1
บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกีย่ วกับพฤกษศาสตร์
พฤกษศาสตร์ เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์สาขาชีววิทยา คำว่า พฤกษศาสตร์
ตามความหมายในพจนานกุ รมไทย ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พทุ ธศักราช 2554 หมายถึง วิชา
ว่าด้วยต้นไม้ มาจากคำว่า “พฤกษา” แปลว่า ต้นไม้ กับคำว่า “ศาสตร์” แปลว่า ระบบวิชา
ความรู้ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Botany” มาจากคำภาษากรีกโบราณ คือ “Batane”
หมายถึง หญ้า หรอื ทุ่งหญ้า จงึ กล่าวไดว้ า่ พฤกษศาสตร์ เปน็ วิชาทีศ่ ึกษาเกีย่ วกับพชื
ความสำคญั ของพฤกษศาสตร์
การศกึ ษาเกี่ยวกับพืชมคี วามสำคัญอยา่ งยงิ่ ตอ่ มนุษย์ เนือ่ งจากพืชเปน็ สง่ิ มชี วี ิตกลุม่
ใหญ่ทท่ี ำหนา้ ที่เปน็ ผูผ้ ลิต สร้างอาหารจากกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เปน็ จุดเร่ิมตน้ ของ
กระบวนการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ การศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์จึงมีประโยชน์
อย่างย่ิงสำหรบั มนษุ ย์ เน่อื งจากพชื มคี วามสำคัญตอ่ มนุษย์ในดา้ นต่างๆ ดงั นี้
1. อาหาร พืชเปน็ แหล่งพลงั งานให้แก่มนษุ ย์ทั้งในทางตรง คือรบั ประทานเปน็ อาหาร
เช่น ผักและผลไม้ และเป็นแหล่งพลังงานทางอ้อม คือ นำพืชมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น
นำ้ ตาล แปง้ นำ้ มนั (ภาพท่ี 1)
ภาพที่ 1 อาหารที่ไดจ้ ากพชื ก. ผักและผลไม้ ข. แปง้ นำ้ มนั และน้ำตาล
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561: ถา่ ยภาพ
2
2. อากาศ พชื นำแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ในอากาศไปใช้ในกระบวนการสงั เคราะห์
ดว้ ยแสง และปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา ให้มนุษยแ์ ละสัตวท์ ั้งหลายใช้ในการหายใจ (ภาพ
ที่ 2)
ภาพที่ 2 การหมนุ เวยี นสารในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื
ทม่ี า : ภาพการหมนุ เวียนสารในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื . 2561: เว็บไซต์
3. น้ำ พืชเป็นสิ่งมีชีวิตสำคัญในวัฏจักรของน้ำ ทำหน้าท่ีดูดซับน้ำไปใช้และปล่อย
ออกสู่บรรยากาศโดยการคายนำ้ ทำให้เกิดการหมนุ เวียนของนำ้ (ภาพท่ี 3)
ภาพที่ 3 วัฏจกั รของนำ้ ซง่ึ หมุนเวยี นผา่ นพืช
ท่มี า : ภาพวฏั จักรของนำ้ ซ่งึ หมุนเวยี นผ่านพืช, 2561: เวบ็ ไซต์
3
4. ทีอ่ ยู่อาศัย พืชอยรู่ วมกันเปน็ ระบบนิเวศปา่ ไม้ ทเี่ ป็นแหล่งทอี่ ย่ขู องสตั ว์ป่า และ
มนุษยย์ ังนำไม้มาใช้ประโยชนใ์ นการสรา้ งที่อยู่อาศยั เครือ่ งมอื เครอื่ งใช้ (ภาพที่ 4)
ภาพที่ 4 บา้ นทรงไทยซ่งึ สรา้ งจากไม้
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
5. ยารกั ษาโรค พชื หลายชนดิ มีสารท่ีมสี รรพคุณในการรกั ษาโรค และมนุษยน์ ำมาใช้ใน
การบำบดั รักษาโรคทั้งในทางตรงและการสกัดสารจากพชื ผลติ เปน็ ยา (ภาพท่ี 5)
ภาพท่ี 5 ยาสมนุ ไพรที่ไดจ้ ากพืช
ทีม่ า : ภาพยาสมุนไพรทไ่ี ด้จากพืช, 2561 : เวบ็ ไซต์
4
6. เครื่องนุ่งหม่ มนษุ ย์นำเสน้ ใยทไี่ ดจ้ ากพชื มาผลิตเปน็ เคร่อื งนงุ่ หม่ ซ่ึงเปน็ ปจั จยั 4 ใน
การดำรงชีวติ (ภาพที่ 6)
ภาพท่ี 6 ผ้าฝา้ ยทอมือ
ทีม่ า : ภาพผ้าฝ้ายทอมอื , 2561 : เว็บไซต์
7. สภาพภูมิอากาศ พืชช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซดซ์ ึง่ ถูกปล่อยจากกระบวนการ
หายใจของมนุษย์และสัตว์ไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ทำให้ไม่มีการสะสมของ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศในปริมาณมาก ซึ่งจะเป็นสาเหตุสำคัญท่ีทำให้เกิด
ปรากฏการณ์เรือนกระจก
8. ความสุนทรีย์ พืชเป็นสง่ิ มีชีวิตทม่ี ีความสวยงาม มีความหลากหลายของสีสัน
รูปทรง ซ่ึงมนุษย์ได้นำมาเป็นไม้ปลูกประดับเพื่อความสวยงาม ร่มร่ืน เป็นแหล่งพักผ่อน
หย่อนใจ เพ่ือสุขภาพจิตที่สดช่ืน แจ่มใส (ภาพที่ 7)
ภาพท่ี 7 สวนรุกขชาติแม่ฟา้ หลวง จังหวดั เชยี งราย
ทมี่ า : ภาพสวนรกุ ขชาติแม่ฟ้าหลวง จังหวดั เชยี งราย, 2561 : เวบ็ ไซต์
5
จากความสำคัญของพชื ดังกล่าว ทำใหก้ ารศกึ ษาทางดา้ นพฤกษศาสตร์มคี วามสำคัญ
อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นที่มาของความรู้เกี่ยวกับพืชในด้านต่างๆ ทำให้มนุษย์สามารถนำพืช
มาใช้ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด และบรหิ ารจัดการการใช้ประโยชน์จากพชื ใหเ้ หมาะสมต่อ การ
เปล่ียนแปลงของจำนวนประชากรทเ่ี พิม่ มากขึน้
ขอบเขตของพฤกษศาสตร์
พฤกษศาสตร์ ครอบคลุมวิชาที่ศึกษาพืชในหลายสาขา ตั้งแต่การศึกษาพืชในระดับ
เซลล์ ปฏกิ ิรยิ าเคมภี ายในเซลล์ โครงสร้าง การเจริญเติบโต การสบื พนั ธุ์ โรคพชื สายสัมพันธ์
ทางววิ ฒั นาการ และการจัดจำแนกพชื นักพฤกษศาสตร์ ศกึ ษาพชื ในสาขาวิชาต่างๆ ดังน้ี
กายวิภาคศาสตร์ของพืช (plant anatomy) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับ
โครงสร้างภายในของพืช ตั้งแต่ระดับเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปลา่
ในการศึกษาต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ (microscope)
สรีรวิทยาของพืช (plant physiology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ
ทำงานของระบบต่างๆ ในพืช ได้แก่ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการหายใจ
การลำเลียงน้ำและอาหารของพืช การงอกและการพักตัวของเมล็ด การเจริญเติบโตของพืช
รวมท้ังกระบวนการสบื พนั ธ์ุของพืช
พันธุศาสตร์ของพืช (plant genetics) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรมและการผันแปรของลักษณะทางพันธุกรรมในพืช โดยศึกษาพืชในระดับ ดี
เอ็นเอ ยนี และโครโมโซม การกลายพันธ์ุ การปรับปรุงพันธ์ุพืชด้วยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม และ
ศกึ ษาสายสมั พนั ธท์ างวิวฒั นาการในพชื ดว้ ยหลกั ฐานทางพนั ธกุ รรม
นิเวศวิทยาของพืช (plant ecology) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์
ระหว่างพืชกับส่ิงแวดล้อมที่เป็นแหล่งที่อยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืชและสิ่งมีชีวิตอื่น
โครงสร้างและองค์ประกอบของสังคมพืช และความสำคัญหรือบทบาทของพืชต่อ การ
เปล่ยี นแปลงของสงิ่ แวดลอ้ ม
โรคพืชวิทยา (plant pathology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคของพืชท่ีเกิดจาก
เชือ้ โรคพวกจลุ ินทรยี ์ เชน่ เห็ดรา แบคทเี รีย ไวรสั และเกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะ
หรือปจั จยั ทางเคมี การจำแนกเชื้อโรค ผลกระทบที่เกิดขนึ้ ต่อสตั ว์ มนษุ ย์ เศรษฐกจิ และการ
จดั การโรคพชื
สัณฐานวิทยาของพืช (plant morphology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรูปร่าง
ภายนอกของพืช และโครงสรา้ งภายในของพืช ในแง่การเปรียบเทียบความแตกต่างและความ
คล้ายคลึงกันของอวัยวะพืช ซึ่งนำไปใช้ในการจัดหมวดหมู่พืช และการตรวจเอกลักษณข์ อง
พชื จึงเปน็ สาขาวชิ าทเี่ ก่ยี วข้องกบั วิชากายวิภาคศาสตรข์ องพืชและอนุกรมวิธานพืช
6
อนุกรมวิธานของพืช (plant taxonomy) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการจดั จำแนก
พืช การตรวจเอกลักษณ์ของพืชและการกำหนดชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชให้เป็นระบบสากล
วิชาอนุกรมวิธานนับได้ว่าเป็นแม่บทของวิชาพฤกษศาสตร์ เพราะการศึกษาพืชในทุกด้าน
จำเปน็ ต้องรชู้ ือ่ และลักษณะของพชื ท่ีศกึ ษากอ่ น
สำหรับรายวิชาพฤกษศาสตร์ 1 ว22201 นี้มีเนื้อหาการศึกษาพฤกษศาสตร์ในสาขา
สณั ฐานวิทยาของพชื และอนกุ รมวธิ านพชื เปน็ หลัก เพือ่ ให้รู้จกั ลักษณะโครงสรา้ งภายนอกของ
พืชทสี่ ามารถนำมาจัดจำแนกพืชในกลุม่ ต่างๆ และตรวจหาชือ่ วทิ ยาศาสตรข์ องพืชได้
การจำแนกพืช (plant classification)
การจำแนกพืช คือ การจัดพืชที่ได้ศึกษาแล้วเป็นหมวดหมู่โดยอาศัยลักษณะทาง
สัณฐานวิทยา ความสัมพันธ์ทางด้านพันธุกรรมและวิวัฒนาการ มาใช้ในการพิจารณาจัด
หมวดหมู่ หมวดหมู่ที่นักอนุกรมวิธานจัดทำขึ้นนี้ เรียกว่า “หน่วยอนุกรมวิธาน” (taxon)
กฎนานาชาติในการตั้งชื่อพืชได้กำหนดหน่วยอนุกรมวิธานใหญ่สุดถึงหน่วย
อนกุ รมวธิ านเลก็ สดุ (taxonomic categories) ดงั นี้
อาณาจักร (Kingdom)
ไฟลมั (Phulum)
ช้ัน (Class)
อนั ดับ (Order)
วงศ์ (Family)
สกุล (Genus)
ชนิด (Spicies)
พืชทุกชนิดจัดอยู่อาณาจักรพชื (Kingdom Plantae) ซึ่งแบ่งออกเป็นไฟลมั ต่างๆ ใน
แต่ละไฟลัมก็แบ่งย่อยเป็นชั้นต่างๆ แต่ละชั้นแบ่งย่อยเป็นอันดับ แต่ละอันดับแบ่งย่อยเป็น
วงศ์ แต่ละวงศ์แบ่งย่อยเป็นสกุล และในแต่ละสกุลประกอบด้วยพืชชนิดต่างๆ ซึ่งมีลักษณะ
ทางสัณฐานที่คล้ายคลึงกัน หรือมีสายสัมพันธ์ทางพันธุกรรมและวิวัฒนาการใกล้เคียงกัน
นอกจากน้ีในพืชชนดิ เดียวกนั ยงั อาจแบ่งเปน็ ชนิดย่อย (subspecies) หรอื สายพนั ธุ์ (variety)
ได้อีก
หน่วยอนุกรมวิธานท่ีสูงกว่าสกุลถึงอาณาจักร เรียกว่า กลุ่มระดับใหญ่ (major
categories หรือ artificial group) เป็นกลุ่มท่ีไม่พบในธรรมชาติ และต้ังแต่หน่วย
อนุกรมวิธานสกุลลงมาจนถึงหน่วยอนุกรมวิธานชนิด เรียกว่า กลุ่มระดับเล็ก (minor
7
category หรือ natural group) ซ่ึงพบในธรรมชาติ ในท่ีนี้ขอกล่าวถึงหน่วย
อนุกรมวิธานท่ีพบได้บ่อย ดังนี้
ชนิด เป็นหน่วยอนุกรมวิธานพื้นฐานที่ใช้ในการจำแนกพืช พืชที่จัดอยู่ในชนิด
เดยี วกันประกอบไปดว้ ยพืชแต่ละต้น ซ่ึงมลี กั ษณะโครงสร้างเหมอื นกนั สามารถสืบพนั ธ์ุแบบ
อาศยั เพศข้ามต้นเกิดเป็นต้นพืชตน้ ใหม่ได้
สกุล เป็นหน่วยอนุกรมวิธานที่รวมพืชหลาย ๆ ชนิด ที่มีลักษณะร่วมเหมือนกัน มี
สายสัมพนั ธ์ทางววิ ฒั นาการใกล้ชิดกัน
วงศ์ เปน็ หน่วยอนกุ รมวธิ านท่รี วมพืชหลายๆ สกลุ ทมี่ คี วามสัมพนั ธใ์ กล้เคียงกันมาไว้
ในวงศเ์ ดยี วกนั พชื แต่ละวงศม์ ีหลายสกลุ พบนอ้ ยวงศ์ท่ีมเี พยี งสกลุ เดยี ว
ตัวอย่างหน่วยอนุกรมวิธานของพืชบางชนิด เช่น มะม่วง (ภาพที่ 8) และมะพร้าว
(ภาพท่ี 9) เปน็ ดงั นี้
มะม่วง
ภาพท่ี 8 มะม่วง
ท่ีมา : ภาพมะมว่ ง, 2561 : เว็บไซต์
หนว่ ยอนกุ รมวิธานของมะมว่ ง
อาณาจักร : Plantae
ไฟลมั : Magnoliophyta
ชั้น : Rosidae
อนั ดบั : Sapindales
วงศ์ : Anacardiaceae
สกลุ : Mangifera
ชนิด : Mangifera indica L.
8
มะพร้าว
ภาพท่ี 9 มะพร้าว
ท่มี า : ภาพมะพร้าว, 2561 : เวบ็ ไซต์
หน่วยอนุกรมวธิ านของมะพรา้ ว
อาณาจกั ร : Plantae
ไฟลมั : Magnoliophyta
ชั้น : Liliopsida
อันดับ : Arecales
วงศ์ : Arecaceae
สกุล : Cocos
ชนดิ : Cocos nucifera L.
จากตัวอยา่ งหนว่ ยอนุกรมวิธานของมะม่วงและมะพรา้ ว จะเหน็ ได้วา่ เป็นสง่ิ มชี ีวติ ทจ่ี ัด
อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน คืออาณาจักรพืช และจัดอยู่ในไฟลัมเดียวกัน คือ ไฟลัม
Magnoliophyta ซึ่งเป็นไฟลัมของพืชดอก แต่จัดอยู่ต่างชั้นกัน โดยมะม่วงจัดอยู่ในชั้น
Rosidae ซึ่งเป็นชั้นของพืชใบเลี้ยงคู่ ในขณะที่มะพร้าวจัดอยู่ในชั้น Liliopsida เป็นชั้นของ
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว นั่นคือ พืชที่จัดอยู่ในหน่วยอนุกรมวิธานเดียวกัน แสดงว่ามีลักษณะทาง
สณั ฐาน ความสมั พนั ธ์ทางพนั ธุกรรมและวิวัฒนาการท่ีใกลช้ ิดกนั มาก
9
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ของพชื (scientific name of plant)
จากตัวอย่างหน่วยอนุกรมวิธานของมะม่วงและมะพร้าว จะเห็นได้ว่าแต่ละหน่วย
อนุกรมวิธานมีชื่อแตกต่างกัน ซึ่งนักอนุกรมวิธานได้ตั้งชื่อหน่วยอนุกรมวิธานในระดับต่างๆ
เรยี กวา่ ชื่อวิทยาศาสตร์ หรอื ชือ่ พฤกษศาสตร์ ซึ่งชอ่ื วทิ ยาศาสตรร์ ะดบั ชนดิ เปน็ ช่ือระบชุ นดิ
ของพืชที่เป็นสากล ทั้งน้ีพืชที่รู้จักกันแล้วจะมีผู้ตั้งชื่อให้เพื่อใช้ในการอ้างอิง ชื่อของพืชใน
หน่วยอนกุ รมวิธานระดับชนดิ มี 3 ชื่อ ดังน้ี
ชอื่ พ้นื เมอื ง (vernacular name) เป็นชื่อทีใ่ ช้เรยี กกนั ในแตล่ ะประเทศ แต่ละภาษา และ
แม้แต่ในประเทศเดียวกัน แต่มีภาษาถิ่นต่างกัน ก็อาจมีชื่อเรียกพืชชนิดเดียวกันแตกต่างกัน
เรยี กช่ือนีว้ า่ ชือ่ ทอ้ งถิ่น (local name) พืชพืน้ เมอื งและชอ่ื ท้องถิ่นของพืชบางชนิด ดงั ตารางท่ี 1
ตารางที่ 1 ช่ือพ้นื เมืองและชอ่ื ทอ้ งถน่ิ ของพชื บางชนดิ (เตม็ สมิตินันท์,2544 : 110, 344, 435)
ชอื่ พ้ืนเมือง ภูมภิ าค ช่ือท้องถน่ิ
มะละกอ
ภาคกลาง มะละกอ
มะมว่ งหิมพานต์ ภาคเหนอื มะก๊วยเต็ด
ฝรั่ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ บกั หุง่
ภาคใต้ ลอกอ
ภาคกลาง มะม่วงหิมพานต์
ภาคเหนือ มะม่วงสโิ ห
ภาคใต้ หัวครก, ยารว่ ง, เล็ดลอ่ ,กาหยี
ภาคกลาง ฝร่งั
ภาคเหนือ มะก้วย, มะก้วยกา, มะมั่น
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื บกั สดี า
ภาคใต้ จุ่มโป่, ชมพู่, ย่าหมู
ช่ือสามัญ (common name) คือ ชื่อพืชเป็นภาษาอังกฤษ อาจดัดแปลงมาจากช่ือพื้นเมือง
บางชื่ออาจเหมือนช่ือสกุลของพืชชนดิ นั้น พชื ท่ีมีชอื่ สามญั มกั เปน็ พชื ทีร่ จู้ กั กนั โดยท่ัวไป พืช
บางชนิดไมม่ ชี ือ่ สามัญ โดยเฉพาะพืชป่า ตวั อยา่ งชอื่ สามญั ของพชื ดงั ตารางที่ 2
10
ตารางท่ี 2 ชอื่ พืน้ เมอื งและช่ือสามัญของพืชบางชนิด (เตม็ สมติ นิ นั ท,์ 2544 : 5, 33, 276 ,435)
ชอื่ พื้นเมือง ชอ่ื สามัญ
ขนุน Jack fruit
มะม่วงหิมพานต์ Cashew nut
กระเจย๊ี บแดง Roselle
ฝร่งั Guava
ช่อื วิทยาศาสตร์ระดับชนดิ (scientific name of species) เป็นชอื่ ทรี่ ะบชุ นดิ ของ
พชื พชื ทุกชนิดท่ีมีการค้นพบและศกึ ษาแล้ว จะมีการต้ังชือ่ ให้เป็นไปตามกฎสากลของการตั้ง
ชอื่ พืช เพอื่ ใหเ้ ป็นช่ือท่ีเข้าใจตรงกันท่ัวโลก สามารถสื่อสารกนั ได้อย่างถูกต้อง แม้จะไม่ได้พูด
ภาษาเดียวกัน นักพฤกษศาสตร์นานาชาติได้กำหนดกฎเกณฑ์ในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืช
ตามกฎการตั้งชื่อของพืช คือ International Rule of Botanical Nomenclature (IRBN) และ
International Codes of Botanical Nomenclature (ICBN) โดยมีกฎ กติกา ระเบียบ และ
หลกั เกณฑ์ที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงอย่างต่อเนอื่ ง ในการประชมุ นกั พฤกษศาสตรร์ ะดบั โลก ทั้งน้ี
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชประยุกต์โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ชื่อ คา
โรลัส ลินเนียส (Carolus Linnaeus หรือ Carl Linne) (ภาพที่ 10) ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นบิดา
แหง่ อนุกรมวิธานพชื และสตั ว์ เปน็ ผ้รู ิเรม่ิ การจดั แบ่งสิง่ มชี วี ิตเป็นหมวดหมู่ และประยกุ ต์ ใช้กฎ
การเรียกชื่อพืชแบบทวินาม (Binomial nomenclature) ที่ประกอบไปด้วยคำ 2 คำ ต่อมา
ได้แกไ้ ขใหเ้ พิ่มชอื่ ผ้ตู ั้งชื่อ ต่อทา้ ยช่ือพืชชนิดนั้นๆ แต่ไม่ใช่ช่ือวิทยาศาสตร์ ลินเนียสเป็นผู้ตั้ง
ช่ือพืชและสัตว์หลายชนิด ซึ่งจะระบุช่ือผตู้ ้งั ชอื่ ในช่อื วิทยาศาสตร์เปน็ อกั ษรยอ่ L.
ภาพที่ 10 คาโรลัส ลินเนียส (ค.ศ. 1707- ค.ศ. 1778)
ทม่ี า : ภาพคาโรลัส ลินเนยี ส, 2561: เวบ็ ไซต์
11
หลักเกณฑใ์ นการเขยี นช่อื วิทยาศาสตรข์ องพืช
ชื่อวิท ยาศาสตร์ของพืชต้องเป ็น ภาษาละติน หรือมีรากศัพท ์ม าจากภา ษา ล ะ ติ น
เนื่องจากเป็นภาษาที่เลิกใช้แล้ว ความหมายจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก หากเป็นคำที่มาจาก
ภาษาอน่ื กต็ อ้ งเปลย่ี นเปน็ คำภาษาละตนิ
ชื่อวิทยาศาสตร์ระดับชนิด ต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ชื่อสกุล คำคุณศัพท์ระบุ
ชนิด (specific epithet) แต่ชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ จะต้องมีชื่อผู้ตั้งชื่อพืช
(author name) ที่แม้ไม่ใช่ชื่อวิทยาศาสตร์แต่ก็มีความสำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงชื่อ
ผู้ที่ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ท่ีถูกต้องตามหลักเกณฑ์และ บอกได้ว่าชื่อนั้นเป็นชื่อเดิมที่ภายหลังมี
การเปลี่ยนแปลงหรือเป็นชื่อพืชที่ค้นพบใหม่ สำหรับคำคุณศัพท์ระบุชนิด เป็นคำที่แสดง
ลักษณะเฉพาะ ลักษณะพิเศษของพืชชนิดนั้น หรือสถานที่ที่พบพืชชนิดนั้น หรือชื่อบุคคล
ผคู้ น้ พบพืชนิดน้ัน หรือตง้ั ชือ่ เพอื่ ใหเ้ กียรติแกบ่ ุคคล ตัวอยา่ งดังตารางที่ 3
ตารางท่ี 3 ช่ือวิทยาศาสตร์ของพชื บางชนดิ
ชื่อพื้นเมอื ง/ ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ ชือ่ สกุล คำคุณศัพท์ ชือ่ ผู้ต้ังชอื่
ระบุชนดิ
ชอื่ สามญั Indica L.
(มีถ่ินกำเนิดท่ี (ช่ือยอ่ ของ
มะมว่ ง/ Mangifera indica L. Mangifera ประเทศอินเดีย) Carolus
Linnaeus)
mango sativa L.
(หมายถงึ (ชื่อย่อของ
ขา้ ว/ Oryza sativa L. Oryza รบั ประทานได)้ Carolus
rice Linnaeus)
sirindhorniae Triboun &
ชมพสู ิรนิ Impatiens sirindhorniae Impatiens (พระนามของสมเด็จ Suksathan
Triboun & Suksathan พระเทพรตั นฯราช- (ชอ่ื ผตู้ ้งั ชือ่
สุดา สยามบรมราช- 2 ท่าน)
มะยม/ Phyllanthus acidus Phyllanthus กุมารี)
acidus Skeels
star Skeels (หมายถึงมรี สเปรยี้ ว)
gooseberry
การเขียนช่ือวทิ ยาศาสตร์ระดับชนิดของพชื ตอ้ งเขยี นชอ่ื สกลุ ขน้ึ ตน้ ดว้ ยตัวอักษรพิมพ์
ใหญ่เสมอ และเขียนคำคุณศัพท์ระบชุ นิดดว้ ยตวั พมิ พ์เลก็ ท้ังหมด สว่ นชื่อผู้ต้ังช่ือพืชให้เขียน
ขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ ต้องเขียนชื่อให้ครบตามเอกสารอ้างอิง ไม่ตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออก
หรือยอ่ คำ ถ้ามีจุดหลงั ชือ่ ต้องเขียนจดุ ดว้ ยเสมอ ดังตัวอย่างในตารางที่ 4
12
ตารางที่ 4 ชอ่ื วิทยาศาสตรท์ ถ่ี กู ต้องและชอ่ื วทิ ยาศาสตรท์ ่ีเขียนผดิ 1
ชือ่ พน้ื เมอื ง ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ท่ถี ูกต้อง ชอ่ื วิทยาศาสตร์ท่ีเขียนผิด
มะขาม Tamarindus indica L.
Tamarindus indica L. TAMRINDUS INDICA L.
การเวก TAMRINDUS indica L.
Artabotrys siamensis Mig. Tamarindus Indica L.
Artabotrys siamensis Mig. Tamarindus indica L
Tamarindus Indica l.
ARTABOTRYS SIAMENSIS Mig.
ARTABOTRYS siamensis Mig.
Artabotrys Siamensis Mig.
Artabotrys siamensis Mig
Artabotrys siamensis mig.
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์ระดับชนิดของพืช ต้องเขียนให้แตกต่างจากอักษรอื่น โดย
อาจเขียนด้วยตัวเอียงที่ชื่อสกุล และคำคุณศัพท์ระบุชนิด แต่ชื่อผู้ตั้งชื่อต้องเขียนตัวตรง
เท่าน้นั หรอื อาจขีดเส้นใต้ทช่ี ื่อสกุล และคำคณุ ศัพทร์ ะบุชนิด โดยขีดเส้นแยกกัน ส่วนช่ือผู้ต้ังช่ือ
ไมต่ อ้ งขดี เส้นใต้ ดงั ตวั อยา่ งในตารางที่ 5
ตารางที่ 5 ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ที่ถูกตอ้ งและช่อื วทิ ยาศาสตรท์ ี่เขียนผดิ 2
ชือ่ พน้ื เมือง ชอ่ื วิทยาศาสตร์ท่ถี ูกตอ้ ง ชอ่ื วิทยาศาสตร์ที่เขยี นผิด
มะขาม Tamarindus indica L.
Tamarindus indica L. Tamarindus indica L.
การเวก Tamarindus indica L.
Artabotrys siamensis Mig. Tamarindus indica L.
Artabotrys siamensis Mig. Tamarindus indica L.
Artabotrys siamensis Mig.
Artabotrys siamensis Mig.
Artabotrys siamensis Mig.
Artabotrys siamensis Mig.
13
ชื่อวิทยาศาสตร์ระดับสกุลเป็นคำเดียว ต้องเขียนเป็นภาษาลาตินที่อยู่ในรูปของ
คำนามที่เป็นเอกพจน์ เขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอ ต้องเขียนให้แตกต่างจาก
ตัวอักษรอื่น อาจเป็นตัวเอียงหรือหรือขีดเส้นใต้ และถ้าเขียนชื่อสกุลเดี่ยว ๆ ไม่ได้อยู่ในชอื่
วทิ ยาศาสตร์ระดบั ชนิด ควรมชี อ่ื ผตู้ ัง้ ช่อื สกลุ ด้วย เช่น
Bauhinia L. (ช่อื สกลุ ของชงโค)
Oryza L. (ชอ่ื สกุลของข้าว)
Nelumbo Adans (ชือ่ สกุลของบัวหลวง)
ชอื่ วิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดบั วงศ์ข้นึ ไป ต้องลงทา้ ยชอ่ื ตามกฎการตัง้ ช่อื โดยชอื่ วงศ์ ลง
ท้ายด้วย –ACEAE การเขียนชื่อวงศ์เขียนเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด หรืออาจขึ้นต้นด้วย
อักษรตวั พมิ พใ์ หญ่ตามด้วยอกั ษรตัวพิมพ์เล็ก ตัวอยา่ งชือ่ วงศ์ของพืชบางชนดิ ดังตารางที่ 6
ตารางที่ 6 ชอ่ื วงศ์ของพืชบางชนิด
ชนดิ พชื ชอื่ วงศ์
สม้ RUTACEAE หรือ Rutaceae
ทเุ รียน BOMBACACAE หรอื Bombacaceae
ดาวเรอื ง ASTERACEAE หรือ Asteraceae
กุหลาบ ROSACEAE หรอื Rosaceae
สำหรับพืชในวงศ์ถั่วจัดอยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE ซึ่งเป็นชื่อเก่า ที่ไม่ลงท้ายด้วย
ACEAE จึงมีการตั้งชื่อใหม่คือ FABACEAE แต่พืชในวงศ์น้ีมีลักษณะโครงสร้างภายนอกของ
ดอกความแตกตา่ งกันมาก (ภาพท่ี 11 ) สามารถแบ่งออกเปน็ กลมุ่ ย่อย ได้ 3 กลมุ่ จงึ เขยี นชื่อ
วงศ์ตามด้วยชอ่ื วงศ์ยอ่ ย ดงั ตารางท่ี 7
14
ภาพท่ี 11 ดอกของพชื ในวงศ์ถ่วั ชนิดต่างๆ
ก. ดอกราชพฤกษ์ – ดอกแบบดอกราชพฤกษ์
ข. ดอกกระถนิ – ดอกแบบกระถนิ
ค. ดอกถ่ัวพู – ดอกแบบถั่ว
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
ตารางท่ี 7 ช่อื วงศข์ องพชื วงศถ์ ่ัว
กลุม่ ยอ่ ย ชอื่ วงศ-์ ชื่อวงศ์ย่อย
กลุ่มพชื ทม่ี ดี อกคลา้ ยดอกราชพฤกษ์
กลุม่ พชื ที่มดี อกคลา้ ยดอกกระถิน LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE
กลมุ่ พชื ท่มี ีดอกคลา้ ยดอกถ่ัว LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE
ชือ่ ทถี่ กู ตอ้ ง (correct name) ของพืชชนิดหนึ่งๆ จะมไี ดเ้ พียงช่ือเดียว คอื ช่อื ท่ตี ั้งเป็น
ช่อื แรกและถกู ตอ้ งตามกฎเกณฑ์ ชื่อทต่ี ง้ั ซำ้ ทเ่ี หลือเรยี กว่า ชื่อพอ้ ง (synonym)
15
บทที่ 2
ความหลากหลายของพชื
พืช เป็นสิ่งมีชีวิตจัดอยู่ในอาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้าง
อาหารเองได้ (autotrophic organism) ปัจจุบันพบมีมากกวา่ 300,000 ชนิด นักวิทยาศาสตร์
ได้ศึกษาหลักฐานทางวิวัฒนาการและการศึกษาเปรียบเทียบ DNA เชื่อว่าพืชมีวิวัฒนาการมา
จากสาหร่ายสีเขียว ในกลุ่มคาโรไฟต์ (Charophyte) ถือเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกๆ ที่วิวัฒนาการ
มาอยู่บนบก
ลกั ษณะสำคัญของพืช
1. เป็นสง่ิ มชี ีวติ ทมี่ ีเซลล์เป็นแบบยคู าริโอต (Eukaryotic cell) ประกอบด้วยเซลล์
ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และมีออแกเนลล์ที่สำคัญ เช่น คลอโรพลาสต์ ไมโทคอนเดรียและเอน
โดพลาสมกิ เรตคิ วิ ลมั เปน็ ต้น (ภาพท่ี 12)
ภาพท่ี 12 เซลล์พชื มนี ิวเคลยี สทม่ี ีเยอื่ หุม้ นิวเคลยี ส
ทีม่ า : ดดั แปลงจาก Campbell et al., 2011 : 100
16
2. เป็นสง่ิ มชี วี ติ หลายเซลล์ (multicellular organisms) อยรู่ วมกนั เป็นเน้ือเย่ือที่
ทำหนา้ ทเี่ ฉพาะอย่าง
3. มีคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นรงควัตถุสีเขียวบรรจุอยู่ในคลอโรพลาสต์ สามารถ
สงั เคราะห์ด้วยแสงเพื่อสรา้ งสารอนิ ทรีย์ทีใ่ ห้พลังงานได้ (ภาพที่ 13)
ภาพที่ 13 คลอโรพลาสตใ์ นเซลลพ์ ืช
ทม่ี า : ภาพคลอโรพลาสตใ์ นเซลลพ์ ชื , 2561 : เวบ็ ไซต์
4. การเจริญตอ้ งผ่านระยะต้นอ่อน (embryo) คอื เม่อื มกี ารผสมของเซลล์สบื พันธ์ไุ ด้
เป็นไซโกต (zygote) แล้วไซโกตจะแบ่งเซลล์เป็นตน้ อ่อน แลว้ จงึ เจรญิ ไปเปน็ ตน้ ใหม่
5. ไม่เคลอื่ นท่ี แต่สามารถเคล่อื นไหวตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าได้
6. มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (alternation of generation) คือ มีช่วงชีวิตที่มี
โครโมโซม 1 ชุด (haploid) เรียกว่า ระยะแกมีโทไฟต์ สลับกับช่วงชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด
(diploid) เรยี กวา่ ระยะสปอร์โรไฟต์ โดยอาจเจริญแยกตน้ หรอื อย่บู นต้นเดียวกัน ในระยะแก
มโี ทไฟตจ์ ะสร้างเซลลส์ ืบพันธเุ์ พศผู้ และเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศเมีย แลว้ เกดิ การปฏิสนธิ เปน็ ไซโกต
