เอกสารประกอบการสอน
วชิ า 30001-2003 เทคโนโลยดี ิจิทลั เพือ่ การจดั การอาชพี
เร่อื งหลกั การจัดการ รหัสวชิ า 3200-1002
เรยี บเรียงโดย
ครอู านีสรา โศภนะศุกร์
วิทยาลัยอาชีวศึกษาลาปาง
สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธกิ าร
แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา
รหัสวชิ า 3200-1002 วิชาหลกั การจัดการ
ระดับชัน้ ปวส.1 แผนกวิชาการจดั การสานักงาน
คาบ-หน่วยกิต 2-2-3 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2561
จดุ ประสงคร์ ายวิชา
1. เข้าใจเก่ียวกับหน้าที่การจัดการ หลักการจัดการสมัยใหม่ การเปล่ียนแปลงพัฒนาองค์การ
เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ และจริยธรรมในการจัดการ
2. มที กั ษะในการจดั การมาประยุกตใ์ ช้ในงานอาชีพสาขาต่าง ๆ
3. มเี จตคติและกิจนิสัยทดี่ ีในการปฏิบตั งิ านภายใตห้ ลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
มาตรฐานรายวิชา
1. มีความรู้ความเขา้ ใจหนา้ ท่ีการจัดการ
2. จัดการงานอาชีพ หลกั การจดั การ กระบวนการ และจริยธรรมองคก์ าร
3. ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีเพ่ือการจัดการ
สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรู้เก่ยี วกบั หนา้ ทีก่ ารจัดการ หลกั การจัดการสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงพฒั นาองคก์ าร
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจดั การ และจรยิ ธรรมในการจดั การ
2. จดั การงานอาชพี และหลักการ กระบวนการ และจรยิ ธรรม
3. ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการ
4. เห็นคณุ ค่าของการจดั การในงานอาชพี ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
คาอธบิ ายรายวชิ า
ศึกษาทฤษฎีและปฏิบัติ หน้าทก่ี ารจดั การ หลักการจัดการสมยั ใหม่ การเปล่ยี นแปลงพัฒนาองค์การ
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการ จริยธรรมในการจัดการ กรณี ศึกษาการจัดการ
การประยกุ ต์หลกั การจัดการในงานอาชีพตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
เกณฑ์การวดั ผลประเมินผล
คะแนนเตม็ 100 คะแนน แบ่งเป็น
คะแนนเก็บระหวา่ งภาค 80 คะแนน
ทดสอบ 40 คะแนน
ใบงาน/งานทมี่ อบหมาย 30 คะแนน
จติ พสิ ัย 10 คะแนน
สอบปลายภาค 20 คะแนน
วิธี/เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวดั ผล
1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
2. สงั เกตพฤติกรรมเปน็ กลมุ่
3. ตรวจแบบทดสอบ
4. ตรวจผลงาน
สือ่ การสอน
1. หนงั สือเรยี น
2. หนังสอื ทเี่ กี่ยวขอ้ ง
3. ส่ือการสอน Power Point
4. วิดีทัศน์
เอกสารประกอบการสอน/เอกสารอา้ งอิง/หนงั สอื อา่ นประกอบ
ปราณี กองทิพย์ และคณะ. หลักการจัดการ. กรงุ เทพฯ : บริษัท พัฒนาวชิ าการ (2535) จากัด.
2558.
ตารางวิเคราะห์หลักสูตร
รหัสวิชา 3200-1002 วชิ า หลกั การจัดการ หนว่ ยกติ 2-2-3 ระดับช้นั ปวส.
จานวน 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ รวม 68 ชว่ั โมง จานวน 17 สปั ดาห์
จุดประสงค์ ความรู้ความจา
ความเ ้ขาใจ
ช่ือหนว่ ย การนาไปใ ้ช
การ ิวเคราะห์
การสังเคราะห์
การประเมิน ่คา
รวม
ลา ัดบความสา ัคญ
จานวน ่ัชวโมง
น้ำหนกั ควำมสำคัญของแต่ละจดุ ประสงค์ 10 10 10 10 10 10
1. ทฤษฎแี ละปฏิบตั ิเกี่ยวกับหลกั การจดั การ 2 3 2 1 1 1 10 7 8
2. หนา้ ท่ีในการจดั การและกระบวนการการบรหิ าร 5 5 5 2 2 1 20 1 12
3. การจดั การสมัยใหม่ 2 3 4 2 2 2 10 4 8
4. การเปลี่ยนแปลงและพฒั นาองค์การ 3 2 2 1 1 1 10 5 8
5. การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในการจัดการ 3 2 4 2 2 2 15 3 10
6. จรยิ ธรรมในการจัดการ 2 3 4 1 1 1 10 6 8
7. กรณศี ึกษาการจัดการ 3 2 2 1 1 1 10 8 4
8. หลกั การจัดการในงานอาชีพตามหลักปรชั ญา 2 3 4 2 2 2 15 2 10
9. เศรษฐกจิ พอเพียง
รวม 19 21 24 12 12 12 100 36 68
ความสาคญั 321456
ตารางแสดงการบูรณาการ
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม คณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์
หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และ 3D
ที่ เรื่อง/รายการทบ่ี รู ณาการ หน่วยท่ี จานวนขอ้ สอบ สปั ดาหท์ ่ี
1 ทฤษฎีและปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั หลกั การจัดการ 1 10 1-2
2 10 3-5
บรู ณาการเรื่อง สนใจใฝร่ ู้ ต้ังใจเรียน 3 10 6-7
2 หน้าท่ใี นการจัดการและกระบวนการบรหิ าร 4 10 8-9
5 10 10-11
บูรณาการเร่ือง ความรับผดิ ชอบ 6 10 12-13
3 การจัดการสมัยใหม่ 7 10 14-15
8 10 16-17
บูรณาการเรอ่ื ง ความคิดสรา้ งสรรค์
4 การเปลี่ยนแปลงและพฒั นาองคก์ าร
บรู ณาการเรื่อง ความมีระเบียบวินัย
5 การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการจัดการ
บูรณาการเร่อื ง การใช้ทรพั ยากรคุ้มค่า ประหยดั
6 จรยิ ธรรมในการจดั การ
บรู ณาการเรอื่ ง ความขยนั อดทน ซอ่ื สตั ย์
7 กรณศี ึกษาการจดั การ
บรู ณาการเร่ือง ความมีสมั มาคาราวะ สภุ าพอ่อนนอ้ ม
8 หลักการจดั การในงานอาชพี ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
บรู ณาการเรื่อง ความมีเหตุผล พอประมาณและพอเพยี ง
หน่วยการจดั การเรียนรู้
รหัสวิชา 3200-1002 วชิ าหลกั การจดั การ
จานวน 4 ชว่ั โมง/สปั ดาห์
หน่วยที่ ช่ือหน่วยการจัดการเรยี นรู้ จานวน สปั ดาห์ท่ี
ชั่วโมง
1 ทฤษฎีและปฏิบัตเิ กีย่ วกับหลกั การจัดการ 8 1-2
2 หนา้ ท่ีในการจดั การและกระบวนการบรหิ าร
3 การจดั การสมยั ใหม่ 12 3-5
4 การเปลีย่ นแปลงและพฒั นาองค์การ
5 การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในการจดั การ 8 6-7
6 จรยิ ธรรมในการจดั การ
7 กรณีศกึ ษาการจัดการ 8 8-9
8 หลักการจัดการในงานอาชพี ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ
10 10-11
พอเพียง
รวมชัว่ โมง 8 12-13
4 14-15
10 16-17
68
รายการหนว่ ยการจัดการเรยี นรแู้ ละสมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์
ชือ่ หน่วย/ชื่อเรื่อง สมรรถนะที่พึงประสงค์
หน่วยท่ี 1 1. บอกวิวัฒนาการทฤษฎที างการจดั การได้
ทฤษฎแี ละปฏิบตั ิเกี่ยวกบั หลกั การจดั การ 2. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ขององค์การกับการบริหารและ
การจดั การได้
3. บอกประเภทขององค์การและวงจรชีวติ ขององค์การได้
4. อธิบายระดบั ของผู้นาในองค์การได้
5. บอกทกั ษะด้านการจัดการได้
6. เขยี นวงจรชีวิตของการจัดการได้
7. อธบิ ายนวัตกรรมทางดา้ นการจดั การได้
8. อธิบายแนวโน้มรูปแบบการจัดการในอนาคตได้
9. นกั ศกึ ษาเป็นผ้มู คี วามสนใจใฝร่ ู้ ตง้ั ใจเรียน
หน่วยท่ี 2 1. บอกความหมายของการวางแผนได้
หนา้ ที่ในการจดั การและกระบวนการ 2. บอกความสาคัญของการวางแผนได้
บรหิ าร 3. บอกประเภทของการวางแผนได้
4. อธบิ ายเครือ่ งมือและเทคนคิ ในการวางแผนได้
5. อธบิ ายหลกั การและวิธกี ารเขียนโครงการได้
6. เขยี นโครงการได้
7. บอกความหมายและความสาคญั ของการจัดองคก์ ารได้
8. อธบิ ายกระบวนการจดั ทาโครงสร้างองค์การได้
9. เขยี นเคร่ืองมอื ท่ีใช้บ่งชก้ี ารจัดองค์การได้
10. อธิบายหลกั การและแนวคิดพนื้ ฐานเพอื่ การ
จัดโครงสร้างองคก์ ารได้
11. อธิบายเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการจัดองคก์ ารได้
12. อธบิ ายหลกั การมอบหมายงานได้
13. อธิบายหลกั การตัดสนิ ใจของผบู้ รหิ ารได้
14. อธิบายการจงู ใจได้
15. บอกความหมายและความสาคัญของการควบคมุ ได้
16. อธบิ ายประเภทการควบคมุ ได้
17. อธบิ ายเทคนคิ และเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการควบคุมได้
18. อธิบายการจัดทาเทคนิคการควบคุมดว้ ยโครงขา่ ย
การปฏิบัตงิ านได้
19. นกั ศกึ ษาเปน็ ผ้มู คี วามรบั ผดิ ชอบ
ชื่อหน่วย/ชอ่ื เรื่อง สมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์
หน่วยท่ี 3 1. บอกความเป็นมาของแนวคิดปรัชญาสกู่ ารจัดการ
การจัดการสมยั ใหม่ สมยั ใหม่ได้
2. อธิบายทรัพยากรการจัดการได้
3. อธบิ ายสภาพแวดล้อมของการจดั การได้
4. อธิบายการวางแผนกลยทุ ธ์ได้
5. อธบิ ายการจัดการในศตวรรษท่ี 21 ได้
6. อธบิ ายแนวคิดในการสรา้ งความเปน็ เลศิ ทางธรุ กจิ ได้
7. นกั ศึกษาเป็นผมู้ ีความคดิ สร้างสรรค์
หนว่ ยท่ี 4 1. อธบิ ายมิตขิ องการเปลีย่ นแปลงและพัฒนาองคก์ ารได้
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์การ 2. จาแนกปจั จัยท่ีนาไปสกู่ ารเปลี่ยนแปลงและพฒั นา
องค์การได้
3. อธิบายผู้นาแหง่ การเปล่ียนแปลงและพฒั นาองคก์ ารได้
4. จาแนกปจั จัยท่มี ีอิทธิพลต่อความสาเรจ็ ในการ
เปลย่ี นแปลงและพัฒนาองคก์ ารได้
5. นักศึกษาเปน็ ผมู้ รี ะเบยี บวนิ ยั
หน่วยที่ 5 1. บอกความหมายและความสาคัญของเทคโนโลยี
การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการ สารสนเทศได้
จดั การ 2. อธิบายองคก์ ารธรุ กจิ กบั เทคโนโลยีสารสนเทศได้
3. เขยี นองคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้
4. สามารถประยกุ ต์และเลอื กใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
เข้ากับระบบธรุ กจิ ได้
5. นกั ศึกษาเป็นผู้รจู้ กั ใช้ทรพั ยากร คุ้มคา่ ประหยัด
หน่วยท่ี 6 1. บอกความหมายและความสาคัญของจริยธรรมได้
จรยิ ธรรมในการจัดการ 2. บอกโครงสรา้ งของจรยิ ธรรมได้
3. อธิบายวิธกี ารฝกึ อบรมเพ่ือพัฒนาและปลกู ฝังจรยิ ธรรมได้
4. อธิบายองคก์ ารแหง่ คุณธรรมจรยิ ธรรม และการจัดการ
เรยี นรูไ้ ด้
5. นักศึกษาเป็นผู้ขยนั อดทน และซอ่ื สัตย์
หนว่ ยที่ 7 1. อธบิ ายกรณีศกึ ษาแนวคิดทฤษฎีองคก์ ารได้
กรณีศึกษาการจดั การ 2. อธิบายกรณีศกึ ษาการวางแผนได้
3. อธบิ ายกรณีศึกษาการจัดองค์การได้
4. อธิบายกรณศี ึกษาการส่งั การได้
ชอ่ื หน่วย/ชอ่ื เร่ือง สมรรถนะทีพ่ ึงประสงค์
5. อธิบายกรณศี กึ ษาการควบคมุ ได้
6. อธิบายกรณศี กึ ษาการจัดการสมยั ใหม่ได้
7. อธิบายกรณศี กึ ษาการเปล่ียนแปลงและพัฒนาองคก์ ารได้
8. อธิบายกรณีศกึ ษาการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้
ในการจัดการได้
9. กรณีศกึ ษาจรยิ ธรรมในการจดั การได้
10. นกั ศึกษาเป็นผมู้ สี ัมมาคาราวะ สภุ าพ ออ่ นนอ้ ม
หนว่ ยท่ี 8 1. บอกความหมายและความสาคญั ของเศรษฐกจิ พอเพยี งได้
หลักการจดั การในงานอาชพี ตามหลกั 2. อธิบายกรอบแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียงได้
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 3. อธิบายเง่ือนไขของเศรษฐกจิ พอเพียงได้
4. อธิบายจุดมงุ่ หมายของเศรษฐกจิ พอเพียงได้
5. อธิบายเศรษฐกจิ พอเพียงใจภาคธุรกจิ ได้
5.1 เรือ่ ง หลกั ความพอประมาณทางธุรกจิ
5.2 เรื่อง หลกั ความมีเหตผุ ลในธุรกจิ
5.3 เรอื่ ง หลกั การมีภมู ิคุ้มกนั ท่ดี ใี นธรุ กิจ
5.4 เรื่อง ความรู้และคุณธรรมในธรุ กจิ
6. นักศกึ ษาเปน็ ผู้มีเหตผุ ล พอประมาณ และพอเพียง
แผนการจดั การเรียนรู้
แบบมุ่งเน้นสมรรถนะอาชพี และบูรณาการคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
วิชาหลกั การจดั การ รหสั วชิ า 3200-1002
ประเภทวิชาบริหารธรุ กิจ สาขาวิชาการจดั การสานกั งาน
หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง (ปวส.)
