งนิทานพระสธุ นมโนห์รายังเปน็ 1 ใน 12 เร่อื งทแ่ี สดงในพธิ โี รงครู หนงั ตะลุง และเพลงบอก เป็น
ตน้ เค้าของการประดิษฐท์ ่ารำอกี ด้วย (ประพนธ์ เรอื งณรงค์, 2559, หนา้ 27)

2.2 นทิ านพืน้ บา้ นกับการท่องเท่ยี ว

ปัจจุบันนิทานพื้นบ้านถูกนำมาใช้เปน็ ทุนทางวัฒนธรรมในการดึงดูดนักทอ่ งเที่ยวให้มาตาม
รอยตามตำนานหรือนิทานประจำถิ่น สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นมักมีเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของ
สถานทซี่ งึ่ สอดคลอ้ งกบั เหตกุ ารณใ์ นเร่ืองนิทาน เชน่ เร่อื งทา้ วปาจิต – อรพมิ พ์ซึง่ เป็นนิทานท้องถ่ินท่ี
เก่ยี วเน่ืองกับโบราณสถานปราสาทหิน ชื่อบา้ นนามเมือง และสถานท่ตี า่ ง ๆ ในลุม่ แมน่ ้ำมูลแถบจงั หวดั
นครราชสีมาและจังหวัดบุรีรมั ย์ โดยนิยมเล่ากันในกลุ่มคนไทยโคราชและกลมุ่ คนไทย - เขมร (สกุ ญั ญา
สุจฉายา, 2559, หน้า 10) ถกู นำมาใช้ในการท่องเท่ียวเชงิ วฒั นธรรม หนว่ ยงานในทอ้ งถ่นิ มีการสง่ เสรมิ
เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วที่อำเภอพิมาย จงั หวัดนครราชสีมา “ตามรอยนทิ านเรอ่ื งท้าวปาจิต นางอรพิมพ์”
เสน้ ทางเรม่ิ จากไปลงเรอื อีโปงทีท่ า่ นางสระผม แล้วนัง่ เกวยี นเทียมววั ท่ีประตูเมืองพมิ าย ไปเย่ียมชมวัง
ทา้ วพรหมทตั ที่ปราสาทหนิ พมิ ายและเมรพุ รหมทัตทีอ่ ยใู่ กล้กนั จากนน้ั ไปวดั สระเพลงชมตูพ้ ระธรรมท่ี
แกะสลกั เปน็ เรื่องราวปาจิต อรพิมพ์ ดูการทำหมีพ่ มิ ายหรือลองชิมทีไ่ ทรงาม และเยีย่ มท้าวพรหมทัต
ทา้ วปาจิต และนางอรพมิ ตอ่ ทีพ่ พิ ธิ ภณั ฑ์แห่งชาตพิ ิมาย (กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม, 2559, หนา้ 14)

นิทานเรื่องพระรถ - เมรีเป็นนิทานพื้นบ้านที่อธิบายที่มาของภูมินามในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่ง
ชาวบ้านเช่ือกันว่าคร้ังหนึ่งเร่อื งราวในนทิ านเคยเกดิ ข้ึนจรงิ ในบริเวณน้ัน ๆ จนกลายเปน็ นทิ านประจำ
ถนิ่ มาจนปัจจุบนั เช่น ในพืน้ ท่ภี าคตะวนั ออกซ่งึ พบความแพรห่ ลายของนทิ านพระรถมากกว่าภูมิภาค
อื่น ๆ โดยพบในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นที่อยู่ของกลุ่มชาวลาว (ลาวเวียง) เมื่อคร้ัง
รัชกาลที่ 3 ชุมชนแหง่ น้ใี ช้นิทานพระรถในการต้งั ชอื่ สถานทตี่ ่าง ๆ เชน่ เรียกโบราณสถานท่ีตำบลหน้า
พระธาตุว่าเมืองพระรถ เรียกอำเภอบ่อทองว่าเมืองพญาเร่หรือเมืองคชบุรีซึ่งเป็นเมืองของนางยักษ์
สันธมาร มถี ำ้ นางสิบสอง มีหินสบิ สองก้อนเรยี กวา่ หมอนนางสิบสอง มีบ้านเนนิ ดนิ แดงท่ีเปน็ สถานท่ีท่ี
นางเมรีร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอกแตกตาย มีสระพระรถที่พระรถใช้ให้น้ำไก่ มีลูกศรพระรถ
รางหญ้าม้าพระรถ เป็นต้น ที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นที่อาศยั ของกลุ่มชาวลาว
(ลาวพวน) ก็ใช้นิทานพระรถ - เมรีตั้งชื่อสถานที่ต่าง ๆ เช่น เรียกโบราณสถานที่พบในอำเภอศรีมหา
โพธิว่าเมอื งพระรถ ท่ีอำเภอราชสาสน์ จงั หวัดฉะเชิงเทรา กอ็ ้างวา่ สถานทนี่ ้ีเป็นทที่ ่ีพระฤๅษีช่วยแปล
พระราชสาสน์ ของนางสนั ธมารเพอื่ ช่วยชวี ติ พระรถ มีลานพระรถชนไก่ และมีบ่อหรือถำ้ ทีใ่ ช้กักขังนาง
สบิ สอง

ส่วนท่ีภาคเหนือที่อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ก็มีสถานท่ีที่เรียกว่าถ้ำนางสิบสอง
ในอำเภอสอง จังหวัดแพร่ ก็เชื่อว่านางสิบสองเป็นหัวหน้าผีของปู่เจ้าสมิงพราย ภาคอีสานก็มีการ
กลา่ วถงึ ภทู า้ วภนู างที่เมืองหลวงพระบางวา่ เปน็ ภูเขาของพระพุทธเสนกบั นางกงั รี และมถี ้ำนางสบิ สอง
ที่เมอื งจำปาศักด์ิดว้ ย ในขณะทภ่ี าคใต้ที่จงั หวัดพังงาก็มเี ขาอกเมรซี งึ่ อยู่ฝัง่ ขวาของเขาพงิ กนั จังหวัด
พัทลุงก็มีเมืองโบราณที่เรียกวา่ เมืองพระรถ มีวัดสุนทราหรือวัดสุนทราวาสซ่ึงเชือ่ ว่าเป็นท่ีทีพ่ ระฤๅษี
แปลงสาสน์ วัดควนถบหรือบ้านควนถบ หมายถงึ ควรสนิ ธพ ซึง่ เปน็ ม้าพีเ่ ล้ยี งของพระรถเสน เป็นต้น

98

จังหวัดตา่ ง ๆ ทอ่ี า้ งวา่ เรื่องพระรถ – เมรีเปน็ นทิ านประจำถิน่ ของตนนี้ ตา่ งก็นำนิทานเรื่องน้ี
ไปเผยแพรแ่ ละต่อยอดไปส่กู ารทอ่ งเทีย่ วเชิงวัฒนธรรมตามรอยพระรถ - เมรี ดังจะเห็นไดจ้ ากที่อำเภอ
พนัสนิคม จังหวัดชลบรุ ี นอกจากนี้ทจี่ งั หวัดแพร่มีการสร้างศาลนางสบิ สองขึ้นและมีพิธีบวงสรวงเป็น
งานประจำปีโดยเชื่อว่านางสิบสองเป็นเสื้อเมืองของเมอื งสอง พิธีนี้จัดทกุ วันที่ 12 เมษายนของทกุ ปี
ขณะทใ่ี นพนื้ ทอี่ ่ืน ๆ เช่น ชลบุรี กม็ ีการต้ังศาลเชน่ กันแตเ่ ป็นศาลขนาดเล็ก มีพิธกี รรมเฉพาะในชุมชน
เท่านัน้ (อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล, 2559, หน้า 23 - 24)

2.3 นิทานพ้ืนบา้ นกบั วตั ถุมงคล

อนุภาคในนทิ านพื้นบ้านบางเร่ืองถกู นำมาเช่ือมโยงกบั วตั ถมุ งคลหรอื เครอื่ งรางของขลัง เป็น
สิ่งของท่ีเชื่อกันว่ามีพลังอำนาจ สามารถใหค้ ุณแก่เจ้าของหรอื ผู้ครอบครองในลักษณะตา่ ง ๆ เช่น ใช้
ปอ้ งกันภัยอนั ตราย อยู่ยงคงกระพัน ช่วยให้โชคดมี ีความเจริญรงุ่ เรอื ง ทำมาคา้ ข้นึ ใหล้ าภ หรอื มเี สนห่ ์
มีผู้คนนิยมชมชอบ (สุกัญญา สุจฉายา, 2558, หน้า 71) กระแสความนิยมบชู าวัตถุมงคลทำใหผ้ ู้สร้าง
คิดประดิษฐ์รปู แบบของวตั ถุมงคลที่หลากหลายขึน้ ซึ่งหนึ่งในรูปแบบของวัตถุมงคลที่น่าสนใจน่นั คือ
การประยกุ ตเ์ รอื่ งเลา่ หรอื อนภุ าคจากนิทานพน้ื บ้านมาเช่อื มโยงกับความเช่ือในการสรา้ งวตั ถมุ งคล เชน่
เจา้ เงาะในเรอ่ื งสงั ขท์ อง มีมนตจ์ นิ ดาสามารถเรียกเนื้อเรียกปลาได้ เจา้ เงาะจึงกลายมาเป็นวัตถุมงคล
ในการเรยี กทรัพย์ เรียกเงนิ เรียกทอง เรียกลูกคา้ และเรยี กสาว เชื่อกนั ว่าเป็นวัตถมุ งคลท่ีมีสรรพคุณ
ในทางโชคลาภ ทำมาหากินคล่อง จบี สาวเก่ง นอกจากน้ียังบันดาลความมั่งคั่งร่ำรวยใหก้ ลายเป็นมหา
เศรษฐี มีกินมีใช้ มีเงนิ มที องมากมายใช้ไม่หมด (พระคมุ้ ครอง, 2562, ออนไลน์)

ภาพท่ี 4- 11 เจา้ เงาะเรยี กทรพั ย์ ภาพท่ี 4- 12 เจา้ เงาะนำโชค
พระอาจารย์ตี๋ จงั หวัดปราจีนบรุ ี ทม่ี า : https://prakumkrong.com/6473/
ทม่ี า : https://www.taevamongkol.com
/th/products/415471-เจา้ เงาะเรียกทรัพย์-
พระอาจารย์ตี๋-จ.ปราจีนบรุ ี

วัตถมุ งคลเจ้าเงาะนเ้ี ป็นเครื่องรางทไี่ ดร้ บั ความนยิ มมาก มกี ารผลิตซ้ำหลายรนุ่ และหลาย
สถาบันหรอื หลายผู้ผลติ

99

ชชู ก จากนทิ านเรอ่ื งพระเวสสนั ดร ซงึ่ เปน็ คนอปั ลกั ษณ์แตไ่ ด้ภรรยาสวย สามารถขอโอรสและ
ธิดาจากพระเวสสันดรได้ ก็ถูกนำมาเป็นวตั ถุมงคลตามคติความเชือ่ เร่ืองโภคทรัพย์ เจ้าแห่งการขอ มี
สรรพคุณดา้ นโชคลาภ เมตตามหานยิ ม คา้ ขายร่ำรวย (กระปุก, 2553, ออนไลน์)

ภาพ 4-13 เฒา่ ชูชก
ท่ีมา : https://hilight.kapook.com/view/45220
ตำนานกบกินเดือน ราหูอมจันทร์ หรือสุริยคราสจันทรคราส ซึ่งเป็นนิทานอธิบายเหตุ
ปรากฏการณ์ธรรมชาตติ ามความเชอ่ื ดั้งเดิม ถูกนำมาเชอื่ มโยงเป็นเคร่อื งรางรูปกบหรือพญากินเดือน
และกะลาตาเดียวท่ีแกะเป็นรูปเทพราหู ป้องกันเคราะห์จากคราส ทั้งสุริยคราสและจันทรคราส โดย
เชอ่ื ว่ามีคณุ วเิ ศษด้านกนั ภยั แก้พระศุกร์เข้าพระเสารแ์ ทรก กันเสนียดจัญไร คุณไสย ภูตผปี ีศาจ ใช้ทำ
นำ้ มนตอ์ าบกนิ (สกุ ัญญา สจุ ฉายา, 2558, หนา้ 81) นอกจากนีย้ ังเช่อื ว่าเปน็ เครือ่ งรางมหาลาภ ค้าขาย
รำ่ รวย มีโชคลาภดว้ ย (พญากบกินเดือน, 2562, ออนไลน์)

ภาพท่ี 4-14 พญากบกินเดือน
ท่ีมา : http://www.wangmon.com/tag/พญากบกนิ เดอื น/
อนุภาคและคุณสมบตั ิพิเศษในนิทานพื้นบ้านยังมีอกี หลายเรื่องทีถ่ ูกนำมาประยกุ ตเ์ ชื่อมโยง
เป็นสรรพคุณของวัตถมุ งคล เช่น พระเครอ่ื งขนุ แผน เหรียญนาคบาศพรานบุณ หน้ากากพรานบณุ ฑรกิ
เคร่ืองรางรปู คู่ชูชกคู่นางอมติ ตดา เคร่ืองรางกณั หา - ชาลี เครือ่ งรางรูปนางพนั ธรุ ตั หน้ากากเจ้าเงาะ
รปู นางมณรี ตั นา เป็นตน้ (สุกัญญา สุจฉายา, 2558, หน้า 121 – 142)

100

2.4 นทิ านพื้นบา้ นกบั ส่ือการเรียนรู้สาระบนั เทงิ
นิทานพ้นื บ้านเปน็ คติชนท่อี ยู่คสู่ ังคมไทยมาช้านาน นอกจากจะใชเ้ ลา่ สกู่ นั ฟงั เพ่อื ความบนั เทงิ
แล้ว ยงั มกี ารนำนิทานพ้นื บา้ นทงั้ เรอื่ งหรอื บางตอนมาใช้เป็นสื่อการเรียนรดู้ ว้ ย เชน่ การนำนทิ านเร่ือง
ขุนช้างขุนแผนบางตอนไปเป็นแบบเรียนในหลักสูตรวิชาภาษาไทยการศึกษาขั้นพื้นฐานของ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร การนำนิทานพืน้ บา้ นเร่ืองกระเช้าสีดา และนิทานทอ้ งถน่ิ เรอื่ งเกาะหนู เกาะแมว
ไปเปน็ หนังสอื เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานภาษาไทย ชุดภาษาเพ่ือชีวติ วรรณคดีลำนำ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5
กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เป็นต้น
ปัจจุบันมีนิทานพื้นบ้านรูปแบบใหม่เกิดขึ้นในสังคมไทยซึ่งแสดงให้เห็นพลวัตของนิทาน
พื้นบา้ นในบริบทสังคมสมยั ใหม่ นั่นคือ นิทานในหนังสอื นทิ านแนว edutainment (สาระบันเทงิ ) ซ่ึง
เกิดจากการรวมคำวา่ education (การศกึ ษา) กบั entertainment (ความบนั เทิง) กล่าวคือ มีการนำ
นิทานมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เชิงวิชาการและทักษะที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแบบ
แผนการศกึ ษาสมยั ใหม่ (ศิริพร ภกั ดีผาสุข, 2558, หนา้ 159) ทำใหเ้ กดิ การผสมผสาน “นิทาน” และ
“แบบเรียน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นการผสมผสานวัฒนธรรม “การศึกษา” เข้ากับวัฒนธรรม “ความ
บันเทิง” ด้วยการนำตัวบทนิทานท่ีมักมีเนือ้ หาเก่ียวกับโลกจินตนาการหรือเรื่องสมมุติ บางคร้งั อาจมี
การแทรกคำสอน คติธรรม หรือข้อคิดบางประการด้วย มาผสมผสานกับแบบเรียนซึ่งเป็นตัวบท
ประเภทมุ่งให้ความรู้ทางวิชาการด้วยการ 1) ใช้นิทานทั้งเรื่องเพื่อการให้ความรู้ 2) แทรกปนการ
อธิบายให้ความรู้ในเนื้อหาของนิทาน 3) นำเสนอนิทานคู่ขนานไปกับแบบฝึกหัด (ศิริพร ภักดีผาสุข,
2558, หนา้ 169 - 170) ทำใหผ้ ูอ้ า่ นได้ทัง้ ความบันเทิงและความร้ไู ปด้วย เชน่ การนำนิทานพ้ืนบ้านท่ี
รู้จักกันดมี าผลติ ซ้ำ ดัดแปลงเป็นนิทานชุดส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน สืบสานวรรณคดีไทย เช่น นิทาน
พ้ืนบา้ นเรือ่ งปลาบู่ทอง โสนนอ้ ยเรอื นงาม หนงั สือชุดนทิ านพ้นื บ้านไทย เชน่ โสนนอ้ ยผเู้ สยี สละ อุทัย
เทวีผูก้ ตัญญู มัทรีผูเ้ มตตา สีดาผู้ซื่อสตั ย์ หนังสือชุดนิทานมหัศจรรย์พืน้ บ้าน เช่น พิกุลทอง พญากา
เผือก ยายกับตา นางนกกระจาบ เจ้าชายผู้ขมังธนู ภูท้าว - ภูนาง หนังสือชุดรวมเรื่องเอกนิทาน
พืน้ บ้านไทย ฉบับเสริมปัญญา 2 ภาษา เชน่ ขวานฟ้าหน้าดำ กากี ไกรทอง ปลาบูท่ อง เปน็ ตน้

ภาพท่ี 4- 15 ปลาบู่ทองและโสนนอ้ ยเรอื นงามนทิ านชดุ สง่ เสรมิ นสิ ัยรักการอ่าน สืบสานวรรณคดไี ทย
ที่มา : https://www.lnwmall.com/product/เซต2เล่ม-ชุดสง่ เสรมิ นิสัยรักการอา่ น-สบื สาน

วรรณคดไี ทย/11000067604012761

101

ภาพท่ี 4-16 หนงั สือนทิ านคำกลอน สไตล์ตบุ๊ ป่อง เร่อื งนกกระจาบและตากบั ยาย
ทมี่ า : https://www.planforkids.com/สนิ คา้ _ชดุ _นิทานคำกลอน_สไตลต์ บุ๊ ปอง_ชุด_

1_(10_เล่ม)_ปกออ่ น—3114

ภาพที่ 4-17 หนงั สอื ชุดนิทานพ้นื บา้ นไทย
ท่มี า : https://www.satapornbooks.co.th/SPBecommerce/product_details/2136/ชดุ นิทาน

พน้ื บ้านไทย
นอกจากนีย้ งั มหี นงั สือชดุ วรรณคดีกอ่ นนอน เชน่ แก้วหน้ามา้ พระสุธน - มโนห์รา สงั ขท์ อง

นางสิบสอง ไกรทอง จนั ทโครพ เป็นตน้ ซง่ึ ทำให้เหน็ ความสมั พนั ธข์ องนทิ านกบั สงั คมที่เปล่ียนแปลงไป
2.5 นทิ านพน้ื บา้ นกับผลิตภัณฑส์ นิ คา้
ปัจจุบันด้วยนโยบายของชาติที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศทำให้เกิดกลยุทธ์การสร้าง

“จุดขาย” ให้นักท่องเท่ียวประทับใจและเป็นการย้ำเตือนความทรงจำวา่ เคยไปสถานที่น้ัน ๆ มาแลว้
จึงมีการส่งเสรมิ ใหผ้ ปู้ ระกอบการทอ้ งถน่ิ สรา้ งของท่รี ะลกึ ทเี่ ป็นอัตลกั ษณ์ อนุภาคของนิทานพ้ืนบา้ นจึง
กลายเป็นส่วนหน่ึงที่เป็นทุนทางวัฒนธรรมนำมาประยุกต์สร้างเป็นสินค้าที่แตกต่าง มีความโดดเดน่
และสร้างมลู ค่าเพม่ิ ให้แกผ่ ลติ ภัณฑ์ เช่น การนำช่ือตัวละครหรืออนุภาคในนิทานพ้ืนบ้านมาสร้างเป็น
ตราสนิ ค้าในท้องถนิ่ (อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู , 2558, หนา้ 38 – 39) เช่น ผลติ ภณั ฑ์ดินสอพองของบา้ น
หนิ สองกอ้ น และตำบลทะเลชบุ ศร จงั หวดั ลพบุรี เปน็ การใช้นิทานประจำถิน่ เรอ่ื งพระรามทเี่ ลา่ ว่าเมื่อ
ครั้งแรกสรา้ งเมือง พระรามแผลงศรมาตกที่หมู่บ้านนี้ ศรพระรามร้อนแรงเหมือนไฟ ดินแถวนี้จึงสกุ
พองเป็นสขี าว ดงั เนือ้ หาในตำนานจังหวดั ลพบุรีทว่ี ่า

102

เม่ือครั้งทพี่ ระรามปราบทศกณั ฐ์ไดส้ ำเรจ็ พระองคจ์ ึงคิดปูนบำเหน็จให้กบั หนุมานซ่ึง
เป็นทหารเอก โดยการแผลงศรออกไปและถา้ ศรตกลงท่ใี ดบริเวณน้นั กจ็ ะเป็นของหนุมาน ศร
ของพระรามเป็นศรศักดิ์สิทธิ์ เมื่อแผลงตกที่ทุ่งพรหมมาสตร์ (หมายถึงจังหวัดลพบุรีใน
ปจั จุบัน) ก็ทำให้แผน่ ดนิ ลกุ เปน็ ไฟ หนุมานจึงใชห้ างกวาดเปลวไฟใหด้ บั บริเวณที่ถูกไฟจึงสุก
กลายเป็นสีขาวและเถ้าดินที่ถูกหางหนุมานกวาดออกไปก็กลายเป็นภูเขาล้อมรอบจังหวัด
ลพบุรีน่นั เอง

(กล่มุ พัฒนาดินสอพอง บา้ นหินสองก้อน, 2562, ออนไลน)์

ผลิตภณั ฑเ์ คร่อื งด่ืมท่จี งั หวัดสพุ รรณบรุ ีก็มีการนำนทิ านประจำถ่นิ เรือ่ งขนุ ชา้ งขนุ แผนมาใช้ใน
การเลา่ เรื่อง โดยเลือกให้ “ขุนแผน” ซึ่งมบี ุคลิกเปน็ คนเจ้าชู้และมีฐานะปานกลาง เป็นตราของเหลา้
สาโทซงึ่ เป็นเหล้าท้องถิน่ หาซอ้ื ได้ในราคาไม่แพง ขณะทีเ่ ลอื กให้ “ขุนชา้ ง” ซ่ึงมีฐานะร่ำรวย เป็นตรา
ของชาซึง่ ถอื วา่ เปน็ เครอ่ื งดม่ื ชน้ั ดีและมีราคาแพง เป็นตน้ (อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกูล, 2558, หน้า 44)

นทิ านพื้นบา้ นที่ได้ถูกนำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภณั ฑ์สินคา้ มีหลายเรอื่ ง ซงึ่ จะยกตัวอย่าง
บางส่วนดงั ตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 4-1 ตวั อย่างนทิ านพืน้ บา้ นท่ใี ช้สร้างมูลคา่ เพ่ิมใหผ้ ลิตภณั ฑส์ นิ ค้า

นิทานพ้นื บา้ น ผลติ ภัณฑส์ ินคา้ จงั หวัด

ตำนานพระรามแผลงศร ดินสอพอง บ้านหินสองก้อน ลพบรุ ี

(ศรพระรามร้อนแรงเหมือนไฟ ตำบลทะเลชบุ ศร

ดินแถวนจี้ งึ สกุ พองเปน็ สีขาว)

น ิ ท า น พ ร ะ ร า ม ( ควา ม รั ก สดี า (กระเปา๋ ผ้าผสมพลาสติก กรงุ เทพฯ (บริษัทธนลู ักษณ์)

ระหวา่ งพระรามกบั สีดา) รไี ซเคลิ จากขวดน้ำ)

นทิ านพระราม นำ้ พริก/ ปลายา่ งสวุ รรณมจั ฉา พระนครศรอี ยุธยา

สรุ าแช่หนมุ านลงโอง่ ราชบุรี

นำ้ มันเหลืองตราหนมุ าน สระบุรี

นิทานขนุ ชา้ งขนุ แผน ชาขนุ ชา้ ง สพุ รรณบุรี

สาโทขนุ แผน

นิทานชาละวนั / ไกรทอง พซิ ซา่ ชาละวนั พจิ ิตร

นิทานพระรถ สุราขาวเมืองพระรถ ชลบุรี

น้ำปลาตราพระรถ ฉะเชงิ เทรา

นทิ านพระเวสสันดร ขา้ วเวสสนั ตะระ กรงุ เทพฯ (บริษทั ทีวีบรู พา)

ตำนานแมน่ าคพระโขนง ห่อหมกแมน่ าค สมทุ รสงคราม

นทิ านตาม่องล่าย ตามอ่ งลา่ ยรสี อรท์ ประจวบครี ขี นั ธ์

นอกจากนยี้ งั มผี ลติ ภณั ฑ์สนิ ค้าอกี หลายชนิดทไ่ี ด้ประยุกตน์ ำความรู้จากนิทานพื้นบ้านมาเพิ่ม

มลู ค่าและสรา้ งจุดขายใหผ้ ลิตภณั ฑ์

103

2.6 นทิ านพน้ื บา้ นกับศลิ ปกรรม
นิทานพื้นบ้านถูกนำมาสร้างสรรค์ในรูปแบบของงานศลิ ปกรรม โดยเฉพาะการนำฉากสำคญั
ของเหตุการณ์ (วิไลรัตน์ ยังรอด และธวัชชัย องค์วฒุ ิเวทย์, 2555, หนา้ 3) มาวาดเป็นภาพจิตรกรรม
ฝาผนงั ตามโบสถว์ หิ าร เชน่ นิทานเรือ่ งยายกับตาปลูกถัว่ ปลกู งาเป็นตน้ เคา้ ของภาพจิตรกรรมเชิงบาน
หน้าต่างในพระอโุ บสถวดั พระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

