The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยณวน จังหวัดสระบุรี กนกวรรณ วะนุยารักษ์ 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยณวน จังหวัดสระบุรี กนกวรรณ วะนุยารักษ์ 2566

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยณวน จังหวัดสระบุรี กนกวรรณ วะนุยารักษ์ 2566

35 2.1.2 ฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนสระบุรี ท่าร าฟ้อนร าโทนไทยวน โดยมีแม่ท่าดังนี้ 1) ท่าฟ้อนตากข้าวแตน 2) ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก 3) ท่าฟ้อนเหินเวหา 4) ท่าฟ้อนฟันไร่นา โดยมีกระบวนท่าทางที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายในท่าตั้งวง ท่าจีบ ท่าก้าวไขว้ ท่า ขยับเท้าลักษณะเด่นของการร า มีการเบี่ยงล าตัวเข้าหาคู่ร า การโยกล าตัว การร าถ่ายน้ าหนักไป ด้านหน้าไม่ยึดศูนย์กลาง การย่ าเท้าตามจังหวะ โดยเน้นที่การเคลื่อนไหวของมือในการปฏิบัติท่าร า เป็นหลัก ลักษณะการเคลื่อนวง มีทั้งแบบตามเข็มนาฬิกา ผู้แสดงมีอารมณ์สนุกสนานตลอดการแสดง เครื่องดนตรี แต่เดิมไม่มีเครื่องดนตรีชาวไทยวนจึงใช้ความเคยชินตามแนวทางของการใช้ชีวิตโดยการ ดัดแปลงใช้การตีด้วยปิ๊บ ไม่มีบทร้อง ปัจจุบัน มีเนื้อร้องแต่ร้องเอง เครื่องดนตรีคือโทน การแต่งกาย แบบฉบับพื้นบ้านไทยวน สระบุรี ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าทอที่ผลิตขึ้นเองด้วย กี่กระตุก และในปัจจุบันยังคงด ารงไว้ด้วยวัฒนธรรมการแต่งกายพื้นบ้านแบบไทยวนที่มีมาแต่ดั้งเดิม โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า ผู้หญิงจะนุ่งสิ้นลายขวางตามแบบฉบับของสาวไทยวน ส่วนผู้ชายก็จะนุ่งกางเกง ขาก๊วย และเสื้อผ้าทอลายยกมุก (วงเดือน ยะกุล, 2562, 10 มกราคม, สัมภาษณ์) ผู้ได้รับการถ่ายทอดท่าร า คนที่ 1 นางพยูง ค าพีระพันธ์ (ฟ้อนร าโทนไทยวน จังหวัดสระบุรี) (เสียชีวิตแล้ว) คนที่ 2 นางอุไร หมวกลาว (ฟ้อนร าโทนไทยวน จังหวัดสระบุรี) (เสียชีวิตแล้ว) คนที่ 3 นางพัก พุทธิ (ฟ้อนร าโทนไทยวน จังหวัดสระบุรี) (เสียชีวิตแล้ว) คนที่ 4 นายกีบ จันทร์ทอง (ฟ้อนร าโทนไทยวน จังหวัดสระบุรี) (เสียชีวิตแล้ว) คนที่ 5 นางวงเดือน ยะกุล (ตีโทนและฟ้อนร าโทน จังหวัดสระบุรี ปัจจุบัน) (ยังมีชีวิตอยู่) ภาพที่ 30 นางวงเดือน ยะกุล ผู้ตีโทนและฟ้อนร าโทน จังหวัดสระบุรี ปัจจุบัน ที่มา: ผู้วิจัย


36 ภาพที่ 31 การร าโทนของชาวไทยวนสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 32 การร าโทนของชาวไทยวนสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 33 การร าโทนของชาวไทยวนสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย


37 จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยสรุปได้ว่า การฟ้อนของชาวไทยวนเลียนแบบลีลาท่าร าจากอาชีพ ที่นิยมกันในท้องถิ่น การแสดงของชาวไทยวน เป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวิถีชีวิตของชาว ไทย วนตามโอกาสต่างๆ การแสดงมีทั้งความอ่อนช้อยงดงามในลีลา ความพร้อมเพียงของผู้แสดงซึ่งมัก แสดงได้หลากหลายรูปแบบ ท่าทางกรีดกรายเชื่องช้าไม่มีความหมายแต่บางท่า สื่อความหมายตาม บทร้องในสมัยโบราณ ท่วงท่าของการแสดงที่เรียกว่าการ “ฟ้อน” และเพลงฟ้อนอีกแบบที่แฝงความ แข็งแรง แต่ยังคงลีลาท่วงท่าที่เป็นศิลปะในการต่อสู้ การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน รูปแบบของ การแสดงพื้นบ้านของแต่ละชุดการแสดงนั้นมีกระบวนท่าทางและลักษณะที่แต่ต่างกันโดยมีเทคนิค ลีลาแม่ท่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ท่าร าฟ้อนร าโทนไทยวน โดยมีแม่ท่าดังนี้ 1. ท่าฟ้อนตากข้าวแตน 2. ท่าฟ้อนเหินเวหา 3. ท่าฟ้อนฟันไร่นา 4. ท่าฟ้อนแม่กา ตากปีก ที่แม่ท่าหลักในการร าและมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมประเพณี 2.2 หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ประวัติการก่อตั้งหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรี “หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรีตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ าป่าสัก ติดกับถนน สายสระบุรี - ปากบาง กิโลเมตรที่ 3 พื้นที่ รอยต่อระหว่างอ าเภอเมือง และอ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี โดยมีลักษณะของอาคารต่าง ๆ เป็น เรือนไทยขนาดกลางบนพื้นที่ 2 ไร่ หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนแห่งนี้ได้ฤกษ์ลงเสาเอกในวันที่ 9 เดือน 9 คริสต์ศักราช 1999 หรือ วันที่ 9 เดือนกันยายน พุทธศักราช 2542 นั่นเอง และสร้างเสร็จ สมบูรณ์ในเดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช 2542 ทรงชัย วรรณกุล ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อตั้งหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งหอวัฒนธรรมไทยวน จังหวัดสระบุรี แห่งนี้เนื่องมาจากแนวคิด 3 ส ได้แก่ ส ที่หนึ่ง สืบสาวเรื่องราวความเป็นมา ส ที่สอง สานต่อวัฒนธรรมให้คงไว้ และ ส ที่สาม เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชนไทยวน ทรงชัย วรรณกุล สานต่อแนวคิด 3 ส โดยเริ่มจากสืบสาวเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่น ฐานของชาวไทยวนในอ าเภอเสาไห้ และอีกหลายอ าเภอในจังหวัดสระบุรี ใช้เวลา สืบสานเรื่องเป็น เวลานาน ทั้งจากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังมีชีวิตอยู่และศึกษาจากพงศาวดารต่าง ๆ จนได้ข้อมูลที่ เชื่อถือได้ เมื่อรวบรมข้อมูลทั้งหมดแล้วจึงด าเนินการ ส ที่สอง คือ ท าการฟื้นฟู รักษาและเผยแพร่ วัฒธรรมชาวไทยวนให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และ ส สุดท้าย อาจารย์สร้างหอ วัฒนธรรมแห่งนี้ขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ รวบรวมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ตลอดจนเป็นนิทรรศการ และเป็นที่พบปะ ทางวัฒนธรรมของชาวไทยวน สระบุรี กล่าวได้ว่า ทรงชัย วรรณกุล สร้างหอวัฒนธรรมไทยวนแห่งนี้ ขึ้นเพื่อเป็น แหล่งศึกษาทางวัฒนธรรมและเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งจะ ส่งผลระยะยาวที่ ยั่งยืนส าหรับการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณี ชาวไทยวนในอนาคต หอ วัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรีเกิดจากแรงบันดาลใจของนายทรงชัย วรรณกุล ที่ต้องการจะ อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน จึงได้เริ่มรวบรวมสถานที่และสิ่งของ อาทิ เรือน ของเจ้าเมืองสระบุรี เรือนของพันตรีหลวงจบกระบวนยุทธ เรือนของเสือคง โจรเลื่องชื่อในอดีตใน จังหวัดสุพรรณบุรี ผ้าทอโบราณ เรือพื้นบ้านที่ใช้ลุ่มน้ าป่าสักและภาคกลางกว่า 20 ล า โดยอาจารย์


38 ตั้งใจว่าจะให้เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของกลุ่มชาติ พันธุ์ไทยวนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มชาวล้านนาที่ถูกกวาดต้อนอพยพมาจากเมืองเชียงแสน เมื่อ ประมาณ 200 ปีที่แล้ว ในปี 2536 มีการจัดตั้งชมรมไทยวนสระบุรีขึ้น เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดในเอกลักษณ์ ของชาวไทยวน อาทิ ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย การกินขันโตก และต่อมาในปี2539 ได้มี โครงการ Thing Earth ของบริษัทสยามกลการ เข้ามาสนับสนุนในการจัดตั้งเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไทยวน พื้นที่จัดแสดง คือ ส่วนของเรือนไทยและพื้นที่โดยรอบ เป็นการจ าลองให้มีองค์ประกอบ เหมือนบ้านที่อยู่อาศัยจริง ๆ ทั้งเรือนหลัก เรือนย่อย ห้องโถง ห้องนอน โดยทุกห้องจะจัดแสดงวัตถุ และบรรยากาศแบบชาวไทยวน แบ่งเป็น 1) ประวัติและวิวัฒนาการ ความเป็นมาของชาวไทยวนที่อพยพลงมาจากเมืองเชียงแสน เมื่อ 200 ปีที่แล้ว 2) วิถีชีวิตของ จัดจ าลองบรรยากาศความเป็นอยู่ของชาวไทยวนผ่านเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ท ามาหากิน 3) กลุ่มชนเผ่า นิทรรศการเอกลักษณ์ของชาวไทยวน เอกลักษณ์การแต่งกายภาษาพูด อาหารการกิน เป็นต้น 4) วัฒนธรรมและประเพณีจัดกิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรม การกินอาหารแบบขันโต 5) ภูมิปัญญา ในการประดิษฐ์เครื่องใช้ เครื่องมือในการท าการเกษตร การประมง (สงัด วรรณกุล, 2562, 20 มกราคม, สัมภาษณ์) ภาพที่ 34 นางสงัด วรรณกุล ที่มา: ผู้วิจัย


39 ภาพที่ 35 หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 36 หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย 2.2.1 การแสดงพื้นเมืองของชาวไทยวนที่ปรากฏในหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี การแสดงของชาวไทยวน เป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นจากวิถีชีวิตของชาวไทยวนมีทั้ง ความอ่อนช้อยงดงามในลีลาท่วงท่าของการแสดงที่เรียกว่า ฟ้อน และเพลงฟ้อนอีกแบบที่แฝงความ แข็งแรงแต่ยังคงลีลาท่วงท่าที่เป็นศิลปะในการต่อสู้ การแสดงพื้นเมืองของชาวไทยวนมีดังต่อไปนี้ 1) ฟ้อนเล็บ เป็นการแสดงร่ายร าทางภาคเหนือที่ผู้แสดงแสดงถึงความพร้อมเพียง ของผู้แสดงซึ่งมักแสดงเป็นหมู่ท่าทางกรีดกรายเชื่องช้าไม่มีความหมาย แต่บางท่าก็มีความหมาย ตามที่ท่าและบทร้องในสมัยโบราณ โดยที่ผู้แสดงจะใส่เสื้อแขนยาวนุ่งผ้าสิ้นยาวกรอมเท้าเก้าผมมวย สูง ติดดอกไม้ห้อยอุบะสวมเล็บยาวทุกนิ้วเว้นนิ้วหัวแม่มือไว้ "ฟ้อนเล็บ" ด้วยเห็นว่าเป็นการฟ้อนที่ เป็นเอกลักษณ์ของ "คนเมือง" ซึ่งหมายถึง คนในถิ่นล้านนาที่มีเชื้อสายไทยวน และเนื่องจากการเป็น การแสดงที่มักปรากฏ ในขบวนแห่ครัวทานของวัดจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ฟ้อนแห่ครัวทาน" ต่อมา มีการสวมเล็บที่ท าด้วยทองเหลืองทั้ง 8 นิ้ว (ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ) จึงได้ชื่อว่า "ฟ้อนเล็บ”


40 ภาพที่ 37 ภาพการแสดงชุดฟ้อนเล็บ ที่มา: ผู้วิจัย 2) ฟ้อนเทียน เป็นระบ าที่อ่อนช้อยลักษณะท่าทางเป็นการก้าวเท้าเรียงกันช้า ๆ มือ ถือเทียนจุดไฟใช้ฟ้อนในเวลากลางคืน ความงามของการฟ้อนอยู่ที่ความเป็นระเบียบความพร้อม เพรียงและแสงไฟจากเทียน การร่ายร าที่เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้เทียนดับ นับเป็นศิลปะที่ สวยงาม ฟ้อนเทียนนี้เข้าใจว่าเกิดจากการบวงสรวงสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3) ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนของสาวชาวเหนือที่เลียนแบบลีลาท่าร าจากอาชีพที่ นิยมกันในท้องถิ่นคือ การทอผ้าไหมฟ้อนสาวไหมมีลีลาท่าร าที่ประกอบด้วยท่าปั่นด้าย สาวไห ม กลอไหม ม้วนไหม จนถึงทอเป็นผืนผ้า ถือได้ว่าฟ้อนสาวไหมนี้แสดงถึงวิธีการผลิตผ้าไหม เพลงที่ใช้ บรรเลงเป็นเพลงฝันป้ายเมืองน่าน บรรเลงโดยดนตรีพื้นเมือง ฟ้อน คือ การร่ายร า สาวไหม หมายถึง การดึงเส้นด้ายออกเป็นเส้น เพื่อน าไปทอเป็น เครื่องนุ่งห่มต่อไป ค าว่าไหม ในภาษาล้านนา หมายถึง เส้นด้าย ที่มีสีขาวขุ่นคล้ายสีของ ด้ายดิบ จึงเรียกว่า งัวไหม กิจกรรมในวิถีชีวิตของชาวล้านนาส่วนใหญ่ผูกพันกับด้ายที่มาจากฝ้าย เพราะท าไร่ ฝ้าย ซึ่งเป็นพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ มิได้มีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเหมือนภาคอื่น ดังนั้น ค าว่า สาวไหม จึงมิได้หมายถึง การสาวหรือดึงเส้นไหม ที่เป็นเส้นใยของตัวไหมแต่ประการใด (สนั่น ธรรมธิ, 2550, น. 10) ภาพที่ 38 ภาพฟ้อนสาวไหม ที่มา: ผู้วิจัย


41 4) ตีกลองสะบัดชัย ค าว่า สะบัด หมายถึง ตี ค าว่า ชัย หมายถึง ชนะ การตีเพลงสะบัด ชัยเป็นการตีกลองเพื่อปลุกใจให้ทหารเกิดความฮึกเหิมล าพองก่อนจะออกรบ เมื่อได้ชัยชนะก็บรรเลง เพื่อเย้าให้คนทั้งหลายรู้ การตีกลองสะบัดชัยอาจประกอบด้วย ฉาบ และฆ้อง ตีกลองให้เข้ากับจังหวะ และเต้นท ามุมกับหน้ากลองให้พอดี ใช้ค้อนเป็นเครื่องมือในการตี โดยแสดงลีลาลวดลายต่าง ๆ จนถึง การใช้ท่าทางที่ผาดโผน พลิกแพลง เช่น ใช้ศีรษะ ศอก เข่า ไหล่ กระแทกกลองแผนการตีด้วยค้อน ภาพที่ 39 ภาพตีกลองสะบัดชัย ที่มา: ผู้วิจัย จากข้อมูลข้างต้น ประวัติการก่อตั้งหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนจังหวัดสระบุรี ประเพณีและ วัฒนธรรมของชาวไทยวนในจังหวัดสระบุรี เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวไทยวน และชาวบ้าน ในกลุ่ม บ้านต้นตาล ได้กล่าวถึงประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยวนสระบุรี ว่ามีการแสดงต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยม ชม การแสดงชุดฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสาวไหม การตีกลองสะบัดชัย มีประเพณีและวัฒนธรรมที่ สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนปัจจุบัน งานทางภูมิปัญญาและประเพณีต่าง ๆ ที่สืบสาวเรื่องราวความ เป็นมา สานต่อวัฒนธรรมให้คงไว้ และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของชุมชนไทยวน ในหอวัฒนธรรม พื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรี 2.2.2 ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี สถานที่แห่งนี้เกิดจากความรักงานทางด้านศิลปะการแสดงของ กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและดูแลสถานที่แห่งนี้ ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์ ร่วมงานทางด้านศิลปะการแสดงและการสร้างสรรค์งานต่างๆ เช่น เป็นสถานที่ฝึกหัดศิลปะการต่อสู้ ฝึกหัดศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย และสร้างสรรค์งานประดิษฐ์จากภูมิปัญญา ในการประดิษฐ์ เครื่องใช้ เป็นต้น โดยมีการพัฒนาฟื้นฟูวัฒนธรรมแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ รวบรวม ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน และอนุรักษ์รูปแบบการแสดง รักษาเผยแพร่วัฒธรรมชาวไทยวนให้เป็นที่รู้จัก มากยิ่งขึ้น จึงเกิดจากแรงบันดาลใจของ กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ ที่ต้องการจะอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนต่อไป