พุทธศักราช 2557
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2561
จัดทาโดย
นางสาวอานีสรา โศภนะศุกร์
แผนกวิชาการจดั การสานักงาน
วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาลาปาง
สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
แผนการจัดการเรียนรู้
แบบมงุ่ เน้นสมรรถนะอาชพี และบรู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
วิชาหลกั การจัดการ
รหัส 3200-1002
โดย
นางสาวอานีสรา โศภนะศุกร์
วฒุ ิ บธ.ม. (บริหารธรุ กจิ มหาบัณฑติ )
แบบฟอร์มรายงานการตรวจและอนุญาตให้ใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้
ควรอนุญาตให้ใชใ้ นการสอนได้
ควรปรบั ปรงุ เก่ียวกบั
............................................................................................................................ ..................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงช่อื ......................................................
(....................................................)
ผู้ตรวจแผนการจัดการเรียนรู้
............./.............../...............
เห็นควรอนญุ าตให้ใช้ในการสอนได้
ควรปรบั ปรงุ ดงั เสนอ
อื่นๆ...............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
ลงช่อื ......................................................
(นายสนั ต์ ดวงประภา)
รองผ้อู านวยการฝ่ายวิชาการ
.............../.............../...............
อนุญาตให้ใชใ้ นการสอนได้
อื่นๆ...............................................................................................................................................................
........................................................................................................ ......................................................................
............................................................................................................................. .................................................
ลงช่ือ......................................................
(นายพลฤทธิ์ จนิ ดาหลวง)
ผอู้ านวยการ
.............../.............../...............
คานา
แผนการจัดการเรยี นรู้ วิชา 3200 – 1002 หลักการจดั การ ข้าพเจ้าได้จัดทาขนึ้ เพื่อเปน็ แนวทางการ
จัดการเรียนการสอน โดยกาหนดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ข้าพเจ้าได้ศึกษาหลักสูตรและคาอธิบาย
รายวิชาอย่างละเอียด แล้ววิเคราะห์เพื่อกาหนดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามลาดับ โดยกาหนดจุดประสงค์
การเรียนรู้ ครอบคลุมเน้ือหารายวิชา และพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย เพ่ือให้ผู้เรียน
ศึกษาทฤษฎีและปฏิบัติ หน้าที่การจัดการ หลักการจัดการสมัยใหม่ การเปล่ียนแปลงพัฒนาองค์การ
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการ กรณีศึกษาการจัดการ การประยุกต์ใช้หลักการจัดการ
การประยุกตห์ ลกั การจดั การในงานอาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ข้าพเจ้าหวังวา่ แผนการจัดการเรยี นรูฉ้ บับนี้ จะมสี ่วนชว่ ยในดา้ นการพัฒนาการเรยี นการสอนและเป็น
ประโยชนต์ อ่ ครอู ย่างแท้จริงตอ่ ไป
นางสาวอานสี รา โศภนะศุกร์
วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาลาปาง
สารบญั หน้า
ข
เรือ่ ง 8
คานา 1
สารบญั 3
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชา 4
ตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร 5
ตารางแสดงการบรู ณาการ 6
หนว่ ยการจดั การเรยี นรู้ 9
รายการหนว่ ยการจดั การเรียนรูแ้ ละสมรรถนะท่พี งึ ประสงค์ 27
หนว่ ยท่ี 1 ทฤษฎีและปฏิบัตเิ กยี่ วกบั หลกั การจดั การ 46
หนว่ ยที่ 2 หน้าท่ีในการจดั การและกระบวนการบรหิ าร 58
หนว่ ยท่ี 3 การจัดการสมยั ใหม่ 70
หน่วยท่ี 4 การเปล่ยี นแปลงและพัฒนาองค์การ 83
หนว่ ยท่ี 5 การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการจดั การ 94
หน่วยท่ี 6 จรยิ ธรรมในการจัดการ
หนว่ ยที่ 7 กรณศี ึกษาการจัดการ 114
หนว่ ยท่ี 8 หลักการจัดการในงานอาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 125
หนังสอื อ้างอิง
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 1
ช่ือวิชาหลักการจัดการ สอนคร้ังท่ี 1-2
ชอื่ หน่วย ทฤษฎีและปฏบิ ตั เิ กีย่ วกบั หลกั การจัดการ ชัว่ โมง 4
ชื่อเรือ่ งหรือช่ืองาน ทฤษฎีและปฏบิ ัติเกี่ยวกบั หลกั การจัดการ จานวนชั่วโมง 8
หวั ข้อเร่อื งและงาน
1. 1. ความสมั พนั ธ์ขององค์การกบั การบริหารและการจดั การ
2. 2. ประเภทขององคก์ ารและวงจรชีวิตขององคก์ าร
3. 3. ระดับของผ้นู าในองคก์ าร
4. 4. ทกั ษะดา้ นการจดั การ
5. 5. ผลสาเรจ็ ขององคก์ ารซึ่งเกิดจากการจดั การและบรหิ าร
6. 6. ความเปน็ ทฤษฎีและปฏิบตั ขิ องการจัดการ
7. 7. ยคุ ประวัตคิ วามเป็นมาของการจัดการ
8. 8. ววิ ฒั นาการทฤษฎที างการจดั การ
9. 9. วิวัฒนาการของแนวความคดิ ในการจดั การ
10. 10. วงจรชีวติ ของการจัดการ
11. 11. นวตั กรรมทางด้านการจัดการ
12. 12. แนวโน้มรูปแบบการจัดการในอนาคต
สาระสาคัญ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ได้ตามลาพัง เพราะต้องมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สังคม
มนุษย์จะต้องประกอบด้วยคนทุกเพศทุกวัยที่มารวมกลุ่มกันจานวนมาก มีความรู้สึกท่ีสอดคล้องกัน
มีความสัมพันธ์โดยทางตรงและทางอ้อมอย่างใดอย่างหน่ึง มีระเบียบแบบแผนในการดาเนินชีวิตร่วม กัน
ซึ่งแบบแผนในการดาเนินชีวิตได้จากประสบการณ์ การเรียนรู้ การสร้างสม การสืบต่อ การถ่ายทอด
วัฒนธรรมจากการอยู่ร่วมกนั ง่าย ๆ มาสู่สังคมที่มีการคิดค้น เครื่องมือเครอ่ื งใช้และสื่อเพื่อความเข้าใจกับ
บุคคลอืน่ เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความคดิ และสติปัญญาที่มีการพัฒนาและสรา้ งสรรค์สังคมเพ่ือความ
ม่ันคงปลอดภัย ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันจึงทาให้มนุษย์ต้องวางระบบความสัมพันธ์ของกล่มุ คนในสังคม
โดยจัดระเบยี บสังคมใหแ้ ตล่ ะสถาบนั ทางสงั คมปฏิบตั หิ น้าท่หี รอื แสดงบทบาทของตนให้ถูกต้องเหมาะสมเป็น
“องค์การและบรหิ ารจัดการ” เพ่ือใหส้ ังคมดารงความเป็นปึกแผ่น มนั่ คง ถาวร และเจรญิ ก้าวหนา้ สบื ไป
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 1
ช่อื วิชาหลกั การจัดการ สอนคร้งั ที่ 1-2
ชอื่ หน่วย ทฤษฎีและปฏบิ ัตเิ กี่ยวกบั หลักการจัดการ ชัว่ โมง 4
ช่ือเร่อื งหรอื ช่ืองาน ทฤษฎีและปฏบิ ัติเกยี่ วกับหลกั การจัดการ จานวนชว่ั โมง 8
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. 1. มีความรู้ความเข้าใจความสัมพันธข์ ององคก์ ารกบั การบรหิ ารและการจดั การ
2. 2. ทราบววิ ัฒนาการทฤษฎที างการจัดการ
3. 3. บอกประเภทขององคก์ ารและวงจรชีวิตขององคก์ ารได้
4. 4. อธบิ ายระดบั ของผูน้ าในองคก์ ารได้
5. 5. บอกทักษะดา้ นการจัดการได้
6. 6. เขยี นวงจรชีวิตของการจัดการได้
7. 7. อธบิ ายนวัตกรรมทางด้านการจัดการได้
8. 8. อธิบายแนวโน้มรปู แบบการจัดการในอนาคตได้
9. 9. นกั ศึกษาเป็นผูม้ คี วามสนใจใฝ่รู้ ตงั้ ใจเรียน
สมรรถนะที่พงึ ประสงค์
ดา้ นพุทธิพิสยั
1. บอกววิ ัฒนาการทฤษฎที างการจดั การได้
2. อธิบายความสมั พันธ์ขององค์การกับการบรหิ ารและการจัดการได้
3. บอกประเภทขององคก์ ารและวงจรชวี ิตขององคก์ ารได้
4. อธบิ ายระดบั ของผู้นาในองคก์ ารได้
5. บอกทักษะด้านการจัดการได้
6. อธิบายนวตั กรรมทางดา้ นการจัดการได้
7. อธบิ ายแนวโน้มรูปแบบการจัดการในอนาคตได้
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั
เขยี นวงจรชวี ติ ของการจัดการได้
ด้านจติ พสิ ยั
นกั ศกึ ษาเป็นผมู้ ีความสนใจใฝร่ ู้ ตง้ั ใจเรยี น
บรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง/3D
นกั ศึกษารู้จกั ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า ประหยดั ปฏิบัติตามกฎและกติกาในการเรียน และการอยู่
รว่ มกันในห้องเรียน ไม่ทะเลาะววิ าท มีความอดทน ชว่ ยเหลอื กนั
เนื้อหาสาระพอสังเขป
1. ความสมั พันธ์ขององคก์ ารกบั การบรหิ ารและการจัดการ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีการร่วมกลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและหมู่คณะ ซึ่งต้อง
ร่วมมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ทาให้เกิดเป็นองค์การ (Organization) เพ่ือให้ประสบความสาเร็จตาม
วัตถุประสงค์และเป้าหมาย จึงต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากความรู้ความสามารถของการตัดสินใจ ใช้ทรัพยากร
(การจัดการ) รวมถึงวิธีการลาดบั ขั้นตอน กระบวนการปฏิบัติงาน กฎเกณฑ์ กติกา (การบริหาร) ท่ีเหมาะสม
ดังนั้น ถ้าไม่มีองค์การก็ไม่ต้องมีการจัดการและการบริหาร หรือถ้าไม่มีความต้องการก็คงไม่ต้อง
รวมตัวกันทาให้เกิดองค์การ นั่นเอง
2. ประเภทขององคก์ ารและวงจรชวี ติ ขององค์การ
มนุษยถ์ ือว่าเปน็ สัตว์ทป่ี ระเสริฐถอื ว่าก่อกาเนิดจากการรวมกลุม่ หรือเปน็ สัตวส์ ังคมอยู่คนเดียวไม่ได้
กลุม่ บคุ คล ทมี งาน มีหลายประเภทตามลกั ษณะการเกดิ ขึน้ ของสงั คม เชน่
1. องค์การท่เี กิดข้ึนตามธรรมชาติ ได้แก่ ครอบครวั หมู่บ้าน รัฐ ประเทศ ชาติ ศาสนา
