50
ภาพที่ 61 ใบประกอบแบบขนกนกปลายค่ีของมะกอก
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
- ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ (even-pinnate) ทีป่ ลายของใบประกอบมี
แผ่นใบย่อยหนงึ่ คู่ เชน่ ใบเงาะ ใบมะขาม ใบกลั ปพฤกษ์ (ภาพที่ 62)
ภาพที่ 62 ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ของกัลปพฤกษ์
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
51
2.1.2 ใบประกอบแบบขนนกสองช้นั (bi-pinnately compound
leaves) เป็นใบประกอบแบบขนนกที่แกนกลางแตกแขนงเปน็ แกนกลางที่สองแล้วจึงจะมใี บยอ่ ย
แบบขนนก เชน่ ใบกระถนิ ใบหางนกยูง ใบจามจุรี (ภาพท่ี 63)
ภาพที่ 63 ใบประกอบแบบขนนกสองชัน้ ของจามจรุ ี
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
2.1.3 ใบประกอบแบบขนนกสามช้ัน (tri-pinnately compound
leaves) เป็นใบประกอบที่แกนกลางที่สอง แตกออกเป็นแกนกลางที่สาม แล้วจึงมีใบย่อย
แบบขนนก เช่น ใบมะรมุ ใบปีบ ใบเพกา (ภาพท่ี 64)
ภาพท่ี 64 ใบประกอบแบบขนนกสามชนั้ ของเพกา
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
52
2.2 ใบประกอบแบบน้ิวมือ (palmately compound leaves) เปน็ ใบประกอบ
ที่ก้านใบย่อยทุกใบออกจากตำแหนง่ เดียวกันตรงปลายกา้ นใบ ไม่มีแกนกลาง เช่น ใบตีนนก
ใบหนวดปลาหมึก ใบนุน่ (ภาพที่ 64)
ภาพที่ 65 ใบประกอบแบบนิว้ มอื ของนุ่น
ที่มา: กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
หลักในการพิจารณาชนดิ ของใบวา่ เป็นใบเดีย่ วหรือใบประกอบ
การพิจารณาว่าใบพืชที่ศึกษาเป็นใบเดี่ยวหรือใบประกอบสามารถสังเกตได้จากตา
และความออ่ นแก่ของใบ ดงั ตารางที่ 10
ตารางที่ 10 หลกั ในการพิจารณาชนิดของใบว่าเปน็ ใบเด่ียวหรอื ใบประกอบ
(ชอ่ ทิพย์ ปรุ ินทรวกุล, 2548 : 33 )
ใบเดย่ี ว ใบประกอบ
1. สังเกตตา
1. สังเกตตา
1.1 ซอกระหว่างใบเดี่ยวกับกิ่งจะมี 1.1 ซอกใบย่อยไม่พบตาข้าง แต่จะ
ตาข้าง พบทซี่ อกระหว่างก่ิงกบั กา้ นใบ
1.2 ท่ปี ลายของก่ิงจะพบตายอด 1.2 ท่ีปลายของใบประกอบไมพ่ บตา
ยอด
2. สงั เกตความออ่ นแก่ของใบ
ใบเดี่ยวที่เกิดบนกิ่งแต่ละกิ่งจะมี 2. สงั เกตความอ่อนแก่ของใบ
ความอ่อนแก่ สี ความหนาบาง ใบยอ่ ยของใบประกอบทุกใบมีความ
ของแผ่นใบแต่ละใบแตกต่างกัน อ่อนแก่ สี และความหนาของแผ่น
เนื่องจากเกิดไมพ่ ร้อมกัน อายุของ ใบเหมอื นกัน เน่อื งจากเกิดพร้อมกัน
ใบไมเ่ ท่ากนั อายุของใบเทา่ กนั
53
การจดั เรียงตัวของเสน้ ใบ (leaf venetion)
เส้นใบมีการจดั เรียงตัว เป็น 2 แบบ คอื
1. เส้นใบขนาน (parallel vein) ส่วนใหญ่พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
คือ
1.1 เส้นใบขนานตามความยาวของใบ เป็นเส้นใบทีเ่ รยี งขนานกับเส้นกลางใบ
ตง้ั แต่โคนใบถึงปลายใบ เชน่ ใบหญ้า อ้อย และขา้ วโพด (ภาพท่ี 66ก)
1.2 เสน้ ใบขนานแบบขนนก เส้นใบแตกออกจากเสน้ กลางใบไปยังขอบใบ เช่น
ใบกลว้ ย ขิง และขา่ (ภาพที่ 66ข)
ก. ข.
ภาพท่ี 66 เส้นใบขนาน ก. เสน้ ใบขนานตามความยาวของใบ ข. เสน้ ใบขนานแบบขนนก
ทมี่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561: ถา่ ยภาพ
2. เส้นใบร่างแห (reticulated vein) สว่ นใหญพ่ บในพืชใบเล้ียงคู่ มี 2 แบบ คือ
2.1 เสน้ ใบรา่ งแหแบบขนนก (pinnately reticulated vein) เปน็ เส้นใบท่ีมี
เส้นกลางใบ มีเส้นใบย่อยแตกแขนงออกจากเส้นกลางใบทั้งสองข้าง พุ่งไปยังขอบใบและ
ปลายใบ และมีเส้นใบขนาดเล็กแตกแขนงสานกันเป็นร่างแห เช่น ใบมะม่วงหิมพานต์
ใบยางพารา และใบลองกอง (ภาพที่ 67ก)
54
2.2 เส้นใบรา่ งแหแบบฝา่ มือ (palmately reticulated vein) เป็นเส้นใบท่ี
มีเส้นใบขนาดใหญห่ ลายเส้นแตกเปน็ รัศมีจากบริเวณปลายกา้ นใบไปยังขอบใบ และมีเส้นใบ
ขนาดเล็กแตกแขนงสานกันเปน็ ร่างแห เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง (ภาพที่ 67ข)
ข
ภาพที่ 67 เสน้ ใบร่างแห ก เสน้ ใบรา่ งแหแบบขนนก ข. เส้นใบร่างแหแบบฝ่ามอื
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561: ถา่ ยภาพ
การเรยี งตวั ของใบบนกิ่ง (phyllotaxy)
ใบเดย่ี วและใบประกอบมีการจดั เรียงตวั ของใบบนกิ่งแบบต่างๆ (ภาพท่ี 68) ดังนี้
1. เรียงสลบั (alternate) มีใบเดี่ยวหรือใบประกอบหน่ึงใบตอ่ หนึ่งขอ้ เรียงสลับกัน
เช่น ใบเฟื่องฟา้ ใบกุหลาบ
2. เรียงสลับระนาบเดยี ว (distichous) มีใบเดี่ยวหรือใบประกอบหนึ่งใบต่อหนึ่งขอ้
เรียงสลบั เปน็ ระนาบเดียว เช่น ใบกลว้ ยไมส้ กุลแวนดา้ ใบการเวก
3. เรียงเวียน (spiral) มีใบเดี่ยวหรือใบประกอบหนึ่งใบต่อหนึ่งข้อ เรียงสลับเวียน
รอบกิ่งคล้ายบันไดเวียน เช่น ใบเออื้ งหมายนา ใบเออื้ งอินโด
4. เรยี งตรงขา้ ม (opposite) มีใบเดยี่ วหรอื ใบประกอบสองใบตอ่ หนึง่ ขอ้ เรียงในแนว
ตรงขา้ มกนั เป็นคู่ เช่น ใบเลบ็ มือนาง
5. เรยี งตรงข้ามสลบั ต้ังฉาก (decussate) มใี บเดย่ี วหรอื ใบประกอบสองใบต่อหนึ่ง
ข้อออกตรงข้ามกัน ตั้งฉากกับใบคู่ถัดไป ถ้ามองจากด้านบนของกิ่งหรือลำต้นจะเห็นเป็นรูป
กากบาท เชน่ ใบเข็ม ใบพุด
6. เรียงวงรอบ (whorl) มีใบเดีย่ วหรอื ใบประกอบหลายใบตอ่ หนึ่งขอ้ เรียงตัวรอบข้อ
เช่น ใบพญาสัตบรรณ ใบบานบุรี
55
เรียงสลับ เรียงสลับระนาบเดยี ว
เรยี งเวียน เรียงตรงข้าม
เรียงตรงข้ามสลบั ตั้งฉาก เรยี งวงรอบ
ภาพที่ 68 การเรียงตัวของใบบนกิ่งแบบตา่ งๆ
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
56
รปู ร่างของแผ่นใบ (leaf shape)
ใบพืชแตล่ ะชนดิ มีรปู รา่ งแผน่ ใบแบบตา่ งๆ (ภาพท่ี 69) ดังน้ี
