The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมบทความเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by asadayuth, 2021-12-08 12:51:16

สายนทีแห่งวิทยา 60 ปี ภาควิชาภาษาตะวันออก

หนังสือรวมบทความเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิธีการสร้างอานาจของตระกูลโฮโจ จนต้องหันไปพึ่งพาอานาจจากราช
สานักในท่สี ุด

6.2 มุมมองระหวา่ งพีน่ อ้ ง
ในหัวข้อนี้ ผู้วิจัยจะวิเคราะห์มุมมองของโยะฌิมุระ กับ

ทะเนะโยะฌิที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง โดยแบ่งเป็นฉากก่อน
สงคราม และฉากภายหลังสงคราม รวมทั้งพิจารณาว่าความแตกต่างของ
มมุ มองที่มตี ่อรฐั บาลทหารสง่ ผลต่อความสัมพันธร์ ะหวา่ งพี่นอ้ งอยา่ งไร

6.2.1 ฉากก่อนสงคราม
ก่อนสงครามจะเริ่มข้นึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างพนี่ ้องปรากฏเฉพาะ

จากมมุ มองของทะเนะโยะฌทิ ่มี ีตอ่ พ่ชี ายเท่าน้ัน ดังจะเหน็ ได้จากเนอื้ หาใน
สารที่ทะเนะโยะฌิวางแผนจะสง่ ไปหาโยะฌมิ ุระ ความว่า

“ท่านผู้ว่าการเมอื งซุรุงะ (โยะฌิมุระ) โปรดจงทาทีร่วมมือกับกน
ดะอิบุ (โยะฌิโตะกิ) และฟันคอบุตรของข้าท่ีมีอายุ 5 ขวบ 7 ขวบ และ 9
ขวบ ต่อหน้ากนดะอบิ ุ หากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ท่านกนดะอิบุย่อมจะไม่
เคลือบแคลงใจในตวั ท่านพ่ี (ละขอ้ ความ) ท่านพไ่ี ดโ้ ปรดชว่ ยสนบั สนนุ พวก
เราตระกูลมิอุระ และกาจัดกนดะอิบุไปเสีย หากปลิดชีพได้สาเร็จ แม้
ทะเนะโยะฌิจะสญู เสียบุตรสามคนไป แต่ถือเปน็ การแลกกับส่งิ นั้น ท่านพ่ี
กับขา้ เราสองคนมาชว่ ยกันปกครองญป่ี นุ่ ไปดว้ ยกนั เถดิ ” (น.309)

ผู้เขียนฉบับจิโกจินาเสนอให้ทะเนะโยะฌิยอมสละชีวิตบุตรชาย
ของตนเอง เพื่อใหแ้ ผนการล้มตระกูลโฮโจสาเร็จ นอกจากน้ี ทะเนะโยะฌิ
ยงั เผยความปรารถนาที่ต้องการใหพ้ ่ีชายและตนเองปกครองประเทศญ่ีปุ่น
แทนที่ตระกูลโฮโจ ส่วนในฉบับมะเอะดะ ทะเนะโยะฌิวางแผนจะเสนอ
ตาแหน่งหน้าที่เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พี่ชายยอมให้ความร่วมมือ จะเห็นได้

89

วา่ ผู้เขยี นฉบับจิโกจิไม่ได้มุง่ นาเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพยี งเพือ่ สร้างแรงจูงใจ
ให้กบั พี่ชายดงั เช่นฉบบั มะเอะดะ หากแต่เน้นบทบาทของพี่น้องในการร่วม
สร้างอานาจใหแ้ ก่ตระกูล

นอกจากนี้จะสังเกตได้ว่า ผู้เขียนฉบับจิโกจิยังได้นาเสนอ
พฤตกิ รรมของทะเนะโยะฌทิ ีย่ อมสละชีวติ บตุ รชายเพื่อโค่นลม้ ตระกูลโฮโจ
ทั้งนี้หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนักรบบิดาและบุตรในนิยาย
สงครามสมัยคะมะกุระ-มุโระมะชิ โดยทั่วไปแล้ว ผู้เขียนมักนาเสนอ
บทบาทของบิดาที่ปกป้องชีวิตบุตร 9 สาหรับกรณีของตัวละครอื่นๆ เช่น
มารดาทีย่ อมสละชวี ติ ของบตุ รมีปรากฏให้เหน็ อยบู่ า้ งเปน็ ส่วนนอ้ ย เช่น ใน
เรื่อง “เฮะอิจิโมะโนะงะตะริ”(『平治物語』) ฉบับกะกุฌูอิน (学習
院本)ภายหลงั ตระกูลมนิ ะโมะโตะแพ้สงคราม โทะกวิ ะ โกะเส็น(常葉御
前) ได้พาบุตรชาย 3 คนซึ่งมีสายเลือดของตระกูลมินะโมะโตะหนีจาก
การถูกตามล่า ทว่าเมื่อนางรู้ข่าวว่า ฝ่ายศัตรูจับตัวมารดาเป็นตัวประกนั
โทะกิวะก็ตัดสินใจพาบุตรชาย 3 คนมามอบตัว เพอ่ื ชว่ ยชวี ิตมารดา แม้จะ
รู้ดีว่าบุตรชายของตนย่อมจะถูกนาตัวไปประหาร ในฉากนี้ผู้เขียนได้

9 ซะเอะกิ ฌินอิชิ (佐伯真一, 2004, pp.117-118) ชี้ว่า ในนิยายสงครามเรื่อง
“เฮะอิเกะโมะโนะงะตะร”ิ (『平家物語』)ผู้เขียนมักนาเสนอบทบาทของนักรบที่

ใหค้ วามสาคัญกับชีวิตของบุตร เช่น ในฉากที่ เซะโนะโอะ คะเนะยะซุ (妹尾兼康)

แพ้สงครามในการตอ่ สกู้ บั ทพั ของคโิ ซะ โยะฌนิ ะกะ(木曽義仲) เขาตัง้ ใจจะหลบหนี

ไปยังยะฌิมะ หากแต่ความเป็นห่วงบุตรชาย จึงย้อนกลับไปช่วยบุตรชายต่อสู้จน
เสียชีวิตในสงคราม ซะเอะกยิ ังได้ชี้วา่ รูปแบบการนาเสนอให้บิดาตดั คอบุตรไปมอบ

ให้ผ้เู ป็นนายนัน้ มักปรากฏในการแสดงละครคะบกุ ิ หรอื ละครหุ่นโจรรุ ิในสมยั เอโดะ

90

บรรยายถงึ การกระทาของโทะกิวะว่าเป็นสง่ิ ท่ีแตกต่างจากการกระทาของ
ผู้คนทั่วไป และกล่าวชื่นชมความกตัญญูของนางที่ยอมแลกกับชีวิตของ
บุตร10 จะเห็นได้วา่ ผู้เขียนนาเสนอการกระทาที่ต่างจากคนทัว่ ไปโดยให้ตัว
ละครยอมสละชีวิตของบุตร เพื่อแสดงถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะ
ช่วยบุพการีให้ปลอดภยั จากรูปแบบการนาเสนอดังกล่าว ทาให้วิเคราะห์
ได้ว่า การนาเสนอพฤตกิ รรมของทะเนะโยะฌิทยี่ อมสละชีวิตของบุตรชาย
นั้น เป็นไปเพื่อชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของ
ทะเนะโยะฌใิ นการโค่นล้มตระกลู โฮโจ และสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ตระกลู
นอกจากน้ี การเลอื กพีช่ ายเป็นผู้ร่วมกนั สร้างอานาจให้แก่ตระกูลมิใช่บุตร
น ั ้ น ย ั ง สะท้ อ นให ้ เห ็น ถึงท่ าที ขอ งทะเน ะโ ยะ ฌิ ที่ ให ้ ความ ส าคัญกับ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างพ่ีน้องได้อย่างชัดเจน

จะเห็นได้ว่า แม้ทะเนะโยะฌิกับโยะฌิมุระจะอยู่คนละฝ่ายกัน
ทว่าผู้เขียนก็ได้น าเสนอให้ทะเนะโยะฌิตระหนักถึงความสัม พันธ์ที่มีต่อ
พี่ชาย อีกทั้งยังเน้นความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะร่วมกันกาจัดตระกูล
โฮโจและสรา้ งความร่งุ เรืองให้แกต่ ระกูล แม้ต้องแลกกับชวี ติ ของบตุ รกต็ าม

10 เหลา่ นางกานลั ตา่ งช่นื ชมการกระทาของโทะกวิ ะว่า “หากเป็นสตรที ว่ั ไปย่อมจะคิด
ว่า “แม่ที่แก่ชราไม่รู้จะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ฉะนั้นจึงเลือกที่จะสวดมนต์ให้ใน
ชาตภิ พหนา้ และชว่ ยชีวติ ลูกทยี่ ังมชี ีวิตอีกยาวไกล”แต่ท่านกลับต้ังใจจะยอมสูญเสีย
ลูกทุกคนไป และช่วยแม่เพียงคนเดียว ท่านช่างมีจิตใจที่ดีงามหาไดย้ ากยิง่ นัก” (น.
256)

91

6.2.2 ฉากภายหลังฝา่ ยราชสานกั แพ้สงคราม
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเริ่มปรากฏความบาดหมาง ภาย

หลังโยะฌิมุระนาแผนการของผู้เป็นน้องไปแจ้งแก่โยะฌิโตะกิ และเมื่อ
ทะเนะโยะฌิตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ความบาดหมางระหว่างพี่น้องก็
ปรากฏชัดเจนขึน้

1) ฉากทะเนะโยะฌเิ ผชญิ หน้ากับโยะฌมิ ุระ
ภายหลงั จากทะเนะโยะฌิแพส้ งคราม เขากต็ ้ังใจจะเขา้ ต่อสูเ้ ป็น
ครง้ั สดุ ทา้ ย และผู้ทที่ ะเนะโยะฌิคดิ วา่ มีความเหมาะสมเปน็ คู่ต่อสู้กค็ อื
โยะฌมิ รุ ะ พ่ชี ายของเขานน่ั เอง
ทะเนะโยะฌเิ ผยความตงั้ ใจกับเหลา่ นกั รบวา่ “คงจะดีเสยี กว่า
ตายด้วยนา้ มอื คนอนื่ ข้าอยากจะเจอพี่ชายเป็นคร้ังสดุ ท้าย และบอกส่งิ ท่ี
คิดไว้ แลว้ ค่อยให้พ่ีปลิดชีพขา้ ไปเสยี ” (น.350)
เมอื่ ทะเนะโยะฌเิ ผชญิ หน้ากบั โยะฌมิ ุระ เขาก็ไดเ้ ผยความรูส้ ึกวา่
“ตัวข้า ทะอริ ะ คุโร โฮงนั ทะเนะโยะฌิ ควรจะใช้ชีวิตอยู่ที่คะมะ
กรุ ะ หากแตเ่ รอ่ื งท่ีทา่ นพท่ี ากับขา้ มนั ชา่ งน่าเจ็บแคน้ ใจ ความรูส้ กึ ผดิ หวังท่ี
เกิดขึน้ ทาให้ขา้ ตดั สนิ ใจเข้าเมอื งหลวงมารับใชอ้ งคอ์ ดีตจักรพรรดิ แล้วก่อ
กบฏยังไงล่ะ แล้วตอนที่ข้าส่งสารไปหวังจะพึ่งพาท่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึก
ผิดหวัง ตอนนี้ท่านพ่ีเป็นพวกของกนดะอิบุ ก็เลยเป็นตัวกลางส่งข่าวของ
วะดะ ซะเอะมน (วะดะ โยะฌโิ มะร)ิ จนทาใหต้ ้องสญู เสยี ลงุ ไป” (น.351)

92

ทวา่ โยะฌมิ ุระกลบั ตอบมาวา่ “ไมม่ ีประโยชนอ์ ะไร ทจี่ ะมาตอ่ สู้
กบั คนบา้ บอแบบนี้” (น.351) จากน้นั ก็ขีม่ า้ จากไป 11

ภายหลังจากทะเนะโยะฌิแพส้ งคราม ผู้เขียนเผยความบาดหมาง
ของทะเนะโยะฌิที่มีตอ่ พี่ชายไว้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นไดจ้ ากการใช้คาว่า
“ช่างน่าเจ็บแค้นใจ” “รู้สึกผิดหวัง” ความบาดหมางที่ทะเนะโยะฌิ
กลา่ วถงึ สรปุ ได้เปน็ 2 ครัง้

ในครั้งแรก ความบาดหมางกับพี่ชายเป็นเหตุให้ทะเนะโยะฌิ
ตัดสนิ ใจไปสวามิภักดิ์ฝา่ ยอดตี จกั รพรรดิ ทัง้ นผ้ี เู้ ขยี นไม่ได้กล่าวถงึ สาเหตุ
ที่ผิดใจกันไว้ อย่างไรก็ตาม มะท์ซุบะยะฌิ ยะซุอะกิ (松林靖明, 1992,
pp.89-90) วเิ คราะหว์ า่ ความแค้นของทะเนะโยะฌเิ กดิ จากการท่ีพี่ชาย
มีส่วนทาให้เส็งเงียวบุตรของภรรยาเสียชีวิตลง การกระทาของพ่ีชายยงั
เท่ากับเป็นการทาลายความหวงั ของทะเนะโยะฌิท่ีตอ้ งการจะผลักดันให้
เส็งเงียวไดเ้ ป็นโชกนุ คนถัดไป ทัง้ นหี้ ากพจิ ารณาย้อนกลับไปทเี่ หตุการณ์
เมื่อครั้งที่ทะเนะโยะฌิเผยสาเหตุที่ยอมร่วมมือกบั ฝ่ายอดีตจักรพรรดิ ก็
จะเห็นได้ว่า บทวิเคราะห์ของมะท์ซุบะยะฌิ สอดคล้องกับงานวิจัยของ
เซะกิ ยุกิฮิโกะ (関幸彦, 2012, p.73) กล่าวคือ การที่ตระกูลมิ
น ะ โ ม ะ โ ตะสู ญ สิ ้น ทาย าทผู ้ สื บทอ ดต าแหน่ งโ ชก ุ นเป็ นชนว นเหตุให้
ทะเนะโยะฌิหันหลงั ให้กบั ฝ่ายรัฐบาลทหาร ทวา่ จากการท่ที ะเนะโยะฌิ

11 ในฉบับมะเอะดะ ฉากที่ทะเนะโยะฌิเผชญิ หน้ากับทพั ของโยะฌิมุระ ผู้เขียนไม่ได้

กล่าวถึงท่าทีของโยะฌิมุระ รวมทั้งบทสนทนาของทั้งคู่ หากแต่บรรยายเพียงว่า มี

กลมุ่ นกั รบฝ่ายศัตรูซึง่ หน่ึงในนั้นมโี ยะฌิมรุ ะรวมอยู่ดว้ ย กลุม่ นักรบดังกล่าวตัดสินใจ

ไมเ่ ข้าต่อส้กู บั ทะเนะโยะฌิ เพราะเคยสนทิ สนมกนั มาแตเ่ ดิมที

93

เผยความรู้สึกภายหลังแพ้สงครามได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่สร้าง
ความเจ็บแค้นใจไม่ได้มีเพียงโฮโจ โยะฌิโตะกิ หากแต่ยังหมายรวมไป
ถึงโยะฌิมุระด้วยเชน่ กนั

แม้ว่าแผนการสร้างอ านาจของตระกูลโฮโจจะส่งผลให้
ทะเนะโยะฌิรู้สึกเจ็บแค้นใจพี่ชายของตนไปด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่า
สังเกตว่า ก่อนทะเนะโยะฌิจะแพ้สงคราม ผู้เขียนนาเสนอให้เขาเผย
ความแค้นทม่ี ตี อ่ โยะฌโิ ตะกเิ พยี งคนเดยี วเท่านั้น ยิ่งไปกวา่ นน้ั ทะเนะโยะฌิ
ยังส่งสารไปขอความร่วมมือจากพี่ชาย รวมทั้งเผยความปรารถนาท่ี
ต้องการจะปกครองประเทศร่วมกนั อาจกล่าวได้ว่า ทะเนะโยะฌิแม้จะมี
ความแค้นใจ หากแต่ก็ยังไม่หมดหวังในตัวพี่ชาย ลักษณะการนาเสนอ
ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทะเนะโยะฌิที่จะลบรอย
บาดหมาง และรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างพ่ีน้องไว้ หากแต่พี่ชายกลับนา
ข่าวนั้นไปแจง้ ให้โยะฌิโตะกิ ซ้ารอยเหตุการณ์เมือ่ ครั้งที่เขาหักหลังวะดะ
โยะฌโิ มะรลิ กู พ่ลี กู นอ้ ง จากการทีพ่ ่ีชายเลอื กท่ีจะอยู่ขา้ งตระกูลโฮโจนี้เอง
จึงทาให้ทะเนะโยะฌิรู้สึกผิดหวังเป็นครั้งที่สอง และหมดความหวังว่าพ่ี
น้องจะกลบั มาปรองดองและสร้างความรุ่งเรืองรว่ มกนั ย่ิงไปกวา่ น้นั ในฉาก
ที่ทะเนะโยะฌิเผชิญหน้ากับโยะฌิมุระและเผยความแค้นใจ ผู้เขียนยัง
นาเสนอปฏกิ ริ ิยาของโยะฌมิ รุ ะทไ่ี ม่สนใจตอ่ ความรูส้ กึ ของผู้เปน็ น้อง ท่าที
ดังกล่าวทาให้ผู้อ่านมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความบาดหมางระหว่างพ่ี
นอ้ งไม่อาจคลค่ี ลายลงได้

อาจกล่าวไดว้ า่ การนาเสนอใหท้ ะเนะโยะฌิไมเ่ ผยความแค้นใจที่มี
ต่อพี่ชายตั้งแต่กอ่ นสงครามจะเริ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามใน

94

การลบความบาดหมาง และรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไว้ ใน
ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็นาเสนอให้โยะฌิมุระเลือกที่จะอยู่ข้างตระกูลโฮโจ
รวมทง้ั แสดงท่าทเี มินเฉยตอ่ ความรสู้ กึ ของนอ้ งชาย จากปฏกิ ริ ิยาของโยะฌิ
มรุ ะทาให้ผู้อา่ นเห็นไดอ้ ย่างชัดเจนว่า ความพยายามทีจ่ ะประสานรอยร้าว
น้ีเกดิ ขึ้นจากทะเนะโยะฌเิ พยี งฝา่ ยเดียว

2) ฉากวาระสดุ ท้ายของทะเนะโยะฌิ
ในวาระสุดท้ายก่อนทะเนะโยะฌิจะปลิดชีพตนเอง เขาได้กล่าวถึง
พชี่ ายไวด้ งั นี้
ตัวทะเนะโยะฌิต่างหากที่สูญสิ้นบารมีแห่งทวยเทพซึ่งคอย
ค้มุ ครองนักรบไปแลว้ ทว่าหากข้าปลิดชพี ผทู้ ี่เข้าต่อสกู้ ับเจ้าผู้ครองแผ่นดิน
จนชนะสงคราม ผู้ทีส่ มควรมชี ีวติ อยู่ในโลกน้ี (ผูท้ เี่ หมาะสมจะมีชีวิตอยู่บน
โลกน้ี) แล้วใครเล่าจะเป็นผู้สวดมนต์ให้พอ่ แม่ ยามที่ท่านเสียชีวิตไป (น.
351)
ในฉบับจิโกจิ ผู้เขียนนาเสนอให้ทะเนะโยะฌิยอมรับว่า ตนไม่มี
“บารมีแหง่ ทวยเทพซึง่ คอยคมุ้ ครอง” (冥加)อกี ตอ่ ไป และเช่ือว่าพ่ีชาย
ซึ่งสามารถเอาชนะอดีตจักรพรรดิโกะโตะบะได้เปน็ “ผู้ที่สมควรมชี ีวิตอยู่
ในโลกน้ี” รวมทั้งยังได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของบุตรที่มีต่อบุพการียาม
สิ้นชวี ติ ท้งั น้ีผู้เขียนไมไ่ ดน้ าเสนอปฏกิ ิริยาของโยะฌิมุระภายหลังน้องชาย
ปลิดชพี แต่อย่างใด
ส่วนในฉบบั มะเอะดะ ผูเ้ ขียนนาเสนอให้ทะเนะโยะฌฝิ ากให้ข้ารับ
ใช้นาศีรษะของตนเองและบุตรชายไปให้โยะฌิมุระ โดยหวังให้พี่ชาย

95

นาไปใช้ขอบาเหน็จรางวัล อยา่ งไรก็ตาม เขาได้ฝากคาส่งั เสียถึงโยะฌิมุระ
โดยกล่าวเตือนการกระทาของพี่ชายที่หักหลังพวกพ้องจนถูกผู้คนติฉิน
นินทา ท่าทีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ทะเนะโยะฌิปรารถนาให้พี่ชายมี
ความก้าวหน้าในตาแหน่งหน้าที่ ในขณะเดยี วกันกไ็ ม่ตอ้ งการให้พ่ีชายต้อง
เสอื่ มเสียช่ือเสียงดงั เช่นที่ผ่านมา หลงั จากโยะฌิมุระได้รับศีรษะของผู้เป็น
น้อง เขาก็แสดงความรู้สึกซาบซึ้งต่อความปรารถนาดีของน้องชาย และ
กล่าวว่า “ตัวข้าโยะฌิมุระ ไม่ใช่ว่าไม่รู้หลักครรลองของโลกใบน้ี แต่เป็น
เรือ่ งธรรมดาของนกั รบ การท่ีพ่อลกู พ่นี อ้ งตอ้ งมาเป็นศัตรูกัน ไม่ใช่เร่ืองท่ี
เพิ่งเคยเกิดข้ึน” (น.72) คากล่าวของโยะฌิมรุ ะแสดงให้เหน็ ว่า เขาเข้าใจ
“หลักครรลองของโลก” กล่าวคือ การให้ความสาคัญกับสายสัมพันธ์ของ
คนในตระกูลตามหลักปฏิบัติของคนในสังคม ทว่าสาหรับนักรบแล้ว การ
ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทีพ่ ี่น้องฆา่ ฟนั กันเองเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนอยู่บ่อยครงั้
จนกลายเป็น “เรื่องธรรมดาของนักรบ” จากการยกเหตุผลดังกล่าว
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่า สถานภาพในฐานะนักรบเป็นปัจจยั ทน่ี าพาให้เขาต้องทา
ผิดต่อ“หลักครรลองของโลก” ไม่ใชค่ วามปรารถนาที่แทจ้ รงิ ของตนเอง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งสองฉบับต่างปิดท้ายฉากโดยนาเสนอการ
คลี่คลายความบาดหมางระหว่างพี่น้องไว้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม
บทบาทระหว่างพี่น้องก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ในฉบับมะเอะดะ
ผเู้ ขยี นนาเสนอใหท้ ะเนะโยะฌิมคี วามหวงั ดตี อ่ พ่ชี าย ในขณะท่โี ยะฌิมุระก็
เผยความรู้สกึ ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ไดเ้ กิดจากเจตนาของตนเอง จะ
เห็นได้ว่า ผู้เขียนฉบับมะเอะดะมอบบทบาทให้ทั้งพี่และน้องต่างแสดง

96

ความปรารถนาดีที่มีต่อกัน ในขณะที่ฉบับจิโกจิ ผู้เขียนนาเสนอท่าทีของ
ทะเนะโยะฌิแต่เพยี งฝา่ ยเดียวเทา่ นั้น

นอกจากนี้ ความแตกต่างอีกประการหนึง่ ซึ่งไม่อาจมองขา้ มไปได้
ก็คือปจั จยั ทนี่ าไปสู่การคล่ีคลายความบาดหมาง ในฉบับมะเอะดะ ผู้เขียน
นาเสนอใหค้ วามบาดหมางในตระกลู เป็น“เรอ่ื งธรรมดาของนักรบ” การยก
เหตุปัจจัยจากสถานภาพนักรบดังกล่าวนี้เองทาให้ผู้อ่านมองเห็นได้ว่า
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายผิด
ในขณะที่ฉบับจิโกจิ ผู้เขียนนาเสนอให้ทะเนะโยะฌิเป็นฝ่ายยอมรับว่า
ตนเองไม่มีอานาจของเทพคอยคุ้มครองอีกต่อไป ส่วนพี่ชายซึ่งสามารถ
เอาชนะอดีตจักรพรรดิโกะโตะบะได้นั้นเป็นผู้ท่ีเหมาะสมจะมีชีวิตอยู่บน
โลกนี้ คุซะกะ ท์ซุโตะมุ (日下力, 2008, p.27) วิเคราะห์ว่า การที่พี่ชาย
เอาชนะผู้ครองแผ่นดินได้ ทาให้ทะเนะโยะฌิตระหนักถึงดวงของพี่ชายท่ี
เหนือกว่าตน ท่าทดี งั กล่าวสอดคล้องกบั รปู แบบการนาเสนอของฉบับจิโกจิ
ที่ชี้ให้เห็นว่า บุญวาสนา(果報)ของโฮโจ โยะฌิโตะกิอยู่เหนือกว่าอดีต
จักรพรรดิโกะโตะบะ12

12 โอท์ซุ ยูอิชิ (大津雄一, 1999, pp.35-37) วิเคราะห์ว่า ฉบับจิโกจิมีลักษณะการ
นาเสนอที่เปน็ เอกลกั ษณแ์ ตกตา่ งจากฉบบั อ่ืนทกี่ ารมงุ่ เนน้ การนาเสนอบุญวาสนาของ
โฮโจ โยะฌิโตะกิ ให้อยู่เหนือกว่าอดีตจักรพรรดิโกะโตะบะ การเน้นแนวคิดเรื่องกฎ
แห่งกรรมให้เป็นเหตุปัจจัยในการได้ขึ้นมาเป็นผู้มีอานาจ ส่งผลให้ความสูงส่งของ
ระบบอานาจจกั รพรรดิถกู ลดทอนลง

97

นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังตั้งข้อสังเกตว่า ในนิยายสงครามมักนาเสนอ
รูปแบบการคลี่คลายความแค้น โดยให้ผู้แพ้เป็นฝ่ายยอมรับว่าตนเองไม่มี
บารมีของเทพคอยคมุ้ ครองอีกต่อไป รวมทง้ั การบรรยายถึงบญุ วาสนาของ
ผูช้ นะท่เี หนือกวา่ เพอื่ ชถ้ี ึงความพ่ายแพอ้ ันเปน็ ผลมาจากพระประสงค์ของ
เทพ หรืออานาจของบุญกรรม13 จากรูปแบบการนาเสนอดังกล่าว จึงอาจ
วเิ คราะห์ไดว้ ่า ผเู้ ขยี นนาเสนอท่าทีของทะเนะโยะฌิทีย่ อมรบั ความพ่ายแพ้
ของตนเอง เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การคลี่คลายความแค้น นอกจากนี้ การท่ี
ทะเนะโยะฌิตระหนกั ถึงบทบาทในการสวดมนต์ให้บดิ ามารดายังสะท้อน
ให้เห็นว่า หน้าที่ในฐานะบุตรที่พึงปฏิบัติต่อบิดามารดา กล่าวคือ ความ
ผกู พนั ภายในครอบครัวไดก้ ลายเปน็ ปจั จัยสาคัญในการคล่ีคลายบาดหมาง
ระหว่างพี่น้อง ต่างจากฉบับมะเอะดะทีเ่ น้นปัจจัยในเชิงสังคมอันเกิดจาก
สถานภาพนกั รบ

จากเรื่องราวของสองพ่ีน้องตระกลู มิอุระในฉบับจิโกจิ จะเห็นได้
ว่า ผู้เขียนนาเสนอให้ความบาดหมางระหว่างโยะฌิมุระกับทะเนะโยะฌิ

13 ในเรื่อง “เฮะอิเกะโมะโนะงะตะริ”(『平家物語』)ฉบับเอ็งเงียว(延慶本)
ภายหลังฉากการลม่ สลายของตระกลู ทะอิระ ผูเ้ ขียนได้บรรยายถึงบุญวาสนาของโยะ
รโิ ตะโมะวา่ “จอมพลผู้นี้สญู เสียมารดาต้งั แต่อายุ 12 ปี และตอ้ งพลัดพรากจากบิดา
ตอนอายุ 13 ปี ตอนทีถ่ ูกเนรเทศมาท่ฮี ริ งุ ะฌมิ ะ เมอื งอสิ ุ จะมใี ครคิดวา่ โยะริโตะโมะ
เป็นผู้มีบุญญาวาสนาดเี ช่นนี้ ” (น.549) เพ่ือช้ีใหเ้ หน็ วา่ บุญวาสนาเป็นปัจจัยสาคัญ
ที่ช่วยพลกิ ผันชะตากรรมของโยะรโิ ตะโมะให้เป็นฝ่ายชนะตระกูลทะอิระ และได้ขึ้น
ดารงตาแหนง่ เซะอิตะอิโชกุนในท่ีสุด

98

เป็นผลมาจากมุมมองที่มีต่อรัฐบาลทหารที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ความ
ผูกพันระหว่างนายบ่าว ทาให้โยะฌิมุระให้ความสาคัญกับตระกูลโฮโจผู้
เปน็ นายเหนือกว่าพวกพ้อง และมองข้ามความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้เป็นน้องไป
และด้วยเหตุนี้เอง บทบาทในการประสานรอยร้าวจึงถูกมอบให้
ทะเนะโยะฌิแต่เพียงฝ่ายเดยี ว ในขณะที่ทะเนะโยะฌิในอดีตแมจ้ ะเคยรับ
ใช้รัฐบาลทหารเช่นเดียวกัน ทว่าทะเนะโยะฌิไม่อาจยอมรับการกระทา
ของตระกูลโฮโจ รวมทั้งโยะฌิมุระที่มีส่วนรู้เห็นกับการสังหารเส็งเงียวได้
การเสียชีวิตของเส็งเงียวไม่เพียงเป็นเหตุให้ภรรยาทุกข์ตรมใจ หากแต่ยัง
ส่งผลให้ตระกูลมินะโมะโตะขาดทายาทผู้สืบทอดต าแหน่งโชกุน
นอกจากนี้ สาหรับทะเนะโยะฌใิ นฐานะผู้ดูแลทายาทของโชกุนโยะฌิอิเอะ
แลว้ การเสยี ชวี ติ ของเสง็ เงียวยงั สง่ ผลให้ทะเนะโยะฌิไม่อาจทาหน้าที่ต่อผู้
เป็นนายไดส้ าเร็จ อาจกล่าวได้วา่ การสูญเสยี บทบาทหน้าที่ในฐานะผู้ดูแล
ทายาทของโชกนุ อาจเป็นแรงผลักดันอีกประการหนึง่ ที่ทาให้ทะเนะโยะฌิ
หันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายอดีตจักรพรรดิ เป็นที่ทราบกันดีว่า ตามระบบการ
บริหารงานในรฐั บาลคะมะกรุ ะ นกั รบต้องปฏิบัติหนา้ ทรี่ ับใช้โชกุน เพ่ือให้
ได้มาซึ่งสิทธิในการครอบครองที่ดิน รวมทั้งการได้รับปูนบาเหน็จ 14

14 รฐั บาลทหารทค่ี ะมะกรุ ะสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนายบ่าว จากการใช้ระบบการ
ปกครองโกะเกะนิน(御家人) หรือนักรบที่อยู่ในอาณัติของโชกุน โดยกาหนดให้
นักรบต้องทางานรับใช้โชกุน (奉公) เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รบั บาเหน็จรางวัล
หรอื การคุ้มครองของโชกนุ (御恩) เชน่ การรับรองสทิ ธใิ นการครอบครองท่ีดินท่ีมี

99

ฉะนั้นการที่โยะฌิมุระตระหนักถึงหน้าที่ในการรับใช้ตระกูลโฮโจ
เช่นเดียวกับที่ทะเนะโยะฌติ ระหนักถงึ หน้าที่ในการดูแลทายาทของโชกุน
จึงสะท้อนให้เห็นว่า แต่เดิมทีทั้งคู่ต่างทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ
จงรักภักดีต่อรัฐบาลทหาร หากแต่การเปลี่ยนผ่านผู้กุมอานาจในรัฐบาล
ทหารจากโชกุนตระกูลมินะโมะโตะไปสู่ผู้ช่วยโชกุนตระกูลโฮโจ ได้
กลายเป็นแรงผลักดันให้ทั้งคู่เลือกที่จะวางท่าทีในทิศทางตรงกันข้ามกัน
อย่างไรก็ตาม ปมความขัดแย้งที่มีต่อรัฐบาลทหารไม่ได้ส่งผลให้สาย
สมั พนั ธร์ ะหวา่ งพ่ีน้องขาดสะบนั้ ลง การที่ทะเนะโยะฌิไมเ่ ผยความแค้นต่อ
พี่ชายตอนก่อนสงคราม อีกทั้งยังแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะ
ร่วมมือกันสรา้ งความรุ่งเรอื งให้แกต่ ระกูล สะท้อนให้เหน็ ถึงการพยายาม
คลี่คลายความบาดหมางลง และแม้ความพยายามนนั้ จะไม่เป็นผล ทว่าใน
วาระสุดทา้ ยของทะเนะโยะฌิ ผู้เขยี นได้นาเสนอให้การตระหนักถึงอานาจ
ของบุญวาสนา และหน้าที่ของบุตรที่มีต่อบิดามารดาเป็นปัจจัยในการ
คลี่คลายความบาดหมาง อาจกล่าวได้ว่า แม้ว่ากระแสความเปลี่ยนแปลง
ในรัฐบาลทหาร กอปรกับบทบาทหน้าท่ีในฐานะนกั รบทีม่ ีต่อผู้เป็นนายจะ
ส่งผลให้พนี่ อ้ งตอ้ งแตกแยกกนั ทว่าบทบาทในฐานะบุตรที่มีตอ่ บิดามารดา
เปน็ ตวั เชื่อมสายสัมพันธ์ในครอบครัว และช่วยประสานรอยร้าวระหว่างพ่ี
น้องลงได้ในที่สุด

อยู่แต่เดิม(本領安堵) หรือการได้รับสิทธิในการครอบครองที่ดินใหม่(新恩地安
堵)เปน็ ต้น

100

7. บทสรุป
ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอานาจภายในรัฐบาลทหาร ตระกูล

โฮโจได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอานาจสูงสุด ทว่าวิธีการให้ได้มาซึง่ อานาจของ
ตระกูลโฮโจนั้นได้ส่งผลให้นักรบเกิดความขัดแย้งกันจนต้องหันหลังใหก้ ับ
รฐั บาลทหารในทีส่ ุด ผู้เขียนเรื่อง “โจกวี ก”ิ ฉบับจโิ กจิ ได้สะทอ้ นปฏิกิริยา
ของนักรบที่อยู่ภายใต้กระแสของการเปลี่ยนแปลงอานาจ ผ่านเรื่องราว
ของพี่น้องตระกูลมิอุระ ดังจะเห็นได้จากท่าทีของโยะฌิมุระที่สนับสนุน
กลุ่มอานาจใหม่ของตระกูลโฮโจ และท่าทีของทะเนะโยะฌิที่พยายาม
รักษาอานาจของโชกุนที่มีมาแต่เดิม การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักรบบน
จดุ ยืนที่แตกตา่ งกนั จึงนามาซง่ึ ความบาดหมางระหว่างพนี่ ้อง อยา่ งไรกต็ าม
ผเู้ ขียนได้นาเสนอทา่ ทขี องทะเนะโยะฌทิ ตี่ ระหนกั ถึงอานาจของบุญวาสนา
รวมทั้งบทบาทหน้าทีใ่ นฐานะบุตรท่ีมีต่อบิดามารดา เพื่อชี้ให้เหน็ ว่าความ
บาดหมางระหว่างพี่น้องคลี่คลายลงได้ด้วยสายสัมพันธ์ภายในตระกูล
เรื่องราวความบาดหมางระหว่างนักรบพี่น้องนับเป็นประเด็นที่ปรากฏอยู่
บ่อยครั้งในนิยายสงคราม อย่างไรก็ตาม มีไม่น้อยที่ผู้เขียนนาเสนอท่าที
ของตัวละครพีน่ อ้ งทพ่ี ยายามลบรอยบาดหมางนั้น และแมว้ า่ แต่ละเร่ืองจะ
นาเสนอปัจจัยในการคลี่คลายไว้แตกต่างกัน หรือในท้ายที่สุดแล้วความ
บาดหมางนั้นอาจไม่คลี่คลายลงก็ตาม ทว่าการนาเสนอความพยายาม
ประสานรอยรา้ วนบั เป็นเครอ่ื งช้ีใหเ้ ห็นว่า การรักษาสายสัมพนั ธ์ในตระกูล
ยงั คงเปน็ สงิ่ สาคัญสาหรับสังคมนักรบ

101

เอกสารอา้ งองิ (References)
北原保雄・小川栄一(編者).(1990).『延慶本 平家物語 本文

編 下』.東京:勉誠出版.

日 下 力 .( 2008 ) . 『 い く さ 物 語 の 世 界 ― 中 世 軍 記 文 学 を 読 む 』 . 東

京:岩波新書.

佐伯真一.(2004).『戦場の精神史 武士道という幻影』.東京:日

本放送出版協会.

関幸彦.(2012).『承久乱と後鳥羽院』.東京:吉川弘文館.
栃木孝惟・日下力・益田宗・久保田淳.(1992).『新日本古典文学

大系 保元物語・平治物語・承久記』.東京:岩波書店.

永積安明・島田勇雄.(1966).『日本古典文学大系 31 保元物語・平

治物語』.東京:岩波書店.

野口実.(2005).「承久の乱における三浦義村」『明月記研究』
10: 124-135.

松林靖明.(1979).「『承久記』に見る乱直前の後鳥羽院周辺」
『青須我波良』19:17-26.

松林靖明.(1992).「『承久記』の三浦胤義」『甲南国文』39:
83-96.

矢野太郎(編).(1917).『承久記』.国立国会図書館デジタルコレ
クション. https://info:ndljp/pid/948824

102

บทความวิจัย

การศึกษาเปรียบเทียบวิธีการใช้
“V. te-ageru” ในภาษาญีป่ ุ่น กับ “V. + ให้” ในภาษาไทย

: ข้อจำกัดทางโครงสรา้ งในสถานการณ์
การเสนอความช่วยเหลอื

Comparison Study on Usages of
"V.te-ageru" in Japanese and "V.+hây" in Thai:
The Structural Restriction in a Help-offering

Situation

สลิลรตั น์ กวีจารุมงคล1
Salilrat Kaweejarumongkol
บทคดั ย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการใช้กริยา
แ ส ด ง ก า ร ใ ห้ ที ่ป ร า กฏ ใ น ส ถ า น ก าร ณ ์ กา ร เส น อ ค ว าม ช ่ ว ย เ ห ล ือใ น
ภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย ที่ใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” และโครงสร้าง
“V. + ให้” โดยเก็บรวบรวมประโยคตวั อย่างจากนวนิยายแปลไทย-ญ่ีปุ่น
และญ่ปี นุ่ -ไทย ผลการวจิ ัยพบว่า โครงสรา้ งประโยคทงั้ สองมคี วามแตกต่าง
กันในเรื่องของข้อจำกัดในการใช้คำกริยาที่ปรากฏร่วม กล่าวคือ ใน
สถานการณก์ ารเสนอความช่วยเหลอื โครงสร้าง “V. + ให้” จะไม่ปรากฏ

1 อาจารย์ ดร., สาขาวิชาภาษาญี่ปุน่ ภาควชิ าภาษาตะวนั ออก คณะอกั ษรศาสตร์
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , E-mail: [email protected]

103

ร่วมกบั กริยาที่มกี รรมตรงคือสรรพนามบุรุษท่ี 2 ในขณะท่ภี าษาญี่ปุ่นไม่มี
ข้อจำกัดในเรื่องของกริยาที่ปรากฏร่วม ความแตกต่างดังกล่าวเกิดจาก
ความหมายที่มีในกริยาหลักแสดงการให้ของทั้งสองภาษาที่แตกต่างกนั
เมือ่ เกิดการขยายความหมายจงึ ทำใหม้ ีวธิ ีการใช้แตกต่างกัน
คำสำคญั : การขยายความหมาย, การเสนอความชว่ ยเหลือ, กรยิ าให้
ภาษาญ่ปี นุ่ และภาษาไทย

Abstract
The comparison study on the usages of Verbs of Giving
applied in a help-offering situation in Japanese versus Thai,
aimed to compare the structures that initiate the difference
between "V. te-ageru" (in Japanese) and "V. + hây" (in Thai)
structure. The data were collected from Thai-translated
Japanese novels and Japanese-translated Thai novels. The
result revealed that the two structures differed in their co-
occurring verbs. In this situation, "V. + hây" does not occur with
transitive verbs in which their objects are audiences (2nd
person), whereas "V. te-ageru" has no restrictions in verb use.
This difference came from the differences in the meaning of the
main verbs of the two languages conveyed to other
constructions in semantic extensions.
Keywords : semantic extensions, help-offering situation, verbs
of giving, Japanese and Thai

104

1. ทมี่ าของปญั หา
ภาษาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไวยากรณ์ คำกริยา คำศัพท์

สแลง ฯลฯ ก็เกิดการเปลีย่ นแปลงไปเช่นเดียวกนั กริยาแสดงการให้เปน็
หนึ่งในตัวอย่างของการเปลีย่ นแปลงทางภาษาทีเ่ กดิ การเปลี่ยนแปลงท้ัง
ทางโครงสร้างและความหมายโดยอาศัยกลไกทางเวลา จากเดิมใช้เป็น
กริยาหลกั ตอ่ มาเกดิ การขยายความหมายและวธิ ีการใชน้ ำไปใชใ้ นหน้าท่ีอ่ืน
นอกเหนือจากกริยาหลัก การเปลี่ยนแปลงน้ีเรียกว่า “การกลายเป็น
ไวยากรณ์” (grammaticalization) ซึ่งกระบวนการนี้ เกิดจากการขยาย
ความหมายจากความหมายดั้งเดิมของกริยาหลักไปสู่โครงสร้างและ
ความหมายต่าง ๆ ที่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิมอยู่ กริยา “ให้” ใน
ภาษาไทย และ “kureru” “ageru” “yaru” ในภาษาญ่ปี นุ่ ก็เป็นตัวอย่าง
หน่ึง แต่ถงึ แมว้ ่าทั้งสองภาษาจะมีคำกรยิ าทแ่ี สดงการให้เหมือนกัน และมี
ความหมายและวิธกี ารใช้ทีค่ ลา้ ยคลึงกนั อยู่บ้าง แต่เมื่อนำมาใช้ในหน้าท่ี
อนื่ นอกเหนือจากกริยาหลักกลับมีความหมายและวิธีการใช้ท่ีแตกต่างกัน
โดยเฉพาะการใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” และ “V. + ให้” ในการเสนอ
ความช่วยเหลือ ดงั ตัวอยา่ ง (1) – (2)

(1) ฉันจะพยายามอุ้มคุณไปหาหมอ

isha-ni (anata-o) tsurete-itte-ageru-wa.

doctor-DAT (you-ACC) take-go-give-SFP

(คกู่ รรม)

(2) omizu motte-kuru-ne.

water bring-come-SFP

105

แม่จะไปเอาน้ำมาให้นะ (ดอกเตอร์)

จากตัวอยา่ ง (1) - (2) จะเหน็ วา่ ทง้ั สองตวั อย่างเปน็ สถานการณ์
ทผ่ี ู้พดู เสนอตวั ที่จะกระทำสิง่ ใดสงิ่ หนึ่งให้กับผ้ฟู งั เหมอื นกัน แตก่ ลับมีการ
ใช้โครงสรา้ งกริยาแสดงการให้ทแี่ ตกต่างกัน ตัวอย่าง (1) ผูพ้ ดู เสนอตัวจะ
อุ้มผู้ฟังไปหาหมอ ในภาษาญี่ปุ่นใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” แต่
ภาษาไทยไม่ใช้โครงสร้าง “V. + ให้” ในทางกลับกันตัวอย่าง (2) ผู้พูด
(แม)่ เสนอตวั ตอ่ ผฟู้ ังจะไปเอาน้ำมา ตัวอยา่ งนี้ภาษาไทยใช้โครงสร้าง “V.
+ ให้” ในขณะทีภ่ าษาญ่ปี ุ่นไม่ใชโ้ ครงสร้าง “V. te-ageru” ความแตกต่าง
ทางโครงสร้างน้ี สันนิษฐานว่า มีสาเหตุมาจากการขยายความหมายจาก
กริยาหลักไปสู่หน้าที่อื่น ๆ งานวิจัยนี้จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษา
เปรียบเทียบวิธีการใช้โครงสร้างกริยาแสดงการให้ของทั้งสองภาษาท่ี
ปรากฏในสถานการณ์การช่วยเหลือ

2. งานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง
งานวิจัยที่วิเคราะห์การขยายความหมายในเชิงโครงสร้างของ

กริยาให้ในภาษาญี่ปุ่น ได้แก่ Sawada (2014) Sawada (2014) แบ่ง
โครงสร้างที่ใช้กริยาให้ในภาษาญี่ปุ่น “kureru” และ “yaru (ageru)”
เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ A Type คือ โครงสร้างกริยาหลัก “kureru”
“yaru (ageru)” และ B Type คือ โครงสร้างกริยานุเคราะห์ “V. te-
kureru” “V.te-yaru (V.te-ageru)” แบ่งย่อยตามประเภทของคำกริยาท่ี
ปรากฏร่วมเป็น 3 ประเภท ได้แก่ B1 Type, B2 Type, และ B3 Type
โครงสร้าง B1 Type จะปรากฏพร้อมคำชว่ ย “ni” ท่แี สดงกรรมรองท่ีเป็น
ผู้รับสิ่งของและผูร้ ับผลประโยชน์ กริยาที่ใช้เป็นกริยาแสดงการเคล่อื นท่ี

106

ของสงิ่ ของจากผใู้ หส้ ู่ผู้รับ เชน่ “สง่ ” “ย่นื ” “ขาย” เป็นต้น และกริยาท่ี
ปรากฏสิ่งของเมือ่ กระทำกริยาเสร็จสมบูรณ์ เช่น “ซื้อ” “ย่าง” เป็นต้น
โครงสร้าง B2 Type ความหมายของการเคลื่อนที่ของสิ่งของจากผ้ใู ห้สู่
ผู้รับจะหายไป ทำให้สามารถใช้ร่วมกบั กรยิ าตัวอืน่ ได้มากขึน้ ซึ่งกริยาท่ี
ปรากฏในกลุ่มนี้ ได้แก่ สกรรมกริยาที่มีกรรมตรงเป็นบุคคลและ
อกรรมกริยา เช่น “ชม” “วิ่ง” เป็นต้น B3 Type เป็นโครงสร้างที่พบ
เฉพาะ “V. te-kureru” ใช้แสดงวา่ ผพู้ ดู เป็นผู้รบั ประโยชนจ์ ากเหตุการณ์
ใดเหตุการณ์หน่งึ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น “ame-ga futte-
kureta” (“ฝนตก”) ในประโยคนี้ผู้พูดต้องการแสดงว่า เหตุการณ์ “ฝน
ตก” นน้ั เป็นประโยชนต์ อ่ ผู้พูด จงึ ใช้โครงสร้าง “V. te-kureru” เน่ืองจาก
Sawada (2014) จัดกริยา “ageru” และ “yaru” อยู่กลุ่มเดียวกัน และ
วิเคราะห์กริยาที่ปรากฏในโครงสร้างร่วมกัน จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่า
ลักษณะเฉพาะทางโครงสร้างที่กล่าวในงานนั้น เป็นลักษณะเฉพาะของ
“V. te-ageru”

ใ นภ า ษา ไ ท ย นั ้ นม ี ง า นว ิ จ ั ยท่ี ก ล่ า ว ถึ ง โคร ง ส ร ้า ง ป ร ะโย คและ
ความหมายของกรยิ า “ให”้ หลายงาน เชน่ Rangkupan (2007), Iwasaki
(2008), Thepkanjana & Uehara (2008), พิรุฬหแ์ ละกิง่ กาญจน์ (2017),
Kaweejarumongkol & Uehara (2018) เป็นต้น โดยงานวิจัยที่กล่าวถงึ
กริยา “ให้” ที่ทำหน้าที่เป็นคำบุพบทที่ปรากฏในสถานการณ์การเสนอ
ค ว า ม ช ่ ว ย เ ห ล ื อ ไ ด ้ แ ก่ ง า น ข อ ง Iwasaki (2008) แ ล ะ
Kaweejarumongkol et.al. (2018) ซง่ึ นำเสนอโครงสร้างของกริยา “ให้”
ทใ่ี กล้เคียงกนั

107

Iwasaki (2008) กล่าวถึงโครงสร้างที่แสดงการรับผลประโยชน์
โดยแบ่งเปน็ 2 โครงสร้าง ไดแ้ ก่ “การรับผลประโยชน์ 1” (“Benefactive
use 1”) ทีม่ โี ครงสร้าง “NP1 VP ให้ NP2” โดย “ให้” เป็นคำบุพบท และ
“การรบั ผลประโยชน์ 2” (“Benefactive use 2”) มโี ครงสร้าง “NP1 VP
ให้” ที่จะละคำนามขา้ งหลัง “ให้” เสมอ “ให้” จึงทำหน้าที่เป็นคำแสดง
ทัศนะภาวะทา้ ยประโยค (sentence modal) ดงั ตวั อย่าง (3)

(3) เด๋ียวจะบอกให้นะ (Iwasaki, 2008: p. 472)

ในขณะท่ี Kaweejarumongkol et.al. (2018) กล่าววา่ โครงสรา้ ง
ของ “ให้” ท่ีปรากฏในสถานการณ์การเสนอความช่วยเหลือนี้นั้น มี
โครงสร้าง “เดี๋ยว NP1SG (จะ) VP ให้ (NP2SG)” โดย NP1SG ได้แก่ ผู้พูด
และ NP2SG ได้แก่ ผ้ฟู ัง Kaweejarumongkol et.al. (2018) จัด “ให”้ ท่ี
ปรากฏในโครงสร้างนี้เป็นคำบพุ บท โดยอธิบายว่า คำนามที่ปรากฏหลงั
“ให้” น้นั ไมไ่ ดล้ ะเสมอไป เพยี งแตม่ แี นวโน้มที่จะละออกไปเนื่องจากเป็น
สถานการณ์ท่ีรู้กันอยู่แล้ววา่ คำนามหลัง “ให้” คือ ผู้ฟัง แต่ถึงแม้ว่าทั้ง
สองงานจะกล่าวถงึ “ให้” ทีป่ รากฏในสถานการณ์การเสนอการชว่ ยเหลือ
แตเ่ นอื่ งจากท้งั สองงานวิเคราะหก์ ารขยายความหมายของกริยา “ให้” ใน
ภาพรวม จึงยังไมท่ ราบรายละเอยี ดเกี่ยวกบั วธิ ีการใช้และขอ้ จำกัดในการ
ใชอ้ ื่น ๆ ของโครงสร้างน้ี

สว่ นงานวิจยั ทีว่ ิเคราะห์เปรียบเทียบกรยิ าแสดงการให้ของท้ังสอง
ภาษา ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางด้านการเรียนการสอน เช่น งานของ
Goda (1983), Tanaka (2004) เปน็ ตน้ งานท่ีเปรียบเทียบโครงสร้างและ
ว ิ ธ ี ก า ร ใ ช้ ก ร ิ ย า ใ ห้ ข อ ง ท ั ้ ง ส อ ง ภ า ษ า นั ้ นม ี ไ ม ่ ม า ก นั ก เ ช่ น

108

Kaweejarumongkol (2019) เ ป ็ น ต ้ น Kaweejarumongkol (2019 )
วิเคราะหเ์ ปรียบเทยี บการขยายความหมายของกริยาให้ของทั้งสองภาษา
โดยกล่าวว่า กริยาแสดงการให้ในภาษาญี่ปุ่น “kureru” “ageru” “yaru”
และ “ให้” ในภาษาไทย เมื่อนำมาใช้เป็นกรยิ าหลักจะมีความหมายและ
วธิ ใี ช้ที่ตรงกนั เป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเกิดการขยายความหมายและนำไปใช้
ในหน้าท่อี ื่นนอกเหนือจากกริยาหลักจะมีความเหมือนและความแตกต่าง
ในการใช้เกดิ ขึน้ โดยกล่าวถงึ กรณีท่ีภาษาไทยใช้โครงสรา้ ง “V. + ให้” ใน
สถานการณก์ ารเสนอความชว่ ยเหลือวา่ ในกรณนี ้ี ภาษาญปี่ นุ่ มแี นวโน้มใน
การใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” ซึ่งเป็นกริยาแสดงการให้เช่นเดียวกัน
โดยกรยิ าทีป่ รากฏในกรณีทที่ ้ังสองภาษาใช้เหมือนกันส่วนใหญเ่ ป็นกริยาท่ี
แสดงหรือมนี ยั ของการเคลอ่ื นที่ของสง่ิ ของจากผ้ใู หส้ ่ผู ู้รับ แต่เนื่องจากงาน
นี้วิเคราะห์การขยายความหมายของกริยาให้ทง้ั สองภาษาในภาพรวม จึง
ไม่อาจทราบว่า โครงสร้างทั้งสองน้ีมีวิธีการใช้ในสถานการณ์การเสนอ
ความช่วยเหลือที่แตกต่างกันอย่างไร และการขยายความหมายของ
กริยาหลกั ส่งผลต่อวิธีการใช้ทแี่ ตกต่างกันอย่างไร

จากงานวิจัยข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า งานวิจัยที่ผ่านมายังไม่ได้
กล่าวถึงข้อแตกต่างของโครงสร้างกริยาแสดงการให้ที่ปรากฏใน
สถานการณก์ ารเสนอความช่วยเหลือของทัง้ สองภาษา ด้วยเหตนุ ี้ ผวู้ จิ ัยจึง
เห็นความจำเปน็ ในการทำวิจัยเพ่ือเปรียบเทียบวิธกี ารใช้โครงสร้างกริยา
แสดงการให้ของทั้งสองภาษาที่ปรากฏในสถานการณ์การเสนอความ
ช่วยเหลือ เพือ่ วิเคราะห์ความแตกต่างของวิธกี ารใช้และปัจจัยที่ส่งผลต่อ
ความแตกต่างเหล่านัน้

109

3. ขอบเขตงานวิจัยและวตั ถุประสงค์งานวิจยั
3.1 ขอบเขตงานวิจยั

ในภาษาญี่ปุ่นกริยาหลักแสดงการให้ที่เกิดกระบวนการการ
กลายเปน็ ไวยากรณ์และนำไปใช้เป็นกรยิ านเุ คราะห์ มที ้งั หมด 3 คำ ได้แก่
“kureru” “ageru” “yaru” เมื่อพิจารณากริยาในภาษาญี่ปุ่นทั้ง 3 คำ
ดงั กลา่ ว กริยา “kureru” ใช้ในกรณีท่ผี รู้ ับการกระทำเป็นผู้พูดหรือบุคคล
ในกลมุ่ ผู้พูดเท่านัน้ สว่ นกรยิ า “ageru” และ“yaru” ใช้ในกรณีทผ่ี รู้ ับการ
กระทำไม่ใช่ผู้พูด (Kuno, 1978; Teramura, 1982 เป็นต้น) เนื่องจาก
งานวิจัยนี้ ศึกษาเฉพาะโครงสร้างประโยคที่ปรากฏในสถานการณ์การ
เสนอความชว่ ยเหลือ และในสถานการณ์น้ี ผู้รบั การกระทำเปน็ บุคคลอื่นที่
ไม่ใช่ผู้พูด ดังนั้น “kureru” จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตงานวิจัยนี้ ส่วน
“ageru” และ “yaru” มีงานวิจัยหลายงานที่จัดให้สำนวนทั้งสองอยู่ใน
กลมุ่ เดยี วกนั ในงานน้ผี วู้ จิ ยั เลือกวเิ คราะห์เพยี งกริยา “ageru” โดยไมร่ วม
กรยิ า “sashiageru” ท่เี ปน็ รูปยกยอ่ งของกรยิ า “ageru” งานวิจัยนผ้ี ้วู ิจัย
จึงเกบ็ ข้อมูลเฉพาะโครงสร้าง “V. te-ageru”

3.2 นิยามคำศัพทเ์ ฉพาะ
งานวิจัยนี้ศึกษาเฉพาะโครงสร้างกริยาแสดงการให้ของทั้งสอง

ภาษาที่ปรากฏในสถานการณ์การเสนอความช่วยเหลือ สถานการณ์การ
เสนอความช่วยเหลือน้ัน มที ้ังกรณีที่เป็นการเสนอตวั กระทำส่ิงใดส่ิงหน่ึง
ใหก้ ับผฟู้ งั และเปน็ การเสนอตัวกระทำแทนผฟู้ ัง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันดัง
แผนภูมิ 1

110

แผนภมู ิ 1: ความสัมพนั ธร์ ะหว่างโครงสรา้ งประโยคท่ใี ช้ “ให”้ เป็นคำบพุ บท
(ปรับจาก Kaweejarumongkol et.al., 2018, p. 283)

จากแผนภูมิ 1 โครงสร้างแสดงการเสนอความช่วยเหลือ (Offer
Construction) ท่ีแสดงดว้ ยเสน้ ประน้ัน เปน็ ส่วนหนึ่งของโครงสร้างแสดง
กรรมรอง (Dative Construction) และโครงสร้างแสดงการกระทำแทน
(Deputative Construction) ตัวอย่างประโยคของโครงสรา้ งเหล่าน้ีแสดง
ดงั ตัวอยา่ ง (4) – (7)

โครงสร้างแสดงกรรมรอง (Dative Construction): (ความสุข)
(4) พท่ี องย้มิ ให้ (ฉัน)

โครงสร้างแสดงการกระทำแทน (Deputative Construction):

(5) อตุ ส่าห์เกบ็ สะเดาน้ีให้ (คุณ) (ความสุข)

(6) ผมดูร้านให้ (คุณ) เอง (เวลา)

โครงสร้างแสดงการเสนอความชว่ ยเหลอื (Offer Construction):

(7) เด๋ยี วพ่ีชงโอวัลตนิ ให้ (เธอ) กแ็ ล้วกนั (เวลา)

111

โครงสรา้ งแสดงกรรมรอง (ตวั อย่าง (4)) และโครงสรา้ งแสดงการ
กระทำแทน (ตวั อย่าง (5) – (6)) มลี กั ษณะคลา้ ยกัน แต่แตกตา่ งกันตรงท่ี
“ให้” ในโครงสร้างแสดงการกระทำแทนเม่ือใช้รว่ มกับกรยิ าที่ไม่ต้องการ
กรรมรอง เช่น “เก็บ” “ดู” เป็นต้น จะสามารถใช้คำว่า “แทน” ได้ ดัง
ตัวอย่าง (5’) – (6’)

(5’) อตุ ส่าห์เกบ็ สะเดาน้ีแทน (คณุ ) (ความสขุ )
(6’) ผมดูร้านแทน (คุณ) เอง (เวลา)

ส่วนโครงสร้างแสดงการเสนอความช่วยเหลือ (ตัวอย่าง (7)) มี
โครงสร้างที่แตกต่างจากสองโครงสร้างที่กล่าวมา โดยผู้กระทำ คือ ผู้พูด
(NP1SG) และผู้รับการกระทำ คือ ผู้ฟัง (NP2SG) นอกจากนี้ เนื่องจากเป็น
การเสนอความช่วยเหลอื ซึ่งเปน็ เหตุการณท์ ยี่ งั ไมเ่ กิดข้ึน จงึ ปรากฏรว่ มกับ
คำว่า “เดี๋ยว” หรือ “จะ” เสมอ ดังเช่นในตัวอย่าง (7) ที่ละ “จะ” แต่
ยังคงคำว่า “เดี๋ยว” ไว้ โครงสร้างนี้จะตีความว่าเป็นการแสดงกรรมรอง
หรือการกระทำแทนนั้น ขึ้นอยู่กับบริบทและคำกริยาที่ปรากฏร่วม จาก
ความสัมพันธ์ตามที่กล่าวมา งานวิจัยน้ี นิยาม “สถานการณ์การเสนอ
ความชว่ ยเหลือ” วา่ หมายถึง “สถานการณท์ ผ่ี พู้ ดู เสนอตวั ท่จี ะกระทำบาง
สงิ่ บางอย่างต่อผฟู้ งั โดยผู้รบั การกระทำหรอื ผรู้ ับผลประโยชนค์ อื ผ้ฟู ัง”

3.3 วตั ถปุ ระสงค์งานวจิ ัย
1. ศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของ

วิธีการใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” และ “V. + ให้” ในสถานการณ์การ
เสนอความช่วยเหลอื

112

2. ศึกษาเปรียบเทียบการขยายความหมายของกริยา “ageru”
และ “ให้” ที่ส่งผลต่อความเหมือนและความแตกต่างของวิธีการใช้
โครงสรา้ ง “V. te-ageru” และ “V. + ให”้ ในสถานการณก์ ารเสนอความ
ชว่ ยเหลอื

4. วธิ ีการดำเนนิ งานวจิ ยั
ผู้วจิ ยั เกบ็ รวบรวมประโยคตวั อยา่ งจากนวนิยายแปลไทย-ญ่ีปุ่น 3

เรอ่ื ง และ นวนยิ ายแปลญ่ปี ุน่ -ไทย 7 เรอื่ ง ผ้วู จิ ยั เลอื กจำนวนเร่ืองของนว
นยิ ายแปลญ่ปี ุ่น-ไทยมากกวา่ นวนยิ ายแปลไทย-ญ่ีปุ่น เนือ่ งจาก นวนิยาย
แปลญ่ีปุน่ -ไทยมีจำนวนตัวอย่างท่เี กบ็ รวบรวมต่อเรื่องไดเ้ ป็นจำนวนน้อย
กว่า การเพิ่มจำนวนเรื่องจึงทำให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมา
วิเคราะห์ได้ในปริมาณทีใ่ กล้เคียงกัน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมประโยคตวั อย่าง
เฉพาะโครงสร้างท่ีปรากฏ “V. + ให้” และ “V. te-ageru” ในสถานการณ์
การเสนอความช่วยเหลือ

ผู้วิจัย เก็บรวบรวมประโยคตัวอย่างจากนวนิยายแปลทั้ง หมดที่
ปรากฏตามโครงสร้างและสถานการณ์ที่กล่าวมา จากนั้นนำข้อมูลมา
วิเคราะห์ความแตกต่างของทั้งสองโครงสร้าง และวิเคราะห์เปรยี บเทียบ
การขยายความหมายจากกริยาหลักที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างของทั้ง
สองโครงสร้าง
5. ผลการวจิ ัย
5.1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

ผลการเก็บรวบรวมประโยคตัวอย่างจากนวนิยายแปลแสดงดัง
แผนภมู ิ 2

113

แผนภมู ิ 2 : สดั สว่ นจำนวนตัวอย่างท่ีใช้โครงสร้าง “V. + ให้” และ “V. te-ageru”
ท่ีปรากฏในสถานการณ์การเสนอความชว่ ยเหลือ

แผนภูมิ 2 แสดงสัดสว่ นจำนวนตวั อย่างท่ีใชโ้ ครงสร้าง “V. + ให้”
และ “V. te-ageru” ท่ีปรากฏในสถานการณ์การเสนอความช่วยเหลือ
พบว่า จากประโยคตัวอย่างทั้งหมด 45 ตัวอย่าง กรณีที่ภาษาไทยใช้
โครงสร้าง “V. + ให้” และภาษาญี่ปุ่นใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” มี
จำนวน 18 ตวั อยา่ ง (40%) สว่ นในกรณีที่ภาษาญป่ี ุน่ ใช้โครงสรา้ ง “V. te-
ageru” แต่ภาษาไทยไม่ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. + ให้” และ กรณีท่ีภาษาไทยใช้
โครงสรา้ ง “V. + ให”้ โดยท่ภี าษาญป่ี ่นุ ไมใ่ ช้โครงสร้าง “V. te-ageru” มี
จำนวนใกล้เคียงกัน คือ 13 ตัวอย่าง (28.89%) และ 14 ตัวอย่าง
(31.11%) ตามลำดับ จากข้อมูลการเปรียบเทียบนี้ แสดงให้เห็นถึงความ
เหมือนและความแตกตา่ งของทั้งสองภาษา ซึ่งจะอภิปรายรายละเอียดใน
หวั ข้อถัดไป

5.2 ความเหมือนและความแตกต่างในการใช้โครงสร้าง “V. te-ageru”
และโครงสร้าง “V. + ให้”

114

หัวข้อนี้จะแสดงขอ้ มลู ความเหมือนและความแตกตา่ งในการใช้
ของท้งั สองภาษา โดยแบง่ เป็น 3 กรณี ไดแ้ ก่ 5.2.1 กรณีท่ีภาษาญ่ีปุ่นใช้
โครงสร้าง “V. te-ageru” และภาษาไทยใช้โครงสรา้ ง “V. + ให้” 5.2.2
กรณีที่ภาษาไทยใช้โครงสร้าง “V. + ให้” แต่ภาษาญี่ปุ่นไม่ใชโ้ ครงสร้าง
“V. te-ageru” และ 5.2.3 กรณีท่ีภาษาญ่ีป่นุ ใช้โครงสรา้ ง “V. te-ageru”
แต่ภาษาไทยไม่ใช้โครงสร้าง “V. + ให้”

5.2.1 กรณีทีภ่ าษาญ่ปี ุ่นใช้โครงสรา้ ง “V. te-ageru” และ ภาษาไทย
ใช้โครงสร้าง “V. + ให้”

จากแผนภูมิ 2 กรณีที่มีการใช้กริยาแสดงการให้ทั้งภาษาญี่ปนุ่
และภาษาไทยมีจำนวน 18 ตัวอย่าง ซึ่งมีลักษณะร่วมกัน คือ กริยาท่ี
ปรากฏร่วมส่วนใหญ่เป็นสกรรมกริยาท่ีแสดงหรือมีนัยของการเคลื่อนที่
ของสิ่งของ หรือข้อมูล บางอย ่าง จากผู้ให้ไปสู่ผู้รับ (verbs of
transmission) หรือเป็นกริยาที่ปรากฏสิ่งของเมือ่ กระทำกริยานั้นเสร็จ
สมบรู ณ์ ดังตัวอย่าง (8) - (10)

(8) เดี๋ยวจะหยิบพริกข้หี นมู าให้ (ค่กู รรม)
purikiinuu-o motte-kite-ageru.
paprika-ACC bring-come-give

(9) boku-ga kaite-ageru. (ดอกเตอร์)
I-NOM draw-give
เด๋ยี วผมวาดให้เอง"

115

ตวั อย่าง (8) - (9) ภาษาไทยใชโ้ ครงสร้าง “V. + ให้” ในการเสนอ
ตอ่ ผู้ฟงั ที่จะกระทำกริยา “หยิบ” และ “วาด” ซง่ึ “ให้” ที่ทำหน้าท่คี ำบุพ
บทน้นี น้ั ใช้ในการบ่งช้ีกรรมรองที่เป็นผู้รับการกระทำ และมีความหมาย
ของการเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเป็นผู้รับสิ่งของ ด้วยเช่นกัน
(Recipient Benefactive) (Jenny, 2010) ตัวอยา่ ง (8) ผพู้ ดู เสนอต่อผฟู้ ัง
จะหยิบพริกขี้หนูมา ซึ่งผลลัพธ์ของการ “หยิบ” คือ “พริกขี้หนู” จะ
เคลื่อนที่ไปสู่ผู้ฟังและผู้ฟังเป็นผู้รับสิ่งของ ส่วนตัวอย่าง (9) เดิมกริยา
“วาด” ไม่ไดต้ อ้ งการกรรมรองที่เป็นผู้รบั สิ่งของ แต่เมอื่ กระทำกริยาเสร็จ
สมบูรณ์แล้วจะมี “รูปวาด” เป็นสิ่งของเกิดขึ้น การที่ภาษาไทยใช้
โครงสร้าง “V. + ให”้ สามารถตีความไดว้ ่า ผลลัพธ์จากการ “วาด” ผู้ฟัง
จะเป็นผูร้ ับ “รปู วาด” จากผูพ้ ดู จะเหน็ ไดว้ ่าทง้ั สองตวั อยา่ งนี้ ภาษาญ่ีปุ่น
ใช้โครงสรา้ ง “V. te-ageru” ซ่งึ กริยา “ageru” เดมิ ทใี ช้เพ่ือแสดงการให้
สิ่งของเช่นเดียวกับกริยาหลัก “ให้” เมื่อนำมาใช้เป็นกริยานุเคราะห์ใน
โครงสร้าง “V. te-ageru” จึงนำมาใช้รว่ มกับกริยาที่ตอ้ งการกรรมรองได้
เช่นเดียวกับในภาษาไทย และเสริมความหมายวา่ ผู้รับการกระทำน้ันเป็น
ผู้รับผลประโยชน์ด้วย

นอกจากน้ี ดงั ท่ีได้กล่าวถึงความสมั พันธ์ของสถานการณ์การเสนอ
ความช่วยเหลือไปแล้วข้างต้นว่า สามารถตีความเป็นการเสนอตัวเพื่อ
กระทำแทนคู่สนทนาได้ โดยขึ้นอยู่กับบริบทและกริยาที่ปรากฏร่วม ดัง
ตัวอย่าง (10)

(10) เดี๋ยวฉนั จะเขา้ ไปดใู ห้
watashi-ga itte-ageru.

116

I-NOM go-give (ค่กู รรม)

ตัวอย่าง (10) ใช้กริยา “เข้าไปดู” ซึง่ เปน็ กริยาทไ่ี ม่ตอ้ งการกรรม
รอง แต่ภาษาไทยใชโ้ ครงสร้าง “V. + ให้” จึงสามารถตีความได้ว่า เป็น
การเสนอตวั กระทำกรยิ า “เข้าไปด”ู แทนผ้ฟู งั ได้ ในขณะทีภ่ าษาญ่ีปุ่นใช้
โครงสร้าง “V. te-ageru” เพื่อแสดงวา่ ผู้ฟังเป็นผูร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการ
“เขา้ ไปดู”

5.2.2 กรณีท่ภี าษาไทยใชโ้ ครงสร้าง “V. + ให้” แต่ภาษาญปี่ นุ่ ไมใ่ ช้
โครงสร้าง “V. te-ageru”

กรณีที่ภาษาไทยใช้โครงสร้าง “V. + ให้” แต่ภาษาญี่ปุ่นไม่ใช้
โครงสรา้ ง “V. te-ageru” มจี ำนวน 14 ตัวอยา่ ง สว่ นใหญเ่ ป็นสถานการณ์
ท่ีภาษาญีป่ นุ่ สามารถใชโ้ ครงสร้าง “V. te-ageru” ได้ แต่ไม่ใช้ ดังตัวอย่าง
(11) - (12)

(11) watashi, hikkoshi-iwai-de kau-yo.
I moving-celebration-as buy-SFP
เดย๋ี วฉนั ซื้อให้เปน็ ของขวญั ขึ้นบ้านใหม่ (พร่งุ น้ี)

ตัวอยา่ ง (11) ผู้พดู เสนอต่อผูฟ้ ังที่จะซอ้ื ของขวญั ข้ึนบ้านใหม่ โดย
ผู้ฟังเป็นผู้รบั ของขวญั กรยิ า “ซื้อ” เปน็ กรยิ าท่ีปรากฏสิ่งของเมื่อกระทำ
กริยาเสร็จสมบูรณ์ สามารถใช้ร่วมกับทั้งโครงสร้าง “V. + ให้” และ
โครงสร้าง “V. te-ageru” ได้ ตัวอย่างนี้ ภาษาไทยใช้โครงสร้าง “V. +
ให้” แต่ภาษาญี่ปุ่นไม่ใช้โครงสรา้ ง “V. te-ageru” กลับใช้เพียงกริยารปู

117

พจนานุกรม “kau” (“ซอื้ ”) ซง่ึ กริยารูปพจนานุกรมสามารถใช้เพื่อแสดง
เจตนาหรือความตั้งใจของผู้พูดที่จะกระทำสิ่งใดส่ิงหนึ่งได้ (Teramura,
1982)

(12) แลว้ (ฉนั ) จะบอกเขาให้

(watashi-ga kare-ni) sou itte-oku-yo.

(I-NOM he-DAT) that tell-in advance-SFP

(คูก่ รรม)

ตัวอย่าง (12) เป็นสถานการณ์ที่ผู้พูดเสนอต่อผู้ฟังว่าจะบอก
บคุ คลที่ 3 เช่นน้นั ภาษาไทยใชโ้ ครงสร้าง “V. + ให”้ แสดงการเสนอตัว
จะกระทำกรยิ า “บอก” โดยในบริบทนี้ภาษาไทยสามารถตคี วามเป็นการ
กระทำแทนได้ คอื ผพู้ ูดจะกระทำกรยิ า “บอก” แทนผ้ฟู งั ซ่ึงสถานการณ์นี้
ภาษาญีป่ นุ่ สามารถใช้โครงสร้าง “V. te-ageru” เปน็ “itte-oite-ageru”
(“บอก (เขาไว้) ให้”) ได้ แต่กลบั ใชเ้ พยี งกรยิ า “iu” (“บอก”) ตามด้วยรูป
กริยานุเคราะห์ “V. te-oku” เป็น “itte-oku” (“บอก (เอาไว้)”) เพื่อ
แสดงเจตนาหรอื ความตั้งใจของผู้พูดแทน

5.2.3 กรณีทีภ่ าษาญ่ปี ุ่นใชโ้ ครงสร้าง “V. te-ageru” แตภ่ าษาไทยไม่
ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. + ให”้

จากแผนภูมิ 2 กรณีทีภ่ าษาญ่ีปุน่ ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. te-ageru” แต่
ภาษาไทยไมใ่ ชโ้ ครงสร้าง “V. + ให้” มีจำนวน 13 ตัวอย่าง สว่ นใหญ่เป็น
กรณีที่กริยาทีป่ รากฏร่วมเป็นกริยาท่ีมกี รรมตรงเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2
(ต่อจากนจ้ี ะใช้คำวา่ “บรุ ษุ ท่ี 2”) ดงั ตวั อยา่ ง (13) – (14)

118

(13) ฉันจะพยายามอุ้มคุณไปหาหมอ
isha-ni (anata-o) tsurete-itte-ageru-wa.
doctor-DAT (you-ACC) take-go-give-SFP
(คู่กรรม)

ตัวอยา่ ง (13) ผู้พูดเสนอตอ่ ผู้ฟังที่จะ “อมุ้ ” ผฟู้ ังไปหาหมอ กรยิ า
“อุ้ม” เป็นกริยาที่มีกรรมตรงเปน็ บุคคล ในภาษาญี่ปุน่ ใช้โครงสร้าง “V.
te-ageru” รว่ มกบั กริยา “tsurete-iku” (“พาไป”) จงึ ตีความได้วา่ ผู้ฟัง
เป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเสนอตัวกระทำกริยาของผู้พูด ในขณะท่ี
ภาษาไทยไม่ใช้โครงสรา้ ง “V. + ให้” หากใช้โครงสร้าง “V. + ให”้ จะทำ
ใหเ้ กดิ การตคี วามดังตัวอยา่ ง (13’) และ (13’’)

(13’) ? ฉนั จะพยายามอมุ้ คุณไปหาหมอให้ (คุณ)
(13’’) ฉนั จะพยายามอุ้มคณุ ไปหาหมอให้ (เขา)

กริยาที่ต้องการกรรมตรงที่เป็นบุคคลนั้น ส่วนใหญ่มักปรากฏ
กรรมตรงหลังคำกริยานั้น ถึงแม้โครงสร้าง “V. + ให้” จะสามารถละ
คำนามทอ่ี ย่หู ลัง “ให้” เปน็ สว่ นใหญ่ แต่ยังคงปรากฏกรรมรองนั้นซ่อนอยู่
ในโครงสรา้ งประโยค ดงั น้ันในสถานการณ์น้ี หากใช้โครงสร้าง “V. + ให้”
กับกริยา “อุ้ม” จะตีความได้สองแบบดังตัวอย่าง (13’) และ (13’’)
ตัวอย่าง (13’) เปน็ กรณีทตี่ คี วามวา่ คำนามหลัง “ให้” เปน็ บรุ ษุ ท่ี 2 ซึง่ ใน
กรณนี ้ีจะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ เนอ่ื งจากไม่สามารถตีความเป็นการเสนอ
ตัวกระทำแทนผู้ฟังได้ ส่วนในตัวอย่าง (13’’) จะแสดงความหมายการ
เสนอตวั กระทำแทนบุคคลอื่นทีไ่ มใ่ ช่ผู้ฟัง โดยละบุคคลที่กระทำแทนหลัง

119

“ให”้ ในกรณีทีท่ ้งั ผพู้ ดู และผู้ฟังรับรรู้ ่วมกัน โดยตคี วามว่าบุคคลที่ 3 นั้น
ไมส่ ามารถกระทำกริยานน้ั ได้ ผพู้ ูดจงึ อาสากระทำแทนบุคคลนั้น เชน่ “ถา้
เขาไม่อุ้มคุณไปหาหมอ ฉันจะอุ้มคณุ ไปหาหมอให้ (แทนเขา)”

(14) ผมจะคอยคณุ อยทู่ ี่บา้ น ie-de
watashi-wa (anata-o) home-at
I-TOP (you-ACC)
matte-ite-age-masu. (คู่กรรม)
wait-ASP-give-POL.

ตัวอยา่ ง (14) ผพู้ ูดเสนอตวั ว่าจะคอยผู้ฟังอยู่ที่บ้าน กรยิ า “คอย”
เป็นกริยาที่มีกรรมตรงเป็นบุคคลเช่นเดียวกัน ในภาษาญี่ปุ่นสามารถใช้
กริยา “matsu” (“คอย”) รว่ มกับโครงสรา้ ง “V. te-ageru” เพ่ือแสดงว่า
การกระทำนี้เป็นประโยชน์ต่อผฟู้ ังได้ ในขณะทภี่ าษาไทยไม่ใช้โครงสร้าง
“V. + ให้” หากใช้จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ดังตัวอย่าง (14’) และ
(14’’)

(14’) ? ผมจะคอยคณุ อยทู่ ่ีบา้ นให้ (คณุ )
(14’’) ผมจะคอยคณุ อยู่ทีบ่ ้านให้ (เขา)

ตวั อย่าง (14’) เปน็ การตคี วามว่าผ้พู ูดกระทำกรยิ า “คอย” แทน
ผฟู้ ังซึง่ ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ แตส่ ามารถใชไ้ ดใ้ นกรณีท่ีตคี วามดังตัวอย่าง
(14’’) คือผู้พูดกระทำกรยิ า “คอยผฟู้ ัง” แทนบคุ คลใดบุคคลหน่ึง ดังน้ัน
หากใช้โครงสร้าง “V. + ให้” ในสถานการณ์นี้จะทำให้ความหมาย
เปลย่ี นไปและอาจเกดิ ความกำกวมได้วา่ เปน็ การกระทำแทนบุคคลใด

120

6. อภปิ รายผล
จากผลการวิจัยข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการใช้

“V. te-ageru” และ “V. + ให”้ ในสถานการณก์ ารเสนอความช่วยเหลือ
พบวา่ มีความแตกต่างในเรอ่ื งของกริยาท่ีปรากฏรว่ ม โดยโครงสร้าง “V. +
ให้” จะไม่ปรากฏร่วมกับกริยาที่มีกรรมตรงเป็นบุรุษที่ 2 ในขณะท่ี
โครงสรา้ ง “V. te-ageru” ไมม่ ีขอ้ จำกดั เรือ่ งกรยิ าทีป่ รากฏร่วม แต่มีบาง
กรณีที่ผู้พูดอยู่ตอ่ หนา้ ผู้ฟัง และตอ้ งการแสดงเจตนาหรือความตั้งใจของผู้
พูด จะใช้กริยารูปพจนุกรม ซึ่งความแตกต่างนี้เป็นผลมาจากการขยาย
ความหมายท่แี ตกต่างกัน

ในกรณีที่ภาษาญป่ี นุ่ ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. te-ageru” แต่ภาษาไทยไม่
ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. + ให้” นน้ั เป็นกรณีท่ีปรากฏรว่ มกบั กริยาท่ีมีกรรมตรง
เป็นบุรุษที่ 2 ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้าง “V. + ให้” เมื่อเกิดการขยาย
ความหมายจากกริยาหลกั ไปสู่หน้าที่คำบุพบท จะยังคงคุณสมบัติของคำ
บุพบทบ่งชี้กรรมรองและการกระทำแทนอยู่ กริยาหลัก “ให้” แสดง
ความหมายของการเคล่ือนที่ของสิ่งของจากผู้ใหส้ ู่ผู้รับ เม่ือเกิดการขยาย
ความหมายจะถา่ ยทอดความหมายดง้ั เดิมไปสู่โครงสร้างแสดงกรรมรองท่ี
ทำหน้าที่คำบุพบทบ่งชี้กรรมรองที่เป็นผูร้ ับสิ่งของ โดยใช้ร่วมกับกริยาท่ี
แสดงหรือมีนัยของการเคลื่อนที่ของสิ่งของหรือข้อมูล เช่น “หยิบ”
“บอก” เป็นต้น และกริยาที่ปรากฏสิ่งของขึ้นเมื่อการกระทำนั้นเสร็จ
สมบูรณ์ เช่น “ซื้อ” “ทำ (อาหาร)” เป็นต้น (Rangkupan, 2007;
Thepkanjana & Uehara, 2008 เปน็ ตน้ )

จากโครงสร้างแสดงกรรมรองดังกล่าว เกดิ การขยายความหมาย
ไปสู่โครงสร้างแสดงการกระทำแทน โดยนำไปใชก้ บั กริยาท่ีนอกเหนือจาก

121

กริยาดังกล่าวขา้ งตน้ และเม่อื ขยายความหมายนำไปใช้ในสถานการณ์การ
เสนอความช่วยเหลือ จะยังคงมเี ค้าความหมายเดิมของการเคลื่อนท่ขี อง
สิ่งของ (หรือข้อมูล) และความหมายของการกระทำแทน
(Kaweejarumongkol et.al., 2018) ทำให้สามารถใช้ร่วมกับกริย าท่ี
แสดงการเคล่ือนท่ีของสิ่งของหรือข้อมลู และกริยาท่ปี รากฏส่งิ ของข้ึนเม่ือ
การกระทำนั้นเสร็จสมบูรณ์เช่นเดียวกับโครงสร้างแสดงกรรมรองและ
โครงสร้างแสดงการกระทำแทน ส่วนกริยาอน่ื นอกเหนือจากน้ี จะนำมาใช้
แสดงความหมายการเสนอตัวเพื่อกระทำแทน ด้วยเหตุนี้ กรณีที่กริยาที่
ปรากฏร่วมกับโครงสร้าง “V. + ให้” เป็นกริยาที่มีกรรมตรงเป็นบุคคล
เช่น “อุ้ม” “คอย” เป็นต้น หากกรรมตรงเป็นบุคคลที่ 3 จะสามารถ
ตคี วามวา่ เปน็ การเสนอต่อผฟู้ งั จะกระทำแทนบคุ คลที่ 3 ได้ เชน่ “ถา้ เขา
ไม่อุ้มเธอ ฉันจะอุ้มเธอให้ (แทนเขา)” แต่หากกรรมตรงเป็นบุรุษท่ี 2 จะ
ตคี วามเปน็ การเสนอตัวเพ่ือกระทำแทนบุรุษที่ 2 ได้ยาก โครงสร้าง “V. +
ให้” จงึ มีขอ้ จำกดั ในการใช้น้ี

สว่ นกริยา “ageru” แสดงการเคลอ่ื นทข่ี องสิง่ ของจากผู้ให้สู่ผู้รับ
เช่นเดียวกับกริยาหลัก “ให้” เมื่อเกิดการขยายความหมายนำไปใช้เปน็
กริยานุเคราะห์ในโครงสร้าง “V. te-ageru” จะแสดงความหมายว่า ผู้รับ
การกระทำเป็นผู้รับผลประโยชน์ด้วย ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างน้ีจึงไม่มี
ข้อจำกัดในเรอ่ื งของกริยาท่ีปรากฏรว่ ม โดยสามารถใช้รว่ มกับกริยาที่แสดง
การเคลื่อนทขี่ องสง่ิ ของหรอื ข้อมูลจากผู้ใหส้ ผู่ รู้ ับ กรยิ าที่ปรากฏสิ่งของเมือ่
การกระทำน้ันเสรจ็ สมบูรณ์ กรยิ าทม่ี ีกรรมตรงเป็นบุคคล หรือแม้กระทั่ง
อกรรมกริยาได้ (Sawada, 2014) ดังนั้นในสถานการณ์การเสนอความ
ชว่ ยเหลอื จงึ ไม่มีขอ้ จำกัดในเรอื่ งของกรยิ าท่ีปรากฏรว่ ม

122

แต่ถึงแมใ้ นสถานการณ์นี้ ผ้ฟู งั จะได้รับประโยชน์จากการกระทำ
ของผพู้ ูด และมแี นวโนม้ จะใชโ้ ครงสรา้ ง “V. te-ageru” แต่หากเป็นกรณี
ทผี่ ู้พูดอยู่ต่อหนา้ ผ้ฟู ัง การใชโ้ ครงสรา้ ง “V. te-ageru” เป็นการส่ือต่อผู้ฟัง
วา่ ผ้พู ูดจะกระทำสิง่ ใดส่งิ หนงึ่ ตอ่ ผู้ฟังหรอื กระทำแทนผู้ฟัง โดยการกระทำ
นนั้ เปน็ ประโยชนต์ ่อผฟู้ ัง ซ่งึ ในบางบรบิ ทไม่จำเป็นตอ้ งใช้เพอื่ สื่อตอ่ ผู้ฟังว่า
การกระทำนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง หากใชโ้ ครงสร้าง “V. te-ageru”
จะฟงั ดเู สมือนเปน็ การทวงบุญคณุ ต่อผฟู้ งั ในกรณีนี้ ภาษาญี่ปุ่นจะใช้เพียง
กริยารปู พจนานุกรมเพื่อแสดงเจตนาหรือความตั้งใจของผูพ้ ูดที่จะกระทำ
สง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ แทน

อนงึ่ ในงานวจิ ยั นพี้ บขอ้ สังเกตว่า เมื่อปรากฏร่วมกบั กริยา “ส่ง”
(ภาษาญ่ปี นุ่ “okuru”) และมกี รรมตรงเป็นบรุ ุษท่ี 2 พบวา่ ภาษาไทยไม่
ใชโ้ ครงสรา้ ง “V. + ให้” แต่ภาษาญีป่ ุ่นใช้โครงสรา้ ง “V. te-ageru” กริยา
“ส่ง” เปน็ กริยาท่ีสามารถเป็นได้ท้ังกรยิ าที่มีกรรมตรงเป็นสงิ่ ของและเป็น
กริยาที่มีกรรมตรงเป็นบุคคล ภาษาไทยสามารถใช้โครงสร้างน้ีเพื่อแสดง
กรรมรอง หรอื แสดงความหมายของการเสนอตัวกระทำแทนได้ จงึ จัดเป็น
กริยากลุ่มท่ีมีความไม่ชัดเจนในประเภทของกริยา ข้อสังเกตนี้ ผู้วิจัยจะ
นำไปวิเคราะหใ์ หล้ ึกซง้ึ ต่อไป

7. สรปุ
งานวจิ ยั น้ศี ึกษาเปรียบเทยี บความเหมือนและความแตกต่างของ

โครงสร้าง “V. te-ageru” และ โครงสร้าง “V. + ให้” ที่ปรากฏใน
สถานการณก์ ารเสนอความช่วยเหลือ โดยเก็บรวบรวมข้อมลู จากนวนิยาย
แปลญี่ปนุ่ -ไทยและนวนยิ ายแปลไทย-ญี่ปุน่ ทำให้พบความแตกตา่ งในการ

123

ใช้กริยาแสดงการให้ของทัง้ สองภาษา ความแตกตา่ งเหล่านี้เป็นผลจากการ
ขยายความหมายจากกริยาหลักสู่หน้าที่อื่น ๆ ที่แตกต่างกัน จากความ
แตกต่างของท้ังสองโครงสร้างจะเห็นไดว้ ่า ถงึ แมท้ ง้ั สองโครงสร้างจะมีที่มา
จากกริยาแสดงการให้เช่นเดยี วกัน แต่กลับมขี ้อแตกตา่ งทีท่ ำใหเ้ กิดการใช้
ที่ไม่ตรงกัน เมื่อทราบถึงความแตกต่างเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ในการ
นำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นสำหรับผู้เรียนชาวไทย
การแปล ตลอดจนการสื่อสารขา้ มวัฒนธรรมได้

อนึ่ง งานวิจัยนี้มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนข้อมูลท่ี นำมา
วิเคราะห์ หากเพิ่มจำนวนข้อมูลให้มากขึ้น อาจพบข้อจำกัดหรือข้อ
แตกต่างในการใช้ของท้ังสองโครงสรา้ งน้ีได้มากขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยนี้
วิเคราะห์เฉพาะโครงสร้าง “V. te-ageru” แต่ในสถานการณ์การเสนอ
ความช่วยเหลือ ยังมีโครงสร้าง “V. te-yaru” ที่สามารถนำมาใช้ได้ ซ่ึง
ผวู้ จิ ัยจะนำไปเปน็ ประเด็นในการทำวจิ ัยในคร้งั ตอ่ ไป

124

นวนยิ ายแปล (คำย่อทใี่ ชใ้ นบทความ)

(ดอกเตอร์) Yoko Ogawa. (2008). ดอกเตอร์กับรูท และสตู รรักของเขา [博士の愛
した数式] (อัษฏา-น้ำทิพย์ เมธเศรษฐ, แปล). กรุงเทพฯ: Bliss Publishing.
(ต้นฉบับพิมพป์ ี ค.ศ. 2005).; (อยากกู่ร้อง) Kyoichi Katayama. (2005). อยากกู่
ร้องบอกรักให้ก้องโลก [世界の中心で、愛をさけぶ] (ฤทัยวรรณ เกษสกุล,
แปล). กรุงเทพฯ: เนชั่นบุ๊คส์. (ต้นฉบับพิมพ์ปี ค.ศ. 2001).; (ถ้าโลกนี้) Genki
Kawamura. (2016). ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว [世界から猫が消えたなら] (ดนัย คง
สวุ รรณ์, แปล). กรงุ เทพฯ: Maxx Publishing. (ต้นฉบบั พมิ พ์ปี ค.ศ. 2014).; (หญิง
สาว) Osamu Koshigaya. (2015). หญิงสาวในแสงตะวัน [陽だまりの彼女] (น้ำ
ทิพย์ เมธเศรษฐ, แปล). กรุงเทพฯ: ซันเดย์ อาฟเตอร์นูน. (ต้นฉบับพิมพ์ปี ค.ศ.
2008).; (ยามซากุระ) Makoto Shinkai. (2013). ยามซากุระรว่ งโรย [秒速 5 セン
チメートル] (ณรรมล ตั้งจิตอารี, แปล). กรุงเทพฯ: เอ บุ๊ค บาย เอจี กรุ๊ป, บจก.
(ต้นฉบบั พิมพ์ปี ค.ศ. 2007).; (พรงุ่ นี้) Takafumi Nanatsuki. (2017). พรุ่งน้ีผมจะ
เดทกับเธอคนเมื่อวาน [ぼくは明日、昨日のきみとデートする](กนกวรรณ
เกตชุ ยั มาศ, แปล). กรุงเทพฯ: Maxx Publishing. (ตน้ ฉบบั พมิ พ์ปี
ค.ศ. 2016).; (คู่กรรม) วิมล เจียมเจริญ. (1978). メナムの残照 [คู่กรรม]
(Nishino Junjiro, แปล). โตเกียว: Kadokawa. (ต้นฉบบั พมิ พป์ ี ค.ศ. 1969).; (เวลา)
ประภสั สร เสวิกุล. (2015). 瓶の中の時間 [เวลาในขวดแก้ว] (Isao Fujino, แปล).
กรุงเทพฯ: Nilubol Publishing House. (ต้นฉบับพิมพ์ปี ค.ศ. 1985).; (ความสุข)
งามพรรณ เวชชาชวี ะ. (2006). タイの少女カティ [ความสุขของกะทิ] (Vejjajiva,
Jane & Mayumi Otani, แปล). โตเกียว: Kodansha. (ตน้ ฉบบั พิมพป์ ี ค.ศ. 2003).

125

เอกสารอา้ งอิง(References)
ภาษาไทย
พิรุฬห์ ปยิ มหพงศ์ และ กิง่ กาญจน์ เทพกาญจนา. (2017). คุณสมบัติ

ทางวากยสมั พนั ธ์และอรรถศาสตร์ของตวั บง่ ชผี้ ู้รับประโยชน์
“เพื่อ” และ “ให”้ ในภาษาไทย. วารสารอกั ษรศาสตร์, 46 (2),
349-407.
ภาษาองั กฤษ
Iwasaki, Shoichi. (2008). Bipolar distribution of a word and
grammaticalization in Thai: A discourse perspective. In
Diller, Anthony V. N., Jerold A. Edmondson, & Yongxian
Luo (eds.), The Tai-Kadai Languages. (pp. 468-483).
New York: Routledge.
Jenny, Mathias. (2010). Benefactive strategies in Thai. In:
Zúñiga, Fernando & Kittilä, Seppo. (eds.), Benefactives
and malefactives: typological perspectives and case
studies. (pp. 377-392). Amsterdam: John Benjamins.
Rangkupan, Suda. (2007). The syntax and semantics of GIVE-
complex constructions in Thai. Language and Linguistics,
8 (1), 193-234.
Shibatani, Masayoshi. (1994). Benefactive Constructions: A
Japanese-Korean Comparative Perspective. In Akatsuka,
Noriko. (ed.), Japanese / Korean Linguistics. (pp.39-74).
4, CSLI.

126

Thepkanjana, Kingkarn and Uehara, Satoshi. (2008). The verb
of giving in Thai and Mandarin Chinese as a case of
polysemy: A comparative study. Language Sciences, 30,
621-651.

ภาษาญีป่ ่นุ
江田すみれ (Goda, Sumire). (1983).「てやる・てくれる・

てもらう」とタイ語の表現―hâi の用法に注目して―.
日本語教育, 49, 119-132.
カウィーチャールモンコン サリンラット (Kaweejarumongkol,

Salilrat). (2019). 日タイ語の授与動詞の多機能性に関する
認知言語学的対照研究. 国際文化研究科博士論文.

カウィーチャールモンコン サリンラット・上原聡

(Kaweejarumongkol, Salilrat and Satoshi Uehara). (2018).
タイ語の授与動詞 haŷ の意味拡張に関する一考察―
コーパス分析に基づく構文的アプローチ―. 日本認知
言語学会論文集, 18, 280-292.
久野暲 (Kuno, Susumu). (1978). 談話の文法. 大修館書店.
澤田淳 (Sawada Jun). (2014). 日本語の授与動詞構文パターンの
類型化: 多言語との比較対照と合わせて. 言語研究, 145, 27-60.
田中寛(Tanaka, Hiroshi). (2004). 統語構造を中心とした日本語と
タイ語の対照研究.ひつじ書房.
寺村秀夫 (Teramura, Hideo). (1982). 日本語のシンタクスと
意味 I. くろしお出版.

127

บทความวจิ ัย

จาก โอปานภตู ทายกผเู้ ปน็ ดจุ บอ่ นำ้ สู่การสรา้ งสรรค์ทาน
ในอดุ มคติของอุบาสกในคมั ภรี ธ์ มั มปทฏั ฐกถา

From Wellspring Donor to the Creation of Ideal
Donation of Buddhist Laymen in
Dhammapadaṭṭhakathā

สมพรนุช ตันศรสี ุข1
Sompornnuch Tansrisook

บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามโนทัศน์ของคำวา่ โอปานภตู
“ผู้เป็นดุจบ่อน้ำ”ที่สะท้อนในทานในอุดมคติในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา
ผลการศึกษาพบว่า มโนทัศน์ของคำซึ่งสื่อความหมายถึงการอำนวย
ประโยชน์แก่มนุษย์และสัตว์ที่มาดื่มน้ำที่บ่อน้ำโดยไม่มีที่สิ้นสุดแสดงถึง
ศรัทธาในพระศาสนาที่แน่วแน่มั่นคงด้วยความเชื่อมั่นในประโยชน์ที่จะ
เกิดข้ึนจากการให้ อบุ าสกผู้มีศรทั ธาย่อมสามารถถวายแก่พระสงฆ์คร้ังละ
มาก ๆ ตามฐานะหรือถวายทรัพย์ที่มีความสำคัญสำหรับตน โดยละความ
ยึดติดในทรัพย์สินและไม่หวั่นเกรงผลร้ายที่ตามมา ทานเช่นนี้ย่อมให้ผล
มากและรวดเรว็ คมั ภีรธ์ มั มปทฏั ฐกถายังแสดงว่าการขัดขวางหรือวิจารณ์

1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ
อกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , e-mail : [email protected]

128

ทานของอุบาสกท่ีมีคุณสมบัติเช่นนั้นแสดงถึงความโงเ่ ขลาและเป็นโทษแก่
ตัวผ้กู ระทำเอง
คำสำคัญ : อุบาสก, ทาน, พระไตรปฎิ ก, ธัมมปทฏั ฐกถา

Abstract
This article aims to observe the figurative senses of
wellspring, in Pali opānabhūta, in the ideal donation in
Dhammapadaṭṭhakathā. The study found that the figure that
signifies the unlimited generosity to all lives conveys the
meaning of ideal donation that one may donate a great deal of
items or a meaningful piece of their property without hesitance
and worry about the financial costs of giving up said item. In
this way, it reflects the strong trust of the donor in the virtues
of the monastic order and in the benefits received from the
donation. For the donor, this act of donation will quickly bear
abundant fruit and those who reject or criticize the donation
show an unwholesomeness that could return harm to the
detractor.
Keywords : Layman; Giving; Pali canon; Dhammapadaṭṭhakathā

129

1. บทนำ
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับมนุษย์ ปรากฏในวรรณคดีของคน

โบราณโดยเฉพาะชาวภารตะซึ่งมีแม่น้ำคงคาเป็นสายโลหิตของมัชฌิม
ประเทศ นอกจากแม่น้ำแล้วยังมบี ่อน้ำซง่ึ เป็นแหล่งนำ้ ทส่ี ำคัญของผู้คนใน
สมัยนั้น ในวรรณคดีบาลี โอปานภูต เป็นคำคุณนามขยายคฤหัสถ์ผู้ให้
ทาน คำวา่ โอปานภตู มาจากการสมาสกันระหว่างคำว่า โอปาน และ ภูต
โอปาน ประกอบรูปจาก ธาตุ ปา ที่แปลว่า ดื่ม ลงอุปสรรค โอ ที่แปลว่า
ลง คำว่า โอ นี้อาจพิจารณาว่าเป็นรูปย่อของ อุท หรือ อุทก ที่แปลว่าน้ำ
(สุมังคลวิลาสินี อ้างถึงใน Rhys Davids and Stede 1997, 168) และลง
ปจั จยั ยุ สำเรจ็ รปู เป็น โอปาน แปลวา่ “ทเี่ ปน็ ทีม่ าด่ืม บอ่ สระ” สว่ น ภูต
เป็นกริยากิตก์จากธาตุ ภู ลง ต ปัจจัย แปลว่า เป็นแล้ว หรือเป็นคำนาม
แปลว่า สิ่งที่เป็น ดังนั้น คำว่า โอปานภูต ตามรูปศัพท์ แปลว่า ผู้เป็นดุจ
บ่อที่ลงดื่ม ผู้เป็นดุจบ่อน้ำ แสดงถึงความเอื้อเฟื้อ การเป็นที่พึ่งของ
สิง่ มชี วี ติ ทงั้ ปวงที่มาด่ืมนำ้ โดยไมม่ ีที่ส้ินสุด เหมือนบ่อน้ำท่ีเต็มเสมอ ไม่เคย
พรอ่ งแม้มีผู้มาด่ืมกินหรือตักน้ำออกไป โดยทวั่ ไป คำว่า โอปานภูต มักจะ
มีคำนามฉัฏฐีวิภัตติ (Genitive) มาขยายต่อเพื่อให้เห็นชัดเจนว่า เป็นดุจ
บ่อน้ำสำหรับใคร คำที่มาขยายอาจเป็น สมณพราหมณ์ นักบวช คน
เดินทาง หรือคนยากจนทั่วไป ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถาเปตวัตถุ
ยังขยายความด้วยว่าสิ่งของที่ให้ได้แก่ อาหาร น้ำดื่ม ผ้า และที่นอน อัน
เปน็ ปจั จัย 4 ท่ีจำเปน็ สำหรบั การดำรงชีวิตของมนุษย์

ความหมายของคำว่า โอปานภูต สอดคล้องกับความคิดเรื่องทาน
ในอดุ มคติในพระพุทธศาสนาโดยแสดงถึงการมีศรัทธาของทายก หรอื ผใู้ ห้
ขณะถวายทาน ในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถามีนิทานหลายเรื่องท่ีแสดงการ

130

ถวายทานของอุบาสก2ผู้มีศรัทธาครั้งละมาก ๆ โดยไม่มีข้อจำกัด ผู้เขียน
จึงต้องการที่จะศึกษาแนวคิดข้างต้น โดยเห็นว่า ความเป็นดุจบ่อน้ำ ซึ่ง
แสดงถึงความใจดี ใจกว้างโดยไม่มีที่สุดมีลักษณะใกล้เคียงกับทานในอุดม
คติในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ซึ่งทายกเป็นผู้มีศรัทธามั่นคง พร้อมที่จะสละ
ทรัพย์ของตนแด่พระสงฆ์โดยไม่จำกัดด้วยจิตใจที่แน่วแน่ และในที่สุดก็
ได้รับผลบุญเป็นอันมากจากทานนั้น ลักษณะของทานเช่นน้ีให้ภาพความ
บริบูรณ์ของปัจจัย 4 ท่ีอริยชนจัดหาให้แก่สงฆ์โดยไม่มีที่สุด สอดคล้องกับ
คำอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นคงในการถวายทานกับระดับ
ของศรทั ธาในพระศาสนาของทายก

ทานในพระพุทธศาสนามีงานวิชาการที่ได้ศึกษาอยู่จำนวนหน่ึง
งานทสี่ ำคัญ ได้แก่ Religious Giving and the Invention of Karma in
Theravada Buddhism โดย James Egge (2545) ที่ศึกษาทานในเชิง
ประวัติจากความคิดเรื่องยัชญพิธีในศาสนาฮินดู Dana : Giving and
Getting in Pali Buddhism โดย Ellison Findly (2546) ศึกษาทานใน
วรรณคดีบาลี วิทยานิพนธ์เรื่อง ทานและทานบารมี ความสำคัญที่มีต่อ
การรังสรรค์วรรณคดีไทยพุทธศาสนา โดย อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล (2552)
ศึกษาคำสอนและอานิสงส์ของทาน โดยเฉพาะการสร้างบารมีเพื่อความ
เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าซึง่ เปน็ ความคดิ สำคญั ในวรรณคดไี ทย นอกจาก
งานที่ศึกษาความคิดเรื่องทานแล้ว ยังมีการศึกษาความเปรยี บซึ่งเกีย่ วขอ้ ง
กบั คำวา่ โอปานภูต โดยตรง คอื วิทยานิพนธเ์ รอื่ ง ความเปรียบเกยี่ วกับน้ำ

2 อุบาสกในทนี่ เ้ี ป็นการกลา่ วโดยย่อ ผ้เู ขยี นหมายถงึ อุบาสกและอบุ าสกิ า คือ คฤหัสถ์
ชายและหญงิ ที่เล่อื มใสในพระพุทธศาสนา

131

กับมรรคาสู่นิพพานในอรรถกถาชาดก ของสุภัค มหาวรากร (2552) ซ่ึง
ศึกษาความเปรียบเกี่ยวกับน้ำในคัมภีร์อรรถกถาชาดกหรือชาตกัฏฐกถา
พบว่า การใช้คำว่า โอปานภตู ปรากฏท้ังหมด 8 เรือ่ ง แสดงถึงการทำทาน
อย่างสม่ำเสมอแก่สมณพราหมณ์ สะทอ้ นความเป็นผ้มู ศี รัทธามัน่ คง

การศึกษาของสุภัคแสดงให้เห็นวา่ ทานซึ่งเปรียบได้กับบ่อนำ้ เป็น
ธรรมสำคัญในการเข้าถึงความพ้นทุกข์ บ่อน้ำที่มีน้ำอยู่แสดงถึงการสะสม
น้ำ เปรยี บเหมือนบญุ ทานทส่ี ะสมอย่างสม่ำเสมอ ตรงข้ามกับบุคคลที่ไม่มี
ศรัทธา มีความตระหนี่ในการทำทาน ซึ่งเปรียบเหมือนบ่อน้ำที่ไม่มีน้ำ แม้
จะพยายามขุดให้มนี ้ำ ก็ไดแ้ ตน่ ำ้ ท่ีมีกล่นิ โคลนตม ไม่บริสทุ ธส์ิ ะอาด ซ่ึงไม่
เป็นที่ปรารถนาของผู้รับทาน สุภัคเห็นว่า ชุดของความเปรียบนี้มี
ความหมายเกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ น้ำหมายถึงพระธรรม บ่อน้ำหมายถึง
ศรทั ธา และโคลนตมหมายถึงกิเลส (สภุ คั มหาวรากร, 2552, น.78) การ
เปรียบเทียบความใจกว้างในการทำทานดุจบ่อน้ำจึงสะท้อนถึงความ
ศรัทธาของทานบดีในการให้ทานน้นั

การศึกษาของสุภัคช่วยให้เข้าใจมโนทัศน์ของความเปรียบได้แจ่ม
ชัด นอกจากจะเห็นว่าบ่อน้ำแสดงความหมายของการเป็นที่พึ่งสำหรับ
สมณพราหมณ์แล้ว ยังสะท้อนถึงการสะสมบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากทาน
บทความวิจัยนี้จะได้ศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวกับการทำทานโดยปราศจาก
ข้อจำกัดซึ่งปรากฏในนิทานหลายเรื่องในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา คัมภีร์ธัมม
ปทัฏฐกถาเป็นคัมภีร์อธิบายคาถาธรรมบท ประกอบด้วยนิทานซึ่งเป็น
เรื่องราวที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นคาถา สว่ นใหญ่เป็นเร่ือง
ของพุทธบริษัทโดยเฉพาะพระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีทั้งที่ขนาดยาวมาก
และส้นั มาก มสี าระสำคัญสอดคล้องกบั คาถาซง่ึ สอนเร่ืองต่าง ๆ เช่น การ

132

ดำรงตนอยา่ งเหมาะสมในเพศสมณะ ความสำคญั ของศลี สำหรบั พระภิกษุ
และคฤหัสถ์ เป็นต้น ในสาระที่เกี่ยวข้องกับการให้ทาน คัมภีร์เล่าเรื่อง
การทำทานของอุบาสกหลายท่าน บางเรื่องมีเค้าเรื่องจากพระไตรปิฎก
บางเรื่องพบเฉพาะในธัมมปทัฏฐกถา3 บางท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้น
โสดาบนั ไดแ้ ก่ อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี นางวิสาขา บางทา่ นเป็นอุบาสกผู้มี
ศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธเจ้า เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล4 บางท่านเป็น
ชาวบา้ นธรรมดามีฐานะยากจนแต่ได้ถวายทานแดพ่ ระพทุ ธเจ้า พระปัจเจก
พุทธเจ้า พระสงฆ์ หรือพระอรหันตสาวก ผลบุญของการทำทานตาม
เรื่องราวที่แสดงมีทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สัมปรายภพ รวมทั้งส่งผลให้พบ
พระศาสนาและบรรลุธรรมในสมัยพทุ ธกาลนนั้

ในบทความนี้ ผ้เู ขียนจะได้ศกึ ษาคำว่า โอปานภูต ในบริบทตา่ ง ๆ
เท่าที่ปรากฏในพระไตรปฎิ กบาลีและอรรถกถา ประกอบกับความคิดเรือ่ ง
ทานในพระไตรปิฎกซึ่งมีผู้ค้นคว้าไว้แล้ว จากนั้น จึงศึกษาเรื่องราวการ
ทำทานของอุบาสกในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาว่าสอดคล้องกับมโนทัศน์การ
เป็นผดู้ ุจบอ่ น้ำอยา่ งไร

3 เร่ืองทข่ี ยายความเพ่ิมเติมจากพระไตรปฎิ ก ไดแ้ ก่ การสรา้ งวัดของนางวิสาขา เรอื่ ง
ทมี่ เี ฉพาะในธัมมปทฏั ฐกถา ไดแ้ ก่ เรอื่ งความยากจนของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี อสทิส-
ทานของพระเจ้าปเสนทโิ กศล ทานและอานสิ งส์ทานของพราหมณ์จูเฬกสาฎก นาย
ปณุ ณะ นายสุมนะ
4 คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาแสดงภาพของพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้มีศรัทธา ทรงเคารพ
พระรัตนตรัยและบริจาคพระราชทรัพย์จำนวนมากแก่พระศาสนา แม้พระองค์จะไม่
เป็นพระโสดาบัน

133

2. โอปานภตู ในพระไตรปฎิ กบาลีและอรรถกถา
ในพระไตรปิฎกมกี ารใช้คำว่า โอปานภตู อยหู่ ลายแห่ง เพื่อแสดง

ถึงความเป็นทานบดี “ผู้เป็นใหญ่ในทาน” ของคฤหัสถ์ที่ให้ทาน โดยใช้
เป็นคุณศัพท์ขยายความ เพื่อให้เห็นว่าคฤหัสถ์ผู้นั้นเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนา
คนสำคัญ เช่น สีหเสนาบดี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่ม 5 ข้อ 80)
และอุบาลี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่ม 13 ข้อ 73) ซึ่งเป็นอดีตสาวก
ในศาสนาเชนหรือศาสนาของนักบวชสมณะที่เรียกว่า นิครนถ์ ปรากฏอยู่
ในพระวินัย และอุบาลีสูตร มัชฌิมนิกาย ในตอนแรกทั้งสีหเสนาบดี และ
อุบาลีเป็นอุบาสกสำคัญของมหาวีระ หรือนิครนถ์นาฏบุตรผู้เป็นศาสดา
แตต่ อ่ มาเล่ือมใสในพระพทุ ธเจ้าและประกาศตนเป็นอุบาสก พระพุทธเจ้า
ทรงทักท้วงโดยตรัสว่า สกุลของท่านทั้งสองนั้นเป็นดุจบ่อน้ำของนิครนถ์5
(นิคณฺ านํ โอปานภูตํ) ตลอดกาลนาน การเปลี่ยนมาเคารพนับถือ
พระองค์ย่อมทำให้นิครนถ์เสียประโยชน์ และอาจเกิดความโกรธเคือง
พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ทั้งสองให้ทานแก่นิครนถ์ต่อไป สถานะท่ี
ทรงเรียกว่า โอปานภูต จึงสะท้อนถึงการเป็นทานบดีคนสำคัญสำหรับ
นักบวชของศาสนานน้ั

ในกูฏทันตสูตร ทีฆนิกาย โอปานภูต ยังเป็นคุณสมบัติสำคัญของ
พระเจ้ามหาวิชิตราช กษัตริย์ผู้ทรงกระทำการบูชายัญที่ยิ่งใหญ่เพ่ือ
ประโยชน์และความสุขของพระองค์เอง กล่าวคือ ทรงเป็นทานบดีสำคัญ
ในแว่นแคว้นของพระองค์ ทรงเป็นดุจบ่อน้ำ สำหรับสมณพราหมณ์ คน

5 บางครั้งพระไตรปิฎกฉบับหลวงใช้สำนวนแปลว่า เป็นสถานที่รับรองของพวก
นิครนถ์ นบั วา่ เป็นการแปลโดยอรรถทีไ่ ม่สะทอ้ นท่มี าของศัพทเ์ ลย

134

กำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทรงเป็นที่พึ่งของ
สมณพราหมณ์ซึ่งเป็นนักบวช ตลอดจนผู้ที่ประสบความลำบากเดือดร้อน
ในเรื่องของปัจจัย 4 การเป็นทานบดีเป็นคุณสมบัติสำคัญหนึ่งในแปด
ประการของพระเจ้าแผ่นดินที่ได้รับการยอมรับจากปวงชน
นอกเหนือจากการมีชาติตระกูลที่บริสุทธิ์ รูปงาม มั่งคั่ง การเป็นผู้สดับ
ตรับฟังมาก การทราบอรรถแห่งภาษิต และทรงปรีชาเฉียบแหลม
(พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 9 ข้อ 208) คัมภีร์สุมงั คลวลิ าสินี อรรถกถา
ทฆี นิกายอธบิ ายว่า โอปานภตู ในท่ีนค้ี อื การเป็นดจุ สระโบกขรณที ่เี ขาขุดไว้
ที่ทางใหญ่ 4 แพร่ง เป็นที่ดื่มที่บริโภคอันเป็นสาธารณะสำหรับคนทั้งปวง
การใช้คำว่า โอปานภูต ในบริบทนี้แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างในการเป็น
ผใู้ ห้ สามารถที่จะให้ทานแกผ่ รู้ ับซ่ึงไมจ่ ำเพาะเจาะจงได้อยา่ งบริบูรณ์และ
สมำ่ เสมอ ซึง่ เป็นคณุ สมบตั สิ ำคญั ของผเู้ ป็นใหญ่

ในคัมภีร์มหานิทเทส6 โอปานภูต นำมาอธิบาย (gloss) ร่วมกับ
สทฺธ มีศรัทธา ปสนฺน มีความเลื่อมใส กาสาวปชฺโชต เป็นแดนรุ่งเรืองด้วย
ผา้ กาสาวะ อสิ ิวาตปฏวิ าต เป็นทเี่ ขา้ ออกของภิกษผุ ู้แสวงหา อตถฺ กาม มุ่ง
ความเจริญ หิตกาม มุ่งประโยชน์เกื้อกูล ผาสุกาม มุ่งความสบาย โยคกฺ
เขมกาม มุง่ ให้เปน็ แดนเกษมจากโยคะ (พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรัฐ เล่ม 29
ข้อ 917) การอธิบายคำว่า โอปานภูต เช่นนี้แสดงว่า การเป็นผู้ดุจบ่อน้ำ
สะท้อนระดับของความศรัทธาในพระพุทธศาสนา หากเป็นผู้ศรัทธามาก
ก็ย่อมที่จะสามารถให้ทานได้เต็มที่ โดยเฉพาะปัจจัย 4 และความสบายใน

6 นิทเทส เป็นคัมภีร์หนึ่งในขทุ ทกนิกาย อธิบายคาถาสุตตนิบาต ส่วนที่อธิบายคาถา
ในอัฏฐกวรรคเรียกมหานิทเทส ที่อธิบายปารายนวรรคและขัคควิสาณสูตรเรียกจูฬ
นทิ เทส ในพระไตรปิฎกของไทยอย่ใู นเลม่ ที่ 29 และ 30 ตามลำดบั

135

การดำรงชวี ติ แก่พระสงฆ์ เพ่อื เปน็ กำลังในการศึกษาปฏบิ ัตธิ รรมเพ่ือความ
พน้ ทุกข์

โดยสรุป โอปานภูต เป็นสำนวนภาษาบาลีที่ใช้ขยายความผู้ให้
เพื่อแสดงถึงการเป็นผู้ให้โดยไม่จำกัดจำนวนวัตถุที่ให้และจำนวนผู้รับซึ่ง
อาจหมายถึงสมณพราหมณ์ ประชาชนคนท่ัวไปก็ได้ เมื่อนำมาใช้ขยาย
อุบาสกซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาที่มีนกั บวชสมณะผู้ซึ่งไม่มีอาชีพการงาน มี
ชีวิตอยู่ด้วยการขอ เช่นนิครนถ์หรือพระภิกษุสงฆ์ โอปานภูต จึงมี
ความหมายว่าเป็นผู้สนับสนุนปัจจัย 4 แก่นักบวชนั้นโดยไม่จำกัดจำนวน
และเจาะจงบุคคล และถือว่าเป็นที่พึ่งสำคัญของนักบวชสมณะในศาสนา
น้ัน ๆ การนำคำว่า โอปานภูต มาอธบิ ายประกอบกับคำตา่ ง ๆ ที่แสดงถึง
การมศี รัทธามัน่ คง มงุ่ สนับสนนุ ประโยชน์ของพระภิกษสุ งฆ์ในพระศาสนา
แสดงแนวคิดว่าพฤติกรรมการให้ทานกับระดับของศรัทธาในพระศาสนา
สอดคล้องกนั เสมอ การให้ทานจำนวนมาก ๆ โดยไม่หว่นั เกรงวา่ ตนเองจะ
เสียหายหรือล่มจมแสดงถึงศรัทธาที่มากและมั่นคงต่อพระศาสนา โดย
มุ่งหวังให้นักบวชสมณะซึ่งอุทิศตนเข้ามาศึกษาปฏิบตั ติ ามคำสอนของพระ
ศาสดาทเ่ี คารพนับถอื ไดม้ ปี ัจจัย 4 ในการดำรงชวี ิตอย่างเพียงพอ
3. ทานของอบุ าสกในพระไตรปิฎก

ในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏคำสอนที่สนับสนุนให้อุบาสกถวายทาน
อย่างไม่จำกัด ถึงกระนั้นก็สะท้อนว่าอุบาสกโดยเฉพาะผู้ที่เป็นพระอริย

136

เจ้าซึ่งมีศรัทธามั่นคงในพระศาสนาย่อมถวายทานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ7
(พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 23 ข้อ 127) เพราะท่านเหล่านี้ย่อม
ตระหนักถึงความสำคัญของพระสงฆ์ในฐานะผู้ศึกษาปฏิบัติตามคำสอน
ของพระพุทธเจ้า แม้จะเปน็ เพียงสมมตสิ งฆ์ที่ยังไม่มคี ุณวิเศษทางธรรมแต่
ก็มีความสำคัญต่อการสืบทอดพระศาสนา ทานที่ให้ย่อมมุ่งหมายเพื่อให้
พระสงฆ์ดำรงชีวิตได้ ในขณะเดียวกัน การให้ทานเป็นการสละความ
ตระหนี่ในทรัพย์ ท่านเข้าใจดีว่าทรัพย์เป็นเพียงปัจจัยที่เอื้อต่อการ
ดำรงชีวติ อยู่ในโลกเท่านั้น เมื่อตายไปก็นำไปไม่ได้ มีแต่บุญเทา่ น้ันทีเ่ ปน็
ที่พึ่งในสัมปรายภพ ทานของอุบาสกจงึ การทำบุญท่ีเปน็ การแสดงถึงจิตใจ
ที่ไม่ยึดติดในทรัพย์ ทั้งยังเป็นพันธกรณีเพื่อความมั่นคงของพระศาสนาใน
ระยะยาว ดังที่ปรากฏในอุบาสกธรรม 7 ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญ
ของอุบาสก8 (พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 23 ขอ้ 27)

คำสอนเรื่องอานิสงส์ของทานในพระไตรปิฎกสามารถจำแนกได้
เป็น 2 กลุม่ ใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ คำสอนในพระวินัยและพระสตู ร ตลอดจนคัมภีร์
วิมานวัตถุซึ่งแสดงอานิสงส์ของทานในสุคติภูมิ และคำสอนในคัมภีร์อป
ทานและจริยาปิฎก ทานเป็นส่วนหน่ึงของการสร้างบารมีในอดีตชาติของ

7 สัปปุริสทาน การให้ของสัตบุรุษ 8 ประการ ได้แก่ การให้ของสะอาดบริสุทธิ์,
ประณตี , ตามกาล, ควรแก่ผูร้ บั , เลือกให,้ ใหเ้ ป็นนิตย์, จติ ผ่องใสขณะให้, เมื่อให้แล้ว
ก็ยินดพี อใจ
8 อุบาสกธรรม 7 ได้แก่ ไม่ขาดการเย่ียมเยือนพบปะพระภกิ ษุ, ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม,
ศกึ ษาในอธิศลี , มากด้วยความเลอื่ มใสในภกิ ษุทั้งหลายทงั้ ทเี่ ป็นพระเถระ นวกะ และ
มัชฌิมะ, ไม่ฟังธรรมด้วยตั้งใจเพ่งโทษติเตียน, ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอกหลักคำ
สอนน,้ี อปุ ถัมภบ์ ำรุงพระพทุ ธศาสนา

137

พระพุทธเจ้าและพระสาวก (อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล, 2552, น. 78-79)
สำหรับพระโพธิสัตว์ การให้ทานโดยไม่เหลือเป็นการให้ทานดุจบ่อน้ำ
ลักษณะหนึ่ง9 แสดงถึงความไม่ไยดีในเพศคฤหัสถ์โดยมุ่งหวังพระ
โพธิญาณซึ่งเป็นเป้าหมายท่ีสำคัญกว่า (พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม 33
ขอ้ 2) ในกูฏทันตสตู ร ทีฆนกิ าย พระพทุ ธเจ้าทรงสรรเสรญิ ทานว่าเปน็ ยัญ
ท่มี ีผลมาก (พระไตรปิฎกฉบับหลวง เลม่ 9 ขอ้ 205-229) ทรงแสดงว่าผู้ให้
ทานเมื่อมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นที่รักของคนทั่วไป เมื่อตายไปแล้ว จะได้ไปเกิด
ใหม่ในสุคติโลกสวรรค์ (พระไตรปิฎกฉบับหลวง เลม่ 22 ข้อ 34)

แม้ทานจะเป็นพื้นฐานของการบรรลุอริยธรรม แต่ก็ไม่มี
ความสำคัญในการบรรลุอริยธรรม โพธิปักขิยธรรม 37 อริยมรรคมีองค์ 8
ไม่มีองค์ธรรมใดที่เกี่ยวข้องกับทานเลย ในแง่ของพระอภิธรรม การให้

9 คาถาในคัมภรี ์พทุ ธวงศม์ เี นอื้ ความดังนี้ (คำแปลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง)

 อมิ ํ ตฺวํ ป มํ ตาว ทฬหฺ ํ กตวฺ า สมาทยิ

ทานปารมติ ํ คจฉฺ ยทิ โพธึ ปตตฺ มุ จิ ฺฉสิ ฯ

 ยถาปิ กุมฺโภ สมปฺ ุณฺโณ ยสฺส กสฺสจิ อโธกโต

วมเต อุทกํ นิสฺเสสํ น ตตถฺ ปริรกฺขติ ฯ

 ตเถว ยาจเก ทิสวฺ า หนี มกุ กฺ ฏฺ มชฌฺ เิ ม

ททาหิ ทานํ นสิ เฺ สสํ กุมโฺ ภ วิย อโธกโต ฯ

ท่านจงยึดบารมีข้อท่ีหนึ่งนี้ บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจงบำเพ็ญทานบารมี

เถดิ ถ้าทา่ นปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ.

ทา่ นเหน็ ยาจกทัง้ ชน้ั ตำ่ ปานกลางและชัน้ สงู แลว้ จงให้ทานอยา่ ให้เหลอื ดัง

หมอ้ ทเี่ ขาคว่ำไว.้

เปรียบเหมือนหม้อที่เต็มด้วยน้ำ ผู้ใดผู้หน่ึงจบั คว่ำลงแล้ว น้ำย่อมไหลออก

หมด ไม่ขงั อยใู่ นหม้อนัน้ ฉะนั้น.

138


Click to View FlipBook Version