The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by camouflagetalk, 2023-04-04 21:42:32

มีใครอยู่ข้างในมั้ย?

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Keywords: camouflage

มีใครอยู่ข้างในมั้ย? โดย Camouflage (คามูฝลาจ) บรรยายเมื่อ 27-11-2565


แจกเป็นธรรมทาน ห้ามจำ หน่าย ---------------------------------------------------------------------------- ชื่อเรื่อง มีใครอยู่ข้างในมั้ย? ผู้เขียน Camouflage (คามูฝลาจ) พิมพ์ครั้งแรก เมษายน 2566 จำ นวน 3,000 เล่ม ภาพประกอบ มัณฑนา กิจมีดี พิสูจน์อักษร ศศินาถ งามละเมียด ติดต่อผู้จัดทำ Facebook : สุขกาย สุขใจ www.facebook.com/sookguysookjai Line : @camouflage.talk แยกสีและพิมพ์ที่ สายธุรกิจโรงพิมพ์ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำ กัด (มหาชน) 376 ถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ 10170 โทรศัพท์0-2422-9000, 0-2882-1010


1 เป็นแค่ผู้เดินตาม 5 2 นิยายของอัตตา 18 3 เห็นโครงสร้างทั้งหมดของอัตตา ไม่ใช่กำจัด 32 4 ไม่ได้เริ่มจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ 45 5 ดีชั่ว ถูกผิด มีไว้ใช้กับอัตตา 53 6 ไม่ทำอะไร 59 7 เอาสีขาวมาทาสีดำ 71 8 ความแจ่มแจ้ง 79 9 วัฏฏะ วิวัฏฏะ 82 10 ตัวเราเองคือคำ ตอบ 89 11 จริง 94 12 ธรรมชาติ คือ ความเป็นไป 100 13 หยินหยาง 109 14 ตถตา 115 15 ใส่ใจชีวิต 120 16 ลงลึกด้วยตัวเอง 127 17 สืบทอดศาสนา 135 18 ลืมทุกอย่าง 141 สารบัญ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 5 1 เป็นแค่ผู้เดินตาม อาจารย์: เราทุกคนเมื่อเกิดขึ้นมามีชีวิตบนโลกใบนี้ ต่างก็ ผ่านประสบการณ์มากมาย และบทสรุปอย่างหนึ่งที่มนุษย์ ทุกคนรู้สึกเหมือนกันคือ เรารู้สึกว่า“เราทุกข์” และทันทีก็ เกิดไอเดียถัดมาว่า “เราอยากจะพ้นทุกข์” ตอนเด็ก ๆเราก็อยากจะพ้นทุกข์ด้วยการตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเอง พอเราโตขึ้นมา เราจะเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ได้ เพราะสังคมไม่ยอมรับ เราก็เลยทุกข์ เพราะเรา ตามใจตัวเองเต็มที่เหมือนเดิมไม่ได้ เราก็เลยต้องปรับ ตัวเองให้เข้ากับสังคมให้ได้ โดยพยายามจะอยู่ที่ตรงกลาง คือไม่เอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ตาม หรือยอม


Camouflage | 6 ระเบียบของสังคมมากเกินไป เพราะเราเองก็ไม่ไหว หรือ ไม่เห็นด้วยกับไอเดียของระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ หรือ จารีตประเพณีบางอย่างที่เคร่งครัด หรืองมงาย ลึก ๆเรา รู้สึกว่าไอเดียเหล่านั้นก็ยังไม่น่าจะใช่ แต่เราก็ยังไม่มีคำ ตอบ ให้กับชีวิตว่าอะไรควรจะเป็นยังไง เราก็ได้แต่พยายามปรับชีวิต หาสมดุลของการมีชีวิต ไม่ว่า จะเป็นด้วยวิธีคิด หรือแนวคิดต่างๆ นานา แต่จนแล้ว จนรอด เราก็ยังทุกข์อยู่ สุดท้าย เราจึงเดินหน้าเข้ามาหาวิธีปฏิบัติธรรม เราคิดว่าวัด หรือพระ หรือสถานปฏิบัติธรรมคงจะเป็นที่พึ่ง ที่ช่วยให้เราได้พบทางไปสู่ความหลุดพ้นจากชีวิตที่เป็นทุกข์ แบบนี้ได้ จะเห็นว่า พวกเราอยู่ในไอเดียที่มี“เรา” คนหนึ่งอยากจะ พ้นทุกข์อยู่เสมอ ตั้งแต่เด็กจนเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จนเรา เข้ามาถึงที่นี่ ที่นี่คือที่สุดท้ายของชีวิตเราแล้ว ที่ที่เรียกว่า “การปฏิบัติธรรม”


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 7 ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ เห็นมั้ยว่าเรายังอยู่ภายใต้ไอเดียเดิม ตั้งแต่เด็กเลย แต่แค่เปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆจากวิธีที่ ดูเหมือนแย่ที่สุดคือ การเอาแต่ใจตัวเอง กลายเป็นวิธีการ ต่างๆ ที่ถูกปรับแต่งให้ดีขึ้นจากข้อมูล ความรู้ต่างๆ ที่เรารับ เข้ามา จนมาถึงวิธีการปฏิบัติธรรม ที่เราเชื่อว่านี่มันน่าจะ ดีที่สุดแล้ว แต่เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเราอยู่ในโครงสร้างนี้ โครงสร้าง ของวิธีคิดแบบเดิม ที่เราคนหนึ่งเป็นคนที่เป็นทุกข์ แล้วเรา คนนี้กำ ลังค้นหาวิธีหรือได้รับวิธีบางอย่างเพื่อจะพ้นทุกข์ ถ้าเรายังอยู่ในโครงสร้างนี้เหมือนเดิม เป็นไปได้มั้ยว่า สิ่งใหม่ในชีวิตที่เราเรียกว่า“ความพ้นทุกข์”จะเกิดขึ้น? ผู้ฟัง : ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะถ้าทำ ตามโครงสร้างนี้ มาเรื่อย ๆ มันก็คงจะพ้นทุกข์ไปตั้งนานแล้ว อาจารย์: ใช่ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราต้องเห็นโครงสร้างนี้ ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม ว่าวิธีคิด ทั้งหมดของเราต่อชีวิตนี้จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลย...เป็นวิธีคิดที่ยังคงรูปแบบของมิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิม


Camouflage | 8 คือเราแค่เปลี่ยนวิธีที่จะปฏิบัติต่อชีวิตนี้ไปเรื่อย ๆ และหวัง ว่า“เรา”ซึ่งเรียกว่าอัตตานี้จะได้รับผลบางอย่างที่เรียกว่า “ความพ้นทุกข์” เราหวังผลลัพธ์แบบนั้น ซึ่งแปลว่า แม้จะ ถึงจุดสูงสุดนั้นแล้ว “ความเป็นเรา”ในนัยยะของมิจฉาทิฏฐิ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งขัดแย้งกับคำ สอนที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงสอนสัตว์โลกเอาไว้อย่างสิ้นเชิง คือ แท้จริง โลกนี้ ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา  และนั่นคือสาเหตุที่มนุษย์ไม่เคยจะเข้าถึงความหลุดพ้น ที่แท้จริงได้ เพราะโครงสร้างของวิธีคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นโครงสร้างของความคิดที่ยังคงอยู่ลึกที่สุดในหัวใจของ มนุษย์ทุกคน โครงสร้างของวิธีคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐินี้เป็นโครงสร้างของ วิธีคิดเดียวกับดาบสทั้งหลายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติ ขึ้นมา เขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แล้วเขากระทำ การ หลายอย่าง จนถึงกระทั่งสุดโต่งไปทำ การทรมานตัวเองก็ได้ เช่น เขาคิดว่าการยึดติดร่างกายนี้เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เขาจะทรมานมัน แล้วเขาก็ทรมานมันด้วยวิธีหลายอย่าง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 9 เช่น นอนบนตะปู อดอาหาร หายใจด้วยจมูกข้างเดียว ยืนขาเดียว หรือไม่ตัดเล็บ ไม่อาบนํ้า ทำ หลายอย่างที่จะ ทรมานร่างกายนี้  กระบวนการเหล่านี้ค่อย ๆวิวัฒนาการมาตามยุคตามสมัย และจะมีคนใหม่ๆ พบเสมอว่า วิธีเหล่านี้นั้น...ยังไม่ใช่ คนใหม่ที่พบว่าวิธีเหล่านั้นยังไม่ใช่ ก็หาวิธีใหม่ถัดไป เช่น คิดว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย เกิด วิธีคิดอันใหม่ เช่น จิตใจต้องมีสมาธิ“เรา”จึงจะพ้นทุกข์ ได้ และดาบสทั้งสองซึ่งก็คือ อุทกดาบสและอาฬารดาบส ท่านก็ทำ ฌาน คนนึงได้ฌานสี่ อีกคนได้ฌานแปด  สองดาบสท่านก็พยายามทำ แบบนั้น เพราะคิดว่าถ้าเรามีจิต ที่มีสมาธิจิตนี้ก็จะไม่ปรุงแต่ง กระทบแล้วไม่กระเทือน เพราะจิตนี้เข้มแข็งมีกำ ลังมาก แล้วปรากฏว่าด้วยกำ ลัง ของจิตที่มีสมาธิเขาก็สามารถเห็นตามเป็นจริงได้ด้วย คือ เห็นโลกนี้เป็นไตรลักษณ์


