147 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 13. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มคิดคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของโลก มากลุ่มละ 1 คำถาม แล้ว สุ่มถาม ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 14. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 14.1 โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นกี่ชั้น อะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: 3 ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก) 14.2 ชั้นเนื้อโลก ประกอบไปด้วยองค์ประกอบทางเคมีใดบ้าง (แนวทางการตอบ: มีองค์ประกอบ ทางเคมีเป็นสารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม เหล็กและออกซิเจน) 14.3 เปลือกโลกทวีปประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: สารประกอบของธาตุซิลิคอน อะลูมิเนียม และออกซิเจน) 14.4 เปลือกโลกมหาสมุทรประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: สารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม และออกซิเจน) 15. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.1 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 75-77) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 50) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายโครงสร้างภายในโลก ตามองค์ประกอบทางเคมีได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนสร้างแบบจำลองที่อธิบาย โครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบ ทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวมได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70
148 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป
149 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง
150 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
151
152 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก 1 เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/5 อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจาก แบบจำลองรวมทั้งยกตัวอย่างผลของกระบวนการดังกล่าวที่ทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนอธิบายกระบวนการพุผังอยู่กับที่ได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนทดลองและนำเสนอกิจกรรมเรื่อง การผุพังอยู่กับที่ทางเคมีเกิดขึ้นได้อย่างไรได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ การผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง ธรณีวิทยา ที่ทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นภูมิลักษณ์แบบต่าง ๆ โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ น้ำ ลม ธาร น้ำแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชีวิตสภาพอากาศ และปฏิกิริยาเคมี การผุพังอยู่กับที่ คือ การที่หินผุพังทำลายลงด้วยกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศกับน้ำฝน และรวมทั้งการกระทำของต้นไม้กับแบคทีเรีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ซึ่งมีการเพิ่มและลดอุณหภูมิ สลับกัน เป็นต้น 4. สาระการเรียนรู้ การผุพังอยู่กับที่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลกที่ทำให้หินผุพังลง การผุพังอยู่ กับที่แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การผุพังทางกายภาพ และการผุพังทางเคมี 1. การผุพังทางกายภาพ (Mechanical Weathering) เป็นกระบวนการผุพังของหินที่ทำให้หินมี การเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะภายนอก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในเนื้อหิน ปัจจัยที่ทำให้เกิดการผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพ ได้แก่ 1. ประเภทและชนิดของหิน หินที่มีแร่ธาตุที่ละลายน้ำยากเป็นองค์ประกอบจะผุพังช้ากว่าหินที่มีแร่ ธาตุที่ละลายน้ำง่ายเป็นองค์ประกอบ เช่น หินชนวนจะทนทานต่อการผุพังได้ดีกว่าหินอ่อน
153 2. ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น ภูเขาหินที่มีรอยแตกเป็นแนวตั้งแต่เริ่มกำเนิดเป็นภูเขา เมื่อ เวลาผ่านไปแนวแตกเหล่านี้จะทำให้หินผุพังแตกออกจากกันได้ 3. สิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และมนุษย์ 1) การกระทำของพืช การเจริญเติบโตของพืชบนหินที่มีรอยแตกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หินเกิดการ ผุพังสลายตัวเป็นเศษหินเนื่องจากรากที่ชอนไชลงไปตามรอยแตกของหินเป็นเวลานานจำนวนรากที่เพิ่มขึ้นและ ขนาดของรากที่เพิ่มขึ้นทำให้รอยแตกของหินมีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีขนาดกว้างขึ้นจนทำให้หินแตกออกจากกัน 2) การกระทำของสัตว์สัตว์มีการเจาะเนื้อหินจนทำให้หินเกิดเป็นรูจำนวนมาก 3) การกระทำของมนุษย์มนุษย์ระเบิดภูเขาเพื่อนำหินมาสร้างถนน สร้างเขื่อนการเจาะอุโมงค์ใต้ ดิน การทำเหมืองแร่หรือเหมืองหินต่าง ๆ 4) ลม ธารน้ำแข็งและแรงโน้มถ่วงของโลก กระแสลมและแรงโมถ่วงของโลกทำให้น้ำน้ำแข็ง เคลื่อนที่สู่บริเวณที่ต่ำกว่าขณะเคลื่อนที่จะเกิดการเสียดสีระหว่างหินกับทรายและเศษหินเล็กๆที่มากับ กระแสน้ำ ธารน้ำแข็งและลม ทำให้หินถูกเสียดสีเกิดการผุพังและแตกออกจากกัน 5) การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศ ความร้อนและความเย็นโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์ใน เวลากลางวันทำให้ด้านนอกของหินร้อนกว่าด้านในของหินช่วงเวลากลางคืนอุณหภูมิอากาศลดลงทำให้หินที่ ร้อนจะเย็นตัวย่างรวดเร็วการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอุณหภูมิอากาศสลับกันเป็นเวลานานส่งผลทำให้หินเกิดการ แตกร้าวและผุพังขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงลักษณะเช่นนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่สูงและมีอุณหภูมิอากาศใน ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก 6) การเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำ ตามธรรมชาติของน้ำ เมื่ออากาศมีอุณหภูมิต่ำลงจนทำให้น้ำ เปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เมื่อน้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง น้ำขังที่อยู่ตามรอย แตกของหินนั้นเมื่อถึงฤดูหนาวอุณหภูมิของอากาศจะต่ำลงจนทำให้น้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เมื่อน้ำเป็นน้ำแข็ง จะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นแรงดันของน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจะดันรอยแตกของหินให้มีขนาดกว้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดซ้ำกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้หินแตกร้าวหรือหลุดออกจากกัน 2. การผุพังทางเคมี (Chemical Weathering) เป็นกระบวนการที่ทำให้หินแตกสลายออกเป็นชิ้น เล็ก ๆ โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการผุพังทางเคมีได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศ แก๊สนี้จะ ละลายน้ำฝนทำให้ฝนมีสมบัติเป็นกรดคาร์บอนิก กรดจะทำปฏิกิริยาเคมีกับหินปูนและหินอ่อนซึ่งเป็น สารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตทำให้หินกร่อนลง จะมีลักษณะเว้าแหว่งหรือมีลักษะตะปุ่มตะป่ำ เรียกภูมิ ลักษณ์ที่มีลักษณะนี้ว่า คาสต์(Karst) และถ้าน้ำที่มีสภาพเป็นกรดคาร์บอนิกไหลซึมลงสู่ใต้ดินจะทำปฏิกิริยา กับหินที่มีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบทำให้หินดังกล่าวผุกร่อนจนทำให้เกิดเป็นโพรง หรือถ้ำใต้ดินและถ้าพื้นที่ด้านบนของโพรงหรือถ้ำใต้ดินเกิดการยุบตัวลงหรือเกิดการพังทลายลงจะเกิดเป็น หลุมยุบขึ้นนั่นเอง 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร
154 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูกระตุ้นความสนใจนักเรียนโดยกล่าวนำว่า เราทราบแล้วว่าภายในโลกมีอุณหภูมิและความดัน สูงมากจนทำให้ภายในโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบขึ้นมาสู่ผิวโลก ดังเช่น การเกิดพุน้ำร้อน การ ระเบิดของภูเขาไฟ นอกจากนั้นผิวโลกที่เราอาศัยอยู่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาขึ้นมากมาย จนทำให้ ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปพรรณสัณฐานต่าง ๆ เช่น การเกิดกุมภลักษณ์ 2. ครูนำภาพลานหินปุ่ม จังหวัดพิษณุโลกมาให้นักเรียนดู จากนั้นครูถามนักเรียนว่า หินที่ปรากฏในภาพมีลักษณะอย่างไร เพราะเหตุใดจึงมีลักษณะเช่นนั้น (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบได้โดยอิสระตามความเข้าใจของตนเอง) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจนได้ ข้อสรุปว่า ลานหินปุ่มดังภาพ เป็นลานหินทรายที่มีลักษณะเป็นปุ่มหินที่ด้านบนมีลักษณะมน ปุ่มหินที่ปรากฏมี หลายขนาด โดยโผล่ให้เห็นเรียงต่อเนื่องกัน ปุ่มหินนั้นเกิดจากฝน น้ำผิวดิน ลม ได้กัดเซาะแนวรอยแตกของ หินให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ๆ ทำให้เหลือแต่เนื้อหินตรงกลางเป็นก้อนที่ด้านบนมีลักษณะมน การเกิดลานหินปุ่มนี้ใช้ เวลายาวนาน ไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันทีทันใด ลานหินปุ่มเป็นตัวอย่างหนึ่งของการ เปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาต่าง ๆ ภูมิลักษณ์ เป็นลักษณะ ของเปลือกโลกที่มีรูปพรรณสัณฐานต่าง ๆ ดังเช่น ลานหินปุ่ม 3. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างภูมิลักษณ์ที่พบบนผิวโลกประมาณ (แนวทางการตอบ: นักเรียนอาจ ยกตัวอย่างได้ว่า ภูมิลักษณ์บนผิวโลกยังมีอีกหลายลักษณะ เช่น ภูเขา เนินทราย ที่ราบ ที่ราบสูง ดินดอน สามเหลี่ยม แม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยว น้ำตก แก่งหิน กุมภลักษณ์ ซุ้มหิน)