ภาพที่ 4-18 ภาพจิตรกรรมยายกับตาปลูกถั่วปลกู งา
ทมี่ า : https://oer.learn.in.th/search_detail/result/62690
นอกจากนีย้ ังมนี ทิ านพืน้ บ้านและนิทานพื้นบ้านทเี่ ชอื่ วา่ เป็นชาดกซง่ึ ถือว่าเป็นเร่ืองศักดิ์สิทธ์ิ
ไดถ้ ูกนำมาวาดเปน็ ภาพจติ รกรรมฝาผนังอกี หลายเรอื่ ง เชน่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเรือ่ งสวุ รรณหงส์และ
สังข์ทอง ในวหิ ารลายคำ วดั พระสงิ ห์ อำเภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่ โดยฝ่ังขวาเขยี นเร่ืองสังขท์ อง ช่าง
ทเี่ ขียนเลอื กฉากต้งั แตต่ อนทน่ี างยกั ษ์พนั ธุรัตพบพระสงั ข์ ไปจนถงึ ตอนที่เงาะปา่ กำลงั จะไปทำภารกิจ
ของท้าวสามนตใ์ นการหาปลา 100 ตวั ส่วนฝงั่ ซา้ ยเขียนเรื่องสวุ รรณหงส์ตัง้ แต่ตอนท่ีสุวรรณหงส์ตาม
วา่ วไปจนถึงปราสาทท่นี างเกศสุรยิ งอยู่ ไปจนถึงตอนทีย่ ักษก์ ุมภณฑช์ ว่ ยสุวรรณหงส์จากนางผเี สือ้ น้ำท่ี
แปลงเป็นเกศสรุ ยิ ง (ธนภัทร์ ลิ้มหัสนยั กุล, 2562, ออนไลน์)

ภาพที่ 4-19 ภาพจิตรกรรมฝาผนงั เร่ืองสงั ขท์ อง ที่วดั พระสิงห์ จงั หวัดเชียงใหม่
ท่มี า : https://readthecloud.co/wat-phra-singh/

104

นอกจากน้ียงั มีภาพจิตรกรรมเรื่องศรีธนญชัย ในวิหารวัดปทมุ วนาราม กรุงเทพฯ ภาพสินไซ
หรือสงั ขศ์ ลิ ปช์ ัย บนผนังดา้ นนอกสิมวดั โพธาราม จงั หวัดมหาสารคาม วัดสนวนวารพี ัฒนาราม จังหวัด
ขอนแก่น และวดั ไชยศรี จงั หวดั ขอนแก่น รวมท้ังเรื่องคัทธณะกมุ ารชาดก ในวิหารวัดภูมนิ ทร์ จังหวัด
น่าน เป็นต้น (วิไลรตั น์ ยงั รอด และธวัชชยั องคว์ ฒุ ิเวทย์, 2555, หน้า 7)

นอกจากจิตรกรรมฝาผนังแลว้ นิทานพนื้ บ้านยงั ถกู นำไปสรา้ งสรรค์เป็นภาพแกะสลกั เชน่ บาน
ประตไู มแ้ กะสลักภาพเรือ่ งสวุ รรณหอยสงั ข์ ที่พิพธิ ภัณฑว์ งั สวนผกั กาด เขตพญาไท กรงุ เทพฯ อีกด้วย
ซง่ึ แสดงให้เห็นถึงความสมั พนั ธ์ของนิทานพนื้ บ้านกับศลิ ปกรรมในสงั คมไทยไดอ้ ย่างชัดเจน

2.7 นทิ านพ้ืนบา้ นกบั สำนวนไทย

สำนวนไทยหลายสำนวนมที ม่ี าจากนทิ านพน้ื บ้านโดยอาจนำมาจากชอ่ื ตัวละครหรือเหตกุ ารณ์
เดน่ ในเรื่อง ดงั ตัวอย่าง

นิทานเรื่องหัวล้านนอกครู เนื้อเรื่องเล่าว่า ทิดทองและทดิ ถมเป็นเพือ่ นรักกัน ทั้งสองได้บวช
เรียน ร่ำเรียนตำรับตำรามาด้วยกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รังเกียจ
เดียดฉันทก์ ันเลย เมอ่ื ทัง้ สองสึกออกมา ก็ชว่ ยเหลอื พ่อแมท่ ำงานด้วยความขยันขนั แข็ง อยู่มาวันหนึ่ง
มพี ่อค้าเร่มาขายน้ำมันใสผ่ มในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมซง่ึ ไมร่ เู้ รอื่ งอะไรจงึ ได้ซือ้ น้ำมันใส่ผมมาใช้คน
ละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงเรือ่ ย ๆ ทุกวัน นานวันเข้าทัง้ สองก็กลายเป็นคนหวั ล้าน ทั้ง
สองรูส้ กึ เปน็ กงั วลกนิ กไ็ มไ่ ด้นอนก็ไม่หลบั และรูส้ ึกอับอายจนไม่อยากจะออกไปไหนเลย เม่อื ชาวบ้านรู้
เร่อื งกท็ ำทมี าแกลง้ โดยแนะนำกบั ทั้งสองว่าถ้าเอาไอโ้ นน้ ไอ้นมี่ าทา ผมกจ็ ะงอกมาดังเดมิ เช่น บอกให้
เอาหนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรอื แมก้ ระทงั่ ข้ีไก่ มาทา ทง้ั สองก็หลงเชื่อ กลายเป็นทขี่ ำขันของ
ชาวบ้านท้ังหมู่บ้าน ท้ังสองอบั อายเปน็ อนั มาก จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากโยคีที่อยู่กลางป่า
ด้วยความสงสารโยคีจงึ ให้การช่วยเหลอื โดยใหท้ ง้ั สองไปดำนำ้ ในสระน้ำขา้ งอาศรม 3 คร้ัง ผมก็จะงอก
ออกมาท่วั ทงั้ หัวเหมือนดงั เดมิ ทัง้ สองไม่รอช้า รบี ทำตามคำแนะนำของท่านโยคี เมอ่ื ลงดำคร้งั แรกแล้ว
โผลห่ วั ขึน้ มาปรากฏวา่ ผมงอกขึน้ มานิดหนอ่ ย ครงั้ ท่ี 2 ผมงอกมาพอประมาณและคร้ังที่ 3 ผมของท้ัง
สองงอกเต็มหัวเปน็ ปกติ แตเ่ นือ่ งจากทงั้ สองมแี ผลเปน็ กลางหัวต้ังแต่เดก็ ๆ ผมจึงขน้ึ ตรงแผลเป็นไม่ได้
แทนทีจ่ ะไปปรึกษากับโยคี ทิดทองและทิดถมไดป้ รึกษากันเองวา่ หากดำครั้งท่ี 4 ผมจะต้องงอกตรงท่ี
เปน็ แผลเป็นแน่นอน ทัง้ สองจึงตดั สินใจดำน้ำลงไปอกี ครงั้ แต่ทวา่ เหตุการณไ์ ม่คาดฝันก็เกดิ ขึน้ เมอ่ื ทั้ง
สองโผลห่ ัวขึ้นมา กลับกลายเปน็ คนหวั ลา้ นเช่นเดมิ คราวนี้แม้แต่โยคีเองกช็ ่วยอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งสอง
เสียใจร้องไห้โวยวาย แล้วเดินก้มหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความผิดหวัง เป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่า
“หวั ล้านนอกครู ” (นทิ านอสี ป นิทานพนื้ บา้ น นิทานชาดก, 2562, ออนไลน)์

นิทานเรื่องกิ้งก่าได้ทอง เรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งในกาลก่อน มีกิ้งก่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ซมุ้
ประตใู นเขตพระราชวงั ทุกคร้ังท่ีพระราชาเสดจ็ ผ่าน เจ้ากงิ้ กา่ นอ้ ยก็ถวายคารวะโดยการผงกศีรษะแด่
พระราชา ด้วยพระเมตตาจงึ ทรงกรณุ าพระราชทานเบยี้ เล้ยี งใหผ้ ู้ติดตามไปซือ้ เนอื้ มาเป็นอาหารให้เจ้า
กิ้งกา่ น้อยทุกวนั วันหน่ึงผตู้ ดิ ตามหาซือ้ เนือ้ ทีต่ ลาดไม่ได้ เนอ่ื งจากวันนนั้ เป็นวันพระ พระราชาจึงเอา

105

ทองทีพ่ ระราชทานเป็นค่าอาหารประจำวนั นนั้ ผกู ไวท้ ค่ี อมันแทนการใหก้ ้อนเน้อื อย่างทกุ ครงั้ ทีผ่ า่ น นบั
แต่วันที่ผูกทอง เจ้ากิ้งก่าตัวน้อยก็มิได้ถวายความเคารพแด่พระราชาเช่นก่อน กลับเชิดชูคอไว้สูง
พระราชาจงึ รสู้ ึกผดิ หวงั ในสงิ่ ท่ีเจ้าก้งิ ก่าได้แสดงตอ่ พระองค์ จึงสั่งงดเบี้ยเลี้ยงเจ้ากิ้งก่า ไม่ให้ผู้ติดตาม
ซ้ือเนอื้ เลี้ยงเจา้ กง้ิ ก่าอกี ต่อไป (นิทานบานใจ กง้ิ ก่าได้ทอง, 2562, ออนไลน)์

นิทานเร่อื งเน้ือไม่ไดก้ นิ หนังไม่ไดร้ องน่งั กระดกู แขวนคอ เลา่ โดยนางเพง็ บญุ เพมิ่ เร่ืองเล่าว่า
มีชายสามคนเที่ยวไปในป่า ไปเจอหญิงสาวคนหนึ่งอยู่กับฤๅษีในป่า ไปเห็นก็เลยรักใคร่อยากได้ แต่
ผู้ชายทั้งสามคนก็เป็นคนดีทั้งสามคน ผู้หญิงกไ็ มร่ ู้ว่าจะใครดี ก็เลยตัดสินใจบอกว่า ฉันจะรักหมดท้ัง
สามคนนั้นไม่ได้หรอก ฉันจะไม่อยู่ละ ฉันจะโดดเข้ากองไฟนั่นตายไปซะดีกว่า พอดีชายสามคนนั้นก็
ตามมา ชายคนหนง่ึ บอกว่าถา้ แมน้ างตายฉนั จะผกู คอตาย อีกคนหนึ่งบอกวา่ ถ้านางตายฉันกจ็ ะโดดเข้า
กองไฟตายตามนางไปด้วย อีกคนบอกวา่ ถ้านางตายฉนั จะเอากระดูกแขวนคอ แล้วทนี ี้ก็ไปป่า นางก็
โดดเขา้ กองไฟ แลว้ ชายคนหนง่ึ กโ็ ดดเขา้ กองไฟตายตามไปดว้ ย อีกคนหนึ่งกไ็ ปผูกคอตาย คนท่ีอยกู่ เ็ อา
กระดูกมารอ้ ยแขวนคอ แล้วกไ็ ปหาฤๅษี ใหฤ้ ๅษชี ุบชวี ติ ทีนฤ้ี ๅษีชุบมากเ็ ปน็ ผหู้ ญงิ สองคนมาด้วยกนั ทีนี้
ไอ้คนทีเ่ อากระดกู แขวนคอกจ็ ะไปเอานางนัน้ ฤๅษกี ต็ ดั สินใจวา่ ไมไ่ ด้หรอก ต้องให้ไดก้ ะชายทงั้ สองคน
ท่ีเขาตายตามไปด้วยกัน คนนั้นก็เลยไม่ได้ ก็เลยเนอื้ ไมไ่ ดก้ ิน หนงั ไมไ่ ดร้ องนั่ง กระดกู แขวนคอเฉย ๆ
(วเิ ชยี ร เกษประทมุ , 2550, หน้า 125)

นอกจากนย้ี งั มีนิทานพ้นื บา้ นอีกหลายเรอื่ งทเ่ี ป็นทม่ี าของสำนวนไทย เชน่ (กลวั ) ดอกพกิ ลุ รว่ ง
ได้ทขี ่แี พะไล่ ไก่ได้พลอย ลูกทรพี กระตา่ ยตนื่ ตมู เล้ยี งงเู หา่ นางวันทอง กระเชอก้นรว่ั ตาบอดคลำช้าง
แพะรับบาป หัวลา้ นได้หวี ฯลฯ

จากที่กลา่ วมา ทำใหเ้ หน็ วา่ นิทานพืน้ บ้านมคี ณุ คา่ และมคี วามสมั พนั ธ์กบั สังคมไทยหลากหลาย
ประการ ไมว่ ่ากาลเวลาผา่ นไปกยี่ ุคสมยั สภาพสงั คมและโลกจะเปลีย่ นแปลงไปอยา่ งไร นทิ านพ้ืนบา้ น
กย็ ังคงเปน็ “มรดก” ทป่ี รบั เปล่ียนไปตามบริบทเพ่อื “สบื ทอด” ในสังคมตอ่ ไป

แบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 4

จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี

1. นิทานพ้นื บ้านมคี ณุ คา่ อย่างไรบา้ ง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
2. นิทานพ้ืนบา้ นมคี วามสัมพนั ธก์ บั สังคมอย่างไรบา้ ง จงอธิบายและยกตวั อยา่ งประกอบ
3. ให้นิสิตเลือกนิทานพื้นบ้าน 1 เรื่อง แล้ววิเคราะห์คุณค่าและความสัมพันธ์ของนิทานเรื่องนั้นกับ
สงั คมให้ละเอยี ด

106

บรรณานุกรม

กระปกุ . (2553). เฒา่ ชชู ก สุดยอดเครอื่ งราง เจ้าแหง่ การขอ. เขา้ ถึงเมื่อ 1 ตลุ าคม 2562, เข้าถงึ จาก
https://hilight.kapook.com/view/45220

กลุ่มพัฒนาดินสอพอง บ้านหนิ สองก้อน. (2562). หมบู่ ้านดินสอพอง. เขา้ ถงึ เม่ือ 1 ตลุ าคม 2562,
เขา้ ถึงจาก https://fernlopburi.weebly.com

กัญญรตั น์ เวชชศาสตร.์ (2559). นิทานตามอ่ งลา่ ย. ใน วรรณกรรมพน้ื บ้าน : มรดกภูมปิ ัญญาทาง
วฒั นธรรมของชาติ. กรุงเทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.

คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด. (2562). ภาพวาดวรรณกรรมพน้ื บ้านยายกับตาปลกู ถั่วปลูกงา.
เขา้ ถงึ เมอื่ 6 มนี าคม 2562, เข้าถงึ จาก https://oer.learn.in.th/search_detail/result/62690

ถวัลย์ พ่ึงเงนิ . (2552). นิทานพืน้ บา้ น. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
ทศกัณฐ์. (2560). อวสานรัก - ทศกณั ฐ์. เข้าถงึ เมื่อ 12 กันยายน 2562, เขา้ ถึงจาก

https://www.siamzone.com/music/thailyric/12955
ธนภทั ร์ ลิม้ หสั นยั กลุ . (2562). วัดพระสิงห์. เข้าถงึ เมื่อ 5 พฤศจกิ ายน 2562, เขา้ ถงึ จาก

https://readthecloud.co/wat-phra-singh/
นทิ านบานใจ กิ้งก่าได้ทอง. (2562). เข้าถึงเม่ือ 20 พฤศจิกายน 2562, เข้าถึงจาก

https://storylog.co/story/563c47d147fd0d127872b34f
นทิ านอีสป นทิ านพื้นบ้าน นิทานชาดก. (2562). เข้าถึงเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2562, เข้าถึงจาก

http://www.nitan108.com/นิทานพืน้ บา้ น-เร่อื งหัว.html
นธิ อิ ร พรอำไพสกุล และสภุ คั มหาวรากร. (2560). ความสวยความงามในการ์ตนู เรือ่ งนางสบิ สอง –

พระรถเมรี : ปรากฏการณ์ทางสังคมไทยในสื่อร่วมสมัย. ใน นางสิบสอง พระรถเมรีศึกษา,
รัตนพล ชื่นค้า (บรรณาธิการ). (หน้า 169 – 195). จัดพิมพ์เนื่องในการประชุมวิชาการ
ระดับชาติเรื่องขับนิทานนางสิบสอง ขานทำนองพระรถเมรี : นิทานมรดกแห่งอุษาคเนย์,
กรุงเทพฯ : สถาบันภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษาราชนครินทร์ ภาควรรณคดี ภาควิชา
ภาษาไทย ภาควิชาดนตรี และคณะกรรมการฝ่ายวิจัย คณะมนุษยศาส ตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รว่ มกับสำนกั วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ กรมศิลปากร.
ประคอง นิมมานเหมนิ ท์. (2551). นทิ านพืน้ บา้ นศึกษา (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 3). กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่
ผลงานวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ประพนธ์ เรอื งณรงค์. (2559). นิทานพระสธุ นมโนหร์ า - ภาคใต.้ ใน วรรณกรรมพื้นบา้ น : มรดกภมู ิ
ปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.
พญากบกนิ เดือน. (2562). เข้าถึงเม่อื 6 พฤศจกิ ายน 2562, เขา้ ถึงจาก
http://www.wangmon.com/tag/พญากบกินเดอื น/
พระคุม้ ครอง. (2562). เจา้ เงาะนำโชค เรียกเงนิ เรยี กทอง เรยี กลูกคา้ เงาะเรยี กสาว. เขา้ ถึงเมอื่ 6
พฤศจิกายน 2562, เขา้ ถึงจาก https://prakumkrong.com/6473/

107

ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (พิมพค์ รัง้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ
: ราชบณั ฑิตยสถาน.

วรรณวิภา วงษ์เดือน และวรี วฒั น์ อินทรพร. (2562). ตวั ละครจากวรรณคดีไทยในบทเพลงไทยสากล:
ความนิยมและวิธีการนำเสนอ. ใน Veridian E-Journal Silpakorn University, 12(1) :
274 – 293.

วฒั นะ บญุ จบั . (2559). นิทานดาวลูกไก่. ใน วรรณกรรมพน้ื บ้าน : มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของ
ชาติ. กรุงเทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.

วเิ ชยี ร เกษประทมุ . (2550). นิทานพน้ื บา้ น. กรุงเทพฯ : พ.ศ. พฒั นา.
วไิ ลรัตน์ ยังรอด และธวชั ชัย องคว์ ฒุ ิเวทย์. (2555). จติ รกรรมเล่าเรือ่ ง วรรณคดอี มตะ. กรงุ เทพฯ :

มิวเซยี มเพรส.
ศิราพร ณ ถลาง, อภิลกั ษณ์ เกษมผลกลู , สุกัญญา สุจฉายา และศิริพร ภกั ดผี าสขุ . (2558). เร่อื งเลา่

พน้ื บ้านไทยในโลกทีเ่ ปลีย่ นแปลง. กรุงเทพฯ : ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ นิ ธร (องคก์ ารมหาชน).
ศริ พิ ร ภกั ดีผาสุข. (2558). การผสมผสานวฒั นธรรมในหนงั สอื นทิ านแนว edutainment

(สาระบนั เทิง) ภาษาไทย. ใน เร่ืองเลา่ พืน้ บ้านไทยในโลกทีเ่ ปลีย่ นแปลง, ศิราพร ณ ถลาง
(บรรณาธกิ าร) (หนา้ 157 – 215). กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวทิ ยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน).
สวทช [สำนกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแหง่ ชาติ]. (2562). ภาพเคลอ่ื นไหว (Animation).
เข้าถงึ เมือ่ 14 กนั ยายน 2562 เขา้ ถึงจาก https://www.nstda.or.th/th/nstda-
knowledge/3016-animation
สกุ ญั ญา สจุ ฉายา. (2558). การประยกุ ตใ์ ชค้ ติชนในการสรา้ งวตั ถมุ งคลในปจั จบุ นั . ใน เรือ่ งเล่าพ้ืนบา้ น
ไทยในโลกทีเ่ ปลี่ยนแปลง, ศริ าพร ณ ถลาง (บรรณาธิการ) (หนา้ 69 – 155). กรุงเทพฯ : ศูนย์
มานษุ ยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน).
สกุ ัญญา สุจฉายา. (2559). นิทานขุนชา้ ง - ขุนแผน. ใน วรรณกรรมพื้นบ้าน : มรดกภมู ิปัญญาทาง
วฒั นธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม.
สกุ ัญญา สุจฉายา. (2559). นทิ านทา้ วปาจติ - อรพมิ พ์. ใน วรรณกรรมพืน้ บ้าน : มรดกภูมปิ ญั ญาทาง
วัฒนธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม.
หนังขุนแผน ฟา้ ฟ้นื . (2562). เข้าถึงเม่ือ 17 พฤศจิกายน 2562, เข้าถึงจาก https://www.khun-
phaen-fha-feun-tt10374770.over-blog.com
อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล. (2558). เรื่องเลา่ พนื้ บา้ นกับการสร้างมูลคา่ เพม่ิ ให้ผลิตภณั ฑ์ท้องถน่ิ (OTOP)
ในบรบิ ทเศรษฐกิจสรา้ งสรรค.์ ใน เร่อื งเลา่ พ้นื บ้านไทยในโลกทเ่ี ปล่ยี นแปลง, ศิราพร ณ ถลาง
(บรรณาธกิ าร) (หนา้ 19 – 67). กรุงเทพฯ : ศนู ย์มานุษยวทิ ยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู . (2559). นิทานพระรถ - เมรี. ใน วรรณกรรมพนื้ บ้าน : มรดกภมู ิปญั ญาทาง
วัฒนธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.

บทท่ี 5

ทฤษฎที ใ่ี ช้วเิ คราะหน์ ทิ านพื้นบา้ น

ความมุ่งหมายของบทเรียน

1. เพอื่ ให้ผู้เรยี นเข้าใจ อธบิ าย และวเิ คราะห์นิทานโดยใช้ความรเู้ รื่องอนภุ าคนทิ านได้
2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเข้าใจ อธิบายและวเิ คราะห์นิทานโดยใช้ความรูเ้ รือ่ งแบบเร่ืองนิทานได้
3. เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจ อธบิ ายและวิเคราะหน์ ิทานโดยใชท้ ฤษฎีการแพรก่ ระจายของนิทานได้
4. เพอ่ื ให้ผู้เรียนเข้าใจ อธิบายและวเิ คราะห์นิทานโดยใช้ทฤษฎีโครงสร้างนิทานได้
5. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเข้าใจ อธิบายและวเิ คราะหน์ ิทานโดยใช้ทฤษฎีบทบาทหน้าท่ขี องนิทานได้
6. เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจ อธิบายและวเิ คราะห์นิทานโดยใช้ทฤษฎคี ตชิ นสร้างสรรคไ์ ด้

เนือ้ หาของบทเรยี น

1. อนุภาคนิทาน
2. แบบเร่ืองนิทาน
3. การแพรก่ ระจายของนิทาน
4. โครงสร้างนิทาน
5. บทบาทหนา้ ที่ของนิทาน
6. คติชนสร้างสรรค์

วิธีการสอนและกิจกรรม

1. การบรรยาย
2. การอภิปราย
3. ฝึกปฏบิ ัตกิ จิ กรรมในชัน้ เรียน
4. แบบฝึกหดั ทา้ ยบทเรียน

อปุ กรณก์ ารสอน

1. เอกสารประกอบการสอน
2. สอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ power point
3. แบบฝึกหัด
4. ตำราและเอกสารอน่ื ๆ

การวดั ผลและประเมนิ ผล

1. สังเกตจากการมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นการสอน
2. ความถกู ต้องของการตอบคำถาม
3. การทำแบบฝึกหัดท้ายบท
4. การทำแบบทดสอบ

109

บทที่ 5

ทฤษฎีทใ่ี ช้วเิ คราะหน์ ทิ านพน้ื บ้านไทย

การศึกษานิทานพื้นบ้านอย่างมีหลักเกณฑ์น่าจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อพี่น้อง
ตระกูลกรมิ ม์ (the Grimm brothers) สำรวจรวบรวมนทิ านท่ีเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ นำมาตีพมิ พ์ และ
พยายามค้นคว้าหากำเนิดรวมทั้งลักษณะการแพร่กระจายของนิทานเหล่านั้น ทำให้ต่อมานักวิชาการใน
ประเทศตา่ ง ๆ ในยโุ รปไดร้ วบรวมนทิ านในประเทศของตนมาตีพิมพเ์ ผยแพรบ่ ้าง รวมท้ังยังได้พยายามหา
วิธีการศึกษาเปรียบเทียบนิทานที่รวบรวมมาเพื่อความก้าวหน้าในวงการคติชนวิทยาซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ท่ี
ได้รบั ความสนใจอยา่ งมากในขณะนนั้ (เสาวลกั ษณ์ อนันตศานต์, 2548, หนา้ 56 – 57)

สำหรับการศกึ ษาวิเคราะห์นิทานพื้นบา้ นไทยมีแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์หลากหลายแนวทาง
ในอดตี นิยมวิเคราะห์องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ในตวั บทนิทาน เช่น โครงเร่อื ง ตัวละคร ภาษา วรรณศิลป์ ภาพ
สะท้อนสังคม รวมถึงบริบทของนิทานนั้น ๆ เช่น ประวัติความเป็นมา ลักษณะต้นฉบับ ตัวอักษรที่ใช้
บันทึก ปัจจุบันการศึกษาวิเคราะห์นิทานมีความทันสมัยและน่าสนใจมากขึ้นเพราะมีการนำวิธีวิทยาและ
ทฤษฎี หมายถึง เครื่องมือทางความคิด (ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หน้า 24) มาใช้เป็นแนวทางในการ
วเิ คราะห์ อธิบาย ให้ความหมายและทำใหเ้ หน็ คณุ ค่าของนทิ านอยา่ งหลากหลายแงม่ ุม

ในบทเรยี นนี้จะกล่าวถงึ วธิ ีวิทยาและทฤษฎที ใี่ ช้วเิ คราะห์นิทานพ้นื บ้าน ได้แก่ อนภุ าคนิทาน แบบ
เรื่องนิทาน การแพร่กระจายของนิทาน โครงสร้างของนิทาน บทบาทหน้าที่ของนิทาน และทฤษฎีคติชน
สรา้ งสรรค์

1. อนุภาคนทิ าน (Motif)

