รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยีนรายวิชาชีววิทยา เร่อืง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบ หองเรียนกลับดานรวมกับสืบเสาะหาความรู (5E) จัดทำโดย นางสาวโชติกา สีกาวีรหัสนักศกึษา 61181570129 สาขาชีววิทยา รายงานนี้เปนสวนหนึ่งของการปฏิบัติการสอนในสถานศกึษาภาคเรียนที่2/2565 คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
ก กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณคุณครูกัลยา ธีระเชีย หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณครูวิภาวรรณ คำมงคล และคุณครูอังคนา ตามกูล ที่ให้ความกรุณาสละเวลาอันมีค่ามาเป็น ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจเครื่องมือการวิจัย และได้กรุณาให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยให้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้บริหารโรงเรียน คณะครูทุกท่าน และขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสามเงาวิทยาคม ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาวิจัย ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณบิดา มารดาที่คอยช่วยเหลือให้กำลังใจ และให้การสนับสนุนเรื่องต่างๆ แก่ ผู้วิจัยด้วยดีเสมอมา และเข้าใจในสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการทำวิจัย จนทำให้วิจัยฉบับนี้ สำเร็จลงได้อย่างสมบูรณ์ ผู้วิจัยของกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วย นางสาวโชติกา สีกาวี
ข ชื่อเรื่อง : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา เรื่อง หลักฐานและแนวคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัย : นางสาวโชติกา สีกาวี ครุศาสตรบัณฑิต (ชีววิทยา) มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ปีการศึกษา : 2565 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่ เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 2) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัดตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบ เสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จำนวน 1 แผน ระยะเวลา 7 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 5 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เป็นแบบมาตรวัด 5 ระดับ จำนวน 4 ด้าน แต่ละด้านมี จำนวน 5 ข้อคำถาม รวม 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ (%) และทดสอบด้วยสถิติ t-test for One-Sample ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 15.55 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) อยู่ในระดับมาก (̅= 4.43 , S.D. = 0.63) คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E), ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน, วิชาชีววิทยา
ค สารบัญ หัวเรื่อง หน้า บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 3 1.3 ขอบเขตการวิจัย 3 1.4 สมมติฐาน 4 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 2.1 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 6 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 13 2.3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 19 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 24 2.5 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 27 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 29 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย 31 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 31 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 31 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 32 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 37 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 38 บทที่ 4 ผลการวิจัย 39 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 39 4.2 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 39
ง สารบัญ (ต่อ) หัวเรื่อง หน้า 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 40 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 43 5.1 สรุปผลวิจัย 44 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 45 5.3 ข้อเสนอแนะ 47 บรรณานุกรม 48 ภาคผนวก 53 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ 54 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 56 ภาคผนวก ค คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 95 ภาคผนวก ง คะแนนทดสอบหลังเรียน 101 ภาคผนวก จ ภาพกิจกรรม/ผลงานนักเรียน 104 ประวัติผู้วิจัย 112
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และเวลาใน การจัดการเรียนรู้ 33 3.2 วิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจ 36 4.1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเรียน หลัง ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) กับเกณฑ์ร้อยละ 75 40 4.2 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 41
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กล่าวถึงแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2545) การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล จึงควรที่จะฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเชิญสถานการณ์และการ ประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ดังนั้น การจัดการเรียนการรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงเป็นวิธีการสำคัญที่สร้างและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์ เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วย ตนเอง เรียนในเรื่องที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของตนเองและได้พัฒนาศักยภาพ ของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดการจัดการศึกษานี้เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่า สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะตามต้องการอย่างได้ผล (วัฒนาพร ระงับทุกข์. 2542) เด็กในกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายเป็นกลุ่มประชากรที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2520-2542 เจนเนอเรชั่น วาย ถูกเรียกขานกันไว้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Millennial, WHY, Dot Com, Net Generation หรือ KIPPERS (Kids in Parents’ Pockets Eroding Retirement Saving) แต่ละชื่อที่เรียกขานล้วน แล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะ ทัศนคติ หรือพฤติกรรมที่สำคัญและเห็นเด่นชัดของประชากร กลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย คนกลุ่มนี้จะมองโลกในแง่ดี ชอบทำงานเป็นทีม ไม่ชอบทำตามกฎระเบียบ ฉลาดยอมรับความเปลี่ยนแปลง ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแบบตลอดเวลา รักความก้าวหน้า มุ่งผลสำเร็จเป็นหลัก ไม่มีความอดทน แต่มีความคาดหวังสูง มีโลกส่วนตัวสูง แต่ไม่ได้แสดงออกถึง ความต้องการเป็นอิสระ มักไม่อายที่จะแสดงความเป็นส่วนตัว ลงในสื่อทางสังคม (Social Media) นั่น เป็นเพราะเด็กเจนเนอเรชั่นวายเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและเรียนรู้การใช้ชีวิตในยุคอัตราการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมี ความสามารถในการนำเทคโนโลยี มาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เฉพาะหน้าได้ดี (เดชา เดชะวัฒนไพศาล และคณะ. 2557 : 5)
2 เมื่อมองย้อนกลับมาพบว่า การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้ตอบโจทย์ ของเด็กกลุ่มรุ่นใหม่ เช่นว่าผู้สอนที่จัดการเรียนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ยังเน้นทางด้านการท่องจำ เนื้อหาเป็นหลักมากกว่าการสืบเสาะค้นคว้าและเรียนรู้ด้วยตนเอง และยังขาดการใช้เทคโนโลยีให้เข้า มามีบทบาทที่สำคัญในการจัดการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่จะจดจำเนื้อหาสาระได้เพียง ช่วงที่สอนด้วยวิธีการบรรยายเท่านั้น และสื่อบางสื่อที่นำมาใช้ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นนามธรรม ของเนื้อหาให้มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจน เนื่องจากสื่อบางสื่อยังไม่สามารถสร้างเงื่อนไข หรือสถานการณ์ที่จะกระตุ้นให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้จริงในการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ขาด การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีเพียงผู้สอนที่ป้อนข้อมูลให้เท่านั้น (เพ็ชรรัตน์ เวฬุคามกุล และวราวุฒิ พุทธให้. 2555 : 18-20) การศึกษายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 นั้น เด็กจา เป็นต้องรู้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้องและเกิด แนวคิดใหม่ๆ ให้มากขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้มาก ขึ้น โดยในศตวรรษที่ 21 คุณลักษณะที่สำคัญมี 3 ประการ ประการแรก คือ มีทักษะที่หลากหลาย เช่น สามารถทำงานร่วมกับบุคคลได้อย่างรวดเร็ว รับผิดชอบงานได้ด้วยตนเอง และรู้จักพลิกแพลง กระบวนการแก้ไขปัญหาได้ ประการที่สอง คือ มองโลกใบนี้เป็นโลกใบเล็ก ๆไม่ได้จา กัดขอบเขตอยู่ เฉพาะประเทศไทย เพื่อมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย ประการสุดท้าย คือ เด็กไทยยุค ใหม่ต้องมีทักษะด้านภาษาเพราะหากพูดหรือใช้แต่ภาษาไทยก็เหมือนกับมี"กะลา" มาครอบไว้ ซึ่ง กระบวนการที่ใช้ในการสร้างทักษะเหล่านี้ไม่สามารถสร้างได้จากกระบวนการที่ใช้ในห้องเรียน แบบเดิม ๆ ดังนั้นผู้สอนต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้บรรยายเป็นผู้อำนวยความสะดวก และเป็นผู้ชี้แนะ หรือเป็นผู้แนะนำ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped classroom) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่ครู ต้องเปลี่ยนแปลงบริบทของครูผู้สอนจากการสอน เป็นการจัดเตรียมแหล่งการเรียนรู้และกิจกรรมที่ เอื้อต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะการเรียนรู้ จากรูปแบบห้องเรียนกลับด้าน จะเน้นกิจกรรมที่ ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจ จากเนื้อหาที่ครูจัดเตรียมให้นอกห้องเรียน หรือ จากแหล่งการเรียนรู้ สารสนเทศอื่นๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาสรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตัวเอง กลับมาทำกิจกรรมใน ห้องเรียนร่วมกับเพื่อนและครูผู้สอน ในลักษณะที่ว่า “เรียนที่บ้าน ทำการบ้านที่โรงเรียน” (วสันต์ ศรี หิรัญ, 2560 : 20 21) โดยห้องเรียนกลับด้านเกิดขึ้นจากจิตวิญญาณความเป็นครูในสหรัฐอเมริกา คือ Jonathan Bergman และ Aaron Sams ที่ต้องการช่วยนักเรียนที่มีปัญหาตามชั้นเรียนไม่ทัน เพราะ ต้องขาดเรียนไปเล่นกีฬาหรือไปทำกิจกรรม หรือเพราะเขาเรียนรู้ได้ช้า (วิจารณ์ พานิช, 2556 : 20)
3 จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในการสอนรายวิชาชีววิทยา โดยเรื่องที่จะศึกษาคือ หลักฐานและ แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนให้สูงขึ้น และเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจสาหรับใช้เป็นพื้นฐาน การศึกษาในระดับชั้นที่สูงต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 1.2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 1.3 ขอบเขตการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองโดยมีขอบเขตการวิจัยดังนี้ 1.3.1 ขอบเขตด้านประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัดตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 1.3.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้การวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มวิทยาศาสตร์ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 รายวิชาชีววิทยา เพิ่มเติม เล่ม 2 เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังนี้ 1.3.3.1 หลักฐานและข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 1) ซากดึกดำบรรพ์ 2) กายวิภาคเปรียบเทียบ 3) วิทยาเอ็มบริโอ 4) ชีววิทยาโอเมกุล
