The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by camouflagetalk, 2023-04-04 21:42:32

มีใครอยู่ข้างในมั้ย?

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Keywords: camouflage

มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 99 หมายถึงว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ตายใช่มั้ย? เราไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่า การมีอยู่ของของคู่นั้น คือปัจจัย หนึ่งที่เป็นแหล่งต้นกำ เนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ขาดไป ข้างหนึ่งไม่ได้ แต่แล้วเราพยายามจะกำ จัดของข้างหนึ่ง ในจิตใจเราเสมอๆเพื่อจะบริสุทธิ์ นั่นเหมือนเราจะกำ จัด ขั้วโลกใต้ทิ้ง แปลว่าเราจะกำ จัดสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ทิ้ง เราจะ ฆ่าคนทุกคนในโลกนี้ทิ้ง เพราะฉะนั้น วิธีคิดของเราแบบนี้ แสดงถึงว่าเราคือคนที่ชั่วร้ายที่สุดในคราบของความต้องการ ความบริสุทธิ์ สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ เพราะพวกเราไปไม่พ้นความคิดของ ตัวเราเอง เราจึงไม่เข้าใจธรรมชาติอันสูงสุด ธรรมชาติที่ กว้างใหญ่ไพศาลนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ถ้าไม่มีคู่ตรงข้าม จะไม่มีชีวิตเกิดขึ้น เพราะมันจะไม่มีการ หมุน ถ้าไม่มีการหมุน ไม่มีอะไรเกิด…เกิดไม่ได้ของที่นิ่ง คือของที่ตายแล้ว


Camouflage | 100 ชาวพุทธเราเข้าใจว่า อัตตาเป็นสิ่งไม่ดี ความทุกข์เป็น สิ่งไม่ดีถ้าเราเป็นทุกข์ แปลว่าเราปฏิบัติผิด เรามีไอเดีย แบบนั้น แต่ผมบอกว่า อัตตานั้น เป็นคุณสมบัติทุกอย่าง ของการก่อทุกข์อยู่แล้ว เพราะอัตตาเป็นตัวคิด ปรุงแต่ง แล้วก็สร้าง แล้วก็รับผลผลิตทุกอย่าง แต่ความแจ่มแจ้ง ไม่ใช่อัตตา อัตตานี้รู้สึกทุกข์ได้ไม่ได้ผิดอะไร แต่มีความแจ่มแจ้งในอัตตาที่เป็นทุกข์นั้นอีกทีหนึ่ง 12 ธรรมชาติคือ ความเป็นไป


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 101 เพราะฉะนั้น คำ ว่า“ปกติ” คือ เป็นกลาง คือหมายความ ว่าไม่มีปัญหากับสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขณะที่มี อัตตา ขณะที่มีทุกข์ขณะที่มีสุข ขณะที่ไม่มีอัตตา ขณะที่ ปกติขณะที่ไม่ปกติ ความแจ่มแจ้งหรือความปกติที่ผม พูดถึง คือการอยู่เหนือไอเดียว่าอะไรควรจะเป็นยังไง ไม่ หลงเหลือไอเดียที่จะตัดสินตัวเอง ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง หรืออะไรไม่ควรจะเป็นยังไง นี่คือความแจ่มแจ้งที่ผมพูดถึง ที่อยู่ข้างบนที่สุด ผู้ฟัง : แล้วความแจ่มแจ้งนี้ คือความเป็นอิสระด้วยตัวมัน เอง ใช่มั้ยคะ? อาจารย์: ใช่ เราทุกคนเป็นอิสรภาพอยู่แล้ว ไม่ใช่เราฝึก ภายใต้ระเบียบวินัยอันเข้มข้น เพื่อจะอิสรภาพ ไม่มีเรื่อง แบบนั้น การที่เรามีไอเดียแบบนั้นเท่ากับเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ ธรรมชาตินั้นมันเป็นอิสรภาพอยู่แล้ว มันมีปฏิกิริยาที่ผม บอกว่า เช่นเราเป็นแค่แสง จิตคือสิ่งหนึ่งในธรรมชาติมัน เกิดขึ้นจากธรรมชาตินี้ แล้วมันเข้ามารวมกันโดยธรรมชาติ เหมือนกัน แล้วมันก็พัฒนากันไปมา จนเกิดโลกนี้ เกิด


Camouflage | 102 ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้จนเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ นี่คือธรรมชาติและธรรมชาติทั้งหมดนี้เป็นทุกข์ เพราะมันอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ เพราะมันหมุน มันมี Time and Space มันหมุน มันต้องเป็นทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ว่า มันไม่ดีทุกข์คือธรรมชาติเฉยๆ แค่นั้นเอง แต่ชาวพุทธเรามีความเห็นว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรม เราจะ พ้นทุกข์ เข้าใจมั้ยว่าเราอยากจะอยู่เหนือธรรมชาติเราถูก สอนมาว่าเราจะพ้นทุกข์ นัยยะคือเราจะอยู่เหนือธรรมชาติ แต่อีกนัยยะหนึ่งจะมีคำ สอนว่า เรา ธรรมะกับธรรมชาติคือ สิ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทีนี้ก็เริ่มงงแล้ว ตกลงเราปฏิบัติธรรมจะอยู่เหนือธรรมชาติ หรือจะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติกันแน่ เข้าใจความขัดแย้ง ของคำ สอนต่างๆ ที่เรารับมามั้ย? เพราะฉะนั้น ชีวิตของเรา นักปฏิบัติธรรม จึงมีแต่ความสับสน และมันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเข้าใจธรรมะ เพราะคำ สอนมันเป็นแค่ภาษา เป็น การสื่อสารที่ให้ผลคือการสร้างจินตนาการให้กับเรา เราสร้าง ทางของเราขึ้นเองจากการแปลภาษาและวาดเส้นทางเอาไว้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 103 ตามความคิดที่เราพอจะคิดออก ซึ่งแต่ละคนก็วาดภาพ ไม่เหมือนกันอีก ต่างคนก็ต่างคิดเพ้อเจ้อกันไปตามแต่ ความคิดไปไกลได้แค่ไหนในแต่ละคำ สอนนั้น ๆซึ่งมันไม่ใช่ ความจริง และเราเดินตามจินตนาการของเราตลอดชีวิต แต่เราหลงเชื่อว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ เราไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ ที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ อย่าลืมว่า เราคือต้นเหตุของการเกิดทุกอย่างในที่สุด ธาตุทั้งหมด จะลงไปคืนสู่ธรรมชาติแล้วธรรมชาติเหล่านั้นจะผลิตการ เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นวัฏฏะอีกทีหนึ่ง เข้าใจมั้ย? แจ่มแจ้ง อย่างนี้ แต่เราหมกมุ่นอยู่กับการที่เราทุกข์ แล้วเราจะปฏิบัติธรรม เราจะพ้นทุกข์ให้ได้ เราหมกมุ่นอยู่กับความคิดเล็ก ๆของ ตัวกู แท้จริง “เรา” เป็นเหมือนเศษขี้ฝุ่นในจักรวาลนี้ แล้วเรา ก็หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ตัดสินตัวเอง ตัดสินว่ายังไงดีทำ ยังไงดีทั้งที่จริงๆ“ไม่มี”เข้าใจมั้ย?