Camouflage | 10 แต่สุดท้ายพระพุทธเจ้าค้นพบว่า สิ่งที่ดาบสทำ ทั้งหมดนั้น ยังไม่ใช่ เพราะว่าสมาธิมันเสื่อม พอสมาธิเสื่อม ก็ต้อง ทำ ใหม่ พอเสื่อมปุ๊บ ทุกข์อีกแล้ว พระพุทธเจ้าสมัยนั้น ยังคงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะที่พยายามหาทางเช่นกัน และ ท่านเห็นว่าทำ ไมมันถึงยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ มันยังคง ไม่ถาวร ท่านก็รู้แล้วว่าวิธีนี้...ไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้น วิธีคิดในแบบที่ดาบสทั้งสองทำ ก็ยังไม่ใช่ แต่ ชาวพุทธเราเข้าใจในทำ นองว่า ดาบสทั้งสองแค่ทำ สมาธิ ไปไม่ถึงการเจริญปัญญา จึงยังไม่ถูกต้อง แต่เราไม่ได้เอะใจว่า แท้จริงดาบสทั้งสองก็เห็นโลกนี้ตาม ความเป็นจริงเหมือนกัน...ด้วยกำ ลังสมาธิขนาดนั้น ทำ ไม เขาจะไม่สามารถเห็นโลกนี้ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ได้ ด้วยกำ ลังสมาธิในระดับนั้น เขาเห็นยิ่งกว่าพวกเราที่มี สมาธินิดหน่อยเห็นอีก ระดับฌานสี่และฌานแปด จะ ไม่เห็นอะไรที่มันลึกลับ ลึกซึ้ง ละเอียดเลยหรือ? ท่านเห็น ละเอียดมากกว่าพวกเราเยอะ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 11 แต่เจ้าชายสิทธัตถะรู้ว่าไม่ใช่ เพราะอะไร? เพราะโครงสร้างของวิธีคิดยังคงเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เช่นเดิม ทีนี้ลองทบทวนกระบวนการโครงสร้างวิธีคิดในการปฏิบัติ- ธรรมของเราแต่ละคนในตอนนี้ คือเราเรียนมาว่า เราต้อง เห็นตามความเป็นจริง...ต้องเจริญวิปัสสนา...และเราเรียนมา ว่าต้องมีสมาธิจึงจะเห็นตามความเป็นจริงได้ แล้วสุดท้าย เราจะพ้นทุกข์ นี่เป็นสิ่งที่เราทำ กัน ใช่มั้ยว่าเราเดินตามรอยดาบสทั้งสอง แต่เราบอกว่า เขาผิด ทั้งๆ ที่โครงสร้างวิธีคิดของเราไม่ต่างจากเขา เลย เราทำ แบบเดียวกัน แต่เราแค่มีไอเดียใหม่ว่าเราเป็น ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลูกศิษย์ดาบสทั้งสอง แต่เรา ไม่เคยเอะใจว่าเราทำ เหมือนกับเขา...ทุกวันนี้เราทำ แบบนั้น เราเคยได้ยินเรื่องดับรูป ดับเวทนา ดับสัญญา ดับสังขาร ใช่มั้ย? หลวงพี่ท่านนี้เคยทำ สำ เร็จแล้ว หลวงพี่อยู่ในถํ้า เก้าวัน ไม่ฉันอาหาร และอยู่ในกลดนิ่งๆ สามวัน ไม่ออกไป ไหนเลย และดับทุกอย่างสำ เร็จ จนรู้สึกว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว


Camouflage | 12 ผู้ฟัง : ผมมีความเชื่อมาตลอดเลยว่าการที่เราจะปฏิบัติธรรม จนบรรลุธรรมได้เนี่ย จะต้องมีฌาน จะต้องเห็นอะไรพิเศษ มีไฟเผากิเลส ผมก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ คนเราจะทำ อย่างนั้นได้หรือ อาจารย์: เราอยู่ในวัฒนธรรมนั้นกัน เราชาวพุทธ เราอยู่ใน วัฒนธรรมแบบนั้น เราถูกสอนมาแบบนั้น มันไม่ผิดที่เรา หรอก มันผิดที่วัฒนธรรมเหล่านั้น มันหล่อหลอมพวกเรา ขึ้นมาในความเชื่อแบบนั้น ว่ามันต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อก่อนผมพยายามจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ แต่ผมไม่มี ตัวอย่าง จนผมได้มาเจอหลวงพี่นี่แหละ เรามีตัวอย่างจาก หลวงพี่ที่เคยทำ แบบนั้นมา เคยอยู่ในวัฒนธรรมเดียวกับ พวกเราที่คิดแบบนั้น แล้วก็ทำ แบบนั้นได้สำ เร็จ ผลสำ เร็จ นั้นเองทำ ให้เรารู้ว่า แม้ว่าทำ สำ เร็จแล้ว มันก็ยังไม่ใช่ เราต้องเข้าใจว่า นี่คือความเห็นผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแวดวง ของนักปฏิบัติธรรม ทำ ให้การปฏิบัติธรรมในชีวิตของ นักปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก และเป็นเรื่องที่เราต้อง แสวงหา และไปให้ถึงอะไรก็ตามที่ถูกบอกถูกสอนเอาไว้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 13 เป้าหมายต่างๆ ที่ถูกบอกเอาไว้ว่าเราต้องถึงที่นี่ ไปถึงที่นั่น ได้อย่างนี้ เห็นอย่างนั้น มันให้ความรู้สึกว่าธรรมะนั้นเป็น สิ่งลึกลับ เรายังไปไม่ถึงสักทีเราจึงมักโทษตัวเองว่าเรายัง เพียรไม่พอ เรายังต้องทุ่มมากกว่านี้ เราถึงจะไปถึงที่นู่น... ที่ที่เขาบอก มันมีอะไรลึกลับซับซ้อนที่เรายังไม่รู้หรอก ด้วยความลึกลับของมัน และความไม่เอะใจ ไม่สงสัยว่าสิ่งที่ ถูกบอกเอาไว้มาอย่างยาวนานจากครูบาอาจารย์ผู้น่าเชื่อถือ มันเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้จริงหรือ เราทุกคนจึงเลือกที่จะ เดินตามแทน แต่จริงๆ ความสงสัยเป็นลักษณะสำ คัญที่สุด ที่พระพุทธเจ้า มอบให้มนุษยชาติเลยว่า “ต้องสงสัย” เราเคยได้ยิน “กาลามสูตร”ใช่มั้ย? กาลามสูตรส่วนใหญ่ก็คือ เป็นเรื่องที่ ท่านสอนว่าไม่ให้เชื่อ ไม่เชื่อตำ ราที่ถูกสืบทอดกันมาอย่าง ยาวนาน ไม่ให้เชื่อแม้กระทั่งคำ สอนที่ถูกให้ความเชื่อถือ และถูกสืบทอดมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็คือคำ สอนต่างๆ ที่เรา ได้ยินมาทั้งหมดในอดีต ไม่ให้เชื่อแม้กระทั่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ ครูบาอาจารย์ตัวเองพูด


