Jacques, Claude. (Ed.). (1995). Études Épigraphiques Sur Le Pays
Cham de Finot, Louis, Édouard Huber, George Cædès et Paul
Mus. EFEO: Paris.
ภาษาเวียดนาม
Griffiths, Arlo, Amandine Lepoutre, William A. Southworth and
Thành Phần. (2012). Văn Khắc Chămpa Tại Bảo Tàng Ðiêu Khắc
Chăm- Dà Nẳng [ The Inscriptions of Campā at the Museum of
Cham Sculpture in Dà Nẳng] . Ho Chi Minh City: VNU- HCM
Publishing House and Center for Vietnamese and Southeast
Asian Studies, and Hanoi: École française d'Extrême-Orient.
189
บทความวจิ ยั
วัจนกรรมการพดู ปลอบใจของผูเ้ รียนภาษาเกาหลีชาวไทย
A Study on the Consolation Speech Acts
in Korean of Thai Learners
อิสรยิ า พาท1ี
Isariya Patee
บทคัดยอ่
งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการใช้วัจนกรรมการปลอบใจ
ของผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวไทย (TKL) โดยเปรียบเทียบกับการใช้
ภาษาไทยของคนไทย (TNS) และการใช้ภาษาเกาหลีของคนเกาหลี (KNS)
และนาผลทีไ่ ด้มาวิเคราะห์ว่าแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะอย่างไร มีความ
แตกต่างด้านการใช้กลวิธีในแต่ละสถานการณ์และแต่ละระดับทางสังคม
อย่างไร งานวิจัยนี้พบว่าทัง้ สามกลุม่ ใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ มากที่สุด กลุ่ม
KNS มีแนวโน้มใช้กลวิธี ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’ มากกว่ากลุ่ม TKL
และ TNS ส่วนคนไทยทั้งสองกลุ่มมีแนวโน้มใช้กลวิธี ‘ทาให้สบายใจ’
มากกว่าคนเกาหลี ทั้งนี้ ระดับทางสังคมไม่ได้สง่ ผลต่อการเลือกใช้กลวิธี
มากนักในภาพรวม ผู้สอนภาษาเกาหลีสามารถนาข้อมูลที่ได้จาก
ผลการวิจัยนีม้ าปรับใช้ในการสอนภาษาเกาหลีเพื่อให้การพดู ปลอบใจของ
ผู้เรยี นภาษาเกาหลชี าวไทยมคี วามใกล้เคยี งกับเจ้าของภาษามากข้นึ
1 อาจารย์, สาขาวิชาภาษาเกาหลี ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, E-mail : [email protected]
190
คาสาคัญ : วัจนกรรม, การปลอบใจ, ภาษาเกาหลี, ผู้เรียนภาษาเกาหลี
ชาวไทย, การเรยี นการสอนภาษาเกาหลี
Abstract
The aim of this study is to examine the distinctive
characteristics of consolation speech acts used by Thai Korean
learners (TKL), Thai native speakers (TNS), and Korean native
speakers (KNS), focusing on the strategies they used in different
situations and with people in different social levels. The result
shows that the three groups all used the 'suggestion' strategy
the most. KNS tend to use ‘expressing sympathy’ strategy more
than TKL and TNS, while the Thais tend to use ‘reassuring’
strategy more than the Koreans. Different social levels do not
significantly affect the strategies used. Korean language teachers
may use the findings in this research to improve language
teaching, so that the consolation speech acts of the Thai Korean
language learners would become closer to the native speakers.
Keywords : speech acts, consolation, Korean Language, Thai
Learners of Korean language, Korean Education
191
1. ความสาคัญของปัญหาและวัตถุประสงคง์ านวจิ ัย
วิธีการใช้ภาษากับการใช้วัจนกรรมนั้นมีลักษณะเฉพาะทาง
วฒั นธรรมผสมผสานอยู่ (이재희 외, 2011, p.137) กลา่ วคอื การแสดงออก
ทางวจั นกรรมในแต่ละประเทศและแตล่ ะวฒั นธรรมนน้ั มคี วามแตกต่างกัน
ด้วยความแตกต่างนี้เองจึงส่งผลให้เกิดปัญหาในการสื่อสารได้ ในหนังสอื
เรยี นภาษาเกาหลียังมเี น้ือหาเกยี่ วกับสถานการณ์แสดงการปลอบใจไม่มาก
นัก2 (황유진, 2011, p. 5) ทาให้เม่อื ผูเ้ รยี นภาษาเกาหลีอยใู่ นสถานการณ์
ที่ต้องแสดงการปลอบใจจึงประสบปัญหาในการสื่อสารและมีความกังวล
เพราะไม่รู้ว่าต้องพูดปลอบใจคู่สนทนาอย่างไร ผู้เรียนภาษาเกาหลีไม่
เพียงแต่จะต้องรู้คาศัพท์และไวยากรณ์ แต่ยังต้องมีความรู้ในด้าน วัจน
ปฏบิ ัติศาสตร์3อีกด้วย หากปลอบใจด้วยคาพดู ทีไ่ ม่เหมาะสมจะทาให้ผู้ฟัง
เสียความรู้สึกหรือทาให้ผู้ฟงั เข้าใจจุดประสงค์ของผู้พดู ผิดไปในทางลบได้
เมื่อเจ้าของภาษาเห็นว่าผู้เรียนภาษาเกาหลีใช้ภาษาในเชิงวัจนปฏิบัติ
ศาสตร์ไม่ถูกต้อง หลายคนอาจไม่ได้มองว่าเป็นเพราะผู้พูดขาดความรู้
ภาษาเกาหลี แต่จะเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะผู้พูดเป็นคนที่มีปัญหาด้าน
อปุ นิสยั หรือทศั นคติ (이해영, 2009, p. 226) จึงเห็นไดว้ ่ามคี วามจาเป็นท่ี
จะต้องศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของการใช้วัจ
2 ฮวังยูจิน (황유진, 2011, p. 5) กล่าวว่า จากการสารวจหนังสือเรียนภาษาเกาหลี
ของมหาวิทยาลัยย็อนเซ (연세 한국어) เล่ม 1-6 มหาวิทยาลัยโซล (서울대 한국어)
เลม่ 1-4 มหาวทิ ยาลัยสตรีอีฮวา (말이 트이는 한국어) เลม่ 1-5 ปรากฏวา่ สถานการณ์
เกย่ี วกับการปลอบใจในหนงั สือเรียนนัน้ มีจานวนจากัดและสถานการณ์ไมห่ ลากหลาย
3 วัจนปฏิบตั ิศาสตร์ (pragmatics) หมายถึง การศกึ ษาการใช้ภาษาในบริบททาง
สังคมโดยเน้นทเี่ จตนาของผใู้ ชภ้ าษาเป็นสาคัญ (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2553, หน้า 350)
192
นกรรมการพูดปลอบใจของผูเ้ รยี นภาษาเกาหลีระดบั สงู ชาวไทยกับการใช้
ภาษาไทยของคนไทยและการใช้ภาษาเกาหลีของคนเกาหลี เพื่อเป็น
ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาเกาหลีเกี่ยวกับวัจนธรรมการพูด
ปลอบใจให้แก่ผู้เรียนชาวไทย เพื่อให้ผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวไทยได้
ระมดั ระวงั การพดู ทีแ่ สดงออกถึงอทิ ธิพลของภาษาแม่ (ภาษาไทย)
งานวิจัยเก่ียวกับวัจนกรรมการปลอบใจในภาษาไทยของชาวไทย
ที่พบสว่ นใหญเ่ ปน็ งานวิจัยเกี่ยวกับสถานการณท์ ี่เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น
กลวิธีการปลอบโยนผู้ป่วยท่ีได้รับการรักษาด้วยเคมีบาบัดของพยาบาล
(รัศมี รักงาม และอมุ าภรณ์ สังขมาน, 2559) วัจนกรรมในการให้คาปรกึ ษา
เรื่องความรักในคอลัมน์คนดังนัง่ เขียนของดีเจพี่ออ้ ย (ณัฐวดี คมประมลู ,
จริญญา ธรรมโชโต, และพัชลนิ จ์ จีนนุ่น, 2561) ส่วนชุติกาญจน์ บุญอยู่
(2561) ได้วิจัยเรื่องกลวิธีการพูดปลอบใจ กรณีศึกษานักศึกษา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยไดศ้ กึ ษาในกรณีทผี่ พู้ ูด
มีสถานภาพเปน็ เพอื่ นกับผ้ฟู งั
งานวจิ ัยเก่ียวกบั วจั นกรรมการปลอบใจในการเรยี นการสอนภาษา
เกาหลีส่วนใหญ่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวจีน (황유진,
2011; 박햇님, 2012; 신혜진, 2014) การศึกษาเปรียบเทียบวัจนกรรมการ
ปลอบใจของภาษาเกาหลกี บั ภาษาจีน (우월, 2019) งานวิจยั วัจนกรรมการ
ปลอบใจท่กี ลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ ผเู้ รียนภาษาเกาหลรี ะดบั สงู ชาวญี่ปนุ่ (김진주,
2018) นอกจากน้ี พักฮยงั ชุนและยงั มย็องฮี ( ,박향춘∙양명희 2019) ไดว้ ิจัย
เกี่ยวกับวจั นกรรมการปลอบใจเพื่อการเรียนการสอนภาษาเกาหลีโดยใช้
กลุ่มตวั อย่างเปน็ คนเกาหลีผู้เป็นเจ้าของภาษากรณพี ูดคยุ กบั เพ่อื นสนทิ
193
งานวจิ ยั เกีย่ วกับวัจนกรรมในการใช้ภาษาเกาหลีของผูเ้ รียนภาษา
เกาหลชี าวไทยส่วนใหญเ่ ป็นงานวิจยั เกีย่ วกบั วัจนกรรมการปฏิเสธ (윤경원
2017; 이용희 2017; 황선영 외, 2018; 황선영 외 2019) ส่วนวัจนกรรม
การขอรอ้ งนนั้ มีงานวจิ ยั วัจนกรรมการขอร้องของผเู้ รียนภาษาเกาหลีชาว
ไทย (수파펀 분룽, 2007) และงานวิจัยเรื่องการรับรู้ของผู้เรียนภาษา
เกาหลีชาวไทยเกี่ยวกับความเหมาะสมในวัจนกรรมการขอร้อง (이해영,
2010) นอกจากนีย้ ังมีงานวจิ ัยวจั นกรรมการชมเชยของผู้เรียนภาษาเกาหลี
ชาวไทย (Sirirat, 2015; 여희민, 2019) วัจนกรรมการขอโทษของผู้เรียน
ภาษาเกาหลชี าวไทย (Phengsomboon, 2015; 이해영 외, 2016) และวัจ
นกรรมการแสดงความไม่พอใจ ( ,타나폰 빠리깜신 2019) แต่ยังไม่พบ
งานวจิ ัยเกย่ี วกบั วัจนกรรมการปลอบใจของผ้เู รยี นภาษาเกาหลีชาวไทย
ในงานวิจัยนีจ้ ะวิเคราะห์กลวิธีการใช้วจั นกรรมการปลอบใจของ
ผู้เรยี นภาษาเกาหลรี ะดับสูงชาวไทย โดยเปรยี บเทียบกบั การใช้ภาษาไทย
ของคนไทยและการใช้ภาษาเกาหลีของคนเกาหลี และวิเคราะห์
ลกั ษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มตัวอยา่ ง โดยศกึ ษาวา่ กลวธิ กี ารปลอบใจของ
ผเู้ รียนภาษาเกาหลีชาวไทยในสถานการณ์หรือบริบทใดท่ีใกล้เคียงกับการ
ใช้ภาษาไทยของเจ้าของภาษาไทย และในสถานการณ์หรือบริบทใดที่มี
ความใกลเ้ คยี งกบั การใชภ้ าษาเกาหลขี องเจา้ ของภาษาเกาหลี
2. กรอบแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง
2.1 แนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวกบั วจั นกรรมการพูดปลอบใจ
วัจนกรรม (speech acts) หมายถึง การกระทาด้วยคาพูดซ่ึง
จาแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามเจตนาของผู้พูด เช่น บอกเล่า สัญญา
194
ขอร้อง สั่ง ถาม ตัวอย่างวจั นกรรมสัญญา เช่น “ผมสัญญาวา่ จะใชห้ น้คี นื
คุณภายในสิ้นเดือนน้ี” วัจนกรรมขอร้อง เช่น “ช่วยส่งหนงั สือให้หนอ่ ย”
(ราชบณั ฑิตยสถาน 2553, หน้า 424-425) ออสตนิ (Austin 1962, p.150)
ได้แบ่งประเภทของถ้อยคา (classes of utterance4) ตามพลังวจั นกรรม
ปฏิบัติ (illocutionary force5) ออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ การกล่าว
ตัดสิน (verdictives) การกล่าวแนะนา (exercitives) การกล่าวผูกมัด
