The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by camouflagetalk, 2023-04-04 21:42:32

มีใครอยู่ข้างในมั้ย?

ถอดความจากการธรรมบรรยาย โดยอาจารย์ Camouflage (คามูฝลาจ) เมื่อ 27-11-2565

Keywords: camouflage

มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 49 ต่างจากการที่เราไปนั่ง หรือพยายามเจริญมรรคให้สมบูรณ์ ทีละข้อ วิธีคิดแบบนั้นในการเจริญมรรค 8 เป็นหัวใจที่ ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิและนั่นหมายความว่าเป็นการ ปฏิบัติที่ไม่เป็นไปโดยอริยสัจ 4 ซึ่งแปลว่าทั้งหมดที่เราทำ แท้ที่จริงคือ มิจฉาทิฏฐิ จะเห็นว่าชีวิตของนักปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้เติบโตตามพระพุทธเจ้า เราไม่ได้เติบโตจากอริยสัจ 4 แล้วเราทำ อะไร? เจริญสติรู้สึกตัว พอเราฟังธรรมปุ๊บ เราก็...รู้สึกตัว...ไป คิดแล้ว...รู้อยู่ หันไปก็รู้เคลื่อนก็รู้ ผมถามว่าอริยสัจ 4 อยู่ ที่ไหน? มันไม่มี สัมมาสตินั้นอยู่ข้อ 7 สัมมาสมาธิอยู่ข้อ 8 การสอนธรรมะ ถูกฆ่าตัดตอนมาที่นี่เลย เราไม่สนใจสัมมาทิฏฐิ แต่การ สอนแบบนี้ทำ ให้คนเคลิ้มตามง่าย ๆ คล้าย ๆว่านี่คือทางลัด เช่น ถ้ามีสติจะมีสมาธิถูกมั้ย? ถูก ไม่ผิดเลย และถ้า มีสมาธิแล้ว รับรองเดี๋ยวเราจะมีญาณ มีความหลุดพ้น ในที่สุด แต่เราไม่สนใจสัมมาทิฏฐิเราไม่สนใจอริยสัจ 4 เรามาที่นี่เลย...เจริญสติ


Camouflage | 50 เพราะฉะนั้น การเจริญสติของเรา มันจึงเจริญด้วยมิจฉาทิฏฐิ ถามว่ามีสติมั้ย? มี แต่มันเป็น “กูมี” มีสมาธิมั้ย? มีเหมือนกัน แต่มันเป็นหัวใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิรองรับในสมาธิ นั้น ก็เหมือนดาบสทั้งสองนั้นแหละ ท่านทำ แบบนั้นเหมือน กัน ถ้าถามว่าเค้าเห็นอะไรมั้ย? เค้าก็เห็นได้ เพราะฉะนั้น ปัญหาทุกวันนี้คือ เราไม่ได้เริ่มจากสิ่งที่ พระพุทธเจ้าสอน คือ ไม่ได้เริ่มจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ ที่ ท่านตรัสรู้ เราสนใจแต่จะหาทางลัด ทางนี้เร็วกว่า ทางนี้ ดีกว่า ทางนั้นดีกว่า ทางโน้นดีกว่า เราไม่ให้มันผลิบาน ขึ้นมาจากชีวิตที่เป็นอริยสัจ เราคอยแต่จะหาว่าคืออันไหน ช่วยบอกหน่อย เราจะทำ ให้ได้ แล้วโดยธรรมชาติของอัตตา มันก็ชอบทำ ด้วย มันอยากสำ เร็จเร็วๆ นี่คือประเด็น เวลานักปฏิบัติธรรมมาเจอผม ผมบอกว่าไม่ต้องทำ อะไร ก็ช็อกเลย แล้วเราจะทำ ยังไง? ทำ ไมเรางง? เพราะจริงๆ แล้วเราเคยชินที่จะปฏิบัติ คืออัตตามันชอบทำ แต่ผม ถามว่า เราเคยรู้มั้ยว่าทำ ไมอัตตามันชอบทำ ? เพราะจริงๆ แล้ว อัตตาชอบได้รับความก้าวหน้า


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 51 ผมจะพยายามถอยไป ให้พวกเราพิจารณาตามนะ อัตตา นั้นชอบได้รับผลลัพธ์อันหนึ่งที่เรียกว่า “ความก้าวหน้า” แล้วผมถามว่า ความก้าวหน้านั้นมาจากไหน? อ๋อ มันมา จากการที่เราอ่าน เราฟังมาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงอย่างนี้ เขาเรียกความก้าวหน้า ถอยลงไปอีก นั่นก็คือ อัตตานี้เชื่อเรื่องแบบนั้น และให้ คุณค่ากับผลลัพธ์เหล่านั้น และอัตตาจึงอยากได้ผลลัพธ์ นั้น แล้วอัตตานั้นจึงอยากทำ เข้าใจมั้ยว่าพิจารณา แบบนี้ นี่คืออริยสัจ 4 คือเห็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่การทำ อะไร แต่มันคือ การเห็นตัวเองอย่างหมดจด ว่าชีวิตนี้มันคืออะไร ชีวิตนี้ มันขับเคลื่อนด้วยอะไร แล้วทำ ไมมันถึงเป็นแบบนี้ ถ้าเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดนี้ ผมถามว่าเราต้องการวิธีการ อะไรมั้ย สิ่งที่ผมพูดทั้งหมด เราต้องใช้อะไรมากกว่า ชีวิตของเราเองมั้ย?


Camouflage | 52 เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่การที่เราเดินตามใครสักคนหนึ่ง แต่เราต้องตระหนักรู้ว่า ชีวิตนี้มีแสงสว่าง และมีปัญญาของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเราตระหนักรู้ไม่ได้ว่า ชีวิตนี้มีแสงสว่าง และมีอิสรภาพ ในตัวมันเองในการที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายังไม่ตระหนักรู้อันนี้ เราจะเป็นแค่คนเดินตาม และนั่นคือความมืด


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 53 ผู้ฟัง : สัมมาทิฏฐิตัวแรก คือ ต้องยอมรับก่อนเลยว่า “ความจริงไม่มีตัวเรา” อาจารย์: ใช่ แล้วทีนี้ก็สำ รวจจริงๆเข้าไป ในสิ่งที่ผมพูดมา ทั้งหมด ว่าทั้งหมดเกิดจากอัตตา อัตตาสั่ง อัตตาเชื่อ อัตตาให้คุณค่ากับสิ่งที่เรารู้สึกว่านั่นคือคุณค่า นั่นคือสูงส่ง นั่นคือดีแล้วก็สนอง มีอัตตาอยากจะได้รับผลตามที่เชื่อนั้น พอได้รับ ก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกว่าสำ เร็จ รู้สึกว่าได้ให้เห็น อย่างนี้ 5 ดีชั่ว ถูกผิด มีไว้ใช้กับอัตตา


Camouflage | 54 สำ รวจเข้าไปจริงๆ แล้วจะพบว่าทั้งหมดนี้คือมายา คือเป็น แค่กระบวนการของความคิดที่รับเข้ามา แล้วก็เอาไปทำ แล้วก็ได้ผลบ้าง หรือไม่ได้ผล แล้วก็เกิดความดิ้นรนครั้งใหม่ ด้วยความพยายามมากขึ้น เพื่อจะรับอีก แล้วก็เอาไปทำ แล้วก็สำ เร็จบ้าง ไม่สำ เร็จบ้าง แล้วชีวิตเราวนอยู่อย่างนี้ เป็นเหมือนหนูวิ่งบนสายพาน