Camouflage | 14 พระพุทธเจ้าท่านได้ให้ภูมิคุ้มกัน หรือวัคซีนชั้นเลิศไว้กับ พวกเราทุกคน แต่เราไม่เคยใช้มันเลย คำ สอนของท่านทั้งหมดที่ท่านทิ้งไว้ให้กับมนุษยชาติคือ “เราต้องสงสัย” แต่วัฒนธรรมในศาสนาของเราคือ ถ้า สงสัยในคำ สอนครูบาอาจารย์จะถูกขู่ให้กลัวว่า บาป บาป มาก ประตูนรกเปิดรอแล้ว ดังนั้น จะเห็นว่าด้วยวัฒนธรรมลักษณะนี้ที่ถูกส่งทอดกันมา อย่างยาวนาน และได้รับการเห็นดีเห็นงามจากรุ่นสู่รุ่นนี้เอง ที่เป็นการเปิดประตูนรกให้กับชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง เพราะ เราจะไม่มีวันฉลาดขึ้นมาได้เลย และนี่คือเหตุสำ คัญอันหนึ่งที่ชาวพุทธเราถูกหลอกจากพระ นักบวช อาจารย์ซํ้าแล้วซํ้าเล่า ศาสนาพุทธจึงไม่ได้เสื่อม จากใคร แต่เสื่อมจากความไม่มีปัญญาของพวกเรากันเอง ดังนั้น คำ สอนสำ คัญของท่านบทหนึ่ง ที่พวกเราละเลยกัน มากที่สุด คือ หลักกาลามสูตรนั่นเอง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 15 เมื่อไหร่ที่เราหยุดสงสัย เมื่อนั้นชีวิตเราตาย เมื่อเราหยุดสงสัย เราจะเป็นแค่ผู้เดินตาม และถ้าเราแค่เดินตาม นั่นหมายความว่า เราไม่มีแสงสว่าง ของตัวเองอีกแล้ว เราใช้แสงสว่างของคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว...เราทุกคนมีแสงสว่างของตัวเอง แต่เพราะไม่มีใครเคยบอกเรา และให้ความมั่นใจกับเราว่า “เราทุกคนมีแสงสว่างของตัวเอง” จึงทำ ให้กระบวนการ เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองของมนุษย์หยุดลง และเลือกที่จะ เดินตามแทน พอเราแค่เดินตาม ความสงสัยทั้งหมดจะเริ่มหยุดลง และ ถูกทำ ให้หยุดลง เพราะเราถูกทำ ให้เชื่อว่า เราไม่มีวันรู้ได้ ด้วยตัวเอง พอความสงสัยทั้งหมดหยุด กระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด ก็หยุดลงไปด้วย


Camouflage | 16 แล้วชีวิตที่เหลือก็เป็นแค่ความเชื่อ และการฝากชีวิตไว้กับ ความเชื่อหนึ่งก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นเราก็แค่อยู่ในฟอร์ม อยู่ในรูปแบบ (Pattern) ที่ถูกวางเอาไว้ให้ทุก ๆ คนต้องทำ เหมือน ๆ กัน ผมจะยกตัวอย่าง เราดูต้นไม้ในบ้านนี้ทั้งหมด ผมให้ไปหา มาว่า มีใบไหนมั้ยที่มันเหมือนกันบ้าง เอาแค่ใบไม้ในต้น เดียวกันก็ได้ มันมีใบไหนมั้ยที่มันมีรูปร่างเดียวกันหมด กว้าง ยาว สีไม่มีใช่มั้ย? แต่ศาสนาเราพยายามจับคน ทุกคนเข้ามาอยู่ในรูปแบบ (Pattern) เดียวกัน พยายามให้ คนทุกคนเหมือนกัน นั่นทำ ให้คนทุกคนเริ่มต้นผิดธรรมชาติ ทันทีธรรมชาติมีความ Unique มีเอกลักษณ์ของมัน การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การเปลี่ยนเอกลักษณ์ของแต่ละอย่าง ให้เหมือนกัน โดยมีมาตรฐานอันหนึ่งว่าต้องเหมือนอันนี้ แต่ เป็นความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อเอกลักษณ์เหล่านั้น ทั้งหมด ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่การนำ มันมาฟอร์มไว้ ในรูปเดียวกัน ในแบบเดียวกัน เหมือนเป็นทหาร มันไม่ใช่ เรื่องแบบนั้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 17 นั่นเป็นแค่เรื่องของ “ไอเดีย” เฉย ๆ ที่ต้องการให้ทุกอย่าง เรียบร้อย ทุกอย่างดูดี ทุกอย่างดูสวยงาม แต่ความ สวยงามของธรรมชาติมันสวยงาม เพราะมันไม่ เหมือนกัน ถ้าบ้านเรามีแต่เหลี่ยม ๆ ไม่มีกลม ๆ มันก็อาจจะไม่สวย ใช่มั้ย มันก็ต้องมีทั้งเหลี่ยมทั้งกลมใช่มั้ย ผมเรียกว่า “เป็น ความหลากหลายทางชีวภาพ” นี่คือความจริง


Camouflage | 18 เราต้องเข้าใจว่าก่อนที่เราจะมาปฏิบัติธรรม หรือที่ผมถามว่า ทำ ไมถึงมาปฏิบัติธรรม เช่น เราทุกข์ แล้วเราก็อยากจะ พ้นทุกข์อยากจะหลุดพ้น ถ้าความเข้าใจแรกนี้ยังผิดอยู่ ไม่ว่าเราจะทำ วิธีไหน ไม่ว่าผมบอกวิธีไหน เราจะไปทำ ผิด หมด เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนการปฏิบัติธรรมของเรานั้น มันผิดตั้งแต่หัวใจเลย ถ้าอย่างนั้นเราจะปฏิบัติธรรมยังไง? เราต้องเปลี่ยนหัวใจนี้ก่อนใช่มั้ย? เราต้องเข้าใจหัวใจจริงๆว่า “อะไรคือการปฏิบัติธรรม” 2 นิยายของอัตตา


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 19 สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งที่พระเจ้าตรัสรู้ คือ “อริยสัจ 4” เรารู้จักแต่ชื่อมันใช่มั้ย?…ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราท่อง กันมาแบบนั้นตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เราเรียนพระพุทธศาสนา ได้ เกรดสี่ด้วย แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อริยสัจ 4 คือ การเข้าใจชีวิตตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง...เข้าใจ ชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง ชีวิตนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ชีวิตนี้ประกอบด้วยร่างกาย และจิตใจ จิตใจคือ ความจำ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ก็คือสิ่งที่เรามีทั้งหมดตั้งแต่เด็กจนโต นี่คืออริยสัจ 4 ใช่มั้ยว่าสิ่งที่เรามีทั้งหมดคือทุกข์ เราคิดมาก...เราก็ทุกข์ ใช่มั้ย ร่างกายป่วย...ก็ทุกข์ใช่มั้ย มีอารมณ์ความรู้สึกอะไร บางอย่างในทางไหนก็ตาม...ก็ทุกข์ใช่มั้ย แม้กระทั่งมี ความสุข แต่เดี๋ยวก็ทุกข์ใช่มั้ย หรือแม้กระทั่งระลึกถึง ความสุขได้ ก็อยากจะสุขอีกใช่มั้ย อยากจะได้ความสุขแบบ วันนั้นที่เราเคยได้รับ ก็ทุกข์แล้วใช่มั้ย