อนุภาค (motif) ที่ใช้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านเป็นคำที่มีความหมายพิเศษ ทั้งนี้สติธ ทอมป์สัน
(Stith Thompson) ได้อธิบายความหมายของ motif ไว้ว่า “A motif is the smallest element in a
tale having a power to persist.” หมายถึง องค์ประกอบเล็ก ๆ หรือองคป์ ระกอบยอ่ ยในนิทานเร่ืองใด
เรื่องหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ ทำให้เป็นที่จดจำและเล่าสืบต่อกันไป (ประคอง นิมมานเหมินท์,
2551, หน้า 38) ส่วนในทางคติชนวิทยา อนุภาค หมายถึง หน่วยย่อยในนิทานที่ “ไม่ธรรมดา” มีความ
น่าสนใจทางความคิดและจินตนาการ ได้รับการสืบทอดและดำรงอยู่ในสังคมหนึ่ง ๆ (ศิราพร ณ ถลาง,
2548, หนา้ 36)

อนุภาคนิทานอาจเป็นได้ทั้งตัวละคร วัตถุสิ่งของ และพฤติกรรมของตัวละครหรือเหตุการณ์ใน
เรื่อง ซึ่งเสาวลักษณ์ อนันตศานต์ (2548, หน้า 58) ได้อธิบายรายละเอียดของตัวละคร วัตถุสิ่งของ และ
พฤตกิ รรมของตัวละครหรือเหตกุ ารณใ์ นนิทานทจ่ี ดั เป็นอนภุ าคไว้วา่ ต้องมีลักษณะดังน้ี

1. ตัวละครซ่งึ มีลักษณะทีแ่ ปลกหรอื พเิ ศษผิดแผกไปจากคนธรรมดาสามัญ อาจเป็นเทพเจา้
สัตว์หรือสิง่ มชี วี ิตทแ่ี ปลกพิสดาร เชน่ นางฟ้า แม่มด แม่เลยี้ งใจรา้ ย ผหู้ ญิงท่หี นา้ เหมือนม้า

2. วัตถุหรือสิ่งของซึ่งมีลักษณะพิเศษ ของวิเศษ ธรรมเนียมประเพณีที่ผิดไปจากธรรมดา หรือ
ความเชอ่ื ที่แปลกประหลาด เชน่ รองเทา้ ที่เหาะได้ พืชที่ชบุ ชีวิตได้

110

3. พฤติกรรมของตัวละครหรือเหตุการณ์ในนิทานซึ่งเป็นพฤติกรรมหรือเหตุการณ์เดี่ยว ๆ ที่
เกดิ ขนึ้ และคงอยอู่ ยา่ งอิสระ เช่น การกินปลาทูขึน้ ราแล้วทำใหก้ ลายเปน็ หนมุ่

ประวัติการศึกษาอนุภาคนิทานเริ่มขึ้นหลังจากที่มีการรวบรวมนิทานพื้นบ้านในช่วงครึ่งหลัง
ศตวรรษท่ี 19 จากเขตวัฒนธรรมตา่ ง ๆ ในโลก ในตน้ ศตวรรษท่ี 20 มกี ลุ่มนักคตชิ นวิทยาท่พี ยายามศึกษา
ความเป็นสากลในนิทานพื้นบ้านทั่วโลกเหล่านี้ โดยมีสติธ ทอมป์สัน นักคติชนวิทยาชาวอเมริกันเป็น
บรรณาธิการ ร่วมกันจัดทำ Motif – Index of Folk Literature (ดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้านหรือดัชนี
อนภุ าคนิทานพ้นื เมือง)

ข้นั แรกเร่ิมเป็นการรวบรวมหนังสือนิทานพื้นบ้านจากประเทศต่าง ๆ ที่เปน็ ตัวแทนเขตวัฒนธรรม
ที่สำคัญ ๆ ในโลก เช่น นิทานยุโรป (อังกฤษ ฝรั่งเศส บอลติค เอสโตเนีย ฟินแลนด์ นอรเวย์ ฯลฯ) นิทาน
ตะวันออกกลาง (กลุ่มอาหรับ) นิทานอินเดีย นิทานเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) นิทานเอเชีย
ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (ฟิลิปปนิ ส)์ นิทานแอฟริกา นิทานอินเดียแดง แตส่ ่วนใหญ่จะเป็นนิทานจากยุโรป และ
เปน็ ทีน่ า่ สงั เกตวา่ มีนิทานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใตจ้ ากฟลิ ิปปินสเ์ พียงประเทศเดียวเทา่ น้ัน (ศิราพร ณ
ถลาง, 2548, หนา้ 36 – 37)

ข้นั ทส่ี อง นกั คติชนวิทยาไดน้ ำนทิ านแต่ละเร่อื งมาแยกเป็นอนุภาคยอ่ ย ๆ
ขั้นที่สาม นักคติชนวิทยาได้นำอนุภาคทั้งหมดมาจัดหมวดหมู่ทางความคิด แต่ละหมวดความคิด
ใชต้ วั อกั ษรในภาษาองั กฤษ A – Z (ยกเว้น I O U Y) แทน ดังนี้
หมวด A Mythological motifs (อนุภาคเก่ยี วกับตำนานปรัมปรา)
หมวด B Animals (สตั ว์)
หมวด C Tabu (ข้อห้าม)
หมวด D Magic (ความวิเศษ)
หมวด E Dead (ความตาย)
หมวด F Marvels (ความแปลกมหัศจรรย์)
หมวด G Ogres (ยักษ์)
หมวด H Tests (การทดสอบ)
หมวด J The Wise and the Foolish (คนฉลาดและคนโง่)
หมวด K Deceptions (การหลอกลวง)
หมวด L Reversals of Fortune (การพลิกผนั ของโชคชะตา)
หมวด M Ordaining the Future (การกำหนดอนาคต)
หมวด N Chance and Fate (โอกาสและโชคชะตา)
หมวด P Society (สังคม)
หมวด Q Rewards and Punishments (รางวัลและการลงโทษ)
หมวด R Captives and Fugitives (การกกั ขงั และการหลบหนี)
หมวด S Unnatural Cruelty (ความโหดร้ายท่ผี ดิ ธรรมชาติ)
หมวด T Sex (เรอ่ื งเพศ)

111

หมวด V Religion (ศาสนา)
หมวด W Traits of Character (ลกั ษณะตัวละคร)
หมวด X Humor (ความตลกขบขัน)
หมวด Z Miscellaneous Group of Motifs (อนภุ าคเบ็ดเตลด็ )

การนำเสนอความคิดในหมวดต่าง ๆ ในดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน แต่ละหมวดยังแยกออกเป็น
หมวดย่อย ๆ และในแต่ละหมวดย่อยยังแบ่งย่อยเป็นระดับหน่วยตั้งแต่ 0 ไปถึงหลักพัน และในแต่ละ
หมวดยอ่ ยอาจมีระดับจดุ ทศนิยมด้วย ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ (ศริ าพร ณ ถลาง, 2548, หนา้ 39 - 41)

D. MAGIC

D0-D699. Transformation (การแปลงรา่ ง)
D10-D99. Transformation: man to different man. (การแปลงร่างจากคนหนง่ึ ไปเปน็ อีกคนหน่งึ )
D100-D199. Transformation: man to animal. (การแปลงรา่ งจากคนไปเป็นสัตว์)
D110. Transformation: man to wild beast (mammal). (การแปลงรา่ งจากคนเปน็ สัตว์เลย้ี งลกู ดว้ ยนม)
D112.1. Transformation: man to lion. (การแปลงร่างจากคนเป็นสิงโต) พบในนทิ านไอรชิ ไอซแ์ ลนด์

สเปน ฝรง่ั เศส ยิว แอฟรกิ า
D112.2. Transformation: man to tiger. (การแปลงรา่ งจากคนเป็นเสอื ) พบในนิทานกรีก จีน อินเดีย
D112.5. Transformation: man to buffalo. (การแปลงร่างจากคนเป็นควาย) พบในนิทานแอฟรกิ า
D114. Transformation: man to ungulate (wild). (การแปลงรา่ งจากคนเปน็ สตั ว์ที่มกี ีบเทา้ )
D114.1.1. Transformation: man to deer. (การแปลงรา่ งจากคนเปน็ กวาง) พบในนิทานไอริช

ไอซแ์ ลนด์ อนิ เดีย เอสกโิ ม อินเดียนแดง
D114.1.1.1. Transformation: girl to deer. (การแปลงร่างจากเดก็ หญงิ เปน็ กวาง) พบในนทิ านไอรชิ
D150. Transformation: man to bird. (การแปลงร่างจากคนเป็นนก)
D151.1. Transformation: man to swallow. (การแปลงร่างจากคนเปน็ นกนางแอ่น) พบในนทิ าน

ไอซแ์ ลนด์ เกาหลี
D151.2. Transformation: man to finch. (การแปลงร่างจากคนเปน็ นกกระจิบ) พบในนิทานซลู ู

แอฟรกิ า
D151.3. Transformation: man to nightingale. (การแปลงร่างจากคนเป็นนกไนติงเกล) พบในนทิ าน

กรกี
D151.4. Transformation: man to crow. (การแปลงรา่ งจากคนเป็นกา) พบในนทิ านไอรชิ ไอซ์แลนด์

สเปน อนิ เดยี
D152.1. Transformation: man to hawk. (การแปลงรา่ งจากคนเปน็ เหยยี่ ว) พบในนทิ านไอรชิ

ไอซ์แลนด์ อังกฤษ ฝรัง่ เศส อิตาเลียน อินเดยี เอสกิโม แอฟรกิ า
D170. Transformation: man to fish (การแปลงร่างจากคนเป็นปลา)
D180. Transformation: man to insect (การแปลงรา่ งจากคนเป็นแมลง)

112

D190. Transformation: man to reptiles and miscellaneous (การแปลงร่างจากคนเป็น
สัตวเ์ ลือ้ ยคลานและอื่น ๆ)

D200-D299. Transformation: man to object (การแปลงร่างจากคนไปเปน็ สิง่ ของ)
D300-D399. Transformation: animal to person (การแปลงรา่ งจากสัตว์ไปเป็นคน)
D400-D499. Other forms of transformation (รปู แบบอน่ื ๆ ของการแปลงรา่ ง)
D500-D599. Means of transformation (วธิ ีการแปลงรา่ งแบบต่าง ๆ)
D600-D699. Miscellaneous transformation incidents (เบ็ดเตลด็ )
D700-D799. Disenchantment (การถอนคำสาป)
D800-D1699. Magic Objects (ของวเิ ศษ)
D1700-D2199. Magic powers and manifestations (อำนาจวเิ ศษและการแสดงอำนาจวเิ ศษ)

ภาพท่ี 5-1 ตวั อย่างดัชนอี นภุ าคนทิ านพ้นื บ้าน หมวด D

113

หนังสอื ดัชนอี นุภาคนิทานพื้นบ้านน้มี ที ้งั หมด 6 เลม่ ถอื ไดว้ ่าเปน็ หนงั สอื อ้างอิงทสี่ ำคัญทางคติชน
วิทยาและนับว่าเป็นขุมคลังแห่งความคิดและจินตนาการของมนุษย์ (ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หน้า 42)
หากนิทานเรื่องใดมีอนุภาคตรงกับอนุภาคในหนังสือดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน ก็อาจกล่าวได้ว่าอนุภาค
หรือความคิดนั้นเป็นความคิดที่เป็นสากลของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งอนุภาคหรือความคิดนี้เป็นสิ่งท่ีไม่จำกัด
“เทศะ” และ “กาละ” เพราะความคิดของมนุษย์ที่สะท้อนจากอนุภาคในนิทานสามารถ “ผลิตซ้ำ” หรือ
“คดิ ใหม่” ไดต้ ลอดเวลา (ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หนา้ 46)

ต่อมานักคติชนวิทยาในแต่ละประเทศได้จัดทำดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้านของตนเพิ่มเติมขึ้น
เนอื่ งจากในหนังสือชุดดัชนีอนภุ าคฯ ท้ัง 6 เล่ม ยังไม่ได้บนั ทกึ ข้อมูลอนภุ าคนิทานในประเทศของตน ทั้งน้ี
อาจเป็นเพราะนิทานพื้นบ้านของแต่ละประเทศ เล่าและบันทึกเป็นภาษาท้องถิ่นไม่ได้แปลเป็น
ภาษาองั กฤษ ในการจดั ทำหนังสอื ดัชนอี นภุ าคฯ จงึ ไม่ได้นำมาใช้เป็นข้อมูล ดชั นอี นุภาคนทิ านพนื้ บ้านของ
ประเทศต่าง ๆ ที่จัดทำเพิ่มขึ้น เช่น Motif – Index of Early Icelandic Literature (1956), A Type
and Motif – Index of Japanese Folk – Literature (1971), Index of Mexican Folktales Including
Narrative Texts from Mexico, Central America, and Hispanic United State (1973), Motif and
Type Index of the Oral Tales of India (1958) ส่วนประเทศไทยนั้นยังไม่มี “ดัชนีอนุภาคนิทาน
พืน้ บ้านไทย” เนือ่ งจากมปี ัญหาหลายด้าน เช่น ดา้ นความรว่ มมือจากบุคคลฝ่ายต่าง ๆ ด้านเวลา ด้านการ
กำหนดขอบเขตข้อมูล ฯลฯ การรวบรวมและจัดทำดัชนีอนุภาคนิทานพื้นไทยจึงยังไม่ประสบความสำเรจ็
(ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หนา้ 42 – 43)

วิธีศึกษาอนุภาคในนิทานพื้นบา้ นไทย
ศิราพร ณ ถลาง (2548, หน้า 44) เสนอแนะวิธีศึกษาอนุภาคในนิทานพื้นบ้านไทยว่าอาจทำได้
โดย 1) เลือกศกึ ษากลุ่มความคิดบางกลุม่ ทคี่ ิดวา่ น่าสนใจในดัชนอี นภุ าคนทิ านพ้นื บา้ น
2) เลือกคำบางคำจากดัชนอี นุภาคนิทานพื้นบ้าน เลม่ 6
3) เลือกอนุภาคในนทิ านไทยทคี่ ดิ วา่ น่าสนใจแลว้ ลองสืบคน้ ในดชั นีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน
ตัวอย่างวิทยานิพนธ์ของเอื้อนทิพย์ พีระเสถียร (2529) เรื่อง “การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเรื่อง
และอนุภาคในปญั ญาสชาดก” ในส่วนของการศึกษาอนภุ าคนิทานที่ปรากฏในปญั ญาสชาดกนัน้ สะท้อนให้
เห็นถึงความเป็นสากลของความคิดมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เช่น อนุภาคเกี่ยวกับการกำเนิดของตัวละครเอก
ในเรือ่ งสุธนูชาดก ตวั ละครเอกเกดิ จากการที่มารดาตง้ั ครรภจ์ ากการกินพุทราท่พี ระอนิ ทรแ์ ปลงเป็นเหย่ียว
มาทง้ิ ไว้ ใกลเ้ คียงกับอนภุ าค T511.1 Conception from eating a fruit. (การตงั้ ครรภ์จากการกินผลไม้)
ในเรื่องสุวรรณสิรสาชาดก ตัวละครเอกเกิดมามีแต่ศีรษะ ใกล้เคียงกับอนุภาค F501 Person consisting
only of head. (คนมีแต่ศีรษะ) อนุภาคเกี่ยวกับความวิเศษ ในสีหนาทชาดกและสุบินชาดก มีไม้เท้าต้นชี้
ตายปลายชี้เป็น ใกล้เคียงกับอนุภาค D1663.1 Wands of life and death. (คทาหรือไม้กายสิทธ์ิแห่ง
ชีวิตและความตาย) ในสุวรรณสังขชาดกหรือสังข์ทองมีมนต์เรียกเนื้อเรียกปลา ใกล้เคียงกับอนุภาค
D1442.6 Magic spell tames animals. (มนตว์ ิเศษทำให้สัตว์เช่อื ง) ในสวุ รรณวงศช์ าดกมีอนภุ าคการรด
น้ำที่แหวนแล้วมีเงินทองไหลออกมา ใกล้เคียงกับอนุภาค D1456.2 Magic ring provides money
(แหวนวิเศษให้เงิน)

114

ตวั อยา่ งวทิ ยานิพนธ์ของปรยี ารัตน์ เชาวลติ ประพนั ธ์ (2547) เร่ือง “การสมพาสทผี่ ิดธรรมชาติใน
นทิ านไทย : การศกึ ษาอนุภาคทางคติชนวิทยา” เปน็ การศกึ ษาอนภุ าคสมพาสที่ผิดธรรมชาติ จำนวน 154
เร่อื ง และวิเคราะหห์ าความหมายของอนภุ าคดังกล่าวในเชิงวัฒนธรรม ผลการวิจยั พบว่าอนุภาคสมพาสท่ี
ผิดธรรมชาติที่ปรากฏในนิทานไทย คือ 1. อนุภาคคนสมพาสกับส่ิงเหนือธรรมชาติ 2. คนกับสัตว์ 3. สิ่ง
เหนอื ธรรมชาติกับสตั ว์ 4. สัตว์กับสัตว์ตา่ งชนดิ 5. อนภุ าคสมพาสท่ผี ่านการกนิ อนภุ าคทปี่ รากฏในนิทาน
ไทยมากที่สดุ ได้แก่ 1. คนกับยกั ษ์ 2. คนกับนางท่ถี ือกำเนิดจากดอกบวั 3. คนกบั กนิ รี 4. คนกับงูและนาค
5. คนกับสัตว์ : สัตว์ที่ต่อมาถอดร่างเป็นคน 6. อนุภาคการดื่มน้ำหรือน้ำปัสสาวะในรอยเท้าช้างแล้ว
ตง้ั ครรภ์

อนุภาคสมพาสที่ผิดธรรมชาติที่พบในนิทานไทยนี้มีทั้งอนุภาคที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับดัชนี
อนุภาคนิทานพื้นบ้านและอนุภาคที่แตกต่างกัน ตัวอย่างอนุภาคที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ผู้ชา ย
สมพาสกับนางฟ้า (F302 Fairy mistress. Mortal man marries or lives with fairy woman. ชู้รักที่
เป็นนางฟ้า มนุษย์ผู้ชายแต่งงานหรืออยู่กินกับนางฟ้า, F304 Sexual relations with fairy. การมี
เพศสัมพันธ์กับนางฟ้า, T111.6 Marriage of mortal and angel สมพาสระหว่างมนุษย์กับเทพธิดา)
ชายสมพาสกับเงือก (B81.2 Mermaid marries man. เงือกสาวสมพาสกับชายหนุ่ม) เป็นต้น ส่วน
อนุภาคที่ต่างกัน เช่น ชายสมพาสกับกินรี ชายสมพาสกับนางที่อาศัยอยู่ในงาช้าง ชายสมพาสกับนางที่
อาศัยอยูใ่ นเขี้ยวเสือ ชายสมพาสกบั นางทีอ่ าศัยอย่ใู นหวั กะโหลก ชายสมพาสกับชะนี เป็นต้น

อนุภาคการสมพาสที่ผิดธรรมชาติเหล่าน้ีสะท้อนคติความเชื่อและค่านิยมของคนไทยที่เกี่ยวข้อง
กับสถาบันครอบครัว ความขัดแย้งของสมาชิกในครอบครัว การผสมผสานคติความเชื่อระหว่างพุทธ
พราหมณ์ และคติความเชอื่ ดง้ั เดิมของท้องถิน่

ตัวอย่างวิทยานิพนธ์ของสริตา ปัจจุสานนท์ (2558) เรื่อง “การสร้างสรรค์อนุภาคความวิเศษ
ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่อง เดอะไวท์โรด” เป็นการนำความคิดเรื่องอนุภาคนิทานมาปรับใช้กับการศึกษา
อนุภาคความวิเศษในนวนิยาย ผลการศกึ ษาพบว่าในนวนยิ ายมหศั จรรย์เรื่องเดอะไวทโ์ รด จำนวน 11 เล่ม
มีอนุภาคความวิเศษทั้งสิ้น 1,386 อนุภาค มีของวิเศษและอำนาจวิเศษ 162 ชนิด จำแนกเป็นของวิเศษ
113 ชนิด และอำนาจวิเศษ 49 ชนิด ของวิเศษที่มีจำนวนมากที่สุดคือสิ่งประดิษฐ์วิเศษ เช่น เครื่องโพลิ
กอนไฟเตอร์ จอภาพเครื่องดื่ม หุ่นยนต์วิเศษ อำนาจวิเศษที่มีจำนวนมากที่สุดคือ อำนาจการโจมตีและ
ทำลายล้าง เช่น ไฟนอลสไตรก์ โฮลี่บีม ฟรีสซิ่งพาวเวอร์สตาร์ฟ เมื่อเปรียบเทียบอนุภาคความวิเศษกับ
ดชั นีอนุภาคนทิ านพื้นบา้ นของสตธิ ทอมปสนั พบวา่ มอี นุภาคของวิเศษท่ปี รากฏตรงกัน 53 อนุภาค และที่
ปรากฏเฉพาะในเรื่องเดอะไวท์โ์รด 60 อนุภาค อนุภาคอำนาจวิเศษปรากฏตรงกัน 42 อนุภาค และที่
ปรากฏเฉพาะในเรื่องเดอะไวท์โ์รด 7 อนุภาค วิธีการสร้างสรรค์อนุภาคความวิเศษในเรื่องเดอะไวท์โรด
ไดแ้ ก่ การสร้างสรรคท์ ม่ี าของอนภุ าคความวเิ ศษ พบ 4 ลกั ษณะ ได้แก่ การสร้างสรรคอ์ นภุ าคโดยดัดแปลง
จากนิทานมหัศจรรย์ เกมนิทานสวมบทบาท ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีและจินตนาการ

การนำความคิดเรื่องอนุภาคนิทานมาศึกษานิทานพื้นบ้านก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เห็นคุณค่าของ
นทิ านพ้ืนบา้ นในอีกแง่มมุ หนึ่งได้

115

2. แบบเรอ่ื งนิทาน (Tale Type)

แบบเรื่องนิทาน คือ สิ่งที่กำหนดให้นิทานเรื่องหนึ่ง ๆ มีเอกลักษณ์และต่างจากนิทานเรื่องอื่น ๆ
แบบเรื่องของนิทานแต่ละเรื่องกำหนดด้วยลำดับเหตุการณห์ รือชุดของอนุภาคหลักที่มคี วามชัดเจนและมี
ลำดับที่แน่นอน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แบบเรื่องของนิทาน คือ โครงเรื่องของนิทานที่ทำให้นิทานแต่ละ
เรื่องไมเ่ หมือนกนั (ศิราพร ณ ถลาง, 2548, หนา้ 3 – 4)

การศึกษาวิเคราะห์แบบเรื่องของนิทานเริ่มมาจากคาร์ล โครน (Kaarle Krohn) นักคติชนชาว
ฟินแลนด์ ศึกษานิทานสัตว์ตามหลักเกณฑ์ของระเบียบวิธีภูมิประวตั ิ (Historic – Geographic Method)
แล้วพบปัญหาในการเก็บรวบรวมนิทานสัตว์จำนวนมากจากแหล่งต่าง ๆ ในหลาย ๆ ประเทศ เขาจึงเกิด
ความคิดว่านิทานของยโุ รปโดยเฉพาะนิทานมหศั จรรย์น่าจะมีแบบเรื่องของมันเอง เพราะเขาพบว่านิทาน
ที่เขารวบรวมมานั้นมีเรื่องที่ซ้ำ ๆ กันอยู่ แต่แตกออกเป็นหลายสำนวน (versions) เขาจึงเสนอให้แอนทิ
อาร์น (Aatti Aarne) จัดทำดัชนีแบบเรื่องโดยใช้นิทานยุโรปโดยเฉพาะนิทานฟินแลนด์มาจัดจำแนกเป็น
แบบเรอื่ ง ซงึ่ ต่อมาได้ตพี ิมพเ์ ม่ือปี ค.ศ. 1910 ใชช้ ่อื ภาษาฟินแลนด์วา่ Verzeichnis der Märchentypen
หรอื Folklore Fellows Communications

ต่อมาปี ค.ศ. 1928 สติธ ทอมป์สัน (Stith Thompson) ได้นำดัชนีแบบเรื่องนี้มาแปลเป็น
ภาษาอังกฤษ และแกไ้ ข ปรบั ปรุง ขยายความเพิ่มเติม โดยนำนิทานจากยโุ รปตอนใต้เพ่มิ เข้าไปดว้ ย แต่ใน
การประชุมสภาการศึกษานิทานพื้นเมืองที่เมือง Lund ประเทศสวีเดน เมื่อปี ค.ศ. 1935 ที่ประชุมได้ถก
กันเรื่องดัชนีแบบเรื่องนิทานพื้นเมืองเล่มนี้ โดยเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ในฐานะที่รวบรวมนิทาน
พื้นเมืองจากประเทศต่าง ๆ เข้ามาจัดหมวดหมู่เป็นระเบียบเดียวกัน แต่สภาที่ประชุมปรารถนาให้มีการ
ปรับปรุงดัชนีดังกล่าว เนื่องจากนิทานในยุโรปใต้ส่วนใหญ่ ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก และภาคพื้น
เอเชียมาจนถึงอินเดียยังมิได้นำมารวบรวมจัดระเบียบไว้ด้วย ซึ่ง สติธ ทอมป์สัน ได้รับเป็นผู้จัดทำดัชนี
แบบเรื่องนิทานพื้นเมืองฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 นี้ จนกระทั่งสำเร็จและตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1961 ในชื่อ
The Types of the Folktale (ดัชนีแบบเรอื่ งนิทานพนื้ เมอื งหรือดชั นแี บบเร่ืองนทิ านพ้ืนบ้าน)

แบบเร่ืองในดัชนนี ี้เรียงเป็นลำดบั ต้ังแต่หมายเลข 1 – 2499 ซงึ่ ในจำนวนนีจ้ ัดแบง่ เป็นหวั ข้อใหญ่
5 หัวข้อ และแตกเปน็ หัวข้อย่อยท่สี ำคญั ดงั น้ี