2. องคก์ ารที่เกิดขน้ึ จากการจัดต้ังขน้ึ มา ได้แก่ หนว่ ยงานทางธุรกจิ ตาบล อาเภอ จงั หวดั
3. องค์การท่ีเกิดขึ้นแบบเป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มคนหรือทีมงานตามอานาจหน้าที่และ
ความรับผิดชอบตามสายงานการบังคับบัญชา และเกิดขึ้นแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มเพื่อสนิท
กลุม่ เพอื่ นเดินทางท่องเทยี่ ว ทศั นาจร กลุ่มเพือ่ นท่ีสนใจในเร่ืองเดยี วกนั ซง่ึ ไม่ผูกพันชดั เจน
4. องค์การที่เกิดข้ึนจากากรแก้ไขปัญหาในลักษณะการบริหารงาน ได้แก่ องค์การภาครัฐ ได้แก่
กระทรวง ทบวง กรม กอง แผนก คณะกรรมการอาหารและยา ฯลฯ องค์การภาคเอกชน ได้แก่ ห้างหุ้นส่วน
บริษัทจากัด ธนาคาร สานกั งาน ฯลฯ
5. องคก์ ารท่ีเกดิ ขึ้นจากความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ สานักงานเงิน
คณะกรรมการเงนิ กองทุนสารองระหวา่ งประเทศ กลมุ่ ประเทศอาเซยี น ฯลฯ
6. องค์การอ่ืน ๆ ท่มี ีลกั ษณะการเกิดทีแ่ ตกต่างจากที่กล่าว
วงจรชีวิตขององคก์ ารแบ่งเปน็ ลาดบั ขัน้ ตอนออกเป็น 5 ขั้นตอน ดงั นี้
1. ข้ันการเป็นธุรกิจแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Stage) คือ ข้ันเกิดใหม่ขององค์การ
เปา้ หมายตา่ ง ๆ จะไม่ชัดเจน แตก่ ารคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรคส์ ่ิงใหมจ่ ะทาไดม้ าก
2. ข้นั การรวมพลัง (Collectivity Stage) เปน็ การดาเนินต่อเนือ่ งด้วยการคดิ ริเริ่มและสร้างสรรค์
ต่อจากขัน้ ตอนแรก
3. ขัน้ การจดั ระบบเป็นทางการและการควบคมุ (Formalization and Control Stage) ข้นั นโ้ี ครงสรา้ ง
องค์การเรมิ่ จะปรบั ตวั คงทแ่ี ละเข้ารูป
4. ขน้ั ตอนโครงสรา้ งท่ีเบง่ บานขยายตัว (Elaboration of Structure Stage) เป็นขน้ั ตอนทีอ่ งค์การ
ได้มีการขยายตลาดผลติ ภัณฑแ์ ละบริการออกไป
5. ขั้นการถดถอย (Decline Stage) ผลที่ตามมาจากการแข่งขันจะทาใหต้ ลาดหดตัวลงหรือความ
ต้องการผลิตภณั ฑแ์ ละบริการเร่ิมจะลดน้อยถอยลง
3. ระดับของผูน้ าในองค์การ
ระดบั ของผู้นาในองคก์ าร จัดแบ่งเปน็ 3 ระดับ
1. การจัดการระดับต้น (First Line Management) มีผู้นาระดับต้น เรียกว่า “หัวหน้างาน”
(Supervisor)
2. การจัดการระดับกลาง (Middle Management) มีผู้นาระดับกลาง เรียกว่า “ผู้จัดการ”
(Manager)
3. การจดั การระดับสูง (Top Management) มีผู้นาระดับสูง เรยี กวา่ “ผบู้ ริหาร” (Executive)
4. ทกั ษะดา้ นการจัดการ
ทักษะหรือความชานาญความสามารถทค่ี วรปลูกฝังและพัฒนาแก่ผู้นาหรือผ้บู ริหาร ประกอบด้วย
1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skill) คือ ความสามารถในการปฏิบัติงานด้วยความเชี่ยวชาญ
ตามสาขาอาชพี โดยการใชฝ้ ีมอื หรือการใชอ้ ุปกรณ์ตา่ ง ๆ ดว้ ยมอื
2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relations Skill) คือ ความสามารถในการใช้วิธีการต่าง ๆ
จูงใจให้สมาชิกในองคก์ ารรว่ มมอื ร่วมใจในการทางานตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ตง้ั ไว้
3. ทักษะด้านความคิด (Conceptual Skill) คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์การใช้
วิจารณญาณริเริ่มสร้างสรรค์เพ่ือนามาใช้ในการตัดสินใจการวางนโยบายการวางแผนหรือเตรียมวิธีการ
ปฏบิ ัตงิ านตา่ ง ๆ
5. ผลสาเร็จขององค์การซ่ึงเกดิ จากการจัดการและบริหาร
ในการวัดผลการทางานประกอบดว้ ยการกาหนดเปา้ หมายและการเทยี บผลการทางานกับเป้าหมายที่
เราตั้งไว้ การวัดผลการทางานท้ังทีต้องมีดัชนีวัดที่เป็นรูปธรรม อาทิเช่น การวัดด้วยดัชนีวัดง่าย ๆ (ในระยะ
เริม่ ต้นค่อยเรยี นรู้ไปก่อน/พวกชอบคิดยาก ๆ แต่ทาไม่ไดผ้ ล) หรือวัดซับซ้อนขึ้นไปเร่ือย ๆ เชน่ วัดปริมาณ วัด
คุณภาพ ความถูกต้อง รวดเร็ว ครบถ้วน ความถึงพอใจของผู้ใช้บริการ ต้นทุน ค่าตอบแทน ความประหยัด
(Economy) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) ผลิตภาพ (Productivity) ผลสัมฤทธิ์
(Result) และความสุข (Happiness) จากเศรษฐกจิ พอเพียง (Sufficiency Economy)
6. ความเป็นทฤษฎแี ละปฏิบัติของการจดั การ
สว่ นประกอบของศาสตร์ในการบรหิ ารจดั การ (Science) คอื ความรูท้ ไี่ ด้จดั ระบบแลว้ คุณลักษณะท่ี
สาคัญของศาสตร์แขนงใดก็ตาม คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (อาศัยหลักเหตุผล) ได้พัฒนาความรู้ ดังน้ัน
ศาสตร์จึงประกอบด้วย ความคิดเห็น ทฤษฎี ความรู้ท่ีสะสมไว้โดยพัฒนาจากสมมติฐาน การทดลอง
การวิเคราะห์ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์ (The Scientific Approach) มีส่วนประกอบที่
สาคญั 3 ส่วน คอื
1. แนวความคิดท่ีชัดเจน (Clear Concept) คือ ภาพลักษณ์ด้านจิตใจของสิ่งใดสิ่งหน่ึง ซ่ึงกาหนด
โดยการสรปุ จากรายละเอียดของสงิ่ ต่าง ๆ
2. วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific) หมายถึง การพิจารณาขอ้ เทจ็ จริงผา่ นการสังเกต หลงั จาก
การจดั ประเภทและการวเิ คราะหข์ อ้ เท็จจริง
3. ทฤษฎี (Theory) หมายถึง การจัดกลุ่มอย่างมีระบบของความคิดและหลักเกณฑ์ท่ีข้ึนแก่กัน
ซ่ึงกาหนดโครงรา่ งการทางาน หรือการนาความรู้มารวมกนั เปน็ ความสาคญั ในเร่ืองใดเร่อื งหนึ่ง
7. ยุคประวัตคิ วามเปน็ มาของการจัดการ
ความเป็นมาของการจัดการ (History of Management) แบ่งออกเป็นยคุ 4 ยุค ได้แก่
ยุคท่ี 1 ยุคโบราณ เช่ือว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกิดการรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
และทรพั ย์สนิ ของตนเองและพวกพ้องจากส่ิงท้งั หลายทั้งปวงในยคุ น้นั
ยคุ ที่ 2 ยุคเกษตรกรรม เม่ือกาลเวลาเปล่ียนแปลงไปประชากรเพ่มิ มากขน้ึ ความต้องการก็มากขึ้น
จานวนองค์การและขนาดขององค์การก็มากขึ้น ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจากัดไม่พอเพียงกับ
ความตอ้ งการ การจัดการนา่ จะเกิดข้นึ จากการเรยี นรู้จากธรรมชาติ โดยการรู้จกั ใชป้ ัจจยั นาเขา้
ยุคที่ 3 ยคุ การปฏิบัตอิ ตุ สาหกรรม ประมาณศตวรรษที่ 18 จากการเลียนแบบธรรมชาติ การลองผิด
ลองถูกเป็นพ้ืนฐานความรู้ จนมีผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้า เคร่ืองจกั รกล เคร่ืองยนต์ ไปแทนแรงงานมนุษย์
และสัตว์มากข้ึนความรู้ด้านการจัดการเริ่มโดดเด่นขึ้น ด้วยการรู้จักใช้ปัจจัยนาเข้าในยุคน้ีคือเคร่ืองจักรกล
อย่างแพรห่ ลาย ทาใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงสังคมเกษตรกรรมมาเปน็ สงั คมอุตสาหกรรม
8. ววิ ฒั นาการทฤษฎีทางการจัดการ
ทฤษฎีทางการบรหิ ารและการจดั การ มีผู้ศกึ ษา ค้นควา้ และพิสจู นจ์ นสรุปออกมาเป็นทฤษฎี ดงั รูป
1. การจดั การแบบคลาสสคิ (Classical Management)
1.1 การจัดการตามหลกั วิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
1.2 การจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic Management)
1.3 การจัดการแบบหลักการบรหิ าร (Administrative Management)
2 การจัดการเชงิ พฤตกิ รรมศาสตร์ (Behavioral Management)
2.1 จิตวทิ ยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology Management)
2.2 ระบบสงั คมในการจัดการ (The Social System Management)
2.3 การจงู ใจในการจัดการ (Motivation Management)
2.4 ทฤษฎี X ทฤษฏี Y (Theory X Theory Y)
3 การจัดการเชงิ ปรมิ าณ (The Quantitative Management)
3.1 ศาสตรก์ ารจดั การ (Management Science)
3.2 การจัดการการปฏบิ ตั งิ าน (Operations Management)
3.3 ระบบข้อมลู การจดั การ (Management Information Systems : MIS)
4 การจัดการสมัยใหม่ (Modern Management)
4.1 ทฤษฎีระบบ (Systems Theory)
4.2 ทฤษฎีการจัดการเชงิ สถานการณ์ (Contingency Management)
4.3 ทฤษฏี Z ของ Quchi (Ouchi’s Theory Z)
4.4 การคน้ หาความเป็นเลิศขององคก์ าร (Excellene)
4.5 การร้อื ปรบั ระบบ (Reengineering)
4.6 องคก์ ารแห่งการเรยี นรู้ (Learning Organization)
4.7 การบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management)
4.8 การจดั การความรู้ (Knowledge Management)
9. ววิ ฒั นาการของแนวความคิดในการจัดการ
แนวความคดิ วิวัฒนาการ
1. แนวความคดิ แบบดัง้ เดมิ
1.1 การบรหิ ารจัดการแบบวทิ ยาศาสตร์
1) การบรหิ ารแบบวทิ ยาศาสตร์ (Frederick W. Taylor)
2) ส่ิงจูงใจดา้ นค่าตอบแทน (Henry L. Gantt)
3) การศกึ ษาเวลาและการเคลื่อนไหวในการทางาน (Frank & Gilbreth)
4) ประสิทธิภาพขององคก์ าร (Harrington Emerson)
1.2 ทฤษฏอี งค์การแบบด้งั เดมิ
1) การปฏิบัติการหลกั การบริหาร (Henri Fayol)
2) การบริหารจัดการแบบระบบราชการ (Max Weber)
2) แนวความคดิ แบบเชงิ พฤติกรรมศาสตร์
1) จติ วทิ ยาอุตสาหกรรม (Hogo MUsterberg)
2) สงั คมวทิ ยาไปส่กู ารบรหิ ารจดั การ (Elton Mayo)
3) ระบบสังคมบรหิ าร (Chester Barnard)
4) การเคล่อื นไหวทางด้านรา่ งกายด้านมนษุ ยสมั พนั ธ์
5) การจูงใจ ลาดบั ขั้นตอนความตอ้ งการ (Abraham Maslow)
6) ทฤษฎี X ทฤษฎี Y (Douglas McGregor)
3. แนวความคิดแบบเชงิ ปรมิ าณ
1) วิทยาการจดั การ
2) การจัดการการปฏบิ ัตกิ าร
1. แนวความคิดทฤษฎรี ะบบ
2. แนวความคดิ ทฤษฎกี ารบริหารจดั การเชิงสถานการณ์
3. แนวความคิดทฤษฎกี ารบริหารจัดการแบบญีป่ ุน่
4. แนวความคิดทฤษฎี Z ของ Ouchi
5. แนวความคดิ การค้นหาความเป็นเลศิ ขององคก์ าร
6. แนวความคิดองค์การแหง่ การเรียนรู้
7. แนวความคดิ การร้ือปรบั ระบบ
8. แนวความคดิ การบรหิ ารจดั การคุณภาพโดยรวม
10. วงจรชีวติ ของการจดั การ