1. รูปลมิ่ แคบ (subulate) แผ่นใบแคบ ปลายใบเรยี วแหลม
2. รปู เข็ม (aciculate) แผน่ ใบเรยี วยาว คล้ายเขม็
3. รปู แถบ (linear) แผ่นใบแคบและยาว ขอบใบท้ังสองข้างขนานกนั มีความยาว
อยา่ งน้อย 8 เทา่ ของความกว้าง
4. รปู ขอบขนาน (oblong) แผ่นใบรูปคล้ายส่เี หลี่ยมผนื ผ้า โคนใบและปลายใบมน
ขอบใบทงั้ สองขา้ งขนานกัน มคี วามยาวประมาณ 2-3 เท่าของความกว้าง
5. รูปใบหอก (lanceolate) แผ่นใบรูปคล้ายใบหอก ส่วนกว้างทีส่ ุดอยใู่ กลก้ ับ โคนใบ
คอ่ ยๆเรียวไปสูป่ ลายใบ ความยาวเปน็ 3-8 เท่าของความกว้าง
6. รูปใบหอกกลบั (oblanceolate) แผ่นใบรูปใบหอกหวั กลบั สว่ นกวา้ งที่สุดอยู่ใกล้
ปลายใบ ความยาวเปน็ 4-6 เท่าของความกวา้ ง
7. รปู รี (elliptic) แผ่นใบรูปวงรี ส่วนกวา้ งท่ีสุดอยทู่ ่ีกลางแผ่นใบ โคนใบและ
ปลายใบเรียวมน ความยาวเป็น 2-3 เทา่ ของความกวา้ ง
8. รปู ไข่ (ovate) แผน่ ใบรปู รา่ งคลา้ ยไข่ ส่วนกว้างทีส่ ุดอยใู่ กล้โคนใบ ความยาวเปน็
2 เทา่ ของความกว้าง หรือความกวา้ งเป็น 2 ใน 3 เทา่ ของความยาว
9. รปู ไขก่ ลับ (obovate) แผน่ ใบรูปไข่กลบั สว่ นกวา้ งท่ีสดุ ของแผน่ ใบอยูท่ ่ปี ลายใบ
ความยาวเป็น 2 เท่าของความกว้าง
10. รปู สามเหล่ยี ม (deltoid) แผ่นใบรูปสามเหลย่ี ม โคนใบกวา้ งท่สี ดุ มกั เปน็ เส้นตรง
11. รูปสเ่ี หลย่ี มข้าวหลามตัด (rhomboid) แผ่นใบรปู ร่างคลา้ ยสีเ่ หลี่ยมขา้ วหลามตดั
12. รูปไต (reniform) แผ่นใบรูปร่างคล้ายไต ก้านใบติดอยู่ที่ฐานตรงรอยเว้า ความกว้าง
เปน็ 2 เทา่ ของความยาว
13. รูปวงกลม (orbicular) แผน่ ใบมีรปู ร่างคล้ายวงกลม
14. รปู หัวใจ (cordate) แผน่ ใบรปู ร่างคล้ายรปู หัวใจ สว่ นกวา้ งทส่ี ดุ อยใู่ กลโ้ คนใบ
ความยาวของแผ่นใบมากกว่าความกว้าง ก้านใบติดอย่ทู ฐ่ี านตรงรอยเว้า
15. รูปเคียว (falcate) แผ่นใบรปู รา่ งคล้ายเคียว เส้นกลางใบแบ่งแผ่นใบทัง้ สองข้างไม่
เท่ากนั
16. รปู ช้อน (spathulate) แผน่ ใบคล้ายรปู ช้อน ส่วนกว้างท่สี ุดอยทู่ ปี่ ลายใบ ปลายใบ
มน โคนใบแหลม
17. รูปหัวลกู ศร (sagitate) แผน่ ใบรปู ร่างคล้ายลูกศร โคนใบเวา้ แหลมลึกคล้ายหวั ลกู ศร
18. รปู เง่ียงใบหอก (hastate) แผน่ ใบคล้ายใบหอก ฐานใบทั้งสองข้างกางออกทำมุม
กวา้ งจนเกือบเป็นมุมฉากกบั ก้านใบ
19. รูปวงกลม ก้นปิด (Peltate) แผ่นใบรูปร่างกลม ก้านใบติดตรงกลางของแผน่ ใบ
20. รูปฝา่ มอื (palmately-lobed) แผ่นใบหยกั เวา้ เปน็ 5 แฉก คลา้ ยฝา่ มือ
57
รปู ล่ิมแคบ รปู เข็ม รปู แถบ รปู ขอบขนาน
รปู ใบหอก รูปใบหอกกลบั รปู รี รปู ไข่
รปู ไข่กลบั รปู สามเหลยี่ ม รปู สีเ่ หลย่ี มขา้ วหลามตัด รปู ไต
รปู วงกลม รปู หวั ใจ รปู เคียว รูปช้อน
รูปหวั ลกู ศร รูปเง่ยี งใบหอก รูปกลม ก้นปิด รปู ฝา่ มือ
ภาพท่ี 69 รูปร่างของแผ่นใบแบบต่างๆ
58
ปลายใบ (leaf apex)
พชื แตล่ ะชนิดมรี ปู รา่ งของปลายใบแบบตา่ งๆ (ภาพท่ี 70) ดงั น้ี
1. ปลายแหลม (acute) ปลายใบแหลม ขอบใบทั้งสองข้างสอบแคบเขา้ ชนกนั ที่
ปลายแผ่นใบอาจกว้างหรือแคบ
2. ปลายเรยี วแหลม (acuminate) ปลายใบแหลม แต่ตรงปลายใบคอดเว้าเข้าหา
กันเล็กนอ้ ย
3. ปลายตง่ิ แหลม (cuspidate) ปลายใบค่อนข้างกลมมน ตรงกลางของปลายเป็น
มุมแหลมยนื่ ออกไปเปน็ ตง่ิ เลก็ ๆ
4. ปลายติง่ หนาม (mucronate) ปลายใบเป็นตงิ่ หนามแหลมสน้ั ตอ่ เน่อื งจากเสน้ กลางใบ
5. ปลายแหลมเข็ม มรี ยางค์แขง็ (aristate) ปลายใบยน่ื ออกไปมีลักษณะเห็น
หนามแขง็ หรือเสน้ ที่มลี ักษณะแขง็
6. ปลายยาวคลา้ ยหาง (caudate) ปลายใบยาวคล้ายหาง
7. ปลายม้วน (cirrate) ปลายใบมตี งิ่ ยาว มว้ นงอ
8. ปลายมน (obtuse) ปลายใบกลมมน ไมม่ รี อยหยกั เวา้
9. ปลายตดั (truncate) ปลายใบตดั ตรง
10. ปลายเว้าบ๋มุ (retuse) ปลายใบมน เวา้ เปน็ แอ่งตน้ื ๆตรงกลาง
11. ปลายเวา้ ต้ืน (emarginate) ปลายใบป้าน กลางปลายใบเว้ามน
12. ปลายใบกลม (rounded) ปลายใบกลมมน กวา้ งกวา่ ปลายใบมน
59
ปลายแหลม ปลายเรียวแหลม ปลายต่งิ แหลม ปลายต่งิ หนาม
ปลายแหลมเขม็ ปลายยาวคล้ายหาง ปลายมว้ น ปลายมน
มีรยางค์แข็ง
ปลายตดั ปลายเวา้ บุ๋ม ปลายเว้าตน้ื ปลายใบกลม
ภาพที่ 70 ปลายใบแบบตา่ งๆ
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
โคนใบ (leaf base)
พชื แต่ละชนดิ มรี ปู ร่างของโคนใบแบบตา่ งๆ (ภาพที่ 71) ดงั นี้
1. โคนรปู ลมิ่ (cuniate) โคนใบเรียวสอบมาตรงๆ แลว้ จรดกนั คล้ายรปู ลม่ิ
2. โคนสอบเรียว (attenuate) โคนใบแหลม ทำมมุ ประมาณ 30 องศา คล้าย
ก้านใบมคี รบี
3. โคนเบ้ยี ว (oblique) โคนใบเฉยี ง เสน้ กลางใบแบง่ แผน่ ใบท้งั สองขา้ งไมเ่ ท่ากนั
4. โคนมน (obtuse) โคนใบรปู รา่ งมน
5. โคนตัด (truncate) โคนใบตัดตรง
60
6. โคนรูปหัวใจ (cordate) โคนใบเว้าเขา้ หาเส้นกลางใบคล้ายรอยเวา้ ของรูปหวั ใจ
7. โคนรูปเงี่ยงลูกศร (sargittate) โคนใบเวา้ เข้าหาเสน้ กลางใบ โคนแผ่นใบทง้ั สองข้าง
มเี งี่ยงคลา้ ยหวั ลูกศร
8. โคนรูปเงย่ี งใบหอก (hastate) โคนใบเว้าเข้าหาเสน้ กลางใบ โคนแผ่นใบทงั้ สองข้าง
เป็นเงี่ยงคล้ายใบหอก
9. โคนรูปตง่ิ หู (auriculate) โคนใบเวา้ เข้าหาเสน้ กลางใบ โคนแผ่นใบท้งั สองขา้ ง
เวา้ มนคล้ายต่งิ หู
10. โคนแบบกน้ ปดิ (peltate) ก้านใบตดิ กบั แผ่นใบบรเิ วณกลางแผ่นใบ
11. โคนรอบขอ้ (perfoliate) แผ่นใบปิดรอบขอ้
12. โคนเป็นกาบ (sheathing) ก้านใบแผ่เป็นกาบหุม้ รอบ
โคนรปู ลมิ่ โคนสอบเรียว โคนเบีย้ ว โคนมน
โคนตัด โคนรปู หัวใจ โคนรปู เงีย่ งลกู ศร โคนรูปเงย่ี งใบหอก