1. ANIMAL TALES (นิทานเรื่องสตั ว์)
แบบเรื่องท่ี 1 – 99 Wild Animals (สตั วป์ า่ )

100 – 149 Wild Animals and Domestic Animals (สตั วป์ ่ากบั สัตวเ์ ลย้ี ง)
150 – 199 Man and Wild Animals (คนกบั สัตว์ปา่ )
200 – 219 Domestic Animals (สัตว์เลยี้ ง)
220 – 249 Birds (นก)
250 – 274 Fish (ปลา)
275 – 299 Other Animals and Objects (สตั ว์อืน่ ๆ กับสิ่งตา่ ง ๆ)

2. ORDINARY FOLK – TALES (นทิ านพ้ืนบา้ นทั่วไป)
แบบเรื่องที่ 300 – 749 A. Tales of Magic (นทิ านเกยี่ วกับความวิเศษ)

116

300 – 399 Supernatural Adversaries (ศตั รผู มู้ ีอำนาจเหนอื ธรรมชาติ)
400 – 459 Supernatural or Enchanted Husband (Wife) or Other Relatives (สาม,ี
ภรรยา, หรอื วงศญ์ าติ ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาตหิ รือถูกสาป)
460 – 499 Supernatural Tasks (งานหนกั ที่เหนือวิสัยธรรมชาต)ิ
500 – 559 Supernatural Helpers (ผชู้ ว่ ยเหลือทมี่ อี ำนาจเหนอื ธรรมชาต)ิ
560 – 649 Magic Objects (ของวิเศษ)
560 – 699 Supernatural Power or Knowledge (ความรหู้ รอื อำนาจเหนอื ธรรมชาติ)
700 – 749 Other Tales of the Supernatural (นทิ านเร่อื งอน่ื ๆ ท่เี กย่ี วกับสิง่ เหนือ
ธรรมชาติ)
750 – 849 B. Religious Tales (นทิ านเก่ียวกบั ศาสนา)
850 – 999 C. Novelle (Romantic Tales) (นิทานชวี ิต)
1000 – 1199 D. Tales of Stupid Ogre (นิทานเก่ียวกับยักษ์โง่)

3. JOKES AND ANECDOTES (นิทานมกุ ตลกและนิทานเบ็ดเตลด็ )
แบบเรื่องที่ 1200 – 1349 Numskull Stories (นทิ านเก่ยี วกับคนโง่)

1350 – 1439 Stories about Married Couples (นิทานเกีย่ วกบั คูส่ ามีภรรยา)
1440 – 1524 Stories about a Woman (Girl) (นทิ านเกยี่ วกับผ้หู ญิง)
1525 – 1874 Stories about a Man (Boy) (นิทานเกย่ี วกับผ้ชู าย)
1525 – 1639 The Clever Man (ผู้ชายท่เี ฉลยี วฉลาด)
1640 – 1674 Lucky Accidents (เหตบุ งั เอิญท่ีทำใหเ้ กิดโชคด)ี
1675 – 1724 The Stupid Man (ผูช้ ายท่โี ง่เขลา)
1725 – 1849 Jokes about Persons and Religious Others (นทิ านมุกตลกเกยี่ วกบั

นกั บวชและคณะสงฆ์)
1850 – 1874 Anecdotes about Other Groups of People (นทิ านเบด็ เตล็ดเก่ยี วกบั คน

กลมุ่ ต่าง ๆ)
1875 – 1999 Tales of Lying (นทิ านโกหก)

4. FORMULAR TALES (นทิ านเข้าแบบ)
แบบเรอื่ งท่ี 2000 – 2199 Cumulative Tales (นทิ านลูกโซ)่

2200 – 2249 Catch Tales (นิทานหลอกผฟู้ ัง)
2300 – 2399 Other Formular Tales (นทิ านเขา้ แบบอืน่ ๆ)

5. UNCLSSIFIED TALES (นิทานทไ่ี ม่เข้ากลุ่ม)
แบบเรื่องท่ี 2400 – 2499 Unclassified Tales (นิทานที่ไม่เขา้ กลุ่ม)

แบบเรื่องแต่ละแบบจะมีหลายเลขประจำแบบเรื่อง บางแบบเรื่องมีแบบเรื่องย่อย (subtype) ท่ี
แยกออกมาจากแบบเรื่องหลัก หรือหากมีแบบเรื่องที่เพิ่มเติมเข้ามาภายหลังรวมอยู่ด้วยก็จะแสดง

117

เครื่องหมายดอกจัน (*) หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับอยู่ที่ท้ายหมายเลขนั้น ๆ แบบเรื่องนิทานแต่ละ
แบบจะจำแนกเป็นลำดับเหตุการณ์หรือตอน ในแต่ละตอนจำแนกอนุภาคสำคัญในตอนนั้น ๆ นิทานที่
สมบูรณ์หน่งึ แบบเร่ืองจงึ ประกอบดว้ ยกลมุ่ อนุภาคซง่ึ มีการเรียงลำดบั ท่ีชดั เจนแนน่ อน

วิธีการศึกษาแบบเร่อื งของนิทานพน้ื บา้ น

มีผู้สนใจศึกษาแบบเรื่องในนิทานไทยหลายท่าน เช่น ประคอง นิมมานเหมินท์ (2551, หน้า 35)
ศึกษาแบบเรื่องนิทาน และได้กล่าวว่านิทานไทยเรื่องพระยากงพระยาพานจัดว่าเป็นนิทานแบบเรื่อง
เดียวกับเรอ่ื งอีดิปสุ ของกรกี เพราะมีเค้าโครงเรือ่ งแบบเดยี วกัน คอื มีคำทำนายวา่ ลกู ทเี่ กิดมาจะฆา่ พอ่ พ่อ
ซึ่งเป็นกษัตริย์ให้นำลูกไปปล่อย มีผู้นำเด็กไปเลี้ยง เมื่อลูกโตขึ้นลูกกลับมาฆ่าพ่อ แม้นิทานทั้งสองเรื่องมี
บางตอนที่แตกต่างกัน เช่น เรื่องอีดิปุส ลูกฆ่าพ่อแล้วแต่งงานกับแม่ของตน เมื่อทราบความจริงก็เสียใจ
ถึงกับควักลูกนัยน์ตาของตนออก ส่วนในเรื่องพระยากงพระยาพาน เมื่อลูกฆ่าพ่อแล้วยังไม่ทันได้แต่งงาน
กบั แมข่ องตน แมวตัวหนึ่งได้เอ่ยทักทำให้ลูกทราบความจริงและไมแ่ ต่งงานกับแม่ แต่กเ็ สียใจท่ีได้ฆา่ พอ่ จึง
ไดส้ รา้ งพระเจดียข์ น้ึ

นอกจากนี้ยังได้นำนิทานเรื่องปลาบู่ทองมาเปรียบเทียบกับซินเดอเรลลาของยุโรป พบว่า นิทาน
ท้งั สองเร่อื งมีโครงเรื่องคลา้ ยคลงึ กนั มากแม้ว่ามรี ายละเอยี ดบางประการแตกตา่ งกนั จึงถอื ได้ว่าปลาบู่ทอง
และซินเดอเรลลาเป็นนิทานแบบเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ เป็นเรื่องที่นางเอกถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้ง มีส่ิง
มหัศจรรย์ทำใหไ้ ด้พบเจ้าชาย แม่เลี้ยงพยายามจะให้ลูกของตนได้แต่งงานกบั เจ้าชายแต่ไมส่ ำเร็จ เจ้าชาย
รักและแต่งงานกับนางเอก ซึ่งสามารถเปรียบเทียบโครงเรื่องปลาบู่ทองกับแบบเรื่อง 510 ซินเดอเรลลา
ตามดัชนแี บบเร่อื งนทิ านพน้ื บ้านไดด้ งั นี้

ตารางท่ี 5-1 เปรียบเทยี บโครงเรอื่ งปลาบทู่ องกับแบบเรอื่ ง 510 ซนิ เดอเรลลา

ปลาบ่ทู อง ดัชนแี บบเร่อื งนทิ านพน้ื บา้ น

แบบเรอ่ื ง 510 ซินเดอเรลลาหรือหมวกท่ที ำจากตน้ กก

I. นางเอกถกู รังแก

เศรษฐีมภี รรยาสองคน ต่อมาภรรยาหลวงเสียชีวิต (a) มารดาเลย้ี งและบุตรสาวกลั่นแกลง้ นางเอก

ภรรยาน้อยและบุตรสาวขม่ เหงรงั แกเออ้ื ยซ่งึ เปน็ บุตรของ

ภรรยาหลวงอยูเ่ สมอ

II. การชว่ ยเหลอื จากอำนาจวเิ ศษ

ภรรยาหลวงซึง่ เป็นมารดาของเอื้อยไปเกดิ เปน็ ปลาบทู่ อง ระหว่างทนี่ างเอกเปน็ คนรบั ใชท้ ่บี า้ นของเธอ นางเอก

และมาคอยดแู ลเอือ้ ย เมือ่ ภรรยานอ้ ยรูก้ ็ใช้เล่หก์ ลจับปลา ได้รบั คำแนะนำ สิ่งของต่าง ๆ และอาหาร

บทู่ องมากิน มารดาของเอ้ือยก็ไปเกดิ เปน็ ตน้ มะเขือ เมือ่ (a) จากมารดาท่ีเสยี ชีวติ ไปแล้ว

ถูกทำลายอกี ครง้ั นางก็ไปเกดิ เปน็ ตน้ โพธ์ิเงินโพธ์ทิ อง (f) เม่ือฆา่ แพะ (ววั ) จะมีต้นไม้วเิ ศษงอกข้ึนมาจากซาก

สตั ว์

ทา้ วพรหมทัตไดพ้ บเออ้ื ยและตน้ โพธ์ิเงินโพธ์ทิ อง III. การพบกบั เจ้าชาย
ไม่มีใครถอนตน้ โพธเ์ิ งนิ โพธ์ิทองไดน้ อกจากเออ้ื ย IV. การพิสูจนห์ ลกั ฐาน
เออ้ื ยได้อภเิ ษกเปน็ มเหสีท้าวพรหมทตั (c) นางเอกเทา่ น้นั ท่ีสามารถเกบ็ แอปเป้ลิ ทองคำท่ีอัศวนิ
ต้องการได้
V. การแต่งงานกับเจา้ ชาย

118

เอื้อนทิพย์ พีระเสถียร (2529) ศึกษาเรื่อง “การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเรื่องและอนุภาคใน

ปัญญาสชาดก” ในส่วนแบบเรื่องนิทานนัน้ ผู้วิจัยได้วเิ คราะห์แบบเรื่องปญั ญาสชาดก 61 เรื่อง โดยแบ่ง

นทิ านเป็นประเภทและวเิ คราะห์ตามรูปแบบของนิทานเปรียบเทียบกบั ดัชนีแบบเร่ืองนิทานพ้ืนบ้าน (The

Types of the Folktale) และใช้แบบเรื่องนิทานมุขปาฐะอินเดียประกอบด้วย ผลการศึกษาพบว่า

ปัญญาสชาดกสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่ นิทานศาสนา นิทานทรงเครื่อง นิทานอุทาหรณ์

นิทานมุกตลก และนิทานปริศนา เมื่อวิเคราะห์แบบเรื่องนิทานเปรียบเทียบกับดัชนีแบบเรื่องนิทาน

พ้นื เมือง สามารถแบง่ ปญั ญาสชาดกได้ 3 กลุม่ คือ

1. นิทานทีไ่ มต่ รงกบั แบบเร่อื งในดชั นี มี 33 เร่อื ง ส่วนใหญ่เป็นนิทานศาสนา

ก) เป็นนิทานเก่ยี วกบั วรี กรรมของวรี บรุ ษุ ท้ังทางศาสนาและทางโลก

ข) เน้ือหาสาระมกั สัน้ เนน้ การพสิ ูจน์ความเสยี สละอนั ยงิ่ ใหญ่ของวรี บุรษุ

2. นิทานทต่ี รงกบั แบบเร่ืองในดัชนี มี 22 เรือ่ ง สว่ นใหญเ่ ปน็ นทิ านทรงเคร่ือง นทิ านอทุ าหรณ์

นทิ านมุขตลก นิทานปรศิ นา ซึ่งมีลกั ษณะ

ก) มโี ครงเร่ืองหลากหลายเกี่ยวกับความผันแปรในชีวติ ของตัวละคร

ข) เน้อื เรอื่ งมกั ยาว ซบั ซ้อน

ค) ตัวละครหลายตวั หลายฝ่าย ดำเนนิ เรื่องทง้ั ดา้ นดีและรา้ ย

ง) ตวั ละครมีลกั ษณะเปน็ มนุษยธ์ รรมดา

จ) เหตุการณ์ดำเนนิ ไปตามโครงเรื่องหรือแบบเรอ่ื งทีเ่ ด่นชัด

3. นิทานแบบเรื่องผสม คือ นิทานที่บางตอนตรงกับแบบเรื่องในดัชนีแบบเรื่องนิทานพื้นบ้าน

บางตอนไม่ตรงกับแบบเรื่องในดัชนีฯ ตอนที่ไม่ตรงมักเป็นตอนเกี่ยวกับนิทานศาสนา ส่วนตอนที่ตรงเป็น

ลักษณะนิทานทรงเครือ่ งหรอื นทิ านมุกตลก

ตอนที่มีปรากฏในดัชนีมักเป็นตอนที่มีเนื้อหาทางโลกทำให้ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าปัญญาสชาดก

ลักษณะดังกล่าวน่าจะมีที่มาจากนิทานพื้นบา้ นด้ังเดิม แล้วนำมาแต่งเตมิ เรื่องราวของพระโพธสิ ตั ว์ใหเ้ ป็น

ชาดก ส่วนนิทานท่ีไมม่ ีแบบเรอ่ื ง ยังไม่อาจกล่าวได้วา่ เป็นนิทานพ้ืนบ้านหรือไม่ อาจเป็นนิทานท่ีเรียบเรียง

ข้นึ ใหม่เพ่ือส่ังสอนศาสนาโดยเฉพาะหรือเป็นนิทานพน้ื บา้ นที่มลี ักษณะเฉพาะประเภทหรอื ถิ่น

ตัวอย่างการเปรียบเทียบโครงเรื่องนางสิบสอง พระรถเมรี หรือรถเสนชาดก กับแบบเรื่องตาม

ดัชนีแบบเรื่องฯ พบวา่ นทิ านเรือ่ งน้ีประกอบไปดว้ ยแบบเร่อื ง 3 แบบเรอื่ ง ดังน้ี

ตารางท่ี 5-2 เปรียบเทียบโครงเรอ่ื งนางสบิ สองกบั แบบเรอื่ งตามดชั นีแบบเรื่องนิทานพ้ืนบ้าน

นางสบิ สอง พระรถเมรี รถเสนชาดก ดัชนแี บบเรื่องนิทานพื้นบ้าน

แบบเรือ่ งท่ี 327A แฮนเซิลและเกรเทิล ตอนตน้ เรอื่ ง

1. การหลงมาสู่บ้าน

-สามภี รรยาเข็ญใจทอดท้งิ ลูกสาวสบิ สองคนไวใ้ นปา่ (a) เด็กถูกพอ่ แมซ่ ่ึงยากจนนำไปปล่อยปา่

-เด็กทัง้ สบิ สองหลงไปในสวนของนางยกั ษ์ นางยักษเ์ ลย้ี ง (b) เด็กทั้งหมดร่อนเร่ไปจนกระทั่งไปพบบ้านขนมขิง

ดูนางสบิ สองไวเ้ ปน็ น้อง ซงึ่ เปน็ บ้านของแม่มด

2. ยักษถ์ กู หลอก

ยกั ษพ์ ยายามกนิ เด็ก แต่เด็กใช้อบุ ายเอาตัวรอดสำเรจ็

-เม่อื รู้ว่านางสนั ธมารเป็นยักษ์ นางสบิ สองจงึ หนี 3. การหนี

-นางสิบสองเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในท้องช้าง ท้องม้า และ (c) เด็กแปลงร่าง

ท้องโค สัตว์เหล่านั้นบอกนางยักษ์ว่าไม่เห็นนางสิบสอง (e) ยักษถ์ ูกช้ีให้ไปผดิ ทาง จงึ จบั เดก็ ๆ ไมไ่ ด้

ผ่านมา

119

นางสบิ สอง พระรถเมรี รถเสนชาดก ดัชนแี บบเร่ืองนทิ านพนื้ บ้าน

แบบเรื่องท่ี 462 ราชนิ ที ถ่ี ูกขับไล่กับราชินยี ักษ์

1. ราชนิ ยี กั ษ์

-นางสิบสองน่ังพกั บนต้นไม้ พระรถสทิ ธ์มิ าพบและรับไป (b) พระราชาองค์หนึ่งไปล่าสัตว์ในป่า ได้พบหญิงงาม

เป็นมเหสี นางสันธมารตามมาแก้แค้นโดยแปลงตัวเป็น ซึ่งคือนางยักษ์แปลง และรับนางมาเปน็ มเหสี

หญงิ สาวสวยใหพ้ ระราชาหลงรักและตง้ั ตวั เปน็ มเหสี

2. ราชนิ ีตาบอด

-นางสันธมารแกลง้ ปว่ ยรกั ษาไมห่ าย (a) ยามกลางคืน นางยักษ์ก็กินม้าในวังหรือสัตว์อื่น ๆ

และกองกระดูกไว้ข้างเตียงของมเหสเี ดิม 7 นาง

-นางยักษ์ขอให้ควักดวงตานางสิบสองและขับไล่นางไป (b) นางยักษ์รบเร้าให้ทำร้ายดวงตาของมเหสีเดิมให้

อยู่ถ้ำ บอด และโยนนางลงในหลมุ ลึก

-นางสิบสองคลอดบุตร ต่อมากินบุตรเป็นอาหารยกเว้น (c) มเหสีแต่ละนางคลอดลูกชายนางละคน และกิน

นางสุดท้องเลี้ยงบุตรไว้ไม่ฆ่า ลูกชื่อพระรถออกไปหา เนื้อลูกเพื่อประทังชีวิต ยกเว้นนางคนสุดท้องที่รักษาชีวิต

อาหารนอกถ้ำมาเล้ยี งแมก่ ับป้า ลูกไว้ได้ ต่อมาลูกของนางเป็นผู้หาอาหารมาเลี้ยงมเหสี

ท้งั หมด

3. งานทก่ี ำหนด

-นางสันธมารทราบเรือ่ งพระรถ จึงแกลง้ ป่วย เรื่องของลูกชายมเหสีตาบอดล่วงรู้ถึงนางยักษ์ นาง

พยายามกำจัดเขาโดยกำหนดงานให้กระทำ

-นางยักษ์ใช้พระรถไปหายาท่ีเมอื งยักษ์พรอ้ มมจี ดหมาย (b) นางยักษ์ส่งชายหนุ่มไปยังดินแดนปีศาจพร้อม

สั่งฆ่าผู้ถือไปด้วย กลางทางฤๅษีองค์หนึ่งแปลงสารเสีย จดหมายส่งั ฆ่าผถู้ อื แต่มผี หู้ วังดีแปลงจดหมายเสียก่อน ใน

ใหม่ เมื่อไปถึงเมืองยักษ์พระรถได้อภิเษกกับนางกังรีผู้ แดนปีศาจชายหนุ่มพบที่ซ่อนดวงใจของปีศาจจึงทำลาย

เป็นลูกสาวยักษ์ และได้พบดวงตานางสิบสองพร้อมทั้ง มนั รวมท้งั ดวงใจของนางยักษ์ดว้ ย

ยารกั ษา และของวเิ ศษอื่น ๆ

4. การรบั รองฐานะของพระเอก

-หลังจากหนีนางกังรีมาได้ นางยักษ์ก๊อกแตกตายด้วย ชายหนุ่มได้รับการรับรองในฐานะเจ้าชาย ราชินียักษ์

ความแค้น พระรถรกั ษาตาแม่และป้าทัง้ สิบสอง นางสิบ ถูกฆ่า มเหสีตาบอดทั้ง 7 ได้รับการรักษาดวงตาจนหายดี

สองคืนสตู่ ำแหนง่ มเหสี และคนื สตู่ ำแหน่งราชินี

แบบเรื่องที่ 313 หญงิ สาวช่วยใหพ้ ระเอกหลบหนี

-พระรถถือสารไปเมอื งยักษน์ างกงั รี พระเอกตกไปอยู่ในอำนาจของยกั ษ์ ถูกยักษ์ใช้ทำงาน

-ฤๅษีแปลงสาร ตามทีก่ ำหนดแต่ไดร้ ับความชว่ ยเหลือจากลูกสาวยักษแ์ ละ

-พระรถได้นางกังรีและลว้ งความลบั จากนาง พากันหนี

-พระรถขโมยดวงตานางสิบสองแล้วหนีแบบทิง้ อปุ สรรค 3. การหลบหนี

นางกังรีตาย ทั้งสองโยนของวิเศษไปเบื้องหลัง (เช่น หวี หิน หิน

-นางสันธมารตาย เหล็กไฟ) ซึ่งกลายเป็นสิ่งกีดขวาง (เช่น ป่า ภูเขา ไฟ) กั้น

ผตู้ ดิ ตาม

เหตกุ ารณ์ตอนทีร่ ถเสนถูกใช้ให้ไปเมืองยักษน์ ้ียงั คล้ายคลงึ กบั แบบเร่ืองที่ 302A เดก็ หนุ่มถูกส่งไป
ดินแดนยักษ์ด้วย แบบเรื่อง 302A นี้กล่าวถึงชายหนุ่มผู้ถูกมารดาเลี้ยงซึ่งเป็นนางยักษ์ส่งไปยังเมืองยักษ์
จดหมายสั่งฆ่าผู้ถือถูกเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มพบที่ซ่อนของดวงชีวิตของบรรดายักษ์และทำลายมันเสีย
กลับคนื ส่เู มืองและฆา่ มารดาเลี้ยง ซงึ่ เปน็ ไปในทำนองเดียวกับแบบเรอ่ื งท่ี 462

นอกจากน้ียังมีนิทานพ้นื บา้ นไทยอีกหลายเร่ืองที่คลา้ ยคลึงแบบเรื่องในดัชนีแบบเร่ืองนิทานฯ ซ่ึง
ผู้ที่สนใจศกึ ษานิทานพน้ื บา้ นด้วยวิธกี ารน้ีควรศกึ ษาเพิ่มเติมตอ่ ไป

120

3. การแพร่กระจายของนิทาน (Dissemination of literature Theory หรือ Theory of Tale
Transmission)

นิทานพนื้ บ้านทัว่ โลกมักมีเนื้อเร่ือง รายละเอียดของเหตุการณ์ หรอื ลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึง
กันจนเราอาจเคยสงสัยว่านิทานพืน้ บ้านในท้องถ่ินหนึ่งมีความคล้ายคลงึ กับนิทานอีกท้องถิ่นหนึ่งซึง่ อาจมี
หรือไมม่ ีประวัติการตดิ ต่อทางวัฒนธรรมกนั แต่อยา่ งใดได้อยา่ งไร เชน่ นทิ านพระราม เรอื่ งรามายณะ หรือ
รามเกียรติ์เป็นเรื่องที่มีการเล่ากันอย่างแพร่หลาย มีทั้งสำนวน1อินเดีย สำนวนชวา สำนวนเขมร สำนวน
ลาว และสำนวนไทย เป็นต้น ดังนั้น นักคติชนวิทยาจึงพยายามสืบสาวค้นคว้าประวัติชีวิตของนิทานว่า
นิทานมีกำเนิดขึ้นมาอย่างไร และเหตุใดชนเผ่าบางกลุ่มที่ไม่มีการติดต่อทางวัฒนธรรมกันแต่อย่างใด แต่
เหตใุ ดจงึ มนี ิทานท่ีคล้ายคลึงกัน นกั คตชิ นจงึ พยายามหาวธิ ีการท่ีจะหาคำตอบทีส่ งสยั ดงั กล่าว จนเกิดเป็น
ทฤษฎเี กีย่ วกบั การแพร่กระจายของนทิ านขน้ึ

ทฤษฎเี อกกำเนิดและพหุกำเนดิ
ทฤษฎีเอกกำเนิดและพหุกำเนิดเป็นทฤษฎีแหล่งกำเนิดของนิทาน ซึ่งในระยะแรกเป็นปัญหาใน
วงการคติชนวิทยา เพราะนักคติชนวิทยาเริ่มตั้งปัญหาว่านิทานเกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งแต่สมัยใด และ
กระจายไปสู่แหลง่ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างไร จงึ เกดิ ทฤษฎแี หลง่ กำเนดิ นทิ านขนึ้
ทฤษฎีเอกกำเนดิ (Monogenesis) ทฤษฎนี ้ีเชอื่ ว่านทิ านทง้ั หลายมีแหลง่ กำเนิดเพียงแหล่งเดียว
แล้วได้รับการถ่ายทอดไปยังถิ่นต่าง ๆ จนเล่าสืบทอดมาทุกวันนี้ โดยมีจาคอบ กริมม์ และวิลเฮล์ม กริมม์
เป็นผู้นำความคิดเรื่องนิทานมีกำเนิดจากที่เดียวกัน ทั้งสองรวบรวมนิทานพื้นเมืองและบทเพลงชาวบ้าน
ของเยอรมันไว้มากมาย รวมทั้งยงั ได้ศกึ ษาเกี่ยวกับภาษาเยอรมันอยา่ งละเอียด ซงึ่ เขาพบว่าภาษาเยอรมัน
มีความสัมพันธ์กับภาษาอินเดีย เขาจึงเชื่อว่าภาษายุโรปและภาษาอินเดียมีกำเนิดจากที่เดียวกัน เรียกว่า
ภาษาตระกลู อินเดีย – ยุโรป ด้วยเหตุนีเ้ ขาจงึ สรปุ กำเนิดของนทิ านว่ามแี หล่งกำเนดิ ร่วมกบั นทิ านอินเดีย
ทฤษฎีอินโดยูโรเปียนของกริมม์นี้สามารถอธิบายความพ้องกันของนิทานต่างถิ่นได้เป็นอย่างดี
นอกจากนีข้ ณะท่ีกริมม์ตีพิมพ์ Kinder und Hausmarchen นิทานพื้นบ้านเยอรมัน ในเวลาใกล้เคียงกันก็
มีผู้รวบรวมนิทานเซอร์เปียขึ้นด้วย ปรากฏว่านิทานเยอรมันและนิทานเซอร์เปียมีเนื้อความตรงกันหลาย
เรือ่ ง จงึ เกดิ ปญั หาในวงวิชาการสมยั น้ันว่าเหตุใดนิทานเหล่านีจ้ ึงมเี นื้อความตรงกนั ได้ ซง่ึ ทฤษฎีเอกกำเนิด
ของกริมม์สามารถอธิบายเหตุดังกล่าวไดว้ ่านทิ านเยอรมันและนิทานเซอร์เปียมีความพอ้ งกนั เพราะสืบทอด
มาจากวัฒนธรรมอารยนั ด้วยกนั
เบนไฟย์ (เบนฟี่) นักวิชาการเยอรมันที่ศึกษาภาษาสันสกฤตและภาษาตะวันออก ผู้แปลปัญจ
ตันตระในปี 1850 และเป็นเจา้ ของทฤษฎีที่ว่าอินเดียเป็นแหลง่ กำเนิดนิทานทัง้ มวล เขาไมเ่ ชือ่ วา่ ยโุ รปและ
อินเดียเป็นสังคมที่สืบทอดวัฒนธรรมร่วมกัน แต่เห็นว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
ประเทศทางยุโรปก็เช่นกัน เขาจึงสรุปว่าเหตุที่นิทานยุโรปต่างกับนิทานอินเดียเป็นเพราะนิทานอินเดีย

1 สำนวน (version) เป็นคำศพั ท์ใชก้ บั นทิ านพ้ืนบา้ นเรอ่ื งเดยี วกนั แต่เกบ็ ขอ้ มลู จากทต่ี า่ ง ๆ กนั หรอื เกบ็ จาก
ผูเ้ ลา่ คนเดยี วกันแต่ต่างเวลากัน นทิ านที่เกบ็ ข้อมลู มาได้อาจมีลกั ษณะตรงกันหรอื แตกตา่ งกันมากบา้ ง นอ้ ยบ้าง นิทานท่ี
เกบ็ ข้อมลู ไดจ้ ากผู้เล่าคนหน่งึ ถือวา่ เป็นนทิ านสำนวนหนึ่ง ถ้าเกบ็ ขอ้ มูลจาก 50 แหง่ กถ็ อื ว่าเปน็ นิทาน 50 สำนวน
นอกจากนีค้ ำว่าสำนวนยงั ใชก้ บั ข้อมลู คติชนรูปแบบอ่ืนไดด้ ว้ ย (ประคอง นิมมานเหมนิ ท์, 2551, หนา้ 36 – 37)

121

เดนิ ทางไปสู่ยโุ รป จงึ เป็นเร่ืองของการถา่ ยทอดวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มวัฒนธรรม 2 กลุ่ม ไมใ่ ชก่ ารสืบทอด
ทางวัฒนธรรมในกล่มุ วัฒนธรรมเดียวกัน

ทฤษฎีของเบนไฟย์ จึงเรียกว่าทฤษฎีการขอยืม โดยเบนไฟย์มีความเห็นเช่นเดียวกับกริมม์ที่ว่า
นทิ านยโุ รปมตี ้นตอมาจากอินเดีย แตเ่ ขามองวา่ ชาวยโุ รปขอยืมนิทานเหลา่ นนั้ มาจากอินเดีย เพราะค้นพบ
ว่าเรื่องปัญจตันตระของอินเดียเข้ามาถึงยุโรปตั้งแต่สมัยกลาง สายหนึ่งมาทางอินเดีย – อิหร่าน – ยุโรป
คอื สมัยที่อสิ ลามเข้าครอบครองอนิ เดีย จงึ มีการแปลต้นฉบบั สนั สกฤตเปน็ ภาษาเปอร์เซยี ซเี รีย ฮบิ รู และ
ภาษาถิ่นต่าง ๆ ในยุโรป ส่วนอีกสายหน่งึ มาทางอินเดยี – ทิเบต – จีน – มองโกล – ยุโรป ประมาณ ค.ศ.
100 เพราะมผี เู้ ดนิ ทางเผยแผ่พทุ ธศาสนาจากอินเดียไปทางจนี ทิเบต และมองโกล นิทานอินเดียจึงเข้าไป
อย่ใู นมองโกล ต่อมาเมื่อมองโกลมีอำนาจเหนือยโุ รปเป็นเวลา 250 ปี ชาวยุโรปจงึ ได้นทิ านอินเดียเหล่าน้ัน
ไป เขาจึงเชื่อว่านทิ านทั้งมวลแต่งขึ้นในอินเดยี ประมาณสมยั พุทธกาล แล้วแพร่กระจายมายังยุโรป ในรูป
ของวรรณคดลี ายลกั ษณ์และนิทานมุขปาฐะ

เอมมานูเอล คอสแกง นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ศึกษานิทานอินเดียและนิทานอียิปต์ พบว่านิทาน
อียิปต์มีความเก่าแก่มาก เชื่อว่าเล่ากันมานานก่อนสมัยที่เบนไฟย์เช่ือว่านทิ านอินเดียแพร่หลายมาสู่ยุโรป
เขาจึงเริ่มไมเ่ ชื่อว่าอินเดียเป็นแหลง่ กำเนดิ นิทานพ้ืนเมืองทั่วโลกเพียงแหลง่ เดยี ว แตก่ ็ยงั เชื่อว่าอินเดียเป็น
แหลง่ กำเนดิ ที่สำคัญมากของนิทาน

ทฤษฎีพหุกำเนิด (Polygenesis) เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นเมื่อการศึกษาวัฒนธรรมขยายกว้างจาก
อินเดียไปสหู่ ม่ชู นพื้นเมืองทวีปต่าง ๆ (ประมาณปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 19 – ต้นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20) โดย
เชื่อว่านิทานของชาวป่าชาวเขามีกำเนิดที่เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับอินเดีย นิทานสามารถเกิดขึ้นจากทุก
แหลง่ ในโลกได้

นักคติชนวิทยาในระยะแรกเชื่อทฤษฎีเอกกำเนิดโดยสรุปจากข้อมูลทางภาษาและหนังสือ
พิจารณาความเหมือนคล้ายของนิทานแต่ละแหล่งจากเนื้อเรื่อง แต่นักมานุษยวิทยาที่เชื่อเรื่องพหุกำเนิด
สรุปกำเนิดของนิทานโดยพิจารณาลักษณะทางสังคมเป็นเกณฑ์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า มนุษย์ทุกสังคมในโลก
ต้องผ่านข้ันตอนทางวัฒนธรรมมาเหมือน ๆ กัน คอื ต้องผ่านชีวิตแบบสงั คมบรรพชน (Primitive Society)
แบบแผนในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในระดับนี้จะเหมือน ๆ กัน มีความเชื่อ เช่น เรื่องภูตผีปีศาจ การนับ
ถือสัตว์เป็นบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องเวทยม์ นต์คาถาในทำนองเดียวกัน ดังนั้น เมื่อลักษณะทางสังคมของ
มนษุ ยท์ ุกภมู ิภาคเหมอื นกัน สภาพสงั คมย่อมผลักดนั ให้มนุษย์ทุกแหล่งสรา้ งสรรค์งานไดเ้ ช่นกัน เขาจึงเช่ือ
ว่านิทานสามารถเกดิ ขน้ึ ได้จากทุกแหล่งในโลก การจำกดั วา่ ชาวอินเดยี เทา่ น้ันเปน็ ผู้สร้างสรรค์งานย่อมผิด
ธรรมชาติของสังคมมนษุ ย์

แอนดรู แลง (Andrew Lang) นักคติชนวิทยา – มานุษยวิทยา ชาวสกอตแลนด์ พบว่านิทาน
อินเดียที่มีโครงเรื่องและเรื่องราวอย่างหนึ่งก็มีปรากฏในแอฟริกา ซามัว นิวกินี อเมริกาเหนือ อเมริกา
กลาง ตลอดจนฟินแลนด์ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ห่างไกลกันมากได้เช่นกัน เขาจึงเชื่อว่าเนื้อเรื่องที่คล้ายกันของ
นิทานแต่ละประเทศเป็นการสร้างสรรค์ของกลุ่มชนในสังคมนั้น ๆ โดยอิสระ นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า
มนุษย์ต้องผ่านขั้นตอนทางสังคมมาเหมือน ๆ กัน เขาจึงเน้นให้เห็นว่านิทานที่เล่ากันในปัจจุบันเป็นส่ิง

122

ตกค้างมาจากสังคมบรรพชน กล่าวคือ นิทานมีกำเนิดในสังคมบรรพชน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปบาง
อนุภาคในนิทานไดร้ บั การปรบั ปรุงไปตามความเปลย่ี นแปลงของสังคมมนุษย์

ทฤษฎเี อกกำเนดิ และพหุกำเนิดต่างมีข้อดีและข้อบกพร่อง ทฤษฎีเอกกำเนิดสามารถอธบิ ายความ
คล้ายกันของนิทานโดยให้เหตุผลว่าเพราะนิทานมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ไม่สามารถอธิบายกรณีที่นิทาน
ยุโรปจำนวนมากมีเนื้อเรื่องต่างจากนิทานอินเดียได้ ซึ่งนักทฤษฎีพหุกำเนิดอธิบายได้ว่าการที่นิทานยโุ รป
จำนวนมากไมม่ ีปรากฏในนิทานอินเดียนั้นเป็นเพราะนิทานสามารถเกดิ ขนึ้ ไดจ้ ากทุกภูมภิ าคในโลก ดังน้ัน
ชาวยุโรปก็อาจสร้างสรรค์นิทานขึ้นมาเองได้เช่นกัน และด้วยสภาพแวดล้อมที่ต่างกันจึงทำให้เนื้อเรื่อง
นิทานผิดแผกไปจากนิทานอนิ เดยี

สว่ นทฤษฎีพหกุ ำเนดิ ก็มีข้อดีและข้อบกพร่อง เพราะทฤษฎนี ้ียนื ยนั แต่ในส่วนที่ว่านิทานแต่ละถิ่น
เป็นผลผลติ ของคนในถ่นิ นั้นเอง จึงเกิดเป็นประเดน็ วา่ กรณีที่นิทานสองแหล่งมีเนื้อเร่ืองเหมือนกันไม่น่าจะ
เป็นความบังเอิญที่คนต่างถิ่นจะต้องสร้างนิทานได้เหมือนกันทุกประการ แต่อาจเป็นเพราะขอยืมหรือรับ
ทอดนิทานมาจากแหล่งเดยี วกัน

นักคติชนวิทยาส่วนใหญ่ยอมรับทฤษฎีเอกกำเนิดกับการแพร่กระจายมากกว่าทฤษฎีพหุกำเนิด
เพราะเชื่อว่าแหล่งสร้างสรรค์นิทานน่าจะมีกำเนิดที่สำคัญเพียง 2 – 3 แหล่ง แล้วจึงได้กระจายไปสู่
ภมู ิภาคต่าง ๆ โดยไม่เช่ือวา่ ทุกภูมิภาคต่างก็สรา้ งสรรค์นิทาน

หลกั การแพร่กระจาย
สติธ ทอมป์สัน กล่าวถึงลักษณะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการแพร่กระจายของนิทานใน
บทความ “The history of folktale” มี 15 ประการ ดังน้ี
1. รายละเอียดบางอย่างถูกลืม โดยเฉพาะรายละเอียดที่ไม่คอ่ ยสำคัญ
2. รายละเอียดบางอย่างถูกเพม่ิ เตมิ เข้าไป สว่ นใหญม่ กั เป็นอนภุ าคจากนทิ านเรอ่ื งอน่ื แตบ่ างครงั้
กเ็ ป็นการสร้างสรรคใ์ หม่ของผูเ้ ล่า มกั มีการเพ่มิ รายละเอียดเข้าไปในตอนตน้ เรอ่ื งและตอนท้ายเรอ่ื ง
3. ผูกนิทาน 2 เร่อื งเข้าด้วยกัน
4. มีการซ้ำรายละเอียดบางประการ สว่ นใหญ่ทำใหเ้ ปน็ 3 คร้งั
5. มีการซ้ำเหตุการณ์ซึ่งมีอยู่คร้ังเดยี วในเรื่องเดิม บางคร้ังอาจไม่ใช่เปน็ การซำ้ เหตกุ ารณ์เสีย
ทเี ดียว อาจเปน็ การยกเหตุการณ์คล้าย ๆ กันในนิทานเรือ่ งอน่ื มาเปรียบเทียบใหฟ้ งั เพิ่มเติม
6. มีการยกตัวอย่างให้เฉพาะเจาะจงลงไปท้ัง ๆ ทีใ่ นเรือ่ งเดมิ เปน็ การกล่าวถงึ อย่างกว้าง ๆ เชน่
ระบุลงไปวา่ เปน็ นกกระจอก แทน นก หรือกลบั กนั เช่น เลา่ ว่า นก แทนท่ีจะเปน็ นกกระจอก
7. มีการนำเหตกุ ารณจ์ ากนทิ านเร่ืองอื่นมาใสแ่ ทนโดยเฉพาะตอนจบ
8. มกี ารเปลีย่ นบทบาทตวั ละคร และบอ่ ยครง้ั ท่ีเปน็ การเปลย่ี นบทบาทหรือคุณสมบตั ิของตวั
ละครท่ีมีลกั ษณะตรงขา้ มกัน
9. นทิ านเร่ืองสัตว์ซงึ่ มตี วั ละครเปน็ สตั วใ์ นเรื่องเดิมอาจถกู แทนท่ีด้วยตัวละครที่เป็นมนษุ ย์
10. นิทานเก่ียวกบั มนุษยท์ ่มี ีตวั ละครเปน็ สตั วใ์ นเรอื่ งอาจถกู แทนทด่ี ว้ ยตวั ละครท่เี ป็นมนุษย์
11. ตัวละครท่เี ปน็ สตั ว์ ยักษ์ หรือปศี าจ อาจเปลยี่ นไปมาแทนที่ สลบั ทกี่ ันได้
12. อาจมกี ารเลา่ นิทานด้วยสรรพนามบรุ ุษที่ 1 เสมือนว่าผูเ้ ล่าเปน็ ตัวละครตวั หน่งึ ในเรอ่ื งน้ัน

123

13. การเปลย่ี นแปลงรายละเอียดเพยี งอนั เดียวอาจทำใหต้ ้องเปลยี่ นอีกหลายจุดตามเพอ่ื ให้เร่อื ง
สอดคล้องกัน

14. เม่ือนิทานท่องเท่ียวไปในดินแดนต่างวัฒนธรรม ประเพณที ผี่ ูฟ้ งั ไม่คุน้ เคยอาจถูกแทนที่ด้วย
ประเพณีท่ผี ู้ฟงั คุ้นเคย

15. รายละเอียดบางอย่างทล่ี า้ สมยั อาจถกู เปลย่ี นให้ทนั สมยั
ลักษณะความเปลี่ยนแปลงของนิทานตามทีส่ ตธิ ทอมป์สันได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 15 ประการ บางข้อ
อาจเป็นเรื่องในทำนองเดียวกัน ทำให้บางข้อมีความซ้ำซ้อนกัน เมื่อศิราพร ฐิตะฐาน (2523, หน้า 30 -
32) ได้ศึกษาการแพร่กระจายของนทิ านไทยจงึ สรุปลักษณะการแพรก่ ระจายของนทิ านได้เป็น 6 ลักษณะ
ไดแ้ ก่
1. การละความ (omission) คือ การลดรายละเอียดบางส่วนจากตัวบทเดิม โดยปกติแล้วเมื่อ
นักเล่านิทานได้ฟังนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็จะนำไปเล่าต่อให้คนในหมู่บ้านฟัง แต่ก่อนที่จะเล่านิทาน
เร่ืองนัน้ ๆ ต้องผา่ นการกล่ันกรองทางความคิดของนักเล่าผู้น้ันก่อน เขาจะตอ้ งคดิ ว่าจะดำเนินเร่ืองเช่นไร
จะทำให้เรื่องสนุกได้อย่างไร รายละเอียดของเรื่องตอนใดควรตัดทิ้ง ดังนั้นเนื้อหาบางตอนของนิทานอาจ
ถูกตดั ท้ิงไปโดยเจตนาของนักเล่านทิ าน
ลักษณะของการละความในนิทานมีดังน้ี

1.1 การละความทไ่ี ม่สำคัญ (omission of the irrelevant) การตดั สว่ นทไ่ี ม่สำคญั
ออก ซึ่ง “ความสำคัญ”หรือ “ไม่สำคัญ” ของเนื้อหานั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและความรู้สึกของนักเล่า
นิทาน นักเล่าอาจเห็นว่าเรื่องบางตอนไม่ควรดำเนินไปเช่นนั้น หรืออาจเห็นว่าเรื่องไม่สมเหตุสมผล เขาก็
อาจจะตัดเร่ืองตอนน้นั ๆ ออกไป

1.2 ละความทไี่ มค่ ุ้นเคย (omission of the unfamiliar) การละความที่ไมค่ ุ้นเคยมัก
เกดิ ขนึ้ ในกรณสี าระทางวัฒนธรรม เพราะต่างสงั คมก็ต่างวฒั นธรรม ดังน้ันหากตอนใดในนทิ านบรรยายถึง
ประเพณี ปรัชญาความคิด ความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนแนวจริยธรรมที่เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มชนหรือ
เฉพาะสังคม รายละเอียดเหล่านั้นกม็ ักถูกตัดทิง้ ไป เพราะยากแก่การทำความเข้าใจ แม้เล่าไปก็มีแต่จะทำ
ใหค้ นฟังเบื่อเพราะไม่รู้สกึ คุน้ เคย

1.3 ละความท่ไี ม่สบอารมณ์ (omission of the unpleasant) หากเนอ้ื เร่ืองตอนใด
ทำให้ผู้เล่ารู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือไม่พอใจที่จะเล่า ผู้เล่าอาจตัดตอนนั้นทิ้งไป หรือมิฉะนั้นก็จะบรรยาย
โดยรวบรัด

2. การเปลี่ยนรายละเอียด (changing detail) คือ การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางส่วนให้
แตกต่างไปจากนิทานสำนวนเดิม ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนเพื่อสร้างความคุ้นเคย เพราะบางครั้งการรับ
เรื่องจากสังคมที่ต่างวัฒนธรรมกันอาจมีเรื่องบางตอนที่ผู้รับไม่สามารถเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้เล่าจึง
ต้องพยายามให้เหตุผลสำหรับเหตุการณ์ตอนนั้นเพื่อให้ตัวเองและผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน การพยายามให้
เหตุผลบางครง้ั กเ็ ป็นเร่ืองอัตวสิ ัยซงึ่ ไมต่ รงกับเจตนาของเรื่องเดิม เม่ือเร่อื งตกไปอยู่ในแต่ละท้องถิ่นจึงเกิด
เป็นสำนวนต่าง ๆ ทมี่ ีเนื้อหาตา่ งกนั ออกไป

3. การขยายความ (expansion) คือ การเพิ่มรายละเอียดจากสำนวนเดิมให้ยืดยาวมากขึ้น
อาจเพราะเพ่อื ตอ้ งการให้เนื้อเรื่องมคี วามกระจ่างชดั ยิง่ ข้นึ เพมิ่ ความสมเหตุสมผล หรือสนุกสนานย่ิงข้ึน

124

4. การผนวกเรื่อง (adding another story) คือ การนำเหตุการณ์ในนิทานเรื่องอื่นเข้ามาปน
ซึ่งอาจเกิดเพราะความสบั สน หรอื เพราะผู้เล่าได้ฟังนิทานมามากจงึ อาจเช่ือมโยงเรื่องต่าง ๆ มาไว้ด้วยกัน
โดยไมร่ ู้ตวั

5. การสลับเหตุการณ์ (transposition) คือ การนำอนุภาคซึ่งมีอยู่ในเหตุการณ์ตอนหนึ่งไปไว้
กบั อีกตอนหน่ึง หรอื อาจจะเล่าสลับตอนกัน ทัง้ นี้เป็นเพราะการเล่านทิ านเป็นเร่ืองของการถ่ายทอดความ
ทรงจำ ผ้เู ลา่ จึงอาจเกดิ ความสับสนในเร่ืองลำดับเหตุการณ์ หรือบางครงั้ อาจเกดิ จากความจงใจของผู้เล่าก็
ไดห้ ากพจิ ารณาว่าเหตุการณใ์ ดความเกดิ ก่อนเกดิ หลงั เพ่ือความเหมาะสมตอ่ เน้ือเรื่องน้ัน ๆ

6. การอนุรักษ์ตนเอง (self - correction) คือ การท่ีนิทานเรื่องหนึ่ง ๆ ยังคงเอกลักษณ์ที่
เด่นชัดของเนื้อเรื่องของตนไว้อยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้เล่าเองได้ยินได้ฟังนิทานมาบ่อย ๆ อีกส่วน
หน่งึ เปน็ เพราะผฟู้ งั ก็ไดฟ้ ังนทิ านมาบ่อย ๆ เมือ่ ผเู้ ลา่ ออกนอกล่นู อกทาง ผูฟ้ ังกจ็ ะทกั ทว้ ง ทั้งนี้กเ็ ป็นเพราะ
นทิ านแต่ละเรื่องย่อมมีเอกลักษณ์ในตวั ที่ไม่ซ้ำกับนิทานเร่ืองอน่ื แม้รายละเอียดบางอยา่ งจะเปลี่ยนไป แต่
ลกั ษณะเฉพาะของนิทานแตล่ ะเรอ่ื งจะยงั คงอยู่

กรณีศึกษาการแพร่กระจายของนิทานโดยใช้นิทานพื้นบ้านเรื่องแก้วหน้าม้าฉบับนายบุษย์ วัด
เกาะ ปิ่นทองกลอนสวดฉบับหอสมุดแห่งชาติ ฉบับกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ สัปดนคำกาพย์ฉบับ
จังหวัดภเู ก็ต สปั ดนคำกาพย์ฉบบั จังหวดั นครศรีธรรมราช และฉบบั มขุ ปาฐะตำบลคีรีมาศ ทำใหเ้ ห็นวา่ เมื่อ
นทิ านแพร่กระจายไปในท่ีตา่ ง ๆ ทำให้นิทานเรอ่ื งเดยี วกนั มรี ายละเอยี ดของเน้ือเร่อื งแตกตา่ งกันไปตามแต่
การเล่าของนกั เล่านทิ านแตล่ ะคน ดงั น้ี

1) การเปล่ียนรายละเอยี ด

เหตกุ ารณต์ อนเร่ิมเรอื่ งซง่ึ กล่าวถึงความเปน็ มาของตัวละคร กวีได้เปล่ียนรายละเอยี ดการเริ่มเรื่อง

ของแต่ละสำนวนให้แตกตา่ งกนั เช่น

ตารางท่ี 5-3 เปรยี บเทยี บการเปลีย่ นรายละเอียดตอนเริ่มเรอ่ื งแกว้ หน้าม้า

สำนวน ช่ือตวั ละครหญิง ช่ือตัวละครชาย ความเป็นมาของตัวละคร

นายบษุ ย์วดั เกาะ แกว้ หน้ามา้ – นางมณี ปน่ิ ทอง ยายฝันว่าเทวดามอบแก้ว ต่อมาให้

กำเนิดเด็กหญิงหน้าตาอัปลักษณ์จึงให้

ช่อื วา่ แก้วหนา้ มา้

หอสมดุ แหง่ ชาติ นางสัปดน – นางศรเี มอื ง ปิ่นทอง

กรมหลวงภูวเนตร แก้วหน้ามา้ – นางมณี พินทอง นางสัปดนหมดอายุขัยในเมืองสวรรค์จึง
นรินทรฤทธ์ิ ปน่ิ ทอง มาเกิดเป็นมนุษย์
ภเู กต็ นางสัปดน – นางมณฑา ปิ่นทอง
สวรรค์ นางสัปดนธิดาพระอินทร์และนางจิตรา
นครศรีธรรมราช นางสัปดน จตุ ิมาเกดิ ในดอกบัวกลางป่าหมิ พานต์

มุขปาฐะครี มี าศ แกว้ หนา้ ม้า ปน่ิ ทอง

125

สาเหตคุ วามขัดแยง้ ตอนตน้ เรือ่ ง กวกี ็ได้เปลย่ี นรายละเอยี ดเหตุการณ์ให้มคี วามแตกตา่ งกนั เชน่

ตารางที่ 5-4 เปรยี บเทยี บการเปล่ียนรายละเอียดความขัดแย้งตอนต้นเรื่องแก้วหน้ามา้

สำนวน สาเหตทุ ่พี บกนั การทวงสัญญา ความขัดแย้งกบั มารดาพระเอก

นายบุษย์วดั เกาะ ปิ่นทองเล่นว่าวกับพี่เลี้ยง ตายายไปทวงสญั ญา

แล้วทำวา่ วขาด

หอสมุดแหง่ ชาติ ปิ่นทองเล่นว่าวกับพี่เลี้ยง นางแก้วหน้าม้าตามไป

แลว้ ทำว่าวขาด ทวงสัญญากับปิ่นทองใน

เมอื ง

กรมหลวงภวู เนตร พิณทองเล่นว่าวกับพี่เลี้ยง นางมณฑา(แม่พิณทอง) ให้รับแกว้

นรินทรฤทธิ์ แล้วทำวา่ วขาด หนา้ มา้ เข้าวัง

ภูเก็ต พระอินทร์เนรมิตให้ลมพัด

สายป่านขาด

นครศรธี รรมราช ป่นิ ทองเสีย่ งทายว่าวหาคู่ นางแก้วหน้าม้าตามไป นางรัตนมณี(แม่ปิ่นทอง) กริ้ว ให้

ทวงสัญญากับปิ่นทองใน ทหารจบั นางสปั ดนไปท้งิ นอกวัง

เมอื ง

มุขปาฐะ คีรีมาศ ป่นิ ทองเส่ยี งทายว่าวหาคู่

นางแก้วเก็บได้ ปิ่นทองขอ

คนื แก้วขอเปน็ ชายา

นอกจากนี้บิดาของปิ่นทองฉบับนายบุษย์กล่าวว่าชื่อท้าวภูวดล ฉบับหอสมุดฯว่าชื่อทศคาริวงศ์
ฉบับกรมหลวงภวู เนตรนรนิ ทรฤทธ์วิ า่ ช่อื ท้าวมงคลราช