(commissives) การกล่าวแสดงอาการ (behabitives) และการกล่าว
แสดงเหตุผล (expositives) หลังจากนั้น เซอร์ล (Searle, 1969, pp.12-
20) ได้นาทฤษฎีวัจนกรรมมาพัฒนา โดยแบ่งประเภทเป็น 5 ประเภท
ได้แก่ การบอกกล่าว (assertives) การชี้นา (directives) การผูกมัด
(commissives) การแสดงความรูส้ ึก (expressives) และการแถลงการณ์
(declarations)
4 utterance หมายถงึ ถ้อยคา เปน็ คาพดู ท่ีพูดโดยคนใดคนหนึ่งในช่วงระยะเวลาใด
เวลาหนง่ึ ซงึ่ นาหน้าและตามหลังด้วยความเงียบของผู้พูดคนน้ัน ๆ หรอื ตามหลังด้วย
การผลัดเปลี่ยนผู้พูด ถ้อยคานั้นหมายถึง วลี ประโยค หรือสัมพันธสารก็ได้
(ราชบณั ฑติ ยสถาน 2553, หน้า 478)
5 พลังวจั นกรรมปฏิบตั ิ (illocutionary force) มคี วามเก่ียวข้องกับวัจนกรรมปฏิบัติ
(illocutionary act) ซึ่งวจั นกรรมปฏิบัติ หมายถงึ การกระทาโดยการกล่าวถ้อยคาท่ี
มพี ลังวัจนกรรมปฏบิ ตั ิท่ีแสดงเจตนาหรือความตั้งใจของผพู้ ูด ในการกล่าวถ้อยคาแต่
ละถอ้ ยคา ถอ้ ยคาท่ีกลา่ วออกมาในสถานการณ์ตา่ งกันอาจจะมีพลังวัจนกรรมปฏิบัติ
ท่ีแตกต่างกัน ทาใหเ้ กดิ พลังวัจนกรรมที่แตกต่างกนั ไปด้วย เช่น เมอ่ื ผพู้ ดู พดู ว่า “I’ll
see you later” ถ้อยคานี้สามารถตีความได้วา่ ผู้พูดคาดว่าจะไดพ้ บกันอีก หรือผู้พูด
สัญญาว่าจะมาพบอีก หรือผู้พูดขู่ว่าจะมาพบอีก (ราชบัณฑิตยสถาน 2553, หน้า
200)
195
ทรงธรรม อินทจักร (2550, หน้า 46-47) ได้กาหนดให้การพูด
ปลอบใจอยู่ในวัจนกรรมกลุ่มผูกมัด โดยให้เหตผุ ลว่าวัจนกรรมกลุ่มน้เี ป็น
การพูดท่ีเนน้ ตัวผู้พูดว่าต้องการแสดงเจตนาท่ีดีต่อผู้ฟัง จึงเปน็ การผูกมัด
ให้ผู้พูดเป็นฝ่ายกระทา ส่วนคิมซ็อนจี ,(김선지 2007, p.8) พักแฮ็ดนิม
(박햇님, 2012, p.10) ชินฮเยจิน (신혜진, 2014, p.10) และคิมจินจู
(김진주, 2018, p.10) ได้กาหนดให้วัจนกรรมการปลอบใจอยู่ในกลุ่มการ
แสดงความรู้สึก โดยให้เหตุผลว่า กลุ่มการแสดงความรู้สกึ หมายถึง ผู้พูด
กล่าวถ้อยคาบ่งบอกอารมณ์ ความรู้สึก หรือทัศนคคติของผู้พูด เช่น การ
ขอโทษ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความยินดี การชมเชย การขอบคุณ
ฯลฯ แต่ผู้วิจัยเห็นว่าการใช้วัจนกรรมการปลอบใจสามารถจัดอยู่ในกลมุ่
สามกลุ่มตามงานวิจยั ของชุติกาญจน์ บุญอยู่ (2561, หน้า 3) ได้แก่ กลมุ่
ผกู มัด กลุ่มช้นี า และกลมุ่ แสดงความรสู้ ึก เนอื่ งจากในสถานการณ์ที่มีการ
พดู ปลอบใจน้ัน ผู้พูดมแี นวโนม้ ในการแสดงวัจนกรรมออกมาท้งั การผูกมัด
การชนี้ า และการแสดงความรสู้ ึก กลา่ วคอื มีการใหค้ าแนะนาหรอื บอกให้
ผู้ฟังทาบางอย่างเพราะเห็นว่าจะช่วยให้ผูฟ้ งั คลายทุกข์ได้ หรือรับปากว่า
จะช่วยเหลือผู้ฟัง อีกทั้งมีการกล่าวถ้อยคาในลักษณะผูกมัดตัวผู้พูดว่า
พร้อมจะช่วยเหลือ รวมถึงการกล่าวแสดงความรู้สึกของผู้พูดเพื่อเป็น
กาลังใจใหผ้ ู้ฟังอกี ด้วย
ในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน,
2554) ไม่ระบุความหมายของคาว่า ‘การปลอบใจ’ แต่ได้ให้ความหมาย
ของคาว่า ‘ปลอบ’ หรือ ‘ปลอบโยน’ ว่าหมายถึงการพูดเอาอกเอาใจให้
คลายอารมณ์ขุ่นหมอง ส่วนพจนานุกรมภาษาเกาหลีมาตรฐาน
( ,국립국어연구원 1999) ได้ระบุว่า ‘การปลอบใจ (위로)’ หมายถึง การ
196
ช่วยบรรเทาความทุกข์หรือช่วยคลายความเศรา้ ดว้ ยคาพูดหรือการกระทา
ที่อบอุ่น ชุติกาญจน์ บุญอยู่ (2561, หน้า 1) ได้อ้างถึง ศักดา ปั้นเหน่ง
เพ็ชร์ (2547, หน้า 139-140) ว่า ‘การปลอบใจ’ คือ การพูดเพื่อช่วยให้
ผฟู้ ังรู้สกึ ดีขน้ึ คลายจากความทุกข์ เห็นไดว้ า่ การให้ความหมายของทั้งสาม
แหล่งนนั้ มีความสอดคล้องกันคือการพดู เพอื่ ใหผ้ ฟู้ งั คลายอารมณข์ ุ่นหมอง
บรรเทาความทุกข์ หรือคลายจากความทุกข์ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้กาหนด
นิยามของวัจนกรรมการปลอบใจโดยอ้างอิงคานิยามของทั้งสามแหล่งวา่
‘วัจนกรรมการปลอบใจ’ หมายถึง วัจนกรรมที่ผู้พูดช่วยให้ผู้ฟังคลาย
อารมณ์ขุน่ หมอง บรรเทาความทุกข์ หรือคลายจากความทุกข์
2.2 กลวธิ กี ารปลอบใจ
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้จาแนกกลวิธีการปลอบใจโดยอ้างอิง
งานวิจยั ของคมิ ซ็อนจี (김선지, 2007) ฮวงั ยูจนิ (황유진, 2011) พักแฮ็ดนมิ
(박햇님, 2012) ชินฮเยจิน (신혜진, 2014) อูว็อล (우월, 2019) และชุติ
กาญจน์ บุญอยู่ (2561) ในกลวิธีต่าง ๆ นั้นมีกลวิธี ‘ตักเตือน’ (김선지,
2007; 황유진, 2011; 박햇님, 2012; 신혜진, 2014) และ กลวธิ ี ‘น่งิ เงยี บ’
(황유진, 2011; 박햇님, 2012; 신혜진, 2014; 우월, 2019) อย่ดู ้วย แตเ่ ม่ือ
ดูตัวอย่างการใช้คาตักเตือน เช่น “조심했어야지 (ต้องระมัดระวังสิ)”
(박햇님, 2012, p.19) “조심하지그랬니. 다음부터 조심하렴(ควรระมัดระวงั
นะ คราวหน้าก็ระวังด้วย)” (우월, 2019, p.15) การพูดเช่นนี้เป็นการ
ตาหนิหรอื ตกั เตือนมากกวา่ การปลอบใจ จงึ ไมน่ บั ว่าเป็นกลวิธกี ารปลอบใจ
ในงานวิจัยนี้ และเนื่องจากงานวจิ ัยน้ีมุ่งวิเคราะหเ์ ฉพาะการใช้วัจนภาษา
197
จึงไม่จัดให้กลวิธี ‘นิ่งเงียบ’ ซึ่งเป็นการใช้อวัจนภาษาอยู่ในกลวิธีการพูด
ปลอบใจ งานวิจัยนี้จึงไดจ้ าแนกกลวธิ ีการปลอบใจไว้ดงั ตารางที่ 1
ตารางที่ 1 กลวธิ กี ารปลอบใจ
ที่ กลวธิ ี ตวั อยา่ ง
1 ชมเชย ภาษาเกาหลี ภาษาไทย
2 อวยพร
지금도 잘하고 있어. ตอนนีก้ ็เกง่ มากเลยนะ
3 พดู เลน่
4 เสนอแนะ 더 좋은 기회가 있길 바래. ขอให้ไดโ้ อกาสทด่ี ีกวา่ น้ี
5 ให้กาลงั ใจ
6 โทษอย่างอืน่ อกี
7 ให้ความสนใจ
8 ทาให้สบายใจ 죽을 일이 아니야. ไมถ่ งึ กบั ตายหรอกนา่
9 เปลีย่ นอารมณ์
10 เสนอการ 이 방법으로 하는 게 어때? ทาแบบนี้ดีไหม
ชว่ ยเหลือ 힘내. สู้ ๆ นะ
11 เน้นให้เห็นดา้ น
그 사람 때문이야. เพราะคนน้นั เลย
บวก
괜찮아? โอเคไหม
괜찮아요. ไม่เปน็ ไรนะ
술이나 마시러 가자. ไปดื่มเหล้ากนั
내가 도와줄게. ฉันจะชว่ ยเอง
좋은 경험이라고 생각해. ให้คดิ วา่ เป็น
ประสบการณ์ท่ดี นี ะ
198
12 ใชถ้ อ้ ยคา 삼가 고인의 명복을 빕니다. ขอแสดงความเสียใจ
สาเร็จรปู 6
ด้วย
13 ทาให้เปน็ เรื่อง
ธรรมดา7 회사 다니면 다 그래. ทางานทบ่ี รษิ ัทกเ็ ปน็
14 แสดงความรสู้ ึก แบบนแี้ หละ
เสียดาย
그동안 열심히 했는데 เสียดายจงั อุตส่าห์ตง้ั ใจ
15 แสดงความเห็น 아쉬워. มาตลอด
อกเห็นใจ
속상하겠다. คงรสู้ กึ แยม่ าก
16 พูดถึงสิง่ ท่ีดีใน
อนาคต 좋은 기회가 있을 거야 จะต้องมโี อกาสดี ๆ เข้า
실패는 성공의 어머니야 มาแน่
17 กล่าวโดยนัยด้วย ความพยายามอยทู่ ่ีไหน
สานวนสุภาษติ ความสาเรจ็ อยู่ทนี่ ั่น8
6 ‘ใชถ้ อ้ ยคาสาเรจ็ รปู ’ หมายถึง การกล่าวถ้อยคาทใี่ ช้กันเป็นรปู แบบหรือลักษณะ
เดยี วกันในสงั คมนั้น ๆ เช่น การกล่าวแสดงความเสยี ใจกับผสู้ ูญเสยี บุคคลอันเปน็ ทีร่ ัก
ในภาษาไทยกล่าวคาวา่ “ขอแสดงความเสยี ใจด้วย” ส่วนในภาษาเกาหลีกลา่ วคาว่า
“ ”삼가 고인의 명복을 빕니다.
7 ‘ทาให้เป็นเรือ่ งธรรมดา’ หมายถงึ การพูดให้ผฟู้ งั รสู้ ึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดข้นึ นั้นเปน็
เรอื่ งธรรมดาหรอื เป็นเร่อื งทเ่ี กดิ ขึ้นไดก้ บั ทุกคนเพ่ือใหผ้ ฟู้ งั รู้สึกปลอ่ ยวาง
8 เฉพาะขอ้ น้ีท่ตี วั อยา่ งของภาษาเกาหลีกับภาษาไทยมีความแตกต่างกันเน่อื งจากเป็น
การใช้สานวนสุภาษติ ซ่ึงเปน็ ลักษณะเฉพาะของทั้งสองภาษา แต่ได้เลือกสานวนที่มี
ความหมายไปในทิศทางเดยี วกัน คือ เก่ยี วข้องกบั ความสาเร็จ สานวนภาษาเกาหลีที่
ยกมาแปลความหมายได้ว่า “ความพา่ ยแพ้คอื มารดาแหง่ ความสาเร็จ”
199
18 เปรียบเทียบกับ 나도 그랬어. ฉันก็เคยเป็นแบบนน้ั
ประสบการณ์ของ
ตนเอง
3. วธิ ดี าเนินการวจิ ยั
3.1 คาถามวจิ ัย
(1) วัจนกรรมการปลอบใจของผู้เรียนภาษาเกาหลีระดับสูงชาว
ไทย เจ้าของภาษาชาวไทย และเจ้าของภาษาชาวเกาหลี มี
ลักษณะเฉพาะอย่างไร
(2) การใชว้ จั นกรรมการปลอบใจของผู้เรยี นภาษาเกาหลรี ะดบั สงู
ชาวไทย เจ้าของภาษาชาวไทย และเจา้ ของภาษาชาวเกาหลี
มีความแตกต่างด้านการใช้กลวิธีในแต่ละสถานการณ์และแต่
ละระดับทางสงั คมหรือไม่ อยา่ งไร
3.2 ผู้เขา้ ร่วมทาแบบทดสอบ
งานวิจยั น้มี ผี ู้เขา้ รว่ มทาแบบทดสอบทั้งหมดสามกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง
คอื TNS (Thai Native Speakers) หมายถงึ เจ้าของภาษาชาวไทย จานวน
30 คน กลมุ่ ที่สอง คือ TKL (Thai Korean Learners) หมายถงึ กลุ่มผู้เรยี น
ภาษาเกาหลีชาวไทย ในงานวิจัยน้ีไดเ้ ลือกเฉพาะผ้ทู มี่ ีความรู้ภาษาเกาหลี
ระดับสูง คือ ผู้ที่ได้คะแนน TOPIK (Test of Proficiency in Korean)
ระดับ 5 ขึ้นไป ทงั้ นี้ มผี ู้เข้ารว่ มทาแบบทดสอบท่ีไดค้ ะแนน TOPIK ระดับ
5 จานวน 19 คน และระดบั 6 จานวน 11 คน รวม 30 คน กลุ่มท่สี าม คอื
KNS (Korean Native Speakers) หมายถึง เจ้าของภาษาชาวเกาหลี
200
จานวน 30 คน รวมจานวนผู้ทาแบบทดสอบทั้งหมด 90 คน ข้อมูลของ
ผเู้ ขา้ ร่วมทาแบบทดสอบมดี ังนี้
ตารางท่ี 2 ข้อมลู ของผเู้ ข้าร่วมทาแบบทดสอบ
เพศ อายุ สถานะ
ผู้เขา้ รว่ ม ชาย หญงิ 20-29 ปี 30-39 ปี นสิ ิต/นกั ศึกษา ทา
ป.ตรี ป.โท-เอก งาน
1. TNS 9 21 18 12 2 3 25
2. TKL9 9 21 16 14 8 8 14
3. KNS 8 22 13 17 3 8 19
รวม 90 คน
3.3 เครื่องมือวจิ ัย
เครื่องมือวิจัยของงานวิจัยนี้คือ DCT (Discourse Completion
Test) เปน็ แบบทดสอบชนิดเตมิ เตม็ บทสนทนา ไดจ้ ดั ทาเปน็ แบบสอบถาม
อิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งเป็น 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับภาษาเกาหลีและฉบับ
ภาษาไทย ท้งั สองฉบบั นม้ี เี น้ือหาเหมอื นกนั โดยให้กลุม่ TKL กับกลุ่ม KNS
ทาแบบทดสอบฉบับภาษาเกาหลี และให้กลุ่ม TNS ทาแบบทดสอบฉบบั
ภาษาไทย ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ระวังไม่ให้มีเน้ือหาจากัดเฉพาะเพียงเพศใดเพศ
หนึ่งในแบบทดสอบ และในฉบับภาษาเกาหลีได้กาหนดให้คาศัพท์และ
9 ในกลุ่ม TKL มีผู้ที่เคยใช้ชวี ติ ที่ประเทศเกาหลีจานวน 22 คน สว่ นผู้ทไี่ ม่เคยมี
ประสบการณ์การใชช้ ีวติ ทป่ี ระเทศเกาหลีมีจานวน 8 คน
201
ไวยากรณ์ที่ปรากฏในเนื้อหาของแบบทดสอบเป็นเรื่องที่ผู้เรียนภาษา
เกาหลีได้เรียนมาทั้งหมดแล้ว ผู้วิจัยได้กาหนดสถานการณ์จานวน 6
สถานการณ์ที่เลือกมาจากงานวิจัยพักฮยังชุนและยังมย็องฮี (박향춘 ·
양명희, 2019)10 ได้แก่ สถานการณ์ ‘ความพ่ายแพ้’ ‘การจากลา’ ‘ความ
ขัดแย้ง’ ‘ความตาย’ ‘การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ’ และ ‘ของหาย’ ในแต่
ละสถานการณไ์ ด้แบง่ กลุ่มออกตามระดบั ทางสังคม 3 ระดบั คือ ระดับสูง
กว่า ระดับเท่ากัน และระดับต่ากว่า รวมจานวนเหตุการณ์ทั้งสิ้น 18 ข้อ
และจากงานวิจัยของฮวังยูจนิ (2011) ได้กล่าวว่าวัจนกรรมการปลอบใจ
ต่างจากวัจนกรรมอื่น คือ หากพูดคุยกับคนที่ไม่สนิทสนมกันจะทาให้เกดิ
สถานการณ์ท่ีไมเ่ ปน็ ธรรมชาติ ในงานวจิ ัยนี้จงึ เลือกเฉพาะกรณีที่ผู้พดู และ
ผู้ฟงั สนิทสนมกนั อยา่ งเดยี วเทา่ นนั้
3.4 ข้ันตอนการวจิ ยั
ลาดับแรก คือ การสร้างแบบทดสอบ DCT ส่วนลาดับที่สอง คือ
การให้กลุ่ม TKL TNS และ KNS ทาแบบทดสอบ DCT ลาดับที่สามเป็น
การตรวจสอบความถใ่ี นการเลือกใชก้ ลวิธตี า่ ง ๆ ของแตล่ ะกล่มุ ลาดับที่สี่
10 จากแบบสารวจผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวตา่ งประเทศจานวน 104 คน ของพักฮยัง
ชุนและยังมย็องฮี (박향춘·양명희, 2019) สถานการณ์การปลอบใจที่ผู้เรียนภาษา
เกาหลีประสบความยากลาบากในการสื่อสารเรยี งลาดับจากมากไปน้อย 6 อันดับแรก
ได้แก่ ‘ความพ่ายแพ้’ ‘การจากลา’ ‘ความขัดแย้ง’ ‘ความตาย’ ‘การเจ็บป่วยหรอื
อุบัติเหตุ’ ‘ของหาย’ ผู้วิจัยได้เลือกสถานการณ์ที่อยู่ในอันดับ 1-6 มาทาการศึกษา
วเิ คราะห์
202
วเิ คราะห์การใช้ถอ้ ยคา จดั ลงหมวดหมู่กลวิธีตา่ ง ๆ และค่าอัตราส่วนการ
ใชก้ ลวธิ ี สว่ นลาดับสดุ ท้าย คือ การวเิ คราะหผ์ ล อภปิ ราย และสรุปผล
4. ผลการวจิ ยั และการอภปิ ราย
4.1 ลักษณะการใช้กลวธิ ใี นภาพรวม
ตารางที่ 3 การใช้กลวิธีในภาพรวม11
ที่ กลวิธี TNS TKL KNS
1 ชมเชย 1.33% 2.18% 2.65%
2 อวยพร 1.45% 0.80% 0.76%
3 พูดเลน่ 1.67% 0.46% 0.76%
4 เสนอแนะ 32.15% 28.87% 23.58%
5 ให้กาลงั ใจ 5.67% 3.89% 2.77%
6 โทษอยา่ งอืน่ 0.22% 1.37% 2.27%
7 ให้ความสนใจ 8.45% 14.89% 17.53%
8 ทาให้สบายใจ 9.79% 8.25% 2.77%
9 เปลยี่ นอารมณ์ 0.78% 1.26% 1.64%
10 เสนอการชว่ ยเหลอื 11.57% 13.17% 10.09%
11 จากผลการทดสอบพบว่ามีบางกรณที ่ผี ้ทู าแบบทดสอบไมพ่ ูดปลอบใจเพราะไมร่ ู้ว่า
ต้องพูดปลอบใจอย่างไร หรอื เพราะตอ้ งการปลอบใจดว้ ยการกระทา สัดสว่ นการไม่
พดู ปลอบใจของกล่มุ TNS คิดเป็น 0.77% กลุ่ม TKL คดิ เป็น 1.80% และกลมุ่ KNS
คิดเป็น 0.88% แตเ่ น่ืองจากงานวิจัยน้มี ีจดุ มุง่ หมายเพือ่ วเิ คราะห์เฉพาะการใช้กลวิธี
การพดู ปลอบใจเทา่ นั้น จงึ จะไม่นาสัดส่วนการไมพ่ ดู ปลอบใจนี้มาวเิ คราะห์
203
11 เนน้ ใหเ้ หน็ ดา้ นบวก 11.12% 6.87% 7.19%
12 ใชถ้ อ้ ยคาสาเร็จรูป 6.90% 2.29% 0.63%
13 ทาใหเ้ ป็นเร่ืองธรรมดา 1.33% 0.92% 0.76%
14 แสดงความรสู้ กึ เสียดาย 0.22% 0.69% 1.51%
15 แสดงความเห็นอกเห็นใจ 1.45% 5.73% 17.53%
16 พูดถึงสิ่งทด่ี ใี นอนาคต 5.23% 7.90% 6.68%
17 กลา่ วโดยนยั ด้วยสานวนสภุ าษิต 0.22% 0.00% 0.00%
18 เปรยี บเทยี บกับประสบการณ์ 0.44% 0.46% 0.88%
ของตนเอง
รวม 100% 100% 100%
จากตารางท่ี 3 เห็นได้วา่ ท้งั สามกลมุ่ ได้ใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ มาก
ที่สุด โดยกลุ่ม TNS ได้ใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ (32.15%)’ > ‘เสนอการ
ช่วยเหลือ (11.57%)’ > ‘เนน้ ใหเ้ หน็ ดา้ นบวก (11.12%)’ ตามลาดับ ส่วน
กลุ่ม TKL ไดใ้ ช้กลวธิ ี ‘เสนอแนะ (28.87%)’ > ‘ให้ความสนใจ (14.89%)’
> ‘เสนอการช่วยเหลือ (13.17%)’ ตามลาดับ และกลุ่ม KNS ได้ใช้กลวิธี
‘เสนอแนะ (23.58%)’ เป็นอันดับทีห่ นึ่ง ส่วนกลวิธีที่ใช้มากเป็นอันดับท่ี
สอง มีจานวนสองกลวิธี ได้แก่ ‘ให้ความสนใจ (17.53%)’ และ ‘แสดง
ความเห็นอกเห็นใจ (17.53%)’ จากข้อมูลในตารางที่ 3 สามารถนามา
เปรยี บเทียบใหช้ ดั เจนขนึ้ ได้ โดยใช้แผนภาพดังนี้
204
แผนภาพที่ 1 การใชก้ ลวธิ ใี นภาพรวม
จากแผนภาพท่ี 1 ทั้งสามกลมุ่ ใชก้ ลวธิ ี ‘เสนอแนะ’ มากทส่ี ดุ โดย
กลุ่ม TNS ใช้กลวธิ นี ี้มากกวา่ กลุ่มอ่ืน สว่ นกลวธิ ี ‘ใหค้ วามสนใจ’กล่มุ KNS
ได้ใช้กลวิธีนี้มากกว่ากลุ่มอื่น จุดที่น่าสนใจคือกลุ่ม KNS ใช้กลวิธี ‘แสดง
ความเห็นอกเห็นใจ’ เป็นจานวนมาก แต่กลุ่ม TKL และ TNS ใช้กลวิธีน้ี
น้อย แสดงให้เห็นวา่ คนเกาหลีมีแนวโน้มในการใช้กลวิธี ‘แสดงความเหน็
อกเห็นใจ’ มากกว่าคนไทย ตัวอย่างการใช้กลวิธีนี้ของคนเกาหลีได้แก่
“많이 속상하겠다 (คงเสียใจมาก)”“가슴이 찢어지겠다(คงรู้สึกเหมือน
ใจจะขาด)” เป็นต้น
205
กลวิธีที่กลุ่มคนไทย (ทั้งกลุ่ม TNS และ TKL) กับกลุ่ม KNS
เลอื กใชต้ า่ งกันอย่างเหน็ ไดช้ ัดอกี ขอ้ หนึง่ คือ การใช้กลวธิ ี ‘ทาใหส้ บายใจ’
กลุ่ม TNS ใช้คาว่า “ไม่เป็นไร” เป็นจานวนมากถึง 78 ครั้ง ส่วน TKL ได้
ใช้คาว่า “괜찮아(ไม่เป็นไร)” จานวน 56 ครั้ง ส่วนกลุ่ม KNS ได้ใช้คาวา่
“괜찮아(ไมเ่ ป็นไร)” จานวนเพียง 17 ครัง้ เห็นไดว้ า่ คนไทยมีแนวโนม้ การ
ใช้กลวธิ นี ม้ี ากกวา่ คนเกาหลี แม้กระท่งั ในบรบิ ทการใช้ภาษาเกาหลี ผเู้ รียน
ภาษาเกาหลีชาวไทยก็ยังมีแนวโน้มในการใช้กลวิธีนี้มากกว่าคนเกาหลี
และมีแนวโนม้ การใช้คาวา่ “괜찮아 (ไมเ่ ปน็ ไร)” มากกวา่ คนเกาหลี
กลวิธีที่กลุ่ม TNS ใช้ต่างกับกลุ่มอื่น คือ กลวิธี ‘เน้นให้เห็นดา้ น
บวก’ กลา่ วคอื กลมุ่ TNS ใช้กลวธิ นี ี้มากกว่ากลุ่ม TKL และ KNS เชน่ “ดี
ละ พกั บ้างไง ไดพ้ ัก จะได้หายไว ๆ” “ฟาดเคราะหไ์ ปนะพ่ี ดที ีห่ ัวไม่แตก”
กลุ่ม TNS ใช้คาศัพท์ว่า ‘ฟาดเคราะห์’ จานวน 13 ครั้ง ในสถานการณ์
‘ของหาย’ และ ‘การเจบ็ ปว่ ยหรอื อบุ ัตเิ หตุ’ แต่กล่มุ TKL ไมไ่ ดใ้ ช้คาศัพท์
นี้เลย ส่วนกลุม่ KNS ใช้คาศัพท์ว่า ‘액땜(การฟาดเคราะห์ หรือ การถือว่า
เป็นเรื่องดี)’ จานวนเพียง 2 ครั้ง ส่วนอีกกลวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นความ
แตกตา่ งของกลมุ่ TNS กับกลุ่มอ่ืนคือกลวธิ ี ‘ใชถ้ ้อยคาสาเรจ็ รปู ’ กล่าวคือ
กลมุ่ TNS ใชก้ ลวธิ นี ีม้ ากกวา่ กลมุ่ อนื่ อยา่ งเหน็ ไดช้ ัดในสถานการณ์ ‘ความ
ตาย’ เช่น “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” “เสียใจด้วยนะ” เป็นต้น
ส่วนกลมุ่ TKL พบการใช้กลวธิ นี ม้ี ากกว่ากลุ่ม KNS เพยี งเลก็ นอ้ ย และใน
สถานการณ์ ‘ความตาย’ ทาให้เห็นลักษณะเฉพาะของกลุ่ม TKL คือ เมอื่
ใช้กลวิธี ‘ให้กาลังใจ’ ได้ใช้คาว่า “힘내 (สู้ ๆ)” ในสถานการณ์ ‘ความ
ตาย’ เป็นจานวนมากถึง 17 ครั้ง มากกว่ากลุ่ม TNS (5 ครั้ง) และกลุ่ม
KNS (8 คร้งั )
206
4.2 การใช้กลวิธใี นแต่ละสถานการณ์
4.2.1 สถานการณ์ ‘ความพา่ ยแพ้’
ในสถานการณ์ ‘ความพ่ายแพ้’ แบ่งออกเป็นสามเหตกุ ารณ์ ไดแ้ ก่
รุ่นพี่สอบสัมภาษณ์งานไม่ผ่าน เพื่อนสอบตก และรุ่นน้องไม่ได้รับ
ทนุ การศึกษา กล่มุ TNS ไดใ้ ชก้ ลวธิ ี ‘ทาให้สบายใจ’ มากท่ีสดุ เมอื่ ปลอบใจ
รุ่นพี่ และใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ มากที่สุดในกรณีที่ปลอบใจเพื่อนและรุ่น
น้อง ส่วนกลุ่ม TKL มีจุดท่ีใช้กลวิธีคล้ายทั้งกลุ่ม TNS และ KNS คือใช้
กลวิธี ‘เสนอแนะ’ มากที่สดุ เมอ่ื คุยกบั เพ่อื นหรือรนุ่ นอ้ งเหมอื นกลุ่ม TNS
และใชก้ ลวธิ ี ‘พูดถงึ ส่งิ ทีด่ ีในอนาคต’ มากที่สุดเมอ่ื คุยกับร่นุ พี่ เหมือนกับ
กลุ่ม KNS ทั้งนี้กลวิธีที่ใช้มากที่สุดในสองอันดับแรกของกลุ่มคนไทยท้ัง
TNS และ TKL ได้ใช้กลวิธี ‘ทาให้สบายใจ’ มากกว่ากลุ่ม KNS ส่วนกลมุ่
KNS มลี ักษณะเฉพาะคอื มีการใช้กลวิธี ‘แสดงความเหน็ อกเหน็ ใจ’ ให้กับ
เพื่อนและรุ่นน้อง ต่างจากกลุ่มคนไทยทั้งสองกลุ่มที่กลวิธีนี้ไม่ติดในสอง
อนั ดบั แรก
4.2.2 สถานการณ์ ‘การจากลา’
ในสถานการณ์ ‘การจากลา’ แบ่งออกเป็นสามเหตุการณ์ ได้แก่
รุ่นพี่ต้องห่างจากแฟนเพราะแฟนต้องไปเรียนต่อ เพื่อนเลิกกับแฟน รุ่น
นอ้ งต้องห่างจากครอบครัวเพือ่ ไปเรียนตอ่ ในเหตุการณท์ ป่ี ลอบใจรนุ่ พี่ ทัง้
กลุ่ม TNS TKL และ KNS ได้ใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ เป็นอับดับหนึ่ง และ
กลวิธี ‘เนน้ ใหเ้ ห็นด้านบวก’ เป็นอันดับทีส่ อง สว่ นการปลอบใจเพ่อื นและ
รุ่นน้องนั้น กลุ่ม TKL มีแนวโน้มการใช้กลวิธีคล้ายคลึงกับกลุ่ม TNS
มากกว่ากลุ่ม KNS คือใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ เป็นอันดับหนึ่ง และใชก้ ลวธิ ี
207
‘เน้นให้เห็นด้านบวก’ เป็นอันดับสอง ส่วนกลุ่ม KNS ใช้กลวิธี ‘ให้ความ
สนใจ’ กับเพื่อน ใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ กับรุ่นน้องเป็นอันดับหนึ่ง และมี
ลักษณะเฉพาะที่ต่างจากกลุ่มอื่นคือใช้กลวิธี ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’
มากเป็นอนั ดับที่สองในการปลอบใจทง้ั เพื่อนและรุน่ น้อง
4.2.3 สถานการณ์ ‘ความขดั แย้ง’
ในสถานการณ์ ‘ความขัดแย้ง’ แบ่งออกเป็นสามเหตกุ ารณ์ ได้แก่
รนุ่ พ่ที ะเลาะกับแฟน เพ่ือนทะเลาะกับแฟน และรนุ่ น้องทะเลาะกับเพ่ือน
กลุ่ม TKL ได้ใช้กลวิธีที่มีความคล้ายคลึงทั้งกลุ่ม TNS และ KNS คือ ท้ัง
สามเหตุการณม์ ีการใช้กลวิธี ‘เสนอแนะ’ ตดิ สองอันดบั แรกเหมอื นกบั กลมุ่