Camouflage | 20 เราต้องเห็นความสุขเป็นเหตุของความทุกข์ และรู้จักว่าสิ่งที่ เราเรียกว่าความสุขคืออะไรกันแน่ เริ่มต้นของอริยสัจ 4 คือ “การรู้จักตัวเอง ดูตัวเอง” เรา ต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่งสำ คัญที่สุดก็คือ “อริยสัจ 4” ซึ่งหมายถึง ชีวิตของเราทุกคน แต่การปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ มันถูกขยายออกไปเยอะ หลากหลายวิธี หลากหลายอุบาย หลากหลายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ผมอยากให้เข้าใจก่อนว่า ความหลากหลาย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นได้จากหัวใจที่ผิด หัวใจ ที่ผิดคือ หัวใจที่มี“เรา” ต้องการอยากจะพ้นทุกข์ แบบที่ ผมพูดถึงในบทแรก เพราะฉะนั้น ความหลากหลายทั้งหมดจึงเกิดขึ้น เกิดขึ้น ตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมา เกิดขึ้นตั้งแต่ฤๅษี ชีไพร จนมาดาบส และเกิดขึ้นอย่างหลายหลาก จนวันนี้ ก็ยังหลายหลาก มันหลายหลากเพราะ“ความเป็นเรา”


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 21 “ความเป็นเรา” นี่คือตัวปัญหา ตัวมันเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ และความอยากของมันคือ มันอยากพ้นทุกข์ มันจึงสร้าง วิธีการต่างๆ มากมาย และมันหาวิธีเช่น เมื่อวานทำ วิธีนั้น แล้วทุกข์วันนี้ตื่นมา ก็ยังทุกข์อยู่ ทำ ยังไงดีถ้ามีอาจารย์ เราจะไปหาอาจารย์ ไปบอกว่า ผมยังเป็นอย่างนี้ ผมยัง เป็นอย่างนั้น ทุกความคิดส่งออกมาในแบบที่ว่าผมยังเป็น อย่างนี้ ผมยังเป็นอย่างนั้น ผมจะหาทางแก้ไข ช่วยบอก ผมหน่อย นั่นคือ “หัวใจที่ผิด” เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมเราไม่ได้ถูกใครหลอก นอกจาก อัตตาของตัวเอง ถ้าเราเข้าใจที่ผมพูดทั้งหมดวันนี้ การปฏิบัติธรรมทั้งหมด ที่เป็นเรื่องราวอันมากมาย อันยิ่งใหญ่ทั้งหมด อันดูเลอเลิศ ทั้งหมด แท้จริงแล้วเป็นแค่นิยายของอัตตา ที่สร้าง สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเฉย ๆ และเราทุกคนก็ทุ่มเททุกสรรพกำ ลัง เพื่อจะปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหลายของอัตตาที่ประกอบ ด้วยความเห็นผิดสร้างขึ้น


Camouflage | 22 แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราทำ อยู่ ที่เราเรียกว่า กำ ลังเพียรอยู่ มันเป็นเพียงแค่การสนองอัตตาของตัวเอง ในรูปแบบที่สวยหรูที่เรียกว่า การปฏิบัติธรรม เราไม่เรียนรู้เสียก่อนว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งแปลในมุมหนึ่งว่า โลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา นี่คือข้อแรกในมรรค  แต่เรากลับเริ่มต้นด้วยมิจฉาทิฏฐิ แล้วใช้มิจฉาทิฏฐิมา ปฏิบัติตามมรรคข้อที่เหลือ ตั้งแต่ข้อ 2-ข้อ 8 เราไม่ได้เริ่มที่สัมมาทิฏฐิเราไม่ได้เริ่มจากหัวใจที่ถูกต้องว่า แท้จริง มันไม่มีเรา แท้จริง มันมีแค่ชีวิตนี้ที่เป็น อริยสัจ 4 และถ้าเราเคยเรียนรู้มา จะรู้ว่าความหมาย อีกมุมหนึ่งของสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็คือ อริยสัจ 4 นั่นเอง เราไม่ได้เริ่มที่นี่ เราไปเริ่มที่ไหนกัน ก็ไม่รู้ เรามองชีวิตเป็นขาวกับดำ สุขกับทุกข์ ทุกข์กับพ้นทุกข์ และความรู้สึกของเราทุกคนคือ สีดำ คือสิ่งไม่ดีเราอยาก


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 23 จะมีแต่สีขาว เข้าใจมั้ยว่า หัวใจของเราคือ ความ แบ่งแยก หัวใจของเราคือ หัวใจที่เลือกข้าง เราเคยได้ยินคำ พูดทางธรรมมากมายว่า “การจะเห็นตาม เป็นจริง ต้องเป็นกลางนะ” แต่หัวใจเราเป็นแบบนี้ คือ ถ้าสีดำ ...เราก็อี๋ๆๆ ถ้าขาว...เราก็เอาๆๆ แล้วเราก็บอกว่า เราเป็นกลาง เราตรวจสอบตัวเองเสมอๆ เช่น ผมไม่มี อกุศลแล้ว ผมละตลอดเลย ผมรู้ทันหมด เบื้องลึกจริงๆ แล้วเราไม่เป็นกลางต่ออกุศล หัวใจเราไม่เป็นกลางกับมัน เรารู้สึกว่าถ้าละมันเร็ว ละมันไว หรือถ้ามันไม่มีเลย ชีวิต เราจะดีมากเลย ถูกมั้ย? นี่คือความหมายของพวกเรา ที่เราบอกว่าเราเป็นกลาง ทั้งที่จริงๆเราเลือกข้างต่างหาก ยุคนี้จึงเป็นยุคของการปฏิบัติธรรมที่ใช้แต่หัวใจของมิจฉาทิฏฐิแต่เป็นเรื่องยากที่เราสักคนจะเข้าใจแบบที่ผมบอกนี้ เพราะว่าอัตตานี้มันครองหัวใจเรามานานแสนนาน และเราแต่ละคนไม่ยอมที่จะลงลึกในชีวิตนี้ด้วยตัวเราเอง 


Camouflage | 24 มันง่ายกว่า ที่เราจะใช้ความเชื่อแทนการพึ่งตัวเอง เชื่อคนอื่นดีกว่า เราตามเขาดีกว่า เราไปตามคนหมู่มากดีกว่า...ยังไงก็ชัวร์ เราไม่ผิดคนเดียวหรอก ปลอดภัย อย่างน้อยถ้าผิด ก็มีเพื่อนเยอะ ไม่เป็นไร อุ่นใจ จริงๆ มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมชาติสมมติว่าเราทำ ธุรกิจหรือเราซื้อหุ้น เรารู้ใช่มั้ยว่า ถ้าเราทำอะไรที่เหมือนคน หมู่มากเค้าทำ กัน เราจะไม่รวย และมักจะผิดทาง ใช่มั้ย? การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน มันคือธรรมชาติเดียวกัน เราคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนแบบไหน เป็นคนที่มีปัญญา สูงสุดใช่มั้ย เปรียบเหมือนพีระมิด ท่านก็อยู่บนยอด และ มีน้อยคนที่อยู่บนนั้นกับท่าน ที่จะฟังท่านเข้าใจ นั่นหมายถึง คนที่จะเข้าใจคำ สอนท่านมีน้อย ขณะเดียวกัน คนที่อยู่ถัดลงมาจากยอดพีระมิดนั้น หากเรา แบ่งส่วนความสูงของพีระมิดเท่าๆ กัน เราจะพบว่าพื้นที่ของ พีระมิดจะมากขึ้นตามระดับที่ตํ่าลง เปรียบเสมือนคนมีธุลี ในตามาก ก็อยู่ในระดับพีระมิดที่ตํ่าลงในแต่ละชั้น


Camouflage | 26 และในแต่ละชั้นของพีระมิดก็มีองค์ความรู้ที่มีอาจารย์ผู้สอน ในระดับนั้นป่าวประกาศว่านี่คือความจริงสูงสุดเช่นกัน ทีนี้ ฐานพีระมิดมันประกอบด้วยผู้มีธุลีในตามาก เป็นจำ นวน มากที่สุด ซึ่งแปลความได้ว่า คำ สอนในพื้นที่นั้นก็ต้องเป็น คำ สอนที่ตื้นที่สุด คนที่มีธุลีในตามากจึงสามารถเข้าใจและ เชื่อได้โดยง่าย และด้วยตรรกะและความเชื่อของมนุษย์เรา โดยส่วนใหญ่ อะไรก็ตามที่ประกอบด้วยคนเยอะและ คนเชื่อมากที่สุด มักจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็น ความจริงโดยปริยายใช่มั้ย? มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ อยู่แล้ว มันเป็นแบบนั้น ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนชีปะขาวเป็น ครั้งแรก ชีปะขาวถึงได้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เพราะว่ามันเป็น สิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ตามตรรกะหรือความเชื่อของคน เพราะ มนุษย์ทุกคนปฏิบัติธรรมด้วยตรรกะ ด้วยความคิด ด้วยการ พินิจวิเคราะห์ในเชิงของเหตุผล ที่เรารู้สึกว่ามีเหตุมีผล แล้วบนเหตุผลนั้น อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ดี” เช่น พอพระพุทธเจ้าท่านบอกชีปะขาวว่าท่านไม่มี อาจารย์ ท่านตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ชีปะขาวก็รู้สึก ไม่ดีทันที หาว่าท่านขี้ตู่ มีอาจารย์แต่ไม่ยอมยกความดี


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 27 ความชอบให้อาจารย์ เอาดีเข้าตัวคนเดียวอะไรทำ นองนั้น จะเห็นว่าในมุมนี้ ความติดดีของชีปะขาวซึ่งก็คืออวิชชา หรือความมืดสีขาวที่พวกเรานักปฏิบัติธรรมติดกันนั้น กลาย เป็นตัวปิดกั้นความจริงสูงสุดไว้อย่างแนบเนียนที่สุด แม้ กระทั่งได้พบมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้า ก็มิอาจมีโอกาส เห็นความจริงได้ นี่เพราะ“ดี” ตัวเดียวเท่านั้น ผมเคยบอกว่า มนุษย์เราถ้าเมื่อใช้ความคิดแล้ว สิ่งที่ไปได้สูงสุดคือ “ดี” ศาสนาพุทธของเราคือ “เหนือดีเหนือชั่ว เหนือถูกเหนือผิด” แต่หัวใจของมนุษย์ทุกคน เราคิดไปได้สูงสุดคือ “แค่ดี” อะไรก็ตามที่เราจะเชื่อ มันจะต้องดีส่วนเหนือดีเหนือชั่วนั้น ความคิดมันไปไม่ถึง ไม่เพียงความคิดไปไม่ถึง ในขณะเดียว กัน มนุษย์เราก็ชอบใช้ความคิดในการจะเข้าใจการปฏิบัติ- ธรรม มันเลยเข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันไม่มีใครหลอกเรา นอกจากเราหลอกตัวเอง เพราะเราไม่เข้าใจความจำ กัดของชีวิตนี้ เราไม่เข้าใจความ จำ กัดของหัวใจของอัตตา ว่ามันไปได้สูงสุดแค่นี้ มันไป


Camouflage | 28 มากกว่านี้ไม่ได้ แล้วการที่จะไปมากกว่านี้ ไปยังไง? สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ “อริยสัจ 4” การที่จะไปถึงจุดที่ผมบอกนี้… จริงๆ มันไม่ใช่จากที่นี่ ไปที่นั่นนะ แต่มันเป็นแค่ที่นี่เลย ไม่มีที่อื่น การกลับมารู้จักทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งมีชีวิตนี้” ว่ามันทำ งานยังไง มันเป็นยังไง การพูด การคิด หรือการ กระทำ เบื้องหลังมันคืออะไร? เรารู้มั้ย? ปกติเราไม่รู้นะ เรานึกว่าเรารู้ แต่เราไม่รู้เช่น เราพูดอะไร บางอย่าง สมมติว่าเรารู้ว่าความจริงของเรื่องนี้มันไม่ถูก หรอก แต่ลึก ๆเรามีพื้นฐานของความเป็นคนดีบางอย่าง เราจะไม่พูดตรง ถูกมั้ย เราจะประนีประนอม แล้วเรา ไม่เห็นว่าเรากำ ลังพูดด้วยอะไรบางอย่างที่เรายึดอยู่ ที่มันดี เราจึงทำ แบบนั้น เมื่อชีวิตของเราแต่ละคนไม่เห็นอันนี้ เราเลยนึกว่าทั้งหมดที่เราทำ ...นี่จริง ทั้งหมดที่เราพูดนี้เป็น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 29 สิ่งที่จริง มันต้องทำ แบบนี้แหละ จะไม่ทำ แบบนี้ได้ยังไง เรามั่นใจมากเลยว่าสิ่งที่เราทำ อยู่ มันเป็นของแท้ของจริง ของดีเราไม่เคยรู้ข้างหลังที่สุดของหัวใจ มันขับดันบีบคั้น ให้เรากระทำ หรือพูด หรือทำ อะไรบางอย่างต่อสิ่งๆ นี้ยังไง เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เห็นทั้งหมดของชีวิตในแต่ละขณะ ไม่ว่าจะพูด คิด หรือทำอะไร สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะกลับมา หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่คิดว่าเราถูกหลอก เรา คิดว่าเรากำ ลังใช้ชีวิตจริงๆ กำ ลังทำ สิ่งที่ใครๆ ก็ยอมรับ ทำ สิ่งที่ดีสิ่งที่สังคมเขาก็ทำ กัน แต่ถ้าเราเห็นชีวิตทั้งหมดนี้อย่างแท้จริง ชีวิตเราจะไม่ทำ อะไรที่มีเบื้องหลังของดีหรือไม่ดีหรือถูกหรือผิด แต่จะเป็น “ชีวิตที่ถูกนำ ทางด้วยปัญญา” ปัญญาคือ สิ่งที่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือถูกเหนือผิด ซึ่ง อันนี้ผมหยิบมาอธิบายไม่ได้ แต่ผมรู้ได้แค่อย่างเดียวว่า ชีวิตนี้เป็นอิสรภาพทันทีที่เราไม่มีหมุดตอกชีวิตเอาไว้ ด้วยหลักการ ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม


Camouflage | 30 อิสรภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลผลิตจากการฝึก เราทุกคน คิดว่าเรามาปฏิบัติธรรม เราพยายามถือศีล พยายามทำ ในรูปแบบ หรือพยายามทำ นี่ทำ นั่น พยายามทำ อะไร หลายอย่าง แล้วเราหวังว่าวันหนึ่ง ผลลัพธ์คืออิสรภาพ ถูกมั้ย? อิสรภาพที่เป็นผลลัพธ์จากการฝึก จากระเบียบวินัย จาก การฝึกฝนตนเองอย่างหนัก อิสรภาพที่เป็นผลลัพธ์แบบนั้น ไม่ใช่อิสรภาพ เพราะ อิสรภาพนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไข และมีเราเป็นผู้ได้รับอิสรภาพนั้น! คำ ว่า“อิสรภาพ” ต้องไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น นิพพาน คือ นอกเหตุเหนือผล ไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไข ของไตรลักษณ์ เราให้ความหมายของนิพพานแบบนั้น เรา เรียกว่า นั่นคืออิสรภาพ ใช่มั้ย? แต่ทุกวันนี้วัฒนธรรมของการปฏิบัติธรรม คือ เราพยายาม ฝึกตัวเอง ฝึกหลากหลายวิธีการ หลากหลายรูปแบบที่จะ ฝึกตัวเอง แล้วเราหวังว่า วันหนึ่งอิสรภาพจะเกิดขึ้น มัน