Camouflage | 104 ชีวิตของมนุษย์ทุกคนควรจะเข้าใจแบบนี้ แล้วสิ่งที่เรียกว่า การปฏิบัติธรรม มันจะง่ายแสนง่าย มันจะไม่ใช่เหมือนเดิม ที่เรามีแต่เป้าหมาย ปฏิเสธอันหนึ่ง จะเอาอีกอันหนึ่ง นั่น ไม่ใช่ชีวิต ธรรมชาตินั้นมันไม่เลือก เหมือนนํ้าที่มันไหลไป มันไหลไปตามทางที่มันต้องไป มันเลือกไม่ได้ มันไม่เลือก เหมือนทะเลต้องมีคลื่น จิตใจที่ประกอบด้วยอะไรหลายอย่าง มันเหมือนคลื่นในทะเล ทะเลไม่เคยเรียกร้องว่า “คลื่น… แกอย่ามีเลย ฉันอยากจะอยู่นิ่งๆ ฉันอยากสงบ ฉันอยาก จะไม่มีอัตตา” ทะเลไม่เคยเรียกร้อง ธรรมชาติไม่เคย เรียกร้องอะไรแบบนั้น ธรรมชาติคือความเป็นไปของมัน แค่นั้น ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน เป็นแค่ความเป็นไปของมัน เหมือนร่างกายนี้ เราทุกคนเข้าใจ ตระหนักชัดว่า เมื่อเรา เติบโตขึ้นมา สุดท้ายหนีไม่พ้นต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย นี่คือความเป็นไปของมัน


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 105


Camouflage | 106 แต่พอเป็นเรื่องของจิตใจนี้ ทำ ไมเราไม่ปล่อยให้มันเป็นไป แบบนั้น แบบที่เราเข้าใจความเป็นไปของร่างกายซึ่งมีธรรมชาติแบบนั้น ทำ ไมเราง่วนกับมันจังเลย อยากจะทำ ให้มันดี อย่างเดียว ทำ ไม กับร่างกาย เราโอเค ว่ามันเป็นแบบนี้ แต่ทำ ไมเราไม่ยอมให้จิตใจ มันเป็นยังไงก็ได้ ทำ ไมเราไม่ยอม เพราะอะไร? เพราะอัตตาบอกว่า “นี่คือกู” ทำ ไมเราอยากให้จิตหลุดพ้น? เพราะอัตตาบอกว่า “จิตนี้เป็นกู” ผมถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องตลก ที่เราอยากให้จิตหลุดพ้น จากอัตตา แต่กูนี่แหละจะหลุดพ้น เข้าใจมั้ย? เราต้องเห็นตัวเองจริงๆ เห็นวิธีคิดของตัวเองจริงๆ แล้วเรา จะพบว่าเราเหมือนคนสับสน เราทำ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรา อยากจะเป็น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 109 ผู้ฟัง : เวลาโกรธจะชอบโมโห พอโมโหแล้ว เราก็จะหลง พอหลงปุ๊บ เราก็จะไปแสดงปฏิกิริยาหรือพูดจาอะไรที่ไม่ดี พอหลงตามความโกรธไป มันก็จะร้อนขึ้นมา แล้วเราอยาก จะแสดงพฤติกรรมอะไรออกมาเพื่อลบล้างความโกรธ หรือ เพื่อความสะใจในความโกรธ แล้วพอเราเห็น มันก็จะดิ้น ขลุกขลัก ๆ แล้วมันก็จะรู้อยู่แบบนี้ จริงๆ แล้วคือมันเป็น แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่มั้ยคะ? อาจารย์: ต้องเห็นละเอียด เห็นมั้ยว่าตอนที่มีความโกรธ ก็มีอารมณ์พลุ่งพล่านเกิดขึ้น แล้วทำ ไมมีไอเดียว่าเมื่อไหร่ มันจะดับ ไอเดียนั้นเกิดขึ้นจากอะไร? 13 หยินหยาง


Camouflage | 110 เราต้องเห็นว่ามันมีการตัดสินความโกรธนี้แล้วว่าไม่ดีแล้ว จึงเกิดไอเดียถัดไปว่าเมื่อไหร่มันจะดับ แล้วทันทีที่เราเห็น โครงสร้างอันใหญ่ของความคิดแบบนี้ ความโกรธนั้นจะไม่มี ความหมายกับชีวิตอีกแล้ว เพราะเราเห็นโครงสร้างของมัน ทั้งหมดว่า สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากไอเดียเฉย ๆ ไอเดีย เป็นคนสร้างความอยากจะให้มันดับเร็วๆไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่า ไม่มีอะไรในการปฏิบัติธรรม นอกจากความแจ่มแจ้งเท่านั้น แค่นั้น ไอเดียทั้งหมดที่ เกิดขึ้นในระหว่างทางของอารมณ์ คือเหตุของความสับสน ในการใช้ชีวิต จริงๆ แล้วเราอยากจะเป็นคนไม่โกรธ เราถูกหลอกเสมอว่า เราอยากจะเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ไม่ใช่ขณะนี้ แต่ความจริงคือ ขณะนี้เป็นแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เป็นจริงที่สุด แต่ไอเดียจะ ชอบบอกเราให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง เราไม่อยากเป็นแบบนี้ ไอเดียจะเลือก และหาทาง และดิ้นรน และนี่คือวัฏฏะ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 111 แต่ถ้าไม่มีความหลงผิดนั้น หรือแจ่มแจ้งกับมันทั้งหมด วัฏฏะของธรรมชาติก็จะเกิดต่อไป เช่น ความโกรธนี้จะดับ ไป นี่คือวัฏฏะเหมือนกัน แต่ไม่ใช่วัฏฏะจากความหลงผิด ของไอเดียของอัตตา แต่เป็น วัฏฏะของธรรมชาตินี้เฉย ๆ เราเดือดร้อน ก็เพราะว่าความหลงผิดเกี่ยวกับการตัดสิน สิ่งต่างๆของอัตตา แค่นั้นเอง เราแค่ต้องรู้ทันมัน แค่นั้น เราต้องแจ่มแจ้งในกระบวนการทั้งหมด ที่มันส่งผลสืบเนื่องให้เกิดอะไรๆขึ้น เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติธรรมแบบนี้ ผมถามว่าใครเห็น แทนเราได้มั้ยขณะที่เราโกรธอยู่? ขนาดเรายังไม่เห็น แล้ว ใครจะเห็นได้ เราชอบนึกว่าเดี๋ยวมีครูบาอาจารย์ช่วยดู ไม่มีใครดูแบบนี้ ให้เราได้…ไม่มีทาง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้สอนเสมอว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ” รู้ได้เฉพาะตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครรู้


