รายงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการบ ารุงรักษาเครื่องต่อมุม กรณีศึกษาโรงงานผลิตขอบยางกระจกประตูรถยนต์ เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุณฑล ทองศรี จัดท าโดย นาย บุษกล พุ่งแดง รหัสนักศึกษา 116440441208-5 นางสาว สโรชา บุญสงเคราะห์ รหัสนักศึกษา 116440441210-1 นาย ธรรมรงค์ สังข์วรรณ รหัสนักศึกษา 116440441213-5 นาย สรรเพชญ แซ่เจ็ง รหัสนักศึกษา 116440441240-8 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา 04412309 วิศกรรมการบ ารุงรักษา ห้องเรียน 64444INE1 ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
ก ค ำน ำ รายงานเล่มนี้จัดขึ้นเพื่อศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการบ ารุงรักษา รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา วิศวกรรมการบ ารุงรักษา รายงานเล่มนี้จัดขึ้นเพื ่อให้ผู้อ ่านเข้าใจในการเพิ ่มประสิทธิภาพการ บ ารุงรักษาและมีความรู้ไว้ศึกษาต่อในเรื่องถัดไปและไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในชีวิตประจ าวัน รายงานเล่มนี้จัดท าขึ้นเพื่อให้นักศึกษาและผู้ที่สนใจใช้เรียนรู้เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการ บ ารุงรักษา เนื่องจากเป็นวิชาประยุกต์หลายสาขา ดังนั้นผู้อ่านควรมีความรู้พื้นฐานของวิชาอื่น ๆ มาก่อน จากภาวการณ์ขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นจึงท าให้มีความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่ม สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงภายในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องพัฒนาสินค้าและเพิ่มขีด ความสามารถทั้งในด้านการผลิตและการบริหาร เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคซึ่งเป็น กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความต้องการทั้งในด้านมาตรฐานสินค้า การจัดส่งสินค้าที่ตรงเวลา และราคา ของสินค้า ภายใต้กรอบต้นทุนที่ต ่าที่สุดดังนั้นความสามารถในการควบคุมต้นทุนของการผลิตสินค้า และ บริการให้ต ่าที่สุด เพื่อให้ผลก าไรที่ได้สูงสุดจึ่งเป็นสิ่งส าคัญ องค์กรต่าง ๆ จึงมีความพยายามที่จะลดต้นทุน เพื่อให้สามารถยืนหยัดและเป็นผู้น าของอุตสาหกรรม คณะผู้จัดท า
ข สำรบัญ หน้า บทที่ 1 1 1.1ที่มาและความส าคัญของรายงาน 1 1.2วัตถุประสงค์ของรายงาน 3 1.3ขอบเขตของรายงาน 3 1.4ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 1.5ค าจ ากัดความ 3 บทที่ 2 6 2.1ความหมายการบ ารุงรักษา 6 2.2องค์ประกอบหลักของ TPM 10 2.3Total productive maintenance 18 2.4ประเภทของการบ ารุงรักษา 41 2.5การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน 53 2.6ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร 60 2.7ระบบจัดการคลังสินค้า 70 2.8CMMS 72 2.9SIM 79 2.10ค่าใช้จ่าย 82 2.11ความปลอดภัย 83 2.12การวางแผนการบ ารุงรักษา 85 บทที่ 3 98 3.1สภาพปัญหาเครื่องจักร 98