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 31 อาจจะเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ใช่อิสรภาพ มันเกิดสิ่งหนึ่งที่ คล้ายๆอิสรภาพ แต่มันไม่ใช่ จริงๆ แล้วเราถูกหลอก เราถูกอิสรภาพที่ไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริงหลอกตัวเอง ที่ผมเคยบอกบ่อย ๆว่า อิสรภาพนั้นเริ่มที่นี่ทันทีแล้วก็ จบที่นี่ ไม่มีระยะทางและกาลเวลา อิสรภาพต้องเริ่ม ตั้งแต่ขณะนี้ และเมื่ออิสรภาพเกิดขึ้น กระบวนการของ ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 ก็เริ่มเกิดขึ้นทันทีและเมื่อกระบวนการ ของชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 เกิดขึ้น มรรคที่เหลือจะเกิดขึ้น ทั้งหมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะพูดถึงการปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราต้องตระหนักชัดในเบื้องต้นที่สุด คือ “เราค้นพบชีวิตที่เป็นอิสรภาพแล้วหรือยัง” นี่คือจุดที่สำ คัญที่สุด


Camouflage | 32 เราต้องเข้าใจว่า “จริงๆไม่มีเรา” ถ้าเราลงลึกไปกับชีวิตนี้ ทั้งหมดที่มีอยู่นี้ มันมีอะไรเป็นเราบ้าง แท้จริง“เรา” เป็นแค่ไอเดียของความหลงผิดเฉยๆ อิสรภาพ คือความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า อัตตานี้เป็นแค่ สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในชีวิต เพื่อจะใช้ในการดำ เนินชีวิตนี้ให้อยู่รอด แค่นั้น อัตตาเป็นแค่เครื่องมืออันหนึ่งเฉย ๆ แต่เพราะความ หลงผิดที่เราเรียกว่า “อวิชชา” ทำ ให้เชื่อว่าอัตตานี้เป็นของ ถาวร เช่น เป็นเราจริงๆ เป็นของถาวรตั้งแต่เด็กจนโต 3 เห็นโครงสร้างทั้งหมดของอัตตา ไม่ใช่กำจัด


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 33 เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่ทำ ลายอัตตา ไม่ใช่ จะไม่มีอัตตา แต่ทำ ลายความหลงผิดต่างหาก หลงผิดว่า อัตตานี้เป็นของจริง ของแท้ของถาวร เป็น “กู”จริงๆ และ การทำ ลายความหลงผิดอันนี้ ต้องฝึกมั้ย? มันไม่ใช่การฝึกให้ไม่หลง แต่เป็นการเรียนรู้ความหลงผิด ทั้งหมดที่เป็นอยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้น อิสรภาพ คือ การที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถที่จะ รู้ว่า แต่ละขณะของชีวิตมีความหลงผิดเกิดขึ้นแล้ว การที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีอิสรภาพ ที่จะรู้ว่ามีความหลงผิด เกิดขึ้น มันไม่ต้องฝึกใช่มั้ย? ต้องนั่งสมาธิก่อนมั้ย? เห็นมั้ย ว่าเรากำ ลังทำ บางอย่างที่เราถูกสอนมา เพื่อจะไม่หลง ทั้งที่ จริงๆ แล้วทั้งหมดที่เราทำ นั้น คือเราหลงอยู่อีกชั้นหนึ่ง เรา ถูกหลอกซํ้าซ้อนเข้าไปอีก! และการจะรู้ทั้งหมดที่หลงอยู่ ผมถามว่าเราต้องฝึกอะไรมั้ย? ไม่ต้องใช่มั้ย? ผมบอกแค่นี้ ก็รู้เรื่องแล้วใช่มั้ย?


Camouflage | 34 แท้จริงมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพนั้น เพียงแต่ว่าเราทุกคน ถูกครอบงำ จากคำ สอน ตำ รา ครูบาอาจารย์ อย่างที่ กาลามสูตรบอกไว้ เราถูกครอบงำ ด้วยสิ่งเหล่านั้น เรา ไม่กล้าที่จะสงสัยอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกให้สงสัย เราจึงถูก ครอบงำ จากสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น ความสามารถในการพ้นจากความหลงผิดได้คือ ความสามารถในการเห็นสิ่งที่ครอบงำ ทั้งหมดของชีวิตนี้ ตั้งแต่เด็กจนโต


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 35 พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักทุกข์รู้จักสมุทัย รู้จักเหตุแห่งทุกข์ นั้น และใช่มั้ยที่เมื่อเรารับคำ สั่งสอนอะไรบางอย่างมา ว่า เราควรจะเป็นยังไง แล้วพอเราทำ ไม่ได้...เราทุกข์ ถ้าผมบอกว่า กลับไป ต้องไปเดินจงกรมวันละ 2 ชั่วโมง ถ้าเรารับกลับไป เราทุกข์เลยใช่มั้ย? และนี่คือเหตุแห่งทุกข์ ใช่มั้ย? แต่เราไม่รู้อย่างนั้น เราคิดว่าอาจารย์สั่ง อาจารย์ บอก มันต้องดีแน่ๆเลย เราควรจะทำ แบบนั้น ทำ ไมเรา รู้สึกว่าควรจะทำ แบบนั้น? อย่างที่ผมบอก…ให้กลับไปที่ หัวใจเดิม เราจะทุ่มเททำ แบบนั้นเพราะ“กูจะพ้นทุกข์” “กู” ยอมทุกข์ เพราะ“กู”จะได้พ้นทุกข์ เห็นมั้ยว่า มีเหตุแห่งทุกข์มากมายที่ซ้อนอยู่ในชีวิตเรา ทำ ไม เราไม่เห็น? ทำ ไมเราได้แต่ทำ ตาม? การรู้จักทุกข์ เหตุแห่งทุกข์เหล่านี้ คืออริยสัจ 4 นี่จึงเป็น สิ่งที่เราเรียกว่า “การปฏิบัติธรรม” เราต้องปฏิบัติอันนี้ คือ เห็นทุกอย่างที่กำ ลังบงการชีวิตนี้ว่ามันคืออะไร ไม่ว่ามันจะ ดีเลิศแค่ไหนก็ตาม แต่เห็นสิ่งเหล่านั้น การเห็นสิ่งเหล่านั้น


Camouflage | 36 ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน นี่คือ “อิสรภาพ” ไม่ใช่เราพ้นทุกข์ เรื่องของ“เรา” พ้นทุกข์ เป็นแค่ไอเดียของ อัตตาที่ประกอบด้วยอวิชชาสร้างขึ้นมา มันไม่ต่างจากตอนเด็ก ๆ ที่อัตตาก็สร้างไอเดียหนึ่งว่าจะ ต้องทำ อะไร เล่นอะไร อยากได้อะไร พอโตขึ้นมา เราก็มี ไอเดียใหม่ พ่อแม่บอกเรา คุณครูบอกเรา เพื่อนบอกเรา ว่าต้องทำ งานอย่างนี้ เก็บเงินอย่างนี้ สร้างครอบครัว อย่างนี้ เราโตขึ้นมาอีก จนอายุมากหน่อย แล้วเราทุกข์ มาก ไอเดียก็บอกใหม่ว่า ไปปฏิบัติธรรมสิทั้งหมดมันเป็น แค่ไอเดียของอัตตา เราต้องเข้าใจอันนี้ นักปฏิบัติธรรมทั้งโลกต้องเข้าใจให้ได้ว่า ทั้งหมดที่ถูกสร้าง ขึ้น มันเป็นแค่ไอเดียของอัตตา เราสร้างนิยายของการ ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ให้มันดูน่าเชื่อถือ เรานึกออกมั้ยว่า นักการเมืองเมื่อขึ้นเวที สัญญากับเรา ทุกอย่าง พูดทุกอย่างว่าเค้าจะพัฒนาอย่างนี้ อย่างนู้น อย่างนั้น เราฟัง แล้วก็รู้สึกว่าเขาพูดได้น่าเชื่อถือ ใช่มั้ย?