42 ภาพที่ 40 สถานที่ฝึกหัดศิลปะการต่อสู้ ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 41 สถานที่ฝึกหัดศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 42 ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี ที่มา: ผู้วิจัย


43 สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ตักน้ าจากแม่น้ าป่าสัก ซึ่งเป็นหนึ่งในเบญจสุทธิคงคา น้ าศักดิ์สิทธิ์จาก แม่น้ าสายส าคัญ 5 สาย ที่ใช้ในพิธีถือน้ าพิพัฒน์สัตยาอันศักดิ์สิทธิ์ (พิธีบรมราชาภิเษก) ของราชวงศ์ จักรีซึ่งบริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของ กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ อุทิศเพื่อสาธารณประโยชน์แก่ชุมชนชาว ไทยวนจังหวัดสระบุรี ปวิณ ช านิประศาสน์รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ผู้ว่าราชการจังหวัด สระบุรีน าหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนประกอบพิธีซ้อมเสมือนจริงพิธีพลีกรรมตักน้ า จากแหล่งน้ าศักดิ์สิทธิ์จังหวัดสระบุรีเพื่อประกอบพิธีท าน้ ามุรธาภิเษกและน้ าอภิเษกเนื่องในพระราช พิธีบรมราชาภิเษก ณ แม่น้ าป่าสัก บ้านท่าราบ ต าบลต้นตาล อ าเภอ เสาไห้จังหวัดสระบุรีจากนั้นได้ อัญเชิญขบวนน้ าอภิเษก แห่ขบวนอันงดงามไปยังวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี เพื่อเตรียมจัดท าพิธีมหาพุทธภิเษกเจริญพระพุทธมนต์เสกน้ าอภิเษกในล าดับต่อไป และในครั้งนี้ได้มี กลุ่มหญิงสาวไทยเชื้อสายญวนในพื้นที่ จ านวน 266 คน เข้าร่วมพิธีชักลากรถบุษบกอัญเชิญน้ า ศักดิ์สิทธิ์ด้วย ภาพที่ 43 บริเวณสถานที่ใช้ประกอบพิธีส าคัญในโอกาสต่างๆ ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่ 44 บริเวณสถานที่ใช้ประกอบพิธีส าคัญในโอกาสต่าง ๆ ที่มา: ผู้วิจัย


44 จังหวัดสระบุรีได้มีการจัดเตรียมพื้นที่ในการตักน้ าศักดิ์สิทธิ์ณ ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนก อุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์จังหวัดสระบุรีหมู่ที่ 6 บ้านท่าราบ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เรื่องราวของท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์นั้นมีมาแต่อดีตตั้งแต่เมื่อครั้งต้นราชวงศ์จักรีความว่าพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จหัวเมืองปริมณฑลจังหวัดสระบุรี พระองค์ทรงเรือพระที่นั่งมาติด สันดอนกลางหาดแม่น้ าป่าสัก ณ บ้านท่าหินลาดต าบลท่าราบ อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ครั้นเมื่อ การเป็นเช่นนั้นจึงได้เกณฑ์ไพร่พล บริเวณริมข้างล าน้ าเพื่อที่จะชักลากเรือให้พ้นเขตสันดอน เรือได้ ชักลากโดยกรมวังเกณฑ์หญิงสาวชาวพายัพ หรือในปัจจุบันคือกลุ่มชาวไทยวนได้ชักลากเรือ จ านวน 217 นางเพื่อให้พ้นสันดอนจนมาถึงบ้านท่าราบหมู่ที่ 6 ต าบลท่าราบ อ าเภอเสาไห้ระยะทาง 1 กิโลเมตรเศษ พระองค์ทรงให้หยุดพักและทรงเสด็จพระราชด าเนินยังหาดทรายสีขาวแล้วเสด็จ พระราชด าเนินเลียบหาดทรายและสรงน้ าจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยจึงได้พระราชทานเงินรางวัลแด่ ผู้ที่ชักลากเรือในคราวนั้นเป็นเหตุให้ท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์สระบุรีได้เป็นท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ของเบญจสุทธิคงคา เพื่อที่จะน าน้ าเข้าพิธีบรมราชาภิเษกในล าดับรัชกาลถัดไป ภาพที่ 45 กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ ที่มา: ผู้วิจัย โดยน้ าท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้เป็นน้ ามหามุรธาภิเษก คือน้ ารดพระเศียรพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมีเพียง 9 แหล่งน้ าคือ 4 สระน้ าจากจังหวัดสุพรรณบุรี 1) น้ าศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ าเจ้าพระยา 2) น้ าศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ าบางปะกง 3) น้ าศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ าเพชรบุรี 4) น้ าศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ าราชบุรี


45 5) น้ าศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ าป่าสัก ณ บ้านท่าราบ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัด สระบุรี ซึ่งเป็นที่น่าภาคภูมิใจของพสกนิกรชาวจังหวัดสระบุรีเป็นอย่างยิ่ง (กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ, 2562, 20 มกราคม, สัมภาษณ์) จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นศูนย์รวมในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยวนจังหวัด สระบุรี และยังเป็นสถานที่ฝึกหัดศิลปะการแสดงต่อสู้ เป็นสถานที่ฝึกหัดศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ร่วม สมัย เป็นบริเวณสถานที่ใช้ประกอบพิธีส าคัญต่างๆ และเป็นแหล่งพัฒนารูปแบบการแสดงที่ สร้างสรรค์ รูปแบบของการแสดงสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของชาวไทยวนที่ยังคงอยู่ สถานที่แห่งนี้เป็นจุด ศูนย์รวมเพื่อดึงดูดความทรงสนใจของผู้มาเยี่ยมชมและผู้ที่สนใจศึกษาเอกลักษณ์ของชาวไทยวน สถานที่แห่งนี้ ได้สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของชาวไทยวนสู่สังคมต่อไป แหล่งวัฒนธรรมศิลปะการแสดงของชาวไทยวนสระบุรีทั้งประวัติความเป็นมาของ ประวัติวัด ต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรี และ ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีล่วงเป็น สถานที่ส าคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับชาวไทยวนโดยตรง จากประวัติความเป็นมาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวไทยวน การท ามาหากิน การประกอบอาชีพ ประเพณีพื้นบ้าน ความเชื่อ การแต่งกาย และการแสดงพื้นบ้าน ที่สะท้อนให้เห็นว่ามีเอกลักษณ์ที่ควรสืบสานและพัฒนาให้คงอยู่ต่อไป 3. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.1 แนวคิดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) วัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญา เป็นสิ่ง สะท้อนถึงการเรียนรู้ สั่งสม ความสามารถของผู้คนในท้องถิ่น อันเกิดจากการสั่งสมสติปัญญาความรู้ที่ หลากหลาย และการปรับตัวผสมผสานให้เกิด ความกลมกลืนกับธรรมชาติ สะท้อนความเป็น อัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของกลุ่มชน กระบวนการเหล่านี้ ได้ผ่านมาจากอดีตจนสืบทอดเป็นวิถี ในการดาเนินชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพสังคม ในปัจจุบัน อนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกที่ถูกประกาศใช้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ได้ให้ความหมาย มรดก โลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) และมรดกทางธรรมชาติ(Natural Heritage) ซึ่งในอนุสัญญาว่าด้วยการ คุ้มครองมรดกโลกได้ให้ค านิยามไว้ว่า มรดกทาง วัฒนธรรม (Cultural Heritage) หมายถึง สถานที่ซึ่ง เป็นโบราณสถานไม่ว่าจะเป็นงานด้าน สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม หรือแหล่งโบราณคดี ทางธรรมชาติ เช่น ถ้าหรือกลุ่มสถานที่ ก่อสร้างยกหรือเชื่อมต่อกันอันมีความเป็นเอกลักษณ์ หรือ แหล่งสถานที่ส าคัญอันอาจเป็นผลงานฝีมือ มนุษย์หรือเป็นผลงานร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี ซึ่ง สถานที่เหล่านี้ มีคุณค่าความล้ าเลิศทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ มนุษยวิทยา หรือวิทยาศาสตร์และ หมวดที่1 นิยามของมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติมาตราที่1 (Article No.1) ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา "มรดกทางวัฒนธรรม" มีความหมายครอบคลุม ถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้


46 อนุสรณ์สถาน ผลงานทางสถาปัตยกรรม ผลงานทางประติมากรรมหรือจิตรกรรม ส่วนประกอบหรือโครงสร้างของโบราณคดีธรรมชาติ จารึก ที่อยู่อาศัย และร่องรอยที่ผสมผสานกัน ของสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะหรือ วิทยาศาสตร์ กลุ่มอาคาร กลุ่มของอาคารที่แยกจากกันหรือเชื่อมต่อกันโดยลักษณะทาง สถาปัตยกรรม หรือโดยความสอดคล้องกลมกลืน หรือโดยสถานที่จากสภาพภูมิทัศน์ ซึ่งมีคุณค่าโดด เด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือ วิทยาศาสตร์ แหล่งผลงานที่เกิดจากมนุษย์ หรือผลงานที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ และบริเวณอันรวมถึงแหล่งโบราณคดี ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่น ในระดับสากลในมิติทางประวัติศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ชาติวงศ์วิทยา หรือมานุษยวิทยา (วศิน อิงคพัฒนากุล, 2548, น. 5) ได้ให้ความหมายของ มรดกทางวัฒนธรรมไว้ว่าสามารถพิจารณาได้ ในหลายแง่มุม และหลายระดับ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลักที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมเป็น ส าคัญ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในความหมายดังกล่าว จึงก าหนดไว้ว่า มรดกทาง วัฒนธรรมหมายถึง ผลงานของคนนิรนามที่เกิดจากการคิดค้นการประดิษฐ์ สร้างสรรพสิ่งที่ถือกันว่า เป็นสิ่งดีงามที่ผ่านจากยุคหิน เติบโต ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง สืบต่อจากสภาพของกาลเวลาและ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม แล้วเรียนรู้สืบทอดต่อๆ กันมาและยังคงเหลือเป็นหลักฐานให้ เห็นอยู่แม้ปัจจุบัน ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้ให้ความหมายมรดกทางวัฒนธรรมว่า คือ ค าที่มีหมายถึง มรดก (Heritage) ที่แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1) มรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ในรูปแบบกายภาพเป็นรูปธรรมจับต้องได้ (Tangible Heritage) แบ่งเป็น มรดกทางวัฒนธรรมที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ (movable cultural heritage) เช่น ภาพเขียน ประติมากรรม เหรียญตรา และบันทึกหรือจารึกโบราณ ฯลฯ มรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่ สามารถ เคลื่อนย้ายได้ (immovable cultural heritage) เช่น อนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ แหล่งโบราณคดี ฯลฯ และมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ใต้น้ า (underwater cultural heritage) เช่น ซากเรืออับปาง โบราณสถานหรือเมืองเก่าที่ถูกน้ าท่วม หรือจมอยู่ใต้ทะเล 2) มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ (Intangible Heritage) เช่น การใช้ ภาษา การแสดงนาฏศิลป์ พิธีกรรมตามความเชื่อ ส าหรับคณะกรรมการมรดกโลก (The World Heritage Committee) ที่เป็นคณะกรรมการจาก ตัวแทนนานาประเทศจัดตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความ ร่วมมือในหมู่ประเทศภาคี ในการก าหนดมาตรการที่ เหมาะสมทั้งด้านนโยบายการบริหารเทคนิคและ การเงินเพื่อสงวนรักษา คุ้มครองและส่งเสริม มรดก ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่มีความส าคัญต่อ มวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป หรือตามกฎหมายไทยที่ เรียกว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” ได้แก่ ภาษา ศิลปะการแสดง งานช่างฝีมือดั้งเดิม เป็นต้น แม้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมทั้งสองประเภท จะมีความหลากหลายในตัวเองอยู่มากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถแบ่งแยกเนื้อหางานทั้งสองประเภทได้ ชัดเจนเด็ดขาด เนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้และ จับต้องไม่ได้ล้วนมีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาโดยตลอด โดยเฉพาะงานจับต้องได้ ซึ่งเป็นรูปธรรมนั้นมี พื้นฐานมาจากแนวความคิด ความเชื่อและทักษะเทคนิคอันเป็นลักษณะ นามธรรมของงานจับต้อง ไม่ได้ลักษณะดังกล่าวจึงก่อให้เกิดความไม่หลากหลายในความหลากหลาย ของมรดกทางวัฒนธรรม


47 ขึ้น แสดงให้เห็นความโดดเด่นของพัฒนาการทางวัฒนธรรมที่ได้รับการ ยอมรับและถ่ายทอดสืบมา อันจะน าไปสู่การคุ้มครองและสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมสืบไป กรมศิลปากรจ าแนกประเภทของมรดกทางวัฒนธรรมเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม หมายถึง วัตถุ หรือสถานที่ที่เกิดขึ้นจากฝีมือการ ประดิษฐ์ คิดค้น การดัดแปลง การอยู่อาศัย หรือใช้ประโยชน์จากมนุษย์ สามารถมองเห็นและจับต้อง ได้สิ่งต่างๆ ดังกล่าวอาจจะใช้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วทิ้งร้างไป หรือใช้ประโยชน์มาจนกระทั่ง ปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย 2) มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม ครอบคลุมถึงความคิด ความเชื่อ ประเพณี ขนบธรรมเนียม แบบแผนและข้อปฏิบัติในกลุ่ม หรือสังคม ซึ่งเป็นที่ยอมรับและปฏิบัติสืบทอดกันมา อย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสารทสัมผัส ต่อเมื่อได้นาวัฒนธรรม ที่ เป็นนามธรรมไปประพฤติปฏิบัติแล้วจึงเกิดเป็นวัฒนธรรมรูปธรรม 3.2 แนวคิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญา 1) แนวคิดการสร้าง และการถ่ายทอดความรู้ ความรู้ทั้งสองประเภทมีความส าคัญต่อองค์กร โดยเฉพาะความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ การท างาน หากมีการดึงความรู้โดยนัยออกมาใช้แล้วแปลงให้เกิดเป็นความรู้ใหม่จนเกิดการ เรียนรู้ เพิ่มขึ้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของความรู้ที่เรียกว่า เกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) หรือSECI Model ของ Nonaka และTakeuchi (1995) (อ้างใน บุญดี บุญญากิจ , 2547, น. 23 - 25) เป็นการอธิบายการถ่ายทอดความรู้และการเปลี่ยนรูปแบบของความรู้ทั้งสอง ประเภท จนเกิดเป็นความรู้ใหม่ มีขั้นตอนทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่Socialization, Externalization, Combination และ Internalization คือ (1) ในขั้นตอน Socialization หรือ วิธีการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ถูกสร้างขึ้น ผ่านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโครงสร้างทางสังคม การกระท าที่มีปฏิสัมพันธ์กับ สภาพแวดล้อมส่งผลให้เกิดการขยายความรู้ผ่านกระบวนการแปลงความรู้โดยนัยเป็นความรู้ชัดแจ้ง การสร้างความรู้เริ่มต้นด้วยกระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือ Socialization เป็น การแลกเปลี่ยน ความรู้แบบความรู้โดยนัยไปเป็นความรู้โดยนัย (Tacit to Tacit) ซึ่งเป็น ขั้นตอนในการแปลงความรู้ โดยนัย หรือความรู้ที่อยู่ภายในตัวบุคคล ผ่านการแบ่งปัน ประสบการณ์รวมกันสร้างปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมในแต่ละวันเนื่องจากความรู้โดยนัยเป็นเรื่องยากที่จะถูกถ่ายทอดอย่างเป็นทางการ เพราะมักจะ เกิดขึ้นจากการมีประสบการณ์ตรง เช่น การใช้เวลาร่วมกัน หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันการ พบปะพูดคุยในรูปแบบทั้งทางการ และไม่เป็นทางการ วิธีการในกระบวนการ Socialization จึงเป็น การจัดให้คนมีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการฝึกทักษะในทางปฏิบัติที่จะก่อให้เกิดการ เรียนรู้โดยนัยได้การปฏิบัติจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรู้ฝังลึกเนื่องจากได้รับการพัฒนาโดย ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างใกล้ชิด ดังนั้น Socialization จึงเป็นการแบ่งปัน และสร้างความรู้จากความรู้โดยนัยไปสู่ความรู้โดยนัย โดยมีสิ่งส าคัญคือการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ตรงระหว่างผู้ที่สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน


48 (2) Externalization หรือ กระบวนการกระจายสู่ภายนอก เป็นการแลกเปลี่ยน ความรู้แบบความรู้โดยนัยไปเป็นความรู้ชัดแจ้ง (Tacit to Explicit) ซึ่งเป็นหัวใจของ กระบวนการ สร้างความรู้เนื่องจากเป็นการดึงความรู้โดยนัยจากตัวบุคคลผู้ถ่ายทอดออกมา เป็นความรู้ที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อที่จะสามารถถ่ายทอด หรือ ส่งต่อความรู้นั้นไปสู่บุคคลอื่น ๆ จนกลายเป็นฐานความรู้ใหม่ เช่น แนวคิด รูปภาพ เอกสาร หรือผ่านการการพูดคุยถกเถียงที่ท าให้เกิด กระบวนการสังเคราะห์ความรู้ แปลงความรู้โดยนัย ออกมาเป็นความรู้ ชัดแจ้งที่อยู่ในลักษณะเป็น แนวคิดต้นแบบ (3) Combination ขั้นตอนนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้แบบความรู้ชัดแจ้งไปเป็น ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit to Explicit) โดยความรู้ชัดแจ้งที่รวบรวมทั้งภายในและนอกองค์กรจะถูกรวม แก้ไข และประมวลผล เพื่อจัดการความสลับซับซ้อนให้เป็นระบบ ผ่านกระบวนการรวบรวมความรู้ จนกลายเป็น องค์ความรู้ใหม่เป็นกระบวนการที่ท าให้ความรู้สามารถจับต้องได้ น าไปใช้ได้และใช้งาน ร่วมกันได้ ความรู้ชัดแจ้งจะถูกรวมกันโดยอาศัยการแลกเปลี่ยนของบุคคลเป็นหลัก และเกิดการ รวมตัวกันผ่านการสื่อสารช่องทางต่างๆ เช่น การประชุม การสัมมนา การติดต่อผ่านฐานข้อมูลบน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งความแตกต่างของความรู้ ที่น ามา รวมกันนั้นสามารถจัดการได้ด้วย การคิดเชิงตรรกะมากกว่าการสังเคราะห์ เป็นการจัดระบบ ความรู้จากหลักความเป็นเหตุเป็นผลที่มี ประสิทธิภาพในกระบวนการรวมความรู้ชัดแจ้ง (4) Internalization เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้แบบความรู้ชัดแจ้งไปเป็นความรู้ โดยนัย (Explicit to Tacit) เกิดจากการท าความเข้าใจในความรู้แบบชัดแจ้งของบุคคล จนเกิดเป็น ความรู้ขึ้น ขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้จากการกระท า (Learning by doing) เนื่องจากความรู้ชัดแจ้งที่สร้างขึ้นและใช้ร่วมกันจะถูกแปลงเป็นความรู้โดยนัยโดยตัวบุคคลผ่าน กระบวนการรวมความรู้สู่ภายในตัวตน ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นความเข้าใจในทางปฏิบัติ ซึ่งองค์ความรู้นั้น จะถูกประยุกต์และน ามาใช้ในสถานการณ์จริง จนกลายเป็น พื้นฐานในการปฏิบัติครั้งใหม่ ดังนั้นความรู้ชัด แจ้งที่มีจะต้องถูกน ามาปฏิบัติหรือสะท้อนความคิด อันก่อให้เกิดประสบการณ์จึงจะสามารถกลายเป็น ความรู้โดยนัยของบุคคลได้อย่างแท้จริงความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นจึงมีลักษณะที่เรียกว่า “ความรู้เชิงปฏิบัติการ” ยกตัวอย่างเช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการที่สามารถช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจเนื้อหาองค์ความรู้ได้ มากกว่าการนั่งฟังเพียงอย่างเดียว ความนิยมในการเรียนรู้โดยการกระท าคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพ โดย ผ่านการอ่านหนังสือ เอกสารแล้วท าความเข้าใจ หรือผ่านการฝึกปฏิบัติการน าเอาความรู้ไปใช้กระบวนการ ต่างๆ จะเกิดขึ้นหมุนวนกันไปซ้ าแล้วซ้ าเล่า ซึ่งในแต่ละ กระบวนการที่เกิดการเปลี่ยนรูปแบบระหว่าง ความรู้โดยนัยกับความรู้ชัดแจ้งจะท าให้เกิดความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นยิ่งสามารถกระตุ้นให้กระบวนการทั้ง 4 เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น เกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) และยิ่งเกลียวความรู้หมุนเร็วเท่าไหร่ก็ จะทาให้เกิดความรู้เพื่อน าไปใช้ประโยชน์กับองค์กรได้มากขึ้น 2) ปัจจัยความส าเร็จในการถ่ายทอดความรู้ (Key Success Factors) ประกอบด้วย (1) ภาวะผู้น าและกลยุทธ์ (Leadership and Strategy) เป็นสิ่งส าคัญที่ท าให้การ ถ่ายทอดความรู้ประสบความส าเร็จ เนื่องจากผู้บริหารต้องเข้าใจแนวคิดและตระหนักถึงผลประโยชน์ ที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนผลักดันสร้างบรรยากาศให้เกิดการท างาน เป็นทีม ท า ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ของของผู้ปฏิบัติงาน


49 (2) วัฒนธรรมองค์กร (Organizational Culture) เช่น วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยน และแบ่งปันความรู้ระหว่างบุคคล ซึ่งบางครั้งอาจเกิดปัญหาไม่ยอมแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน เพราะกลัวความส าคัญของตนเองจะหมดไป ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่กีดกันไม่ให้เกิดการถ่ายทอดความรู้จึง ต้องมีการจัดการ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Transition and Behavior Management) เนื่องจาก วัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ส าคัญมากส าหรับองค์กรเพราะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนและเป็นสิ่งที่ เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มต้นจากการที่คนในองค์กรมีการ แลกเปลี่ยน แบ่งปัน และถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเป็น สิ่งที่ต้องท า อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเชื่อและพฤติกรรมที่องค์กรต้องการปรับเปลี่ยนเพื่อ เป็นบรรทัดฐาน และค่านิยมจนก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมขึ้นมาได้ โดยกระบวนการนี้ต้องเน้นไปที่เรื่องการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของคนในองค์กรให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยการ ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง (3) การสื่อสาร (Communication) เป็นหัวใจหลักที่ ท าให้คนเข้าใจถึงสิ่งที่ก าลังจะ เกิดขึ้น สิ่งที่องค์กรต้องสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจคือ เป้าหมายคือ อะไร สิ่งที่ก าลังท าคืออะไร และมีแนว ทางการไปถึงเป้าหมายอย่างไร ซึ่งองค์กรจะต้องมีการ วางแผนการสื่อสารอย่างเป็นระบบและท า อย่างต่อเนื่องสม่ าเสมอตราบเท่าที่องค์กรต้องการ ให้การจัดการความรู้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ การถ่ายทอดความรู้เกิดขึ้นจนกลายเป็น วัฒนธรรมโดยต้องค านึงถึงองค์ประกอบหลัก 3 อย่างด้วยกัน คือ เนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร กลุ่มเป้าหมาย และช่องทางในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การ แลกเปลี่ยนและ ถ่ายทอดความรู้ท าได้ง่ายขึ้นสามารถค้นหาความรู้ และดึงองค์ความรู้ไปปรับใช้เพื่อ พัฒนาการท างาน หรือต่อยอดสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น (4) กระบวนการและเครื่องมือ (Processes and Tools) เปรียบเสมือนแกนหลักที่จะ ช่วยให้พฤติกรรมของการ แลกเปลี่ยนความรู้ในองค์กรสามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่ง การเลือกใช้เครื่องมือและกระบวนการต้องให้ความส าคัญกับความรู้ทั้ง 2 ประเภท คือ Tacit คือ ความรู้ที่อยู่ในตัวคนจะสามารถสื่อสารได้ดีที่สุดผ่านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้ให้ความรู้และ ผู้รับความรู้ และ Explicit เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ประเภทนี้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เครื่องมือยังสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอด ข้อมูลระหว่างบุคคลหรือ หน่วยงาน รวมถึงอ านวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล สามารถแบ่งออกได้2 กลุ่ม ดังนี้ (ก) เครื่องมือที่ช่วย ในการเข้าถึงความรู้ ซึ่งเหมาะกับ ความรู้ประเภท Explicit ได้แก่ การจัดเก็บความรู้และวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศไว้ในรูปแบบเอกสาร หรือ สารสนเทศ ที่คนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้นั้น ได้ง่าย (ข) เครื่องมือที่ช่วยในการถ่ายทอดความรู้ ซึ่งเหมาะกับความรู้ประเภท Tacit แม้องค์กรจะพยายามจัดท าเอกสารและฐานข้อมูล หรือสร้าง ช่องทางต่างๆ เพื่อให้คนเข้าถึง ความรู้ได้แต่ส าหรับความรู้Tacit ต้องอาศัยการถ่ายทอดโดยการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นหลัก (5) การวัดผล (Evaluation) เป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยบ่งบอกถึงสถานะของกระบวนการ หรือกิจกรรมต่างๆ ซึ่งผลจากการวัดจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลที่จะช่วย ให้องค์กร สามารถทบทวนแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องในกระบวนการต่างๆ ได้ ทั้งนี้ จุดประสงค์ของการวัดผล แท้จริงแล้วไม่ใช่เชิงควบคุมแต่เป็นเชิงการจัดการและการเรียนรู้พัฒนา


50 (6) โครงสร้างขององค์กร (Organizational Structure) ต้องเอื้อต่อการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน เรียนรู้ (7) การเรียนรู้(Learning) เป็นองค์ประกอบเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรทุก ระดับในการสร้างความเข้าใจ และสร้างความตระหนักถึงความส าคัญของการแลกเปลี่ยน ส่งต่อ ความรู้ระหว่างกัน ซึ่งปัจจัยทั้ง 7 ประการที่ผู้เขียนสรุปมานี้เป็นองค์ประกอบส าคัญที่จะช่วยให้ สามารถดาเนินกิจกรรมการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลมาก ขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่สามารถ (บุญดี บุญญากิจ, 2547, น. 23 - 25) สรุปได้ว่าปัจจัยใดมีความส าคัญมากที่สุด เนื่องจาก องค์ประกอบทั้ง 7 ประการ ต่างมี ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน หากสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้อง กัน การถ่ายทอดส่งต่อความรู้ที่มีประสิทธิภาพ จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก จากการศึกษาการถ่ายทอดความรู้สื่อสารด้วยการพูด การบรรยาย การใช้สื่อประกอบ และการ ทดลองลงมือปฏิบัติเมื่อทีมงานรับความรู้มาแล้วก็น าไปใช้ ส่งผลให้กระบวนการ “รับเข้า-น าไปใช้” เกิดขึ้นซ้ าแล้วซ้ าอีก ระหว่างนั้นเมื่อมีความรู้บางอย่างที่เกิดขึ้นในกระบวนการชัดเจนขึ้น จึงก่อให้เกิด การรวมความรู้ที่ชัดแจ้งเหล่านั้นเข้าด้วยกัน กลายเป็นองค์ความรู้ที่ถูกค้นพบใหม่ จากสิ่งที่ เกิดขึ้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่า องค์ความรู้เกิดขึ้นแบบมีพลวัต เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับความรู้ โดยที่บทบาทการเป็นผู้ให้และผู้รับความรู้นั้นจะเกิดขึ้นสลับกันอยู่ ตลอดเวลา ผ่านวิธีการปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม (Socialization) การแปลงให้เป็นความรู้ชัด แจ้ง (Externalization) การรวมความรู้ (Combination) จนนาไปสู่การแปลงความรู้สู่ ภายใน (Internalization) เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น อย่างต่อเนื่องสม่ าเสมอจะท าให้ความรู้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเมื่อน าไปปรับใช้ก็จะ ทาให้เกิดความเชี่ยวชาญขึ้น หรืออาจจะกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่าความเชี่ยวชาญที่เกิดขึ้นนั้นคือ ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการใช้ความรู้ แต่ทั้งนี้ ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) เป็น ความรู้ที่ค่อนข้างซับซ้อนขึ้นอยู่กับแต่ละลักษณะของบุคคล อาจจะส่งผลให้การเข้าถึงความรู้นั้นท า ได้ยากกว่าความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ดังนั้นจึงต้องอาศัยการเข้าร่วมกิจกรรม อย่าง ต่อเนื่องจึงจะเกิดการถ่ายทอดความรู้อย่างมีประสิทธิผล 3.3 แนวคิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในชุมชน แนวคิดที่เกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน โลกแห่งการแข่งขันภายใต้สภาวะตลาดที่เปิด กว้าง การทาธุรกิจย่อมต้อง “คิด” ให้เหนือขั้นกว่าที่เคยเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์หรือ บริการ เริ่มมีบทบาทส าคัญในการช่วย เรียกความสนใจของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ และยังสามารถ รักษากลุ่มผู้บริโภครายเดิมให้อยู่ต่อไปนาน ๆ โดยในอดีตที่ผ่านมานั้นหากผลิตภัณฑ์ หรือบริการหนึ่ง จะประสบความส าเร็จได้ในท้องตลอดสิ่งที่ส าคัญที่สุดก็คงจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักนั่นเอง ที่ต้องมีคุณภาพที่เยี่ยมยอดกว่า คู่แข่ง และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักอาจจะยังเป็นเรื่องที่ส าคัญมาก แต่มีอีกสิ่ง หนึ่งที่ก้าวขึ้นมามีส่วนส าคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ควบคู่ไปเช่นกัน ก็คือ เรื่องของ “มูลค่าเพิ่ม” ที่ติดมากับ ตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักนั้น ๆ ในบาง กรณีส่วนของมูลค่าเพิ่มจะเป็นตัวดึงดูดผู้บริโภคให้สนใจ หรือ ตัดสินใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ หรือบริการ หลัก ดังนั้นธุรกิจในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เป็นเพียง การขายตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักเพียง อย่างเดียว แต่จะต้องมีส่วนของการเพิ่มมูลค่าที่จะท าให้


51 ผู้บริโภครู้สึกได้ประโยชน์มากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการเหล่านั้น จึงจะประสบความส าเร็จได้อย่าง ที่ควรเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถสร้างได้ในหลายทาง เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิต ซึ่งบางครั้งต้องกระท าไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้ ผลส าเร็จสุดท้าย คือการได้ผลิตภัณฑ์และบริการที่มี“คุณค่าเพิ่ม” ส าหรับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย การเพิ่มคุณค่า จะต้องพิจารณาจากความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยต้องศึกษาท า ความเข้าใจว่า ผู้บริโภคมีทัศนคติอย่างไรในการบริโภคผลิตภัณฑ์ หรือบริการนั้น ๆ ทั้งด้านกายภาพ และด้านอารมณ์ ความรู้สึก ปัจจัยใดบ้างที่ทาให้ผู้บริโภคเลือกหรือไม่เลือกสิ่งใดเพื่อ การด ารงชีวิต เมื่อศึกษาข้อมูลครบถ้วนจนเข้าใจผู้บริโภค จึงจะพิจารณาโอกาสต่างๆที่จะสร้าง มูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การพิจารณาตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการ แนวคิด (Concept) เป็นเรื่องที่ส าคัญที่สุดใน การ บริหารธุรกิจเชิงกลยุทธ์ ทั้งนี้ต้องมีความรู้(Knowledge) ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ และบริบทของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี และต้องใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และ ความคิดเชิงกลยุทธ์(Strategic Thinking) ในการสร้างสรรค์แนวคิดที่แตกต่างและ โดดเด่น การพิจารณาวัตถุดิบ คัดเลือกวัตถุดิบที่มีเรื่องราวที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การเลือก วัตถุดิบ ที่เป็นของท้องถิ่น ซึ่งมีเรื่องราวและความแตกต่างที่โดดเด่น และเป็นคุณค่า การพิจารณาวิธีกระบวนการผลิต หรือวิธีการผลิต ที่อาจจะดัดแปลงให้เกิดคุณค่ามากขึ้น การพิจารณาบรรจุภัณฑ์หรือการน าเสนอให้ผู้บริโภครับรู้ถึง คุณค่าของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ สัมผัสแรก ซึ่งการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจจะสร้าง มูลค่าเพิ่ม ในเรื่องของความสะดวก การรักษา คุณภาพ ผลิตภัณฑ์ หรือความสวยงาม การพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงบริการให้กับผลิตภัณฑ์ หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้กับบริการ เช่น การบริหารช่องทางการจ าหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคซื้อได้ง่าย การบริการจัดส่ง การให้บริการ ข้อมูล เพิ่มเติม หรือการรับคืนเมื่อไม่พึงพอใจ เป็นต้น การสร้างแบรนด์ เป็นประเด็นที่ส าคัญที่สุด ในการเสริมสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ต้อง ด าเนินควบคู่กับการสื่อสารแบรนด์ การสร้างแบรนด์เป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และ บริการนั้นๆ ในภาพรวม เป็นการน ามูลค่าเพิ่ม มาแปลงเป็นคุณค่า เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ การพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่ม เรื่องการน าผลิตภัณฑ์และบริการนั้น ให้เข้าถึงผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมายที่ เป็นการเพิ่มคุณค่าต่อผู้บริโภคในด้านความสะดวกความส าคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในปัจจุบันการ ด าเนินธุรกิจมีการแข่งขันอย่างรุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงแนวคิด กลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถท าให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มมีความส าคัญต่อการด าเนิน ธุรกิจ (พูนลาภ ทิพชาติโยธิน, 2553, น.87-89) จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม คือสิ่งที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ ทางการแข่งขันโดยผ่านการสร้างคุณค่าส าหรับลูกค้าที่ดีขึ้น (Customer Value) โดย มีขั้นตอนการ ผลิต หรือบริการที่ดีกว่า เพื่อการเป็นผู้น าในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ นอกจากการสร้างความแตกต่างในตลาด แล้วการสร้างมูลค่าเพิ่มจะเป็นตัวช่วยในการสร้างคุณค่าที่ส่งผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคที่สูงกว่า ซึ่งน าไปสู่ความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกหรือซื้อผลิตภัณฑ์และบริการนั้น ๆ ต่อไป


52 3.4 ทฤษฎีอัตลักษณ์ แนวคิดทฤษฎีเรื่องอัตลักษณ์ อัตลักษณ์ (Identity) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Identitas เดิมใช้ค าว่า Idem ซึ่งมี ความหมายว่าเหมือนกัน (The Same) อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานทางภาษาอังกฤษแล้วอัตลักษณ์มี ความหมายสองนัยยะด้วยกัน คือ ความเหมือนและความเป็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไปนั่น คือ การตีความหมายเหมือนกันบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ และการเปรียบเทียบกันระหว่างคนหรือสิ่งของใน สองแง่มุมมอง คือความคล้ายคลึงและความต่าง (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2547, น. 32 -33) นอกจากนี้การใช้ค าว่า “อัตลักษณ์” ในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่ามีความหมายอย่าง เดียวกับค าว่า “เอกลักษณ์” หรือไม่ แต่เดิมมักจะแปลค าว่า Identity ว่า เอกลักษณ์ ค าแปลนี้ถือเป็นค า แปลทางการของส านักงานคณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติด้วย แต่มาระยะหลัง แวดวงนักวิชาการ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ม.ร.ว.อดินรพีพัฒน์สุธิวงศ์พงไพบูลย์และศรีศักร วัลลิโภดม ได้หันมาสนใจการแปล ความหมายของค าว่า “อัตลักษณ์” ว่าไม่ควรไปยัดเหยียดความเป็นหนึ่งเดียวไปครอบความหลากหลายทาง วัฒนธรรมโดยสุธิวงศ์เสนอว่าค าว่า “อัตลักษณ์” น่าจะถูกต้องและเหมาะสมมากกว่าเพราะค านี้เปิดทางให้ ทุกคนหรือทุกส่วนในสังคมสามารถมีอัตลักษณ์ของตนได้(สุริชัย หวันแก้ว, 2545, น. 42) อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ สิ่งที่ต้องค านึงถึงอยู่ตลอดเวลา คือ เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกกับสังคม เพราะอัตลักษณ์ที่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือสังคมสร้าง ขึ้นมานั้น อาจจะมีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน ต้องแยกแยะพิจารณาในแต่ละประเภท ดังนี้ 1) อัตลักษณ์ส่วนบุคคล (Personal Identity) หมายถึง ความเป็นตัวตนของบุคคลใด บุคคลหนึ่งในสายตาของสาธารณชน เป็นภาพแห่งการรับรู้ของสังคมเกี่ยวกับปัจเจกนั้น ๆ 2) อัตลักษณ์ส่วนตัว (Ego Identity) หมายถึง ความเป็นตัวตนปัจเจกที่ปัจเจกเองมี ความรู้สึก มีความคิด ความเข้าใจ เกี่ยวกับตนเองซึ่งเกี่ยวข้องกับการนิยามของบุคคลภายนอก 3) อัตลักษณ์ร่วม (Collective Identity) หมายถึง อัตลักษณ์หรือความเป็นตัวตนที่ถูก สร้างขึ้นบนพื้นฐานของความเหมือนกันของสมาชิกภายในกลุ่ม แต่บนพื้นฐานของความเหมือนนั้น ย่อมมีความแตกต่างของกลุ่มอื่นมาเป็นตัวก าหนดอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มของตนด้วย 4) อัตลักษณ์ทางสังคม (Social Identity) หมายถึง อัตลักษณ์ที่เป็นภาพรวมของกลุ่มคน ในสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งกินความหมายทั้งอัตลักษณ์ที่คนภายนอกมอบให้ และอัตลักษณ์ที่เป็นตัวตน ที่แท้จริงของสังคมตามสายตาของคนใน จะเห็นได้ว่าความหมายของอัตลักษณ์ไม่สามารถที่จะนิยามโดยไม่เกี่ยวข้องกับบริบทได้เลย การที่สมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ๆ จะบอกว่าตัวเองเป็นใครนั้นต้องขึ้นอยู่กับบริบทของ ความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่พวกเขามีกับกลุ่มอื่น ๆ 1) อัตลักษณ์ในแนวคิดของยุคสมัยใหม่ (Modernism) การแสดงออกด้านพฤติกรรมของมนุษย์คือจิตวิทยา โดยผู้ที่ให้ความสนใจในการศึกษา เรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังก็คือลูกศิษย์คนส าคัญคนหนึ่งของซิกมันด์ฟรอย นักจิตวิเคราะห์ นั่นก็คือ Erik H. Erikson ซึ่งเป็นนักจิตวิเคราะห์เช่นเดียวกับอาจารย์เขา แต่สิ่งที่เขาเห็นแย้งกับฟรอย ก็คือ เรื่องของพัฒนาการทางจิต หรือกระบวนการสร้างบุคลิกภาพหรืออัตลักษณ์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดได้ตลอด ชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดเฉพาะในวัยเด็กแบบที่ฟรอยอธิบายกระบวนการเกิดอัตลักษณ์นั้น และอีก ประการหนึ่งที่ท าให้แนวคิดของคน ทั้งสองไม่สู้จะลงรอยกันอย่างมากในเรื่องของอัตลักษณ์ก็คือ เรื่อง


53 ของความเชื่อในคุณค่าของระดับจิต โดยที่ฟรอยนั้นให้คุณค่ากับจิตใต้ส านึกมากกว่าส่วนอื่น ๆ แต่ใน ทัศนะของอิริคสัน เขากลับมองว่าส่วนที่ส าคัญคือ Ego หรือสิ่งที่เราเรียกว่าจิตส านึกนั่นเอง 2) อัตลักษณ์ในแนวคิดของยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) การมองภาพของสังคมด้วยกรอบแนวคิดทฤษฎีสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ ถูกท้าทายด้วย กลุ่มความคิดใหม่ คือ แนวคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodern) ซึ่งมีลักษณะเด่นของแนวคิด คือ การตั้ง ข้อสงสัยกับเหตุผลในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงความจริง การเปลี่ยนแปลงฐานะและ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ศึกษาและผู้ถูกศึกษาด้วยการเข้าถึงความจริง และการเปลี่ยนแปลงฐานะของ ทฤษฎีที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งครอบง าปัญญาของมนุษย์และควรที่จะปฏิเสธ ลักษณะดังกล่าวนี้ สร้าง ผลกระทบต่อการมองปัจเจกสภาพในฐานะอัตลักษณ์ (Identity) เป็นอย่างมาก เนื่องจากการวิจารณ์ แนวคิดสารัตถะนิยม (Essentialism) ที่แสวงหาค าตอบสุดท้ายให้แก่ค าถามต่าง ๆ โดยเสนอ คุณสมบัติบางอย่างที่เป็นพื้นฐานของธรรมชาติและพฤติกรรมมนุษย์และยืนอยู่บนหลักของเหตุผล ท าให้เกิดการไร้ซึ่งสารัตถะอันเป็นสากลของปัจเจกสภาพ แทนที่ปัจเจกสภาพจะเป็นที่มาของ ความหมายและประสบการณ์ที่มีความสมบูรณ์ในตนเอง แนวคิดนี้กลับเห็นว่าแนวคิดปัจเจกสภาพ ดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบ (Effect) ของชุดวาทกรรมต่าง ๆ บทบาทของตัวตนแบบต่าง ๆ ที่ วาทกรรมหยิบยื่นให้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ นักคิดสายหลังสมัยนิยม (Postmodemism) โดยเฉพาะถ้าคเดอร์ริดา (Jacques Derrida) และ มิเชล ฟูโก (Micheal Foucault) นั้นได้วิพากษ์ การศึกษาสังคมรุ่นก่อนว่ายังเชื่อมั่นความเป็นแก่นแกนของปัจเจกบุคคล แต่แนวคิดหลังสมัยใหม่นั้นได้ ตั้งค าถามกับวิธีการของโลก การเข้าถึงความจริงของสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นความจริงของสิ่ง ต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นความจริงที่เป็นแก่นแกนของปัจเจกบุคคล และได้รื้อถอน ความเชื่อ เกี่ยวกับคุณสมบัติแก่นแกนของปัจเจกภาพ ความเป็นปัจเจกภาพกลายเป็นเรื่องของการนิยาม ความหมายซึ่งสามารถเลื่อนไหล แปรเปลี่ยนไปตามบริบท มันมิได้หมายถึงคุณสมบัติเฉพาะตัวอีกต่อไป แนวคิดของ Derrida มีอิทธิพลอย่างมากในการรื้อถอนภาพเก่า ๆ ของปัจเจกภาพหรือ การดึงความเป็นศูนย์กลางออกจากปัจเจก คือ การไม่ให้อภิสิทธิ์แก่ปัจเจกในฐานะเป็นผู้กระท าการ หรือในความหมายที่ว่าคนเรานั้นไม่สามารถจะเป็นเจ้าของหรือควบคุมพฤติกรรมของตนได้ และการ เน้นถึงการไร้ซึ่งสารัตถะอันเป็นสากลของปัจเจกภาพ แต่จะเน้นถึงลักษณะปัจเจกภาพที่เป็นผลผลิต ของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นผลของกระบวนการต่อรองเชิงอ านาจในความสัมพันธ์ทางสังคม หลายระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัยและปัจเจกภาพเป็นเรื่องของกระบวนการสร้าง ความหมายทางสังคมให้แก่อัตลักษณ์อย่างหนึ่ง อาจจะเป็นอัตลักษณ์ของปัจเจกหรืออัตลักษณ์ของ กลุ่ม ดังนั้นความเป็นปัจเจกจึงถูกเน้นในฐานะที่เป็นกระบวนการทางสังคมของการสร้างอัตลักษณ์ มากกว่าแก่นแกนของคุณสมบัติบางอย่างที่มีลักษณะตายตัว จุดเด่นของแนวคิดของ Derrida อีกหนึ่ง ประการคือ ในงานเขียนหรือการเขียนนั้นต้องให้อิสระของความหมายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีการ เปรียบเทียบให้เห็นถึงคู่ตรงข้ามเพราะความหมายที่อยู่บนฐานของคู่ ตรงข้ามจะหยุดนิ่งตายตัวและมี ลักษณะที่ปิดกั้นความหมาย จุดเด่นของแนวคิดนี้ท าให้เกิดการปฏิวัติ ความหมายของภาษาและส่งผล ต่อความเข้าใจเรื่องอัตลักษณ์ และยังเปลี่ยนแปลงวิธีการมองโลกใหม่ด้วย (อภิญญา เฟื่องฟูสกุล, 2546, น. 46 - 51)


54 มโนทัศน์เรื่องอ านาจและความรู้ของมิเชล ฟูโกนั้น ได้ช่วยทะลายมายาคติเรื่องปัจเจก ภาพ คือท าให้มองเห็นว่าปัจเจกภาพเป็นผลของวาทกรรม (Discourse) และปฏิบัติการทางวาทกรรม (Discursive Practice) ซึ่งค าว่าวาทกรรมนั้น หมายถึง การผลิตความหมายเกี่ยวกับความจริงในเรื่อง ต่าง ๆ ดังนั้นปัจเจกจึงถูกจัดวางต าแหน่งแห่งที่ของเขาภายในอาณาจักรแห่งความจริงนั้น ๆ วาท กรรมจึงเป็นมากกว่าเรื่องของภาษาหรือค าพูด แต่มีภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม ซึ่งมีจารีตปฏิบัติ ความคิด ความเชื่อ คุณค่าและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ด้วย เมื่อวิเคราะห์วาท กรรมในการท าความเข้าใจอัตลักษณ์จะพบว่าเป็นเรื่องของการใช้อ านาจและความรุนแรงเข้าไปบังคับ ยัดเหยียดให้เป็นของวาทกรรมชุดหนึ่งขณะเดียวกันวาทกรรมชุดดังกล่าวก็จะ เก็บกด บดบัง ปิดกั้น ขจัด หรือท าลายมิให้สิ่งที่แตกต่างไปจากอัตลักษณ์และความหมายของสิ่งที่วาทกรรมนั้นสร้างขึ้นมา ปรากฏตัวขึ้นมากกว่าเป็นเรื่องของการผูกติดกันอย่างเหนียวแน่นของคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างในตัว ของสิ่งเหล่านั้นเอง ดังนั้นอัตลักษณ์และความหมายจึงมีลักษณะ ที่ลื่นไหล เปลี่ยนแปลงไปตามวาทกรรมที่ สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาไม่มีความแน่นอนตายตัว หรือหยุดนิ่ง (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2549, น. 7-11) การศึกษาเกี่ยวกับมโนทัศน์อัตลักษณ์ นอกจากจะต้องกล่าวถึงมโนทัศน์อ านาจควบคู่กันไป แล้วยังต้องกล่าวถึงการนิยามความหมายหรือการสร้างภาพแทนความจริง ซึ่งล้วนแล้วแต่มี ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ที่ท าให้อัตลักษณ์มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายที่เป็นที่เข้าใจโดย สามัญส านึกทั่วไป คือ อ านาจมักแฝงอยู่ในกลไกของการสร้างภาพแทนความจริงของอัตลักษณ์แบบต่าง ๆ (Hall, 1997, p. 258) ได้นิยามเทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ต้นแบบว่า หมายถึง การเลือกดึงเอาคุณสมบัติบางอย่าง ของบุคคลที่เด่นชัด มีชีวิตชีวา มองเห็นแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายเป็นที่รับรู้ทั่วไป และลดทอน อัตลักษณ์ที่หลากหลายของบุคคลลงไปให้เหลือไว้แค่คุณสมบัติเพียงไม่กี่อย่าง โดยวิธีการการ คุณสมบัตินั้นให้เกินจริง เพื่อความเข้าใจง่ายและการสร้างอัตลักษณ์คู่ตรงข้ามขึ้นมากดทับ ประเด็น ส าคัญ คือ คู่ตรงข้ามที่สร้างขึ้นมานั้นมีการให้ค่าที่ไม่เท่ากันด้วยหรืออาจกล่าวได้ว่า คู่ตรงข้ามนั้นคือ การสร้างอุดมการณ์อ านาจเพื่อปิดกั้น กีดกัน และให้ค่าเชิงลบแก่สัญลักษณ์ที่อยู่ตรงข้ามมัน ที่ส าคัญ ยังท าให้อัตลักษณ์ของคน “หยุดนิ่ง” กลายเป็นคุณสมบัติแก่นแกน และการสร้างภาพตัวแทนมักจะ สอดคล้องกับรสนิยมทางชนชั้นของกลุ่มเป้าหมายหรือการสนองพลังอ านาจของกลุ่มที่มีอ านาจ เหนือกว่าความส าคัญอีกประการหนึ่งของการส ร้างภาพตัวแทน คือ การสร้างจินตภาพ (Imagination) ที่ไม่สนใจความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม หรือกระทั่งไม่จ าเป็นต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย ในทัศนะของ Barthes (1957) ได้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการของการสร้างภาพแทนความจริงว่า หมายถึง การดึงเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกจากบริบทที่เป็นอยู่ (De- Contextualization) จากนั้นใส่บริบท ใหม่และความหมายใหม่เข้าไป (Re - Contextualization) เช่นในเรื่องราวของชาวเขาที่รัฐและ อ านาจทุนได้เคลื่อนย้ายบริบทและได้สร้างภาพตัวแทนของชาวเขาได้หลากหลายลักษณะจาก “ผู้บ่อนท าลายความมั่นคง” มาเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” และกระบวนการสร้างภาพตัวแทนนี้แฝง เร้นไปด้วยอ านาจและการยึดครองพื้นที่ในการสร้างความหมาย ซึ่งในบางครั้งเราสามารถมองเห็นถึง ความขัดแย้งกันเองในเชิงตรรกะของความหมาย กล่าวคือ ชาวเขาถูกท าให้เป็นผู้คุกคามความมั่นคง ในขณะที่อีกด้านกลับท าให้ชาวเขาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีความงดงามเหมาะสมในการ


55 เข้าไปสัมผัสหรือท่องเที่ยว ความเป็นตัวตนจึงมีลักษณะคล้ายเหรียญที่มีสองด้านซ้อนทับกันอยู่ วาทกรรมจะสร้างภาพตัวแทน (Representative) ของตัวเราอัตลักษณ์เหล่านี้จะหล่อหลอมและ ยัดเหยียดต าแหน่งแห่งที่ทางสังคม และการันตีประสบการณ์ความเป็นตัวเราในแง่มุมต่าง ๆ ให้ ทั้งนี้ คุณสมบัติที่ส าคัญที่สุดของความเป็นตัวเราในกระบวนการนี้ คือ การโยกย้ายต าแหน่งแห่งที่ (Dislocation) นั่นคือการไม่อาจถูกตรึงติดกับคุณสมบัติบางอย่างที่ตายตัวหยุดนิ่งซึ่ง หมายถึง กระบวนการที่ปัจเจกต่อรอง ตั้งค าถาม หรือปฏิเสธต าแหน่งทางสังคมที่ถูกยัดเยียดมาให้ และแน่นอน ว่าอัตลักษณ์กับปัจเจกภาพในแนวคิดหลังสมัยใหม่นี้ไม่สามารถที่จะซ้อนทับกันได้สนิท ดังนั้นสิ่งที่เป็นตัวตนจึงมีอยู่ในเฉพาะสถานการณ์นั้น กล่าวได้ว่าแนวคิดหลังทันสมัยเชื่อว่า ความเป็นปัจเจกถูกเน้นในฐานะที่เป็นกระบวนการทางสังคมของการสร้างอัตลักษณ์ มากกว่าที่จะเป็น แก่นของคุณลักษณะบางอย่างที่มีลักษณะตายตัว จะเห็นได้ว่าทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ เชิงสัญลักษณ์เชื่อว่า ตัวตน (Set) มีทั้งแบบที่เกิดจากความเห็นและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและแบบที่เป็นตัวจริงแท้ของเรา ถือ เป็นเงาสะท้อนปัจเจกภาพที่มีขนาดเล็กที่อยู่เบื้องหลังสภาพของปัจเจกบุคคลที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าใน ฐานะอัตลักษณ์ที่ปรากฏตัว และแสดงตนต่อสาธารณะของปัจเจกบุคคล ส่วนแนวคิดหลังสมัยใหม่เชื่อ ว่าเชื่อว่าอัตลักษณ์ มีความไหลเลื่อนมากกว่าที่จะเป็นผลผลิตส าเร็จรูปจากวาทกรรม และไม่สามารถ ซ้อนทับกับปัจเจกสภาพได้อย่างสนิทแน่น ปัจเจกสภาพทั้งสองแนว คือ ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิง สัญลักษณ์ (Symbolic Interaction Theory) และแนวคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodern) มีความ แตกต่างกัน โดยเฉพาะประเด็นความต้องการองค์ประธาน (Subject) ของทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิง สัญลักษณ์ ขณะที่แนวคิดหลังสมัยใหม่ไม่ให้ความส าคัญกับองค์ประธาน และความเชื่อที่ว่าปัจเจก สภาพเป็นที่มาของความหมายและประสบการณ์ และมีความสมบูรณ์ในตัวเองล้วนเป็นเพียงภาพลวง ตาที่เกิดจากผลกระทบของชุดวาทกรรมต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าปัจเจกสภาพในแนวคิดทั้งสองแนว คือ ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Interaction Theory) และแนวคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodern) มีความแตกต่างกันใน ประเด็นของแนวคิดที่แตกต่างกันอยู่พอควร โดยเฉพาะประเด็นความต้องการองค์ประธาน (Subject) ของทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ ขณะที่แนวคิดหลังสมัยใหม่กลับหันหลังให้องค์ประธาน และ ความเชื่อที่ว่าปัจเจกสภาพจะเป็นที่มาของความหมายและประสบการณ์และมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากผลกระทบของชุดวาทกรรมต่าง ๆ เท่านั้นเอง นอกจากนี้ในทฤษฎี ปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ เชื่อว่าตัวตน (Set) ที่มีทั้งแบบที่เกิดจาก ความเห็นและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และแบบที่เป็นตัวตนจริงแท้ของเรา ถือเป็นเงาสะท้อนปัจเจกสภาพที่มีขนาดเล็กที่อยู่เบื้องหลังสภาพ ของปัจเจกบุคคลที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในฐานะอัตลักษณ์ที่ปรากฏตัวและแสดงตนต่อสาธารณะของ ปัจเจกบุคคล ส่วนแนวคิดหลังสมัยใหม่ เชื่อว่าอัตลักษณ์มีความเลื่อนไหลมากกว่าที่จะเป็น ผลผลิต ส าเร็จรูปจากวาทกรรม และไม่สามารถซ้อนทับกับปัจเจกภาพได้อย่างสนิทแน่น อัตลักษณ์หรือความเป็นตัวตน จึงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในวาทกรรม เพราะวาทกรรมเป็น เรื่องของอ านาจและเทคนิคในการใช้อ านาจในการจัดวางต าแหน่งแห่งที่ของปัจเจกผู้ที่มีอ านาจ มากกว่า สามารถที่จะใช้เทคนิคสร้างกรอบหรือก าหนดแนวทางให้ปัจเจกแสดงบทบาทได้ โดยที่ผู้ แสดงอาจจะไม่รู้ตัวว่าตนเองก าลังตกอยู่ภายใต้วาทกรรมนั้น


56 ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ทบทวนแนวคิด ความหมายเกี่ยวกับเรื่องอัตลักษณ์ โดยเน้นศึกษาแนวคิด จากนักคิดสายหลังสมัยใหม่ เพราะท าให้เกิดการตั้งค าถามอย่างมากกับวิธีการเข้าใจและการมอง ปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ทางสังคม การเข้าถึงความจริงของสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นความจริง ที่เป็นแก่นแกนของปัจเจกบุคคล แนวคิดหลังสมัยใหม่ได้รื้อถอนแนวความคิดเก่าความเชื่อเกี่ยวกับ คุณสมบัติแก่นแกนของปัจเจกสภาพ ผู้วิจัยจึงมุ่งศึกษาถึงการนิยามความหมายของ อัตลักษณ์ที่นักคิด สกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodern) ได้นิยามไว้ ดังนี้ ในทัศนะของ Jenkins ได้กล่าวถึงอัตลักษณ์ไว้ว่า อัตลักษณ์มิใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของมันเอง หรือก าเนิดขึ้นมาพร้อมกับคนหรือสิ่งของ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและมีลักษณะของความเป็นพลวัตอยู่ ตลอดเวลา ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความหมายของเบอร์เจอร์และลัคแมนที่ว่าอัตลักษณ์ถูกสร้างขึ้น โดยกระบวนการทางสังคม ครั้นเมื่อตกผลึกแล้วอาจมีความมั่นคง ปรับเปลี่ยน หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับ เปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นหลัก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อัตลักษณ์เป็นเรื่องของความเข้าใจและการรับรู้ว่าเราเป็นใครและคนอื่นเป็นใคร นั่นเป็นการประกอบ ขึ้นและด ารงอยู่ว่าเรารับรู้เกี่ยวกับตัวเองอย่างไร และคนอื่นรับรู้เราอย่างไร โดยมีกระบวนการทาง สังคมในการสร้างและสืบทอดอัตลักษณ์ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบริบทของความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีต่อ คนหรือกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ในทัศนะของ Hall (1997) มองว่าอัตลักษณ์หรือความเป็นตัวตน คือ ชิ้นส่วนหลาย ๆ ส่วนที่ ถูกประกอบรวมกันขึ้นมาในบริบทของสถานการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจมีการเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ และ การแสดงออกของปัจเจกอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้เพราะมนุษย์คนหนึ่ง ๆ เป็นผลรวมของวาทกรรม หลากหลายชุดที่อาจขัดแย้งหรือส่งเสริมกัน ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนจึงเกิดการผสมผสาน องค์ประกอบของวาทกรรมเหล่านั้นในทิศทางที่แตกต่างกันคนเราจึงสามารถสร้างอัตลักษณ์ที่ หลากหลายได้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน อภิญญา เฟื่องฟูสกุล (2546) ได้นิยามอัตลักษณ์ว่า หมายถึง กระบวนการที่ปัจเจกต่อรองตั้งค าถามหรือปฏิเสธต าแหน่งแห่งที่ทางสังคมที่ถูกยัดเหยียดมาให้การ ปฏิเสธอาจไม่จ าเป็นต้องหมายถึง การต่อต้านตรง ๆ หรือสร้างอัตลักษณ์ตรงข้ามขึ้นมา โดยพลิกสร้าง นัยยะของความหมายใหม่ขึ้นมาแทน และอัตลักษณ์ยังหมายถึง การให้ความหมายของคนหรืออะไร บางอย่างว่าไม่มีลักษณะเฉพาะคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สามารถที่จะสรุป คน ๆ นั้นหรือสิ่งนั้น ๆ แบบ ขาว ด า หรือถูก ผิดได้ แต่เป็นการให้ความหมายตัวตนของคน หรือสิ่งนั้น ๆ ในลักษณะที่มองว่า มี การผลิตซ้ า มีการรื้อสร้าง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะต่างจากความหมายของค าว่าเอกลักษณ์ที่ ดูเหมือนมีคุณสมบัติเฉพาะ โดดเด่น แตกต่างจากคนอื่นหรือสิ่งอื่น ในขณะที่ความหมายของ อัตลักษณ์คือ การมีความหลากหลาย เช่น ในคน ๆ หนึ่งนั้นก็จะมีอัตลักษณ์ที่หลากหลายในตัวเอง มีความหลากหลายด้านของบุคลิกภาพ หลากหลายตัวตน จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยสรุปได้ว่า จากการทบทวนแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของนักคิด หลังทันสมัยนิยมพอสรุปได้ว่า อัตลักษณ์มิใช่สิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ถูกสร้างขึ้นจากกระบวนการทางสังคม และมีลักษณะเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลาเป็นความส านึก ความคิดเห็น ความรู้สึกทั้งที่เรามีต่อตัวเราและ ผู้อื่นมีต่อตัวเรา โดยมีกระบวนการทางสังคมในการสร้างและการสืบทอดอัตลักษณ์ เพื่อเป็นแนวทาง ในการศึกษาต่อไป


57 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จารุวรรณ ธรรมวัตร (2530) ได้ท าการศึกษาวิจัย เรื่อง ศิลปะการแสดงของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศิลปะที่เกิดจากการเลียนแบบท่าทางการท ามาหากิน การท างานใน ชีวิตประจ าวัน การฟ้อนร ามีลักษณะเรียบง่าย กระฉับกระเฉง ไม่ค่อยมีความอ่อนช้อย แต่มีท่าทาง และลีลางดงาม การฟ้อนร าของชาวอีสานมีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามสภาพท้องถิ่น และความเป็นอยู่ของกลุ่มชน มนต์เทียน สกุลนี (2553) ได้ท าการศึกษาวิจัย เรื่อง “รูปแบบการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชุมชน ท้องถิ่นด้านศิลปะเพลงพื้นบ้าน ล าตัดขององค์การบริหารส่วนต าบลหน้าไม้ อ าเภอ ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี” ผลการศึกษาพบว่า 1) รูปแบบการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชุมชนท้องถิ่นด้านศิลปะพื้นบ้านล าตัดนั้น ต้องเริ่มด้วย การสร้างจิตส านึกให้คนในชุมชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมชุมชน ในการที่จะช่วยกันเก็บ รักษาและสืบสานศิลปะพื้นบ้านล าปางที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่นให้คงอยู่กับชุมชน 2) ด าเนินการอนุรักษ์เพลงพื้นบ้าน คือ การพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้แสดง การ ปรับรูปแบบของเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพสังคมการให้ศึกษาและปลูกจิตส านึกแก่ชุมชนการ ส่งเสริมให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการมีระบบปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรม 3) การใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ต้องเกิดจากการเรียนรู้และมีความรอบรู้เกี่ยวกับ เพลงพื้นบ้านอีกครั้ง ยังต้องหมั่นฝึกฝนและพัฒนาตัวเองโดยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อจะได้ เกิดประโยชน์ร่วมกัน ความส าคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาการแสดงร าตัดการศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าในประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ผู้วิจัยน ามาวิเคราะห์ข้อมูล สรุปอภิปรายในการวิจัยเรื่องการอนุรักษ์และพัฒนาการแสดง เพื่อศึกษารูปแบบการอนุรักษ์อัตลักษณ์ ของชุมชนท้องถิ่น เพื่อฟื้นฟูศิลปะเพลงพื้นบ้านการแสดงล าตัด ในเขตองค์การบริหารส่วนต าบลหน้า ไม้ โดยมุ่งศึกษาถึงรูปแบบการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชุมชน ที่มีอยู่เดิมและมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ฟื้นฟูศิลปะเพลงพื้นบ้านการแสดงพื้นบ้านล าตัดในเขตองค์การบริหารส่วนต าบลหน้าไม้ ชมภูนาฏ ชมภูพนัธ (2554) ได้ท าการศึกษาวิจัย เรื่อง การแสดงพื้นบ้านอีสานจึงเป็นการ แสดงที่สะท้อนวัฒนธรรมของกลุ่มชนในภาคอีสาน ทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ ท าให้มีความ หลากหลายของการแสดงและมีสีสันเพิ่มขึ้น การฟ้อนของภาคอีสานได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง สถานศึกษาแต่ละแห่งได้ประดิษฐ์ชุดการแสดงขึ้นอย่างมากมาย และการพัฒนาชุดการแสดงของภาค อีสานได้มีการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาขึ้นใหม่ตลอดจนได้มีการปรับปรุงท่าฟ้อนและดนตรีให้เข้ากับ ยุคสมัยอยู่เสมอ ถ้าไม่อนุรักษ์ไว้ก็จะสูญห ายไปตามกาลเวล า ซึ่งชุดการฟ้อนของแต่ละ สถาบันการศึกษาได้ประดิษฐ์ขึ้นนั้น ก็เพื่อจะได้เผยแพร่ความรู้และฝึกอบรมแก่บุคคลในท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อเป็นผู้สืบทอดศิลปวัฒนธรรมอีสาน ทางด้านนี้สืบต่อไป จังหวัดเลยเป็นจังหวัดหนึ่งของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความหลากหลายทางด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีลักษณะตัวเฉพาะอันแสดงถึงเอกลักษณ์อันน่าภาคภูมิใจของแต่ละท้องที่ การพัฒนารูปแบบศิลปะการแสดงท้องถิ่นจะเป็นการน าเสนอถึง


58 1) องค์ความรู้ภูมิปัญญา 2) อัตลักษณ์ของชุมชน นอกจากนี้การจัดกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรในท้องถิ่น โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นให้ข้อมูลให้แนวทางยังช่วยให้รูปแบบของการแสดงที่ ประดิษฐ์ขึ้นสอดคล้องและตรงกับความต้องการของคนในชุมชน เป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของ ชุมชน และกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นการท านุบ ารุง อนุรักษ์ศิลปะการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นต่อไป เพื่อพัฒนารูปแบบศิลปะการแสดงท้องถิ่น เพื่อเป็นการแสดงถึงลักษณะเด่นสื่อถึงเอกลักษณ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นใน จังหวัดเลยต่อไป อธิป จันทร์สุริย์ (2563) ได้ท าการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาตัวบ่งชี้การจัดการมรดกภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นฐานสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดชุมพร โดยในขั้นตอนที่ 1 ใช้เทคนิคการวิจัยทฤษฎีฐานราก โดย การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และการวิจัย เอกสาร เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะการจัดการมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม และ คุณลักษณะการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ขั้นตอนที่ 2 ใช้เทคนิคการวิจัยแบบอนาคต EDFR โดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและการท า แบบสอบถาม จานวน 17 คน และการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์พหุลักษณะ - พหุวิธี เพื่อตรวจสอบ ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 3 การจัดสนทนากลุ่มและการประชุมเชิงนโยบาย ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะ ด้านการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นฐานสู่การท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์ จากการวิจัย ทฤษฎีฐานราก ได้องค์ประกอบหลักจ านวน 12 องค์ประกอบ และแนวโน้มองค์ประกอบ หลักและ องค์ประกอบย่อยที่ได้จากการสัมภาษณ์รอบที่ 1 แบบสอบถามรอบที่ 2 จากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้ รวบรวม แนวโน้มองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยที่ได้เป็นตัวบ่งชี้การจัดการมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมเป็นฐานสู่ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดชุมพร ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ หลัก 32 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ องค์ประกอบหลักที่ 1 กิจกรรมทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ องค์ประกอบหลักที่ 2 ความรู้ และทักษะ องค์ประกอบ หลักที่ 3 ชุมชนและเครือข่าย องค์ประกอบ หลักที่ 4 ผู้สืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม องค์ประกอบหลักที่ 5 ช่องทางการส่งผ่านจากฐาน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม องค์ประกอบหลักที่ 6 การจัดการ องค์ประกอบหลักที่ 7 ความแท้บน ฐานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม องค์ประกอบหลักที่ 8 ประสบการณ์เชิงสร้างสรรค์ และการจัด สนทนากลุ่มและการประชุมเชิงนโยบายภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคชุมชน ต้องมีส่วนร่วมในการ ท างานร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นฐานสู่ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดชุมพร ทั้งนี้เพื่อให้จังหวัดชุมพรมีตัวบ่งชี้ที่เป็นรูปธรรม สามารถ เป็นต้นแบบด้านการจัดการมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ได้ และ ศึกษาคุณลักษณะการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและ คุณลักษณะการท่องเที่ยวเชิง สร้างสรรค์ ศึกษาแนวโน้มองค์ประกอบการจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นฐานสู่การ ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดชุมพร และพัฒนาตัวบ่งชี้การจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นฐานสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์จังหวัดชุมพร


59 สรุป การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชุมชน ท้องถิ่นด้านศิลปะเพลงพื้นบ้าน การศึกษาวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ท าให้มนุษยชาติมีความสงบสุข และการพัฒนาตัวบ่งชี้การจัดการมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นฐานสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์งาน มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้าน วัตถุและทางด้านจิตใจ วัฒนธรรมเป็นเครื่องวัดและเครื่องก าหนดความเจริญ แบ่งประเภทของ ทรัพยากรวัฒนธรรมตามลักษณะที่ปรากฏหรือที่มีอยู่ศิลปะการแสดง เป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ ด้วยการใช้ค าพูดและศิลปะของการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก ท าให้ผู้วิจัยได้เห็นถึงแนวทาง การศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ การแสดงของแต่ละท้องถิ่นการคิดค้นและพัฒนาขึ้นใหม่ตลอดจนได้มีการ ปรับปรุงท่าฟ้อนร า และดนตรีให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังข้อมูลข้างต้น ผู้วิจัยสามารถน าไปเป็นแนวทางในการศึกษาพัฒนาการแสดงในภาพรวมได้และสามารถเชื่อมโยงให้ สอดคล้องในรายละเอียดบทต่อไป 5.กรอบแนวคิดในการวิจัย ผู้วิจัยได้ก าหนดกรอบแนวคิดในการท าวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ในการวิจัย 2 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบ องค์ประกอบ การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 2) เพื่อวิเคราะห์กระบวนท่าร าการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี โดยเลือก ศึกษาจากรูปแบบองค์ประกอบของกระบวนท่าร าการแสดงในอดีตจนถึงแนวทางการพัฒนาการแสดง ของปัจจุบัน ประกอบด้วยการแสดงฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวน ฟ้อนร าโทนของชาวไทยวน ในการ ก าหนดกรอบแนวคิดครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้แนวคิดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แนวคิดการถ่ายทอด องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชุมชน ทฤษฎีอัตลักษณ์ และข้อมูลที่ได้จากการ เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ฐานข้อมูลออนไลน์ มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์การพัฒนาการแสดง พื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี โดยตั้งประเด็นศึกษาออกเป็นดังนี้


60 ภาพที่ 46 กรอบแนวคิดในการวิจัย ที่มา: ผู้วิจัย แนวคิดกระบวนการพัฒนาการแสดง พื้นบ้านของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี การพัฒนาการแสดง พื้นบ้านของชาวไทย วนสระบุรี -ฟ้อนไทยวนสระบุรี ประกอบด้วย -รูปแบบแนวคิด -เครื่องดนตรี -การแต่งกาย -กระบวนท่าร า การแสดงพื้นบ้านของ ชาวไทยวนสระบุรี 1. ฟ้อนกลองยาวของชาว ไทยวนสระบุรี 2. ฟ้อนร าโทนของชาวไทย วนสระบุรี แหล่งวัฒนธรรม ศิลปะการแสดงของ ชาวไทยวนสระบุรี 1.วัดต้นตาล ต าบลต้น ตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2.หอวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไทยวน ต าบล ดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 3.ศูนย์ศิลปะการแสดง โยนกอุทยานท่าน้ า ศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้น ตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัด วิถีชีวิตของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 1. ที่อยู่อาศัยชาวไทยวนใน จังหวัดสระบุรี 2. ภาษาชาวไทยวนใน จังหวัดสระบุรี 3. ความเชื่อของชาวไทย วันในจังหวัดสระบุรี 4. การตั้งถิ่นฐานและ ลักษณะ ทางกายภาพ ชุมชนชาวไทยวนใน จังหวัดสระบุรี 5. สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ไทยวนสระบุรี 6. การประกอบอาชีพชาว ไทยวนในจังหวัดสระบุรี 7. การแต่งกายชาวไทยวน ในจังหวัดสระบุรี ประเพณีและวัฒนธรรม ของชาวไทยวนใน จังหวัดสระบุรี 1. ประเพณีต้นสลากภัต 2. ประเพณีถวาย สลากภัต 3. ประเพณีการแข่งเรือ พื้นบ้าน 4. ประเพณีปอย 5. ประเพณีการแต่งงาน 6. ประเพณีเลี้ยงผี: ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า 7. ประเพณีสืบชะตา 8. ประเพณีปี้ใหม่ สงกรานต์ 9. ประเพณีการบวช


บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรีในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยโดยการออกแบบวิธีวิจัยรูปแบบวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ข้อ ประกอบด้วย เพื่อศึกษารูปแบบ องค์ประกอบ กระบวนท่าร า การ แสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี โดยเก็บข้อมูลจาก เอกสารฐานข้อมูลออนไลน์ และการวิจัยภาคสนาม เพื่อเก็บ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ น ามาวิเคราะห์ ซึ่งผู้วิจัยสามารถแสดงล าดับการศึกษาค้นคว้า โดยมีรายละเอียด การด าเนินการวิจัยดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมายและการเลือกกลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมและการจัดท าข้อมูล 4. การตรวจสอบข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. การน าเสนอข้อมูล 1. กลุ่มเป้าหมายและการเลือกกลุ่มเป้าหมาย 1.1 การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย ในที่นี้ผู้วิจัยได้คัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่หนึ่งผู้ให้ข้อมูลจากชุมชนวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรีกลุ่ม ที่สองผู้ให้ข้อมูลจากหอหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรีกลุ่ม ที่สามผู้ให้ข้อมูลจากศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีซึ่งให้ข้อมูลประกอบด้วย ประกอบด้วยดังนี้ 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจากวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี (1) นายสมจิตร ยะกุล อายุ 79 ปี มีต าแหน่งเป็น ผู้ที่ดูแลบุคคลเชื่อสายไทยวน อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี (2) นางวงเดือน ยะกุล อายุ 75 ปีมีต าแหน่งเป็น ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่าร า การ บรรเลงเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (3) นายเอวิน ยะกุล อายุ 29 ปีมีต าแหน่งเป็น ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่าร า


62 2) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจากหอศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรี (1) นายทรงชัย วรรณกุล อายุ 78 ปี ต าแหน่งเป็น ผู้ก่อตั้งหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทย วนจังหวัดสระบุรี (2) นางสงัด วรรณกุล อายุ 74 ปี มีต าแหน่งเป็น ผู้ดูแลและควบคุมการแสดงใน หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน จังหวัดสระบุรี (3) นางสุพัตรา ชูชม อายุ 46 ปี มีต าแหน่งเป็น ครูช่างศิลป์หัตถกรรมประเภท เครื่องทอผ้าซิ่นตีนจกหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนจังหวัดสระบุรี 3) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจากศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี (1) นายกฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ อายุ 42 ปีมีต าแหน่งเป็น ผู้ดูแลและพัฒนาการแสดงพื้นบ้าน ของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี (2) นางณิชมน เอี่ยมอุบลวรรณ อายุ 50 ปี มีต าแหน่งเป็น ผู้ผลิต อุปกรณ์การแสดง พื้นบ้านของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี (3) นางทัตชญา วริษชลาธาร อายุ 64 ปี มีต าแหน่งเป็น ผู้ดูแลอุปกรณ์การแสดง พื้นบ้านของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ใช้การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) โดยก าหนด เป็นค าถามเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ โดยค าถามมีลักษณะเป็นค าถามปลายเปิด และ เชื่องโยงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังนี้ ค าถามกลุ่มที่ 1 ชุมชนวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี 1) การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนที่นิยมแสดงมีอะไรบ้าง 2) รูปแบบการน าเสนอกระบวนท่าร าของชาวไทยวนเป็นอย่างไร 3) องค์ประกอบและเอกลักษณ์การแสดงเป็นอย่างไร 4) แนวทางการสร้างสรรค์และลักษณะการแสดงเป็นอย่างไร ค าถามกลุ่มที่ 2 หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ต าบลดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 1) การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนที่นิยมแสดงมีอะไรบ้าง 2) รูปแบบการน าเสนอกระบวนท่าร าของชาวไทยวนเป็นอย่างไร 3) องค์ประกอบและเอกลักษณ์การแสดงเป็นอย่างไร 4) แนวทางการสร้างสรรค์และลักษณะการแสดงเป็นอย่างไร


63 ค าถามกลุ่มที่ 3 ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี 1) การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนที่นิยมแสดงมีอะไรบ้าง 2) รูปแบบการน าเสนอกระบวนท่าร าของชาวไทยวนเป็นอย่างไร 3) องค์ประกอบและเอกลักษณ์การแสดงเป็นอย่างไร 4) แนวทางการสร้างสรรค์และลักษณะการแสดงเป็นอย่างไร อุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย 1) กล้องบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว 2) เครื่องบันทึกเสียง 3. การเก็บรวบรวมและการจัดท าข้อมูล 3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร โดยมีขั้นตอนการวิจัยในขั้นแรกเป็นการศึกษาเอกสารทุติยภูมิ(Secondary Sources) โดยศึกษาจากหนังสือ บทความ งานวิจัยและวิทยานิพนธ์ 1) ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 2) ส านักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) ส านักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หอสมุดกลาง) 4) ห้องสมุดคณะศิลปกรรมศาสตร์ (Fine & Applied Arts Library) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5) ฐานข้อมูลออนไลน์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 3.2 ข้อมูลภาคสนาม และข้อมูลการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์และการถอดเทปสัมภาษณ์ จากการฟังค าอธิบายข้อมูลที่ได้ สัมภาษณ์น าออกมาวิเคราะห์และเรียบเรียงความส าคัญของข้อมูล เพื่อเป็นแนวทางในการหาข้อมูล เพิ่มเติม โดยระหว่างการสัมภาษณ์มีการใช้กล้องบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อเป็นหลักฐาน ประกอบการบรรยายในข้อมูลดังกล่าว 3.3 การก าหนดพื้นที่ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาส ารวจข้อมูลจากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิในชั้นการวิจัยจากเอกสารเพื่อเป็น แนวทางในการก าหนดพื้นที่การวิจัย เลือกศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ องค์ประกอบ กระบวนท่าร า การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี และข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์การพัฒนาการแสดง พื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี โดยใช้คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ในเขต พื้นที่จังหวัดสระบุรี รายละเอียดตามตาราง ดังนี้


64 ตารางที่2 ตารางแสดงพื้นที่ในการเก็บข้อมูล ล าดับ พื้นที่ในการศึกษา ได้รับข้อมูล 1. ชุมชนวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสา ไห้จังหวัดสระบุรี ความเป็นอยู่วิถีชีวิตของชาวไทยวน ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน รูปแบบการด าเนินชีวิต และการท ามาหากิน 2. หอ วัฒน ธ ร รมพื้นบ้านไทย วน ต าบล ดาวเรือง อ าเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ประวัติการก่อตั้ง หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทย วนจังหวัดสระบุรี แนวทางการอนุรักษ์และสืบ ทอด เอกลักษณ์ของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 3. ศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ า ศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี แน วท างก า รพัฒ น าฟื้นฟู วัฒ น ธ ร ร ม แ ร ง บั น ด า ล ใ จ ใ น ก า ร ก่ อ ตั้ง ศู น ย์ ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี เพื่อพัฒนาสร้างสรรค์ งานต่างๆ 4. วัดสมุหประดิษฐาราม ต าบลสวนดอกไม้ อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต เอกลักษณ์ของชาวไทยยวน ในอดีต 5. วัดหนองโนเหนือ ต าบลโคกสว่าง อ าเภอ เมืองสระบุรีจังหวัดสระบุรี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่ปรากฏเรื่องราวของ ลักษณะการแต่งกายวิถีชีวิตของชาวไทยวน 6. วัดหนองยาวสูง ต าบลหนองปล าไหล อ าเภอเมืองสระบุรีจังหวัดสระบุรี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง 7. วัดไผ่ล้อม ต าบลสวนดอกไม้ อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่มา: ผู้วิจัย 4. การตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้วิจัยใช้วิธีการยืนยันข้อมูลด้วยการวิจัยเชิงพรรณนา โดยการถามซ้ า ท าซ้ า เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สภาพการเป็นอยู่ในปัจจุบัน ได้ทราบความสัมพันธ์ของแนวโน้ม เหตุการณ์ โดยสร้างเกณฑ์มาตรฐานสิ่งที่ได้ศึกษาแสวงหาความรู้และความจริงความก้าวหน้า การ เปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น ในอดีตเพื่อที่จะดูวิวัฒนาการหรือพัฒนาการ ความเปลี่ยนแปลงของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรีในประเด็นตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 คือเพื่อศึกษารูปแบบองค์ประกอบ กระบวนท่าร า การ แสดงพื้นบ้านของชาวไทยยวน จังหวัดสระบุรี ในประเด็นตามวัตถุประสงค์ ข้อที่ 2 เพื่อวิเคราะห์การ พัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยยวน จังหวัดสระบุรี


65 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยมีหลักการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นล าดับขั้นตอน โดยน าเสนอผลของการศึกษารูปเล่ม ใช้ วิธีพรรณนาเชิงวิเคราะห์ตามกระบวนการ ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร 2) การวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนาม 3) การจัดล าดับหมวดหมู่และเรียบเรียงข้อมูล 4) น าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบ มาปรับปรุงแก้ไขในงานวิจัย 5) น าข้อมูลที่ได้จากศึกษาปรับปรุงแก้ไข น ามาเรียบเรียงเป็นรายงานการวิจัย 5บท แล้วน าเสนอต่อคณะกรรมการสอบ 6. การน าเสนอผลการวิจัย ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และสรุปผลเป็นเอกสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยน าผลที่ ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดมาเขียนในรูปแบบการพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) โดยจัดท าเป็นหมวดหมู่ทั้งสิ้น 5 บท ประกอบภาพพร้อมค าอธิบาย ตารางสรุป อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ และตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง เพื่อความถูกต้องจัดท าเป็นรูปเล่มสมบูรณ์ และน าเสนอ ข้อมูลโดยการบรรยายประกอบข้อมูลภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวเป็นตารางตามความเหมาะสม


บทที่4 การแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี ในบทนี้ผู้วิจัยจะอธิบายถึงการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี โดยด าเนินการ เกี่ยวกับการแสดงของ ชุมชนวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี และการ พัฒนาการแสดงของ กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ โดยมีประเด็นการศึกษาเกี่ยวกับ รูปแบบ องค์ประกอบ กระบวนท่าร า ของการแสดงพื้นบ้านชาวไทยวนและการพัฒนาการแสดงพื้นบ้านชาวไทยวน ในรูปแบบของ กฤษฏิ์ ชัยศิลบุญ ดังนี้ 1. การแสดงพื้นบ้านชาวไทยวนต้นตาล 1.1 ฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี 1.2 ฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี 2. การแสดงพื้นบ้านไทยวนของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2.1 องค์ประกอบการแสดงศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2.2 การจัดการแสดงศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2.3 การสืบทอดลักษณะการแสดงศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 3. วิเคราะห์การพัฒนาการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 3.1 รูปแบบการแสดงและโครงสร้างท่าฟ้อนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี 3.2 องค์ประกอบการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 3.3 การจัดการแสดงการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี 3.4 การสืบทอดลักษณะการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยวนชุมชนวัดต้นตาล ต าบลต้นตาล จังหวัดสระบุรี 3.5 การพัฒนาการแสดงฟ้อนไทยวน จังหวัดสระบุรี 3.6 กระบวนท่าฟ้อนไทยวนจังหวัดสระบุรี และรูปแบบการแปรแถวในการแสดงท่าฟ้อน ไทยวนจังหวัดสระบุรี 3.7 โครงสร้างลักษณะการแปรแถวท่าร าฟ้อนไทยวน ต าบลต้นตาล จังหวัดสระบุรี


67 1. การแสดงพื้นบ้านชาวไทยวนต้นตาล 1.1 ฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี 1.1.1 รูปแบบการแสดงฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี การแสดงที่ได้มีการเรียนรู้รูปแบบแนวทางการแสดงมาจากการร ากลองยาวของทางภาค กลาง นิยมแสดง ในงานแห่น าขบวน งานบุญ งานประเพณี แห่กฐินแห่ผ้าป่าแห่นาคแห่ในงานรื่นเริง ในท้องถิ่น พื้นบ้านเป็นประจ าทุกปี การร ากลองยาวนั้นเป็นศิลปะพื้นบ้านของทางภาคกลาง ต่อมา ชาวไทยวนสระบุรีได้น ามาแสดงในลักษณะของตนเอง แต่มีความแตกต่างกันที่รูปแบบของการแสดง ทวงท่าและลีลา ลักษณะของการเกี่ยวพาลาสีกัน เป็นการผสมผสานตามลักษณะของบุคคล เมื่อชาว ไทยวนสระบุรี ได้มีการเรียนรู้รูปแบบการแสดงของการร ากลองยาวทางภาคกลางนั้น จึงเกิดการ ผสมผสานสอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวไทยวนสระบุรี จึงได้น าท่าร าของชาวไทยวนเข้ามาผสมผสานจน กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน 1.1.2 องค์ประกอบการแสดงฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี ผู้แสดงสามารถแสดงทั้งหญิงและชายร่วมกันได้ โดยเน้นการร่วมการแสดงด้วยความสมัครใจโดย มุ่งความสนุกสนานนิยมแสดงในขบวนแห่ ประเพณีหรือกิจกรรมต่างๆของชาวไทยวนในจังหวัดสระบุรี การแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่น มีความยาวเกือบถึงข้อเท้า ซึ่งเป็นที่นิยมของทั้งหญิงสาวและผู้สูงวัย ลักษณะผ้าซิ่น ทอด้วยลวดลายหลายแบบ มีความประณีต งดงาม โดยเฉพาะเชิงซิ่น ส่วนเสื้อจะเป็น เสื้อคอกลม มีสีสัน ลวดลายสวยงามหรืออาจมีห่มสไบทับ เกล้าผม การแต่งกายลักษณะนี้จะนิยมใส่ ออกงานสังคมตามประเพณี ภาพที่ 47 การเเต่งกายชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีในขบวนแห่ ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563)


68 อุปกรณ์การแสดง ใช้กลองยาวเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี มีเสียงเร้าใจไปตามจังหวะ ของการตีเป็นเครื่องดนตรีที่รู้จักของคนทั่วไปแพร่หลายไปทุกภูมิภาคของไทย เป็นเครื่องดนตรีหลักใน การควบคุมการแสดงกลองยาวเพื่อความสนุกสนานและสนองต่อความเชื่อที่ว่าจะท าให้ได้บุญโดยการ แต่งกายสวยงามตามแบบไทยวน ภาพที่ 48 อุปกรณ์ประกอบการแสดง ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) ภาพที่ 49 การแสดงและอุปกรณ์ประกอบการแสดง ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563)


69 ภาพที่ 50 กลองยาว ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) 1.1.3 ท่าร าหลักของการแสดงฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี การร าฟ้อนกลองยาวนั้นเป็นศิลปะพื้นบ้านของทางภาคกลาง ต่อมาชาวไทยวนสระบุรีได้ น ามาแสดงในลักษณะของตนเอง แต่มีความแตกต่างกันที่รูปแบบของการแสดงทวงท่าและลีลา ลักษณะของการเกี้ยวพาลาสีกัน เป็นการผสมผสานตามลักษณะของบุคคล เมื่อชาวไทยวนสระบุรี ได้ มีการเรียนรู้รูปแบบการแสดงของการร ากลองยาวทางภาคกลางนั้น จึงเกิดการผสมผสานสอดคล้อง กับวิถีชีวิตชาวไทยวนสระบุรี จึงได้น าท่าร าของชาวไทยวนเข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตน ดังภาพพร้อมค าอธิบายต่อไปนี้


70 ตารางที่ 3 ท่าฟ้อนกลองยาวของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรี ล าดับท่าที ภาพท่าฟ้อน ค าอธิบายท่าฟ้อน 1. ศีรษะ : เอียงตรงกันข้ามกับมือ มือ : ทั้งสอง ท าลักษณะเหมือนตั้งวงใน ระดับต่างกัน โค้งตามล าดับ ขยับตาม จังหวะ และเสียงเพลงของเครื่อง ดนตรี เท้า : ย้ าตามจังหวะและเคลื่อนที่ 2. ศีรษะ : เอียงตรงกันข้ามกับมือ มือ : ข้างขวาท าลักษณะเหมือนตั้งวง ระดับ ศีรษะขยับตามจังหวะและเสียงเพลง ของเครื่องดนตรี มือ: ข้างซ้าย ตั้งวงตะแคงมือ ระดับหน้าอก เท้ า : ย้ าเท้าซ้ายขวาตามจังหวะและ เคลื่อนที่ตามขบวน 3. ศีรษะ : เอียงไปตามมือเมื่อเปลี่ยนท่า มือ : ข้างขวาแบมือออกไปด้านนอกระดับ ศีรษะ มือ : มือข้างซ้าย ตั้งวงระดับหน้าอก ขยับ ตามจังหวะและเสียงเพลงของเครื่อง ดนตรี เท้า : เท้าย้ าเท้าซ้ายขวาตามจังหวะและ เคลื่อนที่ตามขบวน ที่มา: ผู้วิจัย


71 1.2 ฟ้อนร าโทนของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี ปัจจุบันการร าโทนในชุมชนกลุ่มไทยวน ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เริ่มมีความนิยมน้อยลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมและเศรษฐกิจท าให้วัยรุ่นหนุ่มสาวและ วัยเด็กในชุมชนให้ความสนใจศิลปะการแสดงอื่นๆ ที่เร้าความสนใจมากกว่าร าโทน ทุกวันนี้มีจ านวน ผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงที่มีประสบการณ์และยังมีความสามารถด้านร าโทนอยู่ซึ่งเห็น ความส าคัญและยังคงศิลปะ วัฒนธรรมพื้นบ้านจึงได้พยายาม ช่วยกันถ่ายทอดวิธีการร าโทนให้แก่บุตร หลานในชุมชนของตนแต่ก็ได้ผลเฉพาะบางครอบครัวเรือนเท่านั้น การถ่ายทอดวิธีร าโทนของชุมชน ดังกล่าวจึงมีลักษณะ เป็นแบบถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นคือคนสูงอายุมีความสามารถในการร าโทนจะสอน วิธีการร าให้แก่ลูกหลานของตนและคนรุ่นลูก รุ่นหลานที่สนใจรวมทั้งมีการสอนนักเรียนในระดับ ประถมศึกษาระดับมัธยมศึกษาทั้งในและนอกชุมชนเป็นบางครั้ง 1.2.1 รูปแบบการแสดงฟ้อนร าโทนของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี ฟ้อนร าโทนเน้นการแสดงเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเนื้อร้อง เป็นเชิงเย้าแหย่หยอกล้อเชิงเกี้ยวพาราสีระหว่าง หนุ่มสาวท านองเพลงการร้องท่าร าและการเเต่งกาย ไม่มีระเบียบแบบแผนก าหนด มุ่งความสนุกสนานบันเทิงผ่อนคลายความทุกข์ ในช่วงบ้านเมืองศึก สงครามเท่านั้นต่อมาจอมพลปพิบูลสงครามซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นเกรงว่า ชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นจะเข้าใจศิลปะการฟ้อนร าของไทยมิได้ มีความประณีตงดงามจึงให้พัฒนาการ ร าโทนขึ้นเป็นการร าอย่างมีแบบแผนทั้งท่าร าค าร้องท านองเพลงตลอดจนการเเต่งกายซึ่งเรียกว่าร าวง มาตรฐานเพื่อให้มีความประณีตงดงามมากขึ้นและแสดงถึงความเป็นชาติ ที่มีวัฒนธรรมท้องถิ่น 1.2.2 องค์ประกอบการแสดงฟ้อนร าโทนของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี ผู้แสดง เป็นผู้ที่มีความสนใจในการแสดงร าโทนและได้รับถ่ายทอดท่าร าจากรุ่นสู่รุ่นการ ถ่ายทอดวิธีร าคนสูงอายุมีความสามารถในการร าโทนจะสอนวิธีการร าโทนให้แก่ลูกหลานของตน สามารถแสดงทั้งหญิงและชายร่วมกันได้ การแต่งกาย ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าทอที่ผลิตขึ้นเองด้วยกี่กระตุก และในปัจจุบันยังคงด ารง ไว้ด้วยวัฒนธรรมการแต่งกายพื้นบ้านแบบไทยวนที่มีมาแต่ดั้งเดิมโดยเฉพาะคนรุ่นเก่าผู้หญิงจะนุ่งซิ่น ลายขวางตามแบบฉบับของสาวไทยวน ส่วนผู้ชายก็จะนุ่งกางเกงขาสามส่วน และเสื้อผ้าทอลายยกมุก


72 ภาพที่ 51 การแต่งกายแบบฉบับพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) ภาพที่ 52 การแต่งกายแบบฉบับพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) เครื่องดนตรี แต่เดิมไม่มีเครื่องดนตรีชาวไทยวนจึงใช้อุปกรณ์ตามแนวทางของการใช้ชีวิตโดย การดัดแปลงใช้การตีด้วยปิ๊บ ไม่มีบทร้อง ปัจจุบัน มีเนื้อร้องที่ผู้ร าเป็นผู้ร้องเอง เครื่องดนตรีคือโทน


73 ภาพที่ 53 การตีโทนแบบฉบับพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) ภาพที่ 54 โทน ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563)


74 ภาพที่ 55 การตีโทนแบบฉบับพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ที่มา: วงเดือน ยะกุล (15 มิถุนายน 2563) 1.2.3 ท่าร าหลักของการแสดงฟ้อนร าโทนของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี ท่าร าฟ้อนร าโทนไทยวน โดยมีแม่ท่าดังนี้ 1) ท่าฟ้อนตากข้าวแตน 2) ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก 3) ท่าฟ้อนเหินเวหา 4) ท่าฟ้อนฟันไร่นา โดยมีกระบวนท่าทางที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายในท่าตั้งวง ท่าจีบ ท่าก้าวไขว้ ท่าขยับ เท้าลักษณะเด่นของการร า มีการเบี่ยงล าตัวเข้าหาคู่ร า การโยกล าตัว การร าถ่ายน้ าหนักไปด้านหน้า ไม่ยึดศูนย์กลาง การย่ าเท้าตามจังหวะ โดยเน้นที่การเคลื่อนไหวของมือในการปฏิบัติท่าร าเป็นหลัก ลักษณะการเคลื่อนวงแบบตามเข็มนาฬิกา ผู้แสดงมีอารมณ์สนุกสนานตลอดการแสดง