วงจรชีวิตของการจดั การ (Management Life Cycle) แบง่ ออกเป็น 4 ขั้นตอน คอื
1. ช่วงการเกิด (Birth Phase) จะมีแนวความคิดท่ีเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนมากนักและมักจะให้
ความสาคัญกบั ความอยู่รอด
2. ช่วงการเจริญเติบโต (Growth Phase) เมอื่ องคก์ ารผ่านพ้นช่วงการเกดิ และประสบความสาเร็จ
ในการแกป้ ญั หาหรือดาเนนิ การอยู่รอดแล้ว มกั จะกาหนดจดุ มุ่งหมายขององค์การเดน่ ชัดข้ึน
3. ช่วงอิ่มตัว (Maturity Phase) องค์การจะดาเนนิ งานอย่างเต็มกาลัง และมกี ารขยายงานในทุกด้าน
เพื่อให้เกิดการประหยัดโดยขนาด (Economy of Scale) แตง่ องค์การจะมีการขายตัวล่าช้าลง มีโครงสร้างที่
ซับซ้อน มขี ั้นตอนการทางาน ทาใหต้ อบสนองตอ่ การเปล่ยี นแปลงได้ช้าลง
4. ช่วงการเส่ือม (Decline Phase) ตลาดขององค์การจะเริ่มอ่ิมตัวและถดถอยสินค้าและบริการ
จะล้าสมัย มีการคน้ พบและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ลดลง เป็นสาเหตุให้การเจริญเติบโตขององค์การลดลง
ยอดขายลดลง และกาไรลดลง
11. นวัตกรรมทางด้านการจดั การ
ศาสตร์ในการบริหารจัดการ ย่อมเปล่ียนแปลงและแปรผันไปตามสภาพแวดล้อม เพื่อให้สามารถ
รองรับการเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยี สงั คมและเศรษฐกิจ ในแต่ละยคุ แต่ละสมัย ซ่ึงสามารถสรุปนวัตกรรม
จากชว่ งทศวรรษที่เปลี่ยนแปลงไป ไดด้ งั ต่อไปน€้ี
ทศวรรษ นวัตกรรมทางการจัดการ
กอ่ น ค.ศ.1960 เนน้ คนเปน็ เคร่ืองจักร คนเป็นเศรษฐทรพั ย์ เปน็ แรงงานเพอ่ื การผลติ ทฤษฎี X
เน้นประสทิ ธิภาพของการทางานเป็นการเฉพาะ
ค.ศ. 1960 เริ่มให้ความสาคัญในคณุ ค่าของมนษุ ยม์ ากขน้ึ (ในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตรงกบั
วฒั นธรรมองคก์ ารในซึกโลกตะวันออก เชน่ ญี่ปุ่น) เกดิ ทฤษฎใี หม่ เรยี กว่า ทฤษฎี Y
เนน้ ประสทิ ธภิ าพของการทางานควบคกู่ นั ไปกบั คณุ คา่ ของงาน
ค.ศ. 1970 การบริหารเชงิ ม่งุ หวงั ผล เน้นวัตถปุ ระสงค์ (Management by Objective : MBO)
การเนน้ คุณภาพชีวติ ในการทางาน (Quality of Work Life)
ทศวรรษ นวัตกรรมทางการจดั การ
ค.ศ. 1980 กลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circle)
ค.ศ. 1990 เน้นประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลในการทางาน (Work Productivity)
การบรหิ ารการจดั การเชงิ คุณภาพรวม (Total Quality Management : TQM)
ศตวรรษที่ 21 ระบบการเออ้ื อานาจ (Empowerment) เพื่อเชอื่ มโยงระหวา่ ง ภาวะผนู้ า
(Leadership) กับการมอบหมายงาน (Delegating)
ระบบรเี อ็นจเิ นียรงิ่ (Reengineering) เปน็ การปรบั รอ้ื ระบบ โดยการคิดใหม่ทง้ั หมด
ใหเ้ รม่ิ ตน้ กนั ใหมด่ ้วยแนวทางท่ีถูกต้อง
ระบบองค์การแหง่ การเรียนรู้ (Learning Organization) เพอ่ื เน้นศกั ยภาพและ
ความสามารถในการเรยี นรรู้ ่วมกนั เปน็ ทมี ของบุคคลและองคก์ รในระยะยาว
ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management) ซง่ึ เป็นแนวคิดท่ีเสริมระบบ
การพัฒนาองคก์ ารแหง่ การเรียนร้ใู หเ้ ป็นรูปธรรมมากยิง่ ขนึ้
12. แนวโน้มรปู แบบการจดั การในอนาคต
การบริหารและการจัดการในอนาคตในอนาคตจะมลี กั ษณะ ดังนี้
1. มีความเป็นโลกาภิวัตน์ (Globalization) เมื่อประเทศต่าง ๆ ไร้พรมแดนทาให้ต้องแข่งขันการ
ผลิตและจาหน่ายสินค้าระหว่างประเทศกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีด
ความสามารถในการแขง่ ขัน จึงเผชญิ กบั โอกาสและอปุ สรรคในตลาดโลกไปพรอ้ ม ๆ กัน
2. มีความหลากหลายทางด้านแรงงาน (Workforce Diversity) มีการอพยพของแรงงานระหว่าง
ประเทศมากข้ึน ไม่มีการกีดกันเพศ เชื้อชาติ ชาติพันธ์ุ และอายุ เกิดปัญหาด้านสังคม วัฒนธรรม
และพฤตกิ รรมองค์การ
3. มีความเป็นผู้ประกอบการมากขึน้ (Entrepreneurship) ผู้บริหารยุคใหมจ่ ะต้องมีจิตสานึกของ
ความเป็นเจ้าของ ผู้บุกเบิก เพ่ือแสวงหาโอกาส ริเริ่ม ศึกษาและติดตามสภาพแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลง
และปรบั ตัวยืดหยุน่ เพอ่ื ให้องค์การประสบความสาเรจ็ และเจรญิ ก้าวหน้าไปตลอด
4. มีการจัดการในรูปแบบ E-Business วิทยาการของระบบเครือข่ายการสือ่ สารและคอมพวิ เตอร์ได้
เสนอตัวรองรบั ธรุ กรรมตา่ ง ๆ ทางธรุ กจิ
5. มีความจาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่น (Need for Innovation and Flexibility) จาก
ความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ส่งผลต่อพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลา อีกท้ังคู่แข่งขันทางการค้ามีการพัฒนาอยู่เสมอ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และโลกาภิวัฒน์รุนแรง
องค์การจึงต้องปรบั ตัวใหย้ ืดหยุ่นตามความเปล่ียนแปลง เพ่ือความอยู่รอดและเจริญเตบิ โตในทุกสภาวการณ์
6. การจัดการเชิงคุณภาพ (Quality Management) เน้นคุณภาพโดยรวม (Total Quality
Management : TQM) เป็นปรชั ญาการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องและตอบสนองความต้องการของลูกค้า
เปน็ สาคญั จะต้องทางานเปน็ ทีม สร้างทีมงานท่มี ปี ระสทิ ธิภาพเพ่ือคุณภาพอย่างต่อเนื่องในการผลติ สินคา้ หรือ
บรกิ าร
7. องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นรูปแบบขององค์การในอนาคต
ที่จะต้องพร้อมรบั สภาพแวดล้อมที่เปลย่ี นแปลง เป็นองคก์ ารทขี่ ยายขอบเขตความสามารถในการสร้างอนาคต
องค์การอยา่ งตอ่ เน่ืองโดยการเรียนรู้ เพ่ือความอยู่รอด เพ่ือการปรับตัว และเพ่ือการเปล่ียนแปลงผู้บริหารใน
องค์การแห่งการเรียนรู้ที่ต้องสนับสนุนให้บุคลากรท้ังหม ดขององค์การ มีศักยภาพในการเรียนรู้
มีการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลให้ทันสมัย ผู้บริหารองค์การแห่งการเรียนรู้จึงจ้องรู้จักฟัง จูงใจ สอนงาน และถนอม
รักษา พนักงานของตนแทนที่จะส่ังการหรือนัยหน่ึงต้องลดตัวเองจากเจ้านายลงมาเป็นหัวหน้าทีม เพ่ือจะ
ใกล้ชิดกับลกู นอ้ งมากข้ึน
8. ธรรมะในการทางาน (Workplace Spirituality) องค์การจะต้องเป็นสถานที่มีความหมาย
ตอ่ จิตใจของพนักงาน เป็นท่ีซง่ึ จะให้ความรัก สามัคคี ความอบอนุ่ เอื้ออาทรต่อกัน เหมือนบานทส่ี อง เป็นท่ี
รวมของจิตวิญญาณของพนักงาน ผู้บริหารองค์การอาจจัดให้มีการอบรมให้ความรู้ทางธรรมะ ฝึกสมาธิ
ให้พนักงานเขา้ ใจสัจจธรรมชวี ติ เพื่อใหท้ ที่ างานเป็นสถานท่พี นกั งานร้สู ึกผูกพัน และทางานอย่างเป็นสุข
กจิ กรรมการจดั การเรียนรู้ (จดั กจิ กรรมให้สอดคลอ้ งกับสมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์)
ขัน้ นาเขา้ สู่บทเรยี น
1. ครูชแี้ จงวัตถุประสงค์ของการเรยี นรู้
2. ครตู ัง้ คาถามให้นักศกึ ษารว่ มแสดงความคิดเหน็ เร่ือง “การจัดการ” มคี วามหมายว่าอยา่ งไร
ขนั้ สอน
1. ครอู ธิบายความหมายของการจัดการ และสรปุ ความหมายของการจัดการของนกั ศึกษาที่ไดแ้ สดง
ความคิดเห็นไว้
2. ครูแบ่งนักศึกษาออกเป็น 6 กลุ่ม ให้ค้นหาตัวอย่างของกิจกรรมในการจัดการจากส่ือต่าง ๆ
ในห้องสมุด
ขัน้ สรุป
1. ครแู ละนักศกึ ษาร่วมกันสรปุ โดยมีวิธีการ ถาม ตอบ
2. ครูให้นักศกึ ษาทากจิ กรรมท้ายบท
3. ครใู หน้ กั ศึกษาทาแบบทดสอบ และทาการตรวจคาตอบ
สอื่ การจดั การเรยี นรู้
แหล่งการเรียนรู้
1. หนงั สอื เรียน
2. หนังสือท่เี กีย่ วข้อง
3. สือ่ การสอน Power Point
4. วดิ ที ัศน์
การประเมินผลการจัดการเรียนรู้ (ใหส้ อดคลอ้ งกับสมรรถนะที่พึงประสงค)์
กอ่ นเรียน
สงั เกตความสนใจและตง้ั ใจเรียน
ขณะเรยี น
1. สงั เกตการณเ์ รยี นดูพฤติกรรมเป็นรายบคุ คล
2. สงั เกตการณ์มีส่วนร่วมในห้องเรียน การตอบคาถาม การเข้ากจิ กรรมกลมุ่
3. สงั เกตความรบั ผิดชอบ มีความสนใจใฝ่รู้
หลงั เรยี น
1. ประเมนิ ความรบั ผิดชอบ มคี วามสนใจใฝร่ ู้
2. ตรวจผลงานท่ีมอบหมายใหป้ ฏิบตั ิ
3. ตรวจเฉลยแบบทดสอบ
4. ดคู วามสนใจใฝร่ ู้
แบบทดสอบหรือใบงาน (ถ้าม)ี
แบบประเมนิ ผลการเรียนรหู้ น่วยท่ี 1
พจิ ารณาเลอื กคาตอบที่ถกู ตอ้ งท่ีสดุ เพยี งคาตอบเดียว
1. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง
ก. เพราะมีองคก์ ารจึงตอ้ งมีการจัดการและการบริหาร
ข. เพราะมกี ารจัดการจึงต้องอาศัยการบรหิ ารและองคก์ าร
ค. เพราะความต้องการจึงทาใหเ้ กิดการจดั การและการบรหิ าร
ง. เพราะความตอ้ งการจึงเกิดองคก์ ารและการบริหาร
2. ข้อใดแสดงความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งถูกตอ้ ง
ก. สมอง = องคก์ าร ข. หัวใจ = การจัดการ
ค. จิตใจ = การบรหิ าร ง. รา่ งกาย = องคก์ าร
3. ขอ้ ใดเปน็ การตัดสนิ ใจใช้ทรัพยากรได้อยา่ งเหมาะสมกบั ปญั หา สถานการณแ์ ละเปา้ หมาย
ก. องคก์ ร ข. องคก์ าร
ค. การจัดการ ง. การบริหาร
4. ผจู้ ัดการฝา่ ยบุคคล คือ ผบู้ รหิ ารระดบั ใด
ก. ระดับสงู ข. ระดับต้น
ค. ระดับตา่ ง. ระดับกลาง
5. ผู้บรหิ ารทุกระดบั ควรมที กั ษะการจัดการตามขอ้ ใดเท่าเทียมกัน
ก. ทักษะดา้ นความคดิ ข. ทักษะดา้ นเทคนิค
ค. ทกั ษะดา้ นมนษุ ย์สัมพันธ์ ง. ทักษะดา้ นการบริหารจัดการ
6. ขอ้ ใดใหค้ วามสาคัญกับการจัดทาโครงสร้างงาน โครงสร้างคน
ก. การวางแผน ข. การช้ีนา/ชักนา
ค. การจัดองค์การ ง. การควบคมุ
7. ขอ้ ใดเปน็ ศาสตรด์ ้านการจดั การ
ก. ความรู้ ข. ความคิด
ค. ความสามารถ ง. ความพยายาม
8. ทฤษฎเี ศรษฐกิจพอเพียงควรอยใู่ นการยคุ ใด
ก. ยุคโบราณ ข. ยคุ เกษตรกรรม
ค. ยุคอตุ สาหกรรม ง. ยคุ โลกาภวิ ตั น์
9. ทฤษฎีการจดั การขอ้ ใดให้ความสาคญั กับ One best way