ค สำรบัญ หน้า 3.2วิเคราะห์ปัญหา 99 3.3ก าหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา 100 3.4วิธีการแก้ปัญหาการศึกษาเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการบ ารุงรักษาเครื่องต่อมุม 101 3.5 การบ ารุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Total Productive Maintenance: TPM) 104 3.6 วิธีด าเนินงานพัฒนาระบบด้านการบ ารุงรักษาเครื่องจักร 105 3.7 การเลือกเครื่องจักรเพื่อท าต้นแบบตัวอย่างสาหรับการปรับปรุง 105 บทที่ 4 107 4.1การประยุกต์ใช้เทคนิคการบ ารุงรักษาแบบทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วมมาใช้ในการผลิต 108 4.2ลักษณะ Tag Guard ที่ใช้แสดงการท างานของเครื่อง 108 4.3การวิเคราะห์หาค่า OEE 111 4.3.1 การค านวณ OEE (Overall Equipment Effectiveness) จะมีส่วนประกอบหลัก 3 อย่าง 112 4.4ข้อดีของการประยุกต์ใช้OEE 115 4.5ข้อควรระวังในการใช้OEE (Overall Equipment Effectiveness) 115 4.6เทคนิคการวิเคราะห์หาสาเหตุหลัก และสาเหตุรอง และสุดท้ายสาเหตุย่อย 117 4.7วิธีการวิเคราะห์ 119 4.8ก าหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา 121 4.9การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันแบบ Dynamic 121 4.10ผลการวิจัย 123 4.11ปัญหาด้านวิธีปฏิบัติงานเกิดจากสาเหตุขาดเอกสารการตรวจเช็คและประวัติการซ่อมบ ารุง 124 บทที่ 5 125
ง 5.1สรุปผลการวิจัย 125 5.2 ข้อเสนอแนะ 127 ประวัติผู้จัดท ารายงาน 1
ฉ สำรบัญภำพ ภาพที่ หน้า 2.1 การปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคโรงงานอุตสาหกรรม 9 2.2 ภาพรวมกิจกรรมของ TPM 10 2.3 การบ ารุงรักษาด้วยตนเอง 11 2.4 การซ่อมและบ ารุงรักษาตามแผน (Planned Maintenance) 12 2.5 การปรับปรุงเฉพาะเรื่อง (Focus Improvement) 13 2.6 การจัดบริหารจัดการตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบ 14 2.7 การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Quality Management) 15 2.8 การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Education & Training) 16 2.9 ความปลอดภัย ระบบชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม 17 2.10 TPM ในส านักงาน Office TPM 17 2.11 วิวัฒนาการของการก้าวเข้าสู่ TPM 20 2.12 การซ่อมบ ารุง 31 2.13 การซ่อมบ ารุงเชิงแก้ไข 32 2.14 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา 33 2.15 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน 34 2.16 เครื่อง Thermal Scan 35 2.17 อุปกรณ์ที่ช่วยในการ Monitor ค่าการสั่งสะเทือน 36 2.18 ชุดอัดจาระบีอัตโนมัติ 37 2.19 การท า TPM 38 2.20 ชนิดเครื่องจักรที่ต้องตรวจรับรองประจ าปี 40 2.21 การจ าแนกปัญหา 42 2.22 การซ่อมบ ารุงเครื่องจักร 47 2.23 งานซ่อมและการบ ารุงรักษา 48 2.24 Preventive Maintenance (PM) 49 2.25 การบ ารุงเชิงรุก 50 2.26 Proactive maintenance 51
ช สำรบัญภำพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 2.27 Preventive Maintenance (PM) 52 2.28 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน 56 2.29 Preventive Maintenance Process Flow 60 2.30 Maintenance Management 64 2.31 ยุคสมัยจัดการงานด้วย Excel 65 2.32 ยุคสมัย Enterprise Software 66 2.33 ยุคสมัย 4G 5G Digital disruption 67 2.34 ระบบคลังสินค้า 69 2.35 Warehouse Management 73 2.36 Maintenance Management 81 2.37 ยุคสมัย สั่งงานด้วยกระดาษ 82 2.38 การวางแผนการบ ารุงรักษา 89 2.39 อัตราการเสื่อมสภาพเครื่องจักร 90 