75 ภาพที่ 56 ท่าฟ้อนตากข้าวแตน ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 4 ท่าฟ้อนตากข้าวแตน ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า ค าอธิบายความหมายของ ท่าร า 1. ท่าฟ้อนตาก ข้าวแตน ศีรษะ : เอียงศีรษะข้างมือที่ต่ ากว่า สลับเอียงซ้ายขว าตาม จังหวะ ของเครื่องดนตรี มือ : มือขวาตั้งวงอยู่ระดับหางคิ้ว มือ : มือซ้ายตั้งวงอยู่ระดับศีรษะ เท้า : ย่ าเท้าตามจังหวะ เท้าซ้ายอยู่ ข้างหน้า ท่าที่1 ท่าฟ้อนตากข้าวแตน คือการแสดงกิริยาเลียนแบบ ท่าทางการท ากิจกรรมในการ ประกอบอาหาร การตากเข้า แตนคือมือทั้งสองข้างกลาง ออกเอียงซ้ายและเอียงขวา ไปตามจังหวะของเสียงเพลง ที่มา: ผู้วิจัย


76 ภาพที่ 57 ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 5 ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า ค าอธิบายความหมายของ ท่าร า 2. ท่าฟ้อนแม่กา ตากปีก ศีรษะ : เอียงศีรษะสลับซ้ายและ ขวาตามจังหวะของเครื่อง ดนตรี มื อ : ทั้งสอง แบออก แขนง อ เล็กน้อย อยู่ระดับเอว เท้า : ย่ าเท้าตามจังหวะ เท้าขวา ท่าที่2 ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก คือการกางแขนทั้งสองข้าง เปรียบเสมือนตนเองเป็นแม่ กาที่โบยบิน กลางอากาศ ที่มา: ผู้วิจัย


77 ภาพที่ 58 ท่าฟ้อนเหินเวหา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 6 ท่าฟ้อนเหินเวหา ล าดับ ท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า ค าอธิบายความหมาย ของท่าร า 3. ท่าฟ้อนเหินเวหา ศีรษะ : เอียงศีรษะข้างวงที่ต่ ากว่าเอียง สลับซ้ายและขวาตามจังหวะ ของเครื่องดนตรี มือ : ซ้ายตั้งวงอยู่ระดับหางคิ้ว มือ : ขวาตั้งวงอยู่ระดับศีรษะ เท้า : ย่ าเท้าตามจังหวะ ท่าที่3 ท่าฟ้อนเหินเวหา เป็นการร าที่มีลักษณะ คล้ายการโบยบินไปใน อากาศ เอียงซ้ายและ เอียงขวาไปตามจังหวะ ของเสียงเพลง ที่มา: ผู้วิจัย


78 ภาพที่ 59 ท่าฟ้อนฟันไร่นา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 7 ท่าฟ้อนฟันไร่นา ล าดับ ท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า ค าอธิบายความหมายของ ท่าร า 4. ท่าฟ้อนฟันไร่นา ศีรษะ : เอียงสลับซ้ายและขวา ตามลักษณะของมือที่ ต่ ากว่า มือ : ทั้งสองท าท่าลักษณะการจีบ อยู่ระดับหน้าอก ขยับงอ แขนตึงแขนตามจังหวะ เท้า : ย่ าเท้าตามจังหวะ เท้าขวา อยู่ข้างหน้า ท่าที่4 ท่าฟ้อนฟันไร่นา คือ เป็นการร าที่มีลักษณะคล้าย การประกอบอาชีพการท าไร่ ท านา


79 2. การแสดงพื้นบ้านไทยวนของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาลอ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 2.1 องค์ประกอบการแสดงศูนย์ศิลปะกา รแสดงโยนกอุทย านท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี 1) ผู้แสดงที่ใช้ประกอบการแสดง คือการคัดเลือกนักแสดง ทั้งชายและหญิง ต้องมี ความสามารถด้านนาฏศิลป์ และต้องมีความตั้งใจขยันในการฝึกซ้อม ซึ่งท าให้การฝึกฝนไม่เกิดปัญหา สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและต้องมีความสูงใกล้เคียงกัน 2) การแต่งกายที่ใช้ประกอบการแสดงการศึกษาครั้งนี้ มุ่งเน้นการศึกษารูปแบบเครื่อง เเต่งกาย วัสดุสีสันโดยคัดแยกประเภทในแต่ละ ชุดการแสดงตามรูปแบบของเสื้อผ้าเครื่องเเต่งกาย เพื่อการแสดง แบ่งได้สามกลุ่มคือแบบประเพณี แบบประยุกต์ และแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้เห็นความ นิยมในการสร้างสรรค์และเป็นแนวทางในการศึกษาพัฒนาต่อไปดังนี้ (1) เครื่องแต่งกายแบบประเพณี มีลักษณะของการจัดสร้างเครื่องแต่งกายแบบแยก เป็นชิ้นส่วนโดยต้องอาศัยขั้นตอนในการประกอบส่วนต่างเข้ากันด้วยเทคนิคการนุ่งห่มเย็บกึ่งมัดผูก เสื้อผ้าเครื่องเเต่งกายต่างๆเข้าด้วยกัน เวลาแสดงท าให้เกิดความประณีตงดงามแบบโบราณแต่อาจ เกิดอุปสรรคในการแสดงได้หากการเเต่งกายนั้นไม่รัดกุมแน่นหนาพอ (2) เครื่องเเต่งกายเเบบประยุกต์ นิยมใช้ลักษณะของเสื้อผ้าเครื่องเเต่งกายเเบบกึ่ง ส าเร็จรูปคือมีการตัดเย็บให้รายละเอียดของโครงสร้างเสื้อผ้าที่ซับซ่อนบางส่วนติดกันเพื่อให้ง่ายต่อ การสวมใส่แต่ก็ยังมีเครื่องเเต่งกายบางชิ้นที่แยกสวน เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกในการสวมใส่และ เกิดความรัดกุมในการแสดง เช่น การโพกผ้าของชาวไทยวน เสื้อส าเร็จรูป หรือผ้านุ่ง ที่ท าเป็นผ้านุ่ง ส าเร็จรูปผสมกับ ผ้านุ่งห่มแบบเดิมเป็นต้น (3) เครื่องแต่งกายแบบสร้างสรรค์ นิยมใช้รูปแบบโครงสร้างเสื้อผ้าเครื่องเเต่งกายแต่ ตัดเย็บแบบส าเร็จรูปเป็นการตัดเย็บชิ้นผ้าต่างๆส าเร็จรูปสะดวกในการสวมใส่ของนักแสดงและมี ความอิสระของแบบโครงสร้างของเครื่องเเต่งกายในการนุ่งห่มโดยการแยกชิ้นของเครื่องเเต่งกาย ออกเป็นสองถึงสามชิ้นเช่นส่วนบนที่เป็นเสื้อกับผ้าสไบต่างๆจะเย็บติดกันส าเร็จรูปส่วนล่างจะเป็น ผ้านุ่งหรือกระโปรงเย็บส าเร็จรูป เช่นกันเป็นต้น การศึกษาพบว่าลักษณะของเสื้อผ้าเครื่องเเต่งกาย พบสามแบบ คือ แบบประเพณี แบบประยุกต์ และแบบสร้างสรรค์ แบบแยกชิ้นมักจะพบในการแต่งกาย แบบประเพณี แบบกึ่ง ส าเร็จรูปมักจะพบ ในเครื่องแต่งกายแบบประยุกต์แบบตัดเย็บส าเร็จรูปมักจะพบในเครื่องแบบ สร้างสรรค์โดยคาดว่าการใช้โครงสร้างแบบเครื่องเเต่งกายประยุกต์และแบบสร้างสรรค์น่าจะมีความ ต้องการมากขึ้นเพราะสะดวกและรัดกุมในการแต่งกายและในโครงสร้างแบบแยกชิ้นก็ยังคงนิยมใช้กับ เครื่องเเต่งกายประเพณี เพราะเป็นการสะท้อนวิธีการนุ่งห่มแบบเดิมข้อดีคือสามารถน าไปใช้ร่วมกับการ แสดงอื่นเนื่องจากมิใช่เครื่องเเต่งกายที่ใช้ตัดส าเร็จรูปส าหรับการแสดงเพียงชุดเดียวและยังสามารถปรับ ขนาดสัดส่วนของนักแสดงตามความต้องการ เพราะเป็นการนุ่งห่มใหม่ทุกครั้งในการแสดง 3) เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง คือ วงสะล้อ ซอ ซึง ถึง 3 วง ด้วยกันนั่นคือ วงเพชรไทยวน ของโรงเรียน วัดหนองสุทธะ อ าเภอพระพุทธบาท วงสะล้อซอซึง บ้านหนองเขื่อนช้าง


80 อ าเภอเมืองสระบุรี และวงมะต๋าอ่อน บ้านต้นตาล อ าเภอเสาไห้ ที่มีการถ่ายทอดศิลปะการบรรเลง ดนตรีให้กับเยาวชนเพื่อบรรเลงประกอบการฟ้อน ในงานประเพณีต่างๆหลายครั้ง 2.2 การจัดการแสดงศูนย์ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี การต้อนรับแขกผู้มาเยือน มีการจัดสถานที่เตรียมต้อนรับแขกผู้มาเยือน ในศูนย์ ศิลปะการแสดงโยนกอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ ต าบลต้นตาลอ าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรีนั้น มีการเตรียม ความพร้อมเริ่มตั้งแต่การจัดสถานที่ เพื่อความสวยงามเป็นระเบียบตามลักษณะเอกลักษณ์ของชาวไทยวน จังหวัดสระบุรี การจัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มต้อนรับ และการเตรียมข้อมูลการน าเสนอเพื่อแนะน าสถานที่ ส าคัญ ในต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี รายชื่อการแสดงเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน 1) ฟ้อนขันแก้ว คันข่าว ฟ้อนเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือนพร้อมกับการเชิญขันโตกอาหาร 2) ฟ้อนนกกิ่งกะหล่า ฟ้อนเพื่อให้ร าลึกถึงถิ่นที่เราจากมา แสดงถึงกิริยาท่วงท่าของนก ที่มีความสุข 3) ฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนสระบุรี ฟ้อนเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน การแสดงจะ แสดงถึงความประณีตงดงามและแสดงถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวไทยวนสระบุรี ชื่อการแสดงของศูนย์ศิลปะการแสดงโยนอุทยานท่าน้ าศักดิ์สิทธิ์ต าบลต้นตาล อ าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ที่เตรียมความพร้อมส าหรับการแสดงในโอกาสที่ส าคัญดังนี้ 1) ฟ้อนผางประทีป ฟ้อนเพื่อเป็นพุทธบูชา หรืออวยพรให้ผู้รับชมมีชีวิตรุ่งโรจน์ สุขสว่าง ดั่งแสงประทีป 2) ฟ้อนสาวไหม การฟ้อนที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตแม่หญิงชาวไทยวน 3) ฟ้อนล่องสะเปา ฟ้อนบนเรือ เพื่ออธิษฐานให้สายน้ าที่ไหลเรือน ปัดเป่าน าพาให้ ความเศร้าความทุกข์ ไหลไปพร้อมสายน้ า 4) ฟ้อนเล็บ เป็นฟ้อนร ามาตรฐาน น ามาไว้เพื่อร าน าหน้าขบวนแห่พิธีต่างๆ จากการศึกษาพบว่า ศิลปะการแสดงท้องถิ่นของจังหวัดสระบุรีมีทั้งแบบดั้งเดิม เเละเเบบมีผู้ ประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งการแสดงเป็นเรื่องราวและการฟ้อนร า ในงานบุญประเพณี พิธีกรรม และใช้แสดงในโอกาสต่างๆ การพัฒนารูปแบบศิลปะการแสดงท้องถิ่นของจังหวัดสระบุรี มีขั้นตอน การด าเนินงานดังนี้ การก าหนดขอบเขตพื้นที่ การก าหนดแนวคิดของชุดการแสดง การก าหนดองค์ประกอบของ การแสดง การออกแบบท่าร าและการแปรแถว การทดลองปฏิบัติการแสดง การถ่ายทอด ศิลปะการแสดงท้องถิ่นของจังหวัดสระบุรีพบว่าแนวคิดของการแสดงเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่ สัมพันธ์กับการท่องเที่ยวด้านรูปแบบการแสดงดนตรีและเพลงเข้ากับแนวคิดของชุดการแสดงเนื้อร้อง สื่อความหมายชัดเจนลีลาของเพลงเหมาะกับท่าร า การแต่งกายออกแบบได้เหมาะสมการออกแบบท่า ร าสื่อความหมายได้ดีมีการเชื่อมท่าร าได้กลมกลืนกัน ตลอดการแสดงและการแปรแถวของแต่ละชุด การแสดงท าให้เกิดความน่าสนใจ ทั้งนี้ขั้นตอนการด าเนินงานและรูปแบบศิลปะการแสดงท้องถิ่นของ จังหวัดสระบุรีที่พัฒนาขึ้นสามารถน าไปใช้และประยุกต์เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาชุดการแสดงท้องถิ่น ในจังหวัดสระบุรีและจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป


81 ภาพที่ 60 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่ได้รับการพัฒนา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 8 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่มีการพัฒนา ที่มา: ผู้วิจัย ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า 1. ท่าฟ้อนตากข้าวแตน ศีรษะ : เอียงสลับซ้ายและขวาตามจังหวะ ของเครื่องดนตรี มือซ้าย : แบฝ่ามือส่งไป ด้านหลัง ระดับเหนือศรีษะ มือขวา : ตั้งวงม้วนข้อมือเข้าหาล าตัวระดับเอว มือทั้ง สองท าสลับกันไปมา เท้า : ก้าวเท้าซ้ายน าเสมอ ย่ าเท้าตามจังหวะของ กลอง สลับซ้ายขวา


82 ภาพที่ 61 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่ได้รับการพัฒนา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 9 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่มีการพัฒนา ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า 2. ท่าฟ้อนตากข้าวแตน ศีรษะ : เอียงสลับซ้ายและขวาตามจังหวะ ของเครื่องดนตรี มือซ้าย : แบฝ่ามือส่งไปด้านหลัง ระดับ เหนือศรีษะ มือขวา : ตั้งวงม้วนข้อมือเข้าหาล าตัวระดับ เอว มือทั้งสองท าสลับกันไปมา เท้า : ก้าวเท้าซ้ายน าเสมอ ย่ าเท้าตาม จังหวะของกลอง สลับซ้ายขวา ที่มา: ผู้วิจัย


83 ภาพที่ 62 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่ได้รับการพัฒนา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 10 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่มีการพัฒนา ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า 3. ท่าฟ้อนแม่กาตากปีก ศีรษะ : เอียงตามมือที่อยู่ระดับต่ ากว่า เอียง ศีรษะซ้าย และขวา ตามจังหวะ ของเครื่องดนตรี มือขวา : ตั้งวงระดับหัวไหล่ ไม่เก็บ นิ้วหัวแม่มือ ขยับมือตามจังหวะ มือซ้าย : ตั้งวงระดับศรีษะ ไม่เก็บ นิ้วหัวแม่มือ ขยับมือตามจังหวะ เท้า : เท้าขวาก้าวไปข้างหน้า ย่ าเท้าก้าว ตามจังหวะเสียงกลอง ที่มา: ผู้วิจัย


84 ภาพที่ 63 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่ได้รับการพัฒนา ที่มา: ผู้วิจัย ตารางที่ 11 ท่าร าฟ้อนร าโทนของชาวไทยวนจังหวัดสระบุรีที่มีการพัฒนา ล าดับท่าที ชื่อท่าร า ค าอธิบายท่าร า 4. ท่าฟ้อนเหินเวหา ศีรษะ : เอียงตามมือระดับที่ต่ ากว่า เอียง ศีรษะซ้าย และขวา ตามจังหวะ ของเครื่องดนตรี มือขวา : ตะแคงมือปลายนิ้วแทงออกด้าน นอกของล าตัว ระดับเอว มือทั้งสอง ท าสลับกันไปมาตามจังหวะ มือซ้าย : ตั้งวงระดับเหนือศรีษะ ไม่เก็บ นิ้วหัวแม่มือ เท้า : ย่ าเท้าก้าวตามจังหวะเสียงกลอง ที่มา: ผู้วิจัย


Click to View FlipBook Version