ซงึ่ เรมิ่ ต้นระยะสปอร์โรไฟต์ ไซโกตแบง่ เซลลเ์ จรญิ เป็นตน้ อ่อน และต้นออ่ นเจริญเป็นต้นสปอ
โรไฟต์ ซึ่งจะแบ่งเซลล์สร้างสปอร์ ซึ่งมีโครโมโซมชุดเดียว เริ่มเข้าสู่ระยะแกมีโทไฟต์อีกคร้ัง
สปอร์เจริญเป็นต้นแกมีโทไฟต์ ก็จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ต่อไป (ภาพที่ 14) โดยการแบ่งเซลล์
เปน็ กระบวนการทท่ี ำให้พชื มีจำนวนโครโมโซมลดลง เรยี กการแบง่ เซลลแ์ บบนี้ว่า การแบ่ง
เซลล์แบบไมโอซีส ส่วนการปฏิสนธิเป็นกระบวนการที่ทำให้เซลล์ที่มีโครโมโซม 1 ชุด เพิ่ม
จำนวนโครโมโซมเปน็ 2 ชดุ อีกครั้งหนึง่ (ภาพท่ี 15)
17
ภาพที่ 14 วัฏจกั รชีวิตแบบสลบั ของพืช
ที่มา : สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 : 44
เรยี นรู้เพ่ิมเติม
การแบ่งเซลล์ (cell division)
เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนในสิ่งมีชวี ิตหลายเซลล์เพื่อสรา้ งเซลล์ใหม่ ในกระบวนการ
เจริญเติบโตและการสืบพันธ์ุ โดยมีการแบง่ ตวั ของนิวเคลยี ส (karyokinesis) และ การ
แบ่งตัวของไซโทพลาซึม (cytokinesis) โดยปกติเมื่อสิน้ สดุ การแบ่งตวั ของนิวเคลียสแลว้ ก็จะ
เริ่มการแบ่งตัวของไซโทพลาสซึมทันที การแบ่งตัวของนิวเคลียสมีอยู่ 2 แบบ คือ การ
แบ่งตวั แบบไมโทซีส (mitosis) และการแบง่ ตวั แบบไมโอซีส (meiosis)
1. การแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโทซีส
เปน็ การแบ่งนวิ เคลียสในเซลล์รา่ งกาย การแบ่งเซลลเ์ พ่ือท่จี ะเพิ่มจำนวนเซลล์หรือ
เพอื่ ทดแทนเซลลท์ ี่ตายไป การแบง่ ตวั แบบนจ้ี ะพบวา่ จากเซลลเ์ ดิมหน่ึงเซลล์ จะให้เซลล์ใหม่
เกิดขึน้ 2 เซลล์ ซ่ึง เรียกว่า เซลลล์ ูก ชนดิ และจำนวนของโครโมโซมใหม่จะเหมอื นกบั เซลล์
เดิมทกุ ประการ (ภาพท่ี 15ก) เรยี กการแบง่ เซลล์แบบนี้ว่า การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
2. การแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโอซสี
เป็นการแบง่ นิวเคลยี สของเซลล์ เพอื่ ใหเ้ ซลลท์ ไ่ี ดไ้ ปทำหนา้ ทีเ่ ปน็ เซลล์สบื พันธุ์ (gamete)
โดยจะมีการแบ่งนิวเคลยี ส 2 ครงั้ ติดตอ่ กนั ผลทไ่ี ด้จากการแบง่ เซลล์แบบนี้จะได้เซลล์ใหมเ่ กดิ ขึ้น
4 เซลล์ จากเซลล์เดิม 1 เซลล์ แต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซมเพยี ง 1 ชุด (ภาพที่ 15ข) เรียกการ
แบ่งเซลล์แบบน้วี ่า การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ ซึ่งมีความแตกตา่ งกันสรปุ ไดด้ ังตารางท่ี 8
18
ตารางท่ี 8 ความแตกต่างของการแบง่ เซลล์แบบไมโทซีสและการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซีส
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
1 .เป็นการแบง่ เซลล์ของเซลล์ร่างกาย 1. เป็นการแบ่งเซลลข์ องเซลลส์ บื พนั ธ์ุ
2. จาก 1 เซลลแ์ บ่งแลว้ ได้ 2 เซลล์ 2. จาก 1 เซลล์แบง่ แลว้ ได้ 4 เซลล์
3. มกี ารแบง่ นิวเคลยี สเพยี ง 1 คร้ัง 3. มกี ารแบ่งนวิ เคลยี ส 2 คร้ัง
4. เซลล์ใหมม่ จี ำนวนโครโมโซมเท่าเดมิ 4. เซลลใ์ หม่มีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งเดยี ว
5. เซลล์ใหม่สามารถเจรญิ ตอ่ ไปได้อีก 5 5. เซลล์ใหมเ่ จรญิ ไมไ่ ด้ถา้ ไม่ไดร้ บั การผสมจะตาย
ภาพที่ 15 แบบจำลองการแบง่ เซลล์ ก. การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส ข. การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส
ที่มา : ภาพแบบจำลองการแบง่ เซลล์แบบไมโทซสี และไมโอซสี , 2561 : เวบ็ ไซต์
จากหลักฐานทางวิวัฒนาการและสัณฐานวิทยา นักอนุกรมวิธานได้จัดจำแนกพืชเป็น
ไฟลัมต่างๆ ซึ่งแบ่งกลุม่ พืชเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ พืชไม่มีท่อลำเลียงและพชื มีท่อเลียง โดยกลุ่ม
พืชมที ่อลำเลียงยงั แบง่ ออกเปน็ กลุ่มยอ่ ยได้เปน็ พชื มที ่อลำเลยี งที่ไร้เมล็ดและพืชมีทอ่ ลำเลียงท่ีมี
เมล็ด และพชื มีทอ่ ลำเลยี งทม่ี ีเมลด็ แบง่ ย่อยเปน็ พืชเมล็ดเปลือยและพืชดอก ววิ ฒั นาการของพืช
กลุ่มตา่ งๆ ดังภาพท่ี 16
19
ภาพท่ี 16 สายวิวัฒนาการของพืช
ทม่ี า : สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 : 45
1. พชื ไม่มที อ่ ลำเลียง (Non-vascular plant)
พชื กลมุ่ น้ีมีลักษณะสำคญั คือ
ไม่มีเนื้อเยื่อลำเลียงทั้งเนื้อเย่ือลำเลียงน้ำและเนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร จึงดูดซึมน้ำ
และแรธ่ าตทุ ่ีละลายน้ำเข้าส่เู ซลล์โดยตรง
เป็นพืชขนาดเล็ก ขึ้นในที่ที่มีอากาศเย็นและความชื้นสูง เพราะการสืบพันธุ์ต้อง
อาศัยน้ำหรือความช้ืนเป็นตัวกลางในการเคล่อื นทข่ี องสเปิร์มไปปฏิสนธกิ ับเซลลไ์ ข่
ไม่มีราก ลำต้น ใบ ที่แท้จริง แต่มีส่วนที่คล้ายราก เรียกว่า ไรซอยด์ (rhizoid)
ช่วยในการยึดเกากับวสั ดุที่เจริญอยู่ มีส่วนคล้ายใบ เรียกว่า ฟิลลอยด์ (phylloid) ทำหน้าที่
สังเคราะห์ด้วยแสง และมีส่วนคล้ายลำต้น เรียกว่า คัวลอยด์ (cauloid) ทำหน้าที่สังเคราะห์
ด้วยแสง
มีต้นสปอโรไฟต์เจริญบนต้นแกมีโทไฟต์ตลอดชวี ิต
20
พืชในกลมุ่ น้ีได้แก่ ลเิ วอรเ์ วริ ์ท มอส และฮอรน์ เวริ ์ท จดั อย่ใู นไฟลัมตา่ งๆ ดงั น้ี
1.1 ไฟลมั เฮปาโทไฟตา (Phylum Hepatophyta) ตวั อย่างพชื กลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่
ลิเวอร์เวิร์ท (Liverwort) เป็นพืชขนาดเล็ก ต้นแกมีโทไฟต์มีลักษณะเป็นทาลลัส (thallus)
ซึ่งเป็นแผ่นบางๆ สีเขียว ดา้ นล่างมีไรซอยด์ทำหน้าที่ดูดน้ำและยึดเกาะกับหินหรือดินท่ีเปียกชื้น
(ภาพท่ี 17)
ภาพที่ 17 ลิเวอร์เวริ ท์
ที่มา : ภาพลเิ วอรเ์ วริ ์ท, 2561 : เว็บไซต์
1.2 ไฟลัมแอนโทซีโรไฟตา (Phylum Anthocerophyta) ตัวอย่างพืชกลุ่มน้ี
ไดแ้ ก่ ฮอร์นเวิรท์ (Hornwort) พบประมาณ 100 ชนดิ เปน็ พืชที่มีต้นแกมีโทไฟต์เป็นแผ่นๆ
ที่บริเวณขอบมีรอยหยัก ต้นสปอโรไฟต์มีลักษณะเรียวยาว เจริญขึ้นจากต้นแกมีโทไฟต์ โดย
อาศยั อาหาร น้ำ แรธ่ าตตุ า่ งๆ จากตน้ แกมโี ทไฟต์ (ภาพท่ี 18 )
ภาพที่ 18 ฮอร์นเวิร์ท
ทม่ี า : ภาพฮอรน์ เวริ ์ท, 2561 : เว็บไซต์
21
1.3 ไฟลัมไบรโอไฟตา (Phylum bryophyte) พืชในกลุ่มนี้ ได้แก่ มอส
(moss) เป็นพืชกลุ่มใหญ่ที่สุดในกลุ่มพืชไม่มที อ่ ลำเลียง พบประมาณ 12,000 ชนิด มีขนาดเล็ก
ขึ้นในที่ชื้นแฉะ เรียงตัวกันแน่น มีสีเขียวสด โครงสร้างประกอบด้วย ต้นแกมีโทไฟต์ที่มีส่วน
คล้ายลำต้นและส่วนคล้ายใบ ต้นสปอโรไฟต์เจริญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ ส่วนปลายของต้น
สปอโรไฟตม์ กี ระเปาะ เรียกวา่ แคปซลู (capsule) ท่ภี ายในบรรจุสปอร์ เมอื่ แก่เต็มทกี่ ็จะแตก
ออก งอกเป็นต้นแกมีโทไฟต์ (ภาพที่ 19)
ภาพที่ 19 มอส
ทีม่ า: ภาพมอส, 2561 : เว็บไซต์
ประโยชนข์ องพชื ไม่มีทอ่ ลำเลยี ง
พืชกลุ่มนี้เป็นพืชที่มีประโยชน์ในการช่วยคลุมดิน ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน
มอสบางชนิด เช่น ข้าวตอก ษี (ภาพที่ 20 ) ซึ่งขึ้นบริเวณที่มีอากาศเย็นปกคลุมเป็นพื้นที่
กว้าง เช่น อ่างกาหลวง ยอดดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ และยอดเขาเหมน อุทยาน
แหง่ ชาตินำ้ ตกกะโรม จังหวดั นครศรธี รรมราช ตน้ แก่ทตี่ ายแล้วสามารถอ้มุ น้ำไดด้ ี จงึ นำมาใช้
ในการเกษตรกรรม ช่วยให้ความชุ่มช้ืนและคลุมดิน ใช้เป็นวัสดใุ นการตอนต้นไม้ และเช่ือว่า
การเติบโตล้มตายทบั ถมกันของมันทำใหด้ ินเป็นกรด การสลายตัวค่อนข้างยากทำให้เกิด พีท
(peat) ทใี่ ชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิ
ภาพท่ี 20 ขา้ วตอก ษี
ท่มี า: ภาพข้าวตอก ษี, 2561 : เว็บไซต์
22
2. พชื มที อ่ ลำเลยี ง (vascular plant)
พชื กลมุ่ น้มี ลี ักษณะสำคัญคอื
เป็นกลุ่มพืชที่ต้นสปอโรไฟตม์ ที ่อลำเลยี งท่ีเกิดจากเนือ้ เยื่อลำเลียง ได้แก่ เนื้อเย่อื
ลำเลียงน้ำ เรียกว่า ไซเลม (xylem) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่ตายแล้ว โพรโทพลาซึมของ
เซลล์สลายตัวไป จึงเกิดโพรงภายในเซลล์เพื่อทำหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำ และเนื้อเย่ือ
ลำเลียงอาหาร เรียกว่า โฟลเอม (phloem) ประกอบด้วยเซลล์ที่มีชีวิตทำหน้าที่ลำเลียง
อาหารจากใบไปส่สู ว่ นตา่ งๆของพชื (ภาพท่ี 21)
ภาพท่ี 21 ภาพจำลองมดั ท่อลำเลียงของพืช
ทมี่ า: ภาพจำลองมดั ท่อลำเลยี ง, 2561 : เวบ็ ไซต์
ต้นสปอโรไฟต์มีราก ลำต้น และใบที่แท้จริง ยกเว้นในกลุ่มพืชมีทอ่ ลำเลียงชั้นต่ำ
ยังไม่มรี ากท่แี ท้จริง แตม่ ีลำต้นท่มี ที ่อลำเลยี ง โดยใบของพชื กลมุ่ น้ี แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คือ
1) ใบแบบไมโครฟลิ ล์ (microphyll) เปน็ ใบขนาดเล็ก มเี ส้นใบเพยี ง 1 เส้นและ
ไมม่ กี ารแตกแขนงของเสน้ ใบ
2) ใบแบบเมกะฟลิ ล์ (magaphyll) เปน็ ใบขนาดใหญ่ เสน้ ใบย่อยแตกแขนงเชื่อม
ติดกนั มองเห็นเปน็ รา่ งแห
มตี ้นแกมีโทไฟตเ์ จริญแยกจากตน้ สปอโรไฟต์ โดยชว่ งชีวิตระยะแกมีโทไฟต์สั้น
กว่าระยะสปอร์โรไฟต์ ตน้ สปอโรไฟต์สร้างสปอร์ได้ 2 รปู แบบ คอื
1) สรา้ งสปอร์แบบเดยี ว (homosporous plant) สปอรม์ ีขนาดเทา่ กันหมด
2) สรา้ งสปอรส์ องแบบที่มีขนาดไมเ่ ทา่ กนั (heterosporous plant) สปอรม์ ี
ขนาดไมเ่ ทา่ กัน โดยมีสปอร์ขนาดเลก็ เรยี ก ไมโครสปอร์ (microspore) เจริญเปน็ ตน้ แก
มีโทไฟต์เพศผู้ และสปอรข์ นาดใหญ่ (megaspore) เจรญิ เปน็ ตน้ แกมีโทไฟต์เพศเมีย
23
พืชมีท่อลำเลียงเป็นพืชสว่ นใหญ่ท่ีพบบนโลกใบนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ พืชมี
ท่อลำเลยี งไรเ้ มลด็ และพืชมีเมล็ด
2.1 พชื มที อ่ ลำเลยี งไรเ้ มล็ด (seedless vascular plant)
พืชมที อ่ ลำเลยี งไรเ้ มล็ดท่พี บในปัจจบุ นั แบ่งออกเป็น 2 ไฟลัม คอื
2.1.1 ไฟลัมไลโคไฟตา (Phylum Lycophyta) เป็นพืชที่มีลำต้นและใบ
แทจ้ ริง แต่ใบเปน็ ใบแบบไมโครฟิลล์ สร้างสปอร์ทปี่ ลายก่ิง โดยมีกลมุ่ ใบรองรับสปอร์ เรยี กว่า
สปอโรฟิลล์ (sporophyll) เรียงซ้อนกันหนาแน่น เรียกว่า สโตรบิลัส (strobilus) พืชใน
ไฟลมั น้ี สามารถแบ่งออกเปน็ 3 กล่มุ คือ
1) กลมุ่ ชอ้ งนางคลีห่ รือพชื สกุลไลโคโพเดียม (Lycopodium) เปน็
พืชที่มีใบแบบไมโครฟิลล์ สร้างสปอร์ชนิดเดียว ได้แก่ สามร้อยยอด หางสิงห์ ช้องนางคล่ี
เปน็ ตน้ (ภาพที่ 22ก)
2) กล่มุ ตีนตุ๊กแกหรือพชื สกลุ ซแี ลกจเิ นลลา (Selagenella) เปน็ พชื ที่
มีใบแบบไมโครฟิลลเ์ รียงระนาบเดียว สร้างสปอร์ 2 ชนิด ได้แก่ ตีนตุ๊กแก พ่อค้าตีเมีย เป็นตน้
(ภาพที่ 22ข)
3) กล่มุ กระเทียมนาหรือพืชสกุลไอโซอีเทส (Isoetes) เป็นพืชกลุ่ม
เดียวที่ไม่มีสโตรบิลัส แต่จะสร้างสปอร์ที่โคนใบ โดยสร้างสปอร์ 2 ชนิด ได้แก่ กระเทียมนา
(ภาพท่ี 22ค)
ภาพท่ี 22 พชื ในไฟลัมไลโคไฟตา ก. หางสงิ ห์ ข. พอ่ ค้าตีเมีย ค. กระเทียมนา
ที่มา: ก. ภาพหางสิงห์, 2561 : เว็บไซต์
ข. ภาพหญ้ารังไก่, 2561 : เว็บไซต์
ค. ภาพกระเทยี มนา, 2561 : เวบ็ ไซต์
24
2.1.2 ไฟลัมเทอโรไฟตา (Phylum Pterophyta) พืชในไฟลัมนี้แบ่ง
ออกเปน็ 3 กลมุ่ ได้แก่
1) กลุ่มหวายทะนอย หรือพืชสกุลไซโลตัม (Psilotum) มีลักษณะ
สำคัญคือ มีลำต้นใตด้ ิน เรยี กวา่ ไรโซม (rhizome) ไมม่ รี าก แต่มีไรซอยดท์ ำหน้าท่ีแทนราก
ลำต้นสีเขียว ทำหนา้ ทีส่ งั เคราะห์ดว้ ยแสง แตกกงิ่ ทีละสอง คลา้ ยรูปตัววาย (Y) ซ่งึ เรียกว่าการ
แตกกิง่ แบบไดโคโตมัส (dichotomous branching) ไมม่ ีใบแตม่ ใี บเกลด็ ขนาดเลก็ ซ่ึงไมม่ ีท่อ
ลำเลียง จึงไม่จดั เป็นใบ เมือ่ โตเต็มทจี่ ะสร้างสปอร์ในอับสปอร์ท่ีมีลักษณะเปน็ 3 พู โดยมีการ
สร้างสปอร์แบบเดียว (ภาพที่ 23)
ภาพท่ี 23 หวายทะนอย ก. ต้นสปอโรไฟต์ ข. อบั สปอร์
ทีม่ า: ก. ภาพหวายทะนอย, 2561 : เว็บไซต์
ข. ภาพอับสปอรข์ องหวายทะนอย, 2561 : เว็บไซต์
2) กลุ่มหญ้าถอดปล้อง หรือพืชสกุลอีควิเซตัม (Equisetum) มีลำต้น
ใต้ดินและลำต้นเหนือดินทีม่ องเห็นข้อปล้องชัดเจน ใบเป็นแบบไมโครฟิลล์เป็นใบเกล็ดเรียง
เป็นวงรอบข้อ สรา้ งสโตรบิลสั ทปี่ ลายกง่ิ ซึ่งสร้างสปอร์แบบเดียว (ภาพท่ี 24)
ภาพที่ 24 หญา้ ถอดปล้อง
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
25
3) กลุม่ เฟนิ (fern) เป็นพชื ทีม่ เี นอื้ เยื่อลำเลียงทั้งราก ลำต้น และใบเจริญดี
มีสปอโรไฟต์ขนาดใหญ่เห็นเด่นชัด แกมีโทไฟต์ขนาดเล็กเจริญเป็นอิสระ ปัจจุบันพบว่ามี
ประมาณ 12,000 ชนิด พบทัง้ ท่ีอาศัยในน้ำ เชน่ แหนแดง จอกหูหนู อาศยั ชายนำ้ เชน่ ผักแว่น
ผักกูด อาศัยบนต้นไม้อื่น เช่น ชายผ้าสีดา นาคราช หรืออยู่บนบก เช่น ข้าหลวงหลังลาย เฟิน
ก้านดำ เฟินส่วนใหญ่มีลักษณะเด่นที่เหมือนกัน คือ ใบอ่อนม้วนตัวจากปลายใบมาหาโคนใบ
คล้ายลานนาฬิกา (ภาพท่ี 25) ใบเฟินเป็นใบแบบเมกะฟลิ ด์ เฟินที่โตเต็มท่ีจะสร้างสปอร์ในอบั
สปอรท์ ี่อยูด่ า้ นหลงั ใบ ซงึ่ อบั สปอรอ์ ยูร่ วมกันเป็นกลุ่ม เรียกวา่ ซอรัส (sorus) เป็นลักษณะท่ีใช้
จำแนกชนิดของเฟินได้ (ภาพที่ 26)
ภาพที่ 25 การมว้ นตวั ของใบอ่อนของเฟิน
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
ภาพที่ 26 ซอรัสของเฟิน ก. เฟินใบมะขาม ข. ยา่ นลิเภา
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
26
ภาพท่ี 27 เฟนิ ชนดิ ต่างๆ ก. เฟินกา้ นดำ ข. เฟินนาคราช ค. เฟินข้าหลวงหลังลาย
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
ประโยชน์ของพชื มีทอ่ ลำเลยี งไร้เมลด็
พืชในกลุ่มน้ีโดยเฉพาะเฟิน เป็นพืชที่มีความสำคัญตอ่ ระบบนิเวศ ช่วยเพิ่มความชุ่มช้นื
แก่ดิน เฟินบางชนิดเป็นไม้เบิกนำในพื้นที่โล่งที่เกิดจากดินถล่มหรือพื้นที่ที่ถูกแผ้ วถาง เฟิน
บางชนดิ นำมารับประทานเปน็ อาหาร เช่น ผักกดู ผักแวน่ ผักกูดแดงหรือลำเท็ง นำมาใช้เป็น
สมุนไพร เช่น เหง้าของว่านลูกไก่ทองใช้ดูดซับห้ามเลือด ว่านกีบแรดและชายผ้าสีดา ใช้
บรรเทาปวด ลดไข้ เฟินเงินช่วยขับปสั สาวะ แก้บิดมูกเลือด ทางภาคใต้นำย่านลเิ ภามาใช้ทำ
เครอ่ื งจักสานท่สี วยงามและราคาสงู
2.2 พชื มที ่อลำเลียงท่มี ีเมล็ด (seed vascular plant)
เป็นกลุ่มพืชที่มีเมล็ดเป็นส่วนสืบพันธุ์ ซึ่งเจริญมาจากออวุลที่ได้รับการปฏิสนธิ
นบั เปน็ พืชท่ีมวี ิวัฒนาการมาอยู่บนบกอย่างแท้จริง พชื กลุม่ น้ีสร้างสปอร์ 2 ชนิด คือ เมกะสปอร์
(megaspore) สรา้ งแกมีโทไฟต์ เพศเมีย และไมโครสปอร์ สรา้ งแกมีโทไฟต์เพศผู้อยใู่ นโครงสร้าง
ทีเ่ รยี กว่า เรณู (pollen) ต้นแกมีโทไฟตเ์ จรญิ บนตน้ สปอโรไฟต์ แบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื พืช
เมล็ดเปลือยหรือจิมโนสเปิร์ม (gymnosperm) และ พืชดอกหรือแองจิโอเสปิร์ม
(angiosperm)
2.2.1 พชื เมลด็ เปลือย
เป็นกลุ่มพืชที่มีเนื้อไม้เจริญดี มีโครงสร้างสืบพันธุ์แยกเพศ โดยไมโครสปอร์
เกิดในอับสปอร์บนใบสร้างสปอร์ เรียกว่า ไมโครสปอโรฟิลล์ (microsporophyll) เรียงซ้อนกัน
แนน่ อยู่ในโครงสรา้ งทเ่ี รียกวา่ โคนเพศผู้ (male cone) ส่วนเมกะสปอรเ์ กิดบนใบ ทเี่ รียกวา่ เม
กะสปอโรฟิลด์ (megasporophyll) เรียงซ้อนกันแน่น อยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า โคนเพศเมีย