TNS และมีการใชก้ ลวธิ ี ‘ให้ความสนใจ’ ตดิ สองอนั ดบั แรกเหมือนกับกลุ่ม
KNS แต่จุดเด่นของกลุ่ม KNS ที่เห็นได้ชัดคือมีการใช้กลวิธี ‘แสดง
ความเหน็ อกเหน็ ใจ’ เปน็ อนั ดบั ทส่ี อง ในกรณที ีป่ ลอบใจเพอ่ื นและร่นุ นอ้ ง
4.2.4 สถานการณ์ ‘ความตาย’
ในสถานการณ์ ‘ความตาย’ แบ่งออกเปน็ สามเหตุการณ์ ได้แก่ ย่า
ของร่นุ พ่เี สียชวี ิตดว้ ยโรคประจาตัว พ่อของเพ่ือนเสยี ชวี ติ เพราะโรคมะเร็ง
แมข่ องรนุ่ น้องเสยี ชีวติ เพราะโรคมะเร็ง กลุม่ TNS มีลกั ษณะเฉพาะคือ ใช้
กลวิธี ‘ใชถ้ ้อยคาสาเร็จรปู ’ มากเป็นอันดบั ท่หี น่งึ ทั้งในสามเหตกุ ารณ์ ต่าง
จากกล่มุ KNS ท่ีกลวิธี ‘แสดงความเห็นอกเหน็ ใจ’ มากเปน็ อันดับหนึ่งท้ัง
สามเหตุการณ์และกลวธิ ี ‘ใช้ถ้อยคาสาเร็จรูป’ ไม่ติดสองอันดบั แรก ส่วน
กลุ่ม TKL ไดใ้ ช้กลวธิ ี ‘เนน้ ให้เห็นด้านบวก’ มากเป็นอันดับหน่ึงในกรณีที่
ปลอบใจรุน่ พี่และเพื่อน และใชก้ ลวิธี ‘เสนอการช่วยเหลือ’ มากเปน็ อนั ดับ
208
หนง่ึ ในกรณีท่ีปลอบใจรุน่ น้อง ในกรณีท่พี ดู กับเพอ่ื นและรนุ่ น้อง กลมุ่ TKL
ไดใ้ ชก้ ลวธิ ที คี่ ล้ายคลงึ กบั กล่มุ TNS คือ ‘ใช้ถ้อยคาสาเรจ็ รูป’ เป็นจานวน
มาก (อันดับที่สอง) ส่วนในกรณีที่พูดกับรุ่นพี่ได้ใช้กลวิธีที่คล้ายคลึงกับ
KNS คือใช้กลวิธี ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’ เป็นจานวนมาก (อันดับที่
สอง)
ถึงแม้ในภาษาเกาหลีนั้นมีถ้อยคาสาเร็จรูปเช่น “삼가 고인의
명복을 빕니다 (ขอให้ไปสู่สุขคติ)” แต่จากผลการสารวจ คนเกาหลี (KNS)
ก ล ั บ นิ ยม ใช้ การพ ูดแสดงความ เห็ นอ กเห็ นใจ มากกว่ าก ารใช้ ถ้ อยค า
สาเร็จรูป ซึ่งมีความแตกต่างกับกลุ่มคนไทย (TNS) ที่นิยมใช้ถ้อยคา
สาเร็จรปู เช่น “ขอแสดงความเสยี ใจดว้ ย”
4.2.5 สถานการณ์ ‘การเจบ็ ป่วยหรอื อุบัติเหตุ’
ในสถานการณ์ ‘การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ’ แบ่งออกเป็นสาม
เหตุการณ์ ไดแ้ ก่ รนุ่ พี่ขาเจบ็ เพอ่ื นไม่สบาย รุ่นนอ้ งทอ้ งเสยี ในกรณีท่ีพูด
กับรุ่นพี่ กลวิธีที่กลุ่ม TKL ใช้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งมีจานวน 2 กลวิธี
ได้แก่ ‘ให้ความสนใจ’ และ ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’ กลุ่ม TNS และ
KNS ก็ได้ใช้กลวิธี ‘ให้ความสนใจ’ เป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ข้อสังเกตคือ
กล่มุ KNS ใชก้ ลวิธี ‘แสดงความเห็นอกเห็นใจ’ เป็นอันดับทสี่ อง จึงเหน็ ได้
ว่ากลุ่ม TKL ได้ใช้กลวิธีที่มีความคล้ายคลึงทั้งกลุ่ม TNS และ KNS ส่วน
กรณีทพี่ ดู กับเพ่อื นและรุน่ นอ้ งนน้ั ทั้งสามกล่มุ ได้ใช้กลวธิ ี ‘เสนอแนะ’ ติด
สองอันดับแรก
209
4.2.6 สถานการณ์ ‘ของหาย’
ในสถานการณ์ ‘ของหาย’ แบง่ ออกเป็นสามเหตุการณ์ ไดแ้ ก่ รุ่น
พี่ทากระเป๋าสตางค์หาย เพื่อนทาโน้ตบุ๊ก (แล็ปท็อป) หาย รุ่นน้องทา
โทรศัพท์มือถือหาย ทั้งสามเหตุการณ์ กลุ่ม TNS TKL และ KNS ต่างใช้
กลวิธี ‘เสนอแนะ’ เป็นอันดับที่หนึ่ง และใช้กลวิธี ‘เสนอการช่วยเหลือ’
เปน็ อนั ดับทส่ี อง
5. บทสรุป
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ
ลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับวัจนกรรมการพูดปลอบใจของผู้เรยี นภาษาเกาหลี
ชาวไทย (TKL) เจ้าของภาษาชาวไทย (TNS) และเจา้ ของภาษาชาวเกาหลี
(KNS) ผลการวิเคราะห์การใช้กลวิธีในภาพรวม พบว่าทั้งสามกลุ่มได้ใช้
กลวิธี ‘เสนอแนะ’ มากที่สุด โดยกลุ่ม TNS ใช้กลวิธีน้ีมากกว่ากลุ่มอื่น ที่
น่าสนใจคอื กลุ่ม KNS ใชก้ ลวิธี ‘แสดงความเหน็ อกเห็นใจ’ เปน็ จานวนมาก
แตก่ ลมุ่ TKL และ TNS ใชก้ ลวิธนี ีน้ ้อย แสดงให้เหน็ วา่ คนเกาหลีมแี นวโนม้
ในการใชก้ ลวธิ ี ‘แสดงความเหน็ อกเหน็ ใจ’ มากกว่าคนไทย นอกจากนี้ คน
ไทย (ทั้งกลุ่ม TNS และ TKL) นิยมใช้กลวิธี ‘ทาให้สบายใจ’ มากกว่าคน
เกาหลี และ TKL ใช้คาว่า “괜찮아(ไม่เปน็ ไร)” มากกวา่ คนเกาหลี แสดง
ให้เห็นว่าผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวไทยได้รับอิทธิพลการใช้คาศัพท์นี้จาก
ภาษาแม่ ส่วนกลวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของกลุ่ม TNS กับ
กลุ่มอื่นคือกลวิธี ‘ใช้ถ้อยคาสาเร็จรูป’ กล่าวคือ กลุ่ม TNS ใช้กลวิธีน้ี
มากกว่ากลุ่มอื่นอยา่ งเห็นได้ชัดในสถานการณ์เกี่ยวกับ ‘ความตาย’ ส่วน
กลุ่ม TKL พบการใช้กลวธิ มี ากกวา่ กลุม่ KNS เพียงเลก็ นอ้ ย
210
ผลการวิเคราะห์การใช้กลวิธีในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งในแต่ละ
สถานการณ์ได้แยกย่อยเป็นแต่ละระดับทางสังคม จะเห็นว่าระดับทาง
สังคมไม่ได้ส่งผลต่อการเลือกใช้กลวิธีมากนักในภาพรวม ซึ่งสามารถตั้ง
ขอ้ สงั เกตไดว้ า่ เปน็ เพราะคสู่ นทนาที่เปน็ รนุ่ พ่ี เพือ่ น หรือรนุ่ นอ้ งเปน็ บุคคล
ที่ใกลช้ ดิ สนิทสนมกนั แตร่ ะดบั ทางสังคมทีป่ รากฏในการงานวิจัยนี้มีเพียง
การสนทนากับรุ่นพ่ี เพื่อน และรุ่นน้องเท่านั้น จึงไม่สามารถสรุปไดอ้ ย่าง
ครอบคลมุ ว่าระดับทางสงั คมไม่มีผลกับการเลือกใช้กลวิธกี ารปลอบใจเลย
ทงั้ น้ี หากมีงานวจิ ยั ตอ่ ยอดในหัวข้อดังกลา่ ว ผูว้ จิ ัยเหน็ ว่าควรมีการขยาย
บริบททางสงั คมในแบบทดสอบนอกเหนือจากสามกลุ่มดังกล่าว
ครูผู้สอนภาษาเกาหลีสามารถนาข้อมูลที่ได้จากผลการวิจัยนี้มา
ปรับใช้ในการเรียนการสอนภาษาเกาหลีได้ เพื่อให้การพูดปลอบใจของ
ผเู้ รียนภาษาเกาหลชี าวไทยมคี วามเปน็ ธรรมชาติใกล้เคยี งกับเจ้าของภาษา
มากขน้ึ ครูผสู้ อนภาษาเกาหลีสามารถเสรมิ การสอนสานวนการปลอบใจใน
สถานการณ์ต่าง ๆ โดยอ้างอิงข้อมลู ที่กลุ่ม KNS ได้ใช้กลวิธีนัน้ ๆ หรือให้
ผู้เรียนภาษาเกาหลีชาวไทยระมัดระวังการใช้กลวิธีที่ได้รับอิทธิพลจาก
ภาษาแม่ เช่น ระมัดระวังไม่ใช้คาว่า “괜찮아(ไม่เป็นไร)” มากจนเกนิ ไป
หรือแนะนาการใช้สานวนอื่น ๆ เพิ่มเติมนอกจากคาว่า “괜찮아(ไม่
เป็นไร)” หรือ “힘내 (สู้ ๆ)” หรือให้ผู้เรยี นไดฝ้ กึ ใช้กลวิธี ‘แสดงความเห็น
อกเห็นใจ’ มากขึ้น ซึ่งเป็นกลวิธีที่คนเกาหลีนิยมใช้มากกว่าคนไทยใน
หลายสถานการณ์
211
เอกสารอ้างอิง (References)
ภาษาไทย
ชุติกาญจน์ บุญอยู่. (2561). กลวิธีการพูดปลอบใจ กรณีศึกษานักศึกษา
มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์วทิ ยาเขตปตั ตานี. สงขลา: ชานเมืองการ
พมิ พ์.
ณัฐวดี คมประมูล, จริญญา ธรรมโชโต, และพัชลินจ์ จีนนุ่น. (2561).
วัจนกรรมในการใหค้ าปรึกษาเรื่องความรกั ในคอลัมน์คนดังนั่งเขียน
ของดเี จพี่อ้อย. การประชุมหาดใหญ่วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ
ครั้งที่ 9, 119-130.
ทรงธรรม อินทจักร. (2550). แนวคิดพื้นฐานด้านวัจนปฏิบัติศาสตร์
กรุงเทพฯ: สานักพิมพม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
รศั มี รกั งาม และ อุมาภรณ์ สังขมาน. (2559). กลวิธีการปลอบโยนผู้ปว่ ยท่ี
ได้รับการรักษาด้วยเคมีบาบัดของพยาบาล. Kasetsart journal of
social sciences, 37, 111-120.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2553). พจนานุกรมศัพทภ์ าษาศาสตร์ (ภาษาศาสตร์
ประยุกต)์ ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2554. กรุงเทพฯ: นานมบี ๊คุ ส์พับลิเคชน่ั ส์.
ศักดา ปั้นเหน่งเพ็ชร์. (2547). ประมวลสาระชุดวิชา ภาษาไทยเพื่อการ
สื่อสาร หน่วยที่ 8-15. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,
135-173.
212
ภาษาองั กฤษ
Austin, J. L. (1962). How to do Things with Words: The William
James Lectures delivered at Harvard University in 1955. J.
O. Urmson (Ed.). Oxford: Clarendon.
Searle, J. R. 1969. Speech Acts: An essay in the philosophy of
language. Cambridge, Uk: Cambridge University Press.
ภาษาเกาหลี
Phengsomboon, Chanamas. (2015). 태국인 한국어 학습자의 사과
화행 전략에 대한 연구. 이화여자대학교 석사학위논문.
Sirirat, Sirinat. (2015). 태국인 한국어 학습자의 칭찬 화행에 대한
비교문화적 연구. 이화여자대학교 박사학위논문.
국립국어연구원. (1999). 표준국어대사전. 서울: 두산동아.
김선지. (2007). 일본어권 한국어 고급학습자의 위로 화행 연구.
이화여자대학교 석사학위논문.
김진주. (2018). 한국어와 영어의 위로 화행 대조 연구: 한미 리메이크
작품을 중심으로. 한국외국어대학교 석사학위논문.
박햇님. (2012). 중국인 한국어 고급 학습자의 위로 화행 양상 연구.
경희대학교 석사학위논문.
박향춘∙양명희. (2019). 한국어 교육을 위한 위로 화행 연구: 2, 30 대의
친한 친구를 대상으로. 경희대학교 (국제캠퍼스) 비교문화연구소,
56, 199-224.
수파펀 분룽. (2007). 태국인 학습자의 한국어 요청 화행 연구.
이화여자대학교 석사학위논문.
신혜진. (2014). 중국인 학습자의 위로 화행 교육 연구. 숙명여자대학교
석사학위논문.
213
여희민. (2019). 성별과 상황 변인에 따른 한국인과 태국인 한국어
학습자의 칭찬 응답 화행. 이화여자대학교 석사학위논문.
우월. (2019). 한중 위로 화행 대조 연구. 한양대학교 석사학위논문.
윤경원. (2017). 한국어와 태국어의 거절화행 비교연구. 한국태국학회,
한국태국학회논층, 23(2), 1-30.
이용희. (2017). 간접거절화행에 나타난 공손표현 양상에 관한 연구:
태국인 한국어 학습자를 중심으로. 어문학, 한국어문학회, 138,
127-153.
이재희, 유범, 양은미, 한혜령, 백경숙 (2011). 영어교육을 위한 화용론.
서울: 한국문화사.
이해영, 황선영, 노아실, 사마와디 강해 (2016). 비교문화적 화용론의
관점에서 본 태국인 한국어 학습자의 사과 화행 연구. 한국어 교육,
27(3), 233-260.
이해영. (2009). 외국인의 한국어 거절 화행에 대한 한국인의 반응 연구.
한국어 교육, 20(2) , 203-228.
이해영. (2010). 한국어 요청 화행의 적절성에 대한 태국인의 인식과
숙달도. 이중언어학, 42, 219-241.
타나폰 빠리깜신. (2019). 태국인 한국어 학습자의 불평 화행 연구.
한국어와 문화, 25, 183-215.
황선영, 노아실, 사마와디 강해. (2018). 비교문화적 화용론의 관점에서
본 한국인과 태국인의 거절 화행 연구. 한국어교육, 29(4), 225-254.
황선영, 사마와디 강해, 노아실. (2019). 태국인 한국어 학습자의 거절
전략을 구성하는 언어적 표현 및 발화 내용 분석. 이중언어학, 74,
475-499.
황유진. (2011). 한국어 학습자의 위로 화행 실현 양상 연구: 중국인
학습자를 대상으로. 계명대학교 석사학위논문.
214
บทความวชิ าการ
สัญลักษณ์ทป่ี ลดปลอ่ ยความเศร้าในงานประพันธ์ของเฉาจื๋อ
Cao Zhi’s Figurative Language in Expressing Sorrow
พิชญา วภิ าวนี ุกลู 1
Pitchaya Vipaveenukul
บทคดั ยอ่
เฉาจื๋อเป็นกวีที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นจนถงึ
ยุคสามก๊ก อารมณ์เศร้าของเฉาจือ๋ เปล่ียนแปลงตามสภาพการเมือง
สังคมและครอบครัวที่เปลี่ยนไป เขาปลดปล่อยความรู้สึกทุกข์ผ่าน
สัญลกั ษณต์ ่างๆ ในวรรณกรรม บทความวชิ าการช้ินนีม้ วี ตั ถุประสงค์
เพื่อศึกษาสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีเฉาจื๋อมักใช้ในวรรณกรรมเพื่อกระตุ้น
หรือปลดปล่อยความเศร้าของเขา จากการศึกษาพบว่างานประพันธ์
ของเฉาจื๋อมักใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับสัตว์ บุคคลในตานาน และ
ธรรมชาติในงานประพันธ์ เช่น นกและปลาที่โบยบินและแหวกว่าย
อยา่ งอิสระ นกกระเรยี นที่ขาวบริสทุ ธิ์ ม้าท่ีเดนิ ย่าอยู่กับท่ี กระท่ังการ
ขึ้นที่สูงและความสัมพันธ์ของสามีภรรยา เป็นต้น สัญลักษณ์เหล่านี้
คอื ลักษณะเด่นทางวรรณศลิ ปอ์ ย่างหนง่ึ ของเฉาจือ๋ และเป็นกลวิธกี าร
ประพันธ์ที่มีอทิ ธิพลอยา่ งย่ิงตอ่ กวรี ่นุ หลงั
คาสาคญั : เฉาจ๋ือ, สัญลักษณ์, อารมณ์เศรา้
1 อาจารย์ ดร., สาขาวิชาภาษาจีน ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , E-mail : [email protected]
215
Abstract
Cao Zhi was a famous poet of the late Han dynasty and
the Three Kingdoms period. Cao Zhi’s feeling of sorrow was
influenced by politics, society and family and he expressed this
negative emotion in his poetic literature through the use of
symbolic language.During different period of his life Cao Zhi
expressed this feeling of sorrow in his literature in a variety of
forms.This research aimed to study the symbolic language of
Cao Zhi’s literature. We found that within Cao Zhi’s literary
works he commonly used symbolic language that related to
animals, legends and nature.For example, his poems included
references to the freedom of flying birds and swimming fishes,
the pure whiteness of albino cranes and horses cantering on
the spot. Other symbolic language used focused on climbing to
a height and the relationship between a husband and wife.Cao
Zhi’s use of figure of speeches in his literature were held is high
esteem and recognised for its excellence. His literary
techniques significantly influenced the next generation of poets.
Keywords : Cao Zhi, figurative language, sorrow
216
ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น( ปี 220 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ.220) –
ต้นราชวงศ์เว่ย ( ค.ศ.220 – 266 ) เป็นช่วงที่เรารู้จักกันในชื่อ “สามก๊ก
( ค.ศ. 220 – 280 ) ” ในสมัยนั้นเกิดการปฏิวัติทางความคิดของกลุ่ม
ปัญญาชนและเกิดโรคระบาดซ้าซ้อนหลายรัชสมยั เฉาจื๋อ (หรือท่ีรู้จักกัน
ในนาม โจสดิ ) เป็นนักกวที ่ีมีผลงานโดดเดน่ ทส่ี ุดในสมัยนน้ั แรงผลักดันท่ี
ทาให้งานเขียนของเฉาจื๋อกลายเป็นสะพานสาคัญต่อการพัฒนาวรรณคดี
จีนมาจากประสบการณ์ชีวิตที่เขาพบเจอ น้าตาจากความน้อยเนื้อต่าใจ
และสุราที่ย้อมทุกข์หลอมรวมเป็นหมึกที่ทาให้วรรณกรรมของเขาเป็นที่
จดจามาจนถึงปจั จบุ ัน
1. ความเพยี บพรอ้ มและพรสวรรค์จากชาตกิ าเนิด
เฉาจื๋อ (หรือโจสิด เกิดปี ค.ศ.192 - ค.ศ. 232) มีนามรองว่าจ่ือ
เจี้ยน เป็นโอรสองค์ที่สามของจักรพรรดิเว่ยอู่ต้ี2 หรือเฉาเชา ซึ่งคนไทย
รู้จักกันในภาษาแต้จิ๋วว่าโจโฉกับพระนางอู่เซวียนเป้ียนไท่โฮ่ว ในวัยเด็ก
เฉาจื๋อมีชื่อเสียงว่า “เป็นคนฉลาดมีไหวพริบ มีความสามารถมากมาย มี
พรสวรรค์ดา้ นการประพันธ์อย่างสูง3” จดหมายเหตุสามก๊ก หมวดเว่ยซู
กล่าวว่า “เมื่อครั้งอายุสิบกว่าปี เขาสามารถท่อง คัมภีร์ซือจิง คัมภีร์
หลุนอว่ี และบทกลอนฟู่4ไดห้ ลายแสนคา ถนดั เรอื่ งงานเขียน” ทว่าเฉาจ๋ือ
มักปฏิบัติตนนอกกรอบ เจ้าสาราญและทาตามแต่ใจต้องการ ในรัช
สมัยเจ้ยี นอันปที ี่ 24 (ค.ศ.219) เฉาเชาสัง่ ให้เฉาจ๋ือนาทัพไปช่วยเฉาเหรินที่
2 ยศกษตั รยิ แ์ ต่งตง้ั ภายหลังเฉาพีหรือโจผขี ้นึ ครองราชย์
3 “植性机警,多艺能,才藻敏赡。” 司马光编、胡三省音注.
(1976).资治通鉴.北京:中华书局,2150.
4 รอ้ ยแกว้ ชนดิ หนึง่ เป็นทน่ี ิยมในสมัยราชวงศฮ์ ั่น
217
ถกู กวนอวี่ตีล้อม แตค่ ืนกอ่ นวนั เดินทาง เฉาจื๋อกลับเมามายไม่มีสติ จนไม่
สามารถออกคาสงั่ ทหารได้ ฉะนน้ั แมว้ า่ เฉาจอ๋ื จะมใี จอทุ ิศตนเพื่อประเทศ
ชาติ มพี รสวรรคอ์ ันชาญฉลาด แตด่ ้วยเพราะอุปนิสัยรักสาราญไร้แก่นสาร
ทาให้เขามักชอบเมาจนสร้างเรื่อง จนท้ายที่สุด เฉาเชาก็มอบตาแหน่ง
ฮ่องเต้องคแ์ รกแหง่ ราชวงศเ์ วย่ ใหเ้ ฉาพีแทน
2. เหตแุ หง่ ความเศรา้ ในชีวติ ของเฉาจ๋ือ
ความเศร้าของเฉาจื๋อสามารถแบ่งตามช่วงชีวิตของเขาได้เป็น 3
ช่วง คือช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นในรชั สมยั เจี้ยนอัน ( ค.ศ. 196 – 220 ) ช่วง
รัชสมัยหวงชู ( ค.ศ. 220 – 226 ) และช่วงรัชสมัยไท่เหอ ( ค.ศ. 227 –
233 )
2.1 ความเหน็ ใจผู้อื่นในรัชสมัยเจ้ียนอัน
นักวชิ าการจนี ทวั่ ไปเรียกชว่ งชีวิตของเฉาจื๋อในสมัยเจี้ยนอันซึ่งอยู่
ในช่วงปลายของราชวงศ์ฮั่นว่าเป็นชีวิตในช่วงครึ่งแรกของเฉาจื๋อ ความ
เศร้าของเฉาจื๋อในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นมีที่มาหลากหลาย ส่วนมากเกิด
จากความทุกข์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง เช่น ความยากลาบาก
ของประชาชน กาลเวลาที่ไม่ไหลย้อนกลับ ความตายและการลาจาก เป็น
ต้น เฉาจื๋อสืบทอดอารมณ์แบบท้ังฮึกเหิมและสะเทอื นใจหรอื “คงั ข่ายเปย
เหลยี ง5” อารมณก์ วีน้ีเกดิ จากความรสู้ ึกสะเทอื นใจจากความทกุ ขข์ องผู้อื่น
อันเกดิ จากใจที่เปิดกวา้ งและฮึกเหมิ เป็นความเศร้าทีเ่ กิดจากผู้มีจิตสานึก
เพื่อส่วนรวมท่ีสงสารและเห็นใจประชาชนที่เดือดรอ้ นจากสงคราม แตด่ ้วย
เพราะตนเองไม่อาจช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้มากพอ จึงทาได้เพียงทอด
5 慷慨悲凉
218
ถอนใจด้วยความเศร้า ในชว่ งสงคราม ประชาชนตอ้ งอยูอ่ ย่างยากลาบาก
ถูกเกณฑไ์ ปรบคร้ังแล้วครัง้ เล่า ทาใหเ้ ฉาจื๋อรู้สกึ สงสารคนส่วนใหญ่ที่รู้สึก
เศร้าแบบทัง้ ฮกึ เหมิ และสะเทือนใจนี้มักอย่ใู นชนชัน้ สงู ทม่ี ชี วี ิตสมบูรณ์มาก
พอจนสามารถรสู้ ึกสะเทอื นใจกับความทกุ ขข์ องคนอ่ืนได้
ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อได้ผ่านประสบการณ์หรือเป็นพยานต่อหน้า
ความเป็นความตาย จิตสานึกด้านคุณค่าชีวิตก็ย่ิงเพ่ิมพูนมากขึ้น เฉาจื๋อ
ไม่เพียงทั้งฮึกเหิมและสะเทือนใจกับสิ่งที่เขาได้เห็นได้พบเจอเท่านั้น
หากแตป่ ระสบการณ์เหล่าน้ีก็กระตุ้นให้เขาตระหนกั รู้คุณค่าชวี ิตและความ
เจ็บปวดจากการลาจากด้วยเช่นกนั เช่น
บทโฉวหลนิ (《愁霖赋》) “车结辙以盘桓兮,马踯躅
以悲鸣。攀扶桑而仰观兮,假九日于天皇。(รอยล้อรถม้าศึก
วนเวยี นไปมา มา้ ศกึ ร้องครวญไมย่ อมกา้ วไปขา้ งหนา้ ข้าปนี ต้นหม่อนขึ้น
ไปชะเงอ้ มอง ขอยมื ดวงอาทติ ย์เก้าดวงจากตงหวงั )” (曹植,1998,
p.52)
กลอนบทนี้พรรณนาภาพกองทัพตระกูลเฉากาลังเดินทางกลับ
เมืองเย่ ระหว่างทางฝนตกหนักทาให้ทหารต้องเดินทัพอย่างยากลาบาก
เฉาจื๋อพรรณนาบรรยากาศธรรมชาติและอากัปกิริยาของม้าที่ไม่ยอม
เดินทางตอ่ สอื่ ความรสู้ กึ ออ่ นลา้ เหน็บหนาวของทหารในกองทพั
บทซู่สงิ (《述行赋》) “哀黔首之罹毒,酷始皇之为君。
濯余身于秦井,伟汤祷之若焚。( ท อ ด ถ อ น ใ จ เ พ ร า ะ พ ิ ษ ร ้ า ย ท่ี
ประชาชนในอดีตต้องประสบ จักรพรรดฉิ ินส่อื หวงโหดร้ายทารณุ ข้าชาระ
ร่างกายอยู่ข้างบ่อน้าโบราณสมัยฉิน พลางราพันถึงพระมหากรุณาธิคุณ
219
ของเฉิงซาง6ที่สวดภาวนาด้วยใจที่กังวลและรุ่มร้อน)” (曹植,1998,
p.132)
กลอนบทน้ีพรรณนาภาพของสุสานลี่เฝิน (สุสานราชวงศ์ฉิน) ท่ี
เฉาจื๋อเห็นตรงหน้าซึ่งทาให้เขาย้อนนึกถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉิน ใน
สมัยนั้น ฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ปกครองประเทศด้วยนโยบายที่เข้มงวด
และทารุณทาให้เฉาจื๋อรู้สึกสงสารและเห็นใจประชาชนในสมัยราชวงศฉ์ นิ
อยา่ งมาก
แม้ว่าเฉาจื๋อจะห่วงใยชีวติ ของทหารและประชาชน รู้สึกสะเทือน
ใจกับชีวิตมนุษย์ที่แสนส้ันและไม่แน่นอน ทว่าเฉาจื๋อในช่วงรชั สมัยเจีย้ น
อันมกั ประพฤตติ นนอกกรอบธรรมเนียม มีนสิ ยั ชอบดื่มเหล้า เจ้าสาราญไร้
กฏเกณฑ์ ชีวิตที่เขาอยากไขว่คว้าในตอนนั้นคือชีวิตที่ได้ท่องเที่ยวชม
ธรรมชาติอย่างอิสรเสรีตามแนวความคิดแบบลัทธิเต๋า แต่ด้วยเพราะเขา
ประจักษ์ว่าในสัจธรรมว่า “ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น” “ไม่อาจรู้ว่าวันใด
จะต้องจาก” “ไม่มชี ีวิตทีย่ นื ยาวนิรันดร”์ แล้ว ใจอีกด้านหนึ่งของเขากเ็ รง่
เร้าให้เขากลับไปทาหน้าที่เพ่ือสงั คม ก้าวอยใู่ นเส้นทางการบริหารประเทศ
และช่วยเหลือผู้นาประเทศต่อไป การแสดงออกของเฉาจื๋อสะท้อนให้เห็น
ลักษณะของปัญญาชนในสมัยนั้นที่แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มคลางแคลงใจใน
ลัทธิหรูเจยี 7 แตเ่ พราะพวกเขาถูกเลย้ี งดูและได้รับการศึกษาตามแบบลัทธิ
หรูเจีย การเปลี่ยนความเชื่อจึงยังไม่อาจเปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้นหรือ
ภายในคนรนุ่ เดียว ด้วยเหตุนี้ความเศร้าของเฉาจอ๋ื ในชว่ งปลายราชวงศ์ฮั่น
6 กษัตรยิ ค์ นแรกของราชวงศ์ซาง
7 แนวความคิดลทั ธิขงจ่ือ
220
จงึ ยงั แสดงออกในรูปแบบของการเห็นใจประชาชน การทอดถอนใจท่ีชีวิต
แสนส้ัน และความเสยี ดายทีช่ วี ติ มนุษยไ์ มแ่ น่นอน
2.2 ความอดกลั้นในรัชสมัยหวงชู
นักวิชาการจีนรวมเรียกชีวิตในช่วงรัชสมัยหวงชู (ค.ศ. 220 –
226) และไท่เหอ (ค.ศ. 227 – 233) ว่าเป็นชีวิตช่วงครึ่งหลังของเฉาจ๋ือ
ทว่าในที่นี้ผู้เขียนขอแบ่งออกเป็น 2 ช่วงตามลักษณะอารมณ์เศร้าที่
แสดงออกใน 2 ช่วงรัชสมัยนี้
เมื่อสถาปนาราชวงศ์เว่ย เฉาพีขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้และมี
คาสั่งให้แต่งตั้งราชนิกูลออกไปปกครองรัฐต่างๆ หากไม่มีราชโองการไม่
สามารถเดนิ ทางออกจากเมืองของตนเองได้ และเจ้าครองเมอื งห้ามติดต่อ
ไปมาหาสู่กนั ระหว่างเมืองโดยพลการ ภายใตส้ ถานการณท์ ี่บีบค้ันเช่นน้ัน
เฉาจื๋อกลายเป็นคนทรี่ ะมัดระวงั คาพูดและเลอื กใช้คาในงานประพนั ธ์ เขา
ระบายความรู้สึกไม่เป็น ธรรมและอัดอั้นของตน เอง ผ่านการพร รณน า
ธรรมชาติและใช้สัญลักษณ์ส่อื ถึงอารมณ์และชีวิตของตนเอง และยังอาศัย
การบรรยายภาพเหล่าเซียนท่องหลา้ มาสะท้อนความทกุ ข์ในใจของตนอกี
ดว้ ย อาทิ
กลอนเซยี นท่องหลา้ (《游仙》) “人生不满百,岁岁少
欢娱。意欲奋六翮,排雾凌紫虚。蝉蜕同松乔,翻迹登鼎
湖。(ชีวิตคนเรามไี ม่ถึงรอ้ ย ความสขุ แต่ละปีมแี สนนอ้ ย อยากกางปกี
ออกโบยบนิ ปดั หมอกเมฆออกบินขึ้นฟ้า หลีกเร้นจากทางโลกเฉกเชน่ ชอื่
ซงจ่อื และหวงั จ่อื เฉียว ลอยไปยังทะเลสาบติ่งหเู พื่อโบยบินขึน้ ฟ้าจนสาเรจ็
เปน็ เซียน ข้าบนิ ผงาดอยู่บนสวรรค์ช้นั สงู สดุ ขมี่ ้าโจนทะยานท่องเท่ยี ว
ทวั่ หล้า) (曹植,1998,265)
221
บทเซยี นเหริน (《仙人篇》) “人生如寄居。潜光养羽
翼,进趣且徐徐。(มนุษยเ์ กิดมาเหมือนขออาศัยชั่วคราว หวงั ว่าตน
จะซอ่ นเรน้ ในป่าและบาเพ็ญตนเป็นเซียนได้ เม่ือได้เป็นเซียนขา้ จะกางปกี
และโบยบนิ ขึน้ สู่ฟา้ )” (曹植,1998,p.263)
การบรรยายภาพชีวิตสาราญของเหล่าเซยี นเปน็ วิธีการหนง่ึ ทเ่ี ขา
ใช้ระบายความทุกขใ์ นใจและหลบเลย่ี งหัวขอ้ ท่ีพวั พันกับการเมือง
แนน่ อนว่าเมอื่ เราอา่ นผลงานประพนั ธ์ของเขา เรายังคงสัมผัสไดว้ ่าเฉาจื๋อ
ไม่เคยลืมหรอื ละท้งิ ความใฝ่ฝนั น้นั เขากาลงั รอคอยโอกาสกลับมารับ
ราชการเพื่อแสดงคุณค่าต่อสังคมของตน
2.3 นา้ ตาแห่งความสิน้ หวงั ในรชั สมัยไทเ่ หอ
อารมณ์เศร้าของเฉาจื๋อส่วนใหญ่จะเกิดจากการตามหา “อิสระ”
ซงึ่ ปญั หานี้นาพาให้เกิดหวั ข้องานเขยี นตา่ งๆ ผลงานของเขามกั มลี ักษณะ
คล้อยตามท่วงท่าลีลาของธรรมชาติ สภาพจิตใจของเฉาจื๋อ ณ ตอนน้ัน
สะท้อนให้เห็นว่า ความตระหนักรู้ในคุณค่าของชีวิตของเขายังคงอยู่บน
บรรทัดฐานของค่านิยมการทาเพื่อส่วนรวม ฉะนั้นความทุกข์เศร้าของ
เฉาจื๋อจะถูกปลอบปะโลมและกา้ วผ่านไปได้ดว้ ยการได้รับการยอมรบั จาก
สังคมและฮ่องเต้เพียงเท่านั้น หากแต่หลังเฉาพีสวรรคตและเฉารุ่ยข้ึน
ครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ เฉารุ่ยยังคงไม่ยอมให้โอกาสทางานแก่
เฉาจื๋อ และยังโยกย้ายเขาไปครองเมืองบ่อยครั้งเพื่อลดทอดอานาจใน
ท้องถน่ิ เฉาจ๋ือเคยสง่ ฎกี าแสดงความเห็นเรื่องนโยบายประเทศ เชน่ ฎีกา
ขอโอกาสให้ตน (《求自试表》) หนังสือว่าด้วยเรื่องที่นา (《藉田
说》) ฎีกาเสนอให้ใช้ลูกหลานทหารของรัฐ (《谏取诸国士息表》)
222
แตค่ วามพยายามพวกน้ีกไ็ มเ่ ป็นผล เฉาจ๋อื ยังคงถกู เฉารุ่ยทอดท้งิ และกักขัง
ไว้ตามเมอื งตา่ งๆ อยา่ งส้นิ หวัง
ตั้งแต่ช่วงที่ดึงดันอยากรับราชการไปจนถึงช่วงที่สิ้นหวังกระทั่ง
ต้องการเพียงกลับเมืองหลวงไปใช้ชีวิตสงบนั้น เฉาจื๋อมักหยิบสัญลักษณ์
ต่างๆ เช่น ดอกแดนดิไลออน หญิงงาม กระเรยี นขาว ภรรยาที่ถกู ทอดทิง้
ฯลฯ มาเป็นสัญลักษณ์ส่อื อารมณ์ความรู้สึกของตนเองในกลอน มีลักษณะ
คล้ายงานเขียนของชวีหยวน (屈原) ในสมัยจา้ นกว๋อ คอื นาเอาความเศร้า
ของตัวเองมาระบายผ่านตานานหรือเรื่องเล่าเทพนิยายหรือสิ่งของ
บางอย่าง สร้างตัวละครท่ีทุกข์เศร้าใจแทนตนเอง เทคนิคการเขียนเช่นน้ี
สามารถทุเลาความทกุ ขใ์ นตวั ของผู้เขยี นลงได้
3. สญั ลักษณ์สือ่ อารมณเ์ ศรา้ ในงานประพนั ธ์ของเฉาจื๋อ
สัญลักษณ์ที่เฉาจื๋อใช้ในงานประพันธ์ที่สื่อถึงอารมณ์เศร้านั้น มี
จุดประสงค์และท่มี าทห่ี ลากหลาย สญั ลักษณบ์ างตัวกระตนุ้ ให้ผู้ประพันธ์ที่
จิตใจสงบจินตนาการและเกิดความรู้สึกทุกข์เศร้าขึ้น สัญลักษณ์บางตัว
เป็นการพรรณนาและเปรียบเทียบเพ่ือระบายหรอื ปลดปล่อยความทุกข์ใน
ใจของผู้ประพันธ์ ในที่นี้ ผู้เขียนขอหยิบยกตัวอย่างสัญลักษณ์ส่วนหนึ่ง
ของงานประพันธ์ของเฉาจื๋อที่มักพบได้บ่อย โดยแบ่งประเภทสัญลักษณ์
ตามลักษณะออกเป็น ภาพบรรยากาศที่ผู้เขียนได้มองเห็น คือภาพที่มอง
ไกลสุดลูกหลู กู ตาและภาพดวงอาทิตย์ถูกบดบัง และสญั ลกั ษณ์ที่ใช้สัตว์มา
เปน็ ตวั แทน
223
3.1 ภาพทวิ ทัศน์
ภาพทิวทัศน์ที่เฉาจื๋อเขียนถึงบ่อยครั้งคือภาพปีนขึ้นเขาหรือขึ้น
หอคอย ภาพที่กาลังมองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา และภาพดวงอาทิตย์ที่
ถกู บดบัง
ในผลงานการประพันธ์ของเฉาจอ๋ื และกวีคนอืน่ ๆ การเดินข้ึนท่ีสูง
เช่นภูเขาหรือหอสูง การมองออกไปยังที่ห่างไกลจากที่สูง การแหงนหน้า
มองฟ้า การปีนต้นไม้ขึ้นสู่ที่สูง มักเป็นการสื่ออารมณ์เศร้าที่นิยมเขียน
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในส่วนเริ่มตน้ ของงานประพันธ์หรือ “ซงิ (兴)” ฉวีหมิง
กัง (1994) ใหค้ าอธบิ ายวา่ “การปนี ขน้ึ ท่สี ูงเป็นเพียงการระบายความทุกข์
ที่เผชิญในสังคมสมัยน้ัน แม้จะสะท้อนความรูส้ ึกนกึ คดิ ในใจออกมาอยา่ ง
เต็มทีผ่ ่านผลงานการเขยี น แตก่ ็มีข้นึ เพียงเพ่อื บรรเทาความทุกข์เศร้าเพียง
เท่านั้น จึงสรุปได้เช่นนี้ว่า คนที่ปีนขึ้นที่สูงในงานประพันธ์นั้นมีอารมณ์
เศร้าและเจ็บปวด”8 ผู้เขียนคิดว่าจักษุสัมผัสคือหนทางรับสารทางหนึ่งที่
เริ่มทางานนับตั้งแต่ลืมตาขึ้น แต่เนื่องจากสารที่ได้รับทางการมองเห็นมี
จานวนมาก ฉะน้ันในขณะทม่ี นษุ ยค์ ดิ วิเคราะห์ สายตาของเราจะหลบเล่ียง
ภาพที่เคลื่อนไหววุ่นวายหรือหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิ ภาพที่มองไกล
ออกไปมักเป็นสภาพแวดล้อมภายนอกที่เหมาะสมต่อมนุษยเ์ วลาใช้สมอง
คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ภาพธรรมชาติต่างๆ อาทิ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ สุด
ปลายทางของถนนเส้นยาว ภาพสุดลูกหูลูกตา จึงมักเป็นภาพลักษณ์ที่
สามารถกระตนุ้ หรอื ปลดปลอ่ ยอารมณ์ความคดิ ในใจบางอยา่ งของนกั กวีได้
ขณะเดยี วกนั สฟี ้าของท้องฟา้ ชว่ ยให้คนรู้สึกผอ่ นคลาย จิตใจสงบ สามารถ
8 瞿明刚(. 1994).试论中国文学的登高主题.江海学刊 2,p.174.
224
ดงิ่ ลงสู่หว้ งความคิดได้อย่างเตม็ ท่ี พฤตกิ รรมการแหงนหน้ามองท้องฟ้าจึง
มักเกดิ ในผลงานทม่ี ักเอย่ ถงึ ชวี ติ ทไี่ ม่สมหวงั ของเฉาจื๋อ เชน่
บทเจี๋ยโหยว (《节游赋》) “仰西岳之松岑,临漳滏之
清渠。观靡靡而无终,何渺渺而难殊。(แหงนมองเทือกเขาฮว๋า
ซานทีส่ ูงตา่ ไล่เรยี งกัน กม้ ลงมองธารนา้ ใสของแมน่ ้าจางและแม่น้าฝู่ มอง
ชมสิ่งสวยงามที่เรียงรายไม่สิ้นสุด ปล่อยความคิดล่องไกลจนไม่อาจหยุด
ได้)” (曹植,1998,p.183)
บทผานสือ (《盘石篇》)“仰天长太息,思想怀故邦。
(แหงนมองฟา้ พลางถอนใจ ในใจคิดคะนงึ ถงึ เมืองเกิด)” (曹植,1998,
p.260)
กลอนหมิงเยวี่ยจ้าวเกาโหลว (《明月上高楼》)“明月照
高楼,流光正徘徊。上有愁思妇,悲叹有余哀。(จันทรก์ ระจา่ ง
สอ่ งลงมายังหอสูง แสงจนั ทรอ์ อ้ ยอ่ิงอย่บู นหอ ด้านบนมีหญิงสาวเฝ้าคอย
สามีกลบั บ้านอย่างโศกเศร้า กระท่ังทอดถอนใจกย็ ังไม่คลาย)” (曹植,
1998,p.313)
เม่ือข้นึ ไปยังทีส่ งู วสิ ยั ทศั นก์ ็กว้างยงิ่ ขึ้น บรรยากาศสงบเงียบเย็น
สบาย สามารถปล่อยใจลอยไปได้สุดทาง เหล่านี้ล้วนทาให้นักประพันธ์
ระบายความเศร้าในใจไดง้ ่ายมากข้ึน นอกจากนี้ ผูเ้ ขยี นเหน็ ว่าการปีนข้ึน
ทส่ี ูงถอื เป็นการออกกาลงั กายอย่างหน่งึ ในขณะที่ออกกาลังกาย สมองของ
มนุษยจ์ ะรวบรวมสมาธิไปทกี่ ารเคล่อื นไหว ซ่งึ มนุษย์สามารถบรรเทาความ
เจ็บปวดในใจด้วยการระบายความเจ็บปวดทางกาย และทาให้จิตใจได้
คลายความทุกข์เศร้าหรือผ่อนคลายความเครียด เมื่อได้ปีนขึ้นสู่ที่สูงได้
สาเร็จ ร่างกายได้ผ่อนคลายเต็มท่ี ผู้เขียนจึงพรรณนาความรู้สึกในใจ
225
ออกมา น่ีเปน็ ขน้ั ตอนของการเขยี นที่กวีจีนคนุ้ เคย กล่าวคือนักประพันธ์ท่ี
เปน็ ทัง้ ผู้ปลดปลอ่ ยความรูส้ ึกและเปน็ ผู้เสพอารมณ์กวีในขณะเดียวกัน
นอกจากน้ี ในงานประพันธ์ของเฉาจือ๋ มักปรากฏภาพดวงอาทิตย์
ถกู บดบังอยบู่ ่อยครั้ง สาหรับคนจีนแลว้ ดวงอาทติ ยเ์ ปน็ พลังที่มอบชีวิตให้
มนุษย์ เพราะดวงอาทติ ย์สามารถสอ่ งแสงใหส้ รรพส่ิงบนโลกมองเห็น มอบ
แสงสว่างและความอบอนุ่ ให้แก่ธรรมชาตแิ ละมนษุ ย์ ใน คัมภีร์พธิ ีกรรม (
《礼记》) มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงการบูชาดวงอาทิตย์ว่า “นี่คือพิธี
รายงานต่อฟ้า โดยบูชาดวงอาทิตย์เป็นหลัก9” ดวงอาทิตย์เป็นเทพองค์
สาคัญที่ชาวจีนบูชา จึงปรากฏอยู่ในวรรณกรรมและเทพนิยายมาโดย
ตลอด และถูกพัฒนามาจนเป็นสัญลักษณ์ของพลังชีวิตที่ทาให้สรรพส่ิง
เตบิ โตขน้ึ
คาโบราณจีนที่กล่าวว่า “ตะวันขึ้นก็ทางาน ตะวันตกดินก็
พักผ่อน10” นั้นสะท้อนให้เห็นว่าชาวจีนดาเนินชีวิตโดยอ้างอิงจากดวง
อาทิตย์ ในยามที่เราไม่ได้รับความเมตตาจากดวงอาทิตย์นั้น ท้องฟ้ามืด
หม่น ดวงอาทิตย์ถูกเมฆขาวบดบัง แสงอาทิตย์มืดมัวลง ภาพที่มองเห็นก็
เริ่มเลือนลาง ทาให้อารมณ์ของคนเปลี่ยนไปในแง่ลบเช่น เบื่อหน่าย
ซึมเศร้า หงอยเหงาได้งา่ ยมากขน้ึ ความมืดมิดจากการทีด่ วงอาทิตย์บดบัง
ทาใหค้ นในสมยั โบราณรู้สกึ วา่ ตนเองกาลังถูกพรากโอกาสและความเมตตา
จากธรรมชาตไิ ด้ เปรียบเหมอื นการพรากความหวังไปจากพวกเขา เชน่
9 大报天而主日也。
10 日出而作,日落而息。
226
บทกา่ นเจย๋ี (《感节赋》) “折若华之翳日,庶朱光之常
照。愿寄躯于飞蓬,乘阳风之远飘。(เดด็ ดอกรว่ั มาบังดวงอาทิตย์
บังแสงสีแดงที่สาดยาวลงมา อยากฝากร่างไปกับเทพเฟยเผิง ขี่วายุลอย
ลอ่ งไปไกลแสนไกล)” (曹植,1998,p.502)
กลอนหลโี หยว (《离友诗》)“日匿影兮天微阴,经迥路
兮造北林。 (ยามดวงอาทิตย์ซ่อนเงาท้องฟ้ามืดสลัว เดินตามเส้นทาง
ยาวไกลต่อไปยงั ป่าทางเหนอื 11)” (曹植,1998,p.55)
นอกจากน้ี การขึ้นลงของดวงอาทิตยใ์ นหนึ่งวันยังสามารถใช้เพ่ือ
เปรยี บกับชวี ิตอันสน้ั ของมนษุ ย์อกี ด้วย เช่น
บทเจยี๋ โหยว (《节游赋》)“嗟羲和之奋策,怨曜灵之无
光。念人生之不永,若春日之微霜。 (ซีเหอเทพธิดาแห่งอาทติ ย์
หวดแส้ควบรถม้าไปอย่างรวดเร็ว เสียดายที่ตะวันตกดินท้องฟ้าไร้แสง
พลางคิดถึงชีวิตคนเราไม่อาจอยู่ยั้งยืนยง เหมือนเกล็ดน้าค้างในยามฤดู
ใบไม้ผลิ)” (曹植,1998,p.183)
3.2 สรรพสัตว์
สรรพสัตว์ในที่นี้ ผู้เขียนจะกล่าวเฉพาะนกและปลา ธรรมชาติ
ของนกคือการโบยบินหากินบนท้องฟ้า ธรรมชาติของปลาคือการแหวก
ว่ายในน้า เมอ่ื น้าตืน้ กป็ รากฏข้นึ น้าลกึ กห็ ลบซ่อนมองไม่เห็น ว่ายไปมาได้
ตามใจต้องการ พวกมันอาศยั อยูใ่ นแม่นา้ แม่น้าเหล่านี้ยังเชื่อมต่อกันกบั
แม่น้าสายอื่นๆ รอบด้าน มนุษย์ขาดอิสระเช่นนกและปลา เพราะ
นอกจากถูกสภาพภูมิศาสตร์จากัดอิสระแลว้ ยงั ถกู สงั คม ครอบครวั ชนช้ัน
11 “ป่าเหนือ” ปรากฏครง้ั แรกใน 《诗经·秦·晨风》แฝงความหมายวา่ คิดถึง
227
จากัดอิสรภาพอีกดว้ ย ด้วยเหตุนีค้ นจีนมักใช้นกและปลาเป็นสื่อถงึ ความ
เศร้าที่ต้องการไขวค่ วา้ อิสระ ต้องการหลุดพ้นจากพนั ธนาการท้ังกายและ
ใจ นกและปลาถูกใช้สื่อถึงอารมณ์ต่างๆ เช่น ความโดดเดี่ยว การคิดถึง
บ้านเกิด เป็นต้น เพื่อชดเชยหรือปลอบประโลมจิตใจของผู้เขียน ไม่วา่ จะ
เป็นนกคู่หรอื ฝงู นก พวกมันลว้ นมีเพื่อนรใู้ จอยูข่ า้ งกาย มเี พอ่ื นทโ่ี บยบินไป
พร้อมๆ กัน นกจึงยังสามารถเปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างคนได้อกี
ด้วย เชน่ ความสัมพนั ธ์พ่อแม่ ญาติพ่ีนอ้ ง เพอ่ื นสหาย หรือเพื่อนร้ใู จ
อุดมคติของเฉาจื๋อคือการได้สร้างคุณูปการณ์เพื่อชาติและได้ใช้
ชีวิตอย่างอิสรเสรี หากแต่สาหรับเขาในตอนนน้ั ทั้งสองเป้าหมายล้วนทา
ให้สาเร็จไดย้ ากแลว้ ฉะนั้นไมว่ ่าเพื่อส่วนรวมหรอื เพือ่ ตวั เอง เขาก็ยังหา
คุณค่าชีวิตที่ตนเองพึงพอใจไม่ได้ เขาหวนนึกถึงประสบการณ์ของตัวเอง
ทกุ ครัง้ ทไี่ ดเ้ ห็นนกและปลาใช้ชวี ิตอย่างอิสระ เขาฝากความรู้สึกโดดเด่ียว
ในใจไว้บนตัวนกที่บินไปแสนไกลเมื่อเห็นนกบินอยู่บนท้องฟ้าเพียงลาพงั
เฉาจ๋อื หลอมรวมการพรรณนาภาพนก ปลาและความรู้สกึ เข้าด้วยกัน เรา
จึงมกั เหน็ เฉาจือ๋ ใชน้ กและปลาเป็นสื่อแทนความหมาย 5 ความหมายดงั น้ี
3.2.1 การกลบั ถ่ินบา้ นเกิด
ในสมัยปลายราชวงศฮ์ ั่น สงครามเกิดขึ้นบอ่ ยครัง้ มีคนต้องจาก
บา้ นไปรับใช้ชาติ ไมไ่ ดก้ ลับบ้านเป็นเวลาหลายปี พวกเขาคิดถึงบ้านเกิด
และเชื่อว่าไม่มีที่ไหนที่ดีเท่ากับบ้านเกิดของตนเอง นั่นเป็นเพราะการที่
คนคนหนึ่งใช้ชีวิตในที่ที่หนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต ทาให้คุ้นเคยและชินกับ
สภาพแวดลอ้ มและอาหารการกินของทีน่ ่ัน วิธีการใชช้ ีวติ อากาศ อาหาร
นิสัยของผ้คู น กระท่ังวัฒนธรรมและงานอดิเรกของคนในพน้ื ท่ีอื่นมกั จะทา
ให้พวกเขารูส้ ึกแปลกที่และไมป่ ลอดภัย
228
เฉาจ๋ือเปน็ คนหนึง่ ทเ่ี ขา้ ใจเรอ่ื งนีด้ ี เพราะความเป็นอยู่ของตัวเอง
กไ็ ม่ต่างอะไรกับทหารเกณฑท์ ีไ่ ปรบั ใชช้ าติในท่ีหา่ งไกล
บทก่านเจี๋ย (《感节赋》) “游鱼潜渌水,翔玄鸟之来
游。嗟征夫之长勤,虽处逸而怀愁。(ชะเง้อดูห่านปา่ บนิ รวมฝงู
นกนางแอน่ คงจะใกลบ้ นิ มาแลว้ เฮอ้ เหล่าทหารออกรบยาวนาน ส่วนข้าท่ี
อยูส่ บายกลับอดรู้สึกเศร้าไม่ได้)” (曹植,1998,p.502)
กลอนบทนี้เขียนขึ้นในสมัยที่เฉาจื๋อถูกกักบริเวณอยู่ในเมือง
ชายแดน ไม่สามารถออกจากเมืองได้ เขาเห็นห่านป่าและนกนางแอ่น
รวมกันเปน็ ฝูง พลันนึกถึงทหารและนักรบแม้ว่าจะรอ่ นเร่อยู่ต่างบ้านตา่ ง
เมอื ง พวกเขากย็ งั ทาเพือ่ ประเทศชาติ ทาตนใหม้ คี ณุ ค่าต่อชวี ิตของตนเอง
และสังคม แต่เฉาจื๋อไม่สามารถอยู่พร้อมหนา้ กบั เพ่ือนและครอบครัว ยิ่ง
ไม่สามารถออกไปทางานเพื่อชาติและส่วนรวมได้ เขาทาได้เพียงเขียน
บทความทอดถอนใจอยใู่ นเมอื งที่ถูกกักขัง
3.2.2 การใฝ่หาอสิ รภาพ
จ้าวโย่วเหวิน (赵幼文,1998,p.240) เขียนคาอธิบาย บท
กระเรยี นขาว (《白鹤赋》) ตอนหน่ึงว่า “หลังจากเฉาพีข้ึนครองราชย์
(เฉาจื๋อ) ถูกบีบบังคับทางการเมืองอย่างหนัก ถูกกักบริเวณให้อยู่ลาพัง
เป็นตายร้ายดีไม่อาจหยั่งรู้ ความหวังเดียวของเขาก็คือปลดพันธนาการ
จากข้อบังคับนี้ เพื่อให้ตนเองได้รับอสิ รภาพ และลดความระแวงในใจของ
เฉาพีลง” เฉาจ๋ือใชน้ กเปน็ สญั ลกั ษณ์ของความอสิ ระ เพราะมนั สามารถทา
หน้าที่ตามฤดูกาลและกฎธรรมชาติได้ตลอดปี ไม่ถูกใครจากัดหรือบีบ
บังคบั แตเ่ ขาทาได้เพียงยืนอยบู่ นท่สี งู เพอ่ื มองนกและทอ้ งฟ้า เขาจะฝาก
229
จิตวิญญาณที่ไขวค่ วา้ หาอิสระไปกบั หมู่นกด้วยเพื่อชดเชยสิง่ ที่ขาดหายใน
ใจ
กลอนซั่วเฟิง (《朔风诗》) “仰彼朔风,用怀魏都。愿
骋代马,倏忽北徂。凯风永至,思彼蛮方。愿随越鸟,翻飞
南翔。(แหงนหน้ารับลมเหนือที่พัดผ่าน ทาให้ข้าหวนคิดถึงเมืองหลวง
ราชวงศ์เว่ย อยากขม่ี ้าดีจากเมืองใต้ โจนทะยานไปยังเมอื งเหนือ ลมใตพ้ ัด
โหมไม่หยุดหย่อน ทาให้นึกถึงแดนใต้ที่ยังไม่สงบร่มเย็น ข้าอยาก
กลายเป็นนกเยวี่ย ที่สามารถบินไปทางใต้ตามสัญชาติญาณ)” (曹植,
1998,p.173)
การตระหนักรู้ในสภาพความเป็นจริงของตนเอง ยิ่งทาให้เฉาจื๋อ
เศร้าไปกว่าเดิม อิสระที่เฉาจื๋อเรียกร้องอยากได้นั้น ไม่เพียงเป็นการ
เรียกรอ้ งขออสิ ระทางกาย หากแตย่ ังรวมถึงอิสระทางจิตวิญญาณอีกด้วย
แม้ว่าจะได้กินดีอยู่ดี แต่ก็ยังไม่อาจทาให้เขาที่มาจากชนชั้นปกครองพึง
พอใจชีวิตที่มีได้ สาหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ขอเพียงแค่ได้กินอิ่มนอน
หลับ ไม่เกิดภัยพิบัติ ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร ก็พอใจมากแล้ว ทว่าเฉาจื๋อไม่
จาเป็นตอ้ งกังวลเรื่องปญั หาปากท้อง เขาจงึ เสาะหาชวี ิตที่มีคุณภาพยิ่งข้ึน
เสาะหาคณุ คา่ ของชวี ติ เชน่
บทโยวซือ (《幽思赋》) “观跃鱼于南沼,聆鸣鹤于北
林。搦秦筝而慷慨,扬大雅之哀吟。仰清风以叹息,寄余思
于悲弦。信有心而在远,重登高以临川。何余心之烦错,宁
翰墨之能传。(มองดูปลากระโดดในแอ่งน้าใต้ ฟังกระเรียนร้องในป่า
เหนือ บรรเลงพิณโบราณระบายความในใจ ร้องสรรเสริญกลอนต้าหย่า
พลางโหยครวญ แหงนหน้ารับลมที่พัดโชยพลางทอดถอนใจ ฝากความ
230
คดิ ถึงของขา้ ไปกับเสน้ เสียงเพลงทอ่ี าดูร เชอื่ ว่าบดั น้ีสหายอยู่แดนไกล จงึ
ปีนขึ้นทสี่ ูงเพอ่ื หนั หนา้ ไปยังแม่น้า ใจของข้าสับสนว่นุ วาย ใช้หมกึ พกู่ นั ส่ง
ตอ่ คาพดู ต่อไปในใจได้จรงิ หรอื )” (严可均,1999,p.129)
3.2.3 ความโดดเดี่ยว
ตั้งแต่เฉารุ่ยครองราชย์ ญาติพี่น้องแต่ละคนถูกแต่งตั้งไปแต่ละ
เมือง ยิ่งทาให้เฉาจื๋อรู้สึกโดดเดี่ยว สิ่งแวดล้อมรอบกายไม่ว่าจะเงยี บสงัด
หรือมีเสียงครึกโครมก็ล้วนกระตุ้นความเหงาในใจของเขาให้รุนแรงขึ้นได้
ทั้งนั้น ดงั เชน่
บทก่านเจี๋ย (《感节赋》) “鸟兽惊以求群,草木纷其
扬英。见游鱼之涔灂,感流波之悲声。 (นกและสัตว์ป่าตามหา
ฝูงอย่างหวาดกลัว ต้นไม้และใบหญ้าสั่นโคลงดอกไม้ใบหญ้าพลิ้วโยก ก้ม
มองปลาที่ลอยขึ้นผิวนา้ รู้สึกไดว้ า่ กระแสน้ากาลังคร่าครวญ)” (曹植,
1998,p.502)
ผู้ประพันธ์โอดครวญว่าสายน้าที่กาลังไหลมีเสียงเหมือนเสียงครา่
ครวญของคน เมื่อเห็นว่าเหล่าสัตว์ที่อยู่ตรงหน้าโดดเดี่ยวและโหยหวน
เขารูส้ ึกว่าภาพธรรมชาติเบอ้ื งหน้าช่างเหมอื นกับตนเองท่ีหา่ งไกลจากกลุ่ม
ญาตพิ น่ี ้องและหาทางกลบั บ้านไม่เจอ ปลายรัชสมัยไท่เหอ เฉาจื๋อรู้สึกว่า
ตนเองยังเหลือเวลาอีกไม่มาก รู้สึกเสียดายที่ตนเองไม่อาจมีชีวิตได้นาน
มากขึ้น ฉะนั้นเขาจึงเขียนบรรยายความรู้สึกหลงฝูงลงใน บทก่านเจี๋ย
(《感节赋》) และหยบิ สัจธรรมท่วี ่า “ชวี ติ คนนัน้ สน้ั ” มาทาให้ตนเองไม่
มวั แตท่ กุ ขก์ บั เรอ่ื งทีพ่ น่ี อ้ งจ้องหา้ หน่ั กนั เอง
231
3.2.4 สัมพันธ์ระหว่างมนษุ ย์
เฉาพีแต่งตั้งพระญาติไปปกครองต่างเมืองต่างๆ ทาให้พระญาติ
เหล่านี้มีเพยี งสถานะแต่ไมม่ ีอานาจทีแ่ ท้จริง เฉาจื๋อที่ถูกกักบริเวณในหัว
เมอื งจงึ มักแสดงความร้สู กึ ตนเองผา่ นผลงานประพนั ธ์ เชน่
กลอนซือถี (《失题》) : “双鹤俱遨游,相失东海傍。雄
飞竄北朔,雌警赴南湘。弃我交颈欢,离别各异方。不惜万
里道,但恐天网张。 (สองกระเรียนบินว่อนบนท้องฟา้ พลดั หลงกัน
บริเวณริมทะเลตงห่าย กระเรียนตัวผู้บินไปยังชายแดนเหนือด้วยความ
กระวนกระวาย กระเรียนตัวเมียบินไปยังแม่นา้ เซียงในแดนใต้ด้วยความ
หวาดกลัว ละทิ้งความเปรมปรีดิ์ที่ได้เกาะกิ่งเคียงคู่ จากกันไปคนละ
ทิศทาง ไม่กลัวต้องเดินทางนับหมืน่ ลี้ เพียงกลัวว่าตาข่ายแห่งฟ้าจะกาง
ขึน้ )” (曹植,1998,p.513)
อยา่ งไรกต็ าม แมฮ้ อ่ งเต้เว่ยทาใหเ้ ฉาจ๋ือหมดหนทาง แต่ฮ่องเต้เว่ย
ก็ยังคงเป็นความหวงั เดยี วที่จะให้โอกาสเขารบั ราชการได้ เขาเพียงหวงั ให้
กษัตริย์ผู้ปกครอง “เปิดตาข่ายให้ (网开一面 หมายถึงขอความเมตตา
และยอมปลดพันธนาการ)” “ยอมอนุโลม (施与宽容)” และ “ให้อิสระ
(给予自由)” เฉาจ๋ือเปรียบตนเองดั่งนกที่ไม่มีปกี ทาไดแ้ ตเ่ พียงพ่ึงพิงคน
อน่ื ทาความฝนั ของตนเองให้เป็นจรงิ เขาฝากความรกั ชาติและอุดมการณ์
ไปกับเหล่าทหารที่ออกรบ ให้จิตวิญญาณของพวกเขาไปทาตามความฝนั
ตนเอง เป็นคนทกุ ข์เศร้าทีใ่ ช้จินตนาการแลกความความสุขเลก็ ๆ ในใจ เชน่
กลอนอวี้จางสิง บทที่สอง (《豫章行·其二》) “鸳鸯自朋
亲,不若比翼连。他人虽同盟,骨肉天性然。 (นกยวนยางชอบ
อยู่เป็นคู่ แต่ก็ยังไม่สูน้ กป่ีอีท้ ีจ่ ะบนิ เคียงข้างกนั ไปตลอด คนอื่นแม้จะคบ
232
หาเป็นพันธมิตรได้ แต่ก็ยังไม่สู้คนเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน)” (曹植,
1998,p.414) ผเู้ ขียนใช้ลกั ษณะทางธรรมชาตขิ องนกในการเปรียบเทียบ
ความสมั พนั ธ์ของมนุษย์ โดยใช้นกยวนยางเปรยี บเปรยเพอื่ น ใชน้ กป่อี ีเ้ ป็น
สัญลักษณ์ของพี่น้อง สาหรับเฉาจื๋อแล้ว ความสัมพันธ์พี่น้องสาคัญกว่า
ความสัมพันธ์ของเพื่อน นั่นทาให้เขายังคงกระหายอยากได้ความอบอุ่น
จากคนในครอบครัว จนกระทั่งเอ่ยวา่ เพื่อนก็ยงั ไมอ่ าจเทียบความสมั พันธ์
ทางสายเลือดได้ สะท้อนให้เห็นว่าเฉาจื๋อต้องการความอบอุ่นและการ
ยอมรับจากพี่ชายของเขามากเพยี งใด
3.2.5 การสร้างภาพพจน์ใหต้ นเอง
งานประพันธ์ของจีนมักใช้กระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของวิญญูชน
ภายนอกน้ัน วญิ ญชู นและกระเรียนลว้ นสง่าผ่าเผย มีความสภุ าพบุรษุ เป็น
คนท่ใี จกว้างและเปน็ อิสระ ภายในจิตใจน้ัน ขงจ่อื ไดเ้ คยกล่าวถึงลักษณะ
ของวญิ ญูชนขณะอธิบาย “เหยาฉือ (爻辞) ” ในคมั ภรี ์โจวอ้ี (《周易》
) ว่า “ ‘กระเรียนร้องอยู่ที่ลับ ลูกของมันขานตอบ ข้ามีเหล้าดีจอกหน่ึง
อยากร่วมดื่มกับท่าน12’ ขงจื่อกลา่ ววา่ ‘วิญญูชนพักอยู่ในท่ีของเขา กล่าว
วาจาท่ดี ี เช่นน้นั คนไกลพนั ลีจ้ ะขานรับเขา ประสาอะไรกับคนที่อยู่ใกล้เล่า
อยู่ในที่ของตนเอง แต่กล่าววาจาที่ไม่ดี เช่นนั้นคนที่ไกลพันลี้ทอดทิ้งเขา
ประสาอะไรกบั คนที่อยู่ใกล้เล่า วาจาออกมาจากกาย สง่ ผลต่อประชาชน
การกระทาเกิดขึ้นในที่ใกล้ แต่ยังปรากฏผลได้ในที่ไกล วาจาและการ
กระทา เป็นกลไกสาคัญของวิญญูชน เมื่อกลไกเปิดใช้ ก็มีความสาคัญ
ตัดสินว่าจะเป็นชื่อเสียงอันดีหรือเป็นความอัปยศ วาจาและการกระทา
12 鸣鹤在阴,其子和之。我有好爵,吾与尔靡之。
233
เป็นสิ่งท่ที าให้วิญญูชนมอี ิทธิพลต่อฟ้าดนิ และสรรพสิง่ จะไม่รอบคอบและ
ไม่ระมัดระวงั ได้อยา่ งไร’13”
วิญญูชนที่แท้จริงจะเอ่ยวาจาที่ดีและกระทาดี ประพฤติต่อผู้อื่น
อย่างจรงิ ใจ คุณธรรมของเขาไม่ว่าจะอยู่แห่งใดก็จะได้รบั การยกย่องจาก
ประชาชนเสมอและสืบทอดเล่าขานมายังคนรุ่นหลังเปรียบเหมือนนก
อินทรีและหงส์ที่ “เพียงกระพือปีกก็บินไกลพันลี้14” เปรียบดั่งปณิธาน
สงู สง่ ของวญิ ญูชน ดังเชน่ กลอนหย่งฮว๋าย ของหรว่ นจ๋ที กี่ ลา่ ววา่ “云间有
玄鹤,抗志扬哀声。一飞冲青天,旷世不再鸣。(กระเรียนดา
โบยบินกลางมวลเมฆ มีปณิธานที่สูงส่ง เปล่งเสียงร้องโหยหวน พลันบิน
ทะยานขึ้นสู่เบื้องบน นับจากนั้นบนโลกก็ไม่มีใครเปล่งเสียงร้องเช่น
กระเรียนดาอีก)15” วิญญูชนจึงเป็นบุคลิกลักษณะในอุดมคติของเฉาจื๋อ
ยึดมั่นในจิตวิญญาณ ไม่พ่ายแพ้ให้กับความต้องการทางวัตถุ คนจีนมี
ความเชื่อว่า “鹤非染而自白 (กระเรียนไม่ต้องย้อมสีก็ขาวบริสุทธ์ิ
เอง)” หมายถึงคนจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
ของวิญญูชนจะไม่โดนสังคมส่งผลกระทบในแง่ร้ายและจะไม่เดินไปใน
ทศิ ทางท่ีไม่ถกู ต้อง
คมั ภรี ์ ฮว๋ายหนานจ่อื กล่าวถงึ กระเรียนกบั การอายยุ ืนว่า “鹤寿
千岁以极其游,蜉蝣朝生暮死以尽其乐。(กระเรียนอายุยืนพัน
ปีแต่มันก็ได้บินไปทั่วอย่างเต็มที่ แมลงชีปะขาวเกิดตอนเช้าตายตอนเย็น
13 杨天才,张善文译注.(2014).周易.北京:中华书局. p.577.
14 飞则一举千里
15 (魏)阮籍、陈伯君校注.(1987).阮籍集校注.北京:中华书
局. p.275.
234
แต่มันก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างเต็มที่)” ผู้เขียนเห็นว่า กระเรียน
ของเฉาจ๋อื ไมเ่ พียงสื่อถึงปณิธานท่ีสงู ส่งของเขา แตย่ งั สามารถตีความได้ว่า
เฉาจื๋อหวังว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่นานพอท่ีจะรอโอกาสรับราชการครั้งหนา้
ไดอ้ กี ด้วย
กระเรียนในงานเขียนของเฉาจื๋อ นอกจากมีความหมายเชิง
สัญลักษณ์ข้างต้นแล้ว ยังถูกใช้เปรียบแทนสภาพชีวิตของตัวเขาเองซึ่ง
แตกตา่ งจากภาพลักษณ์ของกระเรยี นทว่ั ไปในวัฒนธรรมจีนอกี ด้วย ดังเช่น
กระเรียนใน บทกระเรียนขาว
“怅离群而独处。恒窜伏以穷栖,独哀鸣而戢羽。冀
大网之解结,得奋翅而远游。聆雅琴之清韵,记六翮之末流。
(ทอดถอนใจที่ตนเองหลงฝงู และต้องอยู่ตามลาพัง ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ
อยู่อย่างยากลาบาก ได้แต่ร้องโหยหวนแล้วก็เก็บปีกลงเพียงลาพัง ได้
เพียงหวังว่าตาข่ายดักสัตว์จะเมตตาสักครั้ง ให้ข้าได้ฮึกเหิมแล้วโบยบิน
ออกไปสู่อสิ ระ ฟงั เสียงพณิ ทสี่ งา่ และผอ่ นคลายใจ ทาไดเ้ พยี งหลบซ่อนอยู่
ปลายแถวของพวกนกเดยี วกนั )” (曹植,1998,p.238)
กระเรียนใน บทกระเรยี นขาว ของเฉาจือ๋ แม้ได้โบยบนิ แตก่ ลับต่า
ต้อย มนั ไมไ่ ดม้ ปี ณิธานอยากกา้ วผ่านเรื่องทางโลกไปสู่จติ วิญญาณที่สูงส่ง
มันเพียงแค่ต้องการบินตามหงส์ในตานาน (เฉาพี) เท่านั้น แต่เพราะภัย
พิบตั กิ ะทันหนั ครั้งหน่งึ ทาให้กระเรียนขาวกลัวจนไมก่ ล้าเปล่งเสียง ไม่กล้า
กางปีกอีกต่อไป กระเรียนใน บทกระเรียนขาว มีความแตกต่างจาก
สัญลักษณ์กระเรียนในวัฒนธรรมจีน เฉาจื๋อเพียงสรา้ งภาพลักษณ์ใหม่ให้
นกกระเรยี นเพอื่ ใชแ้ ทนตนเองในบทประพันธ์ กระเรยี นตัวนจ้ี งึ ต่าต้อยและ
โศกเศรา้ เหมอื นตวั เฉาจอื๋ ในสมัยหวงชู
235
4.บทสรปุ
ความเศร้าของเฉาจื๋อแบ่งตามช่วงชีวิตได้ 3 ช่วง คือความเศร้าท่ี
เห็นประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยากในรชั สมัยเจี้ยนอนั ความเศร้าที่โหยหา
ความสัมพันธ์พี่น้องในรัชสมัยหวงชู ความสิ้นหวังในการรับราชการและ
ความทกุ ขท์ ่ถี ูกจากัดอิสรภาพในรัชสมัยไท่เหอ ความเศร้าทง้ั สามช่วงชีวิต
นีม้ ีกระตนุ้ ให้เฉาจื๋อพัฒนากลวิธกี ารเขียนใหม้ สี สี นั และสามารถถ่ายทอดได้
อย่างสมจริงย่งิ ขึ้น
การใช้สัญลักษณ์ในวรรณกรรมของเฉาจื๋อเป็นมีอิทธิพลอย่างย่ิง
ต่อการพัฒนาวรรณกรรมของจีนในรุ่นหลัง จากการศึกษา ผู้เขียนพบว่า
เฉาจื๋อมักใช้สัญลักษณ์ทางธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ นก ปลา กระทั่ง
กริยาต่างๆ ของมนุษย์เปน็ สัญลักษณ์แทนอารมณ์ความรูส้ ึกและพรรณนา
ชีวติ ของตน เช่น บทผานสือ ทีผ่ ูเ้ ขียนแหงนหนา้ มองฟ้าพลางถอนใจคิดถึง
บ้านเกิด บทก่านเจี๋ย ที่พรรณนาเฉาจื๋อยามห่านป่าบินรวมฝูงแต่ตนเอง
กลบั ต้องโดดเดยี่ วในเมือง กลอนอวส้ี งิ จาง ทเี่ ปรียบความสัมพันธ์ระหว่าง
เขากับพี่ชายเหมือนดั่งนกปี่อี้ที่บินเคียงคู่กันตลอดชวี ิต บทกระเรียนขาว
เฉาจื๋อเปรียบตนเองเหมือนกระเรียนที่อาศัยอยู่อย่างหลบซ่อนและโดด
เด่ียว สัญลกั ษณแ์ ละควาหมายเหล่าน้ีจะไดร้ ับความนิยมในงานเขียนของ
วญิ ญูชน และส่วนหนง่ึ กลายเปน็ ภาพพจนท์ ่ใี ช้อุปมาอปุ ไมยในอนาคต
236
เอกสารอ้างอิง(References)
(魏)曹植,赵幼文校注.(1998).《曹植集校注》.北京:人民文
学出版社.
常为群.(2001).《失志以后的歌哭——曹植、阮籍诗歌比较》.
南京师大学报(社会科学版)4.
(晋)陈寿.(1999).《宋裴松之注.三国志》.北京:中华书局.
郭会丁.(2005).《园林景观色彩设计初探》.北京林业大学.
邢培顺.(2010).《曹植黄初初年获罪事由探隐》.语言文学研
究,滨州学院学报 26(1).
许嘉璐.(2004).《三国志》第一册.上海:汉语词典出版社.
(清)严可均辑.(1999).《全三国文》上.北京:商务印书馆.
杨天才,张善文译注.(2014).《周易》.北京:中华书局.
张双棣撰.(1997).《淮南子校释》.北京:北京大学出版社.
(梁)钟嵘,向长清注.(1986).《诗品注释》.山东:齐鲁书社.
朱慧、张宇东.(2008).《基于实验心理学的色彩心理探究》.
中国包装工业 (7).
237
บทความวิชาการ
เสยี งเพรียกจากคลนื่ ชวี ติ ชาวประมง
ในนวนยิ าย Angin Timur Laut
Voices of the Fishermen
in the Novel Angin Timur Laut
นูรยี ัน สาแล๊ะ1
Nureeyan Saleh
บทคดั ย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สาระสาคัญต่าง ๆ ท่ี
ปรากฏในนวนิยาย Angin Timur Laut (ATL) ของ เอซ. โอซมัน
กลันตัน (S. Othman Kelantan) ในฐานะที่เป็นนวนิยายสะท้อนสังคม
ชาวประมงมลายูในรัฐกลนั ตันประเทศมาเลเซีย โดยพิจารณาความสัมพนั ธ์
ระหว่างประวัติผู้แต่ง ตัวบทและบริบทอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการผลิตนว
นิยายดังกล่าวควบคู่กัน ผลการวิเคราะห์พบว่าผู้แต่งเขียนนวนิยาย ATL
จากประสบการณ์ของตนเองที่ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวประมงมลายูใน
รัฐกลันตัน ตัวบทนวนิยายได้สะท้อนภาพปัญหาของชาวประมงที่เกิดจาก
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ สังคมเศรษฐกิจ สังคมการเมือง และสังคม
วัฒนธรรมมลายูในประเทศมาเลเซียในช่วงปีทศวรรษ 1960 โดยมีนัยเพื่อ
1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., หลักสูตรภาษามลายู สาขาวิชาภาษาตะวันออก คณะ
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา, E-mail :
[email protected]
238