ก. แบบคลาสสกิ ข. แบบเชิงพฤติกรรม
ค. แบบเชิงปรมิ าณ ง. แบบการจดั การสมยั ใหม่
10. ขอ้ ใดเป็นการจัดการแบบคลาสสิก ข. การจัดการการปฏิบตั ิการ
ก. ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ง. การจัดการตามระบบราชการ
ค. การจูงใจในองค์การ
เฉลยแบบทดสอบหรอื ใบงาน
1. ก
2. ง
3. ค
4. ง
5. ค
6. ค
7. ก
8. ข
9. ก
10. ง
บนั ทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้
ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ผลการเรยี นของนักเรียน
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ผลการสอนของครู
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 2
ชือ่ วิชาหลักการจดั การ สอนคร้ังที่ 3-5
ช่อื หนว่ ย หน้าทใี่ นการจดั การและกระบวนการการบรหิ าร ชว่ั โมง 4
ช่อื เร่อื งหรอื ชอ่ื งาน หน้าที่ในการจัดการและกระบวนการการบรหิ าร
จานวนชวั่ โมง 12
หัวขอ้ เรอ่ื งและงาน
1. การวางแผน
2. การจัดองค์การ
3. การชนี้ า
4. การควบคุม
สาระสาคัญ
เนื่องจากปจั จยั นาเขา้ และปจั จัยนาออกเปน็ ส่งิ ทีไ่ มแ่ น่นอน จึงมอบหมายให้เป็นหน้าท่ีของการจัดการ
เพื่อให้รอู้ ะไรเป็นอะไรด้วยสติ ปัญญา ความรอบรแู้ ละรู้รอบจากผ้บู รหิ ารด้วยการวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมที่
เปล่ียนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ทาให้หน้าที่กระบวนการบริหารต้องปรับกลยุทธ์เพ่ือให้กระบวนการดาเนนิ งานมี
ความถูกต้อง ด้วยการกาหนดวิสัยทัศน์วางกรอบในการจัดทาแผนกลยุทธ์ แล้วจัดองค์การจัดสรรคนพร้อม
ช้ีนาใหผ้ ใู้ ต้บงั คบั บญั ชารว่ มดาเนนิ งานพร้อมกับควบคมุ ตรวจสอบและแกไ้ ขปญั หา ให้ไดเ้ ปา้ หมายตรงกับดัชนีวัด
หรือวัตถปุ ระสงค์ที่ต้องการ ถ้าคิดได้แล้วทาได้ตรงตามทค่ี ิดแสดงว่ามีประสิทธิผล หรอื ใช้ปัจจัยนาเข้าน้อยกว่า
ปจั จยั นาออกก็แสดงว่าเกิดประสทิ ธิภาพ แต่ถา้ การดาเนนิ การไดผ้ ลลพั ธ์ถกู ต้องเหมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์
จนสามารถสร้างอรรถประโยชน์อย่างสูงสุดท้ังแกก่ จิ การและผใู้ ชบ้ ริการก็แสดงวา่ เกดิ ผลสัมฤทธิ์นั่นเอง
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกความหมายของการวางแผนได้
2. บอกความสาคัญของการวางแผนได้
3. บอกประเภทของการวางแผนได้
4. อธบิ ายเคร่อื งมอื และเทคนิคในการวางแผนได้
5. อธบิ ายหลกั การและวิธีการเขียนโครงการได้
6. เขียนโครงการได้
7. บอกความหมายและความสาคญั ของการจัดองคก์ ารได้
8. อธิบายกระบวนการจัดทาโครงสรา้ งองค์การได้
9. เขียนเคร่อื งมอื ที่ใชบ้ ่งชก้ี ารจัดองคก์ ารได้
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 2
ชือ่ วชิ าหลักการจัดการ สอนคร้ังที่ 3-5
ชอื่ หนว่ ย หนา้ ทใี่ นการจดั การและกระบวนการการบรหิ าร ชว่ั โมง 4
ช่อื เร่อื งหรอื ชอ่ื งาน หนา้ ท่ใี นการจัดการและกระบวนการการบรหิ าร จานวนชวั่ โมง 12
10. อธบิ ายหลักการและแนวคิดพน้ื ฐานเพื่อการจัดโครงสรา้ งองค์การได้
11. อธิบายเครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการจดั องค์การได้
12. อธิบายหลักการมอบหมายงานได้
13. อธิบายหลกั การตดั สนิ ใจของผู้บรหิ ารได้
14. อธิบายการจงู ใจได้
15. บอกความหมายและความสาคญั ของการควบคุมได้
16. อธบิ ายประเภทการควบคมุ ได้
17. อธบิ ายเทคนคิ และเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการควบคมุ ได้
18. อธบิ ายการจัดทาเทคนคิ การควบคุมดว้ ยโครงขา่ ยการปฏิบัติงานได้
19. นักศึกษาเปน็ ผ้มู ีความรบั ผดิ ชอบ
สมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์ (ความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั
1. บอกความหมายของการวางแผนได้
2. บอกความสาคัญของการวางแผนได้
3. บอกประเภทของการวางแผนได้
4. อธบิ ายเครือ่ งมอื และเทคนิคในการวางแผนได้
5. อธบิ ายหลักการและวิธีการเขยี นโครงการได้
6. บอกความหมายและความสาคญั ของการจดั องคก์ ารได้
7. อธิบายกระบวนการจดั ทาโครงสร้างองคก์ ารได้
8. อธิบายหลกั การและแนวคิดพน้ื ฐานเพื่อการจัดโครงสรา้ งองค์การได้
9. อธิบายเคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการจดั องค์การได้
10. อธบิ ายหลักการมอบหมายงานได้
11. อธิบายหลักการตัดสินใจของผูบ้ ริหารได้
12. อธิบายการจงู ใจได้
13. บอกความหมายและความสาคญั ของการควบคุมได้
14. อธบิ ายประเภทการควบคุมได้
15. อธบิ ายเทคนิคและเครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการควบคมุ ได้
16. อธบิ ายการจัดทาเทคนิคการควบคุมดว้ ยโครงข่ายการปฏิบตั งิ านได้
17. นกั ศกึ ษาเป็นผมู้ ีความรบั ผิดชอบ
ด้านทักษะพสิ ยั
1. เขยี นโครงการได้
2. แสดงเคร่ืองมอื ทใ่ี ช้บง่ ชกี้ ารจดั องค์การได้
ด้านจิตพิสยั
นกั ศึกษาเป็นผมู้ คี วามรบั ผดิ ชอบ
บรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง/3D
นกั ศกึ ษาสามารถนาความรู้จากการศกึ ษาเล่าเรียนไปประกอบการตัดสนิ ใจและเพ่อื เปน็ ภูมคิ ุ้มกนั ให้
ตวั เอง ด้วยการเป็นผมู้ ีความสนใจใฝ่รู้ ต้งั ใจเรียน
เน้ือหาสาระพอสังเขป
1. การวางแผน
การวางแผน คือ กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ประเมินปัญหาและสถานการณ์ แล้วตัดสนิ ใจโดยอาศัย
ข้อมูลในอดีตและคาดคะเนพยากรณ์อนาคต เพ่ือกาหนดแผนงาน วธิ ีการทางานไว้ล่วงหนา้ ให้มีโอกาสสาเร็จ
ผลดว้ ยดี อย่างมปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผล ดังรูป
รปู ท่ี 1 การวางแผน
ความสาคัญของการวางแผน
การวางแผนมีความสาคัญต่อกระบวนการบริหาร ดังนี้
1. การวางแผนจะช่วยใหก้ าหนดทิศทางการวางวิสยั ทศั น์ กอ่ นการประสานหรือลงมือปฏบิ ัตติ าม
2. การวางแผนช่วยลดความไม่แน่นอน จากการประเมินปัญหาและสถา นการณ์ ต่าง ๆ
ที่เปล่ียนแปลงไป
3. การวางแผนชว่ ยลดความซา้ ซอ้ นและความส้ินเปลืองจากการทางาน เนื่องจากได้มกี ารกาหนดสิ่ง
ที่ต้องการล่วงหน้าก่อนลงมือปฏิบัติ จึงก่อให้เกิดการจัดหาและจัดเตรียมมีการประสานงานกันแล้วจึงลงมือ
ปฏบิ ตั ิและเมอ่ื พบขอ้ ผดิ พลาดเกดิ ขน้ึ
4. การวางแผนช่วยกาหนดมาตรฐานในการควบคุม เนื่องจากการวางแผนได้ระบุวัตถุประสงค์และ
มาตรฐานการปฏิบัติงาน เพ่ือให้เกิดความพยายามปฏิบัติการให้ได้ผลงานหรือเป้าหมายที่ได้ไปเปรียบเทียบ
ทาให้มีการปรบั เปลย่ี นแผนเม่ือแผนมีปญั หาหรอื ปรับแก้ไขผลงานการควบคุมที่ไมไ่ ดม้ าตรฐาน
1.1 ชนดิ หรือประเภทของการวางแผน
การวางแผนแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี
1.1.1. การจาแนกการวางแผนตามหน้าที่ในองค์การ หมายถึง การวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ตาม
หนา้ ทีห่ ลักของกิจกรรม
1.1.2. การจาแนกการวางแผนตามระยะเวลา หมายถึง การพิจารณาการใช้ระยะเวลาในการ
ปฏิบัตงิ านตามแผนแตล่ ะประเภท
1.1.3. การจาแนกการวางแผนตามลาดับข้ันขององค์การ หมายถึง การวางแผนในทุกระดับ
ขององคก์ าร
1.1.4. การจาแนกการวางแผนตามการนาไปใช้ หมายถึง ส่ิงท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือ
ปฏิบตั ิจะมคี วามแตกต่างกนั ในเนอื้ หาสาระ ความยากง่ายและวตั ถปุ ระสงค์ทนี่ าไปใชง้ านแบง่ ออกเปน็
1.1.4.1 แผนทีใ่ ชค้ รงั้ เดยี ว เปน็ แผนที่กาหนดขน้ึ เพ่ือใชเ้ ฉพาะกิจ เฉพาะการณ์
1.1.4.2 แผนท่ีใช้ตลอดไป เป็นแผนท่ีกาหนดแนวทางสาหรับการปฏิบัติท่ีต้องทาประจา
และตอ่ เนอ่ื ง
1.2 เครื่องมอื และเทคนิคในการวางแผน
เพ่ือให้การตัดสินใจการวางแผนเป็นไปด้วยความถูกต้องรวดเร็วและเป็นที่ยอมรับจากพนักงาน
ผู้นาหรือผ้บู ริหารจาเปน็ ตอ้ งอาศยั เคร่ืองมอื หรือเทคนิคมาสนับสนนุ ดังต่อไปน้ี
1.2.1 การตรวจสอบสภาพแวดล้อม คือ การกล่ันกรองข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์และ
คาดการณ์ความเปลยี่ นแปลงในสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองคก์ ารอยู่เสมอ
1.2.2 การพยากรณ์ หลังจากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้ว ทาการประเมินและวิเคราะห์ผลที่ได้ ผู้นา
หรือผู้บรหิ ารจะสามารถพยากรณ์สภาพแวดล้อมขององค์การและพยากรณ์ผลกระทบของสง่ิ แวดล้อมภายนอกท่มี ี
ต่อองค์การ ซึ่งจะได้ข้อมลู ท่ีจะนาไปวางแผนหรือปรับแผนที่มอี ยใู่ ห้เหมาะสมยิ่งข้ึน ด้วยเทคนิคการพยากรณ์
เชิงปรมิ าณ
1.2.3 การวิเคราะห์จุดคุ้ม คือ เครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรขององคก์ ารที่จะช่วยให้ผ้นู าหรือ
ผบู้ ริหารวิเคราะหจ์ ุดคมุ้ ทุน
1.2.4 การจัดทางบประมาณ คือ เครื่องมอื ในการจัดสรรทรพั ยากรให้กับกจิ กรรมตา่ ง ๆ ดว้ ยตวั เลข
แสดงรายรับและรายจ่าย และงบประมาณสาหรบั รายจา่ ยทรพั ยากรที่จะใช้ในการปฏิบัตงิ าน ซ่ึงเป็นท่ีนิยมกัน
มาก
1.2.5 โปรแกรมเชิงเสน้ ตรง คอื เครอ่ื งมือในการจัดสรรทรพั ยากรด้วยเทคนิคทางคณิตศาสตร์
1.2.6 การกาหนดกิจกรรม คือ เครื่องมือเพอ่ื การวางแผนและควบคุมในการกาหนดหรือมอบหมาย
กิจกรรมให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏบิ ัติ
1.2.7 การเปรียบเทียบประยุกต์เพื่อความเปน็ เลศิ คือ เครื่องมือในการประเมินสภาพแวดลอ้ มของ
องค์การท่ีเน้นการแข่งดี คือการใช้ความพยายามค้นหาการปฏิบัติท่ีดีที่สดุ ในระหว่างคู่แข่งขันหรือธุรกิจอ่ืนที่
มิใช่คู่แขง้ ขันกต็ าม
1.2.8 การวางแผนโดยสร้างภาพไว้ลว่ งหนา้ คือ ภาพหรอื ฉากหรือสง่ิ ที่คาดว่าจะเกิดข้นึ ในอนาคต
1.2.9 การจัดการโครงการ คือ กล่มุ ของกิจกรรมท่ีกาหนดข้ึนตามระยะเวลาเร่มิ ต้นและส้นิ สุดของ
โครงการ
1.3 หลักการและวิธีการเขียนโครงการ
การวางแผนเป็นการกาหนดแนวทางปฏิบัติในอนาคตไว้ล่วงหน้า โดยพิจารณาสถานการณ์
และโอกาส กาหนดจุดมุ่งหมาย สิ่งท่ีกาหนดซ่ึงถือเป็นแนวดาเนินการ เรียกว่า แผน ซ่ึงประกอบด้วย
สาระสาคัญตา่ ง ๆ ท่ีประกอบกนั เป็นโครงรปู เค้าโครง อันเปน็ ระบบการปฏิบตั ิงานทป่ี ระกอบไปดว้ ยกิจกรรม
รายละเอียดต่าง ๆ ในการดาเนนิ งานใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ซ่ึงเรียกว่า “โครงการ” และในโครงการน้ันจะต้อง
มีรายละเอยี ดการปฏบิ ัติงานแบ่งไว้อยา่ งชดั เจน เรยี กว่า “โครงงาน” ดงั รปู
รูปท่ี 2 การวางแผนแบบกาหนดจุดมงุ่ หมาย
1.4 วธิ ีการเขยี นโครงการ
การเขียนโครงการแต่ละประเภท แต่ละกิจกรรมอาจแตกต่างกันตามความเหมาะสม นักวิชาการด้านการ
วางแผนได้เสนอเป็นแนวความคดิ การเขียนโครงการออกเปน็ 2 แบบ คอื
1 โครงการแบบประเพณีนิยม เป็นแบบด้ังเดิม โดยใช้คาถามและคาตอบเพื่อการวางแผน เป็น
หลกั ดังนี้
1.1 โครงการอะไร
1.2 ทาทาไม
1.3 ทาเพ่ือใคร
1.4 ทาปริมาณเทา่ ใด
1.5 ทาอยา่ งไร
1.6 ทาเม่อื ใด, ใชเ้ วลาใด
1.7 ใช้ทรัพยากรอะไรท่ีไหนเท่าใด
1.8 ใครเปน็ ผนู้ า
1.9 ทากบั ใคร
1.10 ทาไดต้ ามวัตถุประสงคห์ รือไม่
1.11 เกดิ อะไรขึ้นเมื่อสน้ิ สุดโครงการ
1.12 มีปัญหาและอุปสรรคหรือไม่
2. โครงการเชงิ เหตุผลตรรกวทิ ยา เป็นการเขียนโครงการตารางเหตผุ ลตอ่ เน่อื ง อันเป็นวิธกี ารนาเสนอ
โครงการอีกลักษณะหนึ่ง โดยจัดทางานให้มีเหตุผลต่อเน่ืองกัน และสามารถประเมินผลภายในตัวเอง โดยมี
รายละเอยี ดของโครงการบรรจุในตารางแตล่ ะตารา
2. การจดั องค์การ
การจัดองค์การ คือ การจัดระบบของงานและของคนหรือตาแหน่งเพื่อใชท้ รัพยากรการบริหารใน
การทางานอยา่ งมีประสิทธิภาพด้วยการจัดแบ่งกลุ่มงาน การกาหนดอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบพร้อม
การประสานงานและการควบคมุ อยา่ งเป็นระบบ ซง่ึ จะชว่ ยการปฏบิ ัตงิ านบรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์และ
เปา้ หมายขององค์การ
2.1 ความสาคญั ของการจดั องคก์ าร
1. ทาให้กาหนดอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบ เพ่ือความคล่องตัวในการปฏิบัติงานได้อย่าง
ชดั เจนดว้ ยโครงสรา้ งองคก์ าร
2. ทาให้เกิดความร่วมมือของกิจกรรม โดยการแบ่งกลุ่มงานมอบหมาย ภาระหน้าทท่ี ่ีสัมพนั ธ์กนั ใน
องค์การเดียวกัน
3. ช่วยลดความสบั สนและหลีกเล่ียงความซบั ซ้อนในการทางาน
4. เพ่อื ให้มกี ารใชท้ รพั ยากรเปน็ ไปอย่างประหยดั เมื่อจดั ระบบ
5. กอ่ ใหเ้ กดิ ความพึงพอใจในการปฏิบัตงิ านลดความขดั แยง้ อดึ อัดใจ
2.2 กระบวนการจดั ทาโครงสรา้ งองค์การ
การจดั องคก์ ารเปรยี บเสมอื นนิ้วชี้เป็นเคร่ืองมือซึ่งอานวยความสะดวกในการดาเนนิ งานตามแผนงาน
ให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักขององค์การ โดยจัดทาเป็นชุดโครงสรา้ งองค์การ ซึ่งมีข้ันตอนของกระบวนการจัด
องค์การประกอบด้วย 3 ขน้ั ตอน ดังรูป
รูปที่ 3 กระบวนการจดั ทาโครงสร้างองค์การ
2.3 เครื่องมือที่ใช้บ่งชีก้ ารจัดองค์การ
เครอื่ งมือทใี่ ช้บง่ ชี้การจดั องคก์ ารแบง่ เป็น 3 ประเภท คอื
1. แผนผังหรือแผนภูมิโครงสร้างองค์การ คือ ผังท่ีใช้แสดงการแบ่งงาน การจัดกลุ่ม หมู่งาน
ชนิดของงานที่ทา สายการบังคบั บญั ชา พร้อมกาหนดอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบของฝ่ายต่าง ๆ ว่าใคร
มีอานาจหน้าที่มากกว่าใครอยูใ่ นระดับใด โดยมีการเขียนแผนผังหรือแผนภูมิออกเป็น 3 วิธี คือ แบบแนวดิ่ง
แบบวงกลม และแบบแนวระดับ ดงั รูป
รูปที่ 4 แผนผงั หรอื แผนภูมิแบบแนวด่งิ
2.4 หลกั การและแนวความคิดพื้นฐานเพอื่ การจัดโครงสรา้ งองค์การ
การจัดโครงสร้างองค์การไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ต้องอาศัยกระบวนการในลักษณะเดียวกันภายใต้
แนวความคิดพน้ื ฐานเก่ยี วกบั การจดั องคก์ ารที่สาคญั ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
1. หลกั การพิจารณาวัตถปุ ระสงค์
2. หลักการแบ่งงานกันทา
3. หลกั การมผี ้บู ังคบั บัญชาคนเดียว
4. หลักการจาแนกหน้าทีข่ องสายงานปฏบิ ตั งิ าน (งานหลกั ) และหน่วยงานท่ปี รกึ ษา
5. หลกั อานาจ หน้าที่ และความรบั ผิดชอบ
6. หลักขนาดขอบข่ายการควบคมุ
7. หลกั ความสมดุลของปัจจยั ต่าง ๆ
8. หลักความยืดหยุ่น
2.5 เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการจัดองค์การ
เครื่องมือท่ีใช้ในการจัดองค์การ คอื การรวมกิจกรรมท่มี ีลักษณะคลา้ ยคลึงกัน หรือ เหมาะสมท่ีจะ
นามารวมเป็นอนั หนึ่งอันเดียวเข้าเป็นกลุ่มก่อนแยกออกเป็นตาแหน่ง เป็นระดับการบริหารหรือการควบคุม
โดยแบ่งเป็นหมู่เรียกว่า การจัดแผนกงานต่อจากน้ันจึงกระจายกิจกรรมให้เหมาะสมกับขอบเขตภารกิจ
ของกิจกรรมตามแผนงาน
2.6 การตัดสินใจในการออกแบบโครงสร้างองคก์ าร
การออกแบบโครงสร้างองค์การแบง่ ออกเปน็ 2 รูปแบบ คือ
1. องค์การแบบจักรกล คือ การออกแบบองค์การที่แน่นอนตายตัว มีการควบคุมอย่างเข้มงวด
มีกฎระเบียบมากทุกข้ันตอนปฏิบัติ มีลักษณะของงานแบบประจาและผู้ปฏิบัติงานไม่มีโอกาสใช้ดุลยพินิจ
เชน่ องคก์ ารขนาดใหญ่ และหนว่ ยราชการ
2. องค์การแบบมีชีวิต คือ การออกแบบองค์การที่เน้นความสามารถในการปรับตัวและยืดหยุ่นสูง
มคี วามเคลื่อนไหว เป็นกจิ กรรมหรอื งานที่ไม่ประจามักเปล่ยี นแปลงไม่แนน่ อน
3. การชี้นา
การชน้ี าหรือการนา หมายถึง การทผ่ี ู้นาหรือผ้บู ริหารพยายามใช้ท้งั ศาสตรแ์ ละศิลป์เพ่ือให้เกิดการ
ตัดสินใจใช้บทบาทภาวะผู้นา การสั่งงาน การติดต่อส่ือสาร และการจูงใจ ให้ทุกฝ่ายประสานงานกันทางาน
ร่วมกันอยา่ งเต็มท่ีเพื่อให้บรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธภิ าพและ
ประสทิ ธผิ ล
ภาวะความเป็นผนู้ า คอื บุคคลผู้มศี ิลปะของการแสดงพฤติกรรมตา่ ง ๆ เพื่อใหบ้ ุคคลอืน่ กระทาตาม
ด้วยความเตม็ ใจและกระตอื รอื ร้นตามที่ผนู้ าตอ้ งการ
บทบาทหน้าที่ของผู้นา เป็นผู้เสริมสร้างให้ปริมาณและคุณภาพของงานให้ได้รับผลสูงสุดโดยการ
ประสานงานขององค์การและคนดว้ ยการสั่งการ การควบคุมงานให้เกดิ ประสทิ ธิภาพ ดงั รปู
รปู ที่ 5 บทบาทหนา้ ทขี่ องผู้นา
3.1 วิธีการศึกษาทฤษฎีความเป็นผู้นา
นักวิชาการจานวนมากได้ทาการศกึ ษาภาวะความเปน็ ผ้นู าอยา่ งจรงิ จงั ทั้งเปน็ วทิ ยาศาสตรแ์ ละทฤษฎี
เพ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการปฏบิ ตั ิหน้าทบ่ี รหิ าร ซึ่งแบ่งออกเปน็ 3 กล่มุ ดังต่อไปน้ี
1. แนวความคดิ ดา้ นคุณลกั ษณะ
2. ผนู้ าตามแบบพฤติกรรมการนา
3. ผูน้ าตามสถานการณ์
3.2 การส่ังงาน
การส่ังงาน เป็นการมอบหมายงานและการยกเลิกระงับการปฏิบัติงาน ต้องมีการปรับตัวและ
ปรับความเข้าใจ ติดต่อ ตอบโต้ แนะนา ช้ีแจงผู้ใต้บังคับบัญชา เพ่ือการอานวยการและส่ังการได้
ผลตามตอ้ งการ
3.3 ประเภทของการสง่ั งาน
1. เป็นการสั่งงานโดยตรง เป็นการออกคาสั่งโดยทันที ใช้ในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน ต้องการผลงาน
โดยฉับพลัน ต้องการรักษาระเบียบวินัยเพอื่ ควบคมุ อยา่ งเครง่ ครัด
2. การส่ังงานแบบขอร้อง เป็นการออกคาสั่งในลักษณะโน้มเอียงไปทางขอความช่วยเหลือ
หรอื ขอร้อง ใช้ในกรณีสภาพการณ์ปกติ จูงใจให้เตม็ ใจทางาน ผูกมิตรให้ผูร้ บั มอบหมายไดใ้ ชด้ ุลยพินจิ ไตร่ตรอง
งานและให้พนกั งานใหม่รับทราบ
3. การส่ังงานแบบข้อเสนอแนะหรือให้คาแนะนา เป็นการสั่งงานท่ีเร่งเร้าให้เกิดความคิดริเร่ิมอยาก
ทางาน ใช้ในกรณสี ง่ั งานกับผ้ทู ี่มคี วามสามารถ เป็นผู้มปี ระสบการณ์และมคี วามชานาญอย่แู ลว้
4. การสัง่ งานแบบอาสาสมคั ร เป็นการใชค้ าส่ังเพอ่ื ให้พงึ พอใจจะปฏิบัติงานเอง ใชใ้ นกรณีท่เี ปน็ งาน
เส่ียงอันตราย ผู้ทม่ี ฝี ีมอื ชอบงานทา้ ทาย งานที่ปฏิบัตนิ อกเหนือหน้าทปี่ ระจาและเป็นงานทไ่ี มเ่ ร่งดว่ น
3.4 วธิ กี ารสง่ั งาน
วิธกี ารสั่งงาน แบ่งออกเปน็ 2 วิธี คือ
1. การสั่งด้วยวาจา เปน็ คาสง่ั อยา่ งไม่เป็นทางการ
2. การสง่ั เป็นลายลักษณอ์ กั ษร เป็นคาสั่งอย่างเป็นทางการใช้ในกรณีเม่ือตอ้ งการใหค้ าสง่ั เผยแพร่
ไปให้อีกหนว่ ยงานหนึง่ ทราบโดยแน่ชัดเมอื่ เปน็ เร่ืองสาคญั
3.5 การตดิ ต่อส่ือสาร
การติดต่อสื่อสาร คือ กระบวนการถ่ายทอดข่าวสารจากบุคคลหน่ึงไปสู่อีกบุคคลหน่ึงเพื่อให้
ผรู้ บั ขา่ วสารเขา้ ใจ ปฏิบัติได้อย่างถกู ตอ้ ง
ความสาคัญของการติดต่อส่ือสารกับการบริหาร ผู้บริหารต่างก็ทางานของตนให้ประสบผลสาเร็จ
โดยอาศัยคนอ่ืนเป็นผู้ให้ ฉะน้ันการติดต่อสื่อสาร จึงทาหน้าท่ีเชื่อมโยงสร้างข่ายสัมพันธ์ทุกข้ันตอนของ
กระบวนการจดั การ เมื่อการติดต่อสื่อสารมีประสิทธภิ าพ ผู้นามีความรู้มที ักษะทางการติดต่อสื่อสารจงึ จะส่ง
ผลสาเรจ็ ตามเป้าหมาย
3.6 การจงู ใจ
การจูงใจ หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลปะ เพ่ือกระตุ้นให้เกิดพลังงานจากความต้องการทาง
ด้านรา่ งกายและจิตใจ ให้แตล่ ะคนไดม้ โี อกาสทางานให้แกอ่ งคก์ ารอย่างเตม็ ความสามารถ
ประเภทของการจงู ใจ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1. การจูงใจโดยใช้อานาจหน้าท่ีตามสายงาน เป็นการใช้อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบของ
ทง้ั สองฝ่าย ซ่งึ มีความสัมพันธ์ใกล้ชดิ เป็นเทคนคิ ในการควบคมุ ดูแล ช่วยให้พนกั งานปฏบิ ัติงานและได้ผลงาน
มีประสิทธิภาพตามสมควร
2. การจูงใจโดยใช้หลักผลประโยชน์ต่างตอบแทน เป็นการแสดงให้พนักงานได้รู้ว่าตนจะมีโอกาส