2.40 กระบวนการร่วมแก้ปัญหา 91 2.41 ตัวอย่างมาตรฐานเปลี่ยนถ่ายน ้ามัน 92 2.42 แผนมุ่งสู่ความช ารุดเป็นศูนย์ 92 2.43 ก าหนดการท าความสะอาด 94 2.44 การล าดับความส าคัญตามความถี่ปัญหา 95 3.1 แผนผังก้างปลา 104 3.2 กราฟแสดงเวลาสูญเสียที่เกิดจากเครื่องจักรช ารุด 104 3.3 กราฟวงจรการเสื่อมสภาพของเครื่องจักรทั่วไป 105 3.4 ความสัมพันธ์ขอกิจกรรม TPM 106 3.5 แนวทางการแก้ไขปัญหาเครื่องจักรช ารุดอย่างเป็นระบบ 107 3.6 กราฟ Pareto 108 3.7 กราฟแสดงความผิดปกติเครื่องจักรและเวลาที่หยุดซ่อม 109 4.1 เอกสารรายงานการตรวจเช็คและซ่อมแซม 112
ซ สำรบัญภำพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 4.2 ตัวอย่าง Tag Card 113 4.3 การก าจัดแหล่งที่มาของความสกปรก(KAIZEN) 113 4.4 การเขียนมาตรฐานในการบ ารุงรักษา 114 4.5 การประยุกต์ใช้เครื่องแสดงผลการนับจ านวนแบบดิจิตอล 118 4.6 สูตรค านวณ 106 4.7 ตัวอย่างกราฟวิเคราะห์ 106 4.8 การท างานแบบระบบ OEE 108 4.9 การวิเคราะห์สาเหตุด้วยแผนภูมิก้างปลา 119 4.10 ความสัมพันธ์ระหว่างจ านวนหยุดซ่อม 119 4.11 อย่างความสัมพันธ์ระหว่างการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากระบบไฮดรอลิก 121 4.12 อย่างการเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์Loss rate from machine 121
ฌ สำรบัญตำรำง ตารางที่ หน้า 3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยรวมที่เครื่องจักรหยุดซ่อม 88 3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาหลักจากมากไปน้อยที่ท าให้เครื่องจักรหยุดซ่อม 90 3.3 แผนการด าเนินงานวิจัยตลอดโครงการ (Gantt chart) 92 3.4 ข้อมูลการเสียและเวลาที่เครองบรรจุหยุดท างาน (2555) 97 4.1 ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาเฉลี่ยรวมที่เครื่องจักรหยุดซ่อม 112 4.2 ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาหลักจากมากไปหาน้อยที่ท าให้เครื่องจักรหยุดซ่อม 113 4.3 ความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ 115
1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ที่มำและควำมส ำคัญของรำยงำน จากภาวการณ์ขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นจึงท าให้มีความต้องการชิ้นส่วนยาน ยนต์เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงภายในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องพัฒนาสินค้าและ เพิ่มขีดความสามารถทั้งในด้านการผลิตและการบริหาร เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความต้องการทั้งในด้านมาตรฐานสินค้า การจัดส่งสินค้าที่ตรงเวลา และราคาของสินค้า ภายใต้กรอบต้นทุนที่ต ่าที่สุด ดังนั้นความสามารถในการควบคุมต้นทุนของการผลิต สินค้า และบริการให้ต ่าที่สุด เพื่อให้ผลก าไรที่ได้สูงสุดจึ่งเป็นสิ่งส าคัญ องค์กรต่าง ๆ จึงมีความพยายามที่ จะลดต้นทุนเพื่อให้สามารถยืนหยัดและเป็นผู้น าของอุตสาหกรรมบนภาวะการแข่งขันได้ ในการลดต้นทุน บางองค์กรเลือกใช้นโนบายการลดต้นทุนในส่วนการบ ารุงรักษาโดยมองว่าการซ่อมบ ารุงเป็นงานที่ไม่เกิด ประโยชน์ กล่าวคือ ไม่ส่งผลทางตรงแก่มูลค่าของสินค้า อีกทั้งยังส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าเพิ่ม สูงขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดจึงท าให้การลดต้นทุนในหน่วยซ่อมบ ารุงโดยการตัดงบระบบซ่อมบ ารุง เช่น การลดแรงงานคน หรือการไม ่เปลี่ยนชิ้นส่วนตามช ่วงเวลาที่ก าหนดโดยไม ่มีระบบที ่จะมาช ่วยในการ ตัดสินใจ ซึ่งการลดต้นทุนในรูปแบบนี้สามารถลดต้นทุนได้จริงแต่ในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะส่งผลเสียใน ระยะยาวให้คุณภาพของสินค้าที่ส่งให้ลูกค้าลดลง ผลิตสินค้าได้ไม่ทันตามปริมาณที่ลูกค้าก าหนด ซึ่งส่งผล ให้ความน่าเชื่อถือของลูกค้าที่มี องค์กรลดลง ซึ ่งน าไปสู ่ค าสั ่งการผลิตจากลูกค้าที ่ลดลง องค์กรสูญเสียรายได้สถานภาพทาง การเงินตกต ่าแต ่ในทางกลับกันหากองค์กรท าการลดต้นทุนโดยการปรับปรุงระบบซ ่อมบ ารุงให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้นโดยวิเคราะห์ถึงปัญหาและแก้ไขอย่างตรงจุด ก็จะส่งผลให้องค์กรมีประสิทธิภาพใน การผลิตสูงขึ้น การสูญเสียในด้านโอกาสทางการขายในกรณีที่ผลิตสินค้าไม่ทัน การสูญเสียต้นทุนต่อหน่วย ของผลิตภัณฑ์ที่ลดลง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ายิ่งองค์กรใดมีความสามารถในการวิเคราะห์ถึงปัญหาและ การปรับปรุงแก้ไขที่ดีมาเท่าใด ก็จะส่งผลให้สามารถลดต้นทุนในส่วนการผลิตสินค้าได้มากเท่านั้น [1]ใน อุตสาหกรรมการผลิตขอบยางกระจกประตูรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน การซ่อมบ ารุงรักษาเครื่องจักรของบริษัท ในปัจจุบัน จะท าการซ ่อมบ ารุงรักษาตามใบแจ้งซ ่อมที ่หน่วยงานผลิตต่าง ๆ ได้แจ้งเข้ามาตามที ่เกิด เหตุขัดข้องเท่านั้น จึงท าให้เครื่องจักรท างานไม่เต็มประสิทธิภาพตามที่ต้องการ การบ ารุงรักษาที่ไม่เป็น ระบบ ไม่ได้วางแผนการซ่อมบ ารุงที่ดีจึงท าให้เกิดปัญหาเกี ่ยวกับเครื่องจักรขัดข้อง ส่งผลกระทบต่อ
2 หน่วยงานผลิตขอบยางกระจกประตูรถยนต์ ซึ่งไม่สามารถผลิตตามแผนที่วางไว้ได้ การศึกษาครั้งนี้จึง จัดท าโดยการเก็บข้อมูลปัญหาของเครื่องจักรที่ขัดข้องในกระบวนการผลิตขอบยางกระจกประตูรถยนต์ ระบบการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันที่โรงงานผลิตขอบยางกระจกประตูรถยนต์ใช้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีการ แผนงานซ่อมบ ารุงเชิงป้องกันแต่ยังมีการซ ่อมบ ารุงนอกแผนงานอยู่มาก เนื่องจากระบบรักษาที่ใช้ใน ปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ไม่ดีนัก ดังนั้นผู้ศึกษาจึงได้สนใจปัญหาการซ่อมบ ารุงที่มีค่า MTBF เท่ากับ 30 ชั่วโมง/ครั้งและ MTTR ที่มีค่าเท่ากับ 3 ชั่วโมง/ครั้งโดยท าการรวบรวมข้อมูลและท าการวิเคราะห์เพื่อ สร้างแผนงานซ่อมบ ารุงใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องจักร (Machine Availability) ได้ 10% และลดเวลาขัดข้องเครื่องจักรได้ 60% และสามารถน าไป ประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพงานบ ารุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานสามารถท าให้แผนก ซ่อมบ ารุงวางแผนการซ่อมบ ารุงโดยไม่กระทบกับแผนการผลิตได้ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี ่ยวข้องการศึกษาการปรับปรุงระบบการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันของ โรงงานผลิตเพลารถยนต์ เพื่อลดความถี่การเสียของเครื่องจักร ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต ด้วย