Camouflage | 112 แทนเราได้ แต่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่เกิดขึ้นในวงการนี้คือ ชาวพุทธเรา มีความเชื่อว่ามีคนบอกเราได้ ยิ่งถ้ามีคนบอกเราว่าเราติด อะไรอยู่ จะทำ ให้เราก้าวหน้ากว่านี้ เรายิ่งชอบ และวิธีคิด แบบนี้ทั้งหมดคือมิจฉาทิฏฐิที่คอยให้อาหาร สนองอัตตา ตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะเห็นว่าเราทุกคนบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่ จริงๆเราไม่เคยทำ ตามที่พระพุทธเจ้าบอกเลย พระพุทธเจ้า สอนอย่าง เราไปทำ อีกอย่าง พระพุทธเจ้าสอนกาลามสูตร เราไปทำ อีกอย่าง เราทำ ทุกอย่างตาม “ดี” เราไม่ใช่ตาม จริงนะ เราทำ ตาม “ดี” ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่องของดี ชีวิตเราไม่มีวันจริง แล้วถ้าชีวิตเราไม่มีวันจริง เราไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม เราเป็น แค่คนดีเฉย ๆซึ่งโลกต้องการคนแบบนั้น คนดีเป็นระบบ นิเวศหนึ่งในธรรมชาตินี้ ที่อยู่คู่ตรงข้ามกับคนไม่ดี


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 113 โลกนี้มีสัญลักษณ์โบราณที่เรียกว่า “หยินหยาง” สร้างโดย บรรพบุรุษเรา ทำ ไมมันยังอยู่ยั้งยืนยงขนาดนี้ เพราะมันคือ “ความสมดุล” มันทำ ลายอะไรไปไม่ได้ ถ้าเราคิดจะทำ ลาย อันหนึ่ง โลกนี้หรือชีวิตจะไม่สมดุลเลยทันที เหมือนที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเราอยากจะให้ร่างกายนี้บริสุทธิ์ ทำ ยังไง? ก็ไปฉีดยาคีโมสัก 10 เข็ม เราจะสะอาดขึ้นทันที ถ้าเราต้องการบริสุทธิ์แบบนั้น ไม่มีเชื้อโรคเลย เราก็ไปฉีด คีโม แต่เราทุกคนรู้ได้ทันทีว่าเราไม่ต้องการแบบนั้น คนที่ จะไปทำ แบบนั้นต้องเป็นคนป่วยขั้นวิกฤติเท่านั้น จะเห็น ได้ว่าแท้จริงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นแค่อาการของคนป่วยที่เข้าขั้นวิกฤติแล้วแค่นั้น เราไม่ได้ รู้จักว่าอะไรคือการปฏิบัติธรรมเลย แท้จริงเราทุกคนต้องการความสมดุล ไม่ใช่ต้องการความ บริสุทธิ์แบบที่เราเข้าใจผิด เข้าใจมั้ย? ชีวิตจะสมดุลได้ จะต้องมีความแจ่มแจ้งในชีวิตนี้ ไม่ใช่คอยกำ จัดอะไร หรือ จะไปถึงเป้าหมายที่ไหน


Camouflage | 114 ความบริสุทธิ์ที่แท้จริง คือ ความแจ่มแจ้ง ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน แตะต้องไม่ได้จับต้องไม่ได้อธิบาย ไม่ได้ มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์แบบที่เราคิด คนละอย่างกัน เราต้องเห็นว่าวัฒนธรรม ประเพณีทุกอย่าง มันสืบทอด กันมาอย่างยาวนาน และเราไม่เคยลงลึกกับมันว่า มันคือ อะไร มันจริงมั้ย มันสมเหตุสมผลมั้ย นึกออกมั้ยว่าเราอยู่ในวัฒนธรรมอันยาวนาน และอย่างที่ ผมบอก คนส่วนใหญ่คือฐานของพีระมิด และคนส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่าคนหมู่มากจะกลายเป็นความถูกต้องโดย อัตโนมัติเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 115 14 ตถตา “ตถตา”เป็นความจริงสูงสุด ความเป็นเช่นนั้นเองสูงสุดเลย ก็คือ ไม่มีคำ พูดนี้ด้วย แต่ถ้าต้องถ่ายทอด การมองโลกนี้ อย่างแจ่มแจ้ง มันสรุปมาเป็นคำ พูดได้ว่า “ทุกอย่างมันเป็น เช่นนั้นเอง” เราต้องเข้าใจว่าเราแบ่งแยกคนเลว คนดีเราแบ่งแยกจาก การกระทำ หรือพฤติกรรม เช่น การกระทำ อันหนึ่งให้ความ รู้สึกทางใจ รุนแรง ฉูดฉาด แล้วพลังงานทางใจที่เรารับจาก การเห็น หรือการรู้เรื่องเหล่านั้น แปลออกมาว่า เลว แล้ว ชีวิตของเราก็ตื้นเขินอยู่แค่คำ ว่า“เลว” กับ “ดี” ตามที่สมอง แปลจากพลังงานที่เกิดขึ้นในจิตใจที่รับขึ้นมาได้