ได้รับผลตอบแทนจากองค์การ เพ่ือให้พนักงานยอมปฏิบัติงานด้วยดีอย่างตรงไปตรงมาตามประโยชน์ท่ีควร
จะได้รับ “นา้ พ่งึ เรอื เสอื พึ่งป่า”
3. การจูงใจโดยเน้นผลิตผล เป็นการใช้เงินเดือน ค่าจ้าง รางวัล ผลตอบแทน ท่ีระบุไว้ชัดเจน
เพื่อให้พนักงานทางานอยู่ภายใต้เง่ือนไข ข้อตกลงเร่ือย ๆ ไป หรือภายในระยะเวลาท่ีกาหนดในช่วงหนึ่ง ๆ
การจงู ใจจึงใชร้ างวลั เข้าลอ่ และเรง่ ผลิตผลไดต้ ามตอ้ งการ
4. การจงู ใจโดยใชห้ ลักการตอบสนองความต้องการพน้ื ฐานและจิตใจ เป็นการใช้หลักการคนทุกคน
มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ซ่ึงผู้บริหารต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ด้านการจูงใจต่าง ๆ เพ่ือเพ่ิมพลั งจูงใจ
ของพนักงานและพฒั นาตัวพนักงานให้สงู ขน้ึ เพอ่ื จะสง่ ผลเปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาทั้งคณุ ภาพและปรมิ าณ
4. การควบคุม
การควบคุม คือ การใช้ความพยายามอย่างมีระบบเพ่ือกาหนดมาตรฐาน กับวิธีการปฏิบัติงาน
เพื่อหาข้อแตกต่างแล้วทาการแก้ไข เพื่อให้ผลการปฏิบัติงานได้ผลงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
อย่างสงู สุด
4.1 ประเภทของการควบคุม
ประเภทของการควบคมุ แบง่ ออกเปน็
1. การควบคุมล่วงหน้า เพื่อค้นหาและป้องกันคุณภาพ ความเบ่ียงเบนจากมาตรฐานโดยการ
ตรวจสอบของปัจจยั ทรพั ยากรตา่ ง ๆ กอ่ นเข้าสู่กระบวนการดาเนินงานให้ไดผ้ ลตามมาตรฐาน
2. การควบคุมระหว่างดาเนินการ เป็นการควบคุมพฤติกรรมของคน กิจกรรมของคนและ
เคร่ืองจักรกลระหว่างดาเนินการอยูใ่ ห้ตรงตามมาตรฐานการปฏิบตั งิ าน
3. การควบคุมภายหลังจากกระทา เป็นการตรวจสอบผลงานหลังเสร็จส้ินแล้ว เพื่อเปรียบเทียบหาค่า
ความเบี่ยงเบนจากมาตรฐานหรือไม่ แลว้ พจิ ารณามลู เหตเุ พ่ือปอ้ งกนั มใิ ห้เกดิ ข้ึนอีกตอ่ ไป
4.2 กระบวนการควบคุม
การควบคุมเพ่ือให้ได้ผลงานตรงตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ จะต้องอาศัยกระบวนการควบคุม
ทเี่ หมาะสม แตกตา่ งกันตามการดาเนนิ กจิ กรรมและผลท่ตี อ้ งการไดร้ ับ ซ่งึ ตอ่ ไปนจี้ ะกลา่ วเพือ่ เป็นแนวความคดิ
ในการควบคุม โดยแบ่งกระบวนการควบคมุ ออกเปน็ 5 ข้ันตอน ดงั รปู
รูปท่ี 6 แสดงกระบวนการควบคุม
4.3 เทคนคิ และเคร่อื งมือการควบคุม
เทคนิคและเครอื่ งมอื การควบคุม แบง่ ออกเป็น 6 ประเภท คอื
1. การควบคุมตน้ ทนุ หมายถึง การทผ่ี ู้บรหิ ารใหท้ ุกหนว่ ยงานจดั ทางบประมาณคา่ ใชจ้ า่ ยไวล้ ว่ งหน้า
เมื่อเข้าสู่ขั้นปฏิบัติ ผู้บริหารก็จะทาการตรวจสอบหลักฐานค่าใช้จ่าย วัดการใช้จ่ายที่เกิดข้ึนจริง ว่าเป็นไปจริง
และแตกต่างจากงบประมาณอย่างไร เทคนิคการควบคุม โดยการวางระบบการบัญชีด้านต่าง ๆ เช่น
การจัดทางบประมาณรายได้รายจ่าย งบประมาณด้านเวลาวัสดุพ้ืนท่ี งบประมาณด้านเงินสด งบประมาณ
ค่าใช้จ่ายในการลงทุน งบประมาณด้านต้นทุนการผลิต และงบประมาณด้านทรัพย์สินหนี้สินของกิจการ
เป็นต้น
2. การควบคุมคุณภาพ หมายถึง การนาเทคนคิ ตา่ ง ๆ มาใช้เพื่อใหเ้ กดิ ความม่ันใจว่าผลงานตรงกับ
ความต้องการของตลาด และใช้จ่ายทรัพยากรไดอ้ ย่างประหยดั คุ้มค่า เพ่ือความพอใจในคณุ ภาพของตลาด
3. การควบคุมปริมาณ หมายถึง การควบคุมที่มีการใช้ข้อมูลตัวเลข เพื่อนามาใช้วัดผลใน
ทางปรมิ าณในการตรวจสอบผลการปฏบิ ัติงานต่าง ๆ วา่ ทาได้ตามท่ีกาหนดไว้
4. การควบคุมเวลา หมายถึง การควบคุมเพื่อให้งานต่าง ๆ ดาเนินไปให้เสร็จตามระยะเวลาท่ี
กาหนดโดยใช้เทคนิคการควบคุมตารางการทางานตามขั้นตอนและการกาหนดมาตรฐานเวลาการผลิตหรือ
บรกิ าร
5. การควบคุมหน้าที่ หมายถึง การควบคุมภารกิจของงานหลักต่าง ๆ ท่ีมอบหมายตามหน้าท่ี
และความรับผิดชอบเพื่อให้การปฏิบัติงานหน้าที่ มีความสัมพันธ์ประสานงานกัน และที่สาคัญคือ
ให้การปฏบิ ัตงิ านตามนโยบายและแผนงานท่กี าหนดไว้ โดยใช้เทคนิคการควบคมุ ท่ีเหมาะสมกับแต่ละประเภท
ของงาน
6. การควบคมุ พฤติกรรมพนักงาน ต้องมีเครื่องมือหรือเทคนิคเพ่ือการควบคุม ให้ปฏิบัติไปในแนว
เดียวกันและด้วยกัน จึงส่งผลให้ทางานด้วยกันด้วยบรรยากาศท่ีเป็นสุข โดยใช้เทคนิคการควบคุมด้าน
พฤตกิ รรม เชน่ การกาหนดกฎระเบียบข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ ขององค์กร
กิจกรรมการจดั การเรียนรู้ (จัดกจิ กรรมให้สอดคล้องกบั สมรรถนะทพ่ี งึ ประสงค)์
ขนั้ นาเข้าสู่บทเรยี น
ผู้เรียนและครรู ว่ มสนทนา เรอ่ื ง ความสาคัญของการวางแผน หลักการและวธิ ีการเขยี นโครงการ โดย
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ ระหวา่ งเพือ่ น และครูผสู้ อน โดยครูถามนาในเรื่องความสาคญั ของการจัด
องคก์ าร
ข้ันสอน
1. ครผู ู้สอนบรรยายเน้อื หาตามหัวข้อในเอกสารประกอบการสอน ประกอบ Power Point
2. ใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะกลมุ่ ตามทีจ่ ดั แบง่ ไว้แลว้ น้นั วางแผนและเขยี นโครงการ
3. ให้แต่ละกลมุ่ จัดทาเอกสารตามที่ได้รบั มอบหมาย จดั ตกแต่งบอรด์ วชิ าการ เผยแพรค่ วามรู้
ขนั้ สรุป
ใหผ้ ู้เรียนร่วมกันตอบคาถาม โดยครผู สู้ อนสรุปซา้ ในประเดน็ ทีส่ าคญั
1. นาผลการตรวจใบงาน และแบบทดสอบมาชแ้ี จงสรปุ รายละเอียด แจง้ ผเู้ รยี นเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นได้
เข้าใจและนาไปพฒั นาแก้ไขปรบั ปรงุ ดีขึ้นต่อไป
สื่อการจัดการเรยี นรู้
แหล่งการเรียนรู้
1. หนังสอื เรียน
2. หนังสือทเี่ กย่ี วข้อง
3. สอื่ การสอน Power Point
4. วดิ ีทศั น์
การประเมนิ ผลการจดั การเรียนรู้ (ให้สอดคล้องกบั สมรรถนะทพ่ี ึงประสงค)์
ก่อนเรียน
1. สังเกตจากความสนใจการฟงั ครผู ู้สอนบรรยาย
2. สังเกตการณ์รว่ มสนทนา การตอบคาถาม
3. ประเมนิ จากการทาแบบทดสอบ
ขณะเรยี น
1. ประเมินจากแบบสังเกตพฤตกิ รรม คณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
2. ประเมนิ จากการทากจิ กรรมตามใบงานทีท่ าส่งรายบคุ คล
3. ประเมินผลจากการทากิจกรรมตามใบงานการนาเสนองาน ด้วยความมีระเบียบวินัย รู้จักใช้
ทรัพยากรอย่างประหยัด คมุ้ ค่า พอเพียง
หลงั เรียน
1. ประเมินจากการทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
2. สังเกตจากการร่วมสรปุ เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ตามหัวข้อที่ศึกษาได้ถกู ต้อง
แบบทดสอบหรือใบงาน (ถา้ มี)
แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 2
พิจารณาเลือกคาตอบท่ีถกู ตอ้ งทีส่ ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
1. ข้อใดกลา่ วความหมายของการวางแผนถกู ต้อง
ก. เป็นกระบวนการกาหนดอดตี จากอนาคต
ข. เปน็ กระบวนการทางความคิดและการตดั สินใจ
ค. เป็นการกาหนดอนาคตจากผลการปฏิบัตใิ นอดีต
ง. เปน็ การตดั สินใจในปจั จุบนั เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลในอนาคต
2. ถ้าไม่มีการวางแผน ขอ้ ใดกล่าวผิด
ก. กระบวนการบรกิ ารกจ็ ะไม่เกิดข้ึน
ข. กาหนดทิศทางวางวสิ ยั ทัศนอ์ ยา่ งถกู ตอ้ ง
ค. กาหนดมาตรฐานในการควบคุมเปน็ ไปอย่างถูกต้อง
ง. การวเิ คราะห์ประเมนิ ปัญหาและสถานการณ์ถูกต้อง
3. ขอ้ ใดเปน็ แผนท่ีใช้คร้ังเดียว
ก. ปฏทิ ิน ข. นโยบาย
ค. กฎเกณฑ์ ง. มาตรฐาน
4. การใชข้ ้อมูลการตลาดในอดตี เป็นฐานเพื่อกาหนดเป้าหมายในอนาคตคือข้อใด
ก. การวเิ คราะห์จดุ คมุ้ ทนุ ข. การจัดทางบประมาณ
ค. การพยากรณเ์ ชงิ ปรมิ าณ ง. การพยากรณ์เชงิ คณุ ภาพ
5. การใช้ผ้เู ช่ยี วชาญจากภายนอกองค์การมาศึกษาข้อมลู ภายในองคก์ ารและเสนอแนะการแกป้ ัญหาคือขอ้ ใด
ก. การวเิ คราะหจ์ ุดคมุ้ ทุน ข. การจัดทางบประมาณ
ค. การพยากรณ์เชิงปรมิ าณ ง. การพยากรณ์เชิงคุณภาพ
6. ขอ้ ใดเปน็ แผนการจดั สรรทรพั ยากรใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดล้อมที่เปล่ยี นแปลง
ก. แผนธรุ กจิ ข. แผนกลยุทธ์
ค. แผนยทุ ธวธิ ี ง. แผนปฏิบัตกิ าร
7. ข้อใดไมใ่ ช่จุดมุ่งหมายของแผนกลยทุ ธ์
ก. ยดึ มั่นในศักยภาพไม่ปรับเปลย่ี นตามสภาพแวดล้อม
ข. ยดึ มน่ั ในการผสมผสานสรา้ งคณุ คา่ ให้ทันสภาพแวดล้อม
ค. พบจุดแข็งและเพ่ิมความแข็งแกรง่ จากสถานการณใ์ หม่
ง. พบจุดอ่อนหลีกเล่ียงแกไ้ ขโดยการรวมตัวกับทรพั ยากรใหม่
8. ข้อใดคือความม่งุ หวังหรือตาแหนง่ ธรุ กิจในอนาคตทีเ่ หมาะสมกับทรพั ยากรและสภาพแวดล้อมในอนาคต
ก. คา่ นิยม ข. พันธกิจ
ค. วิสัยทศั น์ ง. วัตถุประสงค์
9. ผลิตภณั ฑใ์ หม่ ๆ ทเ่ี ริ่มแนะนาตลาด ควรกาหนดในตาแหน่งข้อใด
ก. ววั นม ข. ดาวเดน่
ค. สุนขั ขีเ้ กียจ ง. เด็กเจ้าปัญหา
10. ข้อใดเป็นวงจรชีวติ ผลติ ภัณฑใ์ นขั้นเจรญิ เตบิ โต
ก. ววั นม ข. ดาวเดน่
ค. สุนขั ข้ีเกยี จ ง. เดก็ เจ้าปญั หา
เฉลยแบบทดสอบหรอื ใบงาน
1. ข
2. ข
3. ก
4. ค
5. ง
6. ข
7. ง
8. ค
9. ง
10. ข
บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้
ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................... .............................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................... .....................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ผลการเรียนของนกั เรียน
............................................................................................................................. .......................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................... ..........................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
ผลการสอนของครู
....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................ ........