155 ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 4. ครูเชื่อมโยงเข้าสู่หัวข้อที่จะเรียนว่า มนุษย์ทำเหมืองหิน เหมืองแร่ เพื่อนำหินและแร่มาใช้ ประโยชน์ รวมถึงมีการก่อสร้างเขื่อน อุโมงค์ ถนน การกระทำดังกล่าวของมนุษย์ทำให้เกิดหิน ดิน และแร่ เกิด การผุพังได้รวดเร็วขึ้น และบางครั้งนักเรียนอาจเคยเห็นเศษหินที่ผุพังอยู่ตามธรรมชาติ นักเรียนสงสัยหรือไม่ว่า การผุพังของหินดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร 5. ครูใช้ Power Point เรื่องการผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพ อธิบายพอสังเขป ดังนี้การผุพังอยู่กับที่ ทางกายภาพของหินเป็นกระบวนการที่ทำให้หินมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะขนาดและรูปร่าง เช่น ทำให้หินมี ขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของหินโดย ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไม่ถูกนำพาให้กระจัดกระจายไปจากตำแหน่งเดิม การผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพของหิน เกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ตามธรรมชาติ เช่น แรงโน้มถ่วงของโลกอุณหภูมิอากาศ สภาพอากาศ ชนิดของ ดิน หิน แร่และตะกอนต่าง ๆ ที่มีความทนทานต่อการผุพังแตกต่างกันโครงสร้างทางธรณีวิทยา ภูมิประเทศ การกระทำของน้ำ ลม สิ่งมีชีวิต รวมถึงระยะเวลา 6. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ทำกิจกรรม เรื่อง การผุพังอยู่กับที่ทางเคมีเกิดขึ้นได้อย่างไร นักเรียนออกมารับใบกิจกรรมและอุปกรณ์การทดลอง ได้แก่ บีกเกอร์ขนาด 50 cm3 หินปูน หลอดหยด แว่น ขยาย แว่นนิรภัยป้องกันสารเคมี ถุงมือป้องกันสารเคมี ผ้าแห้ง กรดซัลฟิวริกเจือจาง 0.1 mol/l น้ำกลั่น จากนั้นครูชี้แจงขั้นตอนการทำกิจกรรม ดังนี้ 6.1 เตรียมหินปูน ล้างและเช็ดให้แห้ง จากนั้นร่วมกันอภิปรายและตั้งสมมติฐานว่าการหยดน้ำ กลั่น 1 หยด ลงบนหินปูน จะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากการหยดกรดซัลฟิวริกเจือจาง 1 หยด ลงไปที่ หินปูนหรือไม่ อย่างไร บันทึกผล 6.2 ทำกิจกรรมเพื่อตรวจสอบสมติฐาน สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บันทึกผล ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 7. ครูสุ่มเลือกนักเรียน 2-3 กลุ่มนำเสนอผลการทำกิจกรรมเรื่อง การผุพังอยู่กับที่ทางเคมีเกิดขึ้น ได้อย่างไร หน้าชั้นเรียน 8. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทำกิจกรรมโดยครูถามคำถามด้วยชุดคำถาม ดังนี้ 8.1 หลังจากหยดน้ำกลั่นและกรดซัลฟิวริกเจือจางลงไปที่หินปูนแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงใด เกิดขึ้นบ้าง (แนวทางการตอบ: เมื่อหยดน้ำกลั่นลงไปที่หินปูน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น แต่เมื่อหยดกรด ซัลฟิวริกเจือจางลงไปที่หินปูนจะเกิดฟองแก๊สขึ้น) 8.2 ผลการทำกิจกรรม เหมือนหรือแตกต่างจากที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ: คำตอบที่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เดิมของนักเรียน ซึ่งคำตอบที่ได้จะมีความ หลากหลาย) 8.3 ถ้ากำหนดให้หินปูนแทนหินปูนที่อยู่ในธรรมชาติ กรดซัลฟิวริกเจือจางแทนสารละลายที่มี สมบัติเป็นกรดเล็กน้อยที่เกิดจากฝนทำปฏิกิริยาเคมีกับแก๊สบางชนิดในอากาศ นักเรียนคิดว่าปรากฏการณ์ใด
156 ในธรรมชาติจะเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยดังกล่าวนี้ (แนวทางการตอบ: การกร่อนของหินปูนในธรรมชาติ เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยาเคมี) 8.4 จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร (แนวทางการตอบ: เมื่อหยดน้ำกลั่นลงไปที่หินปูน ไม่มีการ เปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น แต่เมื่อหยดกรดซัลฟิวริกเจือจางลงไปที่หินปูนจะเกิดฟองแก๊สขึ้น ดังนั้นหินปูนใน ธรรมชาติสามารถเกิดการกร่อนจากการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีในลักษณะคล้ายคลึงกันได้) 9. ครูอธิบายเพิ่มเติม เรื่อง การผุพังอยู่กับที่ทางเคมี โดยใช้ Power point จนได้ข้อสรุปดังนี้ 9.1 หินมีการผุพังอยู่กับที่ทางเคมีได้ กล่าวคือในธรรมชาติ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศจะ ทำปฏิกิริยาเคมีกับแก๊สออกซิเจนในอากาศ ทำให้เกิดแก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยาเคมีกับ ฝนจนได้สารละลายที่เป็นกรดเล็กน้อย เมื่อสารละลายที่เป็นกรดเล็กน้อยดังกล่าวมาสัมผัสกับหินที่มี สารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบ เช่น หินปูน หินโดโลไมต์ หินอ่อน สารละลายดังกล่าวจะ ทำปฏิกิริยากับสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต สังเกตได้จากการเกิดฟองแก๊ส ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้หิน เกิดการผุพังอยู่กับที่ทางเคมี 9.2 ในธรรมชาติ เมื่อแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศทำปฏิกิริยาเคมีกับฝนจะเกิดเป็นกรด คาร์บอนิกซึ่งเป็นกรดอ่อน กรดนี้เมื่อสัมผัสกับหินที่มีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบจะ เกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดสารใหม่ คือ สารละลายแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นนี้ทำ ให้หินเกิดการผุพังอยู่กับที่ทางเคมี 9.3 คาสต์ เป็นลักษณะของหินปูนที่มีลักษณะเว้าแหว่งหรือมีลักษณะเป็นริ้วร่องลึกลงไปในเนื้อ หิน เกิดจาการผุพังอยู่กับที่ทางเคมีของหินปูน ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 10. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติของสารเมื่อมี pH เท่ากับ 7 ต่ำกว่า 7 และมากกว่า 7 และ ค่า pH ของฝนที่จัดให้เป็นฝนกรด และบริเวณที่มีโอกาสเกิดฝนกรด 11. ครูถามคำถามว่า ถ้าเราปลูกต้นไม้ใกล้ ๆ กับก้อนหินขนาดใหญ่ต่อมาต้นไม้มีการเจริญเติบโต มีรากต้นไม้ขนาดใหญ่ชอนไชไปตามดินและแทรกไปตาม ก้อนกิน นักเรียนคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปหินจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร? (แนวทางการตอบ: เมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้มีการเจริญเติบโตมากขึ้น รากที่ชอนไช ลงไปในรอยแตกจะมีจำนวนของรากและมีขนาดของรากเพิ่มมากขึ้น รากที่มีขนาดใหญ่จะดันรอยแตกของหิน ให้มีขนาดความกว้างมากขึ้น จนทำให้หินแตกออกจากกันได้ และที่ปลายรากของต้นไม้บางชนิดจะมี สารละลายที่มีสมบัติเป็นกรดอย่างอ่อน การเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารละลายกับสารประกอบของหินที่ราก ชอนไชลงไปจะทำให้หินผุพังอยู่กับที่ทางเคมีได้) 12. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มยกตัวอย่างผลของกระบวนการผุพังอยู่กับที่ทั้งทางกายภาพและทาง เคมีของหินที่ทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง (แนวทางการตอบ: เช่น ภูเขาหินปูน การผุพังอยู่กับที่ของหิน การเกิดหินงอกหินย้อย) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 13. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยครูถามคำถามด้วยชุดคำถามดังนี้
157 13.1 การผุพังอยู่กับที่คืออะไร (แนวทางการตอบ: การผุพังอยู่กับที่เป็นกระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลกที่ทำให้หินผุพังลง) 13.2 การผุพังอยู่กับที่มีกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: 2 ประเภท ได้แก่ การผุพังอยู่ กับที่ทางกายภาพและการผุพังอยู่กับที่ทางเคมี) 13.3 การผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพคืออะไร (แนวทางการตอบ: การผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพ ของหินเป็นกระบวนการที่ทำให้หินมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะขนาดและรูปร่าง เช่น ทำให้หินมีขนาดเล็กลง ซึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของหินโดยชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไม่ ถูกนำพาให้กระจัดกระจายไปจากตำแหน่งเดิม) 13.4 ปัจจัยที่มีผลต่อการผุพังอยู่กับที่ทางกายาพ (แนวทางการตอบ: แรงโน้มถ่วงของโลก อุณหภูมิอากาศ สภาพอากาศ ชนิดของดิน หิน แร่และตะกอนต่าง ๆ ที่มีความทนทานต่อการผุพังแตกต่างกัน โครงสร้างทางธรณีวิทยา ภูมิประเทศ การกระทำของน้ำ ลม สิ่งมีชีวิต รวมถึงระยะเวลา) 13.5 การผุพังอยู่กับที่ทางเคมีคืออะไร (แนวทางการตอบ: เป็นกระบวนการที่ทำให้หินแตก สลายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางเคมี) 13.6 ปัจจัยที่มีผลต่อการผุพังอยู่กับที่ทางเคมี (แนวทางการตอบ: ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการ ผุพังทางเคมี ได้แก่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศแก๊สนี้จะละลายน้ำฝนทำให้ฝนมีสมบัติเป็นกรดคาร์ บอนิก กรดจะทำปฏิกิริยาเคมีกับหินปูนและหินอ่อนซึ่งเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนต) 13.7 คาสต์ (Karst) คืออะไร มีลักษณะอย่างไร (แนวทางการตอบ: เป็นลักษณะของหินปูนที่ มีลักษณะเว้าแหว่งหรือมีลักษณะเป็นริ้วร่องลึกลงไปในเนื้อหิน เกิดจาการผุพังอยู่กับที่ทางเคมีของหินปูน) 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 78-83) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 52-53) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายกระบวนการพุผังอยู่กับที่ ได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70
158 ด้านทักษะกระบวนการ - ทดลองและนำเสนอกิจกรรมเรื่อง การผุ พังอยู่กับที่ทางเคมีเกิดขึ้นได้อย่างไรได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป
159 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง
160 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
161
162
163 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโลก 2 เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/5 อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนจาก แบบจำลองรวมทั้งยกตัวอย่างผลของกระบวนการดังกล่าวที่ทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนอธิบายกระบวนการกร่อนและการสะสมตัวของตะกอนได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนทดลองกิจกรรม เรื่อง การกร่อนและการสะสมตัวของตะกอนเกิดขึ้นได้อย่างไรได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ การกร่อน คือ กระบวนการหนึ่งหรือหลายกระบวนการที่ทำให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไปหรือ กร่อนไปโดยมีตัวนำพาธรรมชาติ คือ ลม น้ำ และธารน้ำแข็ง ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครูดถูการนำพา ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพังทลายเป็นกลุ่มก้อน เช่น แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการนำพาของน้ำ ลม หรือธารน้ำแข็ง 4. สาระการเรียนรู้ การกร่อน การกร่อนเป็นกระบวนการที่ทำให้วัตถุบนผิวโลกเคลื่อนที่ไป หลุดไป หรือละลายไปเนื่องด้วยตัว นำพาและปัจจัยต่าง ๆ ในธรรมชาติ เมื่อหินในพื้นที่หนึ่งมีการผุพังอยู่กับที่เป็นเศษหินหรือตะกอนขนาดต่าง ๆ อาจเกิดการนำพาให้เศษหินหรือตะกอนดังกล่าวเคลื่อนที่กระจัดกระจายไปจากตำแหน่งเดิมโดยตัวนำพาตาม ธรรมชาติ เช่น น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง ร่วมกับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ แรงโน้มถ่วงของโลก ชนิดของดิน หิน แร่และ ตะกอนต่าง ๆ โครงสร้างทางธรณีวิทยา ภูมิประเทศ ปริมาณพืชปกคลุมดิน สภาพอากาศ สารละลาย และ ระยะเวลา การกร่อนในแต่ละพื้นที่มีความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความแตกต่างของชนิด หรือขนาดตะกอนที่มีความทนทานต่อการกร่อนได้แตกต่างกัน
164 การกร่อนทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นภูมิลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น เสาเฉลียง กุมภ ลักษณ์ การสะสมตัวของตะกอน ในธรรมชาติ ร่องน้ำหนึ่ง ๆ เมื่อเกิดการกร่อนเป็นเวลานาน ร่องน้ำจะมีขนาดใหญ่ขึ้นจนพัฒนา กลายเป็นธารน้ำหรือแม่น้ำ และจะมีลักษณะและทิศทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความเร็วของกระแสน้ำ ในช่วงต่าง ๆ ของแม่น้ำจะมีความเร็วแตกต่างกัน บริเวณโค้งน้ำด้านนอก ความเร็วของกระแสน้ำจะสูงกว่า บริเวณโค้งน้ำด้านใน บริเวณโค้งน้ำด้านนอกของแม่น้ำ ซึ่งจะมีกระแสน้ำที่มีความเร็วสูงมาปะทะจะเกิดการ กร่อน และบริเวณโค้งน้ำด้านในของแม่น้ำ กระแสน้ำจะมีความเร็วต่ำกว่าบริเวณโค้งน้ำด้านนอก ตะกอนที่ถูก นำพามากับกระแสน้ำจะมีการสะสมตัวเกิดขึ้น การไหลของน้ำในแม่น้ำถ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดการ กร่อนและการสะสมตัวของตะกอนตามช่วงต่าง ๆ ของแม่น้ำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็น เวลานาน แม่น้ำจะมีลักษณะโค้งตวัดมากขึ้น ภูมิลักษณ์ที่เกิดจากการกระทำของแม่น้ำ เช่น แม่น้ำโค้งตวัด ทะเลสาบรูปแอก เนินตะกอนน้ำพารูป พัด ดินดอนสามเหลี่ยม ซึ่งเกิดจากนำพาและปัจจัยต่าง ๆ ตามธรรมชาติ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนความรู้เรื่องการผุพังอยู่กับที่ พอสังเขปว่า การผุพังอยู่กับที่เป็นกระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลกที่ทำให้หินผุพังลง ได้แก่ การผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพและการผุพังอยู่กับ ที่ทางเคมี การผุพังอยู่กับที่ทางกายภาพของหินเป็นกระบวนการที่ทำให้หินมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะขนาดและ รูปร่าง เช่น ทำให้หินมีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ ทางเคมีของหินโดยชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังไม่ถูกนำพาให้กระจัดกระจายไปจากตำแหน่งเดิม และการผุพังทางเคมี เป็นกระบวนการที่ทำให้หินแตกสลายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่าเมื่อหินมีการผุพังอยู่กับที่แล้ว ตะกอนที่เกิดจากการผุพังจะ เคลื่อนที่ออกไปจากตำแหน่งเดิมแล้วไปสะสมตัวอยู่ในแหล่งใหม่ได้หรือไม่ ถ้าได้ อะไรคือตัวนำพาตะกอน ดังกล่าวให้เคลื่อนที่ไป เราจะไปเรียนรู้กันในกิจกรรมต่อไป
165 ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 3. ครูเชื่อมโยงเข้าสู่หัวข้อที่จะเรียนโดยถามคำถามว่า การกร่อนมีลักษณะเป็นอย่างไร และการ กร่อนเกิดจากตัวนำพาและปัจจัยใดบ้าง (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 4. ครูจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน โดยคละตามความสามารถเก่ง ปานกลาง อ่อนออกมา รับใบกิจกรรมและอุปกรณ์การทดลอง ได้แก่ กรวด ทรายหยาบหรือทรายละเอียด สายยางขนาดเล็ก ไม้ บรรทัด ถาดพลาสติก กระบะพลาสติก ถังน้ำ บีกเกอร์ ขนาด 250 cm3 ขวดน้ำพลาสติกขนาด 500 cm3 และ น้ำสะอาด จากนั้นครูชี้แจงว่าให้นักเรียนศึกษาการกร่อนและการสะสมตัวของตะกอนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร 5. นักเรียนทำกิจกรรม เรื่อง การกร่อนและการสะสมตัวของตะกอนเกิดขึ้นได้อย่างไร ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 6. ครูรวบรวมผลการทำกิจกรรมจากใบกิจกรรมของนักเรียนทุกกลุ่มนำเสนอบนหน้ากระดาน 7. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปผลการทำกิจกรรมเรื่อง การกร่อนและการสะสม ตัวของตะกอนเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนี้ ตอนที่ 1 เมื่อปล่อยน้ำไปที่กองกรวดและกองทราย พบว่ากรวดและทรายจะเคลื่อนที่ออกจากกอง ตะกอนทรายจะเคลื่อนที่ออกจากกองตะกอนได้มากกว่ากรวด เนื่องจากทรายมีขนาดเม็ดตะกอนเล็กกว่ากรวด เมื่อเทน้ำจนหมด กองทรายจะเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปร่างไปจากเดิมได้อย่างชัดเจน ตอนที่ 2 การไหลของน้ำอย่างต่อเนื่องลงไปที่ภูมิประเทศจำลองทำให้เกิดร่องน้ำขึ้นเมื่อปล่อยน้ำ เป็นเวลานานขึ้น ร่องน้ำจะมีขนาด ลักษณะและทิศทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อสังเกตภูมิประเทศจำลอง จะพบว่าบางช่วงมีการกร่อนเกิดขึ้น และบางช่วงมีการสะสมตัวของทรายเกิดขึ้น 8. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่องการกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน โดยครูใช้คำถาม ในการอภิปราย ดังนี้ 8.1 การกร่อนมีลักษณะเป็นอย่างไร (แนวทางการตอบ: การกร่อนเป็นกระบวนการที่ทำให้วัตถุ บนผิวโลกเคลื่อนที่ไป หลุดไป หรือละลายไปเนื่องด้วยตัวนำพาและปัจจัยต่าง ๆ) 8.2 การกร่อนเกิดจากตัวนำพาและปัจจัยใดบ้าง (แนวทางการตอบ: ในธรรมชาติ เมื่อหินใน พื้นที่หนึ่งมีการผุพังอยู่กับที่เป็นเศษหินหรือตะกอนขนาดต่าง ๆ อาจเกิดการนำพาให้เศษหินหรือตะกอน ดังกล่าวเคลื่อนที่กระจัดกระจายไปจากตำแหน่งเดิมโดยตัวนำพาตามธรรมชาติ เช่น น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง ร่วมกับ ปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ แรงโน้มถ่วงของโลก ชนิดของดิน หิน แร่และตะกอนต่าง ๆ โครงสร้างทางธรณีวิทยา ภูมิ ประเทศ ปริมาณพืชปกคลุมดิน สภาพอากาศ สารละลาย และระยะเวลา) 8.3 การกร่อนในแต่ละพื้นที่มีความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยใด (แนวทางการตอบ: การกร่อนในแต่ละพื้นที่มีความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความแตกต่างของชนิดหรือขนาด ตะกอนที่มีความทนทานต่อการกร่อนได้แตกต่างกัน)
166 8.4 ในธรรมชาติร่องน้ำหนึ่ง ๆ เมื่อเกิดการกร่อนเป็นเวลานานจะมีลักษณะเป็นอย่างไร (แนว ทางการตอบ: ในธรรมชาติ ร่องน้ำหนึ่ง ๆ เมื่อเกิดการกร่อนเป็นเวลานาน ร่องน้ำจะมีขนาดใหญ่ขึ้นจนพัฒนา กลายเป็นธารน้ำหรือแม่น้ำ และจะมีลักษณะและทิศทางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม) 8.5 ความเร็วของกระแสน้ำในแต่ละช่วงหรือแต่ละบริเวณของแม่น้ำมีความเร็วแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ: ความเร็วของกระแสน้ำในช่วงต่าง ๆ ของแม่น้ำจะมีความเร็วแตกต่างกัน บริเวณโค้งน้ำด้านนอก ความเร็วของกระแสน้ำจะสูงกว่าบริเวณโค้งน้ำด้านใน) 8.6 การกร่อนและการสะสมตัวของตะกอนในแม่น้ำเกิดขึ้นบริเวณใด (แนวทางการตอบ: บริเวณโค้งน้ำด้านนอกของแม่น้ำ ซึ่งจะมีกระแสน้ำที่มีความเร็วสูงมาปะทะจะเกิดการกร่อน และบริเวณโค้งน้ำ ด้านในของแม่น้ำ กระแสน้ำจะมีความเร็วต่ำกว่าบริเวณโค้งน้ำด้านนอก ตะกอนที่ถูกนำพามากับกระแสน้ำจะมี การสะสมตัวเกิดขึ้น) 8.7 ถ้าการไหลของน้ำในแม่น้ำยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม่น้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง (แนวทางการตอบ: การไหลของน้ำในแม่น้ำถ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดการกร่อนและการสะสมตัวของ ตะกอนตามช่วงต่าง ๆ ของแม่น้ำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นเวลานาน แม่น้ำจะมีลักษณะ โค้งตวัดมากขึ้น) ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 9. ครูใช้ Power point อธิบายว่า ผลของการกร่อนทำให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นภูมิ ลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น เสาเฉลียง กุมภลักษณ์ และภูมิลักษณ์ที่เกิดจากการกระทำของแม่น้ำ เช่น แม่น้ำ โค้งตวัด ทะเลสาบรูปแอก เนินตะกอนน้ำพารูปพัด ดินดอนสามเหลี่ยม ซึ่งเกิดจากนำพาและปัจจัยต่าง ๆ ตาม ธรรมชาติ 10. ครูนำภาพแม่น้ำที่มีการไหลโค้งตวัดให้นักเรียนดู ครูถามคำถามว่า ถ้านักเรียนต้องการสร้างบ้าน จะเลือกสร้าง ณ ตำแหน่งใด ระหว่างตำแหน่ง ก. ข. จ. และ ฉ. เพราะเหตุใดจึงเลือกตำแหน่งดังกล่าว (แนวทางการตอบ: ถ้าต้องการสร้างบ้าน จะเลือกสร้าง ณ ตำแหน่ง ก. และ ฉ. เพราะบริเวณ ก. และ ฉ. เป็นบริเวณโค้งน้ำด้านในความเร็วของกระแสน้ำจะต่ำกว่า บริเวณ ข. และ จ. ทำให้ตะกอนที่ถูกนำพามากับกระแสน้ำมีการสะสมตัวของตะกอน ณ บริเวณโค้งน้ำด้านใน นี้ ถ้าการไหลของกระแสน้ำยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริเวณ ก. และ ฉ. จะเกิดการสะสมตัวของตะกอนมาก
167 ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแผ่นดินงอกยื่นเข้าไปในธารน้ำมากขึ้น ๆ ถ้ามีการสร้างบ้านตรงบริเวณดังกล่าว จะทำให้ พื้นดินในบริเวณบ้านไม่ถูกกัดเซาะเนื่องจากการกระทำของน้ำ) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 11. ครูสุ่มจับฉลากนักเรียนให้นักเรียนตอบคำถามด้วยชุดคำถามดังนี้ 11.1 การกร่อนคืออะไร (แนวทางการตอบ: การกร่อนเป็นกระบวนการที่ทำให้วัตถุบนผิวโลก หลุดไปหรือเคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิม ซึ่งต้องอาศัยตัวนำพาและปัจจัยต่าง ๆ ตามธรรมชาติ) 11.2 การสะสมตัวของตะกอนคืออะไร (แนวทางการตอบ: เป็นกระบวนการสะสมตัวของวัตถุ บนผิวโลก ซึ่งต้องอาศัยตัวนำพาและปัจจัยต่าง ๆ ตามธรรมชาติ) 11.3 ยกตัวอย่างภูมิลักษณ์ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกจากการกร่อนและการสะสมตัวของตะกอน (แนวทางการตอบ: ภุมถลักษณ์ สามพันโบก, เสาเฉลียง อุบลราชธานี, แคนยอน เนินทราย แม่น้ำโค้งตวัด แหล่งตะกอนน้ำพารูปพัดและดินดอนสามเหลี่ยม เป็นต้น) 12. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.2 และ 1.3 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 84-86) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 52, 54) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายกระบวนการกร่อนและ การสะสมตัวของตะกอนได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนทดลองกิจกรรม เรื่อง การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอนเกิดขึ้นได้ อย่างไรได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70
168 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป
169 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง
170 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
171
172
173 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง ดินและชั้นหน้าตัดดิน เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/6 อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดินและกระบวนการเกิดดิน จากแบบจำลอง รวมทั้งระบุ ปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายกระบวนการเกิดดิน ลักษณะของชั้นหน้าตัดดินได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนระบุปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกันได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ ดินเกิดจากหินที่ผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุที่ได้จากการเน่าเปื่อยของซากพืช ซากสัตว์ทับถมเป็นชั้น ๆ บนผิวโลก ชั้นดินแบ่งออกเป็นหลายชั้น ขนานหรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน แต่ ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกันเนื่องจากสมบัติทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และลักษณะอื่น ๆ เช่น สี โครงสร้าง เนื้อดิน การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการสำรวจภาคสนาม การเรียกชื่อชั้นดินหลักจะใช้ อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ ได้แก่ O, A, E, B, C, R ชั้นหน้าตัดดิน เป็นชั้นดินที่มีลักษณะปรากฏให้เห็นเรียงลำดับเป็นชั้นจากชั้นบนสุดถึงชั้นล่างสุด ปัจจัยที่ทำให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุต้นกำเนิดดิน ภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตในดิน สภาพภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกิดดิน 4. สาระการเรียนรู้ ดินเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยอาศัยการผุพังอยู่กับที่ทั้งทางกายภาพและทางเคมีของหิน จนทำให้หินมี ขนาดเล็กลงกลายเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน จากนั้นมีการผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุที่เกิดจากการสลายตัวของ ซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นดินที่มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ กระบวนการเกิดดิน อาศัยระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีชั้นดินเกิดขึ้น และเมื่อระยะเวลาในการเกิด ดินเพิ่มมากขึ้นจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินก็จะเพิ่มมากขึ้น
174 กระบวนการเกิดดินนอกจากอาศัยวัตถุต้นกำเนิดดินแล้ว ยังต้องอาศัยตัวนำพาต่าง ๆ เช่น น้ำ สิ่งมีชีวิต ลม ในการหมุนเวียนสารหรือวัตถุต่าง ๆ รวมถึงอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิอากาศ ปริมาณฝน ความชื้น และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้นดินในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีลักษณะแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ขนานหรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน ชั้นดินแต่ ละชั้นในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น สี โครงสร้างดิน เนื้อดิน การยึดตัว ความเป็น กรด-เบส สิ่งต่าง ๆ ที่ปนอยู่ในดิน ความหนาของชั้นดิน ลักษณะและสมบัติของชั้นดินแต่ละชั้นจะมีความ แตกต่างกันเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาในการเกิดดิน และเมื่อระยะเวลาในการเกิดดินเพิ่มมากขึ้นจำนวนชั้นดิน ที่พบก็จะมีมากขึ้น ชั้นหน้าตัดดินเป็นชั้นดินที่มีลักษณะปรากฏให้เห็นเรียงลำดับเป็นชั้นจากชั้นบนสุดถึงชั้นล่างสุด ชั้น หน้าตัดดินในแต่ละพื้นที่มีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน เช่น จำนวนชั้นดิน ความหนาของชั้นดิน สีดิน เนื้อ ดินความเป็นกรด-เบส ความแตกต่างนี้เกิดขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยในการเกิดดินต่าง ๆ เช่น ชนิดของวัตถุต้นกำเนิด ดินภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตในดิน ภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกิดดิน ชั้นหน้าตัดดินที่มีการพัฒนาอย่าง สมบูรณ์จะมีชั้นดินหลักจำนวน 6 ชั้น เรียงจากชั้นบนสุดลงไปสู่ชั้นล่างสุด ได้แก่ชั้น O A E B C และ R ตามลำดับ ปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกันมีดังนี้ 1. วัตถุต้นกำเนิดดินเป็นหิน ดิน และแร่ชนิดต่าง ๆ ที่ผุพังอยู่กับที่ ซึ่งจะผุพังกลายเป็นเศษหินหรือ ตะกอนขนาดต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดินที่มีผลต่อลักษณะและสมบัติของดิน กล่าวคือทำให้ดิน มีจำนวนและปริมาณแร่ธาตุ สีดิน เนื้อดิน โครงสร้างของดิน และสมบัติทางเคมีของดินแตกต่างกัน 2. ภูมิอากาศส่งผลต่ออุณหภูมิของอากาศและปริมาณฝน ซึ่งจะมีผลต่อการผุพังอยู่กับที่ของหินทั้ง ทางกายภาพและทางเคมีที่จะทำให้เกิดวัตถุต้นกำเนิดดิน นอกจากนี้อุณหภูมิของอากาศ ยังมีผลต่อปริมาณ สิ่งมีชีวิตในดินและการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ในดิน ซึ่งส่งผลต่อปริมาณอินทรียวัตถุในดินและสีดิน 3. ภูมิประเทศที่มีระดับความสูงต่ำแตกต่างกัน หรือมีความลาดชันต่างกันจะส่งผลต่อความหนา ของชั้นดิน พื้นที่ที่มีความลาดชันสูงจะมีการชะล้างพังทลายของหน้าดินมาก ทำให้ชั้นดินมีความบางหรืออาจ ไม่มีชั้นดินเลย 4. ระยะเวลาในการเกิดดินส่งผลต่อจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดิน ดินที่เกิดขึ้นมาเป็น เวลานานแล้วจะมีจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินมากกว่าดินที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาน้อยกว่า 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน
175 แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูกระตุ้นความสนใจนักเรียนโดยถามคำถามว่า ดินมีความสำคัญอย่างไรบ้าง (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 2. ครูนำภาพดินสีดำ และดินสีแดง ให้นักเรียนดู ครูถามคำถามให้นักเรียนร่วมกันแสดงวามคิดเห็นด้วยชุดคำถาม ดังนี้ 2.1 ดินในภาพมีสีเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ดินส่วนใหญ่ที่นักเรียนพบมีสีอะไร (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 2.2 นักเรียนรู้จักดินประเภทใดบ้าง (แนวทางการตอบ: ขึ้นอยู่กับคำตอบของนักเรียน ตัวอย่างเช่น ดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย) 2.3 เรานำดินมาใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง (แนวทางการตอบ: การเพาะปลูก ที่อยู่อาศัย) 3. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปว่า ดินเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบปกคลุม ผิวโลกอยู่เป็นชั้นบาง ๆ ดินมีความสำคัญต่อมนุษย์โดยเฉพาะการนำมาใช้ในการเพาะปลูก โดยดินเป็นแหล่ง ธาตุอาหารเป็นแหล่งกักเก็บน้ำและความชื้นที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช รวมถึงรากพืชใช้ดินในการ เกาะยึดลำต้นเพื่อไม่ให้ลำต้นล้มเอียง ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 4. ครูเชื่อมโยงเข้าสู่หัวข้อที่จะเรียนโดยถามคำถามว่า นักเรียนคิดว่าดินที่อยู่ในระดับลึกจากผิวโลก ลงไปจะมีสีและลักษณะอื่น ๆ เหมือนหรือแตกต่างจากดินที่อยู่บริเวณผิวดินหรือไม่ (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 5. ครูจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน โดยคละตามความสามารถเก่ง ปานกลาง อ่อน จากนั้น ครูชี้แจงว่าให้นักเรียนสังเกตและอธิบายลักษณะชั้นดินและชั้นหน้าตัดดิน 6. นักเรียนทำกิจกรรมที่ 1 เรื่อง ดินที่ระดับความลึกต่างกัน มีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร 7. ครูถามคำถามว่า นักเรียนทรายหรือไม่ว่าปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ดินและชั้นหน้าตัดดินในแต่ละ พื้นที่มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
176 8. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม จากนั้นนักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาจับสลากหัวข้อที่ ศึกษาโดยครูชี้แจงว่า ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง ปัจจัยที่ทำให้ดินมี ลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน สรุปลงในกระดาษฟริปชาร์ทโดยนำเสนอออกมาในรูปแบบใดก็ได้ หัวข้อดังนี้ กลุ่มที่ 1 ศึกษา เรื่อง วัตถุต้นกำเนิด กลุ่มที่ 2 ศึกษา เรื่อง ลักษณะภูมิประเทศ กลุ่มที่ 3 ศึกษา เรื่อง เวลา กลุ่มที่ 4 ศึกษา เรื่อง ภูมิอากาศ กลุ่มที่ 5 ศึกษา เรื่อง สิ่งมีชีวิต ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 9. ครูสุ่มเลือกนักเรียน 2-3 คน นำเสนอผลการทำกิจกรรมที่ 1 เรื่อง ดินที่ระดับความลึกต่างกัน มี ลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร 10. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปจากกิจกรรมที่ 1 เรื่อง ดินที่ระดับความลึก ต่างกัน มีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ว่า ภายในชั้นหน้าตัดดินเดียวกัน ชั้นดินจะมีสีและความหนา ของชั้นดินแตกต่างกัน และชั้นหน้าตัดดินทั้ง 2 พื้นที่ มีจำนวนชั้นดิน สีของชั้นดิน และความหนาของชั้นดิน แตกต่างกัน 11. ครูให้นักเรียนทุกกลุ่มนำเสนอผลการศึกษาในกิจกรรมที่ 2 เรื่อง ปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะ และสมบัติแตกต่างกัน 12. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิดดิน ชั้นดิน ชั้นหน้าตัดดิน และ ปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน โดยใช้ Power Point ดังนี้ 12.1 ดินเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยอาศัยการผุพังอยู่กับที่ทั้งทางกายภาพและทางเคมีของหิน จนทำให้หินมีขนาดเล็กลงกลายเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน จากนั้นมีการผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุที่เกิดจากการ สลายตัวของซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นดินที่มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ กระบวนการเกิดดินอาศัยระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีชั้นดินเกิดขึ้น และเมื่อ ระยะเวลาในการเกิดดินเพิ่มมากขึ้นจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินก็จะเพิ่มมากขึ้น 12.2 กระบวนการเกิดดินนอกจากอาศัยวัตถุต้นกำเนิดดินแล้ว ยังต้องอาศัยตัวนำพาต่าง ๆ เช่น น้ำ สิ่งมีชีวิต ลม ในการหมุนเวียนสารหรือวัตถุต่าง ๆ รวมถึงอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิอากาศ ปริมาณฝน ความชื้น และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 12.3 ชั้นดินในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีลักษณะแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ขนานหรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน ชั้นดินแต่ละชั้นในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น สี โครงสร้างดิน เนื้อดิน การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส สิ่งต่าง ๆ ที่ปนอยู่ในดิน ความหนาของชั้นดิน ลักษณะและสมบัติของชั้นดินแต่ละชั้นจะมี ความแตกต่างกันเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาในการเกิดดิน และเมื่อระยะเวลาในการเกิดดินเพิ่มมากขึ้นจำนวน ชั้นดินที่พบก็จะมีมากขึ้น
177 12.4 ชั้นหน้าตัดดินเป็นชั้นดินที่มีลักษณะปรากฏให้เห็นเรียงลำดับเป็นชั้นจากชั้นบนสุดถึงชั้น ล่างสุด 12.5 ชั้นหน้าตัดดินในแต่ละพื้นที่มีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน เช่น จำนวนชั้นดิน ความ หนาของชั้นดิน สีดิน เนื้อดินความเป็นกรด-เบส ความแตกต่างนี้เกิดขึ้นเนื่องด้วยปัจจัยในการเกิดดินต่าง ๆ เช่น ชนิดของวัตถุต้นกำเนิดดินภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตในดิน ภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกิดดิน 12.6 ชั้นหน้าตัดดินที่มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์จะมีชั้นดินหลักจำนวน 6 ชั้น เรียงจากชั้น บนสุดลงไปสู่ชั้นล่างสุด ได้แก่ชั้นโอ ชั้นเอ ชั้นอี ชั้นบี ชั้นซี และชั้นอาร์ ตามลำดับ ชั้น O หรือชั้นอินทรียวัตถุ คือ ชั้นที่มีการสะสมของอินทรียวัตถุที่มาจากพืชและสัตว์แล้ว ย่อยสลายกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ชั้น A หรือชั้นดินแร่ประกอบด้วยอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้ากับแร่ธาตุในดิน ดินชั้นนี้มักจะมีสีคล้ำ ชั้น E หรือชั้นชะล้าง เป็นชั้นที่มีสีซีดจาง ๆมีปริมาณอินทรียวัตถุน้อยกว่าชั้น Aและมักมี เนื้อดินหยาบกว่าชั้น B ที่อยู่ตอนล่างลงไป ชั้น B หรือชั้นสะสมของแร่มีการสะสมของตะกอนและแร่ที่มีองค์ประกอบของเหล็ก อะลูมิเนียม คาร์บอเนต ซิลิกา ซึ่งถูกชะล้างมาจากดินชั้นบน ดินชั้นนี้จะมีเนื้อแน่นมีความชื้นสูง ส่วนมากจะ เป็นดินเหนียว ชั้น C หรือชั้นการผุพังของหิน เป็นชั้นของหินผุและเศษหินที่แตกหักจากหินดินดาน มี ลักษณะเป็นก้อน เป็นผืน ชั้น R เป็นชั้นของวัตถุต้นกำเนิดดินหรือหินพื้น (Bedrock) 12.7 ปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกันมีดังนี้ 1. วัตถุต้นกำเนิดดินเป็นหิน ดิน และแร่ชนิดต่าง ๆ ที่ผุพังอยู่กับที่ ซึ่งจะผุพังกลายเป็น เศษหินหรือตะกอนขนาดต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดินที่มีผลต่อลักษณะและสมบัติของดิน กล่าวคือทำให้ดินมีจำนวนและปริมาณแร่ธาตุ สีดิน เนื้อดิน โครงสร้างของดิน และสมบัติทางเคมีของดิน แตกต่างกัน
178 2. ภูมิอากาศส่งผลต่ออุณหภูมิของอากาศและปริมาณฝน ซึ่งจะมีผลต่อการผุพังอยู่กับที่ ของหินทั้งทางกายภาพและทางเคมีที่จะทำให้เกิดวัตถุต้นกำเนิดดิน นอกจากนี้อุณหภูมิของอากาศยังมีผลต่อ ปริมาณสิ่งมีชีวิตในดินและการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ในดิน ซึ่งส่งผลต่อปริมาณอินทรียวัตถุในดินและสี ดิน 3. ภูมิประเทศที่มีระดับความสูงต่ำแตกต่างกัน หรือมีความลาดชันต่างกันจะส่งผลต่อ ความหนาของชั้นดิน พื้นที่ที่มีความลาดชันสูงจะมีการชะล้างพังทลายของหน้าดินมาก ทำให้ชั้นดินมีความบาง หรืออาจไม่มีชั้นดินเลย 4. ระยะเวลาในการเกิดดินส่งผลต่อจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดิน ดินที่เกิด ขึ้นมาเป็นเวลานานแล้วจะมีจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินมากกว่าดินที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาน้อยกว่า ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 13. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเล่นเกมส์ตอบคำถามชั้นหน้าตัดดิน โดยครูจะมีคำใบ้มาให้ ให้นักเรียน แต่ละกลุ่มทายว่าเป็นชั้นใด ชั้นเอ ชั้นอี ชั้นบี ชั้นซี หรือชั้นอาร์ กลุ่มที่ตอบถูกเยอะที่สุดจะชนะ 14. ครูถามคำถามว่า เนื้อดินมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร (แนวทางการตอบ: เนื้อดินเป็นลักษณะทางกายภาพของดิน เป็นสัดส่วนโดยน้ำหนักของตะกอนทราย ทราย แป้ง และดินเหนียว ตะกอนทั้ง 3 ขนาดนี้เมื่อรวมตัวกันในสัดส่วนต่าง ๆ กัน จะได้เนื้อดินชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะมี ผลต่อความพรุนของดินและการอุ้มน้ำที่แตกต่างกัน ซึ่งพืชบางชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความพรุนสูง ระบายน้ำได้ดี หรือพืชบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีเนื้อละเอียดแน่นและมีน้ำท่วมขัง) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 15. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการถามคำถาม ดังนี้ 15.1 ดินเกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: ดินเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยอาศัยการผุพังอยู่ กับที่ทั้งทางกายภาพและทางเคมีของหิน จนทำให้หินมีขนาดเล็กลงกลายเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน จากนั้นมีการ ผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นดินที่มีลักษณะและ สมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ กระบวนการเกิดดินอาศัยระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลา ผ่านไปเริ่มมีชั้นดินเกิดขึ้น และเมื่อระยะเวลาในการเกิดดินเพิ่มมากขึ้นจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินก็ จะเพิ่มมากขึ้น) 15.2 กระบวนการเกิดดินนอกจากอาศัยวัตถุต้นกำเนิดดินแล้ว ยังต้องอาศัยปัจจัยอะไรอีกบ้าง (แนวทางการตอบ: อาศัยตัวนำพาต่าง ๆ เช่น น้ำ สิ่งมีชีวิต ลม ในการหมุนเวียนสารหรือวัตถุต่าง ๆ รวมถึง อาศัยปัจจัยอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิอากาศ ปริมาณฝน ความชื้น และการเกิดปฏิกิริยาเคมี) 15.3 ชั้นหน้าตัดดินหลักมีกี่ชั้น อะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: จำนวน 6 ชั้น เรียงจากชั้นบนสุด ลงไปสู่ชั้นล่างสุด ได้แก่ชั้นโอ ชั้นเอ ชั้นอี ชั้นบี ชั้นซี และชั้นอาร์ ตามลำดับ) 15.4 ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน (แนวทางการตอบ: วัตถุต้น กำเนิดดิน ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระยะเวลาในการเกิดดิน) 16. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 2.1 และ 2.2
179 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 87-95) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 55) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายกระบวน การเกิดดิน ลักษณะของชั้นหน้าตัดดินได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนระบุปัจจัยที่ทำให้ดินมีลักษณะ และสมบัติแตกต่างกันได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป
180 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง
181 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
182
183 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง สมบัติของดิน เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/7 ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และนำเสนอแนว ทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูลสมบัติของดิน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนอธิบายสมบัติของดินและบอกแนวทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูลสมบัติของดินได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนสังเกตและตรวจวัดค่าความเป็นกรด-เบสของดินได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ สมบัติบางประการของดิน เช่น เนื้อดิน ความชื้นดิน ค่าความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถ นำไปใช้ในการตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยอาจนำไปใช้ประโยชน์ ทางการเกษตรหรืออื่น ๆ ซึ่งดินที่ไม่เหมาะสมต่อการทำการเกษตร เช่น ดินจืด ดินเปรี้ยว ดินเค็มและดินดาน อาจเกิดจากสภาพดินตาม ธรรมชาติหรือการใช้ประโยชน์จะต้องปรับปรุงให้มีสภาพเหมาะสม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ 4. สาระการเรียนรู้ ลักษณะและสมบัติต่าง ๆ ของดินในแต่ละพื้นที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงชนิดของวัตถุต้นกำเนิดดินหรือ ปริมาณองค์ประกอบของดินได้ เช่น สีดิน เนื้อดิน ความเป็นกรด-เบสของดิน มีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบ แร่ธาตุของวัตถุต้นกำเนิดดิน หรือสีดินมีความสัมพันธ์กับปริมาณอินทรียวัตถุในดินและความชื้นในดิน เนื้อดิน เป็นลักษณะทางกายภาพของดินที่มีสัดส่วนโดยน้ำหนักของตะกอนทราย ทรายแป้ง และดิน เหนียว ตะกอนทั้ง 3 ขนาดนี้เมื่อรวมตัวกันในสัดส่วนต่างกันจะเกิดเป็นดินชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีเนื้อดินแตกต่างกัน โดยขนาดตะกอนทรายจะมีขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือทรายแป้งและดินเหนียวตามลำดับ เนื้อดินแต่ละพื้นที่ มีลักษณะแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ ชนิดของวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นหินและแร่ต่างชนิดกัน
184 ความชื้นในดิน เป็นสัดส่วนระหว่างมวลของน้ำในดินกับมวลของดินแห้ง โดยทั่วไปสัดส่วนนี้มีค่า ระหว่าง 0.05-0.5 กรัม/กรัม ความชื้นในดินเป็นความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ใช้อธิบายความสามารถ ของดินในการให้ธาตุอาหารและน้ำแก่พืช ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ดินในแต่ละพื้นที่จะมีความเป็นกรด-เบส แตกต่างกัน เนื่องด้วยปัจจัยหลักคือชนิดของวัตถุต้นกำเนิด ดินที่ประกอบด้วยแร่ที่แตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเกิดดินในพื้นที่ นอกจากนั้นการเน่าเปื่อยของ ซากพืชและซากสัตว์ในดิน การใส่ปุ๋ยเคมีในดินก็จะมีผลต่อค่าความเป็นกรด-เบส ของดินได้ - ถ้าดินมีค่าพีเอชน้อยกว่า 7 แสดงว่าดินนั้นเป็นดินกรด ยิ่งมีค่าน้อยกว่า 7 มาก จะเป็นกรดมาก - แต่ถ้าดินมีพีเอชมากกว่า 7 จะเป็นดินด่าง - ส่วนดินที่มีพีเอชเท่ากับ 7 พอดีแสดงว่าดินเป็นกลาง การนำดินไปใช้ประโยชน์ ดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมีอยู่หลายชนิด เช่น ดินจืด ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และดินดาน ดิน ดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากสภาพดินตามธรรมชาติหรือจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ 1. ดินเปรี้ยวเป็นดินที่มีความเป็นกรดมากเกินไป ทำให้ขาดแคลนธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต ของพืช เช่น ธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ดินที่มีความเป็นกรดมากทำให้ธาตุเหล็กและอะลูมิเนียมละลาย ออกมาอยู่ในดินมากจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวมีหลายวิธี เช่น การใช้น้ำ ชะล้างความเป็นกรดในดิน หรือการขังน้ำไว้ในดินนาน ๆ แล้วระบายออก การใส่ปูนมาร์ล ปูนขาว หินปูนบด หรือหินปูนฝุ่นโดยผสมเข้ากับดินในอัตราส่วนที่เหมาะสม หรือใช้น้ำชะล้างความเป็นกรดในดินควบคู่ไปด้วย 2. ดินเค็มเป็นดินที่มีปริมาณเกลือที่ละลายได้ในน้ำมากจนเป็นอันตรายต่อพืช พืชจะเกิดการขาดน้ำ และได้รับธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเกลือที่ละลายออกมามากจนเกินไป ทำให้พืชมีผลผลิตต่ำหรือไม่ได้ ผลผลิต การปรับปรุงดินเค็มอาจใช้การไถกลบพืชปุ๋ยสด ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใส่วัตถุปรับปรุงดิน เช่น แกลบ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงที่แล้วโดยครูถามคำถามด้วยชุดคำถาม ดังนี้
185 1.1 ดินเกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: ดินเกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยอาศัยการผุพังอยู่กับ ที่ทั้งทางกายภาพและทางเคมีของหิน จนทำให้หินมีขนาดเล็กลงกลายเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน จากนั้นมีการผสม คลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นดินที่มีลักษณะและสมบัติที่ แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ กระบวนการเกิดดินอาศัยระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มมีชั้นดินเกิดขึ้น และเมื่อระยะเวลาในการเกิดดินเพิ่มมากขึ้นจำนวนชั้นดินและความหนาของชั้นดินก็จะเพิ่ม มากขึ้น) 1.2 ดินแต่ละพื้นที่มีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร (แนวทางการตอบ: แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุต้นกำเนิดดิน ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระยะเวลาในการเกิดดิน) 1.3 นักเรียนทราบหรือไม่ นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นยังมีสมบัติใดบ้างของดินที่ทำให้ดิน แต่ละพื้นที่แตกต่างกัน (แนวทางการตอบ: เนื้อดิน ความชื้นดิน ค่าความเป็นกรด- เบส สีของดิน และธาตุ อาหารในดิน) 1.4 นักเรียนทราบแล้วว่าดินและชั้นดินในแต่ละพื้นที่มีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน สมบัติ ของดินดังกล่าวมีวิธีการตรวจวัดอย่างไร (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ตัวแทนกลุ่มออกมารับใบกิจกรรมและอุปกรณ์การ ทดลอง ได้แก่ ถ้วยพลาสติก ช้อนตักดิน กระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ น้ำ แท่งแก้วคนสาร ดิน 3 ชนิด คือ ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินปกติ โดยครูชี้แจงขั้นตอนการทำกิจกรรมดังนี้ 2.1 ตักดินใส่ถ้วยพลาสติกและเติมน้ำลงในดินแต่ละชนิดให้ได้อัตราส่วนดินต่อน้ำเป็น 1 ต่อ 1 2.2 ใช้แท่งแก้วคนสารคนของผสมให้เข้ากันแล้วพักไว้ 3 นาที ทำซ้ำเช่นนี้ 5 ครั้ง 2.3 ตั้งของผสมไว้จนดินตกตะกอน และมีน้ำลักษณะใสแยกออกมาอยู่เหนือชั้นตะกอนดิน 2.4 วัดค่า pH ของน้ำใสเหนือตะกอนด้วยกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ ทำซ้ำเช่นนี้จำนวน 3 ครั้ง และหาค่า pH เฉลี่ยที่ตรวจวัดได้ 2.5 นำค่า pH ที่ตรวจวัดได้ไปเทียบระดับความเป็นกรด-เบสของดิน และบันทึกระดับความ เป็นกรด-เบสของดินที่ได้ 3. นักเรียนทำกิจกรรม เรื่อง สมบัติของดิน ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 4. ครูสุ่มเลือกนักเรียน 2-3 กลุ่ม นำเสนอผลการทำกิจกรรม เรื่อง สมบัติของดิน หน้าชั้นเรียน 5. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปสมบัติของดิน โดยใช้ Power Point ดังนี้ 5.1 ลักษณะและสมบัติต่าง ๆ ของดินในแต่ละพื้นที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงชนิดของวัตถุต้น กำเนิดดินหรือปริมาณองค์ประกอบของดินได้ เช่น สีดิน เนื้อดิน ความเป็นกรด-เบสของดิน มีความสัมพันธ์กับ องค์ประกอบแร่ธาตุของวัตถุต้นกำเนิดดิน หรือสีดินมีความสัมพันธ์กับปริมาณอินทรียวัตถุในดินและความชื้น ในดิน
186 5.2 การที่ดินแต่ละชนิดมีเนื้อดินแตกต่างกัน เพราะเนื้อดินเป็นลักษณะทางกายภาพของดินที่มี สัดส่วนโดยน้ำหนักของตะกอนทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว ตะกอนทั้ง 3 ขนาดนี้เมื่อรวมตัวกันในสัดส่วน ต่างกันจะเกิดเป็นดินชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีเนื้อดินแตกต่างกัน โดยขนาดตะกอนทรายจะมีขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมา คือทรายแป้งและดินเหนียวตามลำดับ เนื้อดินแต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ ชนิดของวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นหินและแร่ต่างชนิดกัน 5.3 ความชื้นในดินเป็นสัดส่วนระหว่างมวลของน้ำในดินกับมวลของดินแห้ง โดยทั่วไปสัดส่วน นี้มีค่าระหว่าง 0.05-0.5 กรัม/กรัม ความชื้นในดินเป็นความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน ใช้อธิบาย ความสามารถของดินในการให้ธาตุอาหารและน้ำแก่พืช ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช 5.4 ดินในแต่ละพื้นที่จะมีความเป็นกรด-เบส แตกต่างกัน เนื่องด้วยปัจจัยหลักคือชนิดของวัตถุ ต้นกำเนิดดินที่ประกอบด้วยแร่ที่แตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเกิดดินในพื้นที่ นอกจากนั้นการเน่า เปื่อยของซากพืชและซากสัตว์ในดิน การใส่ปุ๋ยเคมีในดินก็จะมีผลต่อค่าความเป็นกรด-เบส ของดินได้ - ถ้าดินมีค่าพีเอชน้อยกว่า 7 แสดงว่าดินนั้นเป็นดินกรด ยิ่งมีค่าน้อยกว่า 7 มาก จะเป็น กรด - แต่ถ้าดินมีพีเอชมากกว่า 7 จะเป็นดินด่าง - ส่วนดินที่มีพีเอชเท่ากับ 7 พอดีแสดงว่าดินเป็นกลาง ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 6. ครูถามคำถามด้วยชุดคำถามดังนี้ 6.1 เราสามารถนำดินไปใช้ประโยชน์ในการทำอะไรได้บ้าง (แนวทางการตอบ: 1. การเพาะปลูกพืช และยังให้อาหารแก่พืชในการสร้างอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของพืช 2. การเลี้ยงสัตว์ สัตว์ ต้องอาศัยดินเป็นที่อยู่และหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์ก็เจริญเติบโตบนดิน 3. ที่อยู่อาศัย เราสร้างที่อยู่ อาศัยบนดินและเราใช้ดินในการทำอิฐ เพื่อใช้ในการก่อสร้างที่พัก อาศัยชนบางเผ่าสร้างบ้านจาก ดินโดยตรง 4. ทำสิ่งของเครื่องใช้ เช่น ดินเหนียวทำเครื่องปั้นดินเผา 5. การพักผ่อนหย่อนใจ การเปลี่ยนแปลงของพื้นดินและหินในธรรมชาติ ทำให้เกิดทิวทัศน์ สวยงามและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว) 6.2 ดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกได้แก่ดินอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: ดินจืด ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และดินดาน ดินดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากสภาพดินตามธรรมชาติหรือจากการใช้ประโยชน์ของ มนุษย์) 6.3 วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวทำได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวมี หลายวิธี เช่น การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรดในดิน หรือการขังน้ำไว้ในดินนาน ๆ แล้วระบายออก การใส่ปูน มาร์ล ปูนขาว หินปูนบด หรือหินปูนฝุ่นโดยผสมเข้ากับดินในอัตราส่วนที่เหมาะสม หรือใช้น้ำชะล้างความเป็น กรดในดินควบคู่ไปด้วย)
187 6.4 วิธีการปรับปรุงดินเค็มทำได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: การปรับปรุงดินเค็มอาจใช้การไถ กลบพืชปุ๋ยสด ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใส่วัตถุปรับปรุงดิน เช่น แกลบ) 7. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับดินเปรี้ยวและดินเค็มดังนี้ 7.1 ดินเปรี้ยวเป็นดินที่มีความเป็นกรดมากเกินไป ทำให้ขาดแคลนธาตุที่สำคัญต่อการ เจริญเติบโตของพืช เช่น ธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ดินที่มีความเป็นกรดมากทำให้ธาตุเหล็กและ อะลูมิเนียมละลายออกมาอยู่ในดินมากจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อพืชที่ปลูก 7.2 ดินเค็มเป็นดินที่มีปริมาณเกลือที่ละลายได้ในน้ำมากจนเป็นอันตรายต่อพืช พืชจะเกิดการ ขาดน้ำและได้รับธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเกลือที่ละลายออกมามากจนเกินไป ทำให้พืชมีผลผลิตต่ำหรือไม่ ได้ผลผลิต ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 8. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการถามคำถาม ดังนี้ 8.1 ดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกได้แก่ดินอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: ดินจืด ดิน เปรี้ยว ดินเค็ม และดินดาน ดินดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากสภาพดินตามธรรมชาติหรือจากการใช้ประโยชน์ ของมนุษย์) 8.2 วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวทำได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวมี หลายวิธี เช่น การใช้น้ำชะล้างความเป็นกรดในดิน หรือการขังน้ำไว้ในดินนาน ๆ แล้วระบายออก การใส่ปูน มาร์ล ปูนขาว หินปูนบด หรือหินปูนฝุ่นโดยผสมเข้ากับดินในอัตราส่วนที่เหมาะสม หรือใช้น้ำชะล้างความเป็น กรดในดินควบคู่ไปด้วย) 8.3 วิธีการปรับปรุงดินเค็มทำได้อย่างไร (แนวทางการตอบ: การปรับปรุงดินเค็มอาจใช้การ ไถกลบพืชปุ๋ยสด ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใส่วัตถุปรับปรุงดิน เช่น แกลบ) 9. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 2.3 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 87-95) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 56-57) แหล่งเรียนรู้ -
188 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายสมบัติของดินและบอก แนวทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูล สมบัติของดินได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนสังเกตและตรวจวัดค่าความเป็น กรด-เบสของดินได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป
189 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง
190 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
191
192
193 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง แหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน และภัยธรรมชาติบนผิวโลก เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/8 อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน จากแบบจำลอง ม.2/9 สร้างแบบจำลองที่อธิบายการใช้น้ำ และนำเสนอแนวทางการใช้น้ำอย่างยั่งยืนใน ท้องถิ่นของตนเอง ม.2/10 สร้างแบบจำลองที่อธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบของน้ำท่วม การกัดเซาะ ชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - อธิบายการเกิดน้ำผิวดินได้ - อธิบายการเกิดน้ำใต้ดินและการกักเก็บของน้ำบาดาลได้ - อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดินได้ - นักเรียนอธิบายผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วม แผ่นกินถล่ม การกัดเซาะชายฝั่ง หลุมยุบ และแผ่นดิน ทรุดได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นำเสนอการทำกิจกรรมแหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดินได้ - นักเรียนสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายกระบวนการเกิดและผลกระทบของน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุดได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ แหล่งน้ำผิวดินเกิดจากน้ำฝนที่ตกลงบนพื้นโลกไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำด้วยแรงโน้มถ่วง การไหล ของน้ำทำให้พื้นโลกเกิดการกัดเซาะเป็นร่องน้ำ เช่น ลำธาร คลอง และแม่น้ำ ซึ่งร่องน้ำจะมีขนาดและรูปร่าง แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิดดินและหิน และลักษณะภูมิประเทศ เช่น
194 ความลาดชัน ความสูงต่ำของพื้นที่ เมื่อน้ำไหลไปยังบริเวณที่เป็นแอ่งจะเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่งน้ำ เช่น บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร แหล่งน้ำใต้ดินเกิดจากการซึมของน้ำผิวดินลงไปสะสมตัวใต้พื้นโลก ซึ่งแบ่งเป็นน้ำในดินและน้ำบาดาล น้ำในดินเป็นน้ำที่อยู่ร่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน้ำบาดาล เป็นน้ำที่ไหลซึมลึกลงไปและถูก กักเก็บไว้ในชั้นหินหรือชั้นดิน จนอิ่มตัวไปด้วยน้ำ แหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดินถูกนำมาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจัดการการใช้ ประโยชน์น้ำ และคุณภาพของแหล่งน้ำ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การใช้ประโยชน์พื้นที่ใน ด้านต่าง ๆ เช่น ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ลุ่มน้ำ และแหล่งน้ำผิวดินไม่เพียงพอสำหรับกิจกรรมของมนุษย์ น้ำจาก แหล่งน้ำใต้ดินถูกนำมาใช้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำใต้ดินลดลงมากจึงต้องมีการใช้น้ำอย่างเหมาะสมและ ยั่งยืน ซึ่งอาจทำได้โดยการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อให้มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต การจัดสรรและการใช้ น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด มีกระบวนการเกิดและผลกระทบที่แตกต่าง กัน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ชีวิต และทรัพย์สิน 4. สาระการเรียนรู้ ในธรรมชาติฝนที่ตกลงมาที่ผิวโลกจะไหลไปตามภูมิประเทศจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ขณะที่น้ำไหลไปตามผิวโลก กระแสน้ำจะกัดเซาะผิวโลกให้กลายเป็นร่องน้ำเล็ก ๆ และน้ำจะไหลไปรวมกันใน พื้นที่ที่มีลักษณะเป็นแอ่งหรือมีโครงสร้างที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของการเกิดแหล่งน้ำผิว ดิน แหล่งน้ำผิวดิน แต่ละแหล่งมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ปริมาณน้ำใน แต่ละฤดูกาลชนิดของดิน หิน แร่ หรือตะกอนซึ่งมีความทนทานต่อการกัดเซาะของน้ำไม่เท่ากัน ปริมาณฝนที่ ตกในพื้นที่ระยะเวลาในการกัดเซาะของน้ำในพื้นที่ ภูมิประเทศ และโครงสร้างทางธรณีวิทยาของหินในพื้นที่ แหล่งน้ำใต้ดิน เกิดจากการซึมของน้ำผิวดินลงไปสะสมตัวใต้พื้นโลก ซึ่งแบ่งเป็นน้ำในดินและ น้ำบาดาล น้ำในดินเป็นน้ำที่อยู่ร่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน้ำบาดาล เป็นน้ำที่ไหลซึมลึก ลงไปและถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินหรือชั้นดิน จนอิ่มตัวไปด้วยน้ำ ในธรรมชาติระดับน้ำใต้ดินในบริเวณหนึ่ง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงระดับไปตามฤดูต่าง ๆ เช่น ในฤดู ฝนระดับน้ำใต้ดินจะมีระดับสูง แต่ในฤดูแล้งระดับน้ำใต้ดินจะลดระดับลง ระดับน้ำใต้ดินจะวางตัวสอดคล้องไป ตามแนวชั้นหินหรือตามลักษณะภูมิประเทศและจะไปบรรจบกับระดับน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบ และสุดท้าย จะไปบรรจบกับระดับน้ำในทะเลและมหาสมุทร ปัจจุบันมีการนำน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์ทั้งในการดำรงชีวิต การอุปโภคและบริโภค ในการทำ เกษตรกรรม และในภาคอุตสาหกรรม
195 น้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำเพื่อการประกอบอาหาร ใช้ใน การเกษตร ใช้สำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วไปของมนุษย์ ใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ แนว ทางการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย เช่น ใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย ใช้ผักตบชวา ใช้เครื่องจักรกล เป็นต้น น้ำท่วม เกิดจากพื้นที่หนึ่งได้รับปริมาณน้ำเกินกว่าที่จะกักเก็บได้ ทำให้แผ่นดินจมอยู่ใต้น้ำ โดยขึ้นอยู่ กับปริมาณน้ำและสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่ การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทะเลที่เกิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัด เซาะของคลื่นหรือลม ทำให้ตะกอนจากที่หนึ่งไปตกทับถมในอีกบริเวณหนึ่ง แนวของชายฝั่งเดิม จึง เปลี่ยนแปลงไป บริเวณที่มีตะกอนเคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ตะกอนเคลื่อนออกไปถือว่าเป็นบริเวณที่มี การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินหรือหินจำนวนมากลงตามลาดเขา เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก เป็นหลัก ซึ่งเกิดจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ความลาดชันของพื้นที่ สภาพธรณีวิทยา ปริมาณน้ำฝน พืชปกคลุมดิน และการใช้ประโยชน์พื้นที่ แผ่นดินทรุดเกิดจากการยุบตัวของชั้นดิน หรือหินร่วน เมื่อมวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมากที่ รองรับอยู่ใต้ชั้นดินบริเวณนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยธรรมชาติหรือโดยการกระทำของมนุษย์ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนสอน จากกรอบ Understanding Check ลงในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ม.2 เล่ม 2
196 2. ครูถามคำถาม “แหล่งน้ำที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ได้แก่อะไรบ้าง” (แนวทางการตอบคำถาม: แหล่งน้ำจืด เช่น น้ำบาดาล แม่น้ำ น้ำตก และแหล่งน้ำเค็ม เช่น น้ำ ทะเล) 3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายจากคำถามจนได้ข้อสรุปว่า โลกประกอบด้วยน้ำ 3 ใน 4 ส่วน ของพื้นที่ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำเค็มแต่น้ำที่มนุษย์นำมาอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวันเป็นน้ำจืด ใน ธรรมชาติน้ำจืดพบอยู่ในแม่น้ำ ทะเลสาบ ธารน้ำแข็ง ความชื้นในดิน บรรยากาศ และน้ำใต้ดิน ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง แหล่งน้ำ เพื่อศึกษาปัจจัยและ กระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน 5. ครูแจ้งกิจกรรมการทดลอง เพื่อทำการพิสูจน์ความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับปัจจัยและ กระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน 6. นักเรียนทำกิจกรรมเรื่องปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน และบันทึกผล การทดลองลงแบบบันทึกกิจกรรม 7. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 8. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปกิจกรรม ดังนี้ 8.1 ปัจจัยและกระบวนการเกิดแหล่งน้ำผิวดิน 8.1.1 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลกิจกรรม จำลองการเกิดและปัจจัยในการเกิดน้ำ ผิวดินว่า “แหล่งน้ำส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ โดยฝนที่ตกลงมาจะไหลไปตามภูมิประเทศที่มีรูปร่าง แตกต่างกัน เกิดกระบวนการกัดเซาะพื้นดินให้กลายเป็นร่องน้ำขนาดเล็ก ซึ่งจากกิจกรรมทำให้รู้ว่าภูมิประเทศ ที่มีขนาดสูงกว่าจะทำให้เกิดร่องน้ำที่ลึกกว่า เมื่อเวลาผ่านไปร่องน้ำจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น ขึ้นอยู่กับความ ทนทานในการกัดเซาะของดิน หิน และแร่ ระยะเวลาในการกัดเซาะของน้ำในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งความเร็วและ กระแสน้ำในแต่ละฤดูกาล” 8.1.2 ครูถามคำถามท้ายกิจกรรมนักเรียน