Camouflage | 116 แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะเข้าใจ Background ของพฤติกรรมนั้น ๆว่ามันมีเหตุแห่งความไม่รู้ บางอย่าง หรือมีเหตุจากการที่เด็กคนนี้โตขึ้นมาจากครอบครัวอย่างนี้ ถูกปลูกฝังอย่างนี้ หรือมีความเดือดร้อนบีบคั้น แบบนี้...จึงเป็นอย่างนี้ แล้วเราสรุปทั้งหมดนั้น หรือเป็น ผลลัพธ์ว่า ไอ้นี่เลว พระพุทธเจ้ามักจะพูดเสมอว่า “เป็นเช่นนั้นเอง” ไม่ว่ากับ ใครก็ตามที่ทำ อะไรไม่ดี มันเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขา มีกรรมอย่างนั้น มีกรรมอย่างนี้ การที่เราเห็นโลกนี้เห็น สรรพสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง ก็เพราะว่าในการเห็นนั้น หัวใจของ ผู้ที่เป็นตถตา เราสมมติเรียกว่าเป็นตถตา มันเป็นหัวใจ ที่เห็นสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่เห็นแค่ความหมายของเลว ไม่ใช่เห็น แค่บทสรุปของเลว แต่เห็นทั้งหมดของเขา แล้วมันจึงเป็นความรู้สึกของ เออ… มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นเช่นนั้นเอง เราเห็นเหตุ ปัจจัยอันสืบเนื่อง จนเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 117 มันจึงเป็นคำ สอน เช่น คนที่รู้ความจริงนั้น เป็นหัวใจที่ ไม่แบ่งแยก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นการเห็นอะไรแบบ Spot เป็นจุด เป็นผลลัพธ์สั้น ๆเล็ก ๆ แค่นั้น ไม่ใช่แบบนั้น มัน เป็นการเข้าใจ อย่างที่ผมบอกว่า เมื่อเราเข้าใจสรรพสิ่ง ทั้งหมด หัวใจก็จะเป็นหัวใจที่เป็นเช่นนั้นเอง แค่นั้น เรานักปฏิบัติธรรม เราชอบที่จะได้ยินคำ พูดที่เจ๋ง เช่น เป็น เช่นนั้นเอง เขาก็เป็นเช่นนั้นเอง แล้วเราก็ดูเหมือนเป็น นักปฏิบัติธรรม เป็นแค่“ดูเหมือน” นะ เพราะจริงๆ มันเป็น แค่แอคติ้งเฉย ๆ ที่เราอยากเป็นคนแบบนั้น อยากจะเป็น คนที่เห็นอะไรก็เป็นเช่นนั้นเอง ชีวิตแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากอริยสัจ 4 มันเกิดขึ้นมา จากความคิด รับทฤษฎีอันหนึ่งที่รู้สึกว่าแบบนี้ดีจังเลย และเราจะเป็นคนคนนั้น แล้วเราก็สวมเข้าไป...วันนี้ฉัน จะมองโลกให้เป็นเช่นนั้นเอง เข้าใจมั้ยว่า เราเอาบทสรุป ที่มันถูกกลั่นออกมาจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 นั้นมาทำ เรา ไม่ยอมให้มันเติบโตขึ้นมาจากชีวิตของเรา เพื่อจะพบ ความเป็นเช่นนั้นเอง


Camouflage | 118 มันไม่ใช่การที่เราคนหนึ่งรับบางสิ่งบางอย่างจากใคร หรือ จากหนังสือ ที่เป็นบทสรุปมาใช้กับชีวิต แต่เราต้องเริ่ม ใช้ชีวิตต่างหาก และให้บทสรุปทั้งหลายผลิบานขึ้นมาจาก ชีวิตนั้น ในหัวใจของเราเอง


Camouflage | 120 15 ใส่ใจชีวิต สถานธรรมนี้ ไม่ใช่ที่ปฏิบัติธรรม แต่เป็นที่ที่ทุกคนใช้ชีวิต จริงๆ แล้วเรียนรู้ชีวิตตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง แล้วให้ทุกอย่าง เกิดขึ้นจากชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากที่ผมบอก แล้ว เอาไปทำ สิ่งที่ผมให้ทำ อย่างเดียว คือ แจ่มแจ้งกับชีวิต ตัวเอง จริงๆเราไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วระเบียบวินัยทั้งหมดในชีวิต นั้น เกิดขึ้นจากความแจ่มแจ้งในชีวิตนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นจาก ที่ผมกำ หนดระเบียบวินัย เพราะการที่ผมกำ หนดระเบียบ วินัย หรือใครก็ตามกำ หนด ว่าอะไรควรจะเป็นยังไง นั่น ก็คือการเอาบทสรุปมาใช้กับชีวิต และนั่นไม่จริง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 121 แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราแจ่มแจ้งกับชีวิตนี้ ระเบียบวินัยที่แท้จริง จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราอยากได้ระเบียบวินัยที่เรียกว่า ศีลปรมัตถ์อะไรแบบนั้น หรืออริยกันตศีล มันเกิดจากชีวิต ไม่ใช่เกิดจากการที่เรายึดถือข้อวัตร และศีลเป็นข้อๆ แล้ว เอามาทำ ผมเคยบอกว่าพระพุทธเจ้าตั้งข้อวัตร 227 ข้อ ถ้าท่านอยู่ถึงทุกวันนี้ มันอาจจะมีเป็นพันข้อ แล้วเราจะทำ ไหวมั้ย เราต้องเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากชีวิต ผมพูดเปรียบ เทียบว่าเหมือนเราต้องลงทุนที่จะมีเวลาต่อชีวิตนี้ และ แจ่มแจ้งต่อชีวิตนี้ และการแจ่มแจ้งต่อชีวิตนี้ที่เป็นอริยสัจ 4 นั้น ใช้“ความใส่ใจ” ซึ่งความใส่ใจนั้นคือสติและความ ใส่ใจอย่างยิ่งที่จะเห็นว่ามีไอเดียเกิดขึ้น ต้องมีสติที่ว่องไว มาก และการใส่ใจอย่างต่อเนื่องใช้“ความอดทน” ที่เรียกว่า ขันติ บารมีมันจะเป็นสมาธิที่เรียกว่าสัมมาสมาธิเพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณธรรมอะไรก็ตามที่เราต้องการ ที่เรารับมาฝึก มัน ไม่ใช่ของจริงเลย