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 3
ช่ือวชิ าหลกั การจดั การ สอนคร้ังที่ 6-7
ช่ือหนว่ ย การจดั การสมยั ใหม่ ช่ัวโมง 4
ชือ่ เรอื่ งหรือชื่องาน การจัดการสมัยใหม่ จานวนชัว่ โมง 8
หวั ข้อเร่อื งและงาน
1. 1. ความเป็นมาของแนวความคดิ ปรชั ญาสกู่ ารจัดการสมยั ใหม่
2. 2. ทรพั ยากรการจดั การ
3. 3. ทรัพยากรมนษุ ย์
4. 4. ทรพั ยากรการเงิน
5. 5. ทรพั ยากรกายภาพ
6. 6. ทรัพยากรขอ้ มลู
7. 7. สภาพแวดลอ้ มของการจดั การ
8. 8. การวเิ คราะหส์ ภาพแวดล้อมภายนอก
9. 9. การวิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายใน
10. 10. การวางแผนกลยทุ ธ์
สาระสาคญั
จากสังคมของมนุษยย์ ุคดกึ ดาบรรพ์สสู่ งั คมเกษตรกรรม เข้าสู่ยุคการปฏิบตั ิวตั อิ ตุ สาหกรรมและโน้ม
นาหาโลกาภิวัตน์ มีบางคนคาดการณ์จะเข้าสู่ยุคหุ่นยนต์ สภาพของสังคมมีผลต่อการกาเนินขององค์การท่ี
แตกต่างกัน เพราะองค์การได้เกิดขึ้นตามความเจรญิ และต้องการ ของวิทยากรเทคโนโลยีที่ทาให้เกิดความ
จาเปน็ ตอ่ การระดมทรัพยากรและคนเข้าทางานให้เกดิ ผลสาเรจ็ ทาใหม้ ที ฤษฎอี งคก์ ารกาเนินขึน้ ตัง้ แตร่ ะยะตน้
ของศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาถงึ ปจั จุบัน
จดุ ประสงค์การเรียนรู้€€
1. บอกความเปน็ มาของแนวคิดปรัชญาสกู่ ารจัดการสมัยใหมไ่ ด้
2. อธิบายทรัพยากรการจดั การได้
3. อธิบายสภาพแวดล้อมของการจัดการได้
4. อธบิ ายการวางแผนกลยุทธ์ได้
5. อธบิ ายการจดั การในศตวรรษท่ี 21 ได้
6. อธิบายแนวคิดในการสรา้ งความเปน็ เลิศทางธรุ กิจได้
7. นกั ศึกษาเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์
สมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์ (ความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี )
ด้านพทุ ธิพสิ ยั
1. บอกความเป็นมาของแนวคิดปรัชญาสูก่ ารจัดการสมัยใหมไ่ ด้
2. อธบิ ายทรัพยากรการจัดการได้
3. อธิบายสภาพแวดลอ้ มของการจดั การได้
4. อธิบายการวางแผนกลยทุ ธ์ได้
5. อธบิ ายการจดั การในศตวรรษท่ี 21 ได้
ดา้ นทกั ษะพิสยั
วิเคราะห์แนวคิดในการสรา้ งความเป็นเลิศทางธุรกจิ ได้
ด้านจิตพสิ ัย (คุณธรรม จริยธรรม)
นกั ศกึ ษาเปน็ ผู้มีความคิดสร้างสรรค์
บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง/3D
นกั ศึกษาสามารถนาความรู้จากการศึกษาเล่าเรียนไปประกอบการตัดสนิ ใจและเพื่อเปน็ ภูมิคุม้ กนั ให้
ตัวเอง ดว้ ยการเปน็ ผูม้ คี วามสนใจใฝร่ ู้ ตงั้ ใจเรียน
เนือ้ หาสาระพอสังเขป
1. ความเปน็ มาของแนวความคดิ ปรัชญาสู่การจัดการสมยั ใหม่
แนวความคดิ ด้านทฤษฎอี งค์การข้ึนอยู่กับความสมเหตุสมผลตามสถานการณ์ ซึ่งเป็นการมงุ่ เน้นเรื่อง
ประสทิ ธิภาพและการรักษาสถานภาพขององค์การไว้ โดยผ้บู ริหารต้องปรับกลยุทธ์ตา่ ง ๆ เพื่อใหผ้ ลงานสาเร็จ
ด้วยการออกแบบโครงสร้างและกระบวนการบริหารท่ีมีเหตุผลเพ่ือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ของ
สภาพแวดล้อม เทคโนโลยี และปจั จัยอนื่ ๆ ในองค์การทั้งภายในและภายนอกองค์การ ซึ่งการมองเปน็ ระบบ
และการมองที่จุดมุ่งหมายของโครงสร้างเปน็ เกณฑ์ เมอ่ื พจิ ารณาแยกออกเปน็ แนวความคิดของทฤษฎีองคก์ าร
ท่ีแตกตา่ งกนั ตามววิ ัฒนาการของทฤษฎีการจัดการองคก์ ารออกไดเ้ ป็น 4 ทฤษฎี ดงั รูป
รูปที่ 7 แนวความคิดด้านทฤษฎอี งคก์ าร
2. ทรพั ยากรการจัดการ
ทรัพยากรการจัดการ หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งแวดล้อมภายนอกและสิ่งแวดล้อมภายใน
รวมถึงเหตุการณ์จากสภาพแวดล้อมทั้งหลายท้ังปวงท่ีผู้นาหรือผู้บริหารจะตัดสินใจเลือกใช้ในองค์การในช่วง
ระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้กระบวนการแปรสภาพหรือการดาเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ ได้บรรลุผลสาเร็จตาม
ต้องการ เดมิ ปัจจัยหรือทรพั ยากรการจัดการขนั้ พ้ืนฐาน ได้แก่ คนหรือแรงงาน เงนิ ลงทุน วัสดุ และเครื่องจักร
ปจั จุบันตอ้ งให้ความจาเป็นและความสาคัญของทรัพยากรการจัดการมากกว่าเดิม เพื่อให้การตัดสนิ ใจเลอื กใช้
ทรัพยากรได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับเวลา, สถานท่ี, ภายใต้เงื่อนไข หรือสถานการณ์ ผู้นาหรือผู้บริหาร
จาเปน็ ต้องรูแ้ ละเขา้ ใจในองคป์ ระกอบของทรพั ยากรการจัดการตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปนี้
2.1 ทรัพยากรมนุษย์
มนุษย์หรือคน เป็นปัจจัยที่สาคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงาน คนเป็นต้นเหตุที่
ก่อให้เกิดองค์การ คนจะเป็นผู้ใช้ปัจจัยการจัดการอ่ืน ๆ พร้อมทั้งเป็นผู้ดาเนินการในกระบวนการทางการ
บรหิ าร และคนท่ีมคี ุณภาพจงึ มปี ระโยชน์จะทาใหธ้ ุรกจิ ประสบผลสาเร็จหรือล้มเหลว นอกจากคนเปน็ ผู้ใช้แรงงาน
แล้ว มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีสติปัญญามีการรับรู้และเรียนรู้ มีความเชื่อ ทัศนคติ บุคลิกภาพและพฤติกรรมของ
บุคคลและพฤติกรรมกลุ่มทแ่ี ตกต่างกนั อยา่ งหลากหลาย
2.2 ทรัพยากรการเงนิ
เงินทุน เป็นปัจจัยการจัดการที่สาคัญให้การสนับสนุนในการจัดหาทรัพยากรอ่ืน ๆ เพ่ือ
หล่อเล้ียงและเอ้ืออานวยให้กิจกรรมขององคก์ ารดาเนินไปโดยไม่ติดขัด เงินทนุ อาจเป็นของสว่ นตวั กู้ยืมหรือ
ร่วมกับหุ้นส่วน บรษิ ัทจากัด บรษิ ัทมหาชนจากัด กลุม่ คนหรือคณะบคุ คลท้งั ภายในและนอกประเทศ ซึง่ เปน็ ทัง้ ตลาด
เงินและตลาดทุน เงินลงทนุ แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื เงินทุนคงที่ และทนุ หมนุ เวียน
2.3 ทรัพยากรกายภาพ
ทรัพยากรกายภาพ หมายถึง สง่ิ ท้ังปวงอันเป็นทรัพย์ เก่ียวกับสิ่งทไ่ี ม่มีชีวติ เช่น วิทยาศาสตร์
กายภาพ ศึกษาเกี่ยวกับสสารและพลงั งาน ภมู ิศาสตร์กายภาพ ศึกษาเกย่ี วกบั ลกั ษณะตามธรรมชาติของผิวดิน
บรรยากาศ อากาศ พืชและสัตวใ์ นถิน่ ต่าง ๆ ทรัพยากรกายภาพทางด้านการจัดการ
2.4 ทรัพยากรขอ้ มลู
ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือสิ่งท่ีถือ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สาหรับใช้เป็นหลัก
อนมุ านหาความจริงหรอื การคานวณ ข้อมลู ทางธรุ กิจ คอื จงึ เปน็ ข้อเทจ็ จริงหรือข่าวสารทีเ่ ก่ียวกับกจิ กรรมทาง
ธุรกิจ อาจอยู่ในรูปของตัวเลข ขอ้ ความ หรืออื่นทีแ่ สดงถึงคณุ ลกั ษณะของสิ่งท่ีสนใจ โดยวตั ถปุ ระสงค์ของการ
จัดการข้อมูล เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีคุณค่า หมายถึง มีความถูกต้อง มีรายละเอียดชัดเจน ทันสมัย ทันเวลาและ
สอดคลอ้ งสัมพันธก์ บั สงิ่ ทส่ี นใจ สนบั สนุนการตดั สนิ ใจในการดาเนินงานได้อย่างมีคุณภาพ
3. สภาพแวดล้อมของการจัดการ
สภาพแวดล้อมของการจัดการ หมายถึง องคก์ ารต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมหรอื ส่งิ แวดลอ้ มต่าง ๆ ท่ี
ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้ทรัพยากรและการดาเนินการแปรสภาพ การท่ีผู้นาหรือผู้บริหารตระหนักถึง
ความสาคญั และปรับเปล่ียนให้ทันกับสภาพแวดลอ้ มย่อมก่อให้เกิดโอกาสทจ่ี ะวางแผนใชท้ รพั ยากรต่าง ๆ ได้
ในอนาคต หากผู้นาหรือผูบ้ รหิ ารละเลยเพิกเฉยไม่สนใจสภาพแวดลอ้ มแล้วจะเกิดความเส่ยี งและทาให้กิจการ
ลม้ เหลวได้ เพื่อช่วยให้ผนู้ าหรือผบู้ รหิ ารสามารถตัดสินใจตามทิศทางมุ่งสู่เป้าหมายได้อยา่ งแท้จริง ต้องทาการ
วเิ คราะห์สภาพแวดล้อมของสภาพแวดล้อมด้วยการตรวจสอบข้อมูลทั้งอดีต ปัจจุบันและแนวโน้มของอนาคต
ของสภาพแวดล้อมดงั ต่อไปน้ี
3.1 การวิเคราะห์สภาพแวดลอ้ มภายนอก
คาวา่ “วิเคราะห์” หมายถงึ การใครค่ รวญการแยกออกเป็นสว่ น ๆ เพ่อื ศึกษาใหถ้ ่องแท้ก่อนการ
ตัดสินใจ โดยเฉพาะผนู้ าหรือผู้บรหิ ารองคก์ ารต้องรู้เท่าทันในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลาถึงผลกระทบ
ท้ังในเชิงบวกและเชิงลบจากปัจจัยภายนอก ซึ่งองค์การไม่สามารถควบคุมได้ อาจแบ่งปัจจัยหรือ
สภาพแวดลอ้ มภายนอกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื
3.1.1 สภาพแวดล้อมทั่วไป หมายถึง ส่ิงที่มีผลกระทบธรรมดาหรือท่ัวไปต่อความสาเร็จหรือ
ล้มเหลวของการตัดสินใจใช้ทรัพยากรการจัดการที่ผู้นาหรือผู้บริหารองค์การพึ งให้ความสนใจโดยท่ัว ๆ
ไปประกอบดว้ ย
3.1.1.1 ประชากรศาสตร์
3.1.1.2 สงั คมและวัฒนธรรม
3.1.1.3 การเมืองและกฎหมาย
3.1.1.4 เทคโนโลยี
3.1.1.5 เศรษฐกจิ
3.1.1.6 สภาพแวดลอ้ มระดับสากล
3.1.2 สภาพแวดล้อมเชิงแข่งขัน หมายถึง ผลกระทบธรรมดาของทางธุรกิจจะต้องเผชิญกับ
การแข่งขัน เพื่อเข้าชิงชัยเอาชนะมาเป็นรางวลั ทต่ี อ้ งการ
การวิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายใน สามารถกระทาไดด้ งั นี้
3.1.2.1 การวเิ คราะหจ์ ากโซแ่ หง่ คณุ ค่า
3.1.2.2 การวิเคราะห์จากหนา้ ท่ีทางธุรกจิ
3.1.2.3 การวิเคราะห์จากวฒั นธรรมและภาวะผ้นู า
3.1.2.4 การวิเคราะห์จากความชอบธรรมและชือ่ เสียง
3.1.1.5 การวิเคราะห์จากากรเลือกกลยุทธ์
4. การวางแผนกลยุทธ์
การวางแผนกลยุทธ์ เป็นการดาเนินงานเพ่ือไปให้ถึงเป้าหมายด้วยวิธีการทางกลยุทธ์ท่ีเหมาะสมใน
รูปแบบตา่ ง ๆ ทีอ่ าจแตกต่างกันในแตล่ ะระดับขององค์การ โดยมจี ุดมุง่ หมายทส่ี าคญั 3 ประการ คอื
1.1 ความสามารถหลัก
1.2 การรวมตัว
1.3 การสร้างคุณค่า
ลาดับข้ันตอนการทาแผนธุรกิจ
การวางแผนธรุ กิจมีลักษณะพิเศษอาจมีขอบเขตกว้างครองคลุมแตล่ ะส่วนงาน จนถึงแผนขนาดใหญ่เป็น
พมิ พ์เขียวสาหรับการพัฒนาองค์การโดยรวม หรือมขี อบเขตเฉพาะเจาะจงเน้นความเป็นเฉพาะกิจของแต่ละ
บุคคลกไ็ ด้ สาหรับแผนธุรกจิ ในเชงิ ทฤษฎี มีการแบ่งออกเป็น 3 ระดบั คอื 1) แผนกลยุทธ์ 2) แผนกลวิธี 3)
แผนปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมทางการบริหารงานในแต่ละองค์การอาจแตกต่างกัน จึงมีความ
เป็นไปได้ที่มีบางองค์การได้ลดภาระงานด้านการจัดทาแผนธุรกิจลงเหลือเพียง 2 ระดับ คือ 1) แผนกลยุทธ์
2) แผนปฏิบตั ิการ ดงั รูป
รปู ที่ 8 การวางแผนกลยุทธ์