(female cone) เมื่อปฏิสนธิออวุลเจริญเป็นเมล็ดที่ไม่มีส่วนห่อหุ้ม เรียกว่า เมล็ดเปลือย
(naked) พืชในกล่มุ นี้ แบ่งเปน็ 4 ไฟลมั ไดแ้ ก่
1) ไฟลัมไซแคโดไฟตา (Phylum Cycadophyta) ได้แก่ สกุลปรง
(Cycas) ซงึ่ พบประมาณ 10 ชนิดในประเทศไทย เช่น ปรงปา่ ปรงเขา ลำตน้ ส่วนใหญอ่ ยู่ ใต้
ดิน ส่วนเหนือดินเปน็ ลำต้นเต้ีย มีใบแบบเมกะฟิลล์ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีโคน เพศผู้
และโคนเพศเมยี แยกต้นกัน (ภาพท่ี 28)
27
ภาพท่ี 28 ปรง ก. โคนเพศผู้ ข. โคนเพศเมยี
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
2) ไฟลัมกิงโกไฟตา (Phylum Ginkgophyta) พืชกลุ่มนี้มีเพียง 1 ชนิด
คอื แปะก๊วย (Gingko biloba L.) พบในประเทศจีน เกาหลี และญี่ป่นุ เปน็ ไม้ต้นขนาดใหญ่ ใบ
มรี ูปรา่ งคล้ายพดั ปลายใบเวา้ ตรงกลางเป็น 2 ลอน เป็นทม่ี ขี องคำว่า biloba ซ่งึ แปลว่า 2 ลอน
ใบจะเปลยี่ นเปน็ สีเหลอื งทองในฤดใู บไม้รว่ ง มีตน้ แยกเพศ โดยต้นเพศผ้สู รา้ งโคนเพศผู้ปลายกิ่ง
และต้นเพศเมียสร้างโคนเพศเมียท่ีมอี อวุลท่ีปลายกิ่ง เมื่อได้รับการปฏิสนธิก็จะเจริญเป็นเมลด็
(ภาพท่ี 29)
ภาพท่ี 29 แปะกว๊ ย ก. ลักษณะวสิ ัย ข. ใบและเมล็ด
ทีม่ า : ก. ภาพลักษณะวสิ ยั แปะก๊วย, 2561 : เวบ็ ไซต์
ข. ภาพใบและผลของแปะก๊วย, 2561 : เว็บไซต์
28
3) ไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตา (Phylum Coniferophyta) ได้แก่ สกุลสน
(Pinus) พบมากในเขตอบอุ่น และเขตหนาว ในประเทศไทยพบบริเวณภาคเหนอื และ ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ได้แก่ สนสองใบ สนสามใบ สนสามพันปี และพญาไม้ เป็น
ไมต้ น้ ขนาดใหญไ่ ม่ผลัดใบ สรา้ งโคนเพศผูแ้ ละโคนเพศเมยี บนตน้ เดยี วกัน (ภาพท่ี 30)
ภาพที่ 30 สนสามใบ ก. ลกั ษณะวิสยั ข. โคนเพศผู้ ค. โคนเพศเมยี
ที่มา: ก. - ข. ภาพสนสามใบ, 2561 : เวบ็ ไซต์
ค. ภาพโคนเพศเมียของสนสามใบ, 2561 : เว็บไซต์
4) ไฟลัมนีโทไฟตา (Phylum Gnetophyta) ได้แก่ ผักเหลียง และ
มะเมื่อย เป็นพืชที่มีลักษณะต่างจากพืชเมล็ดเปลือยกลุ่มอ่ืน มีลักษณะคล้ายกับพชื ดอก คือ มี
กลบี ดอก ใบเลีย้ ง แต่เมลด็ ยงั ไม่มีเปลือกหุ้ม (ภาพที่ 31) พชื กลุม่ นี้พบมากทางป่าช้ืนเขตร้อน
ทางภาคใตข้ องประเทศไทย
ภาพท่ี 31 ผกั เหลียง ก. ลกั ษณะวสิ ัย ข. สโตรบลิ ัสเพศผู้ สโตรบิลสั เพศเมีย และเมลด็
ที่มา: ก. ภาพลักษณะวสิ ยั ผักเหลียง, 2561 : เว็บไซต์
ข. ภาพสโตรบิลัสเพศผู้ สโตรบลิ ัสเพศเมยี และเมลด็ ของผักเหลียง, 2561 : เวบ็ ไซต์
29
ประโยชนข์ องพชื เมล็ดเปลือย
พืชกลุ่มนี้มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ คือ ปรง ใช้ปลูกประดับ จัดสวน
เนื่องจากมีลำต้นและใบที่สวยงาม สน นำเนื้อไม้มาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างและทำเยื่อ
กระดาษ ยางสนสามใบ นำมากลัน่ เป็นน้ำมันใช้ผสมยา ทำการบูรเทียม ทำน้ำมันชกั เงา และ
ใช้ผสมสี แปะก๊วยมีเมลด็ ท่ีมีอาหารสะสมนิยมนำมารับประทาน ให้คุณค่าทางสมุนไพร ช่วย
ปรบั ระบบหมนุ เวียนเลือดและชว่ ยลดอาการอักเสบ ผักเหลยี งรับประทานเปน็ ผักมรี สชาตดิ ี มี
สารต้านอนุมูลอสิ ระ ช่วยบำรงุ สายตา
2.2.2 พชื ดอก
เป็นกลุ่มพืชที่มีความหลากหลายมากที่สุดในอาณาจักรพืช ปัจจุบันพบแล้ว
ประมาณ 250,000 ชนิด จัดอยู่ในไฟลัมเดียว คือ ไฟลัมแอนโทไฟตา (Phylum Anthophyta)
ลักษณะสำคญั ของพชื ดอก คอื
1) มีดอกที่เปลี่ยนแปลงมาจากกิ่งทีม่ ีใบเรียงเป็นวง ซึ่งใบเหล่าน้ีเปลี่ยนแปลง
ไปเปน็ กลีบเลยี้ ง กลีบดอก เกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมียนัน่ เอง
2) มีผล ที่เจริญมาจากออวุลท่ีอยู่ในโครงสร้างของเกสรเพศเมียคือ รังไข่
ห่อหุ้มเมล็ดและช่วยในการกระจายเมล็ด
3) มีเอนโดสเปิร์ม (endosperm) เป็นอาหารสะสมในเมล็ดสำหรับเลี้ยง
เอ็มบริโอ (embryo) หรือต้นอ่อน ซึ่งเกิดจากการสืบพันธุ์ของพืชดอกมีการปฏิสนธิซ้อน
คือ การปฏิสนธิระหว่างสเปิร์ม 2 เซลล์ โดยเซลล์หนึ่งผสมกับเซลล์ไข่ได้ไซโกต (zygote)
แล้วเจริญเป็นเอ็มบริโอแล้วพัฒนาเป็นต้นโตเต็มวัย อีกเซลล์หนึ่งผสมกับโพลาร์นิวคลีไอ
(polar nuclei) ได้เป็นเอนโดสเปิร์ม ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารเล้ียงเอ็มบริโอ
ในอดีตนักวิทยาศาสตร์ได้จัดจำแนกกลุ่มพืชดอกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
(monocotelydon) และพชื ใบเล้ียงคู่ (dicotelydon) แตต่ ่อมาข้อมูลจากการศึกษาลักษณะทาง
สัณฐานวิทยา กายวิภาคศาสตร์ และสารชีวโมเลกุล ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับสายวิวัฒนาการของ
พืชดอกเปลี่ยนแปลงไป โดยพชื ทีเ่ คยจัดอยใู่ นกลุ่มพืชใบเล้ียงคูไ่ ดแ้ ยกสายวิวัฒนาการเป็นพืชดอก
กลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มพืชสกุลแอมโบเรลลา (Amborella) ซึ่งเป็นพืชเฉพาะถิ่นในหมู่เกาะของ
ประเทศนวิ แคลีโดเนยี (New Caledonia) กล่มุ บวั (Water lilies) กลุ่มโป๊ยก๊กั (Star anrise) และ
กลมุ่ จำปี จำปา (Magnoliids) เนื่องจากมีลักษณะของบรรพบุรุษที่เช่ือว่ามีวิวัฒนาการเกิดขึ้นใน
ช่วงแรกกอ่ นจะแยกสายวิวฒั นาการเปน็ พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่ สายววิ ฒั นาการของพืช
ดอกในปัจจุบนั เป็นดงั ภาพท่ี 32
30
ภาพที่ 32 สายวิวัฒนาการของพชื ดอกและตวั อย่างพชื ดอกกลุ่มตา่ งๆ
ทมี่ า : สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 : 59
ท้งั น้ี พชื กล่มุ ใหญ่ในกล่มุ พชื ดอก คือ พืชใบเล้ยี งเด่ียว และพชื ใบเล้ียงคู่ ซ่ึงมีลักษณะ
สำคัญที่แตกต่างกัน ดังตารางที่ 9 พืชใบเลี้ยงเดี่ยวพบประมาณกว่า 70,000 ชนิด หรือ
ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนพชื ดอกท้ังหมด ตวั อยา่ งพืชใบเลย้ี งเดีย่ ว ได้แก่ พชื จำพวกหญ้า
บัวจีน แพงพวยตีนเป็ด กล้วยไม้ เป็นต้น (ภาพที่ 33ก-ค) ส่วนพืชใบเลีย้ งคูพ่ บประมาณกวา่
170,000 ชนิด หรือประมาณ 2 ใน 3 ของพืชดอกทั้งหมด ตัวอย่างพืชใบเลี้ยงคู่ ได้แก่
ยางพารา กระเจ๊ียบแดง มะเขอื เปราะ ชวนชม และทรงบาดาล (ภาพท่ี 33ง-ฉ)
31
ตารางท่ี 9 ลักษณะเปรยี บเทยี บระหวา่ งพชื ใบเล้ียงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่ (ดัดแปลงจาก
Campbell et al., 2011 : 631)
ลกั ษณะ พชื ใบเลย้ี งเดยี่ ว พชื ใบเล้ยี งคู่
จำนวนของใบเลย้ี ง
ในเอม็ บริโอ
ใบเลย้ี ง 1 ใบ ใบเล้ยี ง 2 ใบ
ระบบราก
ระบบรากฝอย ระบบรากแก้ว
เรียงตัวเปน็ วง
การเรยี งตวั ของเนอื้ เย่ือ
ลำเลียงในลำตน้
กระจายรอบลำต้น
การเรยี งตัวของเสน้ ใบ
เสน้ ใบแบบขนาน เส้นใบแบบรา่ งแห
4-5 หรอื ทวคี ณู ของ 4-5
จำนวนของกลบี เล้ียง/
กลีบดอก
3 หรือทวคี ณู ของ 3
32
กขค
งจฉ
ภาพท่ี 33 พชื ดอกบางชนดิ ก.-ค. พชื ใบเลย้ี งเดีย่ ว ง.-ฉ. พชื ใบเลี้ยงคู่
ก. บวั จีน ข. ตีนเปด็ ฝร่งั ค. กลว้ ยไม้
ง. มะเขือเปราะ จ. ชวนชม ฉ. ทรงบาดาล
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
ประโยชนข์ องพชื ดอก
พืชดอกจัดเป็นพืชที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งเป็นอาหาร ที่อยู่
อาศัย เคร่อื งนุ่งห่มและยารกั ษาโรค นอกจากนี้ พืชดอกยังให้ความสุนทรยี ์ ช่วยให้จิตใจเบิกบาน
เนื่องจากดอกมีสสี ันสวยงาม หลากหลาย และยังเกี่ยวข้องกับวฒั นธรรม ประเพณีต่างๆ ใน
ชวี ติ ประจำวนั เชน่ พธิ ีการทำขวัญขา้ ว เปน็ ตน้
33
บทท่ี 3
โครงสรา้ งภายนอกของพืชดอก : รากและลำตน้
โครงสร้างภายนอกของพืชดอก ประกอบด้วย ราก ลำต้น ใบ ดอก ผลและเมล็ด
(ภาพที่ 34) ซึ่งมีความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน เป็นลักษณะสำคัญที่นักอนุกรม วิธาน
นำมาใชใ้ นการจัดจำแนกพชื ดอกและการบรรยายลกั ษณะรปู พรรณสณั ฐาน ดังนัน้ การเรยี นรู้
ถึงลักษณะโครงสรา้ งภายนอกของพืช จึงจำเปน็ อย่างย่ิงในการศกึ ษาดา้ นอนกุ รมวธิ าน
ภาพที่ 34 โครงสรา้ งของพชื ดอก
ท่มี า : ภาพโครงสรา้ งของพืชดอก, 2561 : เว็บไซต์
ราก ( Root)
ราก เป็นโครงสร้างของพืชที่เจริญลงสู่ดินตามแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่มีข้อและปล้อง
ส่วนใหญ่ไม่มีคลอโรฟิลด์ ยกเว้นรากพืชบางชนิดที่ดัดแปลงไปมีสีเขียวทำหน้าท่ี
สงั เคราะห์ด้วยแสง เชน่ รากกลว้ ยไม้
หน้าท่ขี องราก
1. ทำหน้าทย่ี ึดลำต้นให้ต้ังตรง
2. ดดู น้ำและธาตุอาหารต่างๆ จากดนิ
3. ลำเลยี งน้ำและแร่ธาตุ รวมท้ังสารอาหารท่ีสะสมไวใ้ นรากข้นึ ไปสูส่ ่วนตา่ งๆ
ของลำต้น
4. เป็นส่วนสืบพันธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ
5. หน้าท่พี ิเศษตามลกั ษณะของรากท่ีเปลีย่ นแปลงไป เช่น เกบ็ สะสมอาหาร
สงั เคราะห์ด้วยแสง และหายใจ เปน็ ตน้
34
ระบบรากของพชื
รากของพชื ดอก สามารถแบง่ เปน็ 2 ระบบ ไดแ้ ก่
1. ระบบรากแก้ว (primary root system) เป็นระบบรากที่พบในพืชใบเลี้ยงคู่และ
พืชเมล็ดเปลือย ประกอบด้วยรากที่เจริญจากรากแรกเกิด (radicle) มีขนาดใหญ่เจริญลง
ด้านล่างในแนวดิ่ง เรียกว่า รากแก้ว และมีรากแขนง (lateral root) เจริญออกจากรากแก้ว
ซงึ่ มีขนาดเล็กลดหลั่นกนั (ภาพที่ 35ก)
2. ระบบรากฝอย (fibrous root system) เป็นระบบรากที่พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ส่วนใหญ่ และพชื ใบเลี้ยงคู่บางชนิด เช่น ตอ้ ยติง่ มันเทศ มนั แกว เป็นต้น ซงึ่ พชื กลมุ่ น้มี ีรากแก้ว
เมื่องอกจากเมล็ดแต่จะสลายไป แล้วมีรากฝอยแตกออกเป็นกระจุกบริเวณใกล้กับโคนของ
ลำตน้ เจริญขนานไปกบั พน้ื ดิน มีขนาดของรากใกลเ้ คยี งกัน (ภาพที่ 35ข)
ภาพท่ี 35 ระบบรากของพชื ก. ระบบรากแก้ว ข. ระบบรากฝอย
ท่มี า : ภาพระบบรากของพชื , 2561 : เว็บไซต์
ชนดิ ของราก
รากพืชจำแนกเป็น 3 ชนิด ตามแหล่งกำเนดิ ดงั นี้
1. รากแก้ว (primary root) เป็นรากแรกของพืชที่งอกอกจากเมล็ด มีกำเนิดและ
เจริญมาจากรากแรกเกิด บริเวณโคนของรากจะมขี นาดใหญแ่ ละค่อยๆเรยี วเล็กหยั่งลึกลงไป
ในดนิ ในแนวดิง่ (ภาพท่ี 3)
35
2. รากแขนง (secondary root) เป็นรากทเ่ี จรญิ จากรากแก้วแผอ่ อกไปในแนวขนาน
กับพืน้ ดนิ (ภาพท่ี 36)
ภาพท่ี 36 รากแก้วและรากแขนง
ทม่ี า : ภาพรากแกว้ และรากแขนง, 2561 : เว็บไซต์
3. รากพเิ ศษ หรือรากวิสามัญ (adventitious root) เป็นรากท่ีไมไ่ ด้เกดิ จากราก
แรกเกิดแต่อาจเกิดที่ลำต้นหรือใบ รากฝอยก็จัดเป็นรากพิเศษชนิดหนึ่ง เนื่องจากเป็นรากที่
เกิดจากลำตน้ (ภาพท่ี 37)
ภาพท่ี 37 รากพิเศษของเงินไหลมา
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
36
รากท่ีเปลีย่ นแปลง (modified root)
พืชบางชนิดมีรากที่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือลักษณะโครงสร้างไปเพื่อให้เหมาะสม
กับหนา้ ทพี่ เิ ศษหรือเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมทเี่ จริญอยู่ ได้แก่
1. รากอากาศ (aerial root) เป็นรากท่ีทำหน้าที่ดดู ความชื้นและอากาศ ที่ผิวรากมี
เน้อื เย่อื สำหรบั เก็บความชนื้ เช่น รากกล้วยไม้ รากไทร (ภาพท่ี 38)
ภาพที่ 38 รากอากาศของไทร
ทม่ี า : ภาพรากอากาศของไทร, 2561 : เวบ็ ไซต์
2. รากเกาะ (climbing root) เปน็ รากท่ีแตกออกจากขอ้ ของลำตน้ ทำหน้าทีย่ ึด
เกาะกับส่ิงที่พืชไปเจริญอยหู่ รือไม้อืน่ เชน่ รากของพลู พรกิ ไทย เงนิ ไหลมา (ภาพท่ี 39)
ภาพที่ 39 รากเกาะของเงินไหลมา
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
37
3. รากปรสติ (parasitic root) เป็นรากของพืชท่ีไปเกาะพืชอ่ืน โดยแทงรากลงไป
ในพืชนนั้ เพอื่ ดดู นำ้ อาหารและแรธ่ าตุ เชน่ รากฝอยทอง รากกาฝาก (ภาพที่ 40)
ภาพท่ี 40 รากปรสิตของกาฝาก
ที่มา : ภาพรากปรสติ ของกาฝาก, 2561 : เว็บไซต์
4. รากหายใจ (pneumatophore) เป็นรากที่แทงตั้งฉากขึ้นมากจากผิวดินและ
ผิวน้ำเพื่อทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส พบในพืชป่าชายเลนหรือบริเวณที่น้ำเค็มขึ้นถึง เช่น
รากลำแพน รากลำพู (ภาพที่ 41)
ภาพที่ 41 รากหายใจของลำพู
ที่มา : ภาพรากหายใจของลำพู, 2561 : เวบ็ ไซต์
38
5. รากสงั เคราะห์ด้วยแสง (photosynthetic root) เปน็ รากทแ่ี ตกจากลำต้นหรือ
ก่ิง มีสเี ขียว สังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ เชน่ รากข้าวโพด รากกลว้ ยไม้ (ภาพที่ 42)
ภาพท่ี 42 รากสงั เคราะห์ด้วยแสงของกลว้ ยไม้
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
6. รากค้ำจุน (prop root) เป็นรากที่แตกจากข้อของลำต้นที่อยู่เหนือพื้นดินแล้ว
แทงลงสู่ดนิ เพอื่ คำ้ ยนั ลำต้น เช่น รากเตย รากไทรยอ้ ย รากโกงกาง (ภาพที่ 43)
ภาพที่ 43 รากค้ำจุนของโกงกาง
ทม่ี า : ภาพรากคำ้ จุนของโกงกาง, 2561 : เวบ็ ไซต์
39
7. รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหาร มี
ลกั ษณะอวบอาจเปลยี่ นแปลงมาจากรากแกว้ เช่น รากผกั กาดขาว รากผกั กาดแดง รากแครอท
(ภาพที่ 44) หรือเปล่ยี นแปลงมาจากรากฝอย เช่น รากตอ้ ยต่ิง รากกระชาย (ภาพท่ี 45)
ภาพท่ี 44 รากแก้วสะสมอาหารของแครอท
ที่มา : ภาพรากแกว้ สะสมอาหารของแครอท, 2561 : เวบ็ ไซต์
ภาพที่ 45 รากฝอยสะสมอาหารของกระชาย
ท่ีมา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
40
ลำต้น (stem)
เป็นส่วนของพืชท่ีเจรญิ เปน็ แกนกลางของพชื ส่วนใหญเ่ จรญิ ในทศิ ต้านแรงโน้มถ่วงของ
โลก
หน้าทข่ี องลำตน้
1. ชูกิ่งกา้ นและใบ
2. ลำเลียงน้ำ แร่ธาตุ และอาหารระหว่างรากและใบ
3. เปล่ยี นแปลงไปทำหน้าท่พี เิ ศษตามลกั ษณะลำต้นท่เี ปลี่ยนแปลงไป เช่น
สะสมอาหาร ยึดเกาะ
ส่วนประกอบของลำต้น
ประกอบด้วย 3 ส่วน ไดแ้ ก่
1. ข้อ (node) คอื บรเิ วณทีใ่ บยดึ ตดิ กับลำตน้ เปน็ เขตเจริญของลำตน้ คอื
จะมีก่งิ ใบ หรอื ดอกเจริญออกมา
2. ปล้อง (internode) คือ ส่วนของลำตน้ ทีอ่ ยู่ระหวา่ งขอ้
3. ตา (bud) คอื สว่ นของลำต้นทย่ี ังไม่เจรญิ เมอ่ื เกิดแลว้ จะพกั ตัวอยู่ระยะหนึ่ง
แล้วจึงเจริญไปเป็นต้น กิ่ง ใบ หรือดอก ขึ้นกับชนิดของตาน้ัน ตาที่เกิดบริเวณปลายยอด
เรียกว่า ตายอด (terminal bud) ส่วนตาที่เกิดด้านข้างของลำตน้ ซอกกิง่ หรือซอกใบ เรียกวา่
ตาขา้ ง (axillary bud) (ภาพที่ 46)
ภาพที่ 46 สว่ นประกอบของลำตน้
ทม่ี า : Stern, 1994 : 69
41
ลกั ษณะวสิ ัยของพืช (plant habit)
ลำต้นของพืชดอกแตกต่างกันทั้งขนาด อายุ เป็นลักษณะวิสัยที่ปรากฏให้เห็น
ตา่ งกัน ดงั น้ี
1. ไม้ล้มลุก (herb) เป็นพืชที่มีลำต้นอ่อนนุ่ม ไม่มีเนื้อไม้ หรือมีเนื้อไม้เพยี ง
เล็กน้อยบริเวณโคนต้น ลำต้นจะตายไปเมื่อหมดฤดูการเจริญเติบโต จำแนกเป็น 3 ประเภท
ได้แก่
1.1 พืชปีเดียว (annual herb) เป็นพืชอายุไม่เกิน 1 ปี เมื่อออกดอกออก
ผลแล้วจะตาย เช่น ดาวเรือง บานช่ืน หงอนไก่
1.2 พชื สองปี (biennial herb) เปน็ พชื ทม่ี อี ายุ 2 ปี โดยปแี รกจะเจรญิ เตบิ โต
ทางดา้ นลำต้นและใบ แลว้ ออกดอกออกผลในปีที่ 2 จงึ จะตาย เช่น กลว้ ยประดับ ผักกาดแดง
1.3 พืชหลายปี (perennial herb) เป็นพืชลม้ ลุกทมี่ อี ายมุ ากกวา่ 2 ปแี ละ
ออกดอกออกผลทกุ ปี เช่น บวั บานเช้า บานเยน็ พทุ ธรักษา พลบั พลงึ (ภาพที่ 47)
ภาพท่ี 47 ลกั ษณะวิสยั ของพลับพลงึ
ท่ีมา: กาญจนา คงเอียด, 2561
2. ไมพ้ ุม่ (shrub) เป็นพชื ทมี่ เี นื้อไม้ มักมีหลายลำต้นแตไ่ มม่ ีลำต้นหลกั แตกกงิ่
บริเวณโคนต้น มอี ายุหลายปี เช่น กระดงั งาสงขลา โมกบา้ น (ภาพท่ี 48)
42
ภาพที่ 48 ลกั ษณะวสิ ัยของโมกบ้าน
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด , 2553 : ถา่ ยภาพ
3. ไมต้ ้น (tree) เป็นพืชท่ีมเี น้อื ไม้ มลี ำต้นหลกั เพยี งหน่ึงต้นเห็นได้ชัด มีอายุ
หลายปี เชน่ มะขาม จามจรุ ี ทเุ รยี น ส้านใหญ่ (ภาพที่ 49)
ภาพที่ 49 ลกั ษณะวิสัยของสา้ นใหญ่
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
4. ไมเ้ ลื้อยหรือไม้เถา (climber) เปน็ พืชลำตน้ ไมม่ เี น้อื ไมห้ รือมีเน้อื ไม้ อายปุ ี
เดียวหรือหลายปี ลำตน้ เลือ้ ยไปตามดินหรือเกาะพนั ส่ิงท่อี ยู่ใกล้เคียงหรือมีอวยั วะพิเศษสำหรับ
43
ยึดเกาะ เช่น ราก มือเกาะ และขอเกี่ยว ไม้เถาไม่มีเนื้อไม้ เช่น ผักบุ้ง เสาวรส กระเทียมเถา
(ภาพท่ี 50) ไมเ้ ถามีเนอ้ื ไม้ เช่น การเวก สะบา้
ภาพที่ 50 ลกั ษณะวิสัยของกระเทยี มเถา
ทม่ี า : ภาพกระเทียมเถา, 2561 : เวบ็ ไซต์
5. ไม้รอเล้ือย (scandent) เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้เถา มีกิ่งก้านทอดเอนไปบนต้นไม้
หรือสิ่งอน่ื ทีอ่ ยู่ใกลเ้ คยี ง แต่เม่อื ข้นึ อยู่ตามลำพังก็ทรงตัวอยไู่ ดด้ ูคล้ายเปน็ ไม้พุ่ม เช่น นมแมว
เฟอ่ื งฟ้า (ภาพท่ี 51)
ภาพที่ 51 ลักษณะวสิ ัยของเฟือ่ งฟา้
ท่ีมา : ภาพลักษณะวิสัยของเฟอื่ งฟ้า, 2561 : เวบ็ ไซต์
ลำต้นท่ีเปลี่ยนแปลงไป (modified stem)
44
ลำต้นของพชื บางชนิดเปล่ียนแปลงรูปรา่ งและหน้าท่ีไปได้ ซ่งึ มีทงั้ ลำต้นใต้ดนิ
(subterranean stem) และลำต้นเหนอื ดิน (aerial stem) ดังน้ี
1. ลำต้นใต้ดนิ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป
1.1 เหง้า (rhizome) เป็นลำต้นใต้ดินที่เจริญทอดขนานไปกับพื้นดิน
ต้นแตกแขนงได้มาก มีข้อและปล้องสั้นๆ มีใบเกล็ดคลุมที่ข้อ มีตาที่ข้อซึ่งเติบโตเป็นใบแทง
ข้ึนมาเหนือดนิ ได้ เช่น ขม้นิ ขงิ ข่า (ภาพที่ 52)
ภาพท่ี 52 เหงา้ ของขา่
ทีม่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
1.2 หัวแบบมันฝร่ัง (tuber) ลำตน้ มีแขนงใต้ดิน ปลายแขนงพองออกเปน็
หัวเพื่อเก็บสะสมอาหาร มีข้อและปล้องเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ มีตาที่สามารถเจริญเป็นต้น
ใหม่ได้ เช่น มันฝรัง่ (ภาพท่ี 53)
ภาพท่ี 53 หวั แบบมนั ฝรั่ง
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.3 หวั แบบเผอื ก (corm) เป็นลำตน้ ใตด้ ินท่ีเจรญิ ต้งั ตรง มีลักษณะเป็นหัว
เก็บสะสมอาหารจำพวกแป้ง สว่ นกลางมกั พองโต ข้อและปล้องสน้ั มาก มใี บเกล็ดบางๆ หุ้มท่ี
ข้อ ตรงปลายมตี ายอดอยูซ่ ่งึ จะเจรญิ เป็นใบ เชน่ แหว้ เผือก (ภาพท่ี 54)
45
ภาพที่ 54 หวั แบบเผอื ก
ทีม่ า : ภาพหวั แบบเผอื ก, 2561 : เวบ็ ไซต์
1.4 หัวแบบหอม (bulb) ลำต้นขนาดเล็ก มีปล้องสั้นมาก ตายอดหรือ
ตาข้างห่อหุ้มด้วยใบเกล็ดซ้อนกันหลายชั้น โคนใบหนาเพราะมีอาหารสะสม แต่ใบเกล็ดด้าน
นอกบาง เพราะไม่มีอาหารสะสม มีรากงอกจากข้อ เช่น ลำต้นของพลับพลึง กระเทียม หอม
(ภาพท่ี 55)
ภาพท่ี 55 หัวแบบหอม
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2. ลำต้นเหนือดินที่เปลย่ี นแปลงไป
2.1 ไหล (stolon หรือ runner) เป็นลำต้นที่ทอดราบไปตามพื้นดิน มี
ปล้องส้นั หรอื ยาว ราก ใบ ดอก เกดิ ทข่ี อ้ เช่น บวั บก แว่นแก้ว (ภาพที่ 56)
46
ภาพท่ี 56 ไหลของแวน่ แกว้
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
2.2 ลำตน้ คลา้ ยใบ (phylloclade หรือ cladophyll) เปน็ บางสว่ นของ
ลำต้นหรือลำต้นเปล่ียนแปลงไปเป็นแผ่นแบนคล้ายใบ มีสีเขียว ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง
เชน่ ลำต้นของกระถนิ ณรงค์ กระบองเพชร สลดั ได (ภาพท่ี 57)
ภาพท่ี 57 ลำตน้ คล้ายใบของกระถนิ ณรงค์
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2.3 มอื พัน (stem tendril) เป็นสว่ นของก่งิ หรอื ลำต้นที่เปล่ียนไปทำหน้าท่ี
สำหรับยดึ เกาะ จะสงั เกตเห็นข้อและปล้องซ่งึ ไม่พบในมอื พนั ที่เปลี่ยนแปลงมาจากใบ เช่น มือพัน
ขององ่นุ (ภาพที่ 58)
47
ภาพท่ี 58 มือพันขององุน่
ทม่ี า: ภาพมือพนั ขององนุ่ , 2561 : เวบ็ ไซต์
2.4 ลำตน้ เกย่ี วพนั (twinning stem) เปน็ ลำต้นท่พี นั รอบสิง่ ทอี่ ย่ใู กล้
โดยไม่มมี อื เกาะ หนามหรอื ส่ิงพเิ ศษอื่นๆ เช่น ลำต้นของถัว่ ฝกั ยาว บอระเพด็ (ภาพที่ 59)
ภาพท่ี 59 ลำตน้ เกีย่ วพันของถัว่ ฝกั ยาว
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
บทท่ี 4
โครงสรา้ งภายนอกของพชื ดอก : ใบ
48
ใบ (leaves) คือ ส่วนของพชื ทเ่ี กดิ บริเวณข้อ โดยทวั่ ไปมลี ักษณะเปน็ แผ่นแบน บาง มี
สเี ขยี ว ทำหนา้ ทส่ี ำคญั ในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
สว่ นประกอบของใบ ประกอบด้วย 3 สว่ น คอื
1. แผน่ ใบ (lamina หรือ leaf blade) มีลักษณะเปน็ แผ่น มขี นาด รปู รา่ งและ เนอื้
ใบแตกต่างกันในพืชแต่ละชนิด แผ่นใบประกอบด้วย เส้นกลางใบ (midrib) เส้นใบ (vein)
ปลายใบ (apex) โคนใบ (base) และขอบใบ (margins)
2. ก้านใบ (petiole) เปน็ ส่วนที่อยู่ระหว่างใบกับลำตน้ หรอื ก่ิง ตดิ กบั แผ่นใบตรง โคน
ใบ ยกเว้นในพชื บางชนดิ ก้านใบตดิ ลกึ เขา้ มาจากโคนใบ เชน่ ใบบัว ใบพืชบางชนิดไมม่ ี ก้าน
ใบ (sessile leaf) ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่ ตอนโคนของก้านใบหรือก้านใบทั้งหมดแผ่
เป็นกาบหมุ้ ลำต้น เรยี กว่า กาบใบ (leaf sheath)
3. หูใบ (stipule) เปน็ ส่วนทีย่ ื่นออกมาท่ีโคนก้านใบ ใบพชื บางชนิดมีหูใบ (stipulate)
บางชนดิ ไม่มหี ใู บ (exstipulate) (ภาพที่ 60)
ภาพท่ี 60 สว่ นประกอบของใบ
ที่มา: กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
ชนดิ ของใบ
ใบ แบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ คอื
49
1. ใบเดยี่ ว (simple leaf) คือ ใบที่มีแผ่นใบเดียวจากก้านใบหน่ึงกา้ น บรเิ วณซอกกา้ น
ใบมีตาข้างอยู่ (ภาพท่ี 60)
ภาพที่ 60 ใบเดี่ยวของเล็บมือนาง
ท่ีมา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
2. ใบประกอบ (compound leaves) คือ ใบที่มีแผน่ ใบมากกวา่ หนง่ึ แผน่ ใบข้นึ ไป
จากก้านใบหนึง่ ก้าน เรียกว่า ใบย่อย (leaflets) ใบย่อยแตล่ ะใบอาจมกี ้านใบยอ่ ยหรือไม่มกี ไ็ ด้
บริเวณซอกใบย่อยท่ีแตกออกมาไม่มีตา แต่จะมีตาเฉพาะที่ซอกก้านใบที่ติดกับลำต้นหรือกิ่ง
เทา่ นนั้ ใบประกอบแบง่ เปน็ 2 ชนิด คอื
2.1 ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves) เป็นใบ
ประกอบทีม่ ีใบยอ่ ยออก 2 ข้างของแกนกลาง (rachis) ซ่งึ เปน็ สว่ นทต่ี ่อจากก้านใบ ใบ
ประกอบแบบขนนก แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
2.1.1 ใบประกอบแบบขนนกชนั้ เดยี ว (once pinnately
compound leaves) เปน็ ใบทแ่ี กนกลางไม่แตกแขนง มใี บย่อยเรียงตดิ กบั แกนกลางเพียงชั้น
เดียว แยกย่อยเป็น
- ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี (odd-pinnate) ทป่ี ลายของใบประกอบมี
แผ่นใบย่อยเพียงใบเดยี ว เชน่ ใบประดู่ ใบราชพฤกษ์ ใบมะกอก (ภาพที่ 61)