4 5) การแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตทางภูมิศาสตร์ 1.3.3.2 แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 1) แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของลามาร์ก 2) แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของดาร์วิน 1.3.3 ขอบเขตด้านตัวแปร 1.3.3.1 ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) 1.3.3.2 ตัวแปรตาม 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 1.4 สมมติฐาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ “การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E)” หมายถึงการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเองจากนอกห้องเรียน ซึ่งการศึกษาจากนอกห้อง นักเรียนนั้นสามารถเรียนรู้ได้หลากหลายที่นักเรียนที่เข้าใจช้าหรืออาจจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะกลับมา เรียนซ้ำเมื่อใดก็ได้ ส่วนการเรียนในห้องเรียนจะเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันหาข้อสรุปและ อภิปรายร่วมกัน โดยที่ผู้สอนจะเป็นเพียงแค่ผู้ที่ให้คำแนะนำเท่านั้น “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” หมายถึง คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรายวิชาชีววิทยา เพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต หลังได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ซึ่งข้อสอบจะครอบคลุมพฤติกรรม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้-ความจำ ด้านความเข้าใจ
5 ด้านการนำไปใช้ และด้านการวิเคราะห์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามแนวคิดของบลูม วัดโดยใช้แบบทดสอบ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 5 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ “ความพึงพอใจในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์” หมายถึง ผลการประเมินการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วย 4 ด้าน ในแต่ละด้านมีจำนวน 5 ข้อ 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 6.1 นักเรียนที่ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สูงขึ้น 6.2 เป็นแนวทางให้ผู้สอนและผู้สนใจนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านไป จัดการเรียนการสอนในรายวิชาอื่นๆ
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยขอนำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตาม หัวข้อดังต่อไปนี้ 1. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2. การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 3. การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. ความพึงพอใจ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2.1.1 ความหมายของวิทยาศาสตร์ คำว่า วิทยาศาสตร์ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า "Science" ซึ่งมาจากศัพท์ภาษาลาตินว่า "Scientia" แปลว่าความรู้ (Knowledge) ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ดังนี้ ชำนาญ เชาวกีรติพงศ์ (2534 : 5) ได้ให้ความหมายของวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่แสดง หรือพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องเป็นความจริงจัดไว้เป็นหมวดหมู่มีระเบียบและขั้นตอนสรุปได้เป็นกฎเกณฑ์ สากลเป็นความรู้ที่ได้มาโดยวิธีการที่เริ่มต้นด้วยการสังเกตและ/หรือการจัดที่เป็นระเบียบมีขั้นตอน และปราศจากอคติซึ่งสอดคล้องกับการให้ความหมายของ The Columbia Encyclopedia อธิบาย ว่า วิทยาศาสตร์เป็นการรวบรวมความรู้อย่างมีระบบความรู้ที่ได้รวบรวมไว้นี้เป็นความรู้เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นนั้นมิได้หมายถึงเฉพาะการ รวบรวมข้อเท็จจริงเพียงสภาพพลวัตหรือมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและตามสภาพการกระตุ้น จากภายในหรือจากสภาพภายนอกความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกิดจากการสังเกตธรรมชาติและการ วิเคราะห์วิจัยวิทยาศาสตร์จึงเป็นสากลเพราะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย หลักการเดียวกันวิทยาศาสตร์จึงไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาสถานที่และวัฒนธรรม
7 ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 2) ได้สรุปความหมายของวิทยาศาสตร์ว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ สืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์วิธีการทาง วิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ โดยทั่วไป สุนันท์ บุราณรมย์และคณะ (2542 : 2-3) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่แสดงหรือพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องเป็นความจริงซึ่งความรู้ดังกล่าวได้มาจากการศึกษาปรากฏการณ์ ธรรมชาติหรือจากการทดลองโดยเริ่มต้นจากการสังเกตการตั้งสมมติฐานการทดลองอย่างมีแบบแผน แล้วจึงสรุปเป็นทฤษฎีหรือกฎขึ้นแล้วนาทฤษฎีหรือกฎที่ได้ไปใช้ศึกษาหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ จากการศึกษาแนวคิดข้างต้น สามารถสรุปความหมายของวิทยาศาสตร์ ได้ว่า วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่เกี่ยวกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราโดยใช้กระบวนการ แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปเป็นความรู้ที่บ่งบอกถึงโครงสร้างลักษณะ และอิทธิพลของสิ่งเหล่านั้นที่มีต่อตัวมนุษย์หรือมีความสัมพันธ์กับการดารงชีวิตลักษณะความรู้ ดังกล่าวนี้ได้มาจากการสังเกตค้นคว้าทดลองแล้วรวบรวมข้อมูลมาสรุปเพื่อตั้งขึ้นเป็นความจริงกฎและ ทฤษฎีต่อไป 2.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ดาเนินการจัดทา มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 4-5, 127-131) ดังนี้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การ ถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและ ผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียง สารเข้า และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์
8 ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์ กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทาง ชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อ วัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุรวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอน พลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้ง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ เอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและ ภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง อย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม
9 สาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระชีววิทยา 1. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สาร ที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและ หน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์ 2. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ และหน้าที่ของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความ หลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมทั้ง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้าของพืช การลาเลียง ของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของ พืช รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งการหายใจและการแลกเปลี่ยน แก๊ส การลำเลียงสารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการ ตอบสนอง การเคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และ พฤติกรรมของสัตว์ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการ หมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา และผลกระทบที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์ และพอลิ เมอร์ รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์ เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
10 3. เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยน หน่วย การคำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลายรวมทั้งการบูรณาการความรู้และ ทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวันและการแก้ปัญหาทางเคมี สาระฟิสิกส์ 1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรง และกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎ การอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสง รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยน พลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้าและ กระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และการสื่อสาร รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะ ของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์ อนุภาค รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 1. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม การศึกษาลำดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณี แผนที่ และการนำไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของ น้ำในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพยากรณ์อากาศ
11 3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่ง ดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) โรงเรียนสามเงาวิทยาคม ได้จัดทำคำอธิบายรายวิชาและผลการเรียนรู้ รายวิชาชีววิทยา 2 รหัสวิชา ว30242 ดังนี้ คำอธิบายรายวิชา รหัสวิชา ว 30242 รายวิชา ชีววิทยา 2 รายวิชาเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต ศึกษาเกี่ยวกับยีนและโครโมโซมการถ่ายทอดยีนและโครโมโซม การค้นพบสารพันธุกรรม โครโมโซม องค์ประกอบทางเคมีของ DNA โครงสร้างของ DNA สมบัติของสารพันธุกรรม มิวเทชัน ศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมน เดล กฎของความน่าจะเป็น กฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ การผสมเพื่อทดสอบ ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล ศึกษาเกี่ยวกับพันธุศาสตร์และ เทคโนโลยีทางDNA พันธุวิศวกรรม การวิเคราะห์ DNA และการศึกษาจีโนม การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีทาง DNA ความปลอดภัยของเทคโนโลยีทาง DNA และมุมมองทางสังคมและจริยธรรม ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการหลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตร์ประชากร ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล กำเนิด ของสปีชีส์ และวิวัฒนาการของมนุษย์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์ การทดลอง อภิปราย การอธิบาย และสรุป เพื่อให้ เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจมีความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม ผลการเรียนรู้ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย สมบัติ และหน้าที่ของสารของสารพันธุกรรม โครงสร้าง และ องค์ประกอบทางเคมี ของ DNA และสรุปแบบจำลอง DNA 2. อธิบาย และระบุขั้นตอนในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและหน้าที่ของ DNA และ RNA แต่ ละชนิด ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน
12 3. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิดมิวเทชันระดับยีน และระดับโครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเท ชันรวมทั้งยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการที่เป็นผลของการมิวเทชัน 4. สืบค้นข้อมูล และอธิบาย ผลการทดลองของเมนเดล 5. สรุปความสัมพันธุ์ระหว่างสารพันธุกรรม แอลลีน โปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และ เชื่อมโยงกับความรู้เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดล 6. อธิบาย และสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระและนำกฎของเมนเดลนี้ ไปอธิบาย การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและใช้ในการคำนวณโอกาสในการเกิดฟีโน ไทป์และจีโนไทป์แบบต่างๆ ของรุ่น F1 และ F2 7. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็น ส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล 8. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันไม่ต่อเนื่องและ ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่อง 9. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีน บนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศ 10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมโดยใช้ DNA รีคอมบิแนนท์ 11. สืบค้นข้อมูลยกตัวอย่างและอภิปรายการนำเทคโนโลยีทาง DNA ไปประยุกต์ใช้ในด้าน สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตรและอุตสาหกรรม และข้อควร คำนึงถึงด้านชีวจริยธรรม 12. สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิด วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 13. อธิบาย และเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ ฌอง ลามาร์ก และ ทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของชาลส์ ดาร์วิน 14. ระบุสาระสำคัญ และอธิบายเงื่อนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี- ไวน์เบิร์ก ปัจจัยที่ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากรพร้อมทั้งคำนวณหาความถี่ของแอลลีนและจี โนไทป์ของประชากรโดยใช้หลักการของฮาร์ดี- ไวน์เบิร์ก 15. สืบค้นข้อมูลอภิปรายและอธิบายกระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิต
13 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 2.2.1 ความหมาย สุรศักดิ์ปาเฮ (2556 : 2) ได้กล่าวถึงห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) เป็นการสอน โดยที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองจากที่บ้าน จากสื่อวีดีทัศน์ (Video) ของศึกษานอกห้องเรียน ส่วนการเรียนในห้องเรียนปกตินั้นจะเป็นการเรียนแบบสืบค้นคว้าหาความรู้ที่ได้รับร่วมกันกับเพื่อนใน ห้องเรียน โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้คอยให้ความช่วยและแนะนำ ปิยะวดี พงษ์สวัสดิ์และ พัลลภ พิริยะสุรวงศ์ (2558 : 228-229) ได้กล่าวถึงห้องเรียนกลับ ด้าน เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีการบรรยายในชั้นเรียนและการบ้านนั้นจะสลับที่กัน โดยให้ นักเรียนวางแผนและควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านทางสื่อการเรียนรู้จากภายนอกชั้นเรียน และ นำผลการเรียนรู้มานำเสนอ พร้อมอภิปรายและทำกิจกรรมหรืองานต่าง ๆ ร่วมกันในชั้นเรียน โดยมี ครูคอยให้คำปรึกษา Jonathan and Aaron (2012, อ้างถึงใน วิจารณ์ พานิช, 2556 : 48) ได้กล่าวถึงห้องเรียน กลับด้านว่า เป็นสอนให้นักเรียนรับผิดชอบการเรียนของตนเอง เมื่อใช้ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้ จริง บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไป ชีวิตครูเปลี่ยนไปและพฤติกรรมของเด็กก็เปลี่ยนไปในห้องเรียน แบบเดิมจากที่นักเรียนนั่งฟัง รับคำสั่ง และรับถ่ายทอดแล้วตอบข้อสอบเพื่อพิสูจน์ว่าตนได้เรียนรู้ สภาพเช่นนี้ได้ผลต่อเด็กส่วนน้อย เด็กอีกจำนวนหนึ่งหมดความสนใจและหลุดไปจากกระบวนการ เรียนรู้ แต่ในห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริงนั้น นักเรียนรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง การเรียนไม่ใช่สิ่งที่กระทาต่อนักเรียน แต่กลายเป็นสิ่งที่นักเรียนเป็นเจ้าของเป็นผู้กระทำและจะเป็น ทักษะที่ติดตัวตลอดไป สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) นั่นเป็น การจัดการเรียนรู้แบบให้จริง นักเรียนจะได้ศึกษาด้วยตนเองจากนอกห้องเรียน ซึ่งการศึกษาจากนอก ห้องนักเรียนนั่นสามารถเรียนรู้ได้หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งยังไม่เป็นการบังคับให้นักเรียน ต้องทา แต่เป็นความรับผิดชอบของตัวนักเรียนเอง พร้อมที่จะเรียนรู้จึงจะศึกษาเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งยังช่วยให้ นักเรียนที่เข้าใจช้าหรือ อาจจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะได้กรอกลับเมื่อใดก็ได้ นอกจากนี้การเรียนรู้ด้วย ตนเองนอกห้องเรียนจะช่วยฝึกความมีวินัยในตนเองอีกด้วย เมื่อไหร่ที่นักเรียนเกิดข้อสงสัยในการ เรียนรู้นอกห้องนั่น นักเรียนก็สามารถนำปัญหาหรือคำถามนั้นมาถามครูในห้องเรียนได้ ส่วนการเรียน ในห้องเรียนจะเป็นการหาข้อสรุปร่วมกัน อภิปรายร่วมกัน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันโดยที่ครูจะ เป็นเพียงแค่ผู้ที่ให้คำแนะนำเท่านั้น 2.2.2 แนวคิดของห้องเรียนกลับด้าน แนวคิดการจัดการเรียนแบบห้องเรียนกลับทางไม่ใช่เรื่องใหม่ในรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ มี นักการศึกษาหลายท่านได้นาแสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่นักเรียนได้รับเนื้อหาไปศึกษา มาก่อนที่
14 จะมีการเรียนในชั้นเรียน และเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนมีการเตรียมตัวมา นักวิชาการใช้วิธีการให้ นักเรียนได้ทำงานบางอย่างมาก่อนเข้าชั้นเรียน เมื่อเข้าเรียนนักเรียนจะได้รับคำแนะนำ และ ข้อเสนอแนะระหว่างการทำกิจกรรมเพื่อต่อยอดจากสิ่งที่ได้ทำมาก่อนล่วงหน้าโดยมีชื่อเรียกค่อนข้าง หลากหลาย เช่น Blended Learning, Inverted Learning, Flipped Instruction จากนั้นในปี ค.ศ. 2007 มีครูเคมีโรงเรียนมัธยมศึกษา 2 คน ที่รัฐ Colorado สหรัฐอเมริกา คือ Jonathan Bergmann and Aaron Sam’s พยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหานักเรียนที่จา เป็นต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง จนทำ ให้เรียนไม่ทันเพื่อน ครูทั้งสอนจึงคิดหาวิธีช่วยเหลือนักเรียน โดยการบันทึกวีดีโอการสอนโพสต์ขึ้นบน อินเตอร์เน็ตและให้นักเรียนดูวิดีทัศน์นั้นเป็นการบ้าน แล้วใช้เวลาในชั้นเรียนสาหรับชี้แนะ ช่วยเหลือ นักเรียนให้เข้าใจแก่นแท้ของเนื้อหา หรือความรู้ที่สำคัญนอกจากเป็นการแก้ปัญหาเด็กที่ขาดเรียนแล้ว พบว่ายังมีนักเรียนที่เรียนไม่ทันในห้องเรียนกลับไปดูวีดีโอสามารถหยุดและกรอกลับไปดูในส่วนที่ไม่ เข้าใจได้นอกเหนือจากนี้นักเรียนบางส่วนยังใช้วีดีโอเป็นเครื่องมือในการทบทวนก่อนสอบควบคู่กับ การอ่านหนังสือไปด้วย และด้วยความเจริญก้าวหน้าของสื่อเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เช่น YouTube Google อุปกรณ์สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำให้การเรียนผ่านช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นไปได้โดยง่าย สะดวกและรวดเร็ว จากนั้นจึงเกิดการพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบการสอนตามแนวคิด การเรียนแบบห้องเรียนกลับทาง (Flipped Classroom) เมื่อกลับทางห้องเรียนในช่วงแรกเด็กอาจไม่ คุ้นและอาจต่อต้าน แต่เมื่อไประยะหนึ่งเด็กจะเห็นคุณค่า และจะเปลี่ยนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตน อย่างขมีขมัน เมื่อผู้เขียนทั้งสองเริ่มห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง ทั้งสองไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อดำเนินการจึงพบว่าเป็นวิธีทาให้การเรียนเป็นกิจกรรมเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน ที่มีกิจกรรม เรียนรู้แตกต่างกัน ในห้องเรียนเดียวกันเวลาเดียวกัน เด็กแต่ละคนเรียนด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน และครูก็ดูแลเด็กด้วย มาตรฐานที่แตกต่างกันในห้องเรียนแบบเก่าครูเป็นจุดสนใจของห้องเรียน แต่ใน ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง จุดสนใจอยู่ที่สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้หรือยังไม่รู้ ในห้องเรียนแบบนี้ นักเรียนมาเข้าห้องเรียนพร้อมกับเป้าหมายของ การเรียนรู้ ครูเป็นผู้จัดสิ่งของห้องเรียนและสิ่งอำนวย ความสะดวกต่อการเรียน รวมทั้งช่วยแนะนำ ให้นักเรียนวางแผนการเรียนรู้ของตน ห้องเรียนเปลี่ยน จากที่รับถ่ายทอด (ความรู้) มาเป็นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อการเรียนรู้ เพื่อแสดงว่าตนได้เรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์อย่างรู้จริง นักเรียนอยู่ในสภาพเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ไม่ใช่เพียงผู้รับถ่ายทอด สาระ (Bergmann and Sam’s, 2012 : 3-4) วิจารณ์ พานิช (2556 : 48-50) ได้กล่าวถึงห้องเรียนกลับด้าน ในแง่ของในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นักวิชาการทุกคนถูกท้าทายที่จะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมี เทคโนโลยีมากมายที่ทาให้ปัจจุบันเป็นยุคไร้พรมแดน การรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ สามารถกระทำ ได้ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทุกคนจึงต้องปรับตัวในทุกๆ ด้าน สาหรับทางด้านการศึกษาก็ต้องมีการปรับตัว
15 เช่นกัน โดยครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอนที่จะต้องส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ที่จะเป็นพื้นฐานต่อการใช้ชีวิตในอนาคต ชนิสรา เมธภัทรหิรัญ (2560 : 20) ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนการสอนแบบเดิมจากครูเป็นผู้ถ่ายทอด ความรู้ให้แก่นักเรียนหน้าชั้นเรียนมาเป็นนักเรียนจะต้องศึกษาหาความรู้จากนอกห้องเรียนด้วยตนเอง โดยผ่านสื่อเทคโนโลยีที่ครูเป็นผู้จัดทำขึ้น จากนั้นครูจะนำสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้มาใช้ทำกิจกรรมใน ชั้นเรียน โดยคอยให้คำแนะนำและตั้งคำถามให้นักเรียนได้ร่วมกันแก้ปัญหา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน จึงสามารถช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิดเพิ่มมาก ขึ้น สรุปได้ว่า การพัฒนาห้องเรียนกลับด้านมีความสำคัญมากในปัจจุบันซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ใหม่ที่ ท้าทายทั้งครูและนักเรียน เพื่อไปสู่เป้าหมายให้นักเรียนสามารถนำความที่ได้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอดีตปี ค.ศ. 2007 มีครูเคมี 2 ท่าน ที่รัฐ Colorado สหรัฐอเมริกา คือ Jonathan Bergmann และ Aaron Sam’s พยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหา นักเรียนที่จำเป็นต้องขาดเรียนบ่อยครั้งจนทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน ครูทั้งสอนจึงคิดหาวิธีช่วยเหลือ นักเรียน จึงได้เขียนหนังสือ Flip Your Classroom: Reach Every Student in Every Class Every Day ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มีผู้นำไปใช้กันอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี 2012 มาจนถึงปัจจุบัน และพยายามบูรณาการกับหลากหลายสาขาวิชา 2.2.3 องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้าน สุรศักด์ิ ปาเฮ (2556, น. 5-6) ได้กล่าวถึง การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนการสอนเน้นการสร้างนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบ รอบด้าน หรือ Mastery Learning มีองค์ประกอบสำคัญ 4 องค์ประกอบ เป็นวัฏจักร (Cycle) หมุนเวียนกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ที่เกิดขึ้น ได้แก่ 1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) ที่มี ครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำวิธีการเรียนรู้ให้กับนักเรียนเพื่อเรียนเนื้อหาโดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการใช้ กิจกรรมที่กำหนดขึ้นเอง, เกมส์, สถานการณ์จำลอง, สื่อปฏิสัมพันธ์, การทดลองหรืองานด้านศิลปะ แขนงต่าง ๆ 2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) ที่ครูผู้สอนเป็น ผู้คอยชี้แนะให้กับนักเรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลากหลาย เช่น สื่อประเภทวิดีทัศน์บันทึกการ บรรยาย, การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท การใช้สื่อ หรือ สื่อออนไลน์