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 37 แม้กระทั่งในสภาเขาถกเถียง อภิปรายกัน เมื่อเราฟัง เราก็ เห็นว่ามีเหตุผล น่าเชื่อถือ นั่นเพราะเค้ามีสามารถในการ พูดพร้อมการอ้างอิงหลักฐานต่างๆให้มันน่าเชื่อถือ แต่ เอาเข้าจริงๆ แล้วเรารู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริงมั้ย เราทำ ได้ มากที่สุดคือ เชื่อกับไม่เชื่อ การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน มีคนที่มีฐานะเป็นผู้สอน ผู้ชี้ทาง มากมาย ที่เป็นแบบนักการเมือง แล้วเราก็เหมือนเดิม ทำ อะไรได้ไม่มากไปกว่าการเลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่นั้น แล้วความจริงอยู่ที่ไหน? “จริง”อยู่ที่ชีวิตที่เป็นอยู่นี้เอง ถ้าต้องการความจริง ก็หาเอาจากชีวิตนี้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตที่หา ความเชื่อกับความไม่เชื่อใส่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผมถึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้น คือ “การไม่ต้องทำ อะไร” เป็นคำ สั้น ๆ ที่เข้าใจได้ยาก เพราะเราทุกคนชอบทำ ทำ ไมเราทุกคนชอบทำ ? เราต้องเห็นเป็นอริยสัจ 4 ว่าทำ ไม เราชอบทำ ? เราต้องเห็นว่า อ๋อ ที่เราชอบทำ เพราะเรา อยากได้ผล อัตตาหิวผลลัพธ์นั้น ถ้าไม่ได้ เราทุกข์ เมื่อ


Camouflage | 38 อัตตาทุกข์อัตตาก็ซํ้าเข้าอีกว่า ถ้ามึงไม่ทำ กูจะทำ ให้มึง ทุกข์ ก็เลยต้องทำ เข้าใจมั้ย? เวลาเราพูดว่า “วิปัสสนา” มันไม่ใช่แค่เห็นไตรลักษณ์ แต่เห็นทั้งหมดแบบที่ผมบอกนี้ ว่าอะไรมันบงการชีวิตนี้ มันทำ งานยังไง ผมไม่ได้บอกว่าอัตตาเป็นสิ่งเลวร้ายนะ แต่ ชีวิตนี้มีอัตตาที่ประกอบด้วยอวิชชา และมันทำ แบบนี้ แค่นั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันเลว ถ้าไม่มีอัตตา เราจะอยู่กันไม่ได้ เราจะไม่รู้ว่า เราเป็นพ่อ เป็นแม่ เราเป็นเจ้านาย หรือเราเป็นลูกน้อง เราจะไม่รู้อะไร เลย ถ้าเราไม่มีอัตตา ดังนั้นผมไม่ได้บอกว่าอะไรเลว หรืออะไรดีผมบอกว่าเรา ต้องเห็นทุกอย่างของมัน ว่ามันทำ งานยังไง แล้วอัตตา มันทำ อะไรของมันบ้าง และการทำ ของมันที่มากเกิน มัน บงการชีวิตนี้จนเป็นทุกข์ยังไง เช่น มันปรุงแต่งเกินขนาด เห็นจินตนาการอันเพ้อเจ้อของมัน ว่า อ้อ มันทำ ได้ขนาดนี้ นะ บางทีมันสามารถปรุงแต่งจนเราคิดว่าจะฆ่าตัวตายก็ได้ จนเราคิดว่าเราไม่อยากอยู่แล้วในโลกนี้จนเราคิดว่าทำ ไม


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 39 เพื่อนคนนี้ทำอย่างนี้กับเรา ทั้งที่เค้าไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ เราคิดไปมากกว่านั้น การที่เราเห็นกระบวนการของทั้งหมดนั้น นี่คือการปฏิบัติ- ธรรม ไม่ใช่การที่เราคิดว่า โอ้ย วันนี้ทำ ยังไงดีไม่สงบเลย วันนี้ไม่ปกติเลย ฟุ้งซ่านจังเลย กระบวนการคิดทั้งหมดนั้น เป็นของอัตตาเหมือนกัน อัตตามันแส่ส่าย สิ่งที่มนุษย์เราขาดอย่างเดียวก็คือ ความแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่ มีอยู่ในขณะนี้ แค่นั้นเอง เมื่อก่อนเราหลงเป็นจริงเป็นจังกับสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ แล้ว เราก็คิดจะแก้ไขมัน ทำ ยังไงดีตอนนี้ฉันแย่แล้ว ตอนนี้ฉัน ไม่ดีแล้ว ตอนนี้จิตใจฉันฟุ้งซ่านแล้ว จะทำ ยังไงดีตอนนี้ ฉันอายุมากแล้ว เดี๋ยวฉันนอน ๆไป แล้วจิตดวงสุดท้าย ฉันไม่ดีจะทำ ยังไง เราเรียนและอ่านมาเยอะ ยิ่งเรากังวล กับจิตดวงสุดท้ายมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งไปไม่ดีมากเท่านั้น เพราะอะไร? ใครเป็นคนกังวล? อัตตา...อัตตากำ ลังควบคุม ชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา


Camouflage | 40 เราทุกคนมีความสนใจในแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน เช่น พวกเราสนใจธรรมะ นั่นหมายถึงว่า อัตตาสนใจสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ดังนั้น มันจะสนใจทุกอย่างเกี่ยวกับข้อมูล เช่น จิตดวงสุดท้ายเราจะตายดีมั้ย เมื่อไหร่เราจะเป็นพระโสดาบัน อัตตามีความสนใจในสาขาอย่างหนึ่ง เช่น ธรรมะ เหมือนเป็นสาขาอาชีพหนึ่งของคน ในขณะที่คนอีกคนหนึ่ง เขาสนใจในการทำ ธุรกิจ บางคนเขาก็สนใจในความสนุกสนาน เที่ยวรอบโลก ถ้าเรามีโครงสร้างนี้ ไม่ว่าทางไหนก็ตาม ธรรมะ ธุรกิจ เที่ยวรอบโลก หรือวุ่นอยู่กับเลี้ยงลูกก็ได้ เราต้องเห็นว่า ทั้งหมดนี้คือโครงสร้างเดียวกันของอัตตา เข้าใจมั้ย? ไม่ใช่ว่า เราปฏิบัติธรรมแล้วคิดผยองว่าเราดีกว่าพวกไป เที่ยว นั่นก็เป็นอัตตาที่สูงส่ง และน่าเกลียดกว่าคนทั่วไป เช่นเราถือศีล แต่อีกคนไม่ถือศีล แสดงว่าเราเจ๋งกว่า เรา เป็นอัตตาที่เหนือกว่า เห็นกระบวนการคิดเหล่านี้ทั้งหมด ของเรา ของชีวิตนี้ ของอัตตานี้ เห็นว่า อ๋อ อัตตามัน ทำ งานแบบนี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 41 เพราะฉะนั้น ยิ่งปฏิบัติธรรม เรายิ่งเห็นตัวเองน่าเกลียด เพราะอัตตามันเป็นแบบนั้น อัตตาใครก็เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ อัตตาเราคนเดียว เพราะอัตตา มันหมายถึงความเห็นแก่ตัว แท้จริงของตัวอัตตาคือ ความโกรธ ความเกลียด ความ ไม่ชอบ ความอคติ ความไม่เป็นกลาง นี่คือธรรมชาติ ของมัน แต่ตัวอัตตานั่นเองก็มีประโยชน์ในการใช้ชีวิต นึกออกมั้ยว่า มันมีหลายมิติในตัวมัน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมคือ การเข้าใจว่าสิ่งๆ หนึ่งที่ อยู่ในชีวิตนี้...มันคืออะไร...แค่นั้น ไม่ใช่ว่าเราจะกำ จัดอะไร สักอย่างหนึ่ง แล้วเราจะได้หลุดพ้น เหมือนที่ผมเคยบอกว่า เราอยากจะบริสุทธิ์ เราเข้าใจได้ใช่มั้ยว่ามันเป็นหัวใจที่ผิด เราอยากจะบริสุทธิ์ นั่นคือจริงๆ แล้ว บริสุทธิ์ของเราคือ เลือกข้าง เราไม่เอาอันนี้ เราจะอยู่ตรงนั้น เราจะเอาอันนั้น เท่านั้น


Camouflage | 42 บริสุทธิ์ไม่ใช่เรื่องของการทำ ลายอะไรอย่างหนึ่ง แล้วเหลือ แค่อีกอย่างหนึ่ง แต่บริสุทธิ์ คือ เหมือนเด็ก บริสุทธิ์นี่คือ ซื่อ ใส เด็กก็ คลานก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แล้วก็หยิบของขึ้นมากิน โดยไม่รู้จักว่า สกปรกหรือสะอาด เพราะเด็กเค้าไม่รู้เรื่อง บริสุทธิ์ คือ ซื่อ ใส ต่อสิ่งต่างๆ แต่เราดีกว่าเด็ก ตรงที่เราแจ่มแจ้งกับ สิ่งต่างๆเหล่านั้น ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดคืออะไร เมื่อเราแจ่มแจ้งกับบางสิ่งบางอย่าง หรือกับใครสักคน หรือ กับเรื่องราวสักเรื่องหนึ่ง เมื่อเราแจ่มแจ้งในสิ่งที่เราบอกว่า มันเป็นตัวทุกข์แล้ว เราจะไม่สามารถทุกข์กับมันได้ เมื่อ อะไรที่ชัดเจนแล้ว มันจะไม่สามารถดึงดูดได้อีก เราหมด ความสนใจในมันแล้ว หรือที่เราเรียกว่า“ปล่อยวาง” เพราะ ฉะนั้นคำ ว่า“ปล่อยวาง” มันต้องเกิดขึ้นจากความแจ่มแจ้ง จนหมดแรงดึงดูดไปเอง ไม่ใช่เราไปทำ กิริยาปล่อยวาง ซึ่ง เป็นการปฏิบัติที่ผิดที่นักปฏิบัติธรรมถูกสอนให้ทำ มากที่สุด เรื่องหนึ่งในวงการนี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 43 อะไรที่แจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว มันจะไม่มีความน่าสนใจแล้ว ถูกมั้ย? มีอะไรมั้ยที่แจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว แต่ยังสนใจอยู่ใน ชีวิต? เหมือนที่พี่อยู่กับสามีแจ่มแจ้งรึยัง? พอแจ่มแจ้ง แล้ว ดึงดูดมั้ย? ไม่แล้วใช่มั้ย? ก็ง่าย ๆ แค่นี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 45 ชีวิตเป็นเรื่องซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องจิตใจ เป็นเรื่องซับซ้อน มาก ที่ผมบอกว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การที่เราไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือว่าพยายามให้จิตใจสงบ แต่การปฏิบัติธรรมคือ การที่คนคนหนึ่งมีเวลาที่จะเข้าใจ จิตใจนี้ว่า กระบวนการของมันทั้งหมด หรือเบื้องหลัง ทั้งหมดของการคิด พูด ทำ หรือเบื้องหลังของการตัดสิน อะไรบางอย่าง เช่น การตัดสินคนคนหนึ่ง ตัดสินสถานการณ์ๆ หนึ่ง การปฏิบัติธรรม คือ การมีเวลาที่เห็นเบื้องหลัง ทั้งหมดนั้น 4 ไม่ได้เริ่มจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ


Camouflage | 46 แต่ถ้าเราทำ งาน เป็นยังไง? เราต้องคิดเรื่องงาน วัน ๆเราก็ คิดเรื่องงาน กลับมาบ้าน ก็ไม่ใช่ว่างานจะจบนะ ก็เอางาน กลับมาคิดด้วย แล้วผมถามว่า เอาเวลาที่ไหนจะมาเรียนรู้ จิตใจตัวเอง เช่น ขณะนี้คิดถึงหน้าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ความไม่พอใจเกิดขึ้น แต่เรามีงานต้องทำ พรุ่งนี้ต้องส่ง เราก็ทำ งานไปด้วยความไม่พอใจเค้า เราหงุดหงิด แต่ก็ต้อง ทำ ไปเรื่อย ๆ พอทำ เสร็จ เราก็นอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าเรา อาจจะลืมแล้ว ในที่สุดเราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่กระจ่างชัดว่า ความไม่พอใจนี้มาจากไหน เกิดจากปมไหน? นั่นหมายถึง ชีวิตของเราไม่เป็นอริยสัจ 4 ชีวิตเป็นแค่ความเบลอๆ โมหะ ความหลง เนื้อหา หรือความหลากหลายของการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ในทุกวันนี้ มันถูกขยายความกันออกมามากมาย ซึ่งมัน เกินเลยไปจากอริยสัจ 4 ดังเช่นที่ผมยกตัวอย่างเมื่อกี้นี้ เห็นมั้ยว่ามันก็เป็นชีวิตของเรา ง่าย ๆ นะ ไม่มีอะไรยาก เพียงแค่เราไม่มีเวลากับมันแค่นั้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 47 เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมไม่ได้ยาก แต่ที่มันยาก เพราะ หนึ่งคือ พวกเราไม่มีเวลาที่จะลงลึกกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตัวเราเอง สองคือ พวกเราไปหมกมุ่นกับ ส่วนเกินจากอริยสัจ 4 เรา พยายามทำ อะไรบางอย่างที่เป็นส่วนเกินนี้ให้สำ เร็จ โดย มีความหวังว่าเมื่อทำ เรื่องส่วนเกินเหล่านี้สำ เร็จ แล้วเรา จะแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 ในท้ายที่สุด จะเห็นว่าเราไม่ได้สนใจอริยสัจ 4 เลย เราเอาไปวางไว้ ท้ายที่สุด เราไม่ทำ เรื่องนี้ ไปทำ เรื่องอื่น ทั้งๆ ที่ธรรมที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ อริยสัจ 4 และเป็นธรรมหมวดแรก ที่ท่านทรงแสดงเมื่อตอนไปโปรดปัญจวัคคีย์ ก็คือเรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 ทางสายกลาง แต่เราก็ไม่เข้าใจอีกว่ามรรค 8 นั้นเกิดขึ้นจากอริยสัจ 4 เพราะเราไม่เข้าใจว่าข้อแรกของมรรค 8 คือสัมมาทิฏฐิซึ่ง แปลความคือ การรู้แจ้งในอริยสัจ 4 เพราะฉะนั้น ถ้าเรา บอกว่าเราต้องปฏิบัติตามมรรค 8 อยากจะเดินตามมรรค 8 เราต้องรู้ว่าข้อแรกของมรรค 8 คืออะไร ไม่งั้นเราก็เดิน


Camouflage | 48 เหมือนคนตาบอด ที่ผมเคยบอกว่าทุกวันนี้เราสอนมรรค 8 กัน แล้วเอาไปทำ ทำ ทีละข้อ บางคนบอกว่าต้องการพ้นทุกข์ จะทำ สัมมา อาชีวะยังไง? ต้องไปบวชหรือ? คล้าย ๆเรามีไอเดียในการ รับธรรมะ แล้วเอาไปทำ ทีละข้อ โดยที่ไม่รู้ว่ามันมีที่มา ที่ผมเคยบอกว่าพระพุทธเจ้าแปลสัมมาทิฏฐิว่าคือ อริยสัจ 4 และอริยสัจ 4 เป็นหมวดสำ คัญ เป็นหมวดที่ท่านตรัสรู้ เพราะฉะนั้น อริยสัจ 4 คือ จุดเริ่มต้นของมรรค 8 และ มรรคข้อที่เหลือทั้งหมดจะเกิดขึ้นเอง เพราะฉะนั้น อริยสัจ 4 คือสิ่งที่ทำ ให้มรรค 8 เกิดขึ้น แต่เราไปปฏิบัติมรรค 8 โดยที่ ไม่มีอริยสัจ 4 เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่า ทุกวันนี้มันเกิดส่วนเกินมากมาย ในแวดวงของการปฏิบัติธรรม ที่ไม่ใช่อริยสัจ 4 ถ้าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของอริยสัจ 4 โดยตรง มันจะเป็น ความไหลลื่น ราบรื่นของมรรค 8 เราจะรู้สึกได้ด้วยตัว เราเองเลยว่า ชีวิตนี้ค่อย ๆเป็นมรรค 8 โดยอัตโนมัติซึ่ง


Click to View FlipBook Version