โคนรปู ติ่งหู โคนแบบกน้ ปิด โคนรอบข้อ โคนเปน็ กาบ
ภาพท่ี 71 โคนใบแบบต่างๆ
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
61
ขอบใบ (leaf margins)
พืชแต่ละชนิดมีขอบใบแบบตา่ งๆ (ภาพท่ี 72) ดงั นี้
1. ขอบใบเรยี บ (entire) ขอบใบเรยี บไม่มรี อยหยักเว้า
2. ขอบใบเปน็ คล่นื (undulate) ขอบใบเวา้ เปน็ คลื่นตื้น
3. ขอบใบหยักมน (crenate) ขอบใบหยกั มนเปน็ รูปโคง้ ขนาดเล็กๆต่อเนือ่ งกัน
รอบแผน่ ใบ
4. ขอบใบหยักซฟี่ ัน (dentate) ขอบใบหยกั เปน็ ฟนั แหลม ปลายของหยักจะ
ตง้ั ฉากหรอื เกือบตั้งฉากกบั แนวขอบใบ
5. ขอบใบจกั ฟันเล่อื ย (serrate) ขอบใบหยกั เป็นฟันคล้ายฟันเลอ่ื ย คล้ายขอบใบ
หยกั ซีฟ่ ันแตซ่ ีเ่ ลก็ กวา่
6. ขอบใบจกั ฟนั เลอื่ ยถ่ี (serrulate) ขอบใบหยกั เป็นฟนั เล่อื ยคล้ายใบจักฟนั เลือ่ ย
แต่ซ่เี ลก็ กวา่
7. ขอบใบหยักไมเ่ ปน็ ระเบียบ (erose) ขอบใบหยักเป็นฟันตนื้ ๆ ขนาดของฟนั ท่ี
หยกั ไม่เทา่ กัน
8. ขอบใบเป็นขนครยุ (ciliate) ขอบใบยน่ื ยาวเปน็ ขนน่มุ
9. ขอบใบเป็นหยกั (lobed) ขอบใบเวา้ ไมเ่ กินครึ่งหน่ึงของระยะจากขอบใบถึง
เส้นกลางใบหรอื ระยะจากขอบใบถงึ โคนใบ
10.ขอบใบเว้าลกึ (cleft) ขอบใบหยกั ลกึ ประมาณคร่ึงหนง่ึ ของระยะจากขอบใบ
ถึงเส้นใบหรอื หยกั จากขอบใบถงึ โคนใบ
11.ขอบใบเปน็ แฉก (parted) ขอบใบหยกั หรือเว้ามากกวา่ ครง่ึ หน่งึ ของระยะจาก
ขอบใบถงึ เสน้ กลางใบ หรือขอบใบถึงโคนใบ
12.ขอบใบหยักลึก (divided) ขอบใบหยักลึกถึงเส้นกลางใบหรือเกือบถึง
เสน้ กลางใบหรอื โคนใบ และรอยหยกั เว้ายงั มีแผ่นใบต่อเนื่องกัน
62
ขอบใบเรียบ ขอบใบเปน็ คล่ืน ขอบใบหยักมน ขอบใบหยกั ซ่ฟี นั
ขอบใบจกั ฟนั ขอบใบจกั ฟันเลอื่ ยถ่ี ขอบใบหยักไมเ่ ป็น ขอบใบเป็นขนครยุ
เลื่อย ระเบียบ
ขอบใบเป็นหยัก ขอบใบเวา้ ลกึ ขอบใบเปน็ แฉก ขอบใบหยกั ลึก
ภาพที่ 72 ขอบใบแบบต่างๆ
ท่ีมา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
63
ใบท่เี ปลยี่ นแปลงไป (modified leaves)
ใบพืชบางชนิดเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ เพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่พืช
เจริญอยู่ ไดแ้ ก่
1. ใบประดบั (bract) เปน็ ใบทเี่ ปลีย่ นแปลงไปรองรับดอกหรอื ชอ่ ดอก เช่น
ใบประดบั ของดอกชบา ดอกกระเจีย๊ บแดง ดอกหน้าวัว (ภาพท่ี 73)
ภาพที่ 73 ใบประดบั รองรบั ช่อดอกและดอก
ก. ใบประดบั รองรบั ชอ่ ดอกของดอกหน้าววั
ข. ใบประดบั รองรับดอกของดอกกระเจีย๊ บแดง
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2. ใบดักแมลง (carnivorous leaf) เป็นใบที่ปลายใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นกระเปาะ
สำหรบั ดักแมลง เช่น กระเปาะของหมอ้ ข้าวหม้อแกงลิง หรือใบมีขนเป็นต่อมหลั่งสารเหนียว
ท่มี เี อนไซม์ย่อยแมลง เช่น ใบหยาดนำ้ ค้าง หรือใบมขี อบใบเป็นหนามแหลม บนผวิ ใบมีขนที่มี
ต่อมสรา้ งเอนไซม์ย่อยแมลง ซึ่งไวตอ่ การสัมผสั เมอื่ แมลงมาเกาะใบจะหบุ เข้าหากนั เช่น ใบ
กาบหอยแครง (ภาพที่ 74)
ภาพที่ 74 ใบดกั แมลง ก. ใบหม้อข้าวหมอ้ แกงลิง ข. ใบหยาดน้ำคา้ ง ค. ใบกาบหอยแครง
ทม่ี า : ก. ภาพใบหมอ้ ขา้ วหม้อแกงลงิ , 2561 : เว็บไซต์
ข. ภาพใบหยาดน้ำค้าง, 2561 : เวบ็ ไซต์
ค. ภาพใบหยาดน้ำค้าง, 2561 : เวบ็ ไซต์
64
3. ใบเกล็ด (scale leaf) เป็นใบที่เปล่ียนไปเป็นแผ่นบางๆ มสี ีเหลืองอ่อนหรอื สี
น้ำตาล บางชนิดทำหน้าท่ีปอ้ งกันอันตรายให้แกต่ าอ่อนที่กำลังเจริญ เช่น ใบเกล็ดของขิง ข่า
(ภาพท่ี 75)
ภาพท่ึ 75 ใบเกล็ดของข่า
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด , 2561 : ถ่ายภาพ
4. หนาม (spine) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนาม อาจเปลี่ยนมาจากใบทั้งใบหรือใบ
เกล็ด บางชนิดเปล่ียนเพ่ือป้องกันการกัดกินจากสตั ว์ หรือเพื่อลดการคายน้ำ เช่น หนามของ
กระบองเพชร (ภาพท่ี 76)
ภาพท่ี 76 หนามของกระบองเพชร
ที่มา: กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
65
5. ใบสะสมอาหาร (storage leaf) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เก็บสะสมอาหาร
เช่น ใบว่านหางจระเข้ ใบหอมใหญ่ (ภาพท่ี 77)
ภาพท่ี 77 ใบสะสมอาหารของหอมใหญ่
ท่ีมา: กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
6. มือพัน (tendril) ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะพยุงลำต้นกับสิ่งที่อยู่ใกล้ อาจ
เปลี่ยนเฉพาะส่วนใดส่วนหน่งึ ของใบ เชน่ มือพนั ของถัว่ ลนั เตา หรือเปล่ียนแปลงในทั้งใบ เช่น
มอื พนั ของฟักทอง แตงกวา บวบ (ภาพท่ี 78)
ภาพที่ 78 มือพันของบวบ
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
66
7. ใบสบื พันธุ์ (vegetative reproductive leaf) ใบทเี่ ปล่ยี นแปลงไปเพอ่ื ช่วยในการ
แพรพ่ นั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ เชน่ ใบกุหลาบหิน ใบต้นตายใบเป็น ใบเศรษฐีพนั ล้าน (ภาพ
ท่ี 79)
ภาพท่ี 79 ใบสืบพันธุ์ของเศรษฐพี นั ลา้ น
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
67
บทท่ี 5
โครงสรา้ งภายนอกของพืชดอก : ดอก
ดอก (flower) คือ กง่ิ ท่เี ปลี่ยนแปลงไป เพือ่ ทำหน้าที่ในการสืบพนั ธ์ขุ องพืชดอก เจริญ
มาจากตาดอก อาจเกิดที่ปลายก่งิ หรอื ลำต้น หรือเกดิ ท่ีซอกระหวา่ งลำตน้ กับใบ หรือก่ิงกับใบ
เป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้ในการจัดจำแนกและตรวจสอบชนิดของพืชดอก ซึ่งต้องศึกษา
สว่ นประกอบของดอกอยา่ งละเอียด
สว่ นประกอบของดอก
ดอก ประกอบด้วยสว่ นตา่ งๆ ดังนี้ (ภาพที่ 80)