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 55 เราวิ่งวนอยู่อย่างนี้ด้วยใจที่เฝ้ารอ เรามีความหวังว่า วันหนึ่งบนสายพานนี้ เราจะหลุดพ้น ซึ่งมันเป็นแค่ จินตนาการอันใหม่ของอัตตา ที่คอยให้พละกำ ลังกับ อัตตาในการวิ่งบนสายพานนั้นต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น และนี่คือสังสารวัฏ เพราะฉะนั้น เราต้องเห็นว่าอัตตานี้เป็นเพียงความคิดเฉย ๆ เป็นแค่ไอเดียหนึ่งเกิดขึ้น ที่ทำ ให้เกิดความเป็นเจ้าของชีวิตนี้ และก่อความอยากที่จะหลุดพ้น และถ้าเราเข้าใจตามที่ผม บอกได้แบบนี้ เราจะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมในทุกวันนี้มัน ไม่ใช่อะไรพิเศษหรือสูงส่งในชีวิตเลย กลับกันมันเป็นแค่ “นิยายของอัตตา”เท่านั้นเอง ถ้าเราเคยเห็นว่าแท้จริงเราทุกคนเป็นแค่แสง ผมพูดว่า “เรา” นี่แค่เป็นสมมตินะ ไม่ใช่จริง เป็นการเปรียบเปรย สมมติว่าชีวิตนี้เกิดมาจากแสง แค่นั้น แสงที่โง่ๆ บื้อๆ ไม่มีอะไรเลย แล้ววันหนึ่งมีจิตเข้ามาครองแสงนั้น จิตนี้ เราเรียกว่า “อวิชชา” เราเคยได้ยินเรื่องอาภัสสราพรหม ใช่มั้ย อาภัสสราพรหมลงมากินง้วนดิน แล้วก็ติดใจ แล้วก็ เกิดเป็นคนในที่สุด


Camouflage | 56 แสงเป็นอะไรที่บริสุทธิ์ ไม่มีอะไร แล้วมีจิตที่มีอวิชชามา ครอง ครองปุ๊บ มันเริ่มกระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมดนี้ ยังไม่มีเรานะ ยังไม่มีผม ยังไม่มีใคร ยังไม่มีชื่อใครทั้งนั้น มันเป็นกระบวนการทางธรรมชาติของรูปกับนามเฉย ๆ ที่มัน เข้ามารวมกัน แล้วมันค่อย ๆเริ่มพัฒนาตัวเอง คำ ว่าตัวเอง ไม่ใช่คนนะ ธรรมชาติของมันพัฒนาไปเรื่อย ๆจนทุกวันนี้ เกิดมาเป็นพวกเรา เกิดมาเป็นสัตว์ เกิดมาเป็นต้นไม้ แต่ด้วยความหลงผิดจากการพัฒนานั้น เกิดความหลงผิด ว่าทั้งหมดนี้คือเรา บ้านนี้เป็นบ้านของเรา เราตายไป เรา จะไปดีๆจะไปขึ้นสวรรค์ เราจะไปนิพพาน เราจะไม่ลงนรก นี่คือ จินตนาการของความหลงผิด ที่สร้างเรื่องเหล่านั้น ขึ้นมา ทั้งที่จริงๆเรามาจากที่ที่ไม่มีอะไร จริงๆไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรในเชิงของความเป็นตัวตน มันมีแค่ธรรมชาติล้วน ๆ ที่เป็นเหตุปัจจัย เป็นปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน กระทบกันไปมา จนพัฒนาจนถึงวันนี้


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 57 ผู้ฟัง : อวิชชาเป็นตัวแย่ที่สุดเลย อาจารย์: ไม่แย่สิเราคิดว่ามันแย่ เพราะมันคือเรา แต่ จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นอย่างนั้นเฉย ๆของมัน ตามธรรมชาติ คือถ้ามีอะไรแย่ จะมีเราอีกคนหนึ่ง อยากจะกำ จัดมัน พระพุทธเจ้าท่านถึงพูดว่า มันเป็นเรื่องเหนือดีเหนือชั่ว เหนือถูก เหนือผิด เพราะว่าชีวิตมันเป็นอย่างนั้น ดีชั่ว ถูก ผิดนั้นมีไว้ใช้กับอัตตาเฉยๆ เหมือนเราต้อง อยู่ในโลกนี้ เราต้องเคารพกฎหมาย เราเป็นเพื่อนกัน เรา ก็ต้องเกรงใจกัน คล้าย ๆว่า ศีลธรรมต่างๆ มันมีไว้ใช้กับ อัตตา เวลาอัตตาปะทะกันก็ต้องมีขอบเขต มีไว้ใช้ เพื่อ ให้อยู่ด้วยกันได้ แต่มันไม่จริง เข้าใจมั้ย? แต่มนุษย์เรา โดยเฉพาะคนดีเรายึดสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นจริง ถ้าเข้าใจสิ่งที่ผมพูดอันนี้ได้ ก็จะเข้าใจเลยว่า สิ่งดีๆ ทั้งหลายที่เป็นเงื่อนไขในการใช้ชีวิตบนโลกทั้งหมดนี้ มัน ใช้กับอัตตาเฉย ๆเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มันเป็น สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เหมือนสร้างกฎหมายขึ้นมา มนุษย์ก็


Camouflage | 58 เป็นคนสร้างศีลธรรมขึ้นมาเหมือนกัน มนุษย์สร้างจริยธรรม ขึ้นมา มนุษย์สร้างเงื่อนไขในการอยู่ร่วมกันขึ้นมา เข้าใจมั้ย เหล่านี้ทั้งหมดคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น อะไรก็ตามที่ถูกผลิต ขึ้นจากความคิด นั่นไม่จริง อิสรภาพ คือสิ่งที่ไม่ได้ถูกผลิตขึ้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว อิสรภาพ เป็นความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อชีวิต ต่อระบบ ทั้งหมดของจักรวาลนี้ก็ได้ นี่คืออิสรภาพ แจ่มแจ้งมั้ย?


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 59 เราแค่รู้จักว่าทั้งหมดในชีวิตนี้ ที่มันมีอยู่นี้ เป็นแค่เครื่องมือ เฉย ๆ ไม่มีอะไรต้องจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นธรรมหรืออธรรม ไม่ต้องจริงจัง เพราะทุกอย่างเป็นแค่ไอเดีย ที่ผมบอกว่า ธรรมะ...ถ้าพูดออกมาก็ผิดหมด เพราะมัน กลายเป็นไอเดีย ไม่ว่าสิ่งที่พูดนั้นจะบริสุทธิ์แค่ไหน หรือผม จะพูดสิ่งที่เป็นจริงแค่ไหน ถ้ามันคงเหลือเป็นไอเดีย นั่นคือ เราจะยึดทันทีอัตตาจะจับเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตมีหลักการ นั่นคือชีวิตพัง พระพุทธเจ้า ท่านจึงบอกว่า สิ่งที่ท่านสอนเป็นแค่ประสบการณ์ คำ ว่า 6 ไม่ทำอะไร


Camouflage | 60 “ประสบการณ์” คือหมายความว่า มันผ่านมา แล้วก็ผ่าน ไป ท่านไม่ได้ยึดเป็นหลักการ แต่ทุกวันนี้นักปฏิบัติธรรมเรา เป็นยังไง? หลักการเพียบ เธอต้องอย่างนี้ เธอต้องอย่างนั้น ส่วนตัวผมค่อย ๆ มีประสบการณ์กับคนมากขึ้น แล้วผมถึง ค่อย ๆรู้ว่า วงการนักปฏิบัติธรรมนี่เหลือเชื่อจริงๆ คือแทนที่ จะเป็นวิชชากัน กลับเป็นอวิชชากันหมด เหมือนที่ผมพูดมา ข้างต้นทั้งหมด แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่ผมเอามาพูดได้ ไม่จบไม่สิ้น ไม่รู้กี่ปีมาแล้วจนถึงวันนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่เรา ติดอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ หัวใจของเรามันติดหลายแง่งมาก เราอาจจะฟังผมวันนี้แล้ว ก็เข้าใจ แต่สมมติเรามี100 แง่งที่ติดอยู่ เมื่อผมพูด 1 แง่ง 2 แง่ง เราเข้าใจได้ แต่อีก 98 แง่งที่เหลือ คือเราไม่รู้ว่า เราติดอยู่ ผมก็ต้องค่อย ๆ แซะ ค่อย ๆ กระแทก ค่อย ๆ อธิบายให้มันเข้าใจ ว่าไม่ใช่แบบนั้นนะที่คิดอยู่ ไม่ใช่ แบบนั้น ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่แบบนั้น แต่ท้ายที่สุดเราต้อง แซะตัวเองเป็น ไม่ใช่คอยวิ่งหาครูบาอาจารย์ นั่นหมายถึง เราเริ่มมีชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4 ได้แล้ว


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 61 เหมือนหลวงพี่เป็นตัวอย่างที่ดีท่านทำ ทุกอย่างที่ท่านฝึก อุกฤษฏ์แค่ไหนก็ทำ ได้ ท่านก็อยู่ในวัฒนธรรมแบบเดียวกับ พวกเรา แบบที่ผมบอก คือแบบว่าการปฏิบัติธรรมต้อง อย่างนี้ ต้องอย่างนั้น มีความเชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ หลวงพี่ก็ไปฝึกที่นู่น ที่นี่มา แล้วก็มาเล่าให้ผมฟัง แล้ว ทุกครั้งที่หลวงพี่มาเล่าให้ผมฟัง ว่าหลวงพี่ฝึกแบบนี้ได้แล้ว ทำ อย่างนี้ได้แล้ว ทำ อย่างนู้นได้ ผมก็จะฟังด้วยความเซ็งๆ เล็กน้อย คล้าย ๆเรื่องเล่าตลก ๆอันหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า มีคนมาขออยู่ กับอาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง อยู่มาหลายสิบปีจนเขารู้สึกว่าเขา มาอยู่กับอาจารย์เป็นสิบ ๆ ปีเขาไม่ได้อะไรเลย เขาจึงขอลา เขาจะไปศึกษาที่อื่น อาจารย์ก็ให้ไป ลูกศิษย์คนนี้ไปได้2 ปีก็รีบกลับมาบอกอาจารย์ว่า “ผมไป แค่ 2 ปี ผมก็ได้อะไรมากกว่าอยู่กับท่านนับสิบปีอีก” อาจารย์ถามว่า “ได้อะไร” ลูกศิษย์ตอบว่า “ผมสามารถเดิน บนนํ้าได้ข้ามแม่นํ้าจากฝั่งนี้ ไปฝั่งนู้นได้อาจารย์เซ็นจึง ตอบว่า “ทำ ไมเจ้าโง่ขนาดนั้น ถ้าเจ้าจะแค่ข้ามฟากแม่นํ้า


Camouflage | 62 เจ้าจ่ายแค่ 2 เซ็นต์ เจ้าก็ขึ้นเรือข้ามไปได้นะ ไม่ต้องฝึก อะไร” เปรียบเหมือนที่หลวงพี่ก็ไปฝึกอะไรมา แล้วเอากลับมาเล่า ให้ผมฟัง หลวงพี่ก็รู้สึกว่าก้าวหน้าขึ้น เพราะทำ ได้ ก็เลย รู้สึกว่าก้าวหน้าขึ้น ซึ่งผมฟังๆ แล้วก็ตอบรับอย่างเป็น มารยาทว่าโอเค ๆ (ซึ่งหมายความว่าไม่โอเค) แล้วสุดท้าย ผมก็บอกหลวงพี่ว่า “จริงๆ มันไม่ต้องทำ อะไร” หลวงพี่ ก็บอกว่า “อะไรเนี่ย!” คือหลวงพี่รู้สึกว่า นี่ปฏิบัติมาอย่างดี แล้วนะเนี่ย โอ้โห ผลลัพธ์หลายอย่างมันมหัศจรรย์ มี สภาวะต่างๆ แต่ผมกลับมาบอกว่าไม่ต้องทำ อะไร แล้วหลวงพี่ก็เก็บความรู้สึกนั้นมาตลอด เวลาถามผมว่า “ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วยังไงต่อ?” ผมก็ตอบว่า “ไม่ต้องทำอะไร” คำ ว่าไม่ต้องทำอะไรอยู่ในหัวสมองหลวงพี่ จนหลวงพี่ไม่อยากจะคุยกับผมแล้ว เพราะว่าถ้ามาคุยกับ ผม ผมจะบอกว่า “ไม่ต้องทำ อะไร” แล้วผมก็นิมนต์ขอไม่ให้หลวงพี่ไปไหน ให้หลวงพี่อยู่ที่กุฏิ ตัวเอง ปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามปกติปกติหลวงพี่เป็นพระ-


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 63 เซเลบ (Celebrity) ออกรายการทีวีลงหนังสือพิมพ์ไปเดิน ธุดงค์เนปาล แต่แล้วหลวงพี่ท่านก็อยู่ที่กุฏิอยู่ไปเรื่อย ๆจน วันหนึ่งทุกข์มาก ต่อไปให้หลวงพี่เล่าต่อครับ หลวงพี่ : จริงๆ แล้วอย่างที่อาจารย์ปูมาทั้งหมดก็คือ คำ ว่า พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันจะต้องทำ อะไรบางอย่าง หรือ เราจะมีเป้าหมาย มีหลักการ มีอะไรต่างๆ ที่ได้รับมาจาก ครูบาอาจารย์ต่างๆ หรือข้อมูลที่เราได้รับรู้มา แล้วเราก็เลย พยายามทำ ๆๆ มันก็สำ เร็จทั้งหมดนะ มันได้หมด เข้าใจ หมด จนมาถึงวันหนึ่งอาจารย์บอกให้หลวงพี่อยู่เฉย ๆ คือ หลวงพี่ไม่มีหน้าที่อะไรเลย หยุดทุกอย่าง เลิกหมด ทุกอย่าง ไม่ทำ อะไรเลย แค่มีชีวิตอยู่ที่กุฏิแล้วก็ใช้ ชีวิตอยู่อย่างนั้น สมัยก่อนหลวงพี่ก็ชอบนั่งสมาธิเดินจงกรม จนมาได้ยิน คำ ว่าไม่ต้องทำ อะไร หลวงพี่ก็โอเค หลวงพี่จะไม่ทำ อะไร เลย ซึ่งหลวงพี่ก็เข้าใจผิดอีก พอหลวงพี่ไม่ทำ อะไรเลย มัน ก็คือคอนเซ็ปต์ใหม่ในชีวิตเราอีกว่า เราจะไม่ทำ อะไรเลย คือไม่เดินจงกรม ไม่นั่งสมาธิแต่แล้ว มันก็มาบีบคั้นหัวใจ เราอีก แล้วทุกอย่างมันก็เหมือนกับสับสน มันเป็นอะไร


Camouflage | 64 ก็ไม่รู้ พอมันเริ่มทุกข์มาก คราวนี้เราก็ไปเดินจงกรมของเรา เอง เดินเอง โดยไม่ได้เดินเพื่อเอาอะไร เราก็แค่เดิน ๆไป แล้วมีวันหนึ่งมันก็มีความรู้สึกที่พอจะเริ่มรู้แล้วว่า อะไรที่มัน ทำ ให้เราบีบคั้น ทุกข์ขนาดนี้ นึกออกมั้ย? อย่าลืมว่า ชีวิต ของหลวงพี่ เป้าหมายในการเป็นพระคือ เราต้องเป็นพระ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ในวันนั้น ในระหว่างที่เราก้าวเดิน อยู่ เราไม่ได้ทำ เพื่อจะเป็นอะไร หรือเพื่อจะได้รับอะไรเลย แล้วฉับพลันมันก็เห็นตัวบงการที่มันหนัก ที่เราแบกไว้ ตลอด คือ “พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ” แล้วมันเป็นก้าวที่รู้สึกว่าเกิดการทิ้งสิ่งที่แบกมานาน แสนนานนี้ คือมันไม่สามารถจะพูดเป็นคำ พูดได้แต่ มันรุนแรงกับหัวใจเรามาก เหมือนเราพบบางอย่างแล้ว เหมือนสิ่งนี้นี่เองที่เป็นปัญหาในชีวิตเรา แล้วมันตู้ม พังทลายลง เปรียบเทียบมันเป็นความรู้สึกที่เรารู้สึกลำ บาก หนัก หรือ เครียด แล้วเราก็พบว่า อ๋อ เพราะอย่างนี้น่ะหรอ...เพราะ อย่างนี้นี่เอง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 65 แต่หลวงพี่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่นะ เหมือนเราถืออะไรอยู่ตลอด เวลาซึ่งเป็นสิ่งที่หนักมาก แล้ววันหนึ่งวางลงไป ทิ้งลงไป แต่มันก็ไม่ได้แบบเบาสบาย มันไม่รู้จะพูดคำ ว่าอะไร มันคือ ความรู้สึกที่เป็นชั่วขณะเดียว ที่มันพลิกทุกอย่างเหมือนกับ ใหม่เลย เหมือนจากเคยเป็นคนที่สายตาสั้น ที่เราเคยมอง อะไรที่เบลอๆ มาตลอด แล้วพอเราใส่แว่นปุ๊บ โอ้ววว อะไร แบบนี้ ทีนี้เหมือนเราได้ใส่แว่นอันใหม่แล้ว เราก็จะเห็นอะไรที่ ชัดเจน รู้จักกับสิ่งนี้เยอะขึ้น แล้วก็เรียนรู้มาเรื่อย ๆเพราะ มันก็เป็นไปตามกระบวนการของมัน เพียงแต่แค่เราใส่แว่น แล้ว เราไม่ได้เป็นคนสายตาสั้น เดินงงๆไป เราใส่แว่นใหม่ แล้ว ผู้ฟัง : พอตอนนี้ใส่แว่นใหม่ แล้วเป็นยังไง เมื่อเทียบกับ อดีตแล้ว มันมีอะไรมากกว่า หรือต่างไปคะ? หลวงพี่ : คือรู้สึกว่าก่อนที่จะหยิบแว่นมาใส่ เราจะมีความ วุ่นวาย มันมีความที่เราจะต้องจัดการ หรือต้องทำ อะไร ซึ่ง มันเป็นสิ่งเกิน มันมากกว่าความเป็นปกติธรรมดา แต่ตอนนี้


Camouflage | 66 คือเป็นความปกติธรรมดา ที่ไม่ได้มีอะไรบีบคั้น หรือไม่ได้ มีอะไรที่มันทำ ให้เราต้องเป็นยังไงหรือเป็นอะไรเลย คือชีวิต มันเบา แต่หลวงพี่ก็ไม่อยากจะใช้คำ พูดอย่างนี้ เพราะเดี๋ยว เราอยากจะเอาเบาอีก หลวงพี่จึงไม่อยากจะสื่อสารอะไร ออกไปแบบนั้น คือมันก็ยังมีทุกอย่าง เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างคือ “อิสระ” แต่หลวงพี่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ออกไปอีก เพราะเดี๋ยว มันจะเป็นเป้าหมายเอามาวัดการปฏิบัติของเรา และสร้าง ความต้องการของเรา คือมันได้รู้จักการมีชีวิตที่เป็นจริง ขณะที่เมื่อก่อนชีวิต เรามีความรู้สึกว่า จะเอาดีให้ได้อย่างเดียว อาจารย์: โอเค ผมจะช่วยอธิบายเพิ่ม คือชีวิตก่อนนั้น ของหลวงพี่ หรือของพวกเราทุกคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เป็นชีวิตที่เดินตามข้อมูลบางอย่าง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย บางอย่าง ที่เราเชื่อ นั่นคือชีวิตที่หลวงพี่บอกว่าเหมือนไม่ได้ ใส่แว่น สายตาสั้น เหมือนที่ผมบอกว่าชีวิตที่เดินตามอะไร บางอย่างเป็นชีวิตที่มืด แบบนั้นแหละ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 67 แต่เหตุการณ์ที่หลวงพี่บอกว่าเหมือนได้ใส่แว่น หมายความ ว่าภาระทั้งหมดที่เคยเป็นคนที่เดินตาม ไล่ไขว่คว้าอะไร บางอย่าง หมดไป จบไป และเกิดความเข้าใจต่อชีวิตนี้ว่า มันเป็นแค่ความแจ่มแจ้งต่อความมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ แค่นั้น โดยที่ไม่มีใครสักคนหนึ่ง ไล่ล่าเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ไม่มีอีกแล้ว และนี่คือหัวใจที่มีชีวิตที่เป็น อริยสัจ 4 หรือหัวใจแห่งสัมมาทิฏฐิ มันคือการที่เราคนหนึ่งจะต้องแจ่มแจ้งกับชีวิตนี้ ว่ามันคือ อะไร และเมื่อเราเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดนี้ชีวิตโดยตัวมันเอง จะไม่มีเป้าหมายโดยอัตโนมัติไม่ต้องบังคับ เพราะไม่มีใคร จะเป็นอะไรอีกแล้ว การที่เราคิดว่าเมื่อปฏิบัติธรรม แล้วเราจะหลุดพ้น คำ ว่า“เราจะหลุดพ้น” หมายความว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ นั่นคือการที่เราจะเป็นอะไร นั่นคือเป้าหมาย แต่ชีวิตที่แท้จริง ไม่มีเรื่องแบบนั้น


Camouflage | 68 แต่นี่คือวัฒนธรรมของนักปฏิบัติธรรม เช่น ผมบอกว่า “ไม่มีเรา” เราคิดว่านี่เป็นเรื่องของพระอรหันต์ แต่ผมบอกว่า ไม่มีเรา เป็นเรื่องของเราในขณะนี้เลย ไม่ใช่เรื่องของพระอรหันต์ เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้ และที่ผมบอกว่าอริยสัจ 4 นั้นมันไม่มีอะไรยาก ผมได้ยก ตัวอย่างหลายตัวอย่างข้างต้น แล้วทุกคนสามารถฟังเข้าใจ ได้ แปลว่ามันไม่มีอะไรยาก ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องการจาก พวกเรา คือ“ความใส่ใจต่อตัวเอง” แค่นั้นเอง ทำ ไมต้องวิเวก สันโดษ มักน้อย ไม่คลุกคลีปรารภความ เพียร? เพราะเหล่านี้นั้น เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่ผมบอกว่า พวกเราต้องมีก็คือ “ความใส่ใจตัวเอง” ความใส่ใจจะเกิดขึ้นได้เราต้องมี“เวลา”อยู่กับตัวเอง หมายความว่าไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นทางโลกเยอะแยะ เพราะ เมื่อมันออกไปข้างนอก เจอสารพัดเรื่อง มันก็ไม่มีเวลาใส่ใจ ตัวเอง จริงๆเรื่องมันง่าย ๆ แค่นั้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 69 เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องลึกลับ เราต้องเข้าใจ ว่าศาสนาพุทธนี้เป็นสากล คำ ว่าสากลคือ ไปทั่วใช่มั้ย? เป็นสิ่งที่ทุกคนทำ ได้ใช่มั้ย? ไม่เกี่ยวกับชาติภาษา วรรณะ ทุกคนทำ ได้หมด คำว่าสากล หมายความว่า มันไม่ลึกลับ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดง่ายนะ ไม่ว่าใครก็คิด ตามได้ พิจารณาตามได้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมันอยู่ ใกล้ตัวเรามากที่สุด


Camouflage | 70 สมมติเราต้องการจะรู้จักคนคนหนึ่ง เราจะต้องไปอยู่กับเขา ทั้งวันทั้งคืน แล้วเราจะรู้จักนิสัยเขามากขึ้น แต่เราอยู่กับ ตัวเราเองมากี่ปีแล้ว? เรารู้จักตัวเองหรือยัง? ถึงวันนี้เรา ก็ยังไม่รู้จักตัวเองเลย แทนที่เมื่อเราเลือกที่จะก้าวเข้ามาในการปฏิบัติธรรม แล้ว จะได้มีโอกาสรู้จักตัวเอง เรากลับหาอย่างอื่นทำ เพิ่ม หา อะไรเพิ่มใส่ตัว จะเอาท่าเดียว เช่น หาสติเพิ่ม หาสมาธิ เพิ่ม หาปัญญาเพิ่ม หาคำ สอนเพิ่ม หามาตรวัดเพิ่ม ว่า แบบนี้ถูกหรือยัง แบบนี้ก้าวหน้าหรือยัง เราเอาเข้าตัว แทนที่เราจะสละออก เห็นมั้ยว่าเราทำ สิ่งที่ตรงข้ามกัน ตลอดเวลา กับสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม เราทำ ทุกอย่าง ตรงข้ามกันหมดเลย แต่เราหลงเชื่อสนิทใจว่าเรากำ ลัง ปฏิบัติธรรมอยู่ ที่ผมพูดหลายครั้งว่า ถ้าเราไม่มีหัวใจที่ถูกต้องนี้เราอย่า เรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม เราเรียกไม่ได้เรา เป็นแค่คนที่อยู่ในวงจรเดิมเฉย ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต แค่เปลี่ยน กิจกรรมที่จะทำ แค่นั้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 71 หลวงพี่ : พอหลวงพี่มีชีวิตแบบนี้แล้ว ได้ใส่แว่นใหม่แล้ว ทำ ให้หลวงพี่เข้าใจได้เลยว่า ทั้งหมดที่หลวงพี่ปฏิบัติแบบ แทบเป็นแทบตาย และพยายามเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบมา 12 ปีนั้น แท้จริงเรายังไม่ได้เริ่มปฏิบัติเลย หลวงพี่ ต้องเริ่มนับวันที่ปฏิบัติคือวันนั้น วันที่ได้แว่นใหม่ สิ่งหนึ่งที่มันแตกต่าง ก็คือเราได้เข้าใจคำ ว่า“ไม่ทำ อะไร” จริงๆ เราเริ่มได้เข้าใจในหลาย ๆ คำ ที่อาจารย์พูดมาทั้งหมด เราจะ ไม่มีทางเข้าใจเลยนะ ถ้าเกิดว่าเรายังไม่มีหัวใจดวงนั้นอย่างที่ 7 เอาสีขาวมาทาสีดำ


Camouflage | 72 อาจารย์พูดถึง เพราะเวลาเราฟัง ทุกอย่างมันจะกลายเป็น เป้าหมาย กลายเป็นหลักการ เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ของชีวิต อย่างที่เมื่อกี้เราพูดกันว่า มันไม่เคยมีเรามาก่อน อันนี้เป็น สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับหัวใจดวงนั้นนะ มันจะเป็นด้วยอะไร ก็ไม่รู้แหละ แต่มันจะเข้าใจเลยว่า อ๋อ มันไม่เคยมีเรา เหมือนเมื่อก่อนนี้เรามีชีวิตโดยมีอัตตาตัวตนบางอย่าง และ เราไม่เคยรู้เลยว่า ตัวนี้มันคือองค์ประกอบหนึ่งในชีวิตเรา และเราก็เข้าใจว่าตัวนี้เป็นตัวร้าย ตัวไม่ดีเราต้องจัดการ อัตตาตัวตน ต้องลบหรือไม่ให้มันมีเราถึงจะเป็นคนที่ใช้ได้ เป็นคนที่สุดยอด แต่ตอนนี้หลวงพี่รู้สึกว่า เราเป็นสิ่งนี้ที่มัน มีอยู่คู่กันกับชีวิตนี้ แล้วหลวงพี่ก็รู้จักกับตัวอัตตามากขึ้น เมื่อก่อนที่จะบวช หลวงพี่เป็นคนที่ไม่ค่อยดีสีเทาๆ แล้ว เราไม่เคยรู้จักตัวอัตตานี้เลย ตัวอัตตานี้มันหาวิธีที่จะทำ ให้ คนอื่นเขารู้สึกว่าเราเป็นคนดีหลวงพี่พยายามทำ ทุกวิถีทาง ที่จะให้เป็นแบบนั้น แต่มันก็ยังไม่ดีมันก็เลยคิดว่า เออ งั้นเอ็งไปบวชสิจะได้ดูเป็นคนดีขึ้น


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 73 แล้วมันก็เหมือนที่อาจารย์เคยสอนว่า มันคือ“การเอาสีขาว มาทาสีดำ ” เป็นอย่างนั้นเลย หลวงพี่ถึงกับสู้ตาย เราต้อง เป็นตัวขาว โดยที่มีตัวอัตตานี้เป็นตัวชักใยเราตลอดเวลา แล้วพอวันหนึ่ง ซึ่งคือวันที่หลวงพี่เห็นมัน ก็ถึงกับ อ้าว... ที่เราเหนื่อย เราทำ อะไรมาแทบตาย เพราะตัวอัตตานี่เอง แล้วเราก็รู้จักกับมันจริงๆ แล้วนับจากวันนั้น มันเลยกลายเป็นว่าเราเริ่มรู้จักลีลาของมัน ก็คือรู้จักลีลาของตัวเองนี่แหละ เช่น พอเราเจอคนนี้ เราก็ จะพยายามพูดดีเราพยายามที่จะปฏิบัติดีด้วย


Camouflage | 74 ทีนี้เราจะได้เห็นตัวนี้และการทำ งานของมัน แล้วเราก็รู้จัก มันในทุกแง่ทุกมุม เหมือนเป็นสิ่งที่เราได้คอยดูตัวเรา ไม่ได้ เป็นการกำ จัด แต่เป็นการศึกษามัน แล้วเราก็ได้เข้าใจมัน อย่างแจ่มแจ้งทุกกระบวนการของลีลาของมัน ไม่ว่าจะเป็น ทั้งความทุกข์ความสุข หรืออะไรที่มันส่งผลต่างๆ แล้วชีวิต มันก็เป็นแบบนี้ ทุก ๆวันนี้ ก็มีแต่เรื่องแบบนี้ หลวงพี่อยู่กับ ความจริงของชีวิตแบบนี้ หลวงพี่ใช้เวลาทั้งหมดกับตัวเองแบบนี้ ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ ทำ อะไร อยู่แบบนี้ แค่นั้นเอง เรียนรู้ไม่ใช่การกำ จัด ทำ ลาย หรือจะทำ ในสิ่งที่มันดี หรือจะฝึก หรือจะเปลี่ยนมัน แค่รู้จักมันตรงๆเลย อาจารย์: เราพยายามจะเปลี่ยนตัวเอง นี่คือปัญหาใหญ่ ของอัตตาที่หลอกเรา อัตตาอยากเปลี่ยนตัวเอง จากดำ อยากเปลี่ยนเป็นขาว ผมอยากจะเพิ่มอีกอันให้เราเข้าใจ ชัดเจนมากขึ้นคือ เราจะถูกหลอกจากการที่พยายาม เปลี่ยนดำ เป็นขาวเสมอ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 75 สมมติเราสองคนทะเลาะกัน มีความโกรธเกิดขึ้น หรือมี ความหงุดหงิดไม่พอใจเกิดขึ้น ลึก ๆรู้สึกมั้ยว่ามันไม่ดีแล้ว เราก็จะคิดต่อว่า นี่เราสติไม่พอ เราจะโทษตัวเองว่า สมาธิ เราไม่ดีรู้ไม่ทัน เราคิดแบบนั้นทุกคนใช่มั้ย? ทำ ไมเราคิด แบบนี้? เราอยากจะเป็นคนดีใช่มั้ย? เพราะฉะนั้น นั่นคือ อัตตาที่อยู่ข้างหลังที่ชักใย และนั่นคือชีวิตนี้ ถูกชี้นำ ด้วย อัตตา อัตตาเป็นเจ้าของชีวิตนี้อย่างสมบูรณ์ มันต้องการ ขาว ไม่ต้องการดำ เพราะฉะนั้น ชีวิตทั้งชีวิตของเรา คือ อัตตา ต่อให้ขาว ก็คืออัตตา แต่พระพุทธเจ้าสอนเราเรื่อง“อนัตตา” อนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตา เป็นคู่ตรงกันข้ามกับ อัตตา แต่อนัตตาคือ เหนือทั้งไม่มีอัตตา และมีอัตตา คำ ว่าอนัตตา คือ ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา นี่คือสัมมาทิฏฐิโลกุตตระข้อแรกในอริยมรรคมีองค์8


Camouflage | 76 เพราะฉะนั้น วิธีปฏิบัติต่อสีดำ เมื่อเกิดขึ้นในใจ จริงๆ แล้ว ควรจะเป็นยังไง? ผู้ฟัง : ก็เรียนรู้มัน มันจะหลงเข้าไปก่อน พอหลงเสร็จ ปุ๊บ ก็รู้ แล้วก็ปล่อยให้มันมีอารมณ์โกรธก็ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่ หลงไปตามมัน แค่นั้นค่ะ แต่ว่ามันก็ยังมีความเป็นตัวเราอีก ที่คิดว่า เฮ้ย ยังดับไม่ได้เลย มันก็จะเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ แล้วเดี๋ยวมันก็จะรู้ แล้วสักพักหนึ่งมันก็หลงอีก ก็จะเป็น ประมาณนี้ค่ะ อาจารย์: ถูกต้อง โอเค คำ ตอบก็คือว่า เราจะอยู่กับสีดำ นั้น โดยที่ไม่มีจิตใจแบ่งแยก โดยความคิดของอัตตาว่า จะทำ ยังไงกับมันดีใช่มั้ย? แต่อีกไม่นาน จะเกิดความคิด ของอัตตาขึ้นมา ทำ ไมมันไม่ดับสักทีหนึ่งนะ แล้วมันก็คือ ไอเดียว่า สิ่งนี้ไม่ดีถูกมั้ย? ที่ผมกำ ลังจะบอกก็คือว่า เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า อัตตามันพร้อมจะครองชีวิตนี้เสมอ และการครองชีวิตนี้ อย่างแนบเนียนที่สุดก็คือ “มันจะเป็นคนดี” เข้าใจมั้ย?


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 77 เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่า“ดี” คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะ เป็นสิ่งที่หลอกมนุษย์ด้วยอัตตามากที่สุด นี่คือการติดดี อย่างลึกซึ้งที่ชาวพุทธเราไม่เคยรู้ว่า อะไรที่ถูกบอกว่าดี เราจะตื้นเขินกับมันทันทีเราจะปล่อยผ่านเลย เพราะ มันดีแล้ว ผมถึงบอกว่า สิ่งที่เราจะต้องลึกซึ้งกับมันมากที่สุดคือ “ดี” เพราะดีคือสิ่งเดียวที่หลอกเรา แต่“ไม่ดี” หลอกเราไม่ค่อย ได้ ถูกมั้ย? อะไรไม่ดีเราก็ไม่เอา ธรรมชาติของอัตตา ไม่เอาหรอก นึกออกมั้ยว่ามันหลอกไม่ได้ คนเรา ถ้าหลอกตัวเองได้แล้ว ก็หลอกทุกคนได้ เมื่อเรายังไม่รู้ว่า ความดีนั้นหลอกเรายังไง เมื่อเรายังไม่รู้ว่าตัวเราเองนั้นถูกหลอกอยู่ สิ่งที่เราทำ ทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ความจริง แต่มันคือการไป หลอกคนอื่นต่อ นี่คือโครงสร้างที่น่ากลัวที่สุด ที่อยู่คู่กับ สังคมนี้มาอย่างยาวนาน


Camouflage | 78 เพราะฉะนั้น เข้าใจเรื่อง“ดี”ให้ลึกซึ้ง เข้าใจเรื่องของจิตใจ ให้ลึกซึ้ง แบบที่ผมพูดทั้งหมดนี้ มันจะคอยหลอกเราตลอด เวลา และถ้าเรารู้ไม่ทันแบบที่ผมพูดแบบนี้ เราจะถูกมันกิน เลย อัตตาสีขาวจะครองชีวิตนี้ทันที


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 79 อาจารย์: เวลาที่หลวงพี่บอกว่า เบา สบาย และไม่อยาก พูดคำ นั้น แต่อุปมาแบบนั้นได้เบาสบายคืออะไร? คำ ว่าเบาสบาย คือ ชีวิตนี้ไม่มีหลักให้ยึดไว้อีกแล้ว แต่ ก่อนหน้านี้หลวงพี่บอกว่า แบกเอาไว้อุปมาการแบก คือ แบกไอเดียของอัตตาเอาไว้ พอถึงวันหนึ่งที่ทิ้งมันลงไป เรา จะเรียกว่าเบาก็ได้ แต่หลวงพี่ไม่อยากจะใช้คำ นั้น แต่ในความหมายเปรียบเทียบ คำ ว่าเบา คือแบบนั้น คือ ไม่มีอะไรจะแบกไว้อีกแล้ว เราไม่ได้แบกว่า จิตใจต้องเป็น ยังไง เราไม่ได้แบกคอนเซ็ปต์นี้ไว้อีกแล้วว่าจิตใจต้องเป็น ยังไง 8 ความแจ่มแจ้ง


Camouflage | 80 เพราะฉะนั้น มันเหลือแค่ความแจ่มแจ้ง ซึ่ง ความแจ่มแจ้ง คือตัวแทนของอริยสัจ 4...แจ่มแจ้งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ นี้ คำ ว่าแจ่มแจ้งต่อมัน นั่นคือไม่ได้แบก และไม่ได้มี ว่ามันควรจะเป็นยังไง ปัญหาใหญ่ที่สุดของนักปฏิบัติธรรมหรือในมนุษย์ทุกคน คือ เรายึดว่าเราควรจะเป็นยังไง อะไรควรจะเป็นยังไง โลกนี้ ควรจะเป็นยังไง สิ่งต่างๆ นั้นถูกโปรเจค (Project) ออกจาก อัตตาทั้งนั้น แต่ความอยู่เหนืออัตตา อยู่เหนือทั้งหมด คือความสามารถ ต่อการแจ่มแจ้งทั้งหมดที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แค่นั้น โดยที่ไม่มี ว่า ถ้าผมแจ่มแจ้งแบบนี้แล้ว เดี๋ยวผมจะเป็นอรหันต์ใช่มั้ย


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 81 เดี๋ยวผมจะไม่ทุกข์ใช่มั้ย เดี๋ยวผมจะไม่เกิดแล้วใช่มั้ย เดี๋ยว ผมจะหลุดพ้นใช่มั้ย...ไม่มี ตัวชีวิตที่แท้จริงนั้น ธรรมชาติที่แท้จริงของมัน เป็นได้แค่ อย่างเดียวคือ “ความแจ่มแจ้ง” เป็นอย่างอื่นไม่ได้ สิ่งที่ นอกเหนือจากนี้(ความแจ่มแจ้ง) ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ไอเดีย ของอัตตาที่คอยคิดว่า ถ้าทำ แบบนี้แล้ว จะได้ไปเป็นอะไร ในอนาคต


Camouflage | 82 เรามีความเห็นผิดกันมากขนาดที่ว่า เรามาปฏิบัติธรรม เพื่อ จะออกจากวัฏฏะนี้ แต่เรายังไม่รู้ด้วยซํ้าว่า เราคือต้นเหตุ ของวัฏฏะ ผมจะอธิบายให้ฟัง เรื่องนี้มันเรื่องยากหน่อย เรื่องแรกคือเรามีความเห็นว่าเราจะออกจากวัฏฏะ นี่คือ ความเห็นผิด เพราะจริงๆไม่มีเรา ไม่ใช่เราออกจากวัฏฏะ แต่มันไม่มีเรา และเรื่องที่สองก็คือว่า วัฏฏะนี้จะดำ เนินไป อย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะมีเรา หรือไม่มีเราก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วท่านถอยกลับไป เดินหน้า ถอยหลัง เพื่อจะดูว่าจุดเริ่มต้นของวัฏฏะนี้อยู่ที่ไหน? ท่าน 9 วัฏฏะ วิวัฏฏะ


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 83 บอกว่าหาไม่เจอ นั่นหมายความว่าอะไร วัฏฏะนี้จะคงอยู่ ตลอดไปชั่วกาลนานไม่มีวันจบ เพราะนี่คือธรรมชาติของ จักรวาล ของสรรพสิ่ง ส่วน “เรา” นั้นเป็นแค่ปรากฏขึ้นมา ชั่วคราวในช่วงสั้น ๆของอนันตจักรวาลนี้ แต่เราหมกมุ่น อยู่กับการที่...“กูจะหลุดพ้น กูจะหลุดพ้น” บ้าไปกันใหญ่ นึกออกมั้ย? ทั้งที่จริงๆ แล้วเราเป็นแค่ปรากฏการณ์จากจิต ที่ฉายภาพออกมา แค่นั้น เราจินตนาการว่าจะออกจากวัฏฏะ พ้นวัฏฏะ แต่จริงๆ “มันไม่มีเรา” แล้ววัฏฏะนี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิมด้วย ดังที่พระพุทธเจ้าท่าน บอกว่าหาต้นหาปลายไม่เจอ เมื่อร่างกายนี้สลายไป รูปนามนี้สลายไป มันเป็นดิน นํ้า ลม ไฟ เป็นอากาศ เป็นอะไรๆ ทั้งหมดมันจะเป็นเหตุของ การเกิดใหม่ ของสิ่งมีชีวิตเหมือนเดิม สัตว์จะมากินดิน ดินก็คือตัวเรานี่แหละ กินเข้าไป มันก็เติบใหญ่ ออกลูกไป ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เราอยู่ในทุกที่” ในความหมายหนึ่ง คือแบบนี้


Camouflage | 84 เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้น คือต้นเหตุของการเกิด ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น เราไม่ใช่ผู้ทำ ลายวัฏฏะ ไม่มีใครทำ ลายวัฏฏะได้ และเราก็ไม่ใช่ผู้ออกจากวัฏฏะ เพราะแท้จริงมันไม่มีเรา ต่างหาก จริงๆ คือไม่มีเรา เราเป็นแค่ความหลงผิดของความคิดเฉย ๆ ความเป็นเรา มันเหมือนเป็นอะไรที่ล่องลอย แวบ ๆ ชั่วคราว ผู้ฟัง : เมื่อเรารู้ความเป็นจริงชัดเจนแล้วว่าไม่มีเรา วัฏฏะนั้น เป็นเรื่องของกระบวนการธรรมชาติที่มันดำ เนินของมันอยู่ ในฐานะที่มันมีตัวสมมติบัญญัติตัวรูปนามขันธ์5 อยู่ใน ขณะนี้ ที่มันสร้างขึ้นมาจากความมีเรา จากการหลงผิด จนกระทั่งเกิดมีเราของเราขึ้นมา ในสภาวะการเข้าถึงพระนิพพาน คือการไปพ้นจากวัฏฏะนี้ และสภาวะนี้มันมีอยู่ ถึง อย่างไรวัฏฏะมันก็ยังมีอยู่ แต่สภาวะที่พ้นไปจากวัฏฏะ มัน ก็มีอยู่ คือ วิวัฏฏะ ใช่มั้ยคะ?


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 85 อาจารย์: ทุกอย่างเป็นเรื่องราวของบุคลาธิษฐานเฉย ๆ พระพุทธเจ้าใช้อัตตา หรือใช้สิ่งที่เราคิดออกเพื่อจะอธิบาย ว่าเราออกจากวัฏฏะแบบที่คุณอธิบายมาทั้งหมด เช่น มีคนมาถามพระพุทธเจ้าว่า “พระอรหันต์ตายแล้ว ไปไหน?” ท่านตอบว่า “เหมือนเปลวเทียนที่ดับไป” สรุปคือไม่รู้ไปไหน มีคนถามท่านว่า “อวิชชามาจากไหน?” ท่านตอบว่า “อวิชชามีมาแต่กาลก่อน” คำ ว่า วัฏฏะ หรือวิวัฏฏะ มันเป็นแค่บุคลาธิษฐานในการ ใช้“เรา” มาอธิบายเฉย ๆ สำ หรับผม วิวัฏฏะ หรือการออกจากวัฏฏะนี้ ก็คือการที่ ชีวิตนี้มีความแจ่มแจ้งต่อธรรมชาติทั้งหมด


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 87 เมื่อมีความแจ่มแจ้งต่อธรรมชาตินี้ทั้งหมด เข้าใจต่อความ เป็นวัฏสงสารทั้งหมด นั่นคือ ความหลุดพ้นที่ไม่มีใครเป็น ผู้หลุดพ้น หรือเป็นผู้ได้รับผลว่าเราเป็นผู้ที่ออกจาก วัฏฏะได้สำ เร็จแล้ว


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 89 สิ่งที่เราพยายามอธิบายกัน เช่น นิพพาน หรือแม้กระทั่ง จิตคือพุทธะ ท่านจะอธิบายว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่ทุกวันนี้เราพยายามอธิบายว่าเรา จะไปนิพพาน และไปแล้วเป็นยังไง เราพยายามอธิบาย สิ่งที่อธิบายไม่ได้ มันจึงเป็นสาเหตุให้พวกเราสับสนและ สร้างไอเดียขึ้นมา เกี่ยวกับว่าเราคนหนึ่งเป็นทุกข์ แล้วเรา จะหลุดพ้น แล้วเราจะไปนิพพาน ผมเคยบอกว่าอะไรก็ตามที่เราคิดออก...นั่นไม่ใช่ อะไรก็ตาม ที่เราคิดออกเป็นเหตุเป็นผล สรุปได้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ นั่น ไม่ใช่ 10 ตัวเราเองคือคำ ตอบ


Camouflage | 90 นิพพานคือสิ่งที่เราคิดไม่ออก อธิบายไม่ได้ สิ่งนั้นมันเหนือ การอธิบาย สิ่งที่พยายามอธิบายนั้นเป็นแค่สิ่งรอบๆ มัน ไม่ใช่สิ่งนั้น มันเป็นสิ่งรอบ ๆ สิ่งนั้นเฉย ๆ ถ้าเราพยายามทำ อะไรให้ได้ตามสิ่งที่เราคิดออก ตามคำ อธิบายต่างๆ ที่เป็นสิ่งรอบ ๆ นั้น เราจะไปไม่ถึงที่นั่น...ที่ตรง กลาง เราจะอยู่แค่รอบๆขอบ ๆของสิ่งๆ นั้น ตามคำอธิบาย นั้นที่เราคิดออก  เราต้องเข้าใจสิ่งที่ท่านสอนคือ “อริยสัจ 4” ท่านตรัสรู้สิ่งนี้ หน้าที่เรา คือ การลงลึกกับชีวิตนี้จริงๆ แล้วเราจะพบคำ ตอบทุกอย่าง ชีวิตของเราทุกคนเหมือนกันตรงที่ เราทุกคน คือ สัจจะ สูงสุด เราคือตัวแทนของธรรมชาติที่กว้างใหญ่นี้ มันอยู่ในนี้ เราไม่ต้องหาจากหนังสือ ไม่ต้องหาคำอธิบายจากผม ไม่ต้อง หาจากความเข้าใจทางความคิด แต่หาจากที่นี่ หลายสิ่งหลายอย่าง เราอธิบายพูดออกมาไม่ได้ นอกจาก เราจะต้องลงไปด้วยตัวเราเอง เข้าใจทั้งหมดนี้ด้วยตัว


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 91 เราเอง เราเหมือนเป็นโมเดลเล็ก ๆของธรรมชาตินี้ ถ้าเรา เข้าใจตัวเราทั้งหมด เราจะเข้าใจธรรมชาตินี้ทั้งหมด แต่การปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ เราวิ่งตามหาครูบาอาจารย์ เรา แสวงหาครูบาอาจารย์ เราแสวงหาคนบอกเรา เราแสวงหา เรื่องแบบนั้น แต่ความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นสิ่งที่ต้อง แสวงหามากที่สุด ตัวเราเองคือคำ ตอบของทุกอย่าง พระพุทธเจ้าบอกว่า “ครูบาอาจารย์คือกัลยาณมิตร” ผม ถามว่าเรามีหัวใจแบบนั้นมั้ยกับครูบาอาจารย์ เรามีหัวใจ เป็นกัลยาณมิตรได้มั้ย? เราไม่ค่อยมีแบบนั้น หัวใจของเรา คือ เรานี่เตี้ยติดดิน ครูบาอาจารย์สูงขึ้นไปบนหิ้งเลย หัวใจของเรามีความเชื่อมต่อ Connect กันแบบไม่แบ่งแยก ได้มั้ย? เหมือนเวลาเราเป็นเพื่อนกัน เรารู้สึกยังไง? สบายใจ ใช่มั้ย? มีความรู้สึกจริงใจ สบาย ๆ แต่ถ้าเราไปเจอนายกรัฐมนตรี ความรู้สึกนั้นหายไปเลยใช่มั้ย? พระพุทธเจ้า ต้องการให้เป็นกัลยาณมิตร ไม่ได้ต้องการให้เป็นลักษณะ ของความสูงตํ่า


Camouflage | 92 ความเป็นกัลยาณมิตรเป็นความไม่แบ่งแยก เป็นหัวใจที่ ไม่แบ่งแยก เป็นหัวใจที่เรียกว่าลื่นไหล นํ้าใสใจจริง ไม่มี อะไรที่ต้องระวัง ไม่มีอะไรต้องกลัว อะไรทำ นองนี้ แต่ของ พวกเราชาวพุทธ เวลาเจอครูบาอาจารย์เป็นยังไง? อย่าง แรกที่พวกเรากลัวคือ กลัวบาป จะพูด จะทำ อะไรก็กลัว แน่นอนว่าสมมตินั้น มันมีอยู่ ความเป็นอาจารย์ ลูกศิษย์ ก็มีอยู่ แต่หัวใจที่มีความกลัว และหัวใจที่ไม่มีความกลัว มันต่างกัน หัวใจที่ไม่มีความกลัวเป็นหัวใจที่เป็นปกติเป็นหัวใจที่เปิด เป็นหัวใจที่พร้อมรับ เหมือนเราไม่ต้องกลัวเพื่อนสนิทของเรา ไม่ต้องกังวล แล้วการสื่อสาร การถ่ายทอด มันจะเป็นไป อย่างราบรื่น คล้าย ๆไม่มีไอเดียอะไรขวาง ส่วนใหญ่ที่เรา รับธรรมะแล้วไม่เข้าใจ เพราะเรามีไอเดียมาขวางตลอด 


Camouflage | 94 คนเชื่อว่าพระหรือนักปฏิบัติธรรมควรจะไม่มีความกลัว ไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่รู้สึกอะไร ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นความ เห็นผิดหมดเลย แต่เราชาวพุทธเชื่อแบบนั้น ผมเคยอ่าน ประวัติหลวงตามหาบัว ท่านเคยเล่าว่า พระอรหันต์เดิน เข้าไปในป่าเจองู ก็กระโดดเหยงเลยนะ กลัว แต่เรานึกว่า พระอรหันต์ไม่มีแล้ว หมดกลัวแล้ว ไม่กระเทือนเลย เข้าใจ มั้ยว่ามันไม่ใช่เรื่องแบบนั้น เรื่องที่เป็นจริงคือแบบนี้ เช่น สมมติว่าเราเป็นนักปฏิบัติ- ธรรม และมีไอเดียหนึ่งอยู่ในหัวของเราว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติ- ธรรม เราควรจะไม่กลัว เรามีไอเดียนี้อยู่ในสมองของเรา แล้วเมื่อมีตุ๊กแกตกใส่ ปั๊บ เกิดความกลัวขึ้น จะมีไอเดีย 11 จริง


มีใครอยู่ข้างในมั้ย? | 95 เกิดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ ทำ ไมเป็นแบบนี้นะ” เราต้องรู้ว่าไอเดีย ที่เกิดขึ้นว่า “ทำ ไมเป็นแบบนี้นะ” เกิดจากความจำ ที่มีคน บอกเราว่า ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องไม่กลัว มันเกิด จากความจำ ก้อนนี้ ทำ ไมความจำ ก้อนนี้ถึงถูกยึดถือ เพราะเราเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เข้าใจมั้ยว่าเราต้อง เห็นอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจแจ่มแจ้งกับกระบวนการทั้งหมดนี้ เราก็จะเห็น แบบนี้ เช่น สมมติว่าในวันถัดไปตุ๊กแกตกใส่อีก เราเห็นว่า ความกลัวนี้เป็นธรรมชาติหนึ่ง สมมติว่าไม่มีไอเดียจาก ความจำ นั้นแล้ว จะเหลือแค่ความกลัวนี้เป็นธรรมชาติหนึ่ง เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่จะแสดงอาการสักอย่างหนึ่ง เช่น ผงะ หรือกระโดดเหยงแบบที่หลวงตามหาบัวบอก เพราะมันคือธรรมชาติการป้องกันตัวของสิ่งมีชีวิต และ มนุษย์คือรูปแบบหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า สิ่งมีชีวิต แต่ถ้าเกิดมีไอเดียต่อมาอีกทีหนึ่ง เราต้องรู้ว่ามันเกิดจาก ความจำ ได้ว่า มีบางอย่างบอกเรา ที่เราจำ ได้ บอกเราว่า ไม่ควรจะกลัว...ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องเห็น แบบนี้


Camouflage | 96 เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าเรามีมิจฉาทิฏฐิกันมาก ๆๆจนไม่รู้ จะมากยังไง เพราะในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นแค่ไอเดีย แต่เราเอาไอเดียทั้งหมดมาว่าต้องเป็นจริง…ต้องเป็นแบบนี้ ถึงจะจริง แต่ในขณะที่“จริง” นั้น ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีขอบเขต ไม่มีคำ จำ กัดความว่ามันจะต้องเป็นยังไง ถ้าอะไรก็ตามที่มีขอบเขตจำ กัดว่า ต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น นั่นไม่จริง นั่นเป็นแค่“ไอเดีย” ผมถามว่า นักวิทยาศาสตร์รู้มั้ยว่าธรรมชาตินี้เกิดขึ้นมาได้ ยังไง ต้นไม้ ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งร่างกายของเรา ป่วยได้ยังไง การรักษาทางการแพทย์ก็ไปได้แค่ถึงจุด ๆ หนึ่ง ใช่มั้ย โรคหลายโรคยังไม่รู้สาเหตุ ลำ พังแค่ไอเดียที่มีขอบเขต จำ กัดสักอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะอธิบายความจริงทั้งหมดได้ เพราะฉะนั้น “ความจริง”เป็นสิ่งที่เป็นอย่างนี้ แค่นั้น เป็นอย่างนี้...แล้วจบ เป็นอย่างนี้...แล้วจบ


Camouflage | 98 ไม่มีไอเดียต่อมัน ว่ามันควรจะเป็นยังไง นี่คือ“จริง” แต่นักปฏิบัติธรรมทุกคน เราไม่ใช่อยู่ที่จริง ส่วนลึก ๆ ของเรามีไอเดียบางอย่างว่ามันควรจะเป็นยังไง มันควรจะ เป็นอย่างนี้ ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดนี่คือไอเดีย เรา ทุกคนจะถูกหลอกด้วยเรื่องแบบนี้ เราจะถูกหลอกด้วยเรื่อง ที่เด้งไปเด้งมาแบบนี้ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ควรจะ เป็นอย่างนั้น ชีวิตเราจะเด้งไปเด้งมาอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต ผมถามว่า ถ้าเราไม่เห็นล่ะ? ถ้าเราไม่เห็นว่าชีวิตมันเป็นแค่ลูกบอล ที่เด้งไปมาสองข้างนี้ แล้วชีวิตเราจะเป็นยังไง? ชีวิตเรา ก็เพียงแค่อยู่ภายใต้ไอเดียอันคับแคบ ของของคู่ 2 ข้าง แค่นั้น แล้วเราพยายามกำ จัดข้างหนึ่งทิ้ง ให้เหลือแค่ข้าง เดียว ข้างที่เราคิดว่าควรจะเป็น ผมถามว่าของคู่คืออะไร? ของคู่ เช่น โลกนี้มีขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ สมมติว่าขั้วโลกใต้คือดำ ขั้วโลกเหนือคือขาว เราจะกำ จัดขั้วโลกใต้ทิ้งมั้ย? ถ้าเรากำ จัดขั้วโลกใต้ทิ้ง นั่น


Click to View FlipBook Version