เทคนิคการวิเคราะห์สาเหตุของลักษณะข้อบกพร่องและผลกระทบ (FMEA) ในการช่วยวิเคราะห์ถึงสาเหตุ และเก็บข้อมูลเพื่อค านวณค่า MTBF และ MTTR ของเครื่องจักรโดยน ามาเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดที่สร้าง ไว้ พบว่า หลังจากการใช้ระบบซ่อมบ ารุงรักษาเชิงป้องกันที่มีการปรับปรุงส่งผลให้เครื่องจักรที่ปฏิบัติตาม แผนมีค่า MTBF สูงขึ้นจากเดิม 83±45 ชั่วโมงต่อครั้ง เป็น 87±22 ชั่วโมงต่อครั้ง และค่า MTTR ที่ลดลง จาก 84.70±32.57 นาทีต ่อครั้ง เป็น 70.38±33 ชั ่วโมง ต ่อครั้ง[1]การศึกษาการปรับปรุงระบบการ บ ารุงรักษาเชิงป้องกันส าหรับแผนกพาวเวอร์ซัพพลายของโรงงานกรณีศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและ เตรียมความพร้อมของเครื ่องจักร หลังจากปรับปรุงพบว ่าเปอร์เซ็นต์ Delay ลดลงจาก 3.27% เป็น 0.81% คิดเป็น 75.23% เมื่อเทียบกับก่อนการใช้ระบบ และเวลาสูญเสียเฉลี่ยจากการหยุดท างานของ เครื ่องจักรลดลงจาก 16.16% เป็น 8.02% เมื ่อเทียบกับเวลาสูญเสียทั้งหมด และจากเปอร์เซ็นต์ Machine Operation Ratio ของส่วน Insertion มีค ่าเพิ ่มขึ้นในช ่วง 1.93%-8.76%[2]การศึกษาการ วางแผนบ ารุงรักษาเชิงป้องกันเครื่องจักรในอุตสาหกรรมรีเลย์ หลังด าเนินการ ซึ่งสรุปผลได้ดังต่อไปนี้ ค่า MTBF เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเป็น 215.42 เปอร์เซ็นต์จากเดิม ค่า MTTR ลดลงโดยเฉลี่ยเป็น 73.91 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม ค่าความพร้อมใช้งานของ
3 1.2 วัตถุประสงค์ของรำยงำน 1.2.1 เพื่อลดเสียงลมเข้ารถ ลดเสียงรอบข้าง ลดเสียงท่อไอเสีย 1.2.2 การปรับปรุงยางเดิม ด้วยการเสริมมวลเนื้อยางขอบประตูและยางกระดูกงู 1.2.3 ชิ้นส่วนที่รับพลังงานคลื่นเสียงลมมากที่สุดคือ กระจกหน้ารถ และกระจกมองข้าง 1.2.4 ชิ้นส่วนที่ถ่ายทอดพลังงานคลื่นเสียงเข้าสู่ห้องโดยสารคือ ยางขอบประตูรและยางกระดูกงู 1.2.5 เพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ 1.2.6 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ในการซ่อมแซมในส่วนที่ช ารุด และส่วนที่เกี่ยวข้อง 1.3 ขอบเขตของรำยงำน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขอบกระจกประตูรถยนต์เพื่อ ลดเสียงลมเข้ารถ ลดเสียงรอบข้าง ลดเสียงท่อ ไอเสีย 1.4 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.4.1 สามารถช่วยกันน ้าฝนหรือฝุ่นละอองให้เข้าไปในรถยนต์ได้ 1.4.2 คิ้วยางรีดน ้าจะติดตั้งที่ขอบกระจกประตูรถยนต์ ซึ่งสามารถติดตั้งได้อย่างง่ายและรวดเร็ว 1.4.3 ประสิทธิภาพในการรีดน ้าดีขึ้น 1.5 ค ำจ ำกัดควำม การบ ารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง :“การพยายามรักษาสภาพของเครื ่องมือเครื ่องจักร ต่างๆ ให้มีสภาพที่พร้อมจะใช้งานอยู่ตลอดเวลา” การบ ารุงรักษานั้นครอบคลุมไปถึงการซ่อมแซมแซม (Repair) เครื่องด้วย ในงานบริหารการผลิตหรือการบริการ มักจะหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมที่ส าคัญงานหนึ่ง คือ การซ่อมและบ ารุงรักษา ไปไม่ได้ ถึงแม้ว่างานซ่อมและบ ารุงรักษาไม่ใช่งานผลิตโดยตรง แต่งานซ่อม และบ ารุงรักษาก็มีบทบาทช่วยให้การผลิตและการบริการขององค์กรนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในโลกปัจจุบันที่การผลิตและการบริการจ าเป็นที่จะต้องอาศัยอุปกรณ์และเครื่องจักรมากขึ้น การ ที ่เครื ่องจักรเกิดขัดข้องขึ้นมากะทันหันหรือไม ่สามารถใช้งานได้ จะท าให้มีผลกระทบโดยตรงต่อ ประสิทธิภาพการผลิตและการบริการนั้นๆ การที่จะได้มาซึ่งเครื่องจักรที่มีคุณภาพนั้น ต้องประกอบด้วย