16 3. การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) ที่นักเรียนเป็นผู้การ สร้างทักษะองค์ความรู้ใหม่ จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการสร้างความรู้ลงกระดาน อิเล็กทรอนิกส์ (Blogs), แบบทดสอบ 2 (Tests), การใช้สื่อสังคมออนไลน์ และการอภิปรายลงบน กระดานแบบออนไลน์ (Social Networking and Discussion Boards) 4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration and Application) เป็นการสร้าง องค์ความรู้โดยนักเรียนเองเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน (Project) และผ่านกระบวนการ นำเสนอผลงาน (Presentations) ที่เกิดจากการรวบรวมสร้างงานเหล่านั้น ปิยะวดี พงษ์สวัสด์ิ และพัลลภา พิริยะสุรวงศ์ (2558 : 229) ได้กล่าวถึง การจัดการเรียนการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ในการสร้างนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านหรือ Mastery Learning มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยมี ผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะสาหรับวิธีการเรียนรู้ให้กับนักเรียน เพื่อให้เรียนเนื้อหาได้ตรง โดยอาศัยวิธีการที่ หลากหลายทั้งการใช้กิจกรรมที่กำหนดขึ้นเอง เช่น เกมส์, การทดลอง หรืองานด้านศิลปะในแขนง ต่างๆ 2. การค้นคว้าเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) โดนที่ผู้สอน จะคอยเป็นผู้ที่ให้คา แนะนา เกี่ยวสื่อที่หลากหลายประเภท เช่น สื่อประเภทวิดีทัศน์บันทึกการ, บรรยายการใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts 3. การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) โดยนักเรียนเป็นผู้ บูรณาการสร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการสร้างกระดาน ความรู้ อิเล็กทรอนิกส์ (Blogs), การใช้แบบทดสอบ (Tests), การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดาน สำหรับ อภิปรายแบบออนไลน์ (Social Networking & Discussion Boards) 4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) เป็นการสร้างองค์ ความรู้ที่ตัวนักเรียนเองสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยอาจจะเป็นการจัดทำเป็นโครงงาน (Project) และผ่าน กระบวนการนำเสนอผลงาน (Presentations) ที่เกิดจากการรังสรรค์งานเหล่านั้น สรุปได้ว่าองค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้านนั้น ทา ให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านนั้นจะมี องค์ประกอบสำคัญมี 4 องค์ประกอบ คือ การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement), การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration), การสร้างองค์ ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making), การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application)
17 2.2.4 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน มีขั้นตอนดังนี้ (Bergmann and Sams, 2012, อ้างถึงใน วิจารณ์ พานิช, 2556, น. 19-66) ขั้นที่ 1 สื่อการเรียนการสอน เป็นสื่อวิดีทัศน์การเรียนการสอน ซึ่งโดยที่ผู้สอนเป็น ผู้สร้างขึ้นเองหรือ เป็นสื่อวิดีทัศน์ที่ผู้อื่นสร้างไว้แล้วก็ได้ ครูจะเป็นผู้ชี้แนะแนวทางในการเรียนรู้ให้กับ นักเรียน ขั้นที่ 2 โอกาสเข้าถึงสื่อของนักเรียน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการเรียนการสอน แบบห้องเรียนกลับด้าน คือ นักเรียนต้องมีโอกาสและเทียมเทียมกันในการดูวิดีทัศน์ ซึ่งบ้างครั้ง นักเรียนอาจจะไม่มีสัญญาณอินเตอร์ ครูอาจจะต้องทาเป็นไฟล์วิดีทัศน์ที่สามารถให้นักเรียนดาวน์ โหลดจาก Server โดย Flash Drive หรืออุปกรณ์พกพา เพื่อให้นักเรียนนากลับไปดูในคอมพิวเตอร์ที่ บ้านได้ โดยที่ครูจะคอยชี้แนะให้กับนักเรียน เช่น สื่อ และกิจกรรมหลายประเภท เช่น สื่อประเภท วิดีทัศน์บันทึกการบรรยาย, การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts, การใช้สื่อ Websites หรือ สื่อ ออนไลน์ Chats ขั้นที่ 3 การตรวจสอบการดูวีดีโอของนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนดูวีดีโอที่ได้ มอบหมาย ครูได้ให้นักเรียนทา การบันทึกสรุปย่อจากการดูวิดีทัศน์ นักเรียนอาจจะทา ได้หลาย ลักษณะ เช่น จดลงสมุดบันทึก หรือโพสต์ลงบล็อกที่ครูสร้างไว้แล้ว หากมีข้อสงสัยจากการดูวิดีทัศน์ หรือมีคำถามที่นักเรียนไม่ทราบคำตอบ สามารถนำมาถามครูในชั้นเรียนได้ ขั้นที่ 4 การวัดและการประเมินผล การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ภายใต้ ห้องเรียนกลับด้าน มีทั้งการประเมินเพื่อพัฒนา ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการพัฒนา และการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่นักเรียน และการประเมินผลรวบยอด (Summative Assessment) เพื่อตัดสินผลการ เรียนรู้ของนักเรียนว่า มีความรู้ ความสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมาย หรือไม่อย่างไร การวัดและการประเมินผล มีความยืดหยุ่นหลากหลายทั้งรูปแบบ วิธีการ และ ระยะเวลา เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง 1. วัดและประเมินผลด้วยวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบ ชิ้นงาน การ เขียนสรุปย่อ การพูด เพื่อรับการประเมินและพิสูจน์ให้ครูเห็นว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ 2. ประเมินผลซ้ำได้ หากนักเรียนบางคนยังไม่ผ่านเกณฑ์ที่ทดสอบในครั้งแรกหรือไม่ เข้าได้ในบางเรื่อง ก็สามารถทา การทดสอบซ้ำได้ หรือนักเรียนบางคนยังไม่พอใจในผลการหรือการ ทดสอบก็สามารถทดสอบหรือประเมินใหม่ได้
18 3. การใช้เทคโนโลยีในการวัดการประเมินผล เนื่องจากการวัดและประเมินผลอาจ ต้องดำเนินการหลายครั้ง ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องมีแบบทดสอบหลายชุด การใช้ คอมพิวเตอร์ในการออกข้อสอบและตรวจให้คะแนนจะช่วยให้ลดภาระงานของครู อีกทั้งนักเรียนจะ สามารถทราบผลคะแนนได้อย่างรวดเร็ว 4. ใช้ผลการประเมินเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ หลังการทดสอบแต่ละครั้งนักเรียนจะ มาพบครูเพื่อสนทนาซักถามเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่เข้าใจและยังไม่เข้าใจ ถ้าหากนักเรียนมีผลการประเมินที่ พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความรู้ความเข้าใจ บรรลุวัตถุตามประสงค์การเรียนรู้แล้ว นักเรียนก็จะเรียนตาม แผนการจัดการเรียนต่อไปได้ ส่วนนักเรียนที่ยังไม่สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ ครูก็จะพิจารณาว่า สิ่งใดต้องพัฒนาต่อไปเพื่อช่วยนักเรียนที่ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์ (2557 : 154-155) ได้กล่าวถึงว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้าน มีดังนี้ 1. อธิบายประโยชน์ของการเรียนแบบใหม่ และให้เด็กดูวิดีทัศน์ที่อธิบายรัฐ แบบนี้ แจ้งให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบเรื่องการเรียนแบบใหม่ สอนวิธีดูและจัดการวิดีทัศน์ให้แก่นักเรียน กำหนดให้นักเรียนตั้งคำถามที่น่าสนใจ โดยนักเรียนแต่ละคนต้องตั้งคา ถามมา ละ 1 คำถามต่อ วิดีทัศน์ 1 ตอน 2. วางรูปแบบห้องเรียนแบบกลับทาง โดยห้องเรียนต้องเปลี่ยนจาก Classroom เป็น Studio คือกลายเป็นห้องทำงาน เป็นห้องที่จุดสนใจคือการเรียนของตนเอง เรียนโดยการลง มือ ทำไม่ใช่โดยการฟังครูสอนในห้องเรียนแบบเก่า เครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้องต้องเน้นการใช้งานเพื่อ การ เรียนของนักเรียน และเพื่อการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของนักเรียน ไม่ใช่เพื่อการ สอนของ ครูอย่างแต่ก่อน 3. ให้เด็กได้จัดการเวลาและงานของตนเอง ในห้องเรียนกลับทางนักเรียนสามารถ เรียนไว้ล่วงหน้า เรียนวิชาบางวิชาให้จบเร็ว สามารถสอบไล่ก่อนเวลา และใช้เวลาของวิชาที่เรียนจบ เร็วเรียนวิชาอื่น นักเรียนที่เรียนช้าก็สามารถใช้เวลาเรียนซ้ำช่วงที่ต้องการได้ 4. ส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือกันเอง ห้องเรียนคือ Learning Hub (ไม่ใช่ Teaching Hub) จุดสนใจคือนักเรียนด้วยกันเอง ไม่ใช่ครู นักเรียนจะตระหนักในความจริงข้อนี้ และเรียนรู้ ร่วมกันและช่วยเหลือกัน จะรวมตัวกันเองเป็นกลุ่มเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน 5. สร้างระบบประเมินที่เหมาะสม ระบบประเมินที่ประเมินความเข้าใจของเด็ก
19 6. การประเมินเพื่อปรับปรุง (Formative Assessment) ครูที่มีประสบการณ์จะ สามารถบอกได้ทันทีว่าเด็กคนไหนยังไม่เข้าใจเรื่องอะไร โดยเมื่อครูเดินไปรอบ ๆ ห้องเรียนจะลอง สอบถามบางคำถามแก่นักเรียนบางคน และรีบแก้ความเข้าใจผิดให้ สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมห้องเรียนกลับด้าน คือ ขั้นสื่อการเรียนการสอน เป็นขั้นที่ครู แนะนำ สื่อวิดีทัศน์หรือจัดทำสื่อวิดีทัศน์, ขั้นโอกาสเข้าถึงสื่อของนักเรียน เป็นขั้นที่นักเรียนศึกษา เนื้อหาวิชาเรียนในสื่อวิดีทัศน์, ขั้นการตรวจสอบการดูวีดีโอของนักเรียน เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนได้ เรียนรู้มาล่วงหน้า และขั้นสุดท้ายการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ มีการวัดและประเมินเพื่อให้ ทราบว่านักเรียนมีความรู้ ความสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมายหรือไม่ การวัดและการประเมินผล มีหลากหลายทั้งรูปแบบ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตาม ศักยภาพของตนเอง ผู้วิจัยเลือกวัดและประเมินผลด้วยวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบ ชิ้นงาน การเขียนสรุปย่อ การอภิปราย เพื่อรับการประเมินและพิสูจน์ให้ครูเห็นว่าบรรลุตาม วัตถุประสงค์ 2.3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 2.3.1 ความหมาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2545 : 15) ได้ให้ความหมายของการ สืบเสาะหาความรู้ หมายถึง การนาความรู้หรือแบบจำลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ หรือเรื่องทั่วไป ซึ่งจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อจำกัดซึ่งจะก่อให้เป็นประเด็นหรือคำถามหรือปัญหาที่จะ จ้องสำรวจตรวจสอบต่อไป ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ จึงเรียกว่า Inquiry Cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้จึงช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งเนื้อหาหลักและหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อไป ทิศนา แขมมณี (2554 : 141) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง การดำเนินการเรียนการสอน โดยครูผู้สอนกระตุ้นให้นักเรียนเกิดคาถาม เกิดความคิด และ ลงมือสืบเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ครูผู้สอนช่วย อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่นักเรียน เช่น ในด้านการสืบค้นหาแหล่งความรู้ การศึกษาข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปข้อมูล การอภิปราย และการทำงานร่วมกับผู้อื่น วีณา ประชากูล และประสาท เนื่องเฉลิม (2554 : 216) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาด้วย วิธีการฝึกให้นักเรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนมีบทบาทในการตั้งคำถาม