ผู้ช่วยเหลือนางแก้วหน้าม้าฉบับนายบุษย์ ฉบับกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์กล่าวว่า คือฤๅษี
สว่ นฉบับปิน่ ทองกลอนสวด ฉบับภูเกต็ และนครศรธี รรมราชกล่าววา่ เป็นพระอินทร์

ต้นฉบับส่วนใหญ่กล่าวว่านางแก้วจำแลงกายเป็นหญิงงามอยู่กับตายายแล้วได้สังวาสกับปิ่นทอง
ยกเว้นฉบับนครศรีธรรมราชกลา่ วว่าพระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์เนรมิตศาลาและถวายธดิ า (นางสัปดน
ซึ่งแปลงเปน็ หญงิ งาม) ให้ป่ินทอง

เมื่อปิ่นทองต้องกลับบ้านเมืองฉบับวัดเกาะกล่าวว่าปิ่นทองได้มอบแหวนให้นางแก้ว ฉบับ
นครศรีธรรมราชกล่าวว่ามอบแหวนและผ้า ส่วนฉบับหอสมุดแห่งชาติและฉบับภูเก็ตกล่าวว่านางแก้วขอ
แหวนและผ้าจากปิ่นทอง และฉบับกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์กล่าวว่าปิ่นทองขอแลกแหวนกับผ้า
สไบนางแกว้

จะเห็นได้ว่าแก้วหนา้ ม้าสำนวนตา่ ง ๆ มีการเปล่ียนรายละเอียดเนอ้ื เรือ่ งแตกตา่ งกันไป

2) การละความ
แก้วหนา้ ม้าบางสำนวนมิไดก้ ลา่ วถึงความเป็นมาของตัวละครแก้วหน้ามา้ แตไ่ ดก้ ลา่ วถึงเหตุการณ์
ทป่ี ่ินทองและแก้วหนา้ มา้ โตเปน็ หนุม่ สาวแลว้ เรมิ่ เร่ืองด้วยการทปี่ นิ่ ทองทำว่าวขาด เช่น สำนวนกรมหลวง
ภวู เนตรนรินทรฤทธแ์ิ ละสำนวนมขุ ปาฐะ ต.ครี มี าศ

126

ทุกสำนวนกล่าวว่าท้าวภูวดลพระบิดาของปิ่นทองคิดกำจัดแก้วหน้าม้าด้วยการให้ไปชะลอเขา
พระสุเมรุ ยกเว้นสำนวนมุขปาฐะมิได้กล่าวถึงเหตุดังกล่าว แต่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระปิ่นทองต้องออก
เดนิ ทางไปอภิเษกตา่ งเมืองเลย

นอกจากนี้เมื่อแก้วหน้าม้าชะลอเขาพระสุเมรุกลับมาได้ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ฉบับภูเก็ต และ
ฉบับนครศรีธรรมราชกลา่ ววา่ ทา้ วทศคารวิ งศ์พระบดิ าของปิ่นทองไม่รักษาสญั ญาท่ีจะให้แกว้ อภเิ ษกกับป่ิน
ทองแต่ให้แก้วไปอยู่เรือนคนใช้ ส่วนฉบับนายบุษย์ ฉบับกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ และมุขปาฐะ ต.
ครี มี าศมิไดก้ ล่าวถึงเหตุการณ์ดงั กลา่ ว

3) การขยายความ
ปิ่นทองฉบับหอสมุดฯ ละความที่กล่าวถึงความเป็นมาของแก้วหน้าม้า แต่เพิ่มรายละเอียด
ตอนต้นเรื่องว่าปิ่นทองฝันว่าเถาวัลย์พันตัว โหรทำนายว่าจะพบเนื้อคู่ จากนั้นปิ่นทองจึงเล่นว่าวแล้วว่าว
ขาด สว่ นฉบับภเู ก็ตเพ่มิ รายละเอียดว่าปิ่นทองฝันว่าพญานาครดั เท้า โหรทำนายวา่ จะพบเน้อื คู่
นอกจากนเี้ มื่อนางแกว้ ถูกพระบิดาป่ินทองกลั่นแกล้งใหช้ ะลอเขาพระสุเมรุ ฉบบั นครศรีธรรมราช
เพิ่มรายละเอยี ดว่านางแก้วร้องไหจ้ นสลบ พระอนิ ทร์ต้องมาช่วย

4) การผนวกเรอื่ ง
เมื่อปิ่นทองเดินทางกลับบ้านเมืองระหว่างเดินทางได้พลัดหลงเข้าเมืองยักษ์ นางแก้วจำแลงเป็น
มาณพไปชว่ ย ฉบบั มุขปาฐะเพ่ิมรายละเอยี ดว่ามาณพร้ทู ันอุบายของยักษ์ท่ีนำไก่ทองมาซอ่ นในเรือ นางจึง
นำไก่ทองทิ้งน้ำ เหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายกับเหตุการณ์ในเรื่องดาวเรอื งตอนที่นางโสฬสธิดาพระอินทร์มา
ช่วยดาวเรืองที่ถูกทา้ วอกุศลกลัน่ แกลง้ แต่นางรู้ทันจึงเอาเต่าทองที่ท้าวอกุศลให้ทหารมาซ่อนไวใ้ นเรือทงิ้
น้ำ จึงอาจเป็นไปได้ว่าผู้เล่าสำนวนมุขปาฐะ ต. คีรีมาศน่าจะสับสนความ นำอนุภาคนิทานเรื่องอื่นมาเล่า
ประสมกัน

5) การสลับเหตกุ ารณ์
ฉบับนายบษุ ย์และฉบับนครศรีธรรมราชกลา่ วว่าพระมารดาปนิ่ ทองได้พบแล้วรับหรือกรว้ิ นางแก้ว
หน้าม้าก่อนเหตุการณ์ชะลอเขาพระสุเมรุ ส่วนฉบับกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์กล่าวว่านางมณฑารับ
แกว้ เข้าวงั หลงั จากนางชะลอเขาพระสเุ มรแุ ลว้

6) การอนรุ กั ษต์ นเอง
เรื่องแก้วหน้าม้าไม่ว่าสำนวนใดก็จะคงเหตุการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีความเด่นเฉพาะของเรื่องไว้
เช่น การที่ตัวละครเอกหญิงหน้าตาอัปลักษณ์เหมือนมา้ เก่งกล้า สามารถ เสนอตัวเป็นชายาของปิ่นทอง
ไดร้ ับของวิเศษ ชว่ งท้ายนางได้กลายเป็นหญิงงาม เหตุการณท์ ี่ตัวละครเอกชายได้พบกับตัวละครเอกหญิง
มาจากการเล่นว่าวและว่าวขาด เหตุการณ์ที่ปิ่นทองให้นางแก้วมีลูกก่อนที่ตนจะเดินทางกลับมาจากไป
อภเิ ษกต่างเมือง เหตุการณ์ทแ่ี ก้วจำแลงตนเองเป็นหญงิ งามดักรอปิ่นทองระหว่างทางและได้สังวาสกันจน
นางตั้งครรภ์ จะเห็นไดว้ า่ เหตุการณ์เหลา่ นมี้ ีปรากฏอยู่ในทกุ เรอ่ื ง

127

นอกจากนี้การที่นิทานเร่ืองหนึง่ ๆ ซึ่งได้รับความนิยมมากจนมีการแพรก่ ระจายของนิทาน ทำให้
นิทานเรื่องเดิม มี “การแตกเรื่อง” คือ ลักษณะการเกิดนิทานเรื่องใหม่จากโครงเรื่องเดิมของนิทาน
ต้นแบบ ซง่ึ ทำให้นิทานเรื่องใหมม่ ีทั้งความคลา้ ยคลึงและแตกตา่ งจากโครงเร่ืองเดิม (วชั ราภรณ์ ดิษฐป้าน,
2546, หน้า 90) เช่น เรื่องสังข์ทองแตกเรื่องเป็นก่ำกาดำ ท้าวแบ้ ท้าวเต่า สุวรรณสิรสา เป็นต้น
ปรากฏการณ์การแตกเรื่องของสงั ข์ทองนี้ ทำให้นิทานต้นแบบปรากฏเป็นนิทานเรื่องใหม่ ๆ ที่มีโครงเรือ่ ง
เหมอื นนทิ านต้นแบบ กลา่ วคอื เปน็ นิทานท่ตี ัวละครเอกชายซ่อนรปู อยู่ในร่างแปลกประหลาด ผิดปกติจาก
คนธรรมดา ทำให้ถกู รังเกียจ ตอ้ งตอ่ สู้ พิสูจน์ความสามารถจนเปน็ ท่ียอมรับ และถอดรปู เป็นชายรูปงาม

ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกระบวนการแตกเรื่องนี้ วัชราภรณ์ ดิษฐป้าน (2546, หน้า
96 - 97) ตง้ั ข้อสังเกตว่ามี 8 ลกั ษณะ ดังนี้

1) การเปลีย่ นแปลงลำดบั ของพฤติกรรมหลกั
2) การตัดเนื้อหาบางตอนหรือบางพฤติกรรมหลักออกจากโครงเรื่องเดิม
3) การนำเร่ืองบางตอนไปแตง่ เป็นนิทานเร่อื งใหม่
4) การเพม่ิ จำนวนครงั้ ในบางพฤติกรรมหลักเพ่ือเนน้ พฤติกรรมบางตอน
5) การเพม่ิ พฤตกิ รรมใหมแ่ ละเหตุการณบ์ างตอนแทรกในโครงสร้างเดมิ
6) การเพ่มิ โครงเรื่องยอ่ ย
7) การผนวกเรื่อง
8) การคงโครงสรา้ งเดมิ แตม่ กี ารสบั เปล่ยี นรายละเอียดในพฤติกรรม

การเปลี่ยนแปลงทั้ง 8 ลักษณะนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้นิทานที่แตกเรื่องใหม่มีความแตกต่างจาก
นิทานต้นแบบ ความเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดข้ึนในนิทานแต่ละเรื่องไม่จำเป็นต้องเกิดขึน้ เพียงลักษณะเดียว แต่
อาจเกดิ การเปลย่ี นแปลงท่ีได้หลายลกั ษณะในนทิ านเรื่องเดียวกัน ด้วยเหตนุ ้นี ทิ านเรื่องต่าง ๆ ท่ีแตกเรื่อง
มาจากนิทานตน้ แบบจงึ มีเน้อื หาทแี่ ตกตา่ งจากนิทานต้นแบบ

นิทานพื้นบ้านไทยยังมีอีกหลายเรื่องที่มีการแพร่กระจายไปหลายภูมิภาคหลายท้องถิ่น เกิดเป็น
นิทานพื้นบ้านหลายสำนวน การศึกษานิทานพื้นบ้านด้วยการใช้ทฤษฎีการแพร่กระจายของนิทานจึงเป็น
อกี วธิ กี ารหนึ่งท่นี า่ สนใจ

4. โครงสร้างนทิ านของวลาดิมีร์ พรอพพ์ (Vladimir Propp’s Structural Theory)

วลาดิมีร์ พรอพพ์ (Vladimir Propp) นักคติชนวิทยาชาวรัสเซียเชื้อสายเยอรมัน เป็นนักคิดใน
กลุ่ม Russia Formalism เกิดเมือ่ วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1895 เสยี ชีวิตเม่ือวันที่ 22 สงิ หาคม ค.ศ. 1970
ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ Morphology of the Folktale ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซียเมื่อปี ค.ศ.
1928 และได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1958 ในผลงานเล่มนี้พรอพพ์ได้ศึกษาวิเคราะห์
นทิ านโดยใหค้ วามสำคญั กับการเรียงลำดบั ของพฤติกรรมหลกั ของตัวละคร

พรอพพ์ได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมตัวละครในนิทานรัสเซยี 4 เรื่องมาเปรียบเทยี บและแสดงให้เห็น
พฤติกรรมที่เหมือน ๆ กันของตัวละครในนิทานเรื่องต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโครงสร้างเดียวกัน (ศิราพร ณ
ถลาง, 2548, หนา้ 179) เชน่

128

1. ซาร์ใหเ้ หยี่ยวกบั พระเอก เหยี่ยวพาพระเอกไปอกี เมอื งหนึ่ง
2. คนแก่ใหม้ ้ากบั พระเอก ม้าพาพระเอกไปอกี เมอื งหนงึ่
3. คนทรงให้เรือกับพระเอก เรอื พาพระเอกไปอกี เมืองหน่งึ
4. เจา้ หญงิ ให้แหวนกับพระเอก แหวนพาพระเอกไปอีกเมืองหนงึ่

พรอพพส์ นใจว่าขณะท่ปี ระธานหรือกรรมในประโยคเปล่ียนแปลงไดแ้ ต่พฤติกรรมหรือการกระทำ
กลบั ไม่เปลี่ยน เขาจึงลงความเห็นวา่ นิทานแต่ละเร่อื งมีพฤติกรรมและมลี ำดับพฤตกิ รรมทค่ี ล้าย ๆ กนั โดย
พรอพพไ์ ดต้ งั้ สมมตุ ฐิ านจากการศึกษานิทานรสั เซีย 100 เรอ่ื งว่า

1. พฤติกรรมของตัวละครจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้จะไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้กระทำและ
ก ร ะ ท ำ อ ย ่ า ง ไ ร ( Functions of characters serve as stable, constant elements in a tale,
independent of how and by whom they are fulfilled.)

2. จำนวนของพฤติกรรมในนิทานรัสเซียเท่าที่คนรัสเซียรู้จักมีจำกัด (The number of
functions known to the fairy tale is limited.)

3. การลำดับพฤติกรรมในนิทานเรื่องต่าง ๆ จะเหมือนกัน (The sequence of functions is
always identical.)

4. นิทานมหัศจรรย์ทั้งหมดมีโครงสร้างอันเดียวกัน (All fairy tales of one type in regard to
their structure.)

ผลการศึกษาของพรอพพ์ทำให้พบวา่ ในนิทานมหัศจรรย์ (Fairy Tales) ของรัสเซีย 100 เรื่อง มี
พฤตกิ รรมหลัก 31 พฤตกิ รรมซ่ึงเป็นเหตุเป็นผลสืบเน่ืองกันเป็นลำดับและมีความสัมพันธ์กัน ทำให้เห็นว่า
นิทานหนึ่งเรื่องจะมีการลำดับพฤติกรรมที่เรียงร้อยกันเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้มิใช่ว่านิทานเรื่องหนึ่งจะมี
พฤตกิ รรมหลักครบทั้ง 31 พฤติกรรม

โครงสร้างพฤติกรรมของวลาดิมรี ์ พรอพพ์

เหตุการณ์ชว่ งตน้ เรอื่ ง หมายถงึ ความเปน็ มาของตวั ละคร เหตกุ ารณ์เริม่ ตน้
หมายถงึ สมาชิกของครอบครัวทม่ี ีอายุมากกว่าออกไปจากบ้าน
α หมายถงึ ความตายของพ่อกบั แม่
β¹ หมายถึง สมาชกิ คนหน่ึงของครอบครวั ทีม่ อี ายุน้อยกวา่ ออกไปจากบ้าน
β² หมายถงึ การห้าม
β³ หมายถงึ คำส่ังหรือข้อห้าม
γ¹ หมายถึง ขอ้ ห้ามนนั้ ถกู ละเมิด
γ² หมายถงึ การปฏิบัติตามคำส่ัง
δ¹ หมายถงึ ตวั โกงพยายามสืบหาข้อมูลของตัวเอก
δ² หมายถึง ตัวเอกพยายามสบื หาขอ้ มูลของตัวโกง
ε¹ หมายถงึ ขอ้ มูลของตัวละครอืน่ ๆ
ε² หมายถงึ ตัวโกงได้รบั ข้อมูลของตัวเอก
ε³ หมายถึง ตวั เอกได้รบั ข้อมูลของตวั โกง
ζ¹
ζ²

129

ζ³ หมายถึง ได้รับข้อมลู ดว้ ยวิธกี ารต่าง ๆ
หมายถึง การหลอกลวงชวนเช่ือของตวั โกง
η¹ หมายถึง การหลอกลวงโดยใช้เวทมนต์
หมายถงึ รปู แบบต่าง ๆ ของการโกหกหลอกลวง
η² หมายถึง ตัวเอกหลงเช่อื ตวั โกง
หมายถงึ ตวั เอกตกเปน็ เหยื่อโดยถูกเวทมนต์ของตวั โกง
η³ หมายถึง ตัวเอกตกเปน็ เหยอื่ โดยกลลวงตา่ ง ๆ
หมายถึง ความเลวร้ายเรม่ิ ตน้ ด้วยข้อตกลงที่หลอกลวง
θ¹
หมายถึง พฤติกรรมของตัวโกง
θ² หมายถงึ ตวั โกงร่วมเดนิ ทางไปกับตัวเอกและโยนตวั เอกลงเหว
หมายถงึ ตัวโกงลกั พาตวั เอก
θ³ หมายถงึ ตวั โกงจับผู้ช่วยเหลอื หรือผูม้ อี ำนาจวิเศษได้
หมายถึง ตวั โกงทำลายพืชผล
λ หมายถึง ตวั โกงขโมยแสงแดด
หมายถึง รูปแบบต่าง ๆ ของการขโมย
เริ่มเขา้ เรื่อง หมายถึง ตวั โกงทำรา้ ยตวั เอกจนบาดเจ็บหรอื พิการ
A หมายถงึ ตัวโกงทำให้ตวั เอกหายไป
*A หมายถงึ เจา้ สาวที่ถกู ลืม
A1 หมายถึง ตัวโกงส่ังใหล้ ักพาตวั เอก
A2 หมายถึง ตัวโกงขบั ไลต่ วั เอก
A3 หมายถึง ตัวโกงเหวี่ยงตัวเอกลงทะเลหรือลอยแพ
A4 หมายถงึ ตัวโกงใชค้ ำสาปและแปลงรา่ งตวั เอก
A5 หมายถงึ ตวั โกงปลอมเปน็ ตัวเอกหรอื ปลอมเปน็ อย่างอ่ืนเพื่อหลอกลวงตวั เอก
A6 หมายถึง ตัวโกงสัง่ ฆ่าตวั เอก
A7 หมายถงึ ตวั โกงฆ่าตวั เอก
Avii หมายถึง ตวั โกงกักขังตวั เอก
A8 หมายถึง ตัวโกงขัดขวางการแตง่ งาน ตัวโกงบงั คับ (นางเอก) แต่งงาน
A9 หมายถึง ตัวโกงขดั ขวางการแตง่ งานในหมู่ญาติ
A10 หมายถึง ตัวโกงขู่จะกินมนุษย์
A11 หมายถึง ตวั โกงในรา่ งมนุษย์กนิ คนหรือทเ่ี กี่ยวข้อง
A12 หมายถงึ ตวั โกงทรมานในเวลากลางคนื (ผีดูดเลือด)
A13 หมายถึง ตัวโกงประกาศสงคราม
A14
A15 หมายถงึ การขาด ความขาดแคลน
A16 หมายถงึ การไม่มีเจา้ สาว
Axvi
A17
Axvii
A18
A19

a
a1

130

a2 หมายถงึ การไม่มผี ูว้ ิเศษหรือของวิเศษคอยชว่ ยเหลือ
a3 หมายถึง การไม่มขี องวิเศษมหัศจรรย์
a4 หมายถงึ การขาดความรัก
a5 หมายถงึ การขาดเงนิ ทองหรอื สิง่ ที่ชว่ ยในการดำรงชีวิต
a6 หมายถึง การขาดในรปู แบบอ่ืน ๆ

B หมายถงึ การรบั รปู้ ญั หาหรอื ความเลวร้ายตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ
B1 หมายถึง ตัวเอกถูกขอใหช้ ว่ ยเหลอื ในการออกไปติดตาม
B2 หมายถึง ตวั เอกได้รับข่าวให้ออกไปติดตาม
B3 หมายถึง ตัวเอกตัดสนิ ใจออกติดตามเอง
B4 หมายถึง การรับรู้ขา่ วรา้ ยในรปู แบบตา่ ง ๆ
B5 หมายถงึ ตวั เอกที่ถูกเนรเทศถูกพาออกไป
B6 หมายถึง ตัวเอกท่ีถกู กล่าวโทษไดร้ ับการปลดปล่อย
B7 หมายถงึ การโศกเศร้าครำ่ ครวญ

C หมายถงึ การเริ่มตน้ ของการออกคน้ หา
 หมายถึง ตวั เอกออกเดินทางจากบา้ น

D หมายถงึ พฤติกรรมแรกของผู้มีอำนาจวเิ ศษหรือผู้ชว่ ยเหลือ
D1 หมายถึง ผ้มู ีอำนาจวิเศษทดสอบตวั เอก
D2 หมายถงึ ผมู้ ีอำนาจวเิ ศษตง้ั คำถามตัวเอก
D3 หมายถึง ผู้ที่กำลังจะตายขอใหต้ ัวเอกชว่ ย
D4 หมายถึง ผ้ทู ถ่ี กู จับคุมขงั ขอให้ตวั เอกชว่ ยใหไ้ ด้รบั อิสรภาพ
*D4 หมายถึง ช่วยใหไ้ ดร้ ับอิสรภาพรอดพน้ จากการคุมขงั
D5 หมายถงึ ตวั เอกถูกร้องขอความเมตตา
D6 หมายถงึ การโต้แยง้
D7 หมายถงึ คำรอ้ งขออ่ืน ๆ
D7 หมายถงึ ผวู้ ิเศษมาชว่ ยเหลือโดยปราศจากการร้องขอ
D8 หมายถึง ความพยายามทจ่ี ะทำลาย
D9 หมายถงึ การตอ่ สู้กบั ผู้ช่วยเหลือทเี่ ป็นศตั รู
D10 หมายถึง ข้อเสนอแลกเปล่ียนของผวู้ เิ ศษ

E หมายถึง ปฏิกริ ิยาของตัวเอกตอ่ ผมู้ ีอำนาจวเิ ศษหรอื ผู้ชว่ ยเหลอื
E1 หมายถึง ตวั เอกอดทนเมื่อถูกทรมาน
E2 หมายถงึ ตัวเอกตอบสนองดว้ ยมติ รไมตรี
E3 หมายถงึ ตวั เอกช่วยเหลือคนตาย
E4 หมายถงึ ตัวเอกช่วยใหอ้ ิสรภาพ
E5 หมายถึง ตัวเอกแสดงความเมตตา
E6 หมายถงึ ตัวเอกไกล่เกล่ียการทะเลาะเบาะแวง้

131

Evi หมายถึง การทะเลาะเบาะแวง้ ที่เปน็ กลลวง
E7 หมายถงึ ตัวเอกทำตามคำรอ้ งขอ
E8 หมายถึง ตวั เอกพยายามช่วยชีวิตตวั เอง
E9 หมายถงึ ตัวเอกปราบศัตรไู ด้
E10 หมายถึง ตัวเอกถูกหลอกในข้อตกลงแลกเปลย่ี นของวิเศษ

F หมายถึง การได้ของวเิ ศษ
F1 หมายถึง ของวเิ ศษถูกนำมาให้
F1 หมายถงึ ของวเิ ศษทำจากวัสดธุ รรมชาติ
F2 หมายถึง มผี ูช้ ี้ตำแหน่งของวเิ ศษให้เห็น
F3 หมายถึง มีผเู้ ตรยี มของวเิ ศษไว้ให้
F4 หมายถงึ ตัวเอกต้องซ้ือของวิเศษ
F4³ หมายถงึ ของวเิ ศษถูกทำขึ้นตามคำสงั่
F5 หมายถงึ ตวั เอกพบของวิเศษโดยบงั เอิญ
F6 หมายถงึ ของวิเศษปรากฏใหเ้ ห็นเอง
Fvi หมายถงึ ของวิเศษมาจากพน้ื ดนิ
F96 หมายถงึ ได้พบกับผู้วเิ ศษ ผูอ้ าสาชว่ ยเหลือ
F7 หมายถงึ ของวิเศษถูกดมื่ หรือกิน
F8 หมายถึง ตวั เอกยดึ ของวิเศษได้จากผอู้ ่ืน
F9 หมายถึง ผู้วิเศษไดใ้ ห้ความชว่ ยเหลอื เมอ่ื ไดร้ บั การร้องขอ
f9 หมายถงึ ผวู้ ิเศษปรากฏตัวเม่ือมผี ูต้ ้องการความช่วยเหลอื

G หมายถงึ การพาตัวเอกไปยงั จุดหมาย
G1 หมายถึง ตวั เอกเหาะไป
G2 หมายถึง ตวั เอกไปโดยทางบกหรอื ทางน้ำ
G3 หมายถึง มผี ู้นำทางตวั เอกไป
G4 หมายถึง มีผชู้ ท้ี างให้ตวั เอกไป
G5 หมายถึง ตัวเอกเดนิ ทางดว้ ยเคร่ืองช่วยบางประการ
G6 หมายถึง ตวั เอกไปตามเส้นทางท่มี รี อยเลือด

H หมายถึง ตัวเอกต่อสู้กับตวั โกง
H1 หมายถึง ต่อสู้กนั ในทโี่ ล่ง
H2 หมายถึง ต่อสกู้ นั ด้วยการทดสอบ การแขง่ ขัน
H3 หมายถึง ต่อสู้กนั ดว้ ยการเล่นไพ่
H4 หมายถึง การชัง่ น้ำหนัก ไม่แน่ใจ

I หมายถงึ ตวั เอกชนะตัวโกง
I1 หมายถงึ ชยั ชนะในการต่อสู้กนั ในที่โล่ง
*I1 หมายถงึ ในกรณที ่ีมตี ัวเอกหลายคน มีตัวเอกคนหนึ่งชนะ ที่เหลอื ซอ่ นอยู่

132

I2 หมายถงึ ชยั ชนะจากการแขง่ ขัน
I3 หมายถงึ ชยั ชนะจากการเล่นไพ่
I4 หมายถงึ ชยั ชนะจากการชงั่ นำ้ หนัก
I5 หมายถึง ชยั ชนะโดยฆ่าตวั โกงโดยไม่ต้องมีการต่อสู้
I6 หมายถึง เนรเทศตวั โกง

J หมายถึง ตวั เอกได้รับบาดเจบ็
J1 หมายถึง บาดเจบ็ โดยมีรอยแผลที่รา่ งกาย
J2 หมายถงึ ไดร้ บั แหวนหรอื ผ้าเชด็ ตวั

K หมายถึง ความโชครา้ ยหรือความขาดแคลนนัน้ หมดไป
K1 หมายถึง โดยการใชพ้ ละกำลังหรือดว้ ยเลห่ เ์ หลยี่ ม
K2 หมายถงึ โดยผู้ชว่ ยเหลอื หลายคน
K3 หมายถงึ ได้รบั ความชว่ ยเหลอื โดยมนี กตอ่
K4 หมายถงึ ความโชครา้ ยหมดไปเพราะพฤตกิ รรมท่ีมาก่อน
K5 หมายถงึ ความโชครา้ ยหมดไปเพราะการใชข้ องวิเศษ
K6 หมายถงึ ความยากจนหมดไปเพราะการใช้ของวเิ ศษ
K7 หมายถงึ สง่ิ ทถี่ ูกตามหาถูกจับ
K8 หมายถงึ เวทมนตห์ รือคำสาปถกู ทำลาย
K9 หมายถึง การชบุ ชวี ิต
Kix หมายถึง การชบุ ชวี ิตดว้ ยนำ้ แหง่ ชีวิต
K10 หมายถึง ได้รบั การปล่อยให้เปน็ อสิ รภาพ

 หมายถึง ตวั เอกเดินทางกลับบา้ น

Pr หมายถึง ตวั เอกถูกตามลา่
Pr1 หมายถึง ผ้ตู ามล่าเหาะตามไป
Pr2 หมายถึง ผู้ตามล่าต้องการตวั คนผิด
Pr3 หมายถงึ ไล่ลา่ ตัวเอกโดยการแปลงตัวเป็นสตั ว์ต่าง ๆ
Pr4 หมายถงึ ไลล่ า่ ตัวเอกโดยแปลงตวั เป็นสิ่งของต่าง ๆ
Pr5 หมายถึง ผตู้ ามล่าจะจบั ตัวเอกกิน
Pr6 หมายถึง ผ้ตู ามลา่ พยายามฆ่าตัวเอก
Pr7 หมายถึง ผู้ตามล่าพยายามทำลายตน้ ไม้ทีพ่ ระเอกหลบอยู่

Rs หมายถึง การช่วยตวั เอกจากการถูกตามลา่
Rs1 หมายถึง ตวั เอกถูกอุ้มเหาะหนีไป
Rs2 หมายถึง ตวั เอกหนีและขวา้ งสิง่ ของในขณะถกู ตามล่า
Rs3 หมายถงึ ตัวเอกแปลงตัวในขณะที่หลบหนี
Rs4 หมายถงึ ตัวเอกหนีไปซอ่ นในทตี่ า่ ง ๆ
Rs5 หมายถึง หลบหนีได้ดว้ ยการอำพรางของช่างเหล็ก

133

Rs6 หมายถึง ตัวเอกแปลงรา่ งเป็นสตั ว์ พชื หรอื ก้อนหิน
Rs7 หมายถึง ตัวเอกไม่หลงกลกลลวงต่าง ๆ
Rs8 หมายถึง ช่วยชวี ิตตัวเอกจากการถูกกลืนกนิ
Rs9 หมายถงึ ช่วยชีวติ ตัวเอกไมใ่ หถ้ ูกฆา่
Rs10 หมายถงึ กระโดดเกาะต้นไมต้ ้นอ่ืน

O หมายถึง ตวั เอกซง่ึ ไม่มใี ครรจู้ ักกลับบา้ นหรือไปยังเมืองอ่ืน

L หมายถึง การปลอมเป็นตัวเอก

M หมายถึง งานยากท่ตี วั เอกถกู ทดสอบใหท้ ำ

N หมายถงึ ตัวเอกทำงานสำเรจ็
*N หมายถงึ ตัวเอกทำงานสำเรจ็ ก่อนกำหนด

Q หมายถึง ตัวเอกเป็นที่รจู้ ัก

Ex หมายถึง ผทู้ ี่ปลอมเป็นตวั เอกถูกเปิดเผย

T หมายถึง ตัวเอกในโฉมหน้าใหม่
T1 หมายถึง อยใู่ นที่อยใู่ หม่
T2 หมายถึง สรา้ งปราสาทราชวังใหใ้ หม่
T3 หมายถงึ ได้เครื่องนุ่งหม่ ใหม่
T4 หมายถึง เป็นตวั ตลก

U หมายถงึ ตวั โกงหรอื คนทป่ี ลอมเป็นตัวเอกถูกลงโทษ
Uneg หมายถึง ตัวเอกยกโทษใหต้ ัวโกงหรือคนทีป่ ลอมเปน็ ตัวเอก

W หมายถึง การขน้ึ ครองบัลลังก์
W* หมายถงึ การแต่งงาน
W** หมายถึง การอภเิ ษกสมรสและการกา้ วสู่ราชบัลลงั ก์
W1 หมายถงึ การแต่งงานตามคำมัน่ สัญญา
W2 หมายถงึ การแต่งงานอีกคร้ัง
W0 หมายถึง ตัวเอกไดร้ ับเงินหรอื สงิ่ ของอ่ืน ๆ ตอนทา้ ยเร่ือง

ตัวอยา่ งการวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมในนทิ านรสั เซีย
พรอพพ์ไดล้ องนำนทิ านรัสเซียเรอ่ื ง “หงส์ – หา่ น” (The Swan - Geese) มาวเิ คราะห์พฤตกิ รรม

ของตัวละคร (ศริ าพร ณ ถลาง, 2557, หนา้ 29 - 31) ดังนี้

134

ตารางท่ี 5-5 วิเคราะหโ์ ครงเรือ่ งหงส์ - ห่านตามทฤษฎีโครงสรา้ งนทิ าน

โครงเรื่องหงส์ – ห่าน แทนค่าพฤตกิ รรม

ณ ทีแ่ หง่ หนง่ึ มสี องสามภี รรยาอาศัยอยู่ พวกเขามลี กู สาวหน่ึงคน ความเป็นมาของตวั ละคร เหตุการณเ์ รม่ิ ตน้ (α )

หญงิ ชราพดู กับลกู สาววา่ “ลูกจะ๊ ลกู จะ๊ ” “พอ่ กบั แมก่ ำลังจะ การห้าม (γ )
ออกไปทำงานขา้ งนอก แลว้ พ่อกบั แมจ่ ะเอาขนมปังชนิ้ เลก็ ๆ มาให้
หนูนะ แล้วจะกลบั มาเย็บเส้อื ตวั ใหมใ่ หห้ นู และซอ้ื ผา้ พันคอผืน
เลก็ ๆ มาฝากด้วย แต่ลูกต้องดูแลน้องชายคนเลก็ และอยา่ ใหเ้ ขา
ออกไปท่ีสนามหนา้ บา้ นนะ”

หลงั จากน้นั พ่อและแม่กอ็ อกจากบา้ นไป สมาชกิ ของครอบครัวที่มีอายมุ ากกว่าออกไปจาก
บ้าน (β¹)
ลูกสาวลืมเรอ่ื งทพี่ อ่ และแมส่ ั่งให้เธอทำอะไร
เธอวางน้องชายตวั เล็กใต้หนา้ ต่างบนสนามหญ้าแล้ววิง่ ออกไปที่ แรงกระตุ้นท่ที ำใหล้ ะเมดิ ข้อห้าม (M)
สนาม เธอเพลดิ เพลนิ กับการเลน่ อย่างสนุกสนาน
ตวั โกงไดร้ ับขอ้ มลู ของตวั เอก (ζ¹)

ระหว่างน้นั มีหงส์ – ห่านบนิ มาจบั ตัวเดก็ ชายตวั น้อยไปด้วยปีกอนั ตัวโกงลักพาตวั เอก (A1)
แข็งแรง

เมือ่ เด็กสาวกลับมาถงึ และมองหานอ้ งชาย เธอก็พบว่าน้องชายของ ความโชคร้ายในรปู แบบต่าง ๆ (B4)
เธอไมไ่ ดอ้ ยทู่ น่ี ั่นเสยี แล้ว

เธอรีบวงิ่ ไปทางโนน้ ที ทางนท้ี ี ดว้ ยความเหนือ่ ยหอบ แต่กไ็ มพ่ บ รายละเอียดของการซ้ำ 3 หน
น้องชายของเธอเลย เธอตะโกนนำ้ ตาไหลอาบแก้มและร้องครวญ
ครางเหมือนว่ามีใครมาทำร้ายพรากเธอไปจากพ่อแม่ แต่กไ็ ม่มเี สียง
ตอบ

เธอว่งิ ไปทที่ ุง่ กวา้ ง ตัวเอกยนิ ยอมทีจ่ ะออกไปเสาะหา (C)
ตัวเอกออกเดินทางจากบา้ น ()
หงส์ – หา่ นบินไปอย่างรวดเร็วและหายไปในปา่ มดื หงส์ – หา่ นมี ความโชคร้าย
ชอ่ื เรอื่ งความชัว่ รา้ ยมายาวนาน เพราะไดท้ ำความเสียหายไวม้ าก
อกี ทั้งยงั ชอบขโมยเด็ก เดก็ สาวเดาว่าพวกหงส์ – หา่ นคงจะพา
นอ้ งชายเธอไป และเธอก็ต้งั ใจวา่ จะไลจ่ บั มนั ใหท้ ัน

เธอวงิ่ และวิง่ จนกระท่ังมาพบเตาอบอันหน่งึ การปรากฏตัวของผู้ทดสอบโดยบงั เอิญ
บทสนทนาของผู้ทดสอบและผถู้ ูกทดสอบ
“เตาจ๋า, เตาจา๋ ช่วยบอกฉนั ทีห่านบินไปทไ่ี หน” “ถ้าเธอกินเค้ก
ขา้ วไรยฉ์ ันกจ็ ะบอกเธอ”
ฉนั ไมก่ ินเคก้ ทที่ ำจากข้าวสาลที ปี่ ลูกในบ้านของพอ่ ฉันหรอก”

135

โครงเร่อื งหงส์ - หา่ น แทนคา่ พฤตกิ รรม

หลังจากน้นั เด็กสาวกว็ ิ่งไปพบกบั ตน้ แอปเปิลและแม่นำ้ ได้ขอร้อง คำตอบที่เป็นการปฏิเสธ

ใหต้ น้ แอปเปลิ และแมน่ ำ้ ช่วย แตก่ ไ็ ด้รบั คำตอบอยา่ งเดยี วกัน

เธอวงิ่ ผ่านทุ่งนาและคงจะวงิ่ เตลดิ ไปในปา่ อยา่ งไรจ้ ดุ หมายถ้าเธอ ได้พบกบั ผ้วู เิ ศษ ผอู้ าสาช่วยเหลอื (F96)
ไม่โชคดที ไ่ี ด้พบกบั เม่นเสยี กอ่ น

เธออยากกระท้งุ เมน่ เบาๆ แต่ก็กลวั วา่ จะถูกขนของเมน่ ทม่ิ ผู้วิเศษมาชว่ ยเหลือโดยปราศจากการรอ้ งขอ (D7)
ให้ความชว่ ยเหลอื (E7)

“เมน่ น้อยจ๋า เม่นน้อยจ๋า” เธอร้องถาม “เธอไม่เห็นใชไ่ หมว่าห่าน บทสนทนา
บนิ ไปทางไหน”
“ไกลออกไปทางโนน้ ” เมน่ ชี้

เดก็ สาววง่ิ ออกไปตามทิศทางท่เี มน่ ชี้และพบกระท่อมแหง่ หนึง่ เสา ผู้วิเศษไดใ้ หค้ วามช่วยเหลอื เมอ่ื ไดร้ ับการรอ้ งขอ
(F9)
ทำด้วยขาห่าน มนั กำลังยืนและหมุนไปรอบ ๆ ตัวเอกไปตามเสน้ ทางทถี่ กู ชักนำ (G4)

ในกระทอ่ มนน้ั Baba Jaga นงั่ อยู่ ใบหน้าซบู ซีด ขาเปอื้ นดิน ท่พี ักของผ้รู ้าย
ลกั ษณะทางกายภาพของตวั โกง

มนี อ้ งชายของเธอน่ังอยู่บนม้าน่ังตัวเลก็ ๆ ดว้ ย การปรากฏตวั ของตวั ละครทถ่ี ูกตามหา

และเขากำลงั เลน่ แอปเปิลสีทอง ทองคอื คุณสมบัตหิ น่งึ หรือรายละเอยี ดโดยทัว่ ไป
ของตวั ละครท่ีถูกตามหา

เดก็ หญิงเหน็ นอ้ งชายและยอ่ งไปคว้าตวั นอ้ งชายและพาเขาออกไป ได้รบั การชว่ ยเหลอื โดยการใช้พละกำลังหรอื ด้วย
ทนั ที เลห่ เ์ หลยี่ ม (K1)

และหา่ นก็บินไลต่ ามเธอมา เจ้าปศี าจจู่โจมจะจับพวกเขา เดก็ สาว การเหาะไปในอากาศ (Pr1)
และนอ้ ยชายจะไปซ่อนทไ่ี หนดี

มีการทดสอบอกี 3 ครงั้ คือเดก็ สาวไปขอร้องแม่น้ำ แอปเปิล หลบหนไี ปได้ในขณะที่ตอ่ สู้ (Rs4)
และเตาอบใหช้ ว่ ย คราวน้ที ั้งแม่นำ้ แอปเปิลและเตาอบช่วยเหลอื
ใหท้ ่ีซอ่ นกับเดก็ สาวและนอ้ งชาย นิทานเรอ่ื งนีจ้ บลงทเ่ี ดก็ ทัง้ สอง
กลับถงึ บา้ นโดยปลอดภยั

พรอพพ์ได้นำพฤติกรรมท้ังหมดของนิทานเรอ่ื งหงส์ – ห่าน มาเรียงต่อกันดังนี้
[D E1]

γ¹ β¹ δ¹ A1 C  G4 K1  [Pr1 D1 E1 F9 = Rs4]3

d7 E7 F9

136

สรุปสตู รโครงสรา้ งนทิ านมหัศจรรย์ของรัสเซยี
จากการวิเคราะห์เปรียบเทยี บลำดบั พฤติกรรมของนิทานมหัศจรรย์ของรสั เซยี สรปุ โครงสร้างได้ 4 ประเภท
คือ

1. ถา้ นทิ านเร่ืองใดมแี ต่เร่ืองการต่อสู้และการได้รับชัยชนะของตวั เอก (H - I) โครงสรา้ งของ
นิทานจะเป็นดงั น้ี

A B C  D E F G H J I K  Pr Rs L Q Ex T U W*

2. ถ้านทิ านเร่ืองใดมีแตเ่ ร่ืองการทดสอบความสามารถ (M - N) โครงสร้างนทิ านจะเป็นดงั นี้
A B C  D E F G L M J N K  Pr Rs L Q Ex T U W*

3. ถา้ นทิ านเรื่องใดมเี รอ่ื งการต่อสู้ (H - I) และการทดสอบความสามารถ (M - N) โครงสรา้ ง
นิทานจะเป็นดังนี้

A B C  F H-I K  L M-N Q Ex T U W*

4. ถา้ นิทานเร่ืองใดไม่มีการต่อสู้และการทดสอบ โครงสร้างนิทานจะเป็นดังน้ี
A B C  D E F G K  Pr Rs L Q Ex T U W*

เมอื่ นำลำดบั พฤติกรรมท้ัง 4 ประเภทมารวมกันจะไดส้ ตู รโครงสร้างหลักของนิทานรสั เซียดงั นี้

H J I K  Pr Rs L

ABCDEFC Q Ex T U W*

L M J N K  Pr-Rs

วิธีการอ่านสูตรโครงสรา้ งนิทานมหัศจรรย์ของรสั เซยี จดุ สำคญั ของนิทานจะเริ่มต้ังแต่การปรากฏ
ของพฤติกรรมตัวโกง ซึ่งนำไปสู่ความโชคร้ายของตัวเอก ทำให้ตัวเอกเดินทางออกจากเมือง ต่อมาตัวเอก

พบผูช้ ว่ ยเหลอื และมกั ไดร้ ับของวิเศษ จากนัน้ ถ้านทิ านเร่ืองใดมีการต่อสู้ระหวา่ งตัวเอกกบั ตวั โกง เร่ืองจะ
ดำเนนิ ไปตามโครงสรา้ งด้านบน (H J I K  Pr Rs L) แตถ่ ้านทิ านเร่ืองใดตัวเอกถกู ทดสอบความสามารถ
เรื่องจะดำเนินไปตามโครงสรา้ งด้านล่าง (L M J N K  Pr-Rs) ถ้านิทานเรื่องใดมีทั้ง H – I และ M – N

เรื่องก็จะดำเนนิ ตามโครงสร้างด้านบนก่อนแลว้ ต่อด้วยโครงสร้างด้านลา่ ง (พฤติกรรมการต่อสูจ้ ะเกิดกอ่ น

พฤติกรรมการทดสอบความสามารถ) จากนั้นจึงตามด้วยเหตุการณ์ท่อนจบ คือ ตัวโกงอาจปลอมเป็น
ตัวเอก ตัวโกงในโฉมหน้าของตัวเอกจะถูกลงโทษ และท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการแต่งงานและการขึ้นครอง

บัลลังก์ (Q Ex T U W*) แตถ่ า้ นิทานเรือ่ งใดไม่มีทงั้ H – I และ M – N นทิ านเร่ืองน้ันก็จะข้ามไปทอ่ นตอน

จบเลย (ศิราพร ณ ถลาง, 2557, หน้า 37)
พรอพพ์พบว่านิทานมหัศจรรย์ของรัสเซียทัง้ 100 เรื่องจะดำเนินเร่ืองวนเวียนตามสูตรโครงสร้าง

นี้ ทั้งนี้นิทานแต่ละเรื่องไม่จำเป็นต้องมีจำนวนพฤติกรรมครบตามที่ระบุไว้ในสูตรโครงสร้าง การค้นพบ

สูตรโครงสร้างของนิทานมหัศจรรย์ของรัสเซียน้ี ทำให้พรอพพ์สรุปว่า All fairy tales are of one type
in regard to their structure นิทานมหัศจรรย์ท้ังหมดมโี ครงสรา้ งอันเดยี วกัน

ส่วนนิทานพื้นบ้านไทยนั้นมีผู้สนใจนำมาศึกษาตามแนวทฤษฎีโครงสร้างนิทานนี้เหมือนกัน เช่น

การศึกษาวรรณกรรมนิทานไทย ตามทฤษฎีโครงสร้างของวลาดิมีร์ พรอพพ์ ของ พิชญาณี เชิงคีรี และ

137

การวิเคราะห์โครงสร้างนิทานพื้นบ้านไทยมุสลิมภาคใต้ตามทฤษฎีโครงสร้างนิทานของวลาดิมีร์ พรอพพ์
ของ กติ สุรางค์ กาฬสวุ รรณ เป็นตน้

5. บทบาทหนา้ ท่ี (Functionalism Theory)

วิธีวิทยาและทฤษฎีต่าง ๆ ที่ใช้วิเคราะห์นิทานพื้นบ้านส่วนใหญ่เน้นวิเคราะห์ตัวบท แต่ทฤษฎี
บทบาทหน้าที่ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนามาทางสายมานุษยวิทยาเป็นการวิเคราะห์ให้เห็นบทบาทของนิทาน
พื้นบ้านในบริบททางสังคม เพราะทฤษฎีบทบาทหน้าที่นิยม (Functionalism) หรือทฤษฎีโครงสร้าง
หน้าที่ (Structural – Functionalism) มองว่าวัฒนธรรมส่วนต่าง ๆ ในสังคมมีหน้าที่ตอบสนองความ
ตอ้ งการของมนุษย์ทง้ั ดา้ นปจั จัยพืน้ ฐาน ด้านความมนั่ คงของสงั คม และความมั่นคงทางด้านจิตใจ (ศิราพร
ณ ถลาง, 2548, หน้า 317)

ศิราพร ณ ถลาง (2548, หน้า 318) กล่าวถึงความเป็นมาของทฤษฎีบทบาทหน้าที่ของคติชนว่า
นักวิชาการคนสำคัญในสำนักคิดน้ีคือ มาลินอฟสกี้ (Bronislaw Malinowski) ซึ่งเป็นผู้กล่าวประโยค
สำคัญท่ีสะท้อนแนวคิดในสำนักน้ีว่า “ตวั บท (ของเรือ่ งเล่า) เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก แต่ถ้าปราศจากบริบท
ตัวบทนั้นก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต” และ “เรื่องเล่าทั้งหลายมีชีวิตอยู่ในสังคมของชาวบ้าน ไม่ได้มีชีวิตอยู่
บนกระดาษ” นอกจากน้ีมาลินอฟสก้ีไดย้ กตัวอย่างให้เห็นวา่ เร่ืองเล่าประเภทต่าง ๆ ในสงั คมชาวเกาะโทร
เบรียนด์ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่เกาะมาเลนีเซีย ทะเลใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกมีบทบาทต่างกันและใช้เล่าใน
กาลเทศะที่ต่างกัน เช่น พวกเขาจะเล่านิทานมหัศจรรย์ตอนเก็บเก่ียวพืชผล (เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จ
ของพืชผล) และตอนจับปลา (เพื่อหวังว่าเวทย์มนต์คาถาในนิทานจะช่วยใหเ้ กิดเหตุอัศจรรย์ให้จบั ปลาได)้
ส่วนตำนานปรัมปราใช้เล่าเม่ือมีการประกอบพิธีกรรมเพราะถือว่าเป็นเรือ่ งเล่าศักดิ์สิทธิท์ ี่อธบิ ายท่ีมาของ
การประกอบพิธกี รรมนนั้ ๆ หรือใชป้ ระกอบการแสดงในพธิ ีกรรม

นักคิดของสำนักนี้ที่สำคัญอีกคนหนึ่งคือวิลเลียม บาสคอม (William Bascom) เขาได้นำเสนอ
บทความเรื่อง Four Functions of Folklore ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเราควรให้ความสนใจกับบริบททางสังคมของ
คติชน บาสคอมเห็นด้วยกบั มาลินอฟสก้ีท่ีกล่าวว่าเราควรสนใจว่าเรื่องเล่าแต่ละประเภทในแต่ละสังคมใช้
เล่าเมื่อไร ที่ใด ในโอกาสใด และเราควรสนใจด้วยว่าใครเป็นผู้เล่า มีกลวิธีในการเล่าอย่างไร ใช้สีหน้า ใช้
มือประกอบอย่างไร ผู้ฟังนิทานเป็นใคร มีส่วนร่วมอย่างไรในขณะที่ฟัง ผู้ฟังหัวเราะบ้างหรือไม่ หัวเราะ
ตอนไหนของเร่ือง ปรบมอื ตอนไหน ลกุ ขึน้ มาร้องเพลงหรือเต้นรำหรือไม่ อยา่ งไร ทัศนคติที่ผู้ฟังมีต่อเรื่อง
เล่าแต่ละประเภทเปน็ อย่างไร เป็นตน้ เหลา่ น้ีเปน็ คำถามทส่ี ะท้อนความสนใจเก่ยี วกบั การศึกษาบริบททาง
สังคมของเรื่องเล่าหรือการเล่านิทานในสังคมต่าง ๆ นอกจากนี้บาสคอมได้จำแนกหน้าที่ของคติชนใน
ภาพรวมไว้ 4 ประการ ไดแ้ ก่

1) ใช้อธิบายท่ีมาและเหตผุ ลในการทำพธิ ีกรรม
2) ทำหน้าทีใ่ ห้การศึกษาในสังคมทีใ่ ช้ประเพณีบอกเล่า
3) รักษามาตรฐานทางพฤติกรรมท่เี ปน็ แบบแผนทางสงั คม
4) ให้ความเพลดิ เพลนิ และเป็นทางออกใหก้ บั ความคับข้องใจของบคุ คล

138

ต่อมาศิราพร ณ ถลาง (2548, หน้า 320 – 321) ได้นำแนวคิดทั้ง 4 ประการของบาสคอมมา
ประยกุ ตค์ ดิ และนำเสนอบทบาทหน้าทข่ี องคตชิ นเป็น 3 ประการใหญ่ ๆ คือ

1) บทบาทคตชิ นในการอธบิ ายกำเนิดและอตั ลกั ษณ์ของกลุม่ ชนและพิธกี รรม
2) บทบาทคติชนในการให้การศึกษา อบรมระเบียบสังคม และรักษามาตรฐานพฤติกรรมของ
สังคม
3) บทบาทคติชนในการเป็นทางออกให้กับความคับข้องใจของบุคคลอันเกิดจากกฎเกณฑ์ทาง
สังคม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีบทบาทหน้าที่ของคติชนมาศึกษาบทบาทหน้าที่ของนิทานพื้นบ้าน เช่น
วิทยานิพนธ์เรื่องวรรณกรรมไทพวน : ความสัมพันธ์กับสังคม ของ ภาณุพงศ์ อุดมศิลป์ (2538) เป็น
การศึกษานิทานพื้นบ้านโดยอาศัยแนวคิดเรื่องบทบาทหน้าที่ของคติชน ผลการศึกษาพบว่าวรรณกรรม
นทิ านไทพวนมีหน้าท่ี 5 ประการ ดงั น้ี
1) วรรณกรรมนทิ านไทพวนให้ความบันเทิงแก่ผู้ฟงั ในงานประเพณแี ละพธิ กี รรมตา่ ง ๆ
2) วรรณกรรมนิทานไทพวนช่วยใหก้ ารศกึ ษาและปลูกฝังค่านยิ มดา้ นตา่ ง ๆ แกค่ นในสังคม
3) วรรณกรรมนิทานไทพวนช่วยเสรมิ วัฒนธรรมใหส้ มบูรณแ์ ละเข้มแขง็ ยงิ่ ขน้ึ
4) วรรณกรรมนทิ านไทพวนช่วยรักษาแบบแผนของสังคม
5) วรรณกรรมนิทานไทพวนช่วยสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวติ
ของชาวไทพวนตง้ั แตอ่ ดตี มาจนถงึ ปจั จบุ ัน

6. ทฤษฎีคตชิ นสร้างสรรค์ (creative folklore)

ทฤษฎีคตชิ นสร้างสรรคเ์ ปน็ ทฤษฎีท่ีศิราพร ณ ถลาง คิดข้ึนโดยการได้แรงบันดาลใจจาก “ทฤษฎี
จากแผ่นดินแม่” ของศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระ ที่แสดงความคิดเห็นว่าวงวิชาการของไทยควรจะ
สามารถสร้างทฤษฎีได้โดยไม่ต้องหยิบยืมจากแหล่งอื่น (เจตนา นาควัชระ, 2547, หน้า 104) ดังนั้น
วงวชิ าการไทยจึงควรสร้างทฤษฎีอันมีที่มาจากขุมทรัพย์ทางปัญญาของไทยเอง (เจตนา นาควชั ระ, 2555,
หน้า 174) ดว้ ยเหตนุ ศี้ ริ าพร ณ ถลาง จึงคิดโครงการวจิ ยั คตชิ นสรา้ งสรรค์ โดยใชข้ ้อมูลจากแผน่ ดินแม่ คือ
แผ่นดินไทย มาอธิบายปรากฏการณ์หรือวิธีการสร้างสรรค์คติชนในบริบทใหม่ ๆ และอธิบายวิธีคิดของ
คนไทยซ่งึ เป็นวธิ ีคิดแบบไทย ๆ ทีม่ ลี ักษณะเฉพาะ (ศริ าพร ณ ถลาง, 2559, หนา้ 120)

สมมตฐิ านของทฤษฎคี ติชนสรา้ งสรรค์
คติชนสร้างสรรค์ในสังคมไทยร่วมสมัยเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นการนำคติชนในสังคม
ประเพณมี าปรบั ใชด้ ้วยวัตถุประสงค์ใหม่ ๆ ในบริบทสังคมโลกาภิวัตน์ เศรษฐกจิ สร้างสรรค์ การท่องเที่ยว
และบริบทสังคมข้ามพรมแดน ปรากฏการณ์คติชนสร้างสรรค์ในลักษณะใหม่ ๆ นี้เป็นผลจากการปรับใช้
คติชนอันเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไทยที่มีอยู่เดิม ผนวกกับวิธีคิดในการผลิตซ้ำ ประยุกต์
ผสมผสานสร้างใหม่ หรือสร้างความหมายใหม่ในบริบทใหม่ ทำให้คติชนที่สืบทอดมาในสังคมประเพณีมี
พลวัตทตี่ ้องอธิบายดว้ ยบรบิ ทใหมใ่ นสงั คมปัจจุบนั
คติชนสร้างสรรคใ์ นลกั ษณะใหม่ ๆ หมายถึง คติชนที่มีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ ๆ หรือเนื้อหา
ใหม่ ๆ ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคใ์ หม่ ๆ (ศิราพร ณ ถลาง, 2559, หนา้ 121)

139

แนวคดิ เกี่ยวกับคติชนสรา้ งสรรค์ (creative folklore)
คำว่า “คติชนสร้างสรรค์” เป็นคำศัพท์ที่ศิราพร ณ ถลาง ประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพื่อล้อกับคำว่า
“เศรษฐกิจสร้างสรรค์” (creative economy) ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ใหม่เชิงนโยบายเศรษฐกิจระดับโลก
และระดับประเทศตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 โดยอาศัยแนวคิดเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการสร้างมูลค่าเพ่ิม
โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมซึ่งหมายรวมถึงการนำเอาระบบคุณค่า ระบบความเชื่อ และคติชนที่มี
อย่เู ดมิ ในสงั คมประเพณีมาสร้างสรรค์ใหม่ในสงั คมปัจจุบนั แตก่ ารใช้คำวา่ “คตชิ นสร้างสรรค์” มิได้ใชต้ าม
นัยของแนวคิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างเคร่งครัด หากแต่เป็นการใช้คำนี้อย่างกว้าง ๆ หลวม ๆ
ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับหลายแนวคิด เช่น พลวัตของคติชน การสืบทอดคติชนที่มีการปรับเปลี่ยนไป
ตามยคุ สมยั หรอื มกี ารผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม การผสมผสานทางวัฒนธรรม ปรากฏการณ์วฒั นธรรมประชา
นิยม การสร้างสรรค์คติชนสมัยใหม่ในสื่อสมัยใหม่ กล่าวสรุปได้ว่าแนวคิด “คติชนสร้างสรรค์” หมายถึง
คติชนท่ีมีการสร้างใหม่หรือผลิตซ้ำในบริบททางสังคมไทยปัจจุบันในลักษณะของการสืบทอดคติชนใน
บริบทใหม่ การประยุกต์คติชน การต่อยอดคติชน การตีความใหม่และสร้างความหมายใหม่ หรือการนำ
คติชนไปใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหรือสร้างอัตลักษณ์ของท้องถิ่นหรืออัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ศิราพร ณ ถลาง,
2559, หนา้ 18 – 19)
นิทานพื้นบ้านนับเป็นคติชนประเภทถ้อยคำอย่างหนึ่งซึ่งในบริบททุนนิยมและเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ในสังคมไทยปัจจุบันได้มีการนำนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องเล่าพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ใน
หลากหลายวงการ เช่น ในวงการพุทธพาณิชย์ วงการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น วงการการท่องเที่ยว (ศิราพร ณ
ถลาง, 2559, หน้า 74) ดังจะเห็นได้จากการศึกษาของสุกัญญา สุจฉายา (2559, หน้า 75) ในชุด
โครงการวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้คติชนในการสร้างสรรค์วัตถุมงคลในสังคมไทยปัจจุบัน พบว่า นิทาน
พืน้ บา้ นหลายเร่ืองถูกนำไปเช่ือมโยงในการสร้างวัตถุมงคล เชน่ เรือ่ งรามเกยี รต์ิ ขุนช้างขนุ แผน เวสสันดร
สังข์ทอง พระสุธน - นางมโนห์รา แก้วหน้าม้า จันทโครบ แมงสี่หูห้าตา พญาควายคำ กบกินเดือน แม่
โพสพ นางกวกั เมขลา - รามสรู เป็นต้น
งานวิจัยของอภิลักษณ์ เกษมผลกูล (2559, หน้า 74) เรื่องการประยุกต์เรื่องเล่าพื้นบ้านในการ
สร้างมลู คา่ เพม่ิ ใหผ้ ลิตภณั ฑท์ ้องถิน่ และการท่องเท่ยี วในภาคกลาง ก็พบวา่ มกี ารนำนิทานพนื้ บ้านและเรื่อง
เล่าพื้นบ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ OTOP ในท้องถิ่น ทำให้นักท่องเที่ยวอยาก
ซื้อและรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ มีคุณค่าและความหมายทางสังคมวัฒนธรรมเพราะถูกเพิ่มคุณค่าด้วย
เรื่องราว ประวัติที่มา ความหมาย และหน้าที่ในชุมชนท้องถิ่น เช่น เรื่องรามเกียรต์ิหรือนทิ านพระรามถูก
นำไปเชื่อมโยงกับดินสอพองที่จังหวัดลพบุรี นิทานขุนช้างขุนแผนถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยว
ผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพร สุราพื้นบ้าน ชาละวันถูกนำไปเช่ือมโยงกบั ชื่อผลติ ภัณฑ์ชานมไข่มุก พิซซ่าชาละวนั
พระรถ-เมรีถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถานที่ต่าง ๆ ในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี สุราขาวเมืองพระรถ
น้ำปลาตราพระรถ แม่นากพระโขนงถูกนำไปเชื่อมโยงกับสถานท่ี ห่อหมกแม่นาก พญากง-พญาพานกับ
ตำนานการสร้างพระปฐมเจดีย์ น้ำพริกปลาย่างสุพรรณมัจฉา สุราแช่หนุมานลงโอ่ง น้ำมันเหลืองตรา
หนุมาน ขา้ วอนิ ทรียต์ ราเวสสนั ตระ เป็นตน้

140

ส่วนในวงการวรรณกรรมเด็กก็มีการนำนิทานพื้นบ้านไทยมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ส่ือ
วรรณกรรมสาระบันเทิงสำหรับเด็กทั้งในรูปแบบสื่อโสตทัศน์ สื่อวีดิทัศน์ สื่อมัลติมีเดีย สื่อสิ่งพิมพ์ทั้ง
หนงั สือการ์ตูน หนงั สือภาพ ท้งั ทีเ่ ปน็ หนังสือภาษาไทยและหนังสือทวภิ าษา ดังจะเหน็ ได้จากงานวิจัยของ
ศิริพร ภักดีผาสุก (2559, หน้า 76 – 77) ในโครงการวิจัยเรื่องนิทานในสื่อสาระบันเทิงภาษาไทย : การ
วเิ คราะห์พลวตั และการผสมผสานวฒั นธรรม ซึง่ พบวา่ นิทานพื้นบ้านไทยหลายเร่ืองถกู นำไปเป็นวัตถุดิบใน
การทำหนังสือนิทานแนว edutainment หรือหนังสือนิทานแนวสาระบันเทิงสมัยใหม่ เช่น แก้วหน้าม้า
พระสุธน-มโนห์รา นางสิบสอง ปลาบู่ทอง พิกุลทอง โสนน้อยเรือนงาม ศรีธนญชัย ยายกับตา ขวานฟ้า
หน้าดำ พญากาเผือก เป็นต้น โดยนำเนื้อหานิทานมาประสมประสานสอนความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ท้ัง
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สอนภาษา สอนธรรมะ คุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ ทั้งที่เป็นหนังสือภาษาไทย
และหนังสือทวิภาษาซึ่งผู้เสพมักเป็นคนมีการศึกษาหรือคนมีฐานะหรือชนชั้นกลางในเมือง กล่าวได้ว่า
นิทานพื้นบ้านไทยมีพลวัตพัฒนาไปสู่โลกของสื่อวรรณกรรมเด็กสมัยใหม่ นับว่าเลื่อนระดับจากพื้นบ้าน
พนื้ เมอื งไปส่รู ะดับชาติและระดับนานาชาติ

เป็นที่น่าสังเกตว่านิทานพื้นบา้ นไทยที่นยิ มนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าโอท็อป วัตถุมงคล หรือ
หนังสือนิทานสาระบันเทิงสำหรับเด็กมากที่สุด คือ เวสสันดรชาดกและรามเกียรติ์ รองลงมาคือขุนช้าง
ขุนแผน สงั ขท์ อง พระสธุ น-นางมโนหร์ า แกว้ หน้าม้า ไกรทอง (ศิราพร ณ ถลาง, 2559, หนา้ 77)

นอกจากนี้ยังมีการนำนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องเล่าพื้นบ้านมาปรับประยุกต์ใช้ในบริบทการ
ท่องเทย่ี วไทยปจั จบุ นั เชน่ สโุ ขทยั – เมอื งพระรว่ ง อุตรดิตถ์ - เมืองลบั แล (ตำนานเมอื งแมห่ มา้ ย) พจิ ิตร -
เมอื งชาละวนั (ตำนานชาละวนั /ไกรทอง) ลพบรุ ี – เมืองหนุมาน กาญจนบรุ ี – เมืองขนุ แผน สุพรรณบุรี –
เมอื งขุนแผนอีกด้วย

วิธคี ิดในการนำนิทานพืน้ บา้ นไทยมาปรับใช้ในสังคมไทย

วธิ คี ดิ ของคนไทยในการนำนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องเลา่ พนื้ บ้านมาผลติ ซ้ำ ประยุกต์ สรา้ งใหม่ หรือ
สร้างความหมายใหม่ในบริบทใหม่เพือ่ ปรบั ใช้นั้น เป็นการใช้ทัง้ ชื่อเร่ืองนทิ าน ชื่อตัวละคร พฤติกรรมของ
ตัวละคร ใชอ้ นภุ าคในนิทานและยังมีการต่อยอดจากนิทานโดยการสร้างความเช่ือและพิธีกรรมในการบูชา
ตัวละครและของวิเศษในนทิ าน ใช้บางตอนในนิทาน และใช้นิทานทั้งเรือ่ ง (ศิราพร ณ ถลาง, 2562, หน้า
132 - 137) เชน่

1) ใช้ชื่อเรื่องนิทาน ชื่อตัวละครที่คนไทยรู้จักดี เป็นการนำชื่อเรื่องนิทาน ชื่อตัวละครสำคัญจาก
นิทานมาตงั้ ชื่อสินคา้ ทำใหส้ นิ คา้ นัน้ มคี ณุ ค่ามากข้นึ เช่น ชาขนุ ช้าง ทำให้รูส้ ึกวา่ เป็นชาไฮโซ สาโทขุนแผน
ทำให้รู้สึกว่ากินสาโทนี้แล้วจะมีเสน่ห์เหมือนขุนแผน ข้าวเวสสันตระทำให้รู้สึกว่าเป็นข้าวที่ดี บริสุทธิ์ กิน
แล้วเหมอื นเป็นผ้มู ีบญุ เช่นพระเวสสันดร หรอื กินแลว้ จะมีบญุ บารมขี องพระเวสสนั ดรคุ้มครอง

2) ใช้อนุภาคในนิทาน เป็นการใช้อนุภาคในนิทานที่มีลักษณะเด่นเป็นที่รู้จักเพื่อวัตถุประสงค์
ต่าง ๆ เช่น นำอนุภาคตัวละครและอนุภาคความวิเศษของเจ้าเงาะมาเชื่อมโยงสร้างสรรค์เป็นรูปปั้นเจ้า
เงาะที่อยู่หน้าร้านค้าหรือร้านอาหาร เพราะเจ้าเงาะเป็นผู้มีความสามารถใสการเหาะเหินเดินอากาศ มี
มนตเ์ รยี กเน้ือเรียกปลา จึงใชร้ ปู ปนั้ เจ้าเงาะต้งั ไวห้ นา้ ร้านเพอื่ เรียกลกู คา้ เปน็ ตน้

141

3) สร้างความเชื่อและพิธีกรรมเพ่ิมในการบชู าตัวละครและของวเิ ศษในนิทาน เป็นการนำความรู้
เก่ยี วกบั ตวั ละครและของวเิ ศษในนิทานมาสร้างความเชื่อและสร้างพิธีกรรมเพ่ิมเติมเพื่อการบชู าเคร่ืองราง
วัตถุมงคลที่เป็นตัวละครหรอื ของวิเศษในนิทาน เช่น รูปชูชก ในการซื้อขายมีคำแนะนำคาถาบูชา โดยให้
ต้ังนะโม 3 จบแลว้ ว่าคาถา “โส ชูชะโก ทะทาสสิ ิ” หรอื “อติ สคุ ะโต ชะนาสุโภ ชูชะโก สตุ ะโต อติ ิ” หรือ
สรา้ งความเช่อื ว่า “ถ้าบชู าเคร่อื งรางชูชก จะไมม่ วี ันอดตาย ไม่มวี นั จน” หรือ “บูชาชูชก ขอเงนิ ได้เงิน ขอ
ทองไดท้ อง ขออะไรกไ็ ด้อยา่ งน้ัน” หรอื “ถา้ บูชาชชู กแลว้ ไปขอเงนิ กู้ จะผา่ นสบาย” เป็นตน้

4) ใช้บางตอนในนิทาน เป็นการนำเหตุการณ์บางตอนในนิทานมาใช้ในบริบทใหม่เพ่ือ
วัตถปุ ระสงค์ทางเศรษฐกิจการค้า เช่น ดินสอพองท่ีทะเลชุบศร จังหวดั ลพบุรี ทีอ่ ้างวา่ พระรามแผลงศรมา
ตกท่ลี พบรุ ีเพ่ือสร้างเมืองให้หนมุ าน แลว้ อธบิ ายว่าดินสอพองทน่ี ่ีมีคุณสมบัติพเิ ศษเพราะศรพระรามทำให้
แผ่นดินร้อนสกุ พองเป็นสีขาว ดนิ สอพองท่นี ่ีจึงมีคุณสมบัติไม่เหมือนดนิ ท่ีอน่ื เปน็ ตน้

5) ใชน้ ทิ านทงั้ เรอ่ื ง เป็นการใช้นทิ านพ้ืนบา้ นไทยในการสอนภาษาหรือสอนธรรมะ สอนจริยธรรม
ในนิทานสื่อสาระบันเทิงสมัยใหม่ โดยมักมีการเพิ่มเนื้อหาประเภทอื่นลงไปด้วย เช่น เพ่ิมเนื้อหาที่ให้
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา หรือทำเป็นหนังสือทวิภาษา นำเนื้อหานิทานไปใชส้ อน
ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เป็นตน้

การนำทฤษฎีคติชนสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษานิทานพื้นบ้านไทยนับได้ว่าเป็นวิธี
การศึกษาหนงึ่ ท่ีทำให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของนิทานพืน้ บ้านในฐานะ “ทนุ ทางวัฒนธรรม” อย่างเป็น
รปู ธรรม สอดคลอ้ งกับบริบทสงั คมที่เปล่ยี นแปลงไปไดอ้ ยา่ งดี

จะเหน็ ไดว้ า่ การนำวิธวี ิทยาและทฤษฎีต่าง ๆ มาใช้ศึกษานทิ านพ้ืนบ้านไทยจะทำให้ได้องค์ความรู้
ใหม่ที่หลากหลาย เป็นประโยชน์ และทำให้เห็นคุณค่าของนิทานพื้นบ้านไทยท่ีหลากหลายมากยิ่งขึ้น อีก
ทง้ั ยังเปน็ ส่วนหน่ึงในการสบื ทอดนิทานพ้นื บ้านไทยใหค้ งอยู่ในสงั คมที่มีการเปลย่ี นแปลงต่อไป

แบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 5
จงตอบคำถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้องพรอ้ มยกตัวอย่างให้ชัดเจน

1. ทฤษฎอี นภุ าคนิทานคอื อะไร
2. ทฤษฎแี บบเร่อื งนทิ านคอื อะไร
3. ทฤษฎีการแพรก่ ระจายของนิทานคืออะไร
4. ทฤษฎโี ครงสร้างนิทานคอื อะไร
5. ทฤษฎีบทบาทหน้าท่ขี องนิทานคืออะไร
6. ทฤษฎีคติชนสร้างสรรค์คอื อะไร
7. จงเลือกนิทานพ้นื บ้านไทยทีน่ ิสติ สนใจแล้วนำมาศกึ ษาวเิ คราะห์โดยใช้แนวคดิ และทฤษฎีต่าง ๆ
ทศ่ี กึ ษาไปมาใช้ในการวิเคราะห์

142

บรรณานกุ รม

ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์. (2543). นิทานพื้นบ้านศึกษา. กรงุ เทพฯ : ศูนยค์ ติชนวิทยาและโครงการตำรา
คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ปรยี ารัตน์ เชาวลิตประพนั ธ์. (2547). การสมพาสทีผ่ ดิ ธรรมชาตใิ นนิทานไทย : การศึกษาอนภุ าคทางคตชิ น
วิทยา. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาอกั ษรศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

ภาณุพงศ์ อดุ มศลิ ป.์ (2538). วรรณกรรมไทพวน : ความสมั พันธก์ บั สังคม. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาอกั ษรศาสตร
มหาบณั ฑติ , สาขาวชิ าภาษาไทย, บณั ฑติ วทิ ยาลยั , จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.

วรรณี วิบลู ย์สวสั ด์ิ แอนเดอรส์ นั , บรรณาธิการ. (2531). พ้ืนถนิ่ พนื้ ฐาน : มิตใิ หม่ของคตชิ นวิทยาและ
วิถชี วี ิตสามญั ของพ้นื บา้ นพืน้ เมอื ง. กรงุ เทพฯ : ศลิ ปวัฒนธรรม.

วชั ราภรณ์ ดิษฐปา้ น. (2546). แบบเรอื่ งนทิ านสงั ขท์ อง : การแพรก่ ระจายและความหลายหลาก. กรงุ เทพฯ :
โครงการเผยแพรผ่ ลงานวชิ าการ ศูนยค์ ตชิ นวทิ ยาและภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศิราพร ฐิตะฐาน. (2523). ทฤษฎกี ารแพรก่ ระจายของนิทาน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
ศิราพร ณ ถลาง. (2548). ทฤษฎคี ตชิ นวิทยา : วิธวี ทิ ยาในการวิเคราะหต์ ำนาน - นทิ านพ้ืนบา้ น. กรุงเทพฯ

: โครงการเผยแพร่ผลงานทางวชิ าการ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
ศริ าพร ณ ถลาง, บรรณาธิการ. (2557). ไวยากรณข์ องนทิ าน : การศกึ ษานทิ านเชงิ โครงสร้าง. กรงุ เทพฯ :

โครงการเผยแพรผ่ ลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
ศิราพร ณ ถลาง. (2559). คติชนสร้างสรรค์ : บทวเิ คราะหแ์ ละทฤษฎี. กรงุ เทพฯ:ศนู ย์มานุษยวทิ ยาสริ ินธร

(องคก์ ารมหาชน).
สริตา ปัจจสุ านนท์ (2558). การสรา้ งสรรค์อนุภาคความวิเศษในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่อง เดอะไวทโ์ รด.

วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั บูรพา.
เสาวลักษณ์ อนนั ตศานต์. (2540). จากซนิ เดอเรลลาถงึ ปลาบทู่ อง. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
เสาวลกั ษณ์ อนันตศานต์. (2548). การศึกษานิทานพน้ื บ้าน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง.
เอือ้ นทพิ ย์ พีระเสถียร. (2529). การศึกษาเชิงวเิ คราะหแ์ บบเร่อื งและอนุภาคในปัญญาสชาดก.

วทิ ยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาภาษาไทย จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
Aarne, Aatti and Thompson, Stith. (1973). The Types of the Folktale A Classification and

Bibliography. Indiana University.
Propp, Vladimir. (1977). Morphology of the Folktale. Austin and London : University of

Texas Press.
Thompson, Stith. (1966). Motif – Index of Folk – Literature Vol.1 - 6 (Second printing).

Bloomington & London : Indiana University Press.
Wikipedia, the free encyclopedia. (2019). Vladimir Propp. On 5 March 2019, from

https://en.wikipedia.org/wiki/Vladimir_Propp

143

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. (2547). สธุ นูกลอนสวด. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2548). โสวัตกลอนสวด. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร.
กรมศลิ ปากร. (2548). นกกระจาบกลอนสวด. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.
กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม. (2559). วรรณกรรมพ้นื บ้าน : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ. กรุงเทพฯ

: กรมสง่ เสริมวฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม.
กระปุก. (2553). เฒ่าชูชก สดุ ยอดเครอ่ื งราง เจา้ แห่งการขอ. เขา้ ถึงเมือ่ 1 ตลุ าคม 2562, เข้าถึงจาก

https://hilight.kapook.com/view/45220
กลมุ่ พฒั นาดนิ สอพอง บา้ นหนิ สองก้อน. (2562). หมู่บา้ นดินสอพอง. เขา้ ถึงเม่ือ 1 ตุลาคม 2562,

เข้าถึงจาก https://fernlopburi.weebly.com
กัญญรตั น์ เวชชศาสตร์. (2559). นิทานตาม่องล่าย. ใน วรรณกรรมพืน้ บ้าน : มรดกภมู ปิ ญั ญาทาง

วฒั นธรรมของชาติ. กรงุ เทพฯ : กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม.
กิ่งแก้ว อัตถากร. (2519). นิทานพื้นเมือง ใน คติชนวิทยา เอกสารนิเทศการศึกษา ฉบับที่ 184. กรุงเทพฯ

: หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหัดคร.ู
กุสุมา รกั ษมณี. (2549). การวิเคราะห์วรรณคดไี ทยตามทฤษฎวี รรณคดสี นั สกฤต. กรุงเทพฯ : ภาควิชา

ภาษาตะวนั ออก คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
กุหลาบ มัลลกิ ะมาส (2516). คตชิ าวบา้ น. กรงุ เทพฯ : สว่ นท้องถ่ิน.
กุหลาบ มัลลิกะมาส. (2525). วรรณคดวี ิจารณ์. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคำแหง.
กหุ ลาบ มัลลกิ ะมาศ. (2543). นทิ านชาวบ้าน. วารสารสถาบนั วิจยั ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศรนี ครินทร

วโิ รฒ. 1(2) มกราคม - มิถุนายน : 5 – 12.
คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด. (2562). ภาพวาดวรรณกรรมพ้นื บา้ นยายกับตาปลกู ถว่ั ปลกู งา.

เขา้ ถึงเมอื่ 6 มนี าคม 2562, เข้าถึงจาก https://oer.learn.in.th/search_detail/result/62690
โครงการล้านนาคดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2562). ฐานขอ้ มลู นทิ านพ้ืนบา้ นลา้ นนา. เข้าถงึ เม่ือ 6 มถิ นุ ายน

2562, เข้าถงึ จาก http://lannakadee.cmu.ac.th/area1/story/index.php?pid=135
โครงการสารานุกรมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. (2550). สารานุกรม

ไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม 26. กรุงเทพฯ:
โครงการสารานุกรมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว.
เจอื สตะเวทิน. (2517). คตชิ าวบ้านไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์สทุ ธสิ ารการพมิ พ.์
ณัฐา คำ้ ชู. (2553). วิเคราะห์การสรา้ งสรรค์นิทานคำกาพย์. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาอักษรศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ
, สาขาวิชาภาษาไทย, บณั ฑติ วิทยาลัย, มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
ดวงมน จิตรจ์ ำนงค์. (2521). บทวิเคราะหล์ ลิ ิตพระลอในเชิงวรรณคดีวจิ ารณ์. ปตั ตานี : โครงการส่งเสริม
การแตง่ ตำรา มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปตั ตานี.
ตรศี ลิ ป์ บญุ ขจร. (2547). วรรณกรรมประเภทกลอนสวดภาคกลาง : การศึกษาเชงิ วิเคราะห์. กรุงเทพฯ :
สถาบนั ไทยศกึ ษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.


Click to View FlipBook Version