Camouflage | 122 ของจริงจะเกิดขึ้นจากกระบวนการใส่ใจชีวิตนี้ แค่นั้น ไม่ว่าจะเป็นสติสมาธิบารมีต่างๆ มันเกิดขึ้นจากการใส่ใจชีวิต ไม่ใช่เราไปฝึกมัน หรือหามาเพิ่มเติมใส่ชีวิตนี้ การปฏิบัติธรรมนั้น ออกทะเลกันไปมาก เพราะว่าเรา ใช้ไอเดียของบทสรุปที่ดีมาทำ เราไม่เข้าใจว่าบทสรุป เหล่านั้น เกิดขึ้นจากชีวิต เกิดขึ้นจากอริยสัจ เราไม่ เข้าใจแบบนี้ ไม่มีใครสอนเราแบบนี้ มีแต่คนสอนให้เราฝึก ฝึกให้มีมากขึ้น ฝึกให้มีเยอะขึ้น ฝึกให้มีเร็วขึ้น ฝึก ๆๆๆ แล้วผมบอกว่าทั้งหมดนั้นคือ“ของเสมือน”ไม่ใช่ของจริง


Camouflage | 124 พระพุทธเจ้าถึงเรียกสติของท่านว่า “สัมมาสติ” เรียกสมาธิ ของท่านว่า “สัมมาสมาธิ” เพราะสิ่งที่ท่านบอกไม่เหมือน คนอื่น และมันมาจากสัมมาทิฏฐิและเป็นสัมมาทิฏฐิจาก อริยสัจ 4 จริงๆ ท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่พวกเราไม่เข้าใจกันเอง เรา ไปเลือกบทสรุปดีๆ มาทำ หยิบมาเพิ่มใส่ตัว ทั้งๆ ที่ จริงๆ การปฏิบัติธรรม มันเป็นการปลดเปลื้องภาระออก แต่ เรากลับคอยหาเพิ่มตลอดเวลา อะไรเค้าว่าดีเราจะ เอาหมด เราก็เคยได้ยินตลอดว่า ปฏิบัติธรรมคือการปล่อยวาง คือ การสละออก แต่ในอีกทางหนึ่ง เราก็เพิ่มอยู่ได้ อย่าลืมที่ผมบอกว่า “ลืมทุกอย่าง” หลังจากที่ผมกลับออกไปจากที่นี่ คำ ว่าปฏิบัติธรรมต้อง หมดสิ้นไปจากหัวเรา แล้วมีชีวิตจริงๆ แค่นั้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 125


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 127 16 ลงลึกด้วยตัวเอง ผู้ฟัง : ความมืด มันก็คือความมืดอยู่วันยังคํ่า เราไม่มีหน้าที่ ไปขจัดความมืด สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ทำ แสงสว่างให้เกิดขึ้น แล้วความมืดก็จะหายไป ขอความกรุณาช่วยขยายความ ด้วยค่ะ  อาจารย์: โลกนี้คือหยินหยาง มีทั้ง 2 ด้าน ความมืดที่เรา พูดถึงนี้ ไม่ใช่ความมืดที่เป็นคู่ตรงข้ามกับความสว่าง แต่ ความมืดนั้นคือ ความไม่แจ่มแจ้งว่าโลกนี้มี2 ด้าน การจุดตะเกียงขึ้นมา หรือจุดแสงสว่างขึ้นมา คือความ แจ่มแจ้งที่จะเข้าใจว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้ มี2 ด้าน แค่นั้นเอง


Camouflage | 128 ไม่ใช่การเลือกข้าง ไม่ใช่การไม่เอานี่ ไม่เอานั่น จุดไฟขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ หรือการปฏิบัติ- ธรรม “ไม่ใช่การทำ ลายอะไรทั้งสิ้น” เป็นแค่การแจ่มแจ้ง ความมีอยู่ทั้งหมดของมัน เหมือนที่ผมสอนพวกเราว่า เคย รู้มั้ยว่ามีความเป็นปกติในใจอยู่แล้ว พอเรารู้ ก็เออ...จริง ด้วย ทำ ไมเราไม่เคยรู้เราเกิดมาตั้งหลายปีแล้ว เคยรู้มั้ยว่า มันมีช่วงเวลาที่เราไม่คิด ผมพาเรารู้จักสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ ให้ทำ ลายอะไร เราแค่ไม่เคยรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในชีวิตเรา ผมบอกว่าสติมีอยู่แล้ว ผมบอกว่าสมาธิมีอยู่แล้ว ผมบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งอิสรภาพก็ยังมีอยู่แล้ว นี่คือความ แจ่มแจ้ง ความที่เราไม่แจ่มแจ้งก็คือ เรานึกว่า เราต้องทำ อะไร บางอย่าง แบบที่ผมพูดทั้งหมดข้างต้น นั่นคือความมืด เวลาเราฟัง Zen เค้าพูดกันถึงบรรลุฉับพลัน บรรลุฉับพลัน คือแบบนี้ คือไม่ต้องทำ อะไร


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 129 หลังจากความเข้าใจแจ่มแจ้งแบบที่ผมพูดนี้ชีวิตที่แท้จริง จึงได้เริ่มต้นขึ้น ก่อนหน้านี้เป็นชีวิตที่อยู่ภายใต้ไอเดียของ อัตตาบางอย่าง ไม่ว่าจะขาวบริสุทธิ์แค่ไหน มันก็คือมืด ถ้าเข้าใจสิ่งที่ผมพูดวันนี้ ในขณะนี้เลย แสงสว่างจะเกิดขึ้น ในชีวิต และนี่คือจุดเริ่มต้นของการที่คนคนหนึ่งสามารถจะ มีชีวิตที่แท้จริงได้ เพราะฉะนั้น มั่นใจกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ท่านตรัสรู้ อริยสัจ 4 และนั่นคือสิ่งที่เราทุกคนจะต้องใช้ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันคือเรื่องของตัวเองทั้งนั้น  อย่าให้มันเป็นไอเดีย อย่ามีทิศทาง อย่ามีหลักการ อย่ามีเป้าหมาย ให้มันดำ เนินชีวิตไปอย่างเป็นธรรมชาติ อะไรจะเกิด ก็เกิด รับรู้กระบวนการที่มา และความเป็นไป ของมัน ไม่ดีก็ได้ และเราต้องแจ่มแจ้งในความไม่ดีนั้น ชาวพุทธเรา อะไรที่ไม่ดีเราวิ่งหนีเลยนะ