20 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้ใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางในการ แก้ไขปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเอง แล้วสรุปออกมาเป็นหลักการหรือวิธีการในการแก้ปัญหาและสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2555 : 56) ได้ให้ความหมายการเรียนรู้สืบเสาะหาความรู้ หมายถึงการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ เน้นการปฏิบัติ จริงมากที่สุด เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของผู้สอน หรือนักเรียนไม่เพียงแต่จดจำ แนวคิดต่าง ๆ เท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่นักเรียนต้องแสวงหาหรือสร้างความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ ใหม่ด้วยตนเอง ความรู้ที่ได้จะคงถาวรอยู่ในความจา ระยะยาว ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกเป็นผู้จัด ประสบการณ์การเรียนรู้โดยตั้งคำถามประเภทกระตุ้นให้นักเรียนใช้ความคิดหาวิธีแก้ปัญหาเองและ สามารถนำการแก้ปัญหานั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ สรุปได้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เป็นการ เรียนรู้ที่ครูกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดข้อสงสัย กระตุ้นให้นักเรียนเกิดปัญหา หรือเกิด คำถาม ซึ่งจะนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ หรือสืบค้นหาความรู้ให้ได้มาซึ่งคำตอบด้วยตัวเอง เน้นที่ การแก้ปัญหาของนักเรียน ด้วยวิธีการฝึกให้นักเรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เมื่อเกิด ประเด็นปัญหาอีกนักเรียนก็ทำการสืบค้นหาความรู้ต่อไป ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไป เรื่อย ๆ จึงเรียกว่า Inquiry Cycle และครูผู้สอนมีหน้าที่เพียงจัดสภาพการเรียนการสอนให้เอื้อต่อ การเรียนรู้เท่านั้น 2.3.2 แนวคิดของการเรียนรู้สืบเสาะหาความรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2542 : 219) ได้กล่าวถึงแนวคิดของกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือนักเรียนไม่เพียงแต่จดจาแนวคิดต่าง ๆ เท่านั้น แต่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎีการเสริมสร้างความรู้ เป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้น เสาะหาสำรวจตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการ รับรู้ความรู้นั้นอย่างมีความหมาย สามารถสร้างองค์ความรู้เป็นของนักเรียนเองได้และเก็บความรู้ไว้ใน สมองอย่างยาวนาน การที่นักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้ ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการสืบ เสาะหาความรู้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2547, น. 13) ได้กล่าวถึงทฤษฎีสร้าง เสริมความรู้ (Constructivism) เชื่อว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง มาแล้วไม่มากก็น้อย ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้นว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นด้วยตัวของนักเรียน เอง และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังนั้นประสบการณ์เดิมของนักเรียนจึงเป็น
21 ปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการเรียนรู้ (Process of Learning) ที่แท้จริงของ นักเรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือนักเรียนเพียงแต่จดจำแนวคิดต่าง ๆ ที่มีผู้บอกให้เท่านั้น แต่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎีการสร้างเสริมความรู้เป็นกระบวนการที่นักเรียนต้องสืบค้น เสาะหาสำรวจตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการ รับรู้ความรู้นั้นอย่างมีความหมายจึงจะสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของนักเรียนเองและเก็บเป็นข้อมูล ไว้ในสมองได้อย่างยาวนานสามารถนา มาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหน้า ดังนั้นการที่ นักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระบวนการแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) Joyce and Weil (1992 : 80-88) เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดหลักของเธเลน (Thelen) 2 แนวคิด คือ แนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้ (Inquiry) และแนวคิดเกี่ยวกับ ความรู้ (Knowledge) เธเลนได้อธิบายว่าสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้สึกหรือความ ต้องการที่จะค้นหว้าหรือเสาะแสวงหาความรู้ ก็คือตัวปัญหาแต่ปัญหานั้นจะต้องมีลักษณะที่มี ความหมายต่อนักเรียนและท้าทายเพียงพอที่จะทาให้นักเรียนเกิดความต้องการที่จะแสวงหาคาตอบ นอกจากนั้นปัญหาที่มีลักษณะชวนให้ เกิดความงุนงงสงสัย (Puzzlement) หรือทา ให้เกิดความ ขัดแย้งทางความคิด จะยิ่งทำให้นักเรียนเกิดความต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้หรือคา ตอบมาก ยิ่งขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยู่ในสังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เพื่อสนองความต้องการ ของตนทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น ระหว่างบุคคลหรือในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่บุคคลต้องพยายามหาหนทางขจัดแก้ไขหรือจัดการทำความ กระจ่างให้เป็นที่พอใจหรือยอมรับทั้งของตนเองและผู้เกี่ยวข้อง ส่วนในเรื่อง “ความรู้” นั้น เธเลน มี ความเห็นว่าความรู้เป็นเป้าหมายของกระบวนการสืบเสาะทั้งหลาย ความรู้ เป็นสิ่งที่ได้จากการนำ ประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่ ดังนั้น ความรู้ จึงเป็นสิ่งที่ค้นพบผ่านทาง กระบวนการสืบเสาะ (Inquiry) โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ สรุปได้ว่า แนวคิดของนักวิชาการหลายท่านที่มีต่อการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการ สอนที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียน และสิ่งที่ทา ให้นักเรียนเกิดการแสวงหาความรู้นั่นคือ ตัวของปัญหาซึ่งจะ ทา ให้ผู้เกิดความท้าทายต้องการที่จะแสวงหาคา ตอบ นอกจากนั้นปัญหาที่มีลักษณะชวนให้เกิดความ งุนงงสงสัยยังทา ให้นักเรียนเกิดความขัดแย้งในใจ จากนั้นจะก่อให้เกิดการหาคา ตอบให้กระจ่าง เธเลนยังกล่าวอีกว่าส่วนในเรื่องความรู้นั้น ความรู้เป็นเป้ าหมายของกระบวนการสืบเสาะที่ หลากหลายความรู้ เป็นสิ่งที่ได้จากการนาประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่
22 2.3.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สำนักงานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติ (2545 : 37) ได้กล่าวถึงการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ว่า มีกระบวนการดังนี้ 1. ครูสร้างสถานการณ์หรือสร้างปัญหา จากสาระให้สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนและแก้ปัญหานั้นสถานการณ์ควรอยู่ใกล้ตัวดึงดูดความสนใจของนักเรียนและ โยงไปสู่การออกแบบการค้นคว้าได้ 2. ใช้คำถามในการอภิปรายเพื่อนา ไปสู่แนวทางการหาคา ตอบของปัญหา และควรเป็น คำถามที่นักเรียนนำไปสู่การคาดคะเนคำตอบที่เป็นไปได้ (สมมติฐาน) 3. ใช้คำถามเพื่อนำไปสู่การออกแบบการศึกษาค้นคว้า การกำหนดเครื่องมือเก็บรวบรวม ข้อมูลกำหนดแหล่งข้อมูล 4. นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งค้นคว้าที่กำหนดทำการบันทึก และจัดหมวดหมู่ ของข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า 5. ใช้คาถามในการอภิปรายเพื่อสรุปการศึกษาค้นคว้า การใช้คาถามจะต้องอาศัยข้อมูลจาก การสืบค้นของนักเรียนเป็นหลักเพื่อนา ไปสู่คา ตอบในการแก้สถานการณ์หรือปัญหาข้างต้นและควร จะมีคาถามที่ฝึกให้นักเรียนนาความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์ที่พบเห็นในชีวิตประจาวันหรือเรื่องที่จะ เรียนต่อไป กระบวนการการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้จะต้องมีการศึกษารูปแบบการเรียนการ สอนที่พัฒนากระบวนการคิดระดับสูง วิชาชีววิทยา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงพัฒนา กระบวนการเรียนการสอนในแต่ละขั้นตอน เป็นการสอนของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (5Es) ซึ่งมีขอบข่ายรายละเอียด ดังนี้ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2549 : 14-16) 1. การสร้างความสนใจ (Engage) เป็นการนา เข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจซึ่งอาจเกิดจาก ตัวนักเรียนเอง หรือครูเป็นผู้สร้างแรงกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น เช่น สาธิตทดลอง นำเสนอข้อมูล เล่าเรื่อง/เหตุการณ์ ให้ค้นคว้า/อ่านเรื่อง อภิปราย/พูดคุย สนทนา ใช้เกม ใช้สื่อวัสดุ อุปกรณ์ สร้างสถานการณ์/ปัญหาที่น่าสนใจ ที่น่าสงสัยแปลกใจ 2. การสำรวจและค้นคว้า (Explore) ให้นักเรียนได้ดำเนินการค้นคว้า สำรวจ ทดลองและ รวบรวมข้อมูลเพื่อวางแผนกาหนดการสำรวจตรวจสอบ หรือออกแบบการทดลอง ลงมือปฏิบัติด้วย ตนเอง เช่น สังเกต วัด ทดลอง รวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ
23 3. การอธิบาย (Explain) นักเรียนนาข้อมูลที่ได้จากการสำรวจและค้นคว้าหา แล้วมา วิเคราะห์และแปลผล สรุปและอภิปราย พร้อมทั้งนำเสนอผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นผลงาน แผนผัง รูปวาด ที่สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือโต้แย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประ จุดประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมีการอ้างอิงและหลักฐานประกอบกับการให้ความรู้ที่สมเหตุสมผล การลง ข้อสรุปที่เชื่อถือได้ มีเอกสารและหลักฐานที่เชื่อถือได้ 4. การขยายความรู้ (Evaporate) 4.1 ครูอาจจะจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ เพื่อให้เรียนมีความสามารถ มีความรู้ ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น หรือขยายกรอบความคิดกว้างขึ้นหรือเชื่อมโยงความรู้เดิมสู่ความรู้ใหม่หรือน ำไปสู่ การศึกษาค้นคว้า ทดลองเพิ่มขึ้น เช่น อาจจะตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่การอภิปรายหรือการลงข้อสรุป 4.2 นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม เช่น อธิบายและขยายความรู้เพิ่มเติมมีความ ละเอียดมากขึ้น ยกสถานการณ์ ตัวอย่าง อธิบายเชื่อมโยงความรู้ที่ได้เป็นระบบและลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรือ สมบูรณ์ละเอียดขึ้น นา ไปสู่ความรู้ใหม่หรือความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ประยุกต์ความรู้ที่ได้ไปใช้ในเรื่องอื่น หรือสถานการณ์อื่น ๆ หรือการตั้งคา ถามใหม่และออกแบบการสำรวจ ค้นหา และรวบรวมเพื่อ นำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ 5. การประเมิน (Evaluate) 5.1 นักเรียนระบุสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ทั้งด้านกระบวนการและผลผลิต 5.2 นักเรียนตรวจสอบความถูกต้องของความรู้ที่ได้ เช่น วิเคราะห์วิจารณ์ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน คิดพิจารณาให้รอบคอบทั้งกระบวนการและผลงาน อภิปราย ประเมินปรับปรุง เพิ่มเติมและสรุป ถ้ายังมีปัญหา ให้ศึกษาทบทวนใหม่อีกครั้ง อ้างอิงทฤษฎีหรือ หลักการและเกณฑ์ เปรียบเทียบผลกับสมมติฐาน เปรียบเทียบความรู้ใหม่กับความรู้เดิม 5.3 นักเรียนทราบจุดเด่น จุดด้อยในการศึกษาค้นคว้า หรือทดลอง หรือข้อบกพร่อง ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ชนาธิป พรกุล (2554 : 134) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสืบสอบมีความแตกต่างกันไปตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ครูต้องการให้นักเรียนบรรลุ มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ระบุปัญหา และทา ปัญหาให้กระจ่างชัดเจน ปัญหาที่เหมาะจะทา การสืบสอบควรเป็น ปัญหาที่นักเรียนสนใจใคร่รู้ 2. ตั้งสมมติฐาน ครูกระตุ้นให้นักเรียนคิดคำตอบของปัญหา หลังจากได้สมมติฐานมาจำนวน หนึ่ง ให้นักเรียนเหลือไว้เฉพาะสมมติฐานที่จะทำการค้นคว้า
24 3. รวบรวมข้อมูล จากแหล่งข้อมูลที่ให้แนวทางไว้ ครูพิจารณาว่าจะให้นักเรียนทำเป็นกลุ่มทั้ง ชั้นหรือรายบุคคล 4. วิเคราะห์และตีความข้อมูล เพื่อทดสอบสมมติฐาน 5. ลงข้อสรุป ว่ายอมรับ หรือปฏิเสธสมมติฐาน หรือเปลี่ยนสมมติฐาน ตามการตีความของ ข้อมูล Windschiti and Buttemer (2000 : 346) ได้กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้เบื้องต้น โดยอาศัยความรู้เดิมของนักเรียนเป็นหลักแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1. การตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่สงสัยใคร่รู้หรือการระบุปัญหา 2. การสืบเสาะหาความรู้เพื่อตอบคำถาม 3. การวิเคราะห์และอธิบายสิ่งที่ค้นพบอย่างสมเหตุสมผลแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญแต่ละ ขั้นตอน ที่สำคัญที่สุดคือการวิเคราะห์และอธิบายสิ่งที่ค้นพบ เพราะขั้นนี้นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ หรือแนวคิดขึ้นใหม่ โดยอ้างอิงถึงหลักฐานข้อมูลที่รวบรวมได้จากการสังเกตหรือทดลองและเชื่อมโยง องค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมกับการสรุปที่ได้จากการค้นพบอย่างสมเหตุสมผล สรุปได้ว่าขั้นตอนการสอนของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycle (5Es) ตามแบบ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2547) มี 5 ขั้นตอนดังนี้ การสร้างความสนใจ (Engage) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจซึ่งอาจเกิดจากตัวนักเรียนเอง หรือครูเป็นผู้สร้าง แรงกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น, การสำรวจและค้นคว้า (Explore) ให้นักเรียนได้ ดำเนินการค้นคว้า สำรวจ ทดลองและรวบรวมข้อมูลเพื่อวางแผนกา หนดการสำรวจตรวจสอบ หรือ ออกแบบการทดลอง ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง, การอธิบาย (Explain) นักเรียนนาข้อมูลที่ได้จากการ สำรวจและค้นคว้าหา แล้วมาวิเคราะห์และแปลผล, การขยายความรู้ (Elaborate) ครูอาจจะจัด กิจกรรมหรือสถานการณ์ เพื่อให้เรียนมีความสามารถ มีความรู้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น , การประเมิน (Evaluate) นักเรียนระบุสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ทั้งด้านกระบวนการและผลผลิต 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 13) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ในหนังสือ ประมวลศัพท์ทางการศึกษาไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถใน การกระทำการใด ๆ ที่อาศัยทักษะหรือต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาหนึ่งหรือวิชาใดโดยเฉพาะ
25 ภพ เลาไพบูลย์ (2542 : 15) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า พฤติกรรม แสดงออกถึงความสามารถในการกระทา สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จากที่ไม่เคยกระทา ได้หรือกระทำได้น้อย ก่อนที่จะมีการเรียนการสอนและเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543 : 29-30) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็น คุณลักษณะรวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนหรือประมวล ประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทา ให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพสมอง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2556, น. 57) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ว่า เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ด้านสติปัญญา หรือ ความรู้ สรุปได้ว่าความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นหมายถึง มวลความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ ได้รับมาจากกิจกรรมการเรียนการสอนในเนื้อหา การฝึกปฏิบัติอบรม ซึ่งเป็นความรู้ความเข้าใจที่ สามารถวัดได้ ทั้งยังเป็นความสามารถหรือผลสำเร็จการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้รับจากกิจกรรมการ เรียนรู้ ทาให้นักเรียนแต่ละคนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของนักเรียนว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถในด้านใดมาก และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน 2.4.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การประเมินผลด้วยแบบทดสอบเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวัดผลสัมฤทธิ์ใน การเรียนโดยเฉพาะด้านความรู้และความสามารถทางสติปัญญา ครูควรมีความเข้าใจในลักษณะของ แบบทดสอบรวมทั้งข้อดีและข้อจำกัดของแบบทดสอบรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือ เลือกใช้แบบทดสอบให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด โดยลักษณะของแบบทดสอบ รวมทั้งข้อดีและ ข้อจำกัดของแบบทดสอบรูปแบบต่าง ๆ เป็นดังนี้ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, 2556 : 203-207) 1) แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก แบบทดสอบแบบที่มีตัวเลือก ได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด และแบบทดสอบแบบจับคู่ รายละเอียดของแบบทดสอบแต่ละแบบเป็นดังนี้ 1.1) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ เป็นแบบทดสอบที่มีการกาหนดตัวเลือกให้หลาย ตัวเลือก โดยมีตัวเลือกที่ถูกเพียงหนึ่งตัวเลือก องค์ประกอบหลักของแบบทดสอบแบบเลือกตอบ
26 มี 2 ส่วน คือ คำถามและตัวเลือก แต่บางกรณีอาจมีส่วนของสถานการณ์เพิ่มขึ้นมาด้วย แบบทดสอบ แบบเลือกตอบมีหลายรูปแบบ เช่น แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบ เลือกตอบคำถามชุด แบบทดสอบแบบเลือกตอบคาถาม 2 ชั้น 1.2) แบบทดสอบแบบถูกหรือผิด เป็นแบบทดสอบที่มีตัวเลือกถูกและผิดเท่านั้น มี องค์ประกอบ 2 ส่วน คือ คำสั่งและข้อความให้นักเรียนพิจารณาว่าถูกหรือผิด 1.3) แบบทดสอบแบบจับคู่ ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นคำสั่ง และข้อความ 2 ชุด ที่ให้ จับคู่กัน โดยข้อความชุดที่ 1 อาจเป็นคำถาม และข้อความชุดที่ 2 อาจเป็นคำตอบหรือตัวเลือก โดย จำนวนข้อความในชุดที่ 2 อาจมีมากกว่าในชุดที่ 1 2) แบบทดสอบแบบเขียนตอบ เป็นแบบทดสอบที่ให้นักเรียนคิดคำตอบเอง จึงมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสะท้อน ความคิดออกมาโดยการเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจ โดยทั่วไปการเขียนตอบมี 2 แบบ คือ การเขียนตอบแบบ เติมคำหรือการเขียนตอบอย่างสั้น และการเขียนตอบแบบอธิบาย รายละเอียดของแบบทดสอบที่มี การตอบแต่ละแบบเป็น ดังนี้ 2.1) แบบทดสอบเขียนตอบแบบเติมคำหรือตอบอย่างสั้นประกอบด้วยคำสั่ง และ ข้อความที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งจะมีส่วนที่เว้นไว้เพื่อให้เติมคำตอบหรือข้อความสั้น ๆ ที่ทำให้ข้อความข้างต้น ถูกต้องหรือสมบูรณ์ นอกจากนี้แบบทดสอบยังอาจประกอบด้วยสถานการณ์และคำถามที่ให้นักเรียน ตอบโดยการเขียนอย่างอิสระ แต่สถานการณ์และคำถามจะเป็นสิ่งที่กาหนดคำตอบให้มีความถูกต้อง และเหมาะสมแบบทดสอบรูปแบบนี้สร้างได้ง่าย มีโอกาสเดาได้ยาก และสามารถวินิจฉัยคำตอบที่ นักเรียนตอบผิดเพื่อให้ทราบถึงข้อบกพร่องทางการเรียนรู้หรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ แต่การจา กัดคาตอบให้นักเรียนตอบเป็นคา วลี หรือประโยคได้ยาก ตรวจให้คะแนนได้ยากเนื่องจากบางครั้งมี คาตอบถูกต้องหรือยอมรับได้หลายคาตอบ 2.2) แบบทดสอบเขียนตอบแบบอธิบายเป็นแบบทดสอบที่ต้องการให้นักเรียนสร้าง คำตอบอย่างอิสระ ประกอบด้วยสถานการณ์และคำถามที่สอดคล้องกัน โดยคำถามเป็นคำถามแบบ ปลายเปิดแบบทดสอบรูปแบบนี้ให้อิสระแก่นักเรียนในการตอบจึงสามารถใช้วัดความคิดระดับสูงได้ แต่เนื่องจากนักเรียนต้องใช้เวลาในการคิดและเขียนคำตอบมาก ทำให้ถามได้น้อยข้อ จึงอาจทำให้วัด ได้ไม่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด รวมทั้งตรวจให้คะแนนยาก และการตรวจให้คะแนนอาจไม่ตรงกัน
27 2.5 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 2.5.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นปัจจัยที่สำคัญ ประการหนึ่งที่มีผลต่อความสำเร็จและทำให้งานบรรลุตาม เป้าหมายที่วางไว้อันเป็นผลจากการได้รับการสนองตอบต่อแรงจูงใจหรือความพึงพอใจมีนักการศึกษา ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ดะงนี้ สุดารัตน์ ภิรมย์บูลย์(2543) กล่าวว่า ความพึงพอใจ คือความต้องการของมนุษย์มีทั้งหมด 3 ประการคือความต้องการทางด้านร่างกายความต้องการทางด้านสังคม และความต้องการเกี่ยวกับ ตนเอง กุดั่น ชมพลมา (2547) กล่าวว่า ความพึงพอใจ คือ ความพึงพอใจสามารถที่จะวัดได้โดยการ แสดงความคิดเห็น ความรู้สึกและเจตคติของบุคคลที่มีต่อตนเองเพื่อนร่วมงาน และองค์กรผ่านลงยัง เครื่องมือที่ใช้วัด จันทิมา จงชาญสิทโธ (2549) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการของ มนุษย์มีลำดับขั้นจากต่ำไปหาสูง เริ่มจากความต้องการทางด้านร่างกายความมั่นคงปลอดภัย ความรัก เกียรติยศชื่อเสียงและความสำเร็จต่าง ๆ จนถึงการได้จัดการเรียนรู้ที่จะประพฤติจนเพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย หนึ่งนุช เพ็งพุ่ม (2550) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ เมื่อรู้สึกดีใจก็จะเกิดการเรียนรู้ได้ดีและมีความสุขแต่ถ้ารู้สึกไม่พอใจก็จะทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้และ เกิดความทุกข์ซึ่งความรู้สึกนี้จะถูกเก็บไว้นาน ดังนั้นจ้องท ให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจต่อการเรียน ให้มากที่สุด เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี สายหยุด ผดุงจันทน์ (2551) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคลที่มีต่อสิ่ง ต่าง ๆ เมื่อรู้สึกพอใจก็จะเกิดการเรียนรู้ได้ดีและมีความสุขแต่ถา้รู้สึกไม่พอใจก็จะทา ให้ไม่เกิดการ เรียนรู้และเกิดความทุกข์ซึ่งความรู้สึกนี้จะถูกเก็บไว้นาน ดังนั้นต้องทำให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจใน การเรียนให้มากที่สุด เพราะจะทำให้นกัเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี จากความหมายของความพึงพอใจ สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึก ทาง อารมณ์และจิตใจของแต่ละบุคคล ที่มีผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น ซึ่งการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอาจจะเป็นเชิงบวกหรือลบก็ได้ดังนั้นครูผสู้อนต้องทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกที่ดี ต่อการเรียนรู้จึงจะทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจและแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมา
28 2.5.2 เครื่องมือวัดความพึงพอใจ ศจี อนันต์นพคุณ (2542) ไดก้ล่าวถึงวิธีการวัดความพึงพอใจมีเครื่องมือสำคัญที่สามารถ วัดไดอ้ยู่ 4 อย่าง ได้แก่ 1. การสังเกตการณ์ (Observation) โดยครูสังเกตการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักเรียน จากการแสดงออก การฟังจากการพูด สังเกตจากการกระทำ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมา วิเคราะห์ 2. การสัมภาษณ์ (Interviewing) เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสัมภาษณ์จะต้อง เผชิญหน้ากัน เป็นส่วนตัวสนทนากนัโดยตรงเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็นต่าง ๆ ด้วย วาจา 3. การออกแบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นวิธีที่นิยมกันมากโดยให้ผู้ปฏิบัติแสดง ความคิดเห็น ความรู้สึกลงในแบบทดสอบ การสร้างคำถามต้องพิจารณาอย่างดีเพื่อที่จะตั้งคำถามให้ ครอบคลุมวัตถุประสงค์ได้ทั้งหมด และลักษณะของคำถามจะต้องให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความพึง พอใจสมบูรณ์ครบถ้วน 4. การเก็บบันทึก (Recording keeping) เป็นการเก็บประวัติเกี่ยวกบัการปฏิบัติงานของ นักเรียนแต่ละคนในเรื่องเกี่ยวกบัผลงานต่าง ๆ 2.5.3 การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ บุญชม ศรีสะอาด (2546) มาตราส่วนประมาณค่าเป็นเครื่องมือที่ครูผู้สอนใช้ประเมินผู้เรียน และผู้เรียนใช้ประเมิน หรือพิจารณาตนเอง หรือสิ่งอื่นใช้ทั้งการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมทักษะ ต่างๆ และใช้วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย เช่น เจตคติความสนใจแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ฯลฯ มาตราส่วน ประมาณค่าจะช่วยให้ทราบว่า ผู้เรียนมีสิ่งนั้นเรื่องนั้นเพียงใด การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ มีขั้นตอนดังนี้ 1. รวบรวมข้อความที่ต้องการให้แสดงความคิดเห็น 2. กำหนดประเด็นและสร้างคำถามโดยใช้ภาษาที่ชัดเจนไม่มีความหมายกำกวม 3. ตรวจสอบขอ้ความในคำถามให้สอดคล้องกับแนวทางการตอบ 4. นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองขั้นต้น เพื่อดูความชัดเจนของข้อความ 5. กำหนดน้ำหนักคะแนนตัวเลือกในแต่ละข้อ ในการสร้างแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มักใช้ 5 ระดับ เช่น เห็นด้วยอย่าง ยิ่ง เห็นด้วยไม่แน่ใจไม่เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง หรือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด หลังจากให้ผู้เรียนตอบแบบวัดดังกล่าวก็จะนำไปวิเคราะห์โดยหาค่าร้อยละที่มีผู้ตอบในแต่ละระดับ
29 หรือหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแต่ละข้อ รวมรายด้าน และโดยรวมทั้งหมดแล้วแปล ความหมายค่าเฉลี่ยโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมาย วิธีการให้คะแนนผลการตอบอาจให้คะแนนแต่ละระดับ ดังนี้ ตอบน้อยที่สุดให้1 คะแนน น้อยให้ 2 คะแนน ปานกลางให้ 3 คะแนน มากให้ 4 คะแนน มากที่สุด ให้ 5 คะแนน หรือให้0, 1, 2, 3, 4, 5 ตามลำดับ ซึ่งจะให้ผลเหมือนกันและใช้เกณฑ์ในการแปลความหมายของแบบประเมินความ พึงพอใจตามแนวคิดที่ John W. Best (กาญจนา วัฒนายุ, 2548) 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นิชาภา บุรีกาญจน์ (2557 : 768-782) ศึกษาแนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านที่มีต่อความ รับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 60 คน โรงเรียนสิริรัตนาธร กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดความรับผิดชอบ และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ทดสอบ t-test รวมถึงค่าสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนของตัวแปร Analysis of Covariance (ANCOVA) ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านมี ผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ทิชานนท์ ชุมแวงวาปี และลัดดา ศิลาน้อย (2558 : 7-14) ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในการวิจัยที่ใช้นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการดา เนินการปฏิบัติการ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคห้องเรียนกลับด้าน จำนวน 9 แผน ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 9 ชั่วโมง 2) เครื่องมือสะท้อนผลการ ปฏิบัติการได้แก่ แบบบันทึกการสอนประจำวันของครู แบบสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูโดยผู้ช่วย ผู้วิจัย แบบสัมภาษณ์นักเรียน และแบบทดสอบย่อยท้ายวงจร 3) เครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพ การปฏิบัติการ ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ภาณุวัฒน์ เวทา (2559 : 179) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการรู้วิทยาศาสตร์ระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 49 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีวิทยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย
30 ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานคือ Hoteling’s T 2 ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ชีววิทยา และการรู้วิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 Tucker (2013 : 1-23) ศึกษาประสิทธิภาพของห้องเรียนกลับด้าน โดยได้ทำการสำรวจและ ใช้แบบสอบถาม การเรียนวิชาชีววิทยาของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เรียนผ่านสื่อวีดีทัศน์เป็น เวลา 10 นาที และนา ความรู้มาแลกเปลี่ยนร่วมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจความพึงพอใจและแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจและ สนุกกับการเรียน ชอบแนวทางการเรียนในห้องเรียนกลับด้านมากกว่าการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม ดังนั้น การเรียนรู้เช่นนี้จะเป็นตัวช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นได้ Wright (2015 : 1-71) ศึกษาการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านเพื่อแก้ปัญหา ทักษะการคิดในรายวิชาชีววิทยา เรื่องเซลล์และพันธุศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ โรงเรียนเกลนวูด (Glenwood School) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจก่อนเรียน, แบบ ประเมินก่อนเรียน และแบบประเมินหลังเรียน ผลพบว่า การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ช่วยพัฒนาทักษะด้านการคิดของนักเรียนให้ดีขึ้นได้
31 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้เสนอวิธีการดำเนินวิจัย โดยมีตามลำดับขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัด ตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 96 คน 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัดตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยการเลือดแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2.1แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จำนวน 1 แผน ระยะเวลา 7 ชั่วโมง 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 5 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ
32 3.2.3 แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบ เสาะหาความรู้ (5E) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบข้อคำถาม จำนวน 20 ข้อ มี 4 ด้าน ดังนี้ ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ด้านสื่อการเรียนรู้ และด้าน ประโยชน์ที่ได้รับ 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐาน และแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2/2565 ผู้วิจัยได้ ดำเนินการสร้างตามขั้นตอนดังนี้ 3.3.1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสามเงาวิทยาคม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายของ หลักสูตรสาระการเรียนรู้ คำอธิบายรายวิชา มาตรฐาน/ผลการเรียนรู้ของชั้นปี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.3.1.2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้านและสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อมาวิเคราะห์ว่าแต่ละขั้นของการจัดการเรียนรู้ของห้องเรียนกลับด้านและขั้นการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ วิเคราะห์แล้วประยุกต์และสอดแทรกแต่ละขั้น เพื่อส่งเสริมทักษะที่ต้องการให้ เกิดกับนักเรียน จึงได้เป็นห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) 3.3.1.3 วิเคราะห์เนื้อหาและสาระการเรียนรู้ เพื่อวางแผนในการสอน ออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ การกำหนดผลการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ผลการเรียนรู้ และการประเมินผลการ เรียนรู้ให้ตรงตามหลักสูตรกำหนด จำนวนหน่วยกิต ซึ่งหลักสูตรของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม ได้ กำหนดจำนวนหน่วยกิตของวิชาชีววิทยา ว 30242 จำนวน 1.5 หน่วยกิต โดยจัดการเรียนรู้ 3 ชั่วโมง/ สัปดาห์เพื่อกำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละหน่วยการเรียนรู้
33 ตารางที่ 3.1 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และเวลาในการ จัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต - สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุน และข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต - อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของชาลส์ ดาร์วิน 7 3.3.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จำนวน 1 แผนการเรียนรู้ เวลา 7 ชั่วโมง 1) ออกแบบการเขียนแผนกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามที่ได้ออกแบบไว้ ด้วยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ประกอบด้วยขั้นตอนการ จัดกิจกรรม 5 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1) นอกชั้นเรียน (Out Class Activities) 2.1.1) ขั้นเตรียม 2.1.2) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engagement) 2.1.3) ขั้นที่ 2 สำรวจและสืบค้น (Exploration) 2.2) ในชั้นเรียน (In Class Activities) 2.2.1) ขั้นที่ 3 อภิปรายและลงข้อมูล (Explanation) 2.2.2) ขั้นที่ 4 ขยายความรู้และประยุกต์ (Elaboration) 2.2.3) ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) 3.3.1.5 สร้างแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ สำหรับผู้เชี่ยวชาญ เป็นแบบมาตร ประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนมีดังนี้
34 รายการประเมินที่มีความเหมาะสมมากที่สุด ให้ 5 คะแนน รายการประเมินที่มีความเหมาะสมมาก ให้ 4 คะแนน รายการประเมินที่มีความเหมาะสมปานกลาง ให้ 3 คะแนน รายการประเมินที่มีความเหมาะสมน้อย ให้ 2 คะแนน รายการประเมินที่มีความเหมาะสมน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน 3.3.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อประเมิน คุณภาพของแผนการเรียนรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน มีดังนี้ 1) คุณครูกัลยา ธีระเชีย ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ 2) คุณครูวิภาวรรณ คำมงคล ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ 3) คุณครูอังคณา ตามกูล ตำแหน่ง ครู ไม่มีวิทยฐานะ 3.3.1.7 นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบเพื่อหาคุณภาพ ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดไป ตรวจสอบเพื่อหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้และความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมินคำตอบใน แบบสอบถาม ซึ่งเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ให้คะแนนเป็นดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึงแผนการสอนมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึงแผนการสอนมีความเหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึงแผนการสอนมีความเหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึงแผนการสอนมีความเหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึงแผนการสอนมีความเหมาะสมน้อยที่สุด เกณฑ์การพิจารณาความเหมาะสมแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยจากการประเมิน ของผู้เชี่ยวชาญพบว่าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีระดับความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.71 (ภาคผนวก ค.1) 3.3.1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปี 4/1 จำนวน 1 ห้อง รวม 40 คน โรงเรียนสามเงาวิทยาคม
35 3.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบระดับ ความสามารถและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน ผู้วิจัยได้สร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 3.3.2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และหลักสูตรโรงเรียนสามเงาวิทยาคม อำเภอสามเงา จังหวัดตาก โดย การวิเคราะห์จุดประสงค์ทุกแผนการเรียนรู้ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและวิธีการประเมินผล เพื่อ ใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3.2.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาและ จุดประสงค์ โดยสร้างเป็นแบบทดสอบปรนัย เลือกตอบ 5 ตัวเลือก จำนวน 25 ข้อ (ต้องการใช้จริง 20 ข้อ) 3.3.2.3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องด้านเนื้อหา ภาษา และประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับผลการ เรียนรู้ (IOC) โดยพิจารณาจากเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจ ว่าข้อสอบมีความสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ ว่าข้อสอบมีความสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด -1 หมายถึง แน่ใจ ว่าข้อสอบไม่มีความสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด 3.3.2.4 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคาถามของแบบทดสอบกับผลการเรียนรู้ผลการประเมิน พบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมีค่า IOC ค่าตั้งแต่ 0.67 - 1.00 (ภาคผนวก ค.2) 3.3.2.5 จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ผ่านการตรวจสอบ คุณภาพ จำนวน 20 ข้อ เพื่อใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 3.3.3 แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบ เสาะหาความรู้ (5E) การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบ เสาะหาความรู้ (5E) มีขั้นตอนการสร้างดังต่อไปนี้ 3.3.3.1 ศึกษาแนวคิด หลักการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจ เพื่อให้เหมาะสม กับระดับผู้เรียน
36 3.3.3.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้วิชาชีววิทยา ประกอบด้วยแต่ละด้านดังนี้ ด้านที่ 1 ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านที่ 2 ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ด้านที่ 3 ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านที่ 4 ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ผู้วิจัยได้สร้างเป็นแบบประเมินความพึงพอใจ โดยครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน เป็นแบบข้อ คำถาม 20 ข้อ ดังตารางที่ 3.2 ตารางที่ 3.2 วิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจ ด้านที่ประเมิน จำนวนข้อคำถาม สร้างขึ้น นำไปใช้ 1. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 5 2. บรรยากาศการเรียนรู้ 5 5 3. สื่อการเรียนรู้ 5 5 4. ประโยชน์ที่ได้รับ 5 5 รวม 20 20 3.3.3.3 นำเสนอแบบประเมินความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อประเมินตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา หรือความถูกต้องตามเนื้อหา และทักษะในแต่ละด้าน เพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไข โดยการหาดัชนี ความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) หรือดัชนีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 3.3.3.4 ผลการประเมินแบบวัดความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตรวจสอบความเที่ยงตรง โดยวิธีการหาค่าความสอดคล้อง IOC ผลการ ประเมินได้ค่า IOC เท่ากับ 1.00 (ภาคผนวก ค.3) 3.3.3.5 นำแบบประเมินความพึงพอใจที่ผ่านการปรับปรุงแล้ว 20 ข้อ จัดพิมพ์ให้ สมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง
37 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มทดลองกลุ่มวิจัย 1 กลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง หรือเก็บรวบรวมข้อมูลหลังการทดลอง (One Group pretest Posttest Desing) ซึ่งมีลักษณะของ แบบแผนงานวิจัย ดังนี้ เมื่อ T1 หมายถึง การทดสอบก่อนการทดลอง X หมายถึง การได้รับการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ T2 หมายถึง การทดสอบหลังการทดลอง ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมตามแผนงานวิจัย โดยมีขั้นตอนดังนี้ 3.4.1 ผู้วิจัยชี้แจงเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) รวมทั้งการจัดกิจกรรมในห้องเรียนและนอกห้องเรียน 3.4.2 นักเรียนทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.4.3 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้น 3.4.4 เมื่อดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) ครบทุกแผนการเรียนรู้ ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ เพื่อเก็บเป็นคะแนน หลังการจัดการเรียนรู้ 3.4.5 ให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.4.6 เก็บรวบรวมข้อมูลแล้วนำไปวิเคราะห์ผลตามวิธีทางสถิติต่อไป T1 X T2
38 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมิน ความพึงพอใจ โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าต่างๆ ดังนี้ 3.5.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (̅) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t-test for One-Sample 3.5.2 วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) โดยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์ กำหนดเกณฑ์ระดับคุณภาพของความพึงพอใจ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด
39 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการนาเสนอข้อมูลเพื่อให้เข้าใจตรงกันในการแปลความหมาย ผู้วิจัยได้กาหนดสัญลักษณ์ และความหมายสัญลักษณ์ที่ใช้ในการนา เสนอข้อมูล ดังนี้ n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง ̅แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน สถิติทดสอบที่ใช้ในการพิจารณาความมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-test) df แทน ความเป็นอิสระของตัวแปร 4.2 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 4.2.2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
40 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดง ดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเรียน หลังได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) กับเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน นักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนเกณฑ์ ร้อยละ 75 ̅ S.D. df Sig. 40 20 77.75 15.55 9.05 39 .031 จากตารางที่ 4.1 จะเห็นว่า การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 จากจำนวนนักเรียน 40 คน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 20 ข้อ ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก พบว่า คะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เท่ากับ 15.55 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 9.05 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 77.75 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 และเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test for One-Sample เทียบกับเกณฑ์ พบว่า มีค่า Sig. เท่ากับ .031 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.3.2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดง ดังตารางที่ 4.2
41 ตารางที่ 4.2 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 4 องค์ประกอบของความพึงพอใจ ̅ S.D. ระดับความ พึงพอใจ ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. นักเรียนมีอิสระทางความคิด และจิตนาการ 4.15 0.76 มาก 2. นักเรียนและครูมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น 4.45 0.71 มาก 3. นักเรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมมากขึ้น 4.55 0.55 มากที่สุด 4. นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม 4.35 0.61 มาก 5. นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากขึ้น 4.40 0.58 มาก คะแนนเฉลี่ยรายด้าน 4.38 0.64 มาก ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ 6. การเรียนรู้รูปแบบดังกล่าวสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียน 4.45 0.63 มาก 7. นักเรียนมีความสนุกและให้ความสนใจต่อกิจกรรมการเรียน 4.48 0.67 มาก 8. นักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะอยากเรียนยิ่งขึ้น 4.33 0.57 มาก 9. นักเรียนพบว่าครูคอยให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่ นักเรียน 4.50 0.59 มาก 10. นักเรียนสามารถแสดงออกทั้งแนวคิดและการมีส่วนร่วมได้ อย่างอิสระ 4.55 0.63 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยรายด้าน 4.46 0.62 มาก ด้านสื่อการเรียนรู้ 11. นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4.50 0.63 มาก 12. นักเรียนเข้าถึงแหล่งข้อมูลของการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4.43 0.63 มาก 13. นักเรียนได้รับการชี้แนะจากครูในการเลือกใช้สื่อ-อุปกรณ์การ เรียนรู้ 4.40 0.62 มาก 14. นักเรียนมีอิสระในการเลือกแหล่งเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ดังกล่าวนี้ 4.53 0.59 มากที่สุด 15. การค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาจากแหล่งต่างๆ นักเรียนและครู มีส่วนร่วมร่วมกัน 4.38 0.70 มาก คะแนนเฉลี่ยรายด้าน 4.45 0.63 มาก
42 องค์ประกอบของความพึงพอใจ ̅ S.D. ระดับความ พึงพอใจ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ 16. นักเรียนเกิดทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันจากการเรียนรู้ ด้วยรูปแบบดังกล่าว 4.53 0.59 มากที่สุด 17. นักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าความรู้ได้ด้วยตัวเองจากการ เรียนรู้ด้วยรูปแบบดังกล่าว 4.38 0.58 มาก 18. นักเรียนเข้าใจเนื้อหาบทเรียนมากยิ่งขึ้น 4.53 0.59 มากที่สุด 19. นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความารู้จากบทเรียนเข้ากับปัญหาใน ชีวิตประจำวันได้ 4.35 0.57 มาก 20. นักเรียนมีความสามารถที่จะเข้าถึงอย่างเท่าทันต่อ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4.33 0.57 มาก คะแนนเฉลี่ยรายด้าน 4.41 0.58 มาก เฉลี่ยรวม 4.43 0.63 มาก จากตารางที่ 4.2 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (̅= 4.43 , S.D. = 0.63) เมื่อพิจารณา เป็นรายด้านพบว่า ด้านบรรยากาศการเรียนรู้สูงสุด มีระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.46 , S.D. = 0.62) รองลงมาด้านสื่อการเรียนรู้ มีระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.45 , S.D. = 0.63) ด้านประโยชน์ที่ได้รับ มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (̅= 4.41 , S.D. = 0.58) ด้าน กระบวนการจัดการเรียนรู้ มีระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.38 , S.D. = 0.64)
43 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่ เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 2) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมี สมมติฐานการวิจัย คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับ สืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัด ตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 95 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ของโรงเรียนสามเงาวิทยาคม จังหวัดตาก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จำนวน 1 แผน ระยะเวลา 7 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง เป็น แบบทดสอบแบบปรนัยชนิด 5 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบข้อ คำถาม จำนวน 20 ข้อ มี 4 ด้าน ดังนี้ ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการ เรียนรู้ ด้านสื่อการเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลัง ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 โดยวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ
44 t-test for One-Sample และ วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยใช้ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5.1 สรุปผลวิจัย การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา เรื่อง หลักฐานและแนวคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) สรุปได้ดังนี้ 5.1.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบเสาะหา ความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับ เกณฑ์ร้อยละ 75 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.55 จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 5.1.2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับสืบ เสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง หลักฐานและแนวคิดที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (̅= 4.43, S.D. = 0.63) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้าน บรรยากาศการเรียนรู้สูงสุด มีระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.46, S.D. = 0.62) รองลงมาด้าน สื่อการเรียนรู้ มีระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.45, S.D. = 0.63) ด้านประโยชน์ที่ได้รับ มี ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (̅= 4.41, S.D. = 0.58) ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ มี ระดับความพึงพอใจระดับมาก (̅= 4.38, S.D. = 0.64)