1. ก้านดอก (peduncle) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับกิ่งหรือลำต้น พืชบางชนิดก้านดอก
ลดรูป ไม่มกี า้ นดอก (sessile flower)
2. ฐานรองดอก (receptacle) อยปู่ ลายก้านดอก เป็นฐานที่รองรับดอก เกิดจากปล้องท่ี
หดสัน้ เข้า อาจมกี ารเปลี่ยนแปลงรปู ร่างไปเพ่อื การดำรงชวี ติ หรอื เพอื่ การขยายพันธ์ุ
3. ใบประดับหรือริ้วประดับ (bract) เป็นใบพิเศษเกิดที่โคนก้านดอกหรือก้านช่อดอก
ติดกับฐานรองดอก มีการเปลี่ยนแปลงรปู ร่างไปหลายแบบ อาจเป็นริ้วเลก็ ๆ คล้ายกลีบเล้ยี ง
หรอื มีสสี ันสวยงามคลา้ ยกลีบดอก พืชแตล่ ะชนดิ อาจมีหรอื ไม่มใี บประดบั กไ็ ด้
4. กลีบเล้ยี ง (sepal) จัดเรยี งตัวเปน็ วง เรียกวา่ วงกลบี เลีย้ ง (calyx) โดยทวั่ ไปมักมีสี
เขียว ทำหน้าที่ห่อหุ้มและป้องกันอันตรายให้กับส่วนประกอบต่างๆ ของดอกที่อยู่ภายใน
ป้องกันอนั ตรายจากแมลงหรือศัตรูพืช และชว่ ยปอ้ งกนั การระเหยของน้ำ
5. กลบี ดอก (petal) จดั เรยี งตัวเป็นวง เรียกว่า วงกลีบดอก (corolla) โดยทว่ั ไปจะ
มีสีสันสวยงามสะดุดตา บางชนดิ มตี อ่ มน้ำหวาน หรอื มกี ลนิ่ หอม เพ่อื ล่อแมลงมาผสมเกสร
6. เกสรเพศผู้ (stamen) อยใู่ นวงเกสรเพศผู้ (androecium) ถดั จากวงกลีบดอก เข้า
ไปดา้ นใน เกสรเพศผู้ ประกอบด้วย ก้านชอู ับเรณู (filament) และอับเรณู (anther) ภายในมี
ละอองเรณู (pollen grain) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชดอก คือ สเปิร์ม
(sperm)
7. เกสรเพศเมีย (pistil) อยใู่ นวงเกสรเพศเมีย (gynoecium) เป็นวงทีอ่ ยู่ในสดุ ของ
ดอก ประกอบดว้ ยยอดเกสรเพศเมีย (stigma) ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) และรังไข่ (ovary)
ซึ่งภายในมีออวลุ (ovule) ท่มี เี ซลลไ์ ข่ (egg) ซ่งึ เปน็ เซลลส์ ืบพันธุเ์ พศเมีย
68
ภาพที่ 80 สว่ นประกอบของดอกชบา
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
สว่ นประกอบทีส่ ำคัญของดอก
ดอกแบ่งออกเป็น 4 ชั้น เรียงเป็นวงจากรอบนอกไปสู่ศูนย์กลาง โดยองค์ประกอบในแต่
ละวง คอื ใบทเี่ ปลย่ี นแปลงไปทำหน้าทพ่ี เิ ศษ ดังน้ี
1. วงกลบี เลีย้ ง (calyx)
ประกอบด้วยกลีบเลย้ี ง ซง่ึ กลีบเลี้ยงของพชื แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คอื
1.1 กลีบเลี้ยงแยกจากกัน (polysepalous) คือ กลีบเลี้ยงแต่ละกลีบแยกจากกัน
อิสระ ไม่มสี ว่ นท่เี ชื่อมติดกนั เชน่ กลีบเลี้ยงของดอกมะเขือ กลีบเล้ียงของดอกกุหลาบ (ภาพ
ท่ี 81)
69
ภาพที่ 81 กลีบเลย้ี งแยกจากกันของดอกกหุ ลาบ
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.2 กลีบเลย้ี งเช่ือมตดิ กัน (gamosepalous) กลบี เลย้ี งแต่ละกลบี เชอ่ื มตดิ กนั ทำให้
แบง่ กลบี เลีย้ งเปน็ 2 ส่วน คือ
1) หลอดกลีบเลี้ยง (calyx tube) คือ กลีบเลี้ยงส่วนที่เชื่อมติดกัน หรือหลอม
รวมกันเป็นหลอด
2) แฉกกลีบเลีย้ ง (calyx lobe) คือ กลีบเล้ียงส่วนท่ีแยกออกเปน็ แฉกหรอื เห็น
เป็นกลบี เช่น กลบี เลยี้ งของดอกชบา กลบี เลี้ยงของดอกแคบา้ นดอกแดง (ภาพที่ 82)
ภาพที่ 82 กลบี เลยี้ งเช่ือมตดิ กนั ของดอกแคบา้ นดอกแดง
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
70
2. วงกลบี ดอก (corolla)
ประกอบด้วยกลบี ดอก กลบี ดอกของพชื แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คือ
2.1 กลีบดอกแยกจากกัน (polypetalous) กลีบดอกแต่ละกลีบแยกเป็นอิสระ มี
รปู ร่างแตกต่างกนั ดงั นี้
1) รูปกากบาท (cruciform) กลีบดอกมี 4 กลีบ แต่ละกลีบตั้งฉากกันเป็นรูป
กากบาท เชน่ ดอกคะนา้ ดอกกวางตุ้งฮอ่ งเต้ (ภาพท่ี 83)
ภาพท่ี 83 กลบี ดอกรปู กากบาทของดอกกวางตุ้งฮ่องเต้
ท่ีมา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2) รูปดอกถั่ว (papilionaceous form) กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบกลางซึ่งอยู่ด้าน
นอกสุดมีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า สแตนดาร์ด (standard) มี 2 กลีบถัดไปขนาดเท่ากันอยู่
ด้านข้าง คล้ายปีกของผีเสื้อ เรียกว่า วิง (wing) และ มี 2 กลีบอยูช่ ัน้ ในสุดมักเชื่อมติดกันเป็น
รูปเรือหรือแยกจากกัน มีขนาดเล็กที่สุด เรียกว่า คีล (keel) เช่น ดอกถั่วผี ดอกแคบ้านดอกแดง
(ภาพที่ 84)
ภาพท่ี 84 กลีบดอกรปู ดอกถ่วั ของดอกแคบา้ นดอกแดง
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
71
3) รูปดอกกล้วยไม้ (orchidaceous form) กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ กลีบดอกมี 3 กลีบ
ซ่งึ มีสสี ันและรปู รา่ งลักษณะใกล้เคียงกัน และมีกลบี ดอก 1 กลบี ทีม่ รี ปู ร่างเปน็ กระเปาะหรือมี
ลักษณะคล้ายปาก (lepped shape) เรียกว่า กลีบปาก (labellum หรือ lip) เช่น
กล้วยไม้รองเท้านารี วา่ นหางช้าง กลว้ ยไมห้ วาย (ภาพที่ 85)
ภาพท่ี 85 กลบี ดอกรูปดอกกลว้ ยไมข้ องกล้วยไม้หวาย
ทีม่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
2.2 กลบี ดอกเชื่อมตดิ กัน (gamopetalous) กลีบดอกแต่ละกลบี เช่อื มติดกนั ส่วน
ที่เชื่อมติดกัน เรียกว่า หลอดกลีบดอก (corolla tube) และส่วนที่แยกเป็นแฉกหรือเป็นกลีบ
เรียกวา่ แฉกกลีบดอก (corolla lobe) เชน่ ดอกเขม็ ดอกพุดน้ำบษุ ย์ ดอกชวนชม (ภาพท่ี 86)
ภาพท่ี 86 กลีบดอกเชอ่ื มติดกนั ของดอกชวนชม
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
72
ท้งั นี้ กลีบดอกทเ่ี ช่อื มติดกันมรี ปู รา่ งท่ีแตกต่างกัน ดังนี้
1) รูปกงล้อ (rotate form) กลีบดอกที่มีหลอดกลีบดอกสั้น แฉกกลีบดอกแผ่
กวา้ งเกอื บเป็นวงกลม คล้ายวงล้อรถ เช่น ดอกมะเขือ ดอกมะแว้ง ดอกมะอึก (ภาพท่ี 87)
ภาพที่ 87 กลีบดอกรปู กงลอ้ ของดอกมะอกึ
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด 2561 : ถา่ ยภาพ
2) รูปดอกเข็ม (salver form) กลีบดอกที่มีหลอดกลีบดอกเป็นท่อขนาดเล็ก
แฉกกลบี ดอกแผ่ออกตั้งฉากกบั หลอดกลีบดอก เชน่ ดอกเขม็ ดอกพุดพชิ ญา (ภาพที่ 88)
ภาพที่ 88 กลีบดอกรูปดอกเข็มของดอกพุดพชิ ญา
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
73
3) รูปกรวย (funnel form) กลีบดอกที่มหี ลอดกลีบดอกรปู ร่างคล้ายกรวย แฉก
กลีบดอกเชอ่ื มตดิ กนั คล้ายแตรหรอื ลำโพง เชน่ ดอกแตรสวรรค์ ดอกผกั บุ้งรวั้ (ภาพที่ 89)
ภาพที่ 89 กลีบดอกรูปกรวยของดอกผักบุง้ รวั้
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
4) รูประฆัง (campanulate form) หลอดกลีบดอกค่อนข้างกว้างเชื่อมติดกัน
คลา้ ยรูประฆงั ปลายหลอดคอ่ ยๆ ผายออกไปสแู่ ฉกกลบี ดอก เชน่ ดอกถว้ ยทอง (ภาพท่ี 90)
ภาพที่ 90 กลบี ดอกรปู ระฆังของดอกถ้วยทอง
ทมี่ า : ภาพดอกระฆังทอง, 2561 : เว็บไซต์
74
5) รูปคนโท รูปโถ (urceolate form) กลีบดอกทีม่ ีหลอดกลีบดอกพองออกตรง
กลาง แฉกกลบี ดอกมีขนาดเล็ก เชน่ ดอกช่อไข่มุก (ภาพที่ 91)
ภาพที่ 91 กลบี ดอกเปน็ รูปคนโทของดอกช่อไข่มุก
ท่มี า : ภาพดอกชอ่ ไขม่ กุ , 2561 : เว็บไซต์
6) รูปหลอด (tubular form) กลีบดอกที่มีหลอดกลีบดอกเป็นหลอดหรือท่อ
แฉกกลบี ดอกขนาดเล็ก เช่น ดอกประทดั จนี ดอกอะกาปเิ ทส (Agapites sp.) (ภาพที่ 92)
ภาพท่ี 92 กลีบดอกรูปหลอดของดอกอะกาปิเทส
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2553 : ถ่ายภาพ
75
7) รูปปากเปิด (bilabiate form) กลีบดอกที่มีหลอดกลีบดอกยาวหรือสั้น แฉก
กลีบดอกเปิดออก 2 ซีก ขนาดไม่เท่ากันคล้ายปากเปิด เช่น ดอกศรีตรัง ดอกเสลดพังพอน
ดอกโหระพา ดอกแววมยุรา (ภาพที่ 93)
ภาพที่ 93 กลีบดอกรูปปากเปิดของดอกแววมยรุ า
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
8) รูปลิ้น (ligulate) กลีบดอกทุกกลีบเชื่อมติดกันเป็นแผ่นคล้ายลิ้น เช่น ดอก
ทานตะวนั ดอกดาวกระจาย (ภาพท่ี 94)
ภาพท่ี 94 กลีบดอกรูปลิ้นของดอกดาวกระจาย
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
76
ในพชื บางชนิดวงกลีบเลี้ยงและวงกลบี ดอกไมม่ ีความแตกต่างกนั อย่างชดั เจน เรียกวง
กลีบนี้ว่า วงกลีบรวม (perianth) กลีบแต่ละกลีบเรียกว่า กลีบรวม (tepal) พบในดอกท่ีมี
กลีบดอกและกลีบเลี้ยงลักษณะคล้ายกันหมด มีกลีบจำนวนมาก เช่น ดอกจำปี จำปา บัวสาย
(ภาพท่ี 95 ) หรอื ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวท่ีจะมีกลบี เล้ียงและกลบี ดอกคล้ายคลึงกันแต่เรียงเป็น 2 วง
เช่น ดอกพลับพลงึ ลิลลี่ บวั จนี (ภาพที่ 96) และในดอกบางชนิดไม่มกี ลบี ดอก แต่มีกลีบเล้ียงท่ี
ดูคล้ายกลีบดอก และมีใบประดับที่มีสีสันสวยงามดูคล้ายกลีบดอก เช่น ดอกพวงชมพู
ดอกเฟอ่ื งฟ้า (ภาพที่ 96)
ภาพท่ี 95 กลบี รวมของดอกบัวสาย
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด 2561 : ถา่ ยภาพ
ภาพท่ี 96 กลบี เลีย้ งและกลีบดอกคล้ายคลึงกันของดอกบัวจีน
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
77
ภาพท่ี 18 ชอ่ ดอกเฟอื่ งฟา้ ดอกย่อยไมม่ ีกลีบดอก
ทีม่ า : กาญจนา คงเอยี ด 2561 : ถ่ายภาพ
3. วงเกสรเพศผู้
เกสรเพศผู้ประกอบดว้ ยกา้ นชูอบั เรณู (filament) และ อับเรณู (anther) ดังภาพที่
19 ดอกของพชื บางชนดิ กา้ นชูอบั เรณูแยกจากกันเปน็ อิสระ เชน่ ดอกพลบั พลงึ บางชนิดก้าน
ชูอับเรณูเชอ่ื มรวมกันเปน็ หลอด แต่อบั เรณแู ยกจากกนั เช่น ดอกชบา บางชนดิ อับเรณูเช่ือม
ติดกนั หน่งึ กลุ่ม และอีกอนั หน่งึ แยกต่างหาก เช่น ดอกแค หรอื ในพืชกลุ่มกล้วยไม้มีเกสรเพศผู้
1 อัน มีการเชื่อมติดกันของส่วนของเกสรเพศผู้บางส่วน เช่น ส่วนของก้านเกสรเพศผู้
กลายเป็นโครงสร้างทีเรียกวา่ เสา้ เกสร (column) ทส่ี ่วนปลายมอี ับละอองเรณูเป็นก้อนกลม
(ภาพที่ 20)
ภาพที่ 19 สว่ นประกอบของเกสรเพศผู้
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
78
ภาพท่ี 20 เกสรเพศผขู้ องดอกชนิดตา่ งๆ
ก. กา้ นชูอับเรณแู ยกจากกนั ของดอกพลบั พลึง
ก. ก้านชูอับเรณูเชอื่ มรวมกันเป็นหลอดของดอกชบา
ข. กา้ นชูอบั เรณเู ช่อื มติดกนั หน่งึ กลมุ่ อกี อนั หนงึ่ แยกของดอกถวั่ ชนดิ หน่งึ
ค. เส้าเกสรของดอกกลว้ ยไม้
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
79
4. วงเกสรเพศเมีย
เกสรเพศเมยี ประกอบดว้ ย รังไข่ (ovary) ก้านเกสรเพศเมยี (style) และ ยอด
เกสรเพศเมีย (stigma) ดังภาพท่ี 21
ภาพที่ 21 สว่ นประกอบของเกสรเพศเมยี
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
พืชแต่ละชนิดมีตำแหนง่ ของรังไข่ ท่แี ตกตา่ งกนั ดังนี้
1) รังไข่เหนือวงกลีบ (superior ovary) ตำแหน่งของรังไข่ติดอยู่กับฐานรอง
ดอก อยเู่ หนอื สว่ นอื่นๆของดอก เชน่ ดอกมะมว่ ง ดอกมะนาว ดอกเขม็ ปตั ตาเวยี (ภาพท่ี 22)
ภาพท่ี 22 รังไขเ่ หนอื วงกลีบของดอกเขม็ ปัตตาเวีย
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
80
2) รังไข่ก่งึ ใตว้ งกลีบ (half-inferior ovary) ตำแหนง่ ของรงั ไขอ่ ยกู่ ลางส่วนอ่ืนๆ
ของดอก เชน่ ดอกกุหลาบ ดอกบัวสาย (ภาพท่ี 23)
ภาพที่ 23 รงั ไขก่ ึ่งใต้วงกลบี ของดอกบวั สาย
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
3) รังไข่ใต้วงกลีบ (inferior ovary) ตำแน่งของรังไข่อยู่ใต้ส่วนอื่นๆ ของดอก
และรังไข่มักจะหลอมตดิ กับฐานรองดอก เช่น ดอกแตงกวา ดอกเขม็ ดอกบวบ (ภาพที่ 24)
ภาพที่ 24 รงั ไขใ่ ต้วงกลีบของดอกบวบ
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
81
ชนิดของดอก (Flower types)
ดอกแบง่ ออกเป็นชนิดตา่ งๆ ตามเกณฑ์ ดงั นี้
1. จำแนกตามส่วนประกอบสำคญั ของดอก จำแนกโดยพจิ ารณาส่วนประกอบท้ัง 4
ช้นั คอื วงกลีบเลยี้ ง วงกลบี ดอก วงเกสรเพศผู้ และวงเกสรเพศเมีย สามารถแบ่งดอกเปน็ 2
ชนิด คอื
1.1. ดอกสมบรู ณ์ (complete flower) เป็นดอกทมี่ สี ่วนประกอบครบทง้ั วงกลีบเลี้ยง
วงกลบี ดอก วงเกสรเพศผู้ และวงเกสรเพศเมีย เช่น ดอกชบา ดอกมะเขอื ดอกทเุ รียน ดอกชงโค
(ภาพท่ี 25)
ภาพที่ 25 ดอกสมบูรณ์ของดอกชงโค ก. กลีบเลย้ี งและกลีบดอก ข. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย
ทีม่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.2 ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) เปน็ ดอกท่มี ีสว่ นประกอบไมค่ รบทั้ง
4 วง เชน่ ดอกฟกั ทอง ดอกมะละกอ ดอกหนา้ วัว ดอกเขม็ ปตั ตาเวีย (ภาพที่ 26)
ภาพท่ี 26 ดอกไมส่ มบูรณข์ องดอกเข็มปตั ตาเวยี
ก. ดอกขาดเกสรเพศผู้
ข. ดอกขาดเกสรเพศเมยี
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
82
2. จำแนกตามลักษณะของเพศ พิจารณาเฉพาะส่วนสบื พนั ธุ์ คอื วงเกสรเพศผแู้ ละ วง
เกสรเพศเมีย แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คอื
2.1 ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) เป็นดอกที่มีทั้งวงเกสรเพศผู้และวงเกสร
เพศเมีย เช่น ดอกกุหลาบ ดอกมะม่วง ดอกมะนาว (ภาพที่ 27)
ภาพที่ 27 ดอกสมบรู ณเ์ พศของดอกมะนาว
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
2.2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) เป็นดอกที่มีเพียงเพศใดเพศหนึ่ง
ดอกทม่ี ีเพียงเกสรเพศผู้ เรียกวา่ ดอกเพศผู้ (staminate flower) ดอกท่ีมเี พยี งเกสรเพศเมีย
เรียกว่า ดอกเพศเมีย (pistillate flower) เช่น ดอกตำลึง ดอกมะละกอ (ภาพที่ 28) และ
ดอกที่ไม่มีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกเป็นหมัน (sterile flower) เช่น
ดอกเปน็ หมนั ในชอ่ ดอกพืชวงศ์ทานตะวนั เช่น ดอกทานตะวัน ดอกบานชน่ื (ภาพที่ 29)
ภาพท่ี 28 ดอกไม่สมบูรณเ์ พศดอกของมะละกอ
ก. ดอกเพศผู้
ข. ดอกเพศเมยี
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
83
ภาพท่ี 29 ดอกเป็นหมันในชอ่ ดอกบานชืน่
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
3. จำแนกตามสมมาตรของดอก (Floral symmetry) แบง่ เป็น 2 ชนิด คือ
3.1 ดอกสมมาตรตามรัศมี (regular flower หรือ actinomorphic flower) คือ
ดอกที่เมื่อแบ่งผ่านศูนย์กลางแล้วจะได้ 2 ส่วนที่เหมือนกันทุกประการทุกระนาบ เรียก
สมมาตรของดอกแบบนี้ว่า สมมาตรตามรัศมี (radial symmetry) เช่น ดอกทานตะวัน
ดอกพุดตาน ดอกบวั สาย ดอกบานเชา้ (ภาพท่ี 30)
ภาพที่ 30 ดอกสมมาตรตามรัศมขี องดอกบานเชา้
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
84
3.2 ดอกสมมาตรด้านข้าง (irregular flower หรือ zygomorphic flower) คือ
ดอกท่เี ม่ือแบ่งผา่ นศนู ยก์ ลางแล้วจะได้ 2 สว่ นทีเ่ หมือนกนั ทกุ ประการเพยี งระนาบเดยี ว เรียก
สมมาตรของดอกแบบนี้ว่า สมมาตรด้านข้าง (bilateral symmetry) เช่น ดอกแค ดอก
กลว้ ยไม้รองเท้านารี (ภาพที่ 31)
ภาพที่ 31 ดอกสมมาตรดา้ นข้างของดอกกล้วยไม้รองเทา้ นารี
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด , 2561 : ถ่ายภาพ
4. จำแนกตามจำนวนดอกต่อกา้ นดอก แบง่ เป็น 2 ชนิด คอื
4.1 ดอกเดี่ยว (solitary flower) เป็นดอกที่มีเพียงดอกเดยี วต่อหนึ่งกา้ นดอก เช่น
ดอกชบา ดอกพู่ระหง ดอกพดุ ตาน (ภาพที่ 32)
ภาพที่ 32 ดอกเด่ียวของดอกพดุ ตาน
ทม่ี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
85
4.2 ช่อดอก (inflorescence) เป็นกลุ่มของดอกที่มีดอกย่อยมากกว่าหนึ่งดอกอยู่
บนกา้ นช่อดอกเดียวกัน เชน่ ดอกตะแบก ดอกมะมว่ ง ดอกจามจุรี ดอกกลว้ ยไม้
4.2.1 สว่ นประกอบของชอ่ ดอก
ลกั ษณะท่วั ไปของช่อดอก (ภาพท่ี 33) ประกอบด้วย
1) ก้านช่อดอก (peduncle) เป็นก้านของช่อดอก มีดอกย่อย
มากกวา่ 1 ดอกตดิ อยู่
2) แกนกลางช่อดอก (rachis) เป็นแกนกลางทีต่ ิดของดอกย่อย
3) ก้านดอกย่อย (pedicel) เปน็ กา้ นของดอกย่อยในช่อดอก พืชแต่
ละชนิดอาจมีหรือไมม่ กี ็ได้
4) ใบประดบั ย่อย (bracteole) เปน็ ใบประดับของดอกยอ่ ย พชื แต่
ละชนดิ อาจมีหรอื ไม่มีกไ็ ด้
5) ดอกย่อย (floret) เปน็ ดอกทอ่ี ยบู่ นชอ่ ดอก
ภาพท่ี 33 สว่ นประกอบของช่อดอก
ทม่ี า : ภาพชอ่ ดอกกลว้ ยไม้, 2561 : เว็บไซต์
86
4.2.2 ชนดิ ของช่อดอก (Inflorescence types)
ชอ่ ดอกแบง่ ออกเป็น 4 ชนดิ ยอ่ ย ได้แก่ ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ ช่อดอก
แบบกระจกุ ช่อดอกแบบผสม และช่อดอกแบบพเิ ศษ ดงั นี้
1) ช่อดอกแบบช่อกระจะ (racemose type) เป็นช่อดอกทีด่ อกยอ่ ย
ดา้ นลา่ งสุดเกิดกอ่ นและบานกอ่ นดอกที่ปลายช่อ หรือดอกย่อยดา้ นข้างเกิดก่อนและบานก่อน
ดอกย่อยทีด่ า้ นในเขา้ ไปถึงกลางดอก แบง่ ย่อยได้ ดังน้ี
1.1) ช่อกระจะ (raceme) เปน็ ช่อดอกทม่ี แี กนกลางยาว ดอก
ย่อยมีกา้ นดอกย่อยยาวเกอื บเท่ากนั ดอกยอ่ ยด้านล่างบานก่อนดอกยอ่ ยด้านบน เชน่ ชอ่ ดอก
กล้วยไม้ ช่อดอกกมุ่ น้ำ ช่อดอกหางนกยูงไทย (ภาพที่ 34)
ภาพท่ี 34 ช่อกระจะของดอกหางนกยูงไทย
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.2) ชอ่ เชิงลด (spike) เป็นช่อดอกที่มีแกนกลางชอ่ ดอกยาว
ดอกยอ่ ยท่โี คนช่อบานก่อนดอกยอ่ ยที่ปลายชอ่ คล้ายช่อกระจะ แตด่ อกย่อยไม่มีก้านดอกย่อย
เช่น ช่อดอกกระถินณรงค์ ชอ่ ดอกแปรงลา้ งขวด (ภาพที่ 35)
87
ภาพที่ 35 ชอ่ เชงิ ลดของดอกแปรงลา้ งขวด
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
1.3) ช่อเชิงลดมีกาบ (spadix) เป็นชอ่ ดอกทม่ี แี กนกลางอวบ
เป็นเน้อื ดอกยอ่ ยไมม่ ีกา้ นดอกย่อย มใี บประดับขนาดใหญ่ (spath) รองรบั ชอ่ ดอก เช่น ช่อ
ดอกบอนสี ชอ่ ดอกหน้าววั (ภาพท่ี 36)
ภาพท่ี 36 ชอ่ เชิงลดมีกาบของดอกหนา้ ววั
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
88
1.4) ช่อหางกระรอก (catkin) เป็นช่อดอกที่แกนกลางยาว
ก้านดอกยอ่ ยส้ันหรอื ไม่มี ดอกยอ่ ยมีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบดอก มีเพยี งเพศเดยี ว ช่อดอกมักจะ
ห้อยลง เชน่ ชอ่ ดอกมะไฟ ช่อดอกหางกระรอกแดง (ภาพที่ 37)
ภาพที่ 37 ช่อแบบหางกระรอกของดอกหางกระรอกแดง
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด , 2561 : ถ่ายภาพ
1.5) ช่อเชิงหลั่น (corymb) เป็นช่อดอกท่ีมีแกนกลางยาว
ดอกย่อยออกสลับทั้ง 2 ข้างของแกน โดยดอกล่างสุดมีก้านยาวที่สุดและลดหลั่นกันไปเป็น
ลำดับ ทำใหด้ อกยอ่ ยทุกดอกขึ้นไปอย่ใู นระดับเดยี วกนั หมด การบานจะเรมิ่ จากดอกทอ่ี ยูน่ อก
สดุ เขา้ ไปหากลางช่อ เช่น ช่อดอกขีเ้ หลก็ ไทย (ภาพที่ 38)
ภาพท่ี 38 ชอ่ เชงิ หลัน่ ของดอกข้เี หล็กไทย
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
89
1.6) ช่อแยกแขนง (panicle) เป็นช่อดอกที่แกนกลางของ
ช่อแตกแขนงย่อยซ้อนกันหลายช้ัน อาจเป็นช่อเชิงลด ช่อกระจะ หรือช่อเชงิ หลั่น ผสมกันใน
ชอ่ ดอก เช่น ช่อดอกหางนกยงู ฝรงั่ ชอ่ ดอกอนิ ทนลิ นำ้ (ภาพที่ 39)
ภาพที่ 39 ชอ่ แยกแขนงของดอกอินทนิลนำ้
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
1.7) ช่อซี่ร่ม (umbel) เป็นช่อดอกที่มีดอกย่อยออกจากจุด
เดียวกัน ก้านดอกย่อยยาวเกือบเท่ากัน เช่น ช่อดอกนมตำเลีย ช่อดอกพลับพลึง ช่อดอก
กยุ ชา่ ย (ภาพที่ 40)
ภาพท่ี 40 ช่อซ่ีร่มของดอกกุยช่าย
ท่ีมา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
90
1.8) ชอ่ ซร่ี ม่ เชิงประกอบ (compound umbel) เปน็ ช่อดอก
แบบชอ่ ซร่ี ่มที่มกี ารแตกแขนงเปน็ ช่อซ่ีร่มซอ้ นขึน้ มาอีกช้นั เชน่ ช่อดอกผกั ชีลอ้ ม ชอ่ ดอกผักชี
(ภาพท่ี 39)
ภาพท่ี 41 ช่อซร่ี ่มเชงิ ประกอบของดอกผกั ชี
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.9) ช่อกระจุกแน่น (head) เป็นช่อดอกที่แกนกลางช่อดอก
อวบหนา รูปร่างกลม ดอกย่อยเรียงแน่นรอบแกนกลาง ช่อดอกเป็นทรงกลม เช่น ดอกกระถิน
ดอกบานไมร่ ้โู รย (ภาพที่ 42) และหมายรวมถึงช่อดอกของพืชวงศ์ทานตะวัน ท่ีชอ่ ดอกมี ดอก
ย่อยเรียงบนฐานรองดอกที่พองออกหรือแผ่กว้าง และไม่มี ก้านดอกย่อย ซึ่งมักจะ
ประกอบด้วยดอกวงนอก และดอกวงใน โดยมีวงใบประดับรองรับ ทั้งช่อมีลักษณะคล้าย
ดอกเด่ยี ว ไดแ้ ก่ ดอกของพืชในวงศ์ทานตะวัน เชน่ ดอกบานช่ืน ดอกทานตะวนั เม็กซโิ ก (ภาพ
ท่ี 43)
ภาพท่ี 42 ช่อกระจุกแน่นของดอกบานไม่รู้โรย
ทีม่ า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
91
ภาพท่ี 43 ช่อกระจุกแน่นของดอกทานตะวนั เม็กซโิ ก
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2) ช่อดอกแบบช่อกระจุก (cymose type หรือ determinate type)
เป็นช่อดอกที่ดอกย่อยปลายสุดเกิดก่อนและบานก่อนดอกที่โคนช่อ หรือดอกตรงกลางเกิด
กอ่ นและบานก่อนดอกด้านขา้ ง ชอ่ ดอกแบบนแ้ี บง่ ย่อย ไดด้ งั นี้
2.1) ช่อกระจุก (simple dichasium) เป็นช่อดอกที่มี ดอก
ย่อย 3 ดอก ดอกตรงกลางบานก่อนดอกดา้ นข้าง เช่น ดอกมะลิ ดอกมะลลิ า (ภาพท่ี 44)
ภาพท่ี 44 ช่อกระจกุ ของดอกมะลิลา
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
92
2.2) ช่อกระจุกเชิงซ้อน (compound dichasium) เป็นช่อดอก
แบบช่อกระจุกที่มีการแตกของทางด้านข้างเป็น 2 หรือ 3 ชั้น เช่น ดอกเข็ม ดอกต้อยติ่งฝร่ัง
ดอกหนมุ านนัง่ แทน่ (ภาพที่ 45)
ภาพที่ 45 ช่อกระจกุ เชิงซ้อนของดอกหนมุ านนัง่ แท่น
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
2.3) ช่อกระจุกด้านเดียวเดี่ยว (monochasium) เป็นช่อดอก
ทม่ี กี ารเจริญออกไปทางด้านข้างเพยี งด้านเดยี ว เนือ่ งจากตำแหน่งของดอกข้างหนึ่งไม่เจริญเป็น
ดอกตามปกติ แต่เจริญเปน็ แขนงชอ่ ดอกแทน เช่น ดอกผกั บงุ้ (ภาพท่ี 46)
ภาพที่ 46 ช่อกระจุกดา้ นเดยี วเดยี่ วของดอกผักบุ้ง
ท่มี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
93
2.4) ช่อวงแถวเดี่ยว (cincynnous หรือ helicoid cyme)
เป็นช่อกระจุกดา้ นเดีย่ วชนิดประกอบ (compound monochasium) มีดอกย่อยที่ปลายสุด
บานก่อน ดอกย่อยออกด้านเดยี วทำใหด้ อกโคง้ เขา้ หาชอ่ ดอก เช่น ดอกงวงชา้ ง (ภาพท่ี 47)
ภาพที่ 47 ชอ่ วงแถวเดยี่ วของดอกงวงชา้ ง
ทม่ี า : ภาพช่อดอกงวงชา้ ง, 2561 : เวบ็ ไซต์
2.5) ช่อวงแถวคู่ (scorpioid cyme) ช่อดอกที่ก้านดอกย่อยมี
ลักษณะซิกแซก ดอกย่อยออกตรงข้ามเรียงสลับในแนวระนาบ เช่น ดอกรำเพย ดอกคลุ้ม
(ภาพท่ี 48)
ภาพท่ี 48 ช่อวงแถวคู่ของดอกคล้มุ
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2556 : ถ่ายภาพ
94
3) ช่อดอกแบบผสม (mixed type) เป็นช่อดอกที่มีการเจริญของ
ดอกมากกว่าหนึ่งแบบในช่อเดียวกัน อาจเป็นช่อแบบกระจุกผสมกับช่อแบบกระจะรวมกัน
ได้แก่
3.1) ช่อกระจุกแยกแขนง (thryse) เป็นช่อดอกที่มีแกนกลาง
ช่อเป็นช่อแบบช่อกระจะ แต่แตกแขนงเป็นช่อแบบช่อกระจุก เช่น ดอกข่า ดอกพุทธรักษา
ดอกบานบุรี (ภาพท่ี 49)
ภาพที่ 49 ชอ่ กระจกุ แยกแขนงของดอกบานบุรี
ท่ีมา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
3.2) ช่อฉัตร (verticillate cyme) เป็นช่อดอกที่มีดอกย่อย
เรียงเป็นวงรอบข้อ ดอกย่อยด้านล่างบานก่อนดอกย่อยด้านบน เช่น ดอกหญ้าหนวดแมว
ดอกกะเพรา ดอกโหระพา (ภาพที่ 50)
ภาพที่ 50 ช่อฉตั รของดอกกระเพรา
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
95
4) ช่อดอกแบบพิเศษ นอกจากนี้ยังมีช่อดอกบางประเภทที่มี
ลักษณะพิเศษแตกตา่ งจากช่อดอกอนื่ ๆ ได้แก่
4.1) ช่อรูปถ้วย (cyathium) ลักษณะคล้ายดอกเดี่ยว มีวงใบ
ประดับคล้ายรูปถ้วย มีสีสันสวยงาม กลางช่อดอกมีดอกเพศเมีย 1 ดอกที่กลีบเลี้ยงและกลีบ
ดอกลดรปู เหลอื เพียงเกสรเพศเมยี ล้อมรอบด้วยดอกเพศผจู้ ำนวนมาก ซ่งึ กลบี เลย้ี งและกลีบ
ดอกลดรปู เหลือเพยี งเกสรเพศผู้ เช่น ดอกครสิ ต์มาส ดอกโปย๊ เซียน (ภาพท่ี 51)
ภาพท่ี 51 ช่อรูปถว้ ยของดอกโป๊ยเซยี น
ก. ใบประดบั
ข. ดอกยอ่ ยเพศผูแ้ ละดอกยอ่ ยเพศเมยี
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
4.2) ช่อไฮแพนโทเดียม (hypanthodium) เป็นช่อดอกท่ี
แกนกลางช่อดอกอวบน้ำ บวมพองออก รูปร่างคล้ายผล มีรูหรือช่องเปิดเล็กๆ ด้านบน
ภายในมีดอกยอ่ ยจำนวนมาก อาจพบท้งั ดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย หรือพบเพยี งเพศใดเพศ
หนึ่งก็ได้ เป็นลักษณะช่อดอกของพืชสกลุ ไทร (Ficus) เช่น ไทร มะเดื่อปลอ้ ง มะเดื่ออุทมุ พร
(ภาพที่ 52)
ภาพท่ี 52 ช่อไฮแพนโทเดียมของมะเดอื่ อทุ ุมพร
ก. ช่อดอก
ข. ดอกย่อยเพศเมีย
ทม่ี า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
96
บทท่ี 6
โครงสร้างภายนอกของพืชดอก : ผลและเมลด็
ผล (fruit) คอื รังไข่ที่เจรญิ เปลยี่ นแปลงไปหลงั การปฏิสนธิ (fertilization) ของเซลล์
สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย ภายในมีเมล็ดซึ่งเจริญมาจากออวุล ( ovule) การ
เจริญของรังไข่มาเป็นผล อาจมีส่วนอื่นๆ ของดอกเจริญติดมาเป็นผลด้วย เช่น ฐานรองดอก
กลีบเลย้ี ง หรอื กลีบดอก
ส่วนประกอบของผล
ผล (ภาพท่ี 1) ประกอบดว้ ย
1. ผนงั ผล (pericarp) เปน็ ส่วนทเ่ี จริญมาจากผนงั รงั ไข่ ประกอบด้วย
1.1 ผนงั ผลชนั้ นอก (exocarp) เปน็ ผนงั ชัน้ นอกสดุ ทำหนา้ ท่เี ป็นผิวของผล
1.2 ผนังผลชั้นกลาง (mesocarp) ผนังชั้นนี้อาจอ่อนนุ่มหรือเป็นเส้นใยในผล
บางชนดิ
1.3 ผนังผลชั้นใน (endocarp) ผนังชั้นนี้เปลี่ยนแปลงได้หลายแบบ บางชนิด
ค่อนขา้ งบาง บางชนิดเปน็ เส้นใยเหนียว บางชนดิ แข็งเปน็ ไม้ บางชนิดมีลกั ษณะออ่ นนุ่ม
2. เมล็ด (seed) เปน็ สว่ นท่ีเจริญมาจากออวุล
ก้านผล
เมลด็
ผนังผลชัน้ ใน
ผนงั ผลชน้ั กลาง
ผนังผลชน้ั นอก
ภาพท่ี 1 สว่ นประกอบของผล
ท่มี า : ภาพสว่ นประกอบของผล, 2561 : เว็บไซต์
97
ชนดิ ของผล
การจำแนกชนดิ ของผล พิจารณาจากจำนวนเกสรเพศเมียในดอก จำนวนดอกที่เจริญ
มาเป็นผลหนึง่ ผล และลักษณะของผนงั ผล สามารถจำแนกได้ ดงั นี้
1. ชนดิ ของผลพจิ ารณาจากสว่ นของดอกทเ่ี จริญมาเป็นผล ได้แก่
1.1 ผลแท้ (true fruit) เป็นผลที่เจริญมาจากรังไข่เปลี่ยนแปลงมาเป็นผล
อาจมีกลบี เล้ยี งตดิ มาจนผลแก่ เช่น ผลกระเจีย๊ บแดง ผลฝรั่ง ผลมะม่วง (ภาพท่ี 2)
ภาพท่ี 2 รงั ไข่และผลแทข้ องมะม่วง ก. รังไข่ ข. ผลมะละกอ
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถา่ ยภาพ
1.2 ผลเทียม (false fruit) เป็นผลทเ่ี จรญิ มาจากส่วนอ่นื ๆ ของดอก เช่น ฐานรอง
ดอก เชน่ ผลแอปเปิ้ล ผลมะมว่ งหมิ พานต์ (ภาพที่ 3)
ภาพท่ี 3 ดอกและผลเทยี มของมะมว่ งหิมพานต์ ก. ดอก ข. ผล
ท่มี า ก : ภาพดอกมะม่วงหมิ พานต,์ 2561 : เวบ็ ไซต์
ท่มี า ข : ภาพผลมะมว่ งหิมพานต์, 2561 : เวบ็ ไซต์
98
2. ชนดิ ของผลพจิ ารณาจากจำนวนดอกทเ่ี จรญิ มาเป็นผล 1 ผล
2.1 ผลเดี่ยว (simple fruit) เป็นผลทีเ่ จริญมาจากดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ ที่ดอก
หรือดอกย่อย 1 ดอกทมี่ เี พียง 1 รังไขเ่ ท่าน้ัน เช่น ผลมะนาว ผลมงั คุด ผลตำลงึ (ภาพที่ 4)
ภาพท่ี 4 ดอกและผลเดีย่ วของตำลึง ก. ดอก ข. ผล
ที่มา : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถา่ ยภาพ
2.2 ผลกลุ่ม (aggregate fruit) เป็นผลที่เจริญจากดอกที่มีหลายรังไข่แยกกัน
เกิดเป็นผลหลายผลติดกันเป็นกลุม่ หรือผลแยกกัน เช่น ผลน้อยหน่า ผลสตรอเบอรี่ ผลจำปี
(ภาพที่ 5)
ภาพท่ี 5 ดอกและผลกลุ่มของการเวก ก. ดอก ข. ผลกล่มุ
ทมี่ า : กาญจนา คงเอยี ด, 2561 : ถ่ายภาพ
99
2.3 ผลรวม (multiple fruit) เปน็ ผลท่เี จริญจากดอกชอ่ หลายดอกหลายรงั ไขท่ ่ี
อยูต่ ิดกนั รวมกนั เปน็ ผลเดียว เช่น ผลสบั ปะรด ผลขนุน (ภาพท่ี 6)
ภาพท่ี 6 ช่อดอกและผลรวมของขนนุ ก. ช่อดอก ข. ผล
ท่มี า : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ
3. ชนิดของผลพจิ ารณาจากลักษณะของผนงั ผลเมื่อแกห่ รือสุกเต็มที่ แยกเปน็ ผล
ชนดิ ต่างๆ ดงั นี้
3.1 ผลสด (freshy fruit) เปน็ ผลทีม่ ผี นงั ผลออ่ นนุ่ม
3.1.1 ผลมีเนื้อหนึ่งถึงหลายเมล็ด (berry) ผลที่ผนังชั้นนอกบาง อ่อนนุ่ม
ผนังชัน้ กลางและผนังช้นั ในอ่อนนุม่ มีเมล็ดจำนวนมาก เชน่ ผลมะละกอ ผลมะเขอื เทศ (ภาพ
ท่ี 7)
ภาพท่ี 7 ผลมีเนอื้ หนึง่ ถงึ หลายเมล็ดของมะเขอื เทศ
ที่มา : กาญจนา คงเอียด, 2561 : ถ่ายภาพ