4 มีการออกแบบที่ดีและตรงตามความประสงค์ต่อการใช้งาน มีความเที่ยงตรงแม่นย า รวมทั้ง สามารถ ท างานได้เต็มก าลังความสามารถที่ออกแบบไว้ มีการผลิต (หรือสร้าง) ที่ให้ความแข็งแรงทนทาน สามารถท างานได้นานที่สุด และ ตลอดเวลา มีการติดตั้งในสถานที่ที่เหมาะสมและสะดวกต่อการใช้งาน มีการใช้เป็นไปตามคุณสมบัติและสมรรถนะของเครื่อง มีระบบการบ ารุงรักษาที่ดีเนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้เมื่อถูกใช้งานไปนาน ๆ ก็ต้องมีการ เสื่อมสภาพ ช ารุด สึกหรอ เสียหายขัดข้อง ดังนั้น เพื่อให้อายุการใช้งานเครื่องมือเครื่องใช้ยืนยาว สามารถใช้งานได้ ตามความต้องการของผู้ใช้ ไม่ช ารุดหรือเสียบ่อยๆ ต้องมี “การบ ารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องมือเครื่องใช้” ในระบบการด าเนินงานด้วย จึงจะสามารถควบคุมการท างานของเครื ่องมือได้อย ่างมีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของการบ ารุงรักษา 1. เพื่อให้เครื่องมือใช้ท างานได้อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ สามารใช้เครื่องมือเครื่องใช้ได้ เต็มความสามารถและตรงกับวัตถุประสงค์ที่จัดหามามากที่สุด 2. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีสมรรถนะการท างานสูง (Performance) และช่วยให้เครื่องมือเครื่องใช้มี อายุการใช้งานยาวนาน เพราะเมื่อเครื่องมือได้ใช้งานไประยะเวลาหนึ่งจะเกิดการสึกหรอ ถ้าหากไม่มี การปรับแต่งหรือซ่อมแซมแล้ว เครื่องมืออาจเกิดการขัดข้อง ช ารุดเสียหายหรือ ท างานผิดพลาด 3. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือ (Reliability) คือ การท าให้เครื่องมือเครื่องใช้มี มาตรฐาน ไม่มีความคลาดเคลื่อนใด ๆ เกิดขึ้น 4. เพื่อความปลอดภัย (Safety) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ส าคัญ เครื่องมือเครื่องใช้จะต้องมีความปลอดภัย เพียงพอต่อผู้ใช้งาน ถ้าเครื่องมือเครื่องใช้ท างานผิดพลาด ช ารุดเสียหาย ไม่สามารถท างานได้ตามปกติ อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และการบาดเจ็บต่อผู้ใช้งานได้ การบ ารุงรักษาที่ดีจะช่วยควบคุมการผิดพลาด 5. เพื่อลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช ารุดเสียหาย เก่าแก่ ขาดการบ ารุงรักษา จะท าให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีฝุ่นละอองหรือไอของสารเคมีออกมา มีเสียงดัง เป็นต้น ซึ่ง จะเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง 6. เพื่อประหยัดพลังงาน เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนมากจะท างานได้ต้องอาศัยพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น ้ามันเชื้อเพลิง ถ้าหากเครื่องมือเครื่องใช้ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี เดินราบเรียบไม่มีการรั่วไหลของ น ้ามัน การเผาไหม้สมบูรณ์ ก็จะสิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้การบ ารุงรักษา เครื่องมือเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงฝึกงานส่วนใหญ่จะมีราคาแพง ถ้าหากมีการช ารุด เสียหายเกิดขึ้นแล้วย ่อมจะเป็นการเปลืองงบประมาณของสถานศึกษาเป็นอย่างมากการบ ารุงรักษา
5 เครื่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือนับเป็นสิ่งที่ส าคัญมาก ไม่ควรท าการซ่อมแซมต่อเมื่อได้เกิดข้อบกพร่อง บางอย ่างแก่เครื ่องจักรแล้วเท ่านั้น ควรป้องกันโดยการบ ารุงรักษาเครื ่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือ เหล่านั้นให้สามารถใช้งานได้อย่างประสิทธิภาพ 1.5.1 ผลเนื่องมาจากการจัดมาตรการบ ารุงรักษาที่ถูกต้อง 1) ท าให้สามารถซ่อมเครื่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือที่ช ารุดได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ผู้ซ่อมไม่ต้องเสียเวลาวินิจฉัยสาเหตุและวิธีแก้ไขอาการที่ปรากฏออกมาและยังช่วยให้ซ่อมได้ถูกจุดอีกด้วย 2) สามารถใช้เป็นข้อมูลส าหรับการจัดท าคู่มือปฏิบัติงานซ่อมและบ ารุงรักษา โดยยกสาเหตุ และวิธีแก้ไขในแต่ละเรื่องไปเป็นหัวข้อเรื่องส าหรับพิจารณาการเขียนคู่มือปฏิบัติงาน 3) ใช้วางแผนหรือก าหนดแผนงานบ ารุงรักษา โดยการน าเอาผลการวิเคราะห์แนวโน้มซึ่ง คาดว่าเครื่องจักรจะถึงก าหนดการช ารุดเมื่อใด 4) ใช้เป็นแนวทางของการจัดเตรียมอะไหล ่ส าหรับการซ ่อมและบ ารุงตลอดจน การ จัดเตรียมงาน เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องอีกด้วย 5) ใช้เป็นข้อมูลในการวิจัยเครื่องจักรนั้น เพื่อพิจารณา ว่าสมควรจะใช้ต่อไปหรือสมควรเลิก ใช้ หรือควรจะปรับปรุง 1.5.2 การจัดบ ารุงรักษาให้มีประสิทธิภาพ การจัดบ ารุงรักษาให้มีประสิทธิภาพจ าเป็นจะต้องทราบถึงอุปสรรคต่าง ๆ อย่างชัดเจนและพยายามขจัด อุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเหล่านั้นแล้ว ก าหนดเป็นแนวทางที่แน่นอนในการบ ารุงรักษาต่อไป 1) อุปสรรคที่มีผลต่อการบ ารุงรักษา 2) แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบ ารุงรักษา
6 บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง งานซ่อมบ ารุงบ ารุงรักษาในโรงงานอุตสาหกรรมถือว่าเป็นสิ่งที่มีความส าคัญต่อประสิทธิภาพและ การผลิตโดยตรงอาจจะช ่วยให้กระบวนการผลิตเป็นไปอย ่างต ่อเนื ่องไม ่ติดขัดและยังเป็นการเสริม ประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วยซึ่งงานบ ารุงรักษาเป็นงานที่มีรายละเอียดและวัตถุประสงค์ ของงานซึ่งสามารถแยกออกจากงานอื่นได้ชัดเจนส่วนใหญ่จะเป็นงานบริการหน่วยงานด้านการผลิตดังนั้น งานบ ารุงรักษาที่ดีจะต้องมีการจัดองค์การให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของงานการบ ารุงรักษาเครื่องจักร ในโรงงานหมายถึงกระบวนการในการรักษาสภาพของเครื่องจักรและเครื่องใช้ต่างๆภายในโรงงานให้มี สภาพพร้อมต่อการใช้งานมากที่สุดโดยเครื่องจักรนั้นถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถน าไปจดจ านองกับ ธนาคารและสถาบันการเงินได้ หากเกิดการช ารุดหมายถึงมูลค่าของเครื่องจักรจะลดลงด้วยอีกทั้งการ ช ารุดและเสื ่อมสภาพของเครื ่องจักรยังส ่งผลต ่อ ภาพรวมในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพของ กระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วยจึงต้องมีการวางแผนควบคุมการบ ารุงรักษาเครื่องจักรใน โรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นไปอย่างมีