The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by f019chat, 2024-02-05 04:46:53

แผนการจัดการเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 2

97 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดงานในชีวิตประจำวัน เช่น การยกน้ำหนัก จากภาพ (ก) จะเห็นว่า นักกีฬายกน้ำหนักออกแรงแบกตุ้มน้ำหนักไว้บริเวณบ่า โดยตุ้มน้ำหนักไม่มี การเคลื่อนที่ จึงถือว่าไม่เกิดงานในทางฟิสิกส์ ส่วนภาพ (ข) จะเห็นว่า นักกีฬายกน้ำหนักออกแรงกระทำต่อตุ้ม น้ำหนักมากขึ้น ทำให้ตุ้มน้ำหนักเคลื่อนที่ขึ้นไปเหนือศีรษะในทิศทางเดียวกับแรงที่มากระทำ จึงถือว่าเกิดงาน ในทางฟิสิกส์ 6. ครูกำหนดโจทย์การคำนวณหางาน ดังนี้ 6.1 ชายคนหนึ่งออกแรงขนาด 300 นิวตัน ผลักโต๊ะให้เคลื่อนที่ไปยังมุมห้องได้ขนาดของการ กระจัด 20 เมตร จงหางานที่เกิดขึ้นจากการออกแรงกระทำของชายคนนี้(แนวทางการตอบ: Soln จากสมการ W = Fs = 300 N x 20 m W = 6,000 N m หรือ 6,000 J ดังนั้น งานที่เกิดจากการออกแรงกระทำของชายคนนี้เท่ากับ 6,000 จูล ตอบ) 6.2 ลูกมะพร้าว 2 ลูก มีมวลลูกละ 2 และ 3 กิโลกรัม ตามลำดับตกแบบอิสระลงมาจากต้นที่ระดับ ความสูงเดียวกันซึ่งสูงจากพื้น 15 เมตร อยากทราบว่างานเนื่องจากแรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นมีขนาดเท่ากับกี่จูล (แนวทางการตอบ: Soln จากสมการ W = mgh วัตถุชิ้นที่ 1 ; W = 5 kg x 10 m/s2 x 5 m W =250 J วัตถุชิ้นที่ 2 ; W = 5 kg x 10 m/s2 x 10 m W =500 J ดังนั้น งานที่เกิดขึ้นกับวัตถุมวล 5 กิโลกรัม ทั้งสองชิ้นที่ตกลงมาจากที่สูง 5 และ 10 เมตร เท่ากับ 250 และ 500 จูล ตามลำดับย 135 วัตต์ ตอบ) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 7. ครูถามคำถามนักเรียนด้วยชุดคำถามดังนี้


98 7.1 งานในทางวิทยาศาสตร์คืออะไร (แนวทางการตอบ: เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุทำให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง ทำให้เกิด งาน (Work: W)) 7.2 งานจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: ขนาดของแรง (Force: F) และขนาดของการกระจัด (s) ในแนวเดียวกับ แรง) 7.3 สูตรในการคำนวณหางาน และงานมีหน่วยอะไร (แนวทางการตอบ: W = Fs งานมีหน่วยเป็นนิวตัน เมตรหรือจูล) 8. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.1, 1.2, 1.3 และ 1.4 ข้อ (1), (2) และ (3) (ชั่วโมงที่ 2-3) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียน จากชั่วโมงที่ผ่านมา ว่างานในทางวิทยาศาสตร์เป็นผลของ แรงที่ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปในแนวเดียวกับทิศทางของแรง โดยงานจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของแรง และขนาดของการกระจัดในแนวเดียวกับแรง สามารถคำนวณได้จากสมการ W = Fs เป็นปริมาณสเกลาร์ มี หน่วยในระบบ SI เป็น นิวตันเมตร หรือจูล (J) การคำนวณงานต้องคำนึงถึงทิศทางของแรงและทิศทางการ เคลื่อนที่ ถ้าทิศทางของแรงและทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นทิศทางเดียวกัน ค่าของงานที่ได้จะกำหนดให้ มีค่าเป็นบวก ถ้าทิศทางของแรงและทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุมีทิศทางตรงกันข้าม ค่าของงานที่ได้จะ กำหนดให้มีค่าเป็นลบ ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. ครูให้นักเรียนแต่ละคนศึกษา เรื่อง กำลัง โดยครูใช้คำถามให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า ดังนี้ 2.1 กำลังในทางวิทยาศาสตร์ คืออะไร 2.2 สูตรที่ใช้ในการคำนวณหากำลัง ใช้สูตรอะไร 2.3 กำลังนอกจากจะเกี่ยวข้องกับการทำงานแล้วยังเกี่ยวข้องกับอะไรอีกบ้าง 3. นักเรียนเขียนสรุปสิ่งที่ศึกษาค้นคว้าลงในสมุดของตนเอง ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 4. นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่แต่ละคนค้นคว้ามา สรุปได้ดังนี้ กำลัง (power) เป็นปริมาณที่ใช้บอกอัตราการทำงานหรืองานที่ทำได้ในหนึ่งหน่วยเวลา กำลังเป็น ปริมาณสเกลาร์เช่นเดียวกับงาน โดยปริมาณที่เกี่ยวข้องกับกำลังประกอบด้วย งาน และเวลา


99 การคำนวณหากำลังเฉลี่ยมีความสัมพันธ์ดังสมการ เมื่อ P คือ กำลังเฉลี่ย มีหน่วยเป็น จูลต่อวินาที (J/s) หรือ วัตต์ (W) P = W คือ งาน มีหน่วยเป็น นิวตัน เมตร (N.m) หรือ จูล (J) t คือ เวลา มีหน่วยเป็น วินาที (s) นอกจากกำลังจะเกี่ยวข้องกับการทำงานแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับพลังงานอื่น ๆ เช่น เกี่ยวข้องกับ พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อน ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 5. ครูยกตัวอย่างโจทย์และอธิบายการคำนวณหากำลังในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ 5.1 เด็กชายคนหนึ่งออกแรงขนาด 450 นิวตัน ลากล่องให้เคลื่อนที่เป็นระยะทาง 15 เมตร ในเวลา 50 วินาที จงหากำลังเฉลี่ยการลากกล่องของเด็กชายคนนี้ นี้(แนวทางการตอบ: Soln จากสมการ P = P = = 450 15 50 P = 135 W ดังนั้น กำลังเฉลี่ยของเด็กชายคนนี้ที่ใช้ในการลากกล่องเท่ากับ 135 วัตต์ ตอบ) 5.2 ชายคนหนึ่งออกแรงขนาด 180 นิวตัน ผลักกล่องให้เคลื่อนที่ ถ้ากำลังเฉลี่ยที่ใช้ในการ ผลักกล่องเท่ากับ 360 วัตต์ อยากทราบว่าในเวลา 20 วินาที ชายคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ขนาดของ การกระจัด (แนวทางการตอบ: Soln จากสมการ P = = 360 W = 180 20 s = 360 20 180 s = 40 m ดังนั้น ชายคนนี้จะผลักกล่องให้เคลื่อนที่ได้ขนาดของการกระจัดเท่ากับ 40 เมตร ตอบ) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 6. ครูถามคำถามนักเรียนด้วยชุดคำถามดังนี้ 6.1 กำลังในทางวิทยาศาสตร์คืออะไร (แนวทางการตอบ: อัตราการทำงานต่อหนึ่งหน่วยเวลา) 6.2 กำลังจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: งานที่ทำในหนึ่งหน่วยเวลา)


100 6.3 สูตรในการคำนวณหากำลัง และกำลังมีหน่วยอะไร (แนวทางการตอบ: สมการ P = กำลังมีหน่วยในระบบ SI เป็น จูลต่อวินาที (J/s) หรือ วัตต์ (W)) 7. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.4 ข้อ (4), (5) และ (6) 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 47-51) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง งานและพลังงาน แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 30-33) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายความหมายของงานและ กำลังได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์และ คำนวณงานและกำลังได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด การคำนวณ ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป


101 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง


102 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ


103


104


105


106


107 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย 1 เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.2/2 วิเคราะห์หลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ม.2/3 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยบอกประโยชน์และการ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายหลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่ายได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนนำเสนอผลการศึกษาเรื่อง เครื่องกลอย่างง่ายได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ หลักการของงานนำไปอธิบายการทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน พื้นเอียง รอกเดี่ยว ลิ่ม สกรู ล้อและเพลา ซี่งนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. สาระการเรียนรู้ เครื่องกลอย่างง่ายสร้างขึ้นมาเพื่อผ่อนแรงหรือทำให้ทำงานนั้น ๆ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นแต่ไม่ ผ่อนงาน ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ เมื่อไม่มีการสูญเสียพลังงานจะได้ว่า งานที่ได้จากเครื่องกลจะเท่ากับงานที่ ให้กับเครื่องกล โดยแรงที่กระทำต่อเครื่องกลจะเท่ากับหรือน้อยกว่าแรงที่เครื่องกลกระทำต่อวัตถุ โดย ระยะทางในการออกแรงจะเท่ากับหรือมากกว่าระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ เครื่องกลอย่างง่ายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ คาน ลิ่ม รอก พื้นเอียง สกรู ล้อและเพลา 1. คาน เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นท่อนยาว มีจุดหมุนเพื่อทวีแรงเชิงกลช่วยผ่อนแรงในการทำงาน ตัวอย่างเช่น กรรไกร รถเข็นทราย ตะเกียบ 2. ลิ่ม เป็นเครื่องกลที่มีรูปร่างสามเหลี่ยม ใช้ตอกลงในเนื้อวัตถุเพื่อยึดหรือแยกวัตถุให้ออกจากกัน ตัวอย่างเช่น ขวาน มีด ส้อม


108 3. สกรู เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะใช้หมุนเพื่อยึดวัตถุมีหลักการทำงานคล้ายกับพื้นเอียงตัวอย่างเช่น ปากกาจับชิ้นงาน นอต 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ (ชั่วโมงที่ 1) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำเส้นลวด กระดาษ และแผ่นไม้ที่มีตะปูมาให้นักเรียนดู แล้วครูถามคำถามนักเรียนด้วยชุด คำถาม ดังนี้ 1.1 ถ้าต้องการตัดเส้นลวดควรใช้อุปกรณ์ใด (แนวทางการตอบ: คีมตัดลวด) 1.2 ถ้าต้องการตัดกระดาษควรใช้อุปกรณ์ใด (แนวทางการตอบ: กรรไกร) 1.3 ถ้าต้องการงัดตะปูออกจากแผ่นไม้ควรใช้อุปกรณ์ใด (แนวทางการตอบ: ค้อน) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง คาน เพื่อหาประเภทของคาน หลักการทำงานของคานแต่ละอันดับ และการนำคานแต่ละอันดับไปใช้ประโยชน์ 3. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 3. นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่แต่ละกลุ่มค้นคว้ามา สรุปได้ดังนี้ คาน (lever) เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นท่อนยาว มีจุดหมุน (fulcrum) เพื่อทวีคูณแรงเชิงกล หรือ ช่วยผ่อนแรงหรือช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้น เช่น ค้อนงัดตะปู กรรไกร ตะเกียบ โดยส่วนประกอบหลัก ของเครื่องกลประเภทคาน ดังภาพ


109 ประเภทของคาน มี 3 ประเภท สามารถสรุปได้ดังนี้ การนำคานแต่ละอันดับไปใช้ประโยชน์ - คานประเภทที่ 1 ได้แก่ กรรไกร ไม้พาย กรรไกรตัดเล็บ คีมตัดลวด - คานประเภทที่ 2 ได้แก่ รถเข็นดิน ที่เปิดขวดแบบฝาจีบ ที่ตัดกระดาษ - คานประเภทที่ 3 ได้แก่ การคีบตะเกียบ คีมคีบน้ำแข็ง ปากกา ไม้กวาดด้ามยาว ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าหลักการของงานสามารถนำมาอธิบายหลักการทำงานของคานได้ ดังนี้ งานที่ให้กับคาน = งานที่คานกระทำต่อวัตถุ Es = Wh และ Es = mgh


110 ถ้าตำแหน่งของจุดหมุนอยู่ใกล้กับวัตถุ จะส่งผลให้ระยะที่คานยวัตถุ (h) น้อยกว่าระยะที่ออกแรง กดคาน (s) เสมอ และเนื่องจากงานที่ให้กับคานเท่ากับงานที่คานกระทำต่อวัตถุ ดังนั้น แรงพยายาม (E) จะ น้อยกว่าแรงต้านทาน (W) กล่าวคือ แรงที่ให้กับคานจะมีขนาดน้อยกว่าแรงที่คานกระทำต่อวัตถุ ดังนั้น คานจึง เป็นเครื่องกลประเภทหนึ่งที่ช่วยผ่อนแรง ซึ่งได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 4. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพื่อยกตัวอย่างคานที่พบในโรงเรียน เช่น กรรไกร บานประตู และ การคีบตะเกียบ เป็นต้น 5. ครูกำหนดโจทย์การคำนวณหาคาน ดังนี้ 5.1 ชายคนหนึ่งใช้คานงัดยกวัตถุหนัก 2.5 กิโลกรัม ให้สูงขึ้น 1.5 เมตร ชายคนนี้ต้องออกแรง พยายามขนาดกี่นิวตัน เพื่อกดให้คานลง 0.5 เมตร (กำหนดให้ g = 10 m/s2 ) (แนวทางการตอบ: Soln งานที่ให้กับคาน = งานที่คานกระทำต่อวัตถุ จากสมการ Es = Wh Es = mgh 2.5 x 10 x 1.5 = E x 0.5 E = 2.5 10 1.5 0.5 E = 75 นิวตัน ดังนั้น ชายคนนี้ต้องออกแรงพยายามขนาดเท่ากับ 75 นิวตัน ตอบ) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 6. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 13.1 คานมีประโยชน์อย่างไร (แนวทางการตอบ: ช่วยผ่อนแรงหรือช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้น) 13.2 ยกตัวอย่างคานที่พบในชีวิตประจำวันมา 3 ชนิด (แนวทางการตอบ: ที่เปิดขวด รถเข็นทราย และกระดานหก) 7. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.5 (ชั่วโมงที่ 2-3) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำแผ่นภาพ หรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นถึงการสร้างบ้านจากไม้ แล้วให้นักเรียนร่วมกัน อภิปราย ดังนี้ 1.1 อุปกรณ์ที่ใช้สร้างบ้านจากไม้ในแผ่นภาพมีอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ: ขวาน ค้อน ตะปู นอต สว่าน และเลื่อย) 1.2 อุปกรณ์ใดใช้สำหรับผ่าวัตถุออกจากกัน


111 (แนวทางการตอบ: ขวานและเลื่อย) 1.3 อุปกรณ์ใดใช้ตรึงวัตถุให้อยู่กับที่ (แนวทางการตอบ: ตะปูและนอต) 1.4 อุปกรณ์เหล่านี้ถ้านำมาช่วยผ่อนแรงจะเรียกว่าอะไร (แนวทางการตอบ: ลิ่มและสกรู) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง ลิ่มและสกรูเพื่อหาความหมายของ ลิ่มและสกรู หลักการทำงานของลิ่มและสกรู และประโยชน์ของลิ่มและสกรู 3. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 4. นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่แต่ละคนค้นคว้ามา สรุปได้ดังนี้ ลิ่ม (Wedge) เป็นเครื่องกลที่มีรูปร่างสามเหลียม นิยมตอกลงในเนื้อวัตถุเพื่อแบยกวัตถุให้ออก จากกัน ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขวาน มีด ส้อม จากภาพ เมื่อออกแรงพยายาม (E) กระทำต่อลิ่มให้เคลื่อนที่เข้าไปในเนื้อวัตถุเป็นระยะ H ทำให้วัตถุ แยกออกจากกันเป็นระยะ L ซึ่งภายในเนื้อวัตถุจะมีแรงต้าน (W) โดยหลักการของงานสามารถนำมาอธิบาย หลักการทำงานของลิ่มได้ ดังนี้ งานที่ให้กับลิ่ม = งานที่ได้จากลิ่ม EH = WL สกรู (screw) เป็นเครื่องกลที่ใช้สำหรับยกวัตถุขึ้นที่สูงหรือใช้ยึดวัตถุเข้าด้วยกัน เช่น แม่แรงยกรถ และนอตยึดคานไม้สามารถอธิบายหลักการทำงานของสกรูได้ ดังนี้ งานที่ให้กับสกรู = งานที่ได้จากสกรู E x 2πR = mgh E = ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 5. ครูยกตัวอย่างโจทย์และอธิบายการคำนวณหากำลังในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์


112 5.1 นายต้นออกแรงขนาด 500 นิวตัน ตอกลิ่มกว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 12 เซนติเมตร ดังภาพ แรงที่ลิ่มกระทำต่อผนังไม้ขนาดกี่นิวตัน (แนวทางการตอบ: Soln งานที่ให้กับลิ่ม = งานที่ได้จากลิ่ม EH = WL 500 x 0.12 = W x 0.05 W = 500 0.12 0.05 W = 1,200 นิวตัน ดังนั้น แรงที่ลิ่มกระทำต่อผนังไม้มีขนาดเท่ากับ 1,200 นิวตัน ตอบ) 5.2 แม่แรงยกรถตัวหนึ่งมีด้ามยาว 50 เซนติเมตร ถ้าหมุนเกลียวสกรู 6 รอบ ระยะเกลียวสกรู หรือหรือรถจะเคลื่อนที่สูงขึ้น 18 เซนติเมตร ถ้ารถมีมวล 2.5 ตัน ต้องออกแรงเท่าใด (g = 10 m/s2 ) (แนวทางการตอบ: Soln จากหลักการ งานที่ให้กับสกรู = งานที่ได้จากสกรู E x 2πR = mgh E = พิจารณาระยะเกลียวสกรูจากการหมุน 6 รอบ ระยะเกลียวสกรูสูงขึ้น 18 เซนติเมตร จะได้ หมุน 1 รอบ ระยะเกลียวสกูรสูงขึ้น 3 เซนติเมตร E = , . (.)(.) E = 238.85 N ดังนั้น ต้องออกแรงเท่ากับ 238.85 นิวตัน เพื่อยกรถมวล 2.5 ตัน ตอบ) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 6. ครูถามคำถามนักเรียนด้วยชุดคำถามดังนี้ 6.1 ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 6.2 ลิ่มและสกรูมีสมบัติใดเหมือนกัน (แนวทางการตอบ: ช่วยผ่อนแรง ช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้น) 6.3 ยกตัวอย่างของใช้ในบ้านนักเรียนที่เป็นลิ่ม (แนวทางการตอบ: มีด) 6.4 ยกตัวอย่างของใช้ในบ้านนักเรียนที่เป็นสกรู(แนวทางการตอบ: นอต) 7. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.7 ข้อ (1) 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 52-54) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง งานและพลังงาน แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 34-35) แหล่งเรียนรู้


113 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายหลักการ ทำงานของเครื่องกลอย่างง่ายได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนนำเสนอผลการศึกษาเรื่อง เครื่องกลอย่างง่ายได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด การคำนวณ ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป


114 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง


115 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ


116


117


118 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง เครื่องกลอย่างง่าย 2 เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.2/2 วิเคราะห์หลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ม.2/3 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยบอกประโยชน์และการ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายหลักการทำงานของเครื่องกลอย่างง่ายได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนนำเสนอผลการศึกษาเรื่อง เครื่องกลอย่างง่ายได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ หลักการของงานนำไปอธิบายการทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน พื้นเอียง รอกเดี่ยว ลิ่ม สกรู ล้อและเพลา ซี่งนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. สาระการเรียนรู้ เครื่องกลอย่างง่ายสร้างขึ้นมาเพื่อผ่อนแรงหรือทำให้ทำงานนั้น ๆ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นแต่ไม่ ผ่อนงาน ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ เมื่อไม่มีการสูญเสียพลังงานจะได้ว่า งานที่ได้จากเครื่องกลจะเท่ากับงานที่ ให้กับเครื่องกล โดยแรงที่กระทำต่อเครื่องกลจะเท่ากับหรือน้อยกว่าแรงที่เครื่องกลกระทำต่อวัตถุ โดย ระยะทางในการออกแรงจะเท่ากับหรือมากกว่าระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ เครื่องกลอย่างง่ายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ คาน ลิ่ม รอก พื้นเอียง สกรู ล้อและเพลา 1. รอก เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นล้อและมีเชือกพาดช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย สิ่งของ ตัวอย่างเช่น รอกเดี่ยวที่พบในไซต์งานก่อสร้าง กว้านตักน้ำจากบ่อ 2. พื้นเอียง เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นทางลาด หรือเป็นไม้กระดาน ผิวเรียบ ใช้เคลื่อนย้ายวัตถุ จากที่สูง หรือเคลื่อนวัตถุที่มีน้ำหนักมาก ตัวอย่างเช่น พื้นเอียง บันได


119 3. ล้อและเพลา เป็นเครื่องกลที่ประกอบด้วยทรงกระบอก 2 อันติดกัน อันใหญ่เรียกว่า ล้ออันเล็ก เรียกว่า เพลา ช่วยผ่อนแรงในการเคลื่อนย้ายวัตถุ ตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตู จักรยาน 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ (ชั่วโมงที่ 1) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำแผ่นภาพ หรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นบริเวณการก่อสร้างตึกหรืออาคาร แล้วให้นักเรียน ร่วมกันอภิปราย ดังนี้ 1.1 แผ่นภาพที่นักเรียนเห็นเกิดขึ้นที่ใด (แนวทางการตอบ: บริเวณการก่อสร้างตึกหรืออาคาร) 1.2 ถ้าต้องการเคลื่อนย้ายอาคารควรใช้อุปกรณ์ใด (แนวทางการตอบ: เครนยกของ) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง รอก เพื่อหาประเภทของรอกเดี่ยว และการทำงานของรอกเดี่ยวแต่ละประเภท 3. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 3. นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่แต่ละกลุ่มค้นคว้ามา สรุปได้ดังนี้ รอก (pully) เป็นเครื่องกลที่มีลักษณะเป็นล้อ และมีเชือกหรือเคเบิลพาดรอบล้อ ช่วยอำนวยความ สะดวกในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ ซึ่งรอกเดี่ยวเป็นเครื่องกลอย่างง่าย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่


120 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 4. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพื่อยกตัวอย่างรอกที่พบในโรงเรียน เช่น เสาธง เป็นต้น ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 5. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 5.1 รอกเดี่ยวมีประโยชน์อย่างไร (แนวทางการตอบ: ช่วยยกวัตถุขึ้นไปยังที่สูงและช่วยผ่อนแรง) 5.2 ยกตัวอย่างรอกเดี่ยวที่นักเรียนรู้จักมา 3 ชนิด (แนวทางการตอบ: ลิฟต์ เสาธง และเบ็ดตกปลา)


121 (ชั่วโมงที่ 2) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำแผ่นภาพ หรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นถึงการย้ายรถจักรยานยนต์ขึ้นรถบรรทุกโดยขับ รถจักรยานยนต์ผ่านไม้กระดานที่พาดระหว่างพื้นกับท้ายรถบรรทุก แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้ 1.1 สิ่งใดทำหน้าที่เป็นพื้นเอียง (แนวทางการตอบ: ไม้กระดาน) 1.2 ประโยชน์ของไม้กระดานคืออะไร (แนวทางการตอบ: ช่วยย้ายรถจักรยานยนต์ขึ้นรถบรรทุกได้สะดวกและใช้แรงน้อย) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง สังเกตการเคลื่อนที่ของวัตถุบนพื้น เอียง ตามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 นำเครื่องชั่งสปริงคล้องกับรถทดลอง จากนั้นดึงเครื่องชั่งสปริงในแนวดิ่งสูงจากพื้น 40 เซนติเมตร สังเกตแรงที่ใช้ในการดึงรถทดลอง 2.2 นำแผ่นไม้พาดกับขาตั้งพร้อมที่จับ โดยให้ความสูงจากพื้น 40 เซนติเมตร ความยาวของพื้น เอียง 50 เซนติเมตร ดึงเครื่องชั่งสปริงให้รถทดลองให้เคลื่อนที่บนพื้นเอียง สังเกตแรงที่ใช้ในการดึงรถทดลอง 2.3 ดำเนินเช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 โดยเปลี่ยนความยาวของพื้นเอียงเป็น 100 เซนติเมตร 3. ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม 4. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน 6. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น 6.1 แรงที่ใช้ในการดึงรถทดลองเป็นอย่างไร (แนวทางการตอบ: แรงที่ใช้ในการดึงรถทดลองให้เคลื่อนที่บนพื้นเอียงมีค่าน้อยกว่าแรงที่ใช้ใน การดึงรถทดลองในแนวดิ่ง) 6.2 งานที่เกิดจากการดึงรถทดลองเป็นอย่างไร (แนวทางการตอบ: งานที่เกิดจากการดึงรถทดลองในแนวดิ่งมีค่าใกล้เคียงกับงานที่เกิดจากการ ดึงรถทดลองให้เคลื่อนที่บนพื้นเอียง) 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า พื้นเอียง เป็นเครื่องกลที่ช่วยในการย้ายวัตถุจากที่ต่ำไปยังที่สูง พื้นเอียงช่วยผ่อนแรงได้แต่งานมีค่าเท่าเดิม


122 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 8. นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับพื้นเอียง จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศ หรืออินเทอร์เน็ต และนำเสนอให้เพื่อนฟัง คัดคำศัพท์พร้อมทั้งคำแปลลงสมุดส่งครู ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 9. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 9.1 ถ้าต้องการลดแรงในการดึงวัตถุบนพื้นเอียง พื้นเอียงต้องมีลักษณะอย่างไร (แนวทางการตอบ: พื้นเอียงต้องมีความยาวมาก) 9.2 พื้นเอียงมีประโยชน์อย่างไร (แนวทางการตอบ: ช่วยเคลื่อนย้ายวัตถุจากที่ต่ำไปยังที่สูงและช่วยผ่อนแรง) (ชั่วโมงที่ 3) ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำแผ่นภาพ หรือสื่อมัลติมีเดียที่แสดงให้เห็นถึงบริเวณภายในบ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รถยนต์ และรถจักรยาน แล้วให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ดังนี้ 1.1 ในแผ่นภาพมีสิ่งใดบ้างที่เป็นล้อและเพลา (แนวทางการตอบ: พัดลม พวงมาลัยรถยนต์ ล้อจักรยาน ลูกบิดประตู) 2. นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาคำตอบเกี่ยวกับคำถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 3. ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับล้อและเพลา ตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามที่ สมาชิกกลุ่มช่วยกันกำหนดหัวข้อย่อย เช่น ลักษณะ หลักการทำงาน และประโยชน์ของล้อและเพลา 4. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าห้องเรียน 6. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น 6.1 ล้อและเพลามีประโยชน์อย่างไร (แนวทางการตอบ: ช่วยผ่อนแรง 6.2 ยกตัวอย่างของใช้ที่มีล้อและเพลาเป็นส่วนประกอบมา 3 ชนิด (แนวทางการตอบ: พัดลม สว่านไฟฟ้า และรถยนต์) 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ล้อและ เพลาเป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรง มีลักษณะเป็นทรงกระบอก 2 อันติดกัน ล้อมีขนาดใหญ่กว่าเพลา เช่น รถยนต์ พัดลม และเครื่องกลึง


123 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 8. ครูให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างของเล่นที่มีล้อและเพลาเป็นส่วนประกอบ ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 9. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 9.1 เพราะเหตุใดเครื่องจักรจึงนิยมมีล้อและเพลาเป็นส่วนประกอบ (แนวทางการตอบ: เพราะล้อและเพลาช่วยส่งกำลังและควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ เป็นไปตามที่ต้องการ) 9.2 ยกตัวอย่างเครื่องจักรที่มีล้อและเพลาเป็นส่วนประกอบ (แนวทางการตอบ: เครื่องกลึง เครื่องผสมอาหาร และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) 6. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 1.6 และ 1.7 ข้อ (3) 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 52-54) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง งานและพลังงาน แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 34-35) แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนวิเคราะห์และอธิบายหลักการ ทำงานของเครื่องกลอย่างง่ายได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนนำเสนอผลการศึกษาเรื่อง เครื่องกลอย่างง่ายได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด การคำนวณ ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป


124 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง


125 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ


126


127


128 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 งานและพลังงาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง พลังงาน เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.2/4 ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์โน้มถ่วง ม.2/5 แปลความหมายข้อมูลและอธิบายการเปลี่ยนพลังงานระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วง และพลังงานจลน์ของวัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัวจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ม.2/6 วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงานโดยใช้กฎการ อนุรักษ์พลังงาน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนอธิบายพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ได้ - นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์และอธิบายการเปลี่ยนพลังงานระหว่างพลังงานศักย์โน้มถ่วงและ พลังงานจลน์ที่เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานกลได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนออกแบบการทดลอง และทดลองปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วงได้ - นักเรียนตีความหมายข้อมูล ลงข้อสรุป และนำเสนอการเปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงานตามกฎ อนุรักษ์พลังงานได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่เคลื่อนที่ พลังงานจลน์จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวลและ อัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวลและตำแหน่ง ของวัตถุ เมื่อวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วง เป็นพลังงานกล


129 ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์เป็นพลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน จลน์ของวัตถุหนึ่ง ๆ สามารถเปลี่ยนกลับไปมาได้ โดยผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มีค่าคง ตัว นั่นคือพลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัว พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซึ่งอาจเปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งเป็นอีกพลังงานหนึ่ง เช่น พลังงานกล เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เนื่องมาจาก แรงเสียดทาน พลังงานเคมีในอาหารเปลี่ยนเป็น พลังงานที่ไปใช้ในการทำงานของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้พลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีกระบบหนึ่งหรือได้รับพลังงานจากระบบอื่นได้ เช่น การ ถ่ายโอนความร้อนระหว่างสสาร การถ่ายโอนพลังงานของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงไปยังผู้ฟัง ทั้งการ เปลี่ยนพลังงานและการถ่ายโอนพลังงาน พลังงานรวมทั้งหมดมีค่าเท่าเดิมตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน 4. สาระการเรียนรู้ พลังงาน เป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถในการทำงาน พลังงานในชีวิตประจำวันมีหลายแบบ ตามลักษณะที่ปรากฏหรือการนำไปใช้งาน เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานเคมี พลังงานความร้อน พลังงานกล โดยงานและพลังงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ วัตถุที่มีพลังงานมากย่อมมีความสามารถในการทำงาน ได้มาก พลังงานศักย์โน้มถ่วง เป็นพลังงานของวัตถุที่อยู่ภายใต้สนามโน้มถ่วง ซึ่งจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่ กับมวลและระดับความสูงของวัตถุจากระดับอ้างอิง 1. วัตถุที่มีมวลแตกต่างกันแต่อยู่สูงจากระดับอ้างอิงเท่ากัน วัตถุที่มีมวลมากกว่าจะมีพลังงานศักย์โน้ม ถ่วงมากกว่าวัตถุที่มีมวลน้อย 2. วัตถุที่มีมวลเท่ากันแต่อยู่สูงจากระดับอ้างอิงแตกต่างกัน วัตถุที่อยู่สูงจากระดับอ้างอิงมากกว่าจะมี พลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าวัตถุที่อยู่สูงจากระดับอ้างอิงน้อย พลังงานจลน์ เป็นพลังงานที่มีอยู่ในวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ซึ่งจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลและ อัตราเร็วของวัตถุ 1. วัตถุที่มีมวลแตกต่างกันแต่เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากัน วัตถุที่มีมวลมากกว่าจะมีพลังงานจลน์มาก 2. วัตถุที่มีมวลเท่ากันแต่เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วต่างกัน วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วมากกว่าจะมี พลังงานจลน์มาก ถ้าไม่มีแรงภายนอกมาเกี่ยวข้อง พลังงานกลซึ่งคือผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ ของวัตถุในแต่ละตำแหน่งมีค่าคงตัวเสมอ ซึ่งเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์ และพลังงานจลน์ก็สามารถเปลี่ยนไปเป็น พลังงานศักย์โน้มถ่วงได้ นั่นคือ เมื่อโยนวัตถุขึ้นในแนวดิ่งด้วยอัตราเร็วค่าหนึ่ง กำหนดตำแหน่งที่วัตถุหลุด จาก มือเป็นระดับอ้างอิง วัตถุจะมีอัตราเร็วสูงสุดจึงมีพลังงานจลน์สูงสุดแต่มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงเป็นศูนย์ เมื่อวัตถุ เคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่ง วัตถุจะมีระดับความสูงเพิ่มขึ้นจึงมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงเพิ่มขึ้น แต่มีอัตราเร็วลดลง วัตถุ จึงมีพลังงานจลน์ลดลง และเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ถึงจุดสูงสุด อัตราเร็วของวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจึงมีพลังงานจลน์


130 เป็นศูนย์ แต่มีพลังงานศักย์โน้มถ่วงสูงสุด ดังนั้นผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ยังคงมีค่าคง ตัวในทุก ๆ ตำแหน่ง พลังงานเป็นสิ่งที่บอกถึงความสามารถในการทำงาน พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำให้ สูญหายไปได้ และไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ แต่สามารถ ถ่ายโอนพลังงานและเปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งไปเป็นอีกพลังงานหนึ่ง ได้ ซึ่งเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน โดยเราใช้ประโยชน์ของการถ่ายโอนพลังงานและการเปลี่ยนพลังงาน เช่น การใช้ประโยชน์จากพลังงานจากลมมาหมุนกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งลมที่มีอัตราเร็วสูงค่าหนึ่ง จะมีพลังงานจลน์ เมื่อลมกระทบกับใบพัดของกังหันลมจะถ่ายโอนพลังงานจลน์ไปสู่ใบพัดทำให้ใบพัดหมุน ใบพัดของกังหันลมจึงมีพลังงานจลน์แล้วถ่ายโอนพลังงานจลน์ไปสู่แกนเพลาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้แกน ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุนตามด้วย และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานจลน์ไปเป็นพลังงาน ไฟฟ้า 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนสอน จากกรอบ Understanding Check ลงในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ม.2 เล่ม 2 2. ครูถามคำถาม “หลักการของงานสัมพันธ์กับพลังงานอย่างไร” (แนวทางการตอบ: ผู้เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง)


131 3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายจากคำถามจนได้ข้อสรุปว่า พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึง ความสามารถในการทำงาน ส่งผลให้วัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนสถานะ พลังงานใน ชีวิตประจำวันมีหลายแบบตามลักษณะที่ปรากฏหรือการนำไปใช้งาน เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานเคมี พลังงานความร้อน พลังงานกล โดยงานและพลังงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ วัตถุที่มีพลังงานมากย่อมมี ความสามารถในการทำงานได้มาก ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง ประเภทของพลังงานกล เพื่อศึกษาหา ความหมายและปัจจัยของพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ 5. ครูแจ้งกิจกรรมการทดลอง เพื่อทำการพิสูจน์ความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับพลังงานจลน์ และ พลังงานศักย์ 6. นักเรียนทำกิจกรรมเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจนล์และพลังงานศักย์โน้มถ่วง และบันทึกผลการ ทดลองลงแบบบันทึกกิจกรรม 7. ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่อมีปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 8. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปกิจกรรม ได้ดังนี้ จากกิจกรรม เมื่อปล่อยลูกแก้วที่มีขนาดไม่เท่ากันในความสูงระดับเดียวกัน พบว่า ลูกแก้วที่มี ขนาดใหญ่กว่าจะเคลื่อนที่ได้ระยะทางน้อยกว่า(เร็วกว่า)และจมลงได้ลึกกว่าลูกแก้วที่มีขนาดเล็ก และเมื่อ ปล่อยลูกแก้วที่มีขนาดเท่ากันในความสูงระดับเดียวกัน พบว่า ลูกแก้วที่ปล่อยจากความสูงมากกว่าจะจมลงได้ ลึกกว่า สรุปได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อระยะทางที่ลูกแก้วเคลื่อนที่ได้ (ตอนที่ 1 ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์) และปัจจัยที่มีผลต่อระดับความลึกที่ลูกแก้วจมลง (ตอนที่ 2 ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานศักย์) คือ ขนาดของ ลูกแก้วและระดับความสูง ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 9. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า - พลังงานจลน์ เป็นพลังงานที่ถูกครอบครองโดยวัตถุที่เคลื่อนที่ เช่น รถกำลังแล่น โดยพลังงาน จลน์จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลและอัตราเร็วของวัตถุ - พลังงานศักย์ เป็นพลังงานที่สะสมอยู่ในวัตถุ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานศักย์โน้มถ่วง เป็นพลังงานที่อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง โดยพลังงานศักย์โน้มถ่วงจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลและตำแหน่ง ของวัตถุจากระดับอ้างอิง เช่น ต้นไม้บนภูเขาจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงมากกว่าต้นไม้ที่อยู่ถนนข้างล่าง และ พลังงานศักย์ยืดหยุ่น เป็นพลังงานศักย์ที่สะสมอยู่ในวัตถุที่ยืดหยุ่นได้ โดยเมื่อมีแรงมากระทำต่อวัตถุ วัตถุจะ ยืดออกหรือหดสั้น และจะกลับสู่สภาพเดิม เช่น หนังยาง ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation)


132 10. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 10.1 พลังงานหมายถึงอะไร (แนวทางการตอบ: พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถในการทำงาน พลังงานเป็น ปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยในระบบ SI คือ จูล) 10.2 พลังงานจลน์เป็นพลังงานแบบใด มีปัจจัยอย่างไรในการเกิดพลังจลน์ (แนวทางการตอบ: เป็นพลังงานที่ถูกครอบครองโดยวัตถุที่เคลื่อนที่ โดยพลังงานจลน์จะมี ค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลและอัตราเร็วของวัตถุ) 10.3 พลังงานศักย์โน้มถ่วงเป็นพลังงานแบบใด มีปัจจัยอย่างไรในการเกิดพลังศักย์ (แนวทางการตอบ: เป็นพลังงานที่อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง โดยพลังงานศักย์โน้มถ่วงจะมีค่า มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลและตำแหน่งของวัตถุจากระดับอ้างอิง) 11. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 2.1 และ 2.2 ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูให้นักเรียนดูรูปภาพการเล่นล้อเลื่อนไม้ จากนั้นครูอธิบายว่า ในสมัยก่อน ชาวเขาเผ่าม้ง สร้างล้อเลื่อนไม้ขึ้น เพื่อขนไม้ และฟืนลงจากยอด ดอย แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาใช้สำหรับการแข่งขันเพื่อการท่องเที่ยว ฟอร์มูล่าม้ง (Formula Mhong) ที่ เชียงใหม่ ในการแข่งขันผู้เล่นจะต้องนำล้อเลื่อนไม้ขึ้นไปยอดดอยซึ่งเป็นการทำงานเพื่อเพิ่มพลังงานศักย์โน้ม ถ่วงให้ล้อเลื่อนไม้และผู้เล่น และปล่อยลงมา 2. ครูถามคำถามจากวิดีทัศน์ เรื่อง การเล่นล้อเลื่อนไม้ ด้วยชุดคำถามดังนี้ 2.1 เหตุการณ์นี้ เกี่ยวข้องพลังงานอะไรบ้าง อย่างไร (แนวทางการตอบ: เกี่ยวข้องกับพลังงานศักย์โน้มถ่วงของล้อเลื่อนไม้จากการที่ผู้เล่นจะต้องนำ ล้อเลื่อนไม้ขึ้นไปยังยอดดอย และพลังงานจลน์ขณะที่ล้อเลื่อนไม้และผู้เล่นเคลื่อนลงมาตามถนนที่มีความชัน) 2.2 มีการเปลี่ยนหรือถ่ายโอนพลังงานหรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ: มีการเปลี่ยนพลังงานของล้อเลื่อนไม้จากพลังงานศักย์โน้มถ่วงไปเป็นพลังงาน จลน์) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่อง กฎการอนุรักษ์พลังงาน


133 5. ครูให้นักเรียนสังเกตรูปภาพการเล่นสกีหิมะบนภูเขาลูกหนึ่งที่เกิดการเคลื่อนที่ต่าง ๆ เพื่อทำการ พิสูจน์ความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันตอบคำถาม ดังนี้ - ตำแหน่งใดมีค่าพลังงานจลน์เป็นศูนย์ แต่พลังงานศักย์โน้มถ่วงมีค่ามากที่สุด - ตำแหน่งใดเกิดการเปลี่ยนแปลงพลังงาน - ตำแหน่งใดมีค่าพลังงานจลน์มีค่ามากที่สุด แต่พลังงานศักย์โน้มถ่วงเป็นศูนย์ (แนวทางการตอบ: ผู้เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 6. ครูอธิบายเกี่ยวกับรูปภาพที่ให้สังเกต เพื่อทำการตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบของนักเรียนที่ ได้ตอบมา ดังนี้ จากภาพ หมายเลข 1 เมื่อวัตถุอยู่นิ่งและอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด พลังงานจลน์มีค่าเป็นศูนย์ส่วน พลังงานศักย์โน้มถ่วงจะมีค่ามากที่สุด หมายเลข 2 เมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่พลังงานศักย์โน้มถ่วงจะมีค่าลดลง เนื่องจากพลังงานศักย์โน้มถ่วงเปลี่ยนแปลงไปเป็นพลังงานพลังงานจลน์ และหมายเลข 3 ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ อยู่ในตำแหน่งต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับตำแหน่งอ้างอิง จะเป็นจุดที่พลังงานจลน์มีค่าสูงที่สุด ส่วนพลังงานพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงจะมีค่าน้อยที่สุดและจะเป็นศูนย์เมื่อวัตถุอยู่ที่ระดับเดียวกับตำแหน่งอ้างอิง จากภาพแสดงให้เห็นว่า พลังงานไม่ได้สูญหาย แต่มีการเปลี่ยนรูปของพลังงานไป คือ เปลี่ยนแปลง พลังงานศักย์ไปเป็นพลังงานจลน์ ซึ่งเป็นไปตามกฎอนุรักษ์พลังงาน ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 7. ครูถามคำถามว่า การเปลี่ยนพลังงานและการถ่ายโอนพลังงานแตกต่างกันอย่างไร 1 2 3


134 (แนวทางการตอบ: การเปลี่ยนพลังงานเป็นการเปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งที่มีในวัตถุให้เป็นพลังงาน อื่น ๆ เช่น เมื่อวัตถุตกสู่พื้นมีการเปลี่ยนพลังงานจากพลังงานศักย์โน้มถ่วงไปเป็นพลังงานจลน์ ส่วนการถ่าย โอนพลังงานเป็นการถ่ายโอนพลังงานจากวัตถุหนึ่งไปยังอีกวัตถุหนึ่งโดยยังคงเป็นพลังงานแบบเดิม เช่น พลังงานจลน์ของลมถ่ายโอนให้ใบพัด ทำให้ใบพัดหมุนมีพลังงานจลน์) 8. ครูให้นักเรียนดูภาพเครื่องจักรนิรันดร์ ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่อ้างว่าสามารถออกแบบให้ทำงานได้ ตราบชั่วนิรันดร์โดยเราใส่พลังงานเพียงครั้งเดียวเมื่อเริ่มต้น จากนั้นเครื่องจักรนี้จะสามารถทำงานได้ตลอด นักเรียนคิดว่าเครื่องจักรนิรันดร์สามารถทำงานได้ตามที่กล่าวหรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ: เครื่องจักรนิรันดร์ไม่สามารถทำงานได้ตราบชั่วนิรันดร์ตามที่อ้างไว้ว่าไม่ ต้องใส่พลังงานให้เครื่องจักรนั้นอีก เพราะขณะที่เครื่องจักรทำงานอาจสูญสียพลังงานกลโดยมีการเปลี่ยน พลังงานจากพลังงานกลไปเป็นพลังงานความร้อน หรือเสียงตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน) ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) 9. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น 9.1 นิยามของกฎอนุรักษ์พลังงานคืออะไร (แนวทางการตอบ: พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่และไม่สามารถทำให้สูญหาย หรือทำลายได้ แต่จะเกิดการเปลี่ยนรูปพลังงานจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง) 9.2 ฟุตบอลกลิ้งไปตามพื้นที่มีความลาดชันจากสูงไปต่ำ ลูกฟุตบอลมีการเปลี่ยนรูปของพลังงาน อย่างไร (แนวทางการตอบ: พลังงานศักย์(เมื่ออยู่ที่สูง)เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์(เมื่ออยู่ที่ต่ำ)) 9.3 จงยกตัวอย่างการเปลี่ยนรูปพลังงาน (แนวทางการตอบ: การเคลื่อนตัวของน้ำจากบนเขื่อนลงมาข้างล่าง การเล่นสกีหิมะจาก ยอดเขามาข้างล่าง กระบวนการเมทาบอลิซึม) 10. นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ 2.3 และ 2.4 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (หน้า 58-66) สื่อการเรียนรู้ Power Point เรื่อง งานและพลังงาน แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.2 เล่ม 2 (หน้า 36-42)


135 แหล่งเรียนรู้ - 9. การวัดและประเมินผล การวัดผลประเมินผล วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้ - นักเรียนอธิบายพลังงานศักย์โน้มถ่วง และพลังงานจลน์ได้ - นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์และ อธิบายการเปลี่ยนพลังงานระหว่าง พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ที่ เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานกลได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด และใบงาน ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านทักษะกระบวนการ - นักเรียนออกแบบการทดลอง และ ทดลองปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานจลน์และ พลังงานศักย์โน้มถ่วงได้ - นักเรียนตีความหมายข้อมูล ลงข้อสรุป และนำเสนอการเปลี่ยนและการถ่ายโอน พลังงานตามกฎอนุรักษ์พลังงานได้ การตอบคำถาม ระหว่างกิจกรรมและ คำถามท้ายกิจกรรม สังเกตการณ์ตอบ คำถาม แบบฝึกหัด ทำได้ถูกต้องไม่น้อย กว่าร้อยละ 70 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ และมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา ความรู้ สังเกตพฤติกรรม นักเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ได้เกณฑ์ในระดับ ดีขึ้นไป


136 บันทึกผลหลังสอน 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 2. วิธีการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ผลการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ (นางสาวมณีรัตน์ สังสหชาติ) ครูผู้สอน ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................... (นายปาฏิหาริย์ สาฆ้อง) ครูพี่เลี้ยง


137 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นายวิเชียร นิลทกาล) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.............................................................. (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) รองผู้อำนวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ


138


139


140


141


142


143 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 รหัสวิชา 22102 รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง โครงสร้างของโลก เวลา 3 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ม.2/4 สร้างแบบจำลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ (K) - นักเรียนอธิบายโครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - นักเรียนสร้างแบบจำลองที่อธิบายโครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - นักเรียนมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 3. สาระสำคัญ โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นชั้นตามองค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ เปลือกโลก ซึ่งอยู่นอกสุด ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิกอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก เนื้อโลกคือส่วนที่อยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึง แก่นโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบของซิลิกอน แมกนีเซียมและเหล็ก และแก่นโลกคือส่วนที่อยู่ใจ กลางของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและนิกเกิล ซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกัน 4. สาระการเรียนรู้ โครงสร้างภายในโลกแบ่งตามองค์ประกอบทางเคมีได้เป็น 3 ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่น โลก 1. เปลือกโลกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร เปลือกโลกทวีป ประกอบด้วยสารประกอบของธาตุซิลิคอน อะลูมิเนียม และออกซิเจนเป็นหลัก เปลือกโลกมหาสมุทร ประกอบด้วยสารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม และออกซิเจนเป็นหลัก 2. เนื้อโลกมีองค์ประกอบทางเคมีเป็นสารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม เหล็กและออกซิเจน


144 3. แก่นโลกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แก่นโลกชั้นนอกและแก่นโลกชั้นใน แก่นโลกทั้ง 2 ประเภท มี องค์ประกอบทางเคมีเหมือนกันคือเป็นโลหะผสมของธาตุเหล็กและนิกเกิล แก่นโลกชั้นนอกมีสถานะเป็น ของเหลว และแก่นโลกชั้นในมีสถานะเป็นของแข็ง 4. เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก มีความหนา อุณหภูมิ ความดัน และความหนาแน่นแตกต่างกัน โดยเรียงลำดับโครงสร้างโลกที่มีความหนา อุณหภูมิ ความดัน และความหนาแน่น มากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ แก่นโลก เนื้อโลก และเปลือกโลก ตามลำดับ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ชิ้นงานหรือภาระงาน แบบฝึกทักษะรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 7. กิจกรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5E มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูนำภาพน้ำพุร้อนสันกำแพงให้นักเรียนดู ครูตั้งคำถามเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายด้วยชุดคำถาม ดังนี้ 1.1 พุน้ำร้อนมีลักษณะอย่างไร (แนวทางการตอบ: แหล่งน้ำที่ไหลขึ้นมาจากใต้ดิน) 1.2 น้ำที่พุขึ้นมามีลักษณะอย่างไร (แนวทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 1.3 นักเรียนเคยไปสถานที่ที่มีพุน้ำร้อนหรือไม่ถ้าเคยไปเคยไปที่ใดบ้าง (แนวทางการตอบ: น้ำที่ พุขึ้นมามีอุณหภูมิสูง น้ำอาจบริสุทธิ์หรือมีแร่ธาตุ รวมถึงแก๊สต่าง ๆ ละลายอยู่ ) 1.4 ในท้องถิ่นของนักเรียนมีพุน้ำร้อนหรือไม่ ถ้ามี พุน้ำร้อนดังกล่าวมีลักษณะอย่างไร (แนว ทางการตอบ: นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง) 1.5 การเกิดพุน้ำร้อนทำให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับโลกของเราอย่างไรบ้าง (แนวทางการตอบ: พุน้ำร้อนเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าภายในโลกยังคงมีอุณหภูมิสูง)


145 2. ครูกล่าวนำว่า นักเรียนรู้หรือไม่ว่าโครงสร้างภายในโลกเป็นอย่างไร ภายในโลกมีอุณหภูมิ ความ ดัน และความหนาแน่นเท่ากันทุกส่วนหรือไม่ บริเวณแก่นกลางของโลกมีสถานะเป็นอย่างไร ภายในโลก ประกอบด้วยองค์ประกอบทางเคมีอะไรบ้าง เราจะไปเรียนรู้กันในเรื่องต่อไป 3. ครูให้นักเรียนดูภาพโลก และครูถามคำถามนักเรียนว่า การที่จะเห็นภาพโลกดังเช่นภาพนี้เราต้องอยู่ที่ใด (แนวทางการตอบ: นักเรียนอาจตอบว่าเราต้องอยู่ในอวกาศ จึงจะเห็นโลกในลักษณะดังกล่าวได้) 4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมและมีบรรยากาศ ห่อหุ้ม ผิวโลกมีลักษณะแตกต่างกัน บางแห่งเป็นพื้นทวีป บางแห่งเป็นทะเลและมหาสุมทร ภายในโลกเป็น บริเวณที่เราไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยตรง ต้องอาศัยการเจาะสำรวจ แต่เนื่องด้วยภายในโลกของเรามี อุณหภูมิและความดันสูงมาก ทำให้การขุดเจาะเพื่อทำการสำรวจเป็นไปด้วยความยากลำบาก ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในด้านต่าง ๆ เพื่อศึกษาโครงสร้างภายในโลก ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) 5. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับหลุมเจาะ Kola Superdeep Borehole (KSDB) เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า หลุมเจาะ Kola Superdeep Borehole (KSDB) เป็นหลุมเจาะที่มีระดับความลึกจากผิว โลกมากที่สุด ประมาณ 12 กิโลเมตรจากระดับผิวโลก การขุดเจาะหลุมได้หยุดชะงักลง เนื่องจากประสบปัญหา เกี่ยวกับอุณหภูมิและความดันภายในโลกที่สูงมาก นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลจากหลุมเจาะมากมาย เช่น มีการ พบหินชนิดต่าง ๆ น้ำและแก๊สชนิดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในโลก ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ นี้เป็นหลักฐานสำคัญที่นำมาใช้ สนับสนุนว่า สสารภายในโลกมีสถานะทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส และภายในโลกมีอุณหภูมิและความดัน สูง 6. ครูให้นักเรียนอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียน แล้วครูใช้คำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน ด้วยชุดคำถาม ดังนี้ 6.1 มีหลักฐานใดอีกบ้างที่แสดงว่าภายในโลกมีอุณหภูมิและความดันสูง และสสารภายในโลกมี หลายสถานะ (แนวทางการตอบ: หลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่าภายในโลกมีอุณหภูมิและความดันสูง และสสาร ภายในโลกมีหลายสถานะ เช่น การระเบิดของภูเขาไฟ)


146 6.2 วงแหวนไฟคืออะไร และอยู่บริเวณใดของโลก (แนวทางการตอบ: วงแหวนไฟ คือตำแหน่ง ที่มีการระเบิดของภูเขาไฟและมีการเกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตรงบริเวณขอบทวีปรอบ มหาสมุทรแปซิฟิก) 6.3 แมกมามีลักษณะเป็นอย่างไร (แนวทางการตอบ: แมกมามีลักษณะเป็นสารเหลวร้อน อาจ มีของแข็ง เช่น ผลึกแร่ เศษหินและแก๊สรวมอยู่ด้วย และการปะทุของแมกมาในบางครั้งจะมีแรงดันที่มีค่าสูง มาก ซึ่งจะดันแมกมาให้ปะทุไปได้ไกลจากปากปล่องภูเขาไฟ) 7. ครูจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถเก่ง ปานกลาง อ่อน 8. ครูเปิดวิดีทัศน์ เรื่อง โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ให้นักเรียนดู และชี้แจงว่าให้นักเรียน จดและจำรายละเอียดโครงสร้างภายในโลกในวิดีทัศน์ให้ได้มากที่สุด 9. นักเรียนทำกิจกรรม เรื่อง โครงสร้างภายในโลกมีลักษณะอย่างไร นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน รับอุปกรณ์ ได้แก่ ดินน้ำมันสีต่าง ๆ โดยครูชี้แจงขั้นตอนการกิจกรรม ดังนี้ ให้นักเรียนออกแบบและสร้าง แบบจำลองโครงสร้างโลกภายในโลก ที่เห็นส่วนประกอบครบทั้ง 3 ชั้น และให้เห็นความแตกต่างระหว่างแก่น โลกชั้นนอกกับชั้นใน โดยใช้ดินน้ำมันคนละสี ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 10. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแสดงผลงานแบบจำลองโครงสร้างโลกภายในโลกหน้าชั้นเรียน 11. ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยใบงาน เรื่อง โครงสร้างโลกภายในโลก 12. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปโดยใช้แผนภาพ (ครูเขียนหน้ากระดานแล้วให้นักเรียนช่วยกันตอบ) ดังนี้ โครงสร้างภายในโลก - เปลือกโลกทวีปประกอบด้วย สารประกอบของธาตุซิลิคอน อะลูมิเนียม และออกซิเจนเป็นหลัก - เปลือกโลกมหาสมุทรประกอบด้วย สารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม และออกซิเจนเป็นหลัก เนื้อโลกมีองค์ประกอบทางเคมี เป็นสารประกอบของธาตุซิลิคอน แมกนีเซียม เหล็กและออกซิเจน - แก่นโลกชั้นนอกมีองค์ประกอบทาง เคมีเป็นโลหะผสมของธาตุเหล็กและ นิกเกิลมีสถานะเป็นของเหลว - แก่นโลกชั้นในมีองค์ประกอบทาง เคมีเป็นโลหะผสมของธาตุเหล็กและ นิกเกิลมีสถานะเป็นของแข็ง


Click to View FlipBook Version