Camouflage | 130 ผมถามหน่อยว่าเราเข้าใจมั้ยว่า อกุศลคืออะไร บาปคือ อะไร ความมืดคืออะไร ความไม่ดีคืออะไร ราคะ โทสะ โมหะคืออะไร เราวิ่งหนีเราจะรู้จักได้ยังไง เรารีบสลัดมันทิ้ง ผมถามว่า เราเอาตรงไหนมาแจ่มแจ้ง ในเมื่อมันหายไปแล้ว เหมือนผมบอกพี่ว่า พี่เอเป็นคนนิสัยไม่ดีนะ ผมถามว่าเรา จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนนิสัยไม่ดีพี่ต้องรู้จักเค้าใช่มั้ย พี่ ต้องคบกับเค้าใช่มั้ย พี่ต้องเป็นเพื่อนเค้า ต้องอยู่กับเค้า ต้องสนิทกับเค้า พี่ถึงจะได้รู้ว่า ไม่ดีแบบที่อาจารย์บอก จริงๆ ด้วย พี่ไม่สามารถจะรู้จักความไม่ดีได้จากแค่ผม บอกใช่มั้ย นี่คือปัญหาใหญ่ของนักปฏิบัติธรรมคือ “เราหนี” เราวิ่งหนี สิ่งไม่ดีเรารู้สึกว่า ไม่ได้ๆ เราเป็นชาวพุทธ...ไม่ได้ๆ เรา เป็นนักปฏิบัติ...ไม่ได้ๆ ต้องละๆๆ แล้วผมถามว่า ความ แจ่มแจ้งอยู่ที่ไหน? ไม่มี!


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 131 เราแจ่มแจ้งอย่างเดียวคือ กูวิ่งเร็วแค่ไหน แค่นั้นเอง เราแจ่มแจ้งกับการหาเทคนิควิ่ง แล้วเราก็ไปหาคนสอน เดี๋ยวท่านจะสอนให้ว่าหนียังไง เช่น รีบรู้ลมหายใจ รีบ รู้สึกตัวไว้ นี่คือวิธีหนี เพราะฉะนั้น เราไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ 4 เรา เหมือนรู้ แต่ไม่รู้ เข้าใจมั้ย? เราพูดเรื่องอริยสัจ 4 กัน เยอะ แต่จริงๆ เราไม่รู้เราไม่ได้ทำ เรื่องนั้นเลย นี่คือ ความขัดแย้งของเราเอง เราคิดว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 ได้ นั่นคือ เราถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์ แต่สิ่งที่เราทำ วันนี้ เวลานี้คือ กูวิ่งหนี ผมถามว่าความแจ่มแจ้งจะเกิดขึ้นได้ยังไง? มัน ไม่มี...มันไม่มีตั้งแต่เริ่มแล้ว แต่เรากลับหวังว่า ถ้าเราวิ่งหนี เก่งๆ แล้ววันหนึ่งเราจะแจ่มแจ้งอริยสัจ มันเป็นเรื่องที่ เป็นไปไม่ได้เลย  ถ้าเราวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์วิธีคิด คำ สอน การปฏิบัติ การกระทำ ของเราเอง เราจะพบว่า…


Camouflage | 132 ทุกอย่างของเราขัดแย้งกันหมด โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเราไม่เคยลงลึกกับชีวิตนี้จริงๆ ชีวิตนั้นมีไอเดียแทรกตลอด และไอเดียนั้นแหละ คือสิ่งที่ทำ ให้เราไม่สามารถจะพบได้ว่า ชีวิตของเรานั้นเป็นความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ผมบอกตั้งแต่เราเริ่มสนทนากันแล้วว่า ทำ ไม พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราสงสัย นี่คือสิ่งที่เป็นมรดกที่ท่าน มอบไว้ให้เราทุกคน แต่เราไม่ทำ ฉะนั้น ไม่มีใครหลอกเรา นอกจากตัวเราเอง เราพร้อมจะหลอกตัวเอง แล้วเราพร้อม จะทำ อย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะ“ดี” ผู้ฟัง : คำ ว่าดีหรือไม่ดีมันก็เป็นสิ่งที่เราบัญญัติกันขึ้น อาจารย์: ใช่ ถูกต้อง แต่ก็เพราะเรายึดไง เราบัญญัติขึ้นมา เพื่อใช้มันในการอยู่ร่วมกัน เราสร้าง (Create) มันขึ้นมา เหมือนเราสร้างกฎหมายขึ้นมา เราสร้างกฎของครอบครัว ขึ้นมา เราสร้างกฎระเบียบของสังคมขึ้นมา เริ่มจากหมู่บ้าน เล็ก ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆขยาย ๆ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 133 เราสร้างมันขึ้นมา แล้วอยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนานจาก รุ่นสู่รุ่น ซึ่งโครงสร้างของมันเป็นแค่การประดิษฐ์ขึ้นมาจาก ความคิดของคน แต่มันยาวนานจนมนุษย์มองว่ามันเป็น ความจริง เรามองไม่เห็นว่า มันมาจากไหนกันแน่ จริงๆ มันมาจากไอเดียของคน เป็นแค่รูปแบบของความคิด ประเทศเราจะมีจารีตประเพณีอย่างหนึ่ง มีศีลธรรม วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง แต่อเมริกาไม่ใช่ ถ้าเข้าไปในพวก ชนเผ่าอะบอริจิน คนที่ฆ่าคน กินคน มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ทุกอย่างเป็นแค่การประดิษฐ์ขึ้นของไอเดียของแต่ละชุมชน แต่เราอยู่มานาน วัฒนธรรมสั่งสมมาอย่างยาวนาน จน กลายเป็นหนังสือ กลายเป็นตำ ราอันศักดิ์สิทธิ์ และบรรยากาศของมันสร้างว่า มันคือจริง ถ้าเรามองไม่ทะลุแบบที่ผม บอกนี้ มันจะกลายเป็นกับดัก ที่เราจะติดทันที แล้วเรา ก็อยู่ที่นั่น การปฏิบัติธรรมที่ผมบอกแบบนี้ คือ เราต้องใช้ความใส่ใจ สูงสุดต่อการมีชีวิตในทุกวัน ทุกขณะ และความใส่ใจ สูงสุดนั้นเองคือทั้งหมดที่เราพยายามอยากจะมีในชีวิตนี้กัน คือ สติสมาธิและปัญญา มันเกิดขึ้นจากความใส่ใจชีวิตนี้


Camouflage | 134 ไม่ใช่เราไปฝึก ทั้งหมดที่ผมพูด เราทุกคนจะต้องลงลึกไปด้วยตัวเอง แล้วเราจะพบว่า มันมีหลายอย่างที่เราลงลึกลงไป แล้วเรา อธิบายไม่ได้เราสอนกันไม่ได้ เหมือนที่ผมเคยอธิบายว่า ช่างไม้สอนให้ลูกศิษย์แกะสลัก ไม้ เราลองคิดว่าถ้าเราเป็นช่างไม้ แล้วก็สอนลูกศิษย์ให้ แกะสลักเป็นรูปพระพุทธรูป หรือรูปสัตว์อะไรก็ตาม ผม ถามว่า ไม่ว่าช่างไม้จะสอนยังไงก็ตาม ลูกศิษย์ต้องใช้เวลา ทั้งชีวิต เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่ช่างไม้สอน ในการแกะให้ดีที่สุด ใช่มั้ย? มันไม่ใช่แค่หลักบางอย่าง ที่ช่างไม้จะพูดอธิบายผ่านภาษา ออกมา แต่มันหมายถึงว่าคนคนนั้นต้องใช้ชีวิต ในการอยู่ กับการแกะสลักนั้น จนเข้าใจแก่นของหัวใจที่ช่างไม้อยากจะ บอก และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่ต้องลงลึกด้วย ตัวเอง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 135 17 สืบทอดศาสนา? เราฟังคำ แปลของคำ ว่า“พระโสดาบัน” คือ ผู้ตกกระแส พระนิพพาน เป็นผู้เห็นฝั่งแล้ว หมดความเห็นผิดว่ามีเรา มีเขา นั่นคือข้อแรก คือละสักกายทิฏฐิคือละความเห็นผิด ว่ามีเราจริงๆ ทันทีที่ละความเห็นผิดแบบนั้น มันก็หมด ความลังเลสงสัย คำ แปลคือหมดความลังเลสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่จริงๆไม่ใช่แบบนั้น อันนี้ เป็นการแปลเพื่อจะเข้าข้างตัวเอง หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใน ความหมายนัยยะของคำ พูดนี้คือ เราจะเป็นคนยึดมั่นใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาก ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว


Camouflage | 136 ในสามสิ่งนี้ เราจะมีศรัทธาแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย เราลองมาดูความหมายของคำ ว่า ละสักกายทิฏฐิว่าคือ อะไร คือ ได้ประจักษ์ชัดและเห็นแล้วว่าแท้จริงโลกนี้ว่าง จากความหมายของความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา หรือพูดสั้น ๆว่า ละแล้วซึ่งความเห็นผิดว่ามี“เรา” เมื่อความหมายของ การละสักกายทิฏฐิเป็นแบบนี้ ผมถาม ว่าแล้วเราจะยึดมั่นอะไรให้เป็นตัวเป็นตนได้ในเมื่อ“ตัวเรา” ก็ยังไม่มีเลย แล้วจะมี“เขา”ไว้ให้ยึด ไว้ให้ไม่ลังเลไม่สงสัย ได้ยังไง ในเมื่อโลกนี้ถูกเปิดออก จนมองเห็นเป็นของว่าง จากตัวตนแล้ว เพราะฉะนั้น การแปลอันนี้จึงเป็นเพียงแค่การแปลที่ถูก สืบทอดกันมาจากภาษาต่างๆซึ่งไม่รู้เพี้ยนไปเท่าไหร่แล้ว ตามกาลเวลา เพื่อจะให้ศาสนานี้คงอยู่ เพื่อการสืบต่อของ ศาสนานี้ในเชิงตัวตน บุคคล เรา เขา ต่อไปเท่านั้น แล้วในทางกลับกันการแปลเช่นนี้ กำ ลังบอกว่าถ้าใครที่ว่า ตัวเองถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว แต่กลับไม่มีความ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 137 ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่มีศรัทธาแน่นแฟ้น ก็กลายเป็น นัยยะที่จะบอกว่าคนนั้นไม่ใช่พระโสดาบันหรอก ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาคนนั้นคือผู้ที่มีหัวใจแห่งศาสนาอย่างแท้จริง เห็นโลก ตามความเป็นจริงแล้ว ความหมายที่แท้จริงของวิจิกิจฉา ก็คือ ความหมดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับชีวิตนี้แล้ว ชีวิตไม่ได้มี“ใคร” คนนั้นอยู่จริงๆ จึงหมดภาระที่จะคอยพัฒนา“ใคร” คนนั้นให้ไปถึงที่ไหนตาม อุดมคติที่เคยหลงผิดที่มีอยู่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ที่หลงเชื่อว่า มีเราเป็นตัวเป็นตนอยู่จริง คงเหลือแค่เห็นความเป็นไปของชีวิตนี้ ชีวิตนี้จึงเป็นแค่ความแจ่มแจ้ง และนี่คือมรรค แค่นั้น ไม่ลังเลและไม่สงสัย ไม่คิดแล้ว ที่จะไปหาทาง ทำ ยังไงต่อ ทำ ยังไงดีเราจะไปสูงกว่านี้ยังไง ไม่มีแบบนั้น


Camouflage | 138 พระพุทธเจ้าสอนในบทสวดมนต์ทำ วัตรว่า ยามที่เราทุกข์ เราก็ไปยึดเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง เป็น สรณะ แล้วท่านบอกว่านั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิใช่มั้ย? แต่ทุกวันนี้ เราสร้างเจดีย์ใช่มั้ย? พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่เราทำ ตรงกันข้าม แล้วเราก็บอกว่าเรากำ ลังสืบทอดศาสนา เราคิดว่ากำ ลัง ทำ ให้ศาสนาคงอยู่ แต่จริงๆ มันยิ่งอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามัน เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่มันยังอยู่ทุกวันนี้ ก็อยู่แบบมิจฉาทิฏฐิ นี่แหละ ศาสนาทุกวันนี้จึงเสื่อมลงอย่างที่พวกเราเห็นกัน มันไม่ใช่ใครทำ ลายศาสนา ไม่ต้องโทษคนอื่น พวกเรา กันเองนี่แหละตัวดีที่สุด พระพุทธเจ้าอยู่มาตั้ง 45 ปีท่านไม่เคยบอกสักคำ ว่า เมื่อ ท่านตายไปแล้ว ให้สร้างท่านเป็นพระพุทธรูปไว้ด้วยนะ ท่านไม่เคยพูดเลย แม้กระทั่งพระไตรปิฎก ท่านยังไม่เคย บอกให้ทำ เลย แต่เราไม่เคยเอะใจเรื่องเหล่านี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 139 ท่านพุทธทาสถึงบอกว่า “พระพุทธรูปคือภูเขาทองเหลือง อันใหญ่ที่ขวางกั้นสัจธรรม” สมัยนั้นที่ท่านพูด ท่านก็โดนว่า เยอะ แต่จริงๆ แล้ว ท่านพูดเรื่องจริง คือเราสร้างสิ่งที่ ไม่จริง แล้วเราก็ใช้สิ่งนี้เข้ามา ทำ ให้คนรู้สึกโอเค และเรา ให้คุณค่าว่ามันดีเช่น นี่คือความกตัญญู นี่คือการระลึก ถึงคุณท่าน


Camouflage | 140 แต่ทั้งหมดคือการสร้างเราสร้างเขา สร้างสูงสร้างตํ่า เรา สร้างแต่ความแบ่งแยก สร้างความยึดมั่นถือมั่น สร้างความ เชื่อ ความงมงาย ความศักดิ์สิทธิ์ แล้วเราบอกว่านี่คือ ศาสนาพุทธ แต่ผมจะบอกว่านี่คือการทำ ลายศาสนาพุทธ ต่างหาก แต่ก็ยังไม่พอ เราสร้างพระเครื่องอีก เราไปกัน เรื่อย ๆ สารพัดที่เราทำ กัน แล้วเราบอกว่าเรารักษาศาสนา เราไม่ได้รักษาศาสนา! สิ่งที่ผมพูดวันนี้ เราอาจจะบอกว่าไม่เคยฟังแบบนี้ เราเข้าใจ ได้มั้ยว่าทำ ไมเราไม่เคยฟังแบบนี้? เพราะมันมีแต่แบบนั้น มันเลยไม่มีแบบนี้ เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า บอกว่ายังไงศาสนาของท่านก็ต้องล่มสลาย และท่านก็บอก ว่าไม่ได้มาจากใคร มาจากพวกเรากันเองนี่แหละ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 141 18 ลืมทุกอย่าง หลวงพี่ : เราอย่าเพิ่งบอกตัวเองว่าเราเข้าใจนะ เพราะถ้าเรา เข้าใจ มันจะปิดกั้นการที่เราจะเรียนรู้ อย่าลืมว่าเรามีส่วนผสมของความเห็นผิดดั้งเดิมเป็นพื้นฐาน เรามีแต่ความคิดที่ครอบเราอยู่ เมื่อไหร่ที่เราบอกว่าเข้าใจ นั่นคือการใช้ความคิดสรุปไว้แล้ว กลายเป็นว่าที่เราฟัง อาจารย์วันนี้ มันกลายเป็นตัวสำ ทับความคิดของเราให้มัน แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ได้พบความจริง นี่คือจุดที่หลวงพี่ได้เรียนรู้กับตัวเองว่า ทำ ไมเมื่อก่อนเรา ไม่เข้าใจ หรือบางทียิ่งฟัง ยิ่งค้าน เพราะเรามีแต่กรอบ


Camouflage | 142 ของความเห็นของเรา แล้วเรารู้สึกว่าเราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ต้องฟังแล้ว...ข้าม พออาจารย์พูดเรื่องนี้มาอีก เราก็อ๋อๆ แล้วเราก็ฟังหน่อย แล้วก็อ๋อ เข้าใจแล้ว ทั้งหมดอยู่ภายใต้กระบวนการคิด โดยกระบวนการคิดนี้มา จากอัตตาตัวตน ที่มันคอยชักใยเรา ที่คิดว่าเราเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงสอนว่า “ให้ทิ้ง ปล่อยมันไป” อาจารย์: เราใช้ความคิดที่จะเข้าใจธรรมะ และเมื่อธรรมะ เข้าในสมองของแต่ละคน เราแปลไม่เหมือนกัน แม้กระทั่ง ออกจากปากผมไป คลื่นสมองเราเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ที่เรารับภาษาเข้าไป แล้วแปล ในขณะนั้นเราไม่รู้ว่า เรามี ข้อมูลในอดีตที่เคยเชื่อและจำ ได้ ที่พร้อมจะบิดเบือนข้อมูล ที่ผมพูดไป เพราะฉะนั้น เราต้องลืมทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกแค่ไหน ก็ตาม เพราะว่าสิ่งเดียวที่เป็นจริงที่สุดในชีวิต คือ “การ เห็นตัวเอง” ไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่การแปลความหมาย สิ่งนี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 143 เป็นจริงที่สุด เห็นตัวเองมาก ๆเราก็จะเข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอน ของการแปลค่า และการยึดผลลัพธ์ของการแปลค่านั้น ไม่มี อะไรยึดได้ทั้งนั้น ถ้าเราเข้าใจที่ผมพูด ชีวิตนั้นไม่ใช่เป้าหมาย ชีวิตนั้นเป็นแค่ สมดุล Balance หรือเหตุปัจจัย ในขณะนี้ แค่นั้น ไม่มีอะไร มากกว่านั้นเลย เพราะชีวิตนี้เป็นแค่หยินหยาง นี่คือชีวิต แค่ Balance ชีวิตให้ได้ในแต่ละขณะ แต่ละวัน แค่นั้น ไม่มีเป้าหมาย เพราะไม่มีเรา เหมือนโลกนี้ มันมีขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ธรรมชาติของมัน พยายาม Balance ตลอดเวลา นี่คือธรรมชาติธรรมชาติ ทำ ได้แค่นี้ ขั้วโลกใต้ไม่ได้คิดว่า จะทำ ยังไงดีจะให้เป็น ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกเหนือก็ไม่ได้คิดว่าจะทำ ยังไงดีให้เป็น ขั้วโลกใต้ มันไม่ได้คิด มันแค่ Balance ซึ่งกันและกัน แค่นั้น ชีวิตก็เหมือนกัน


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 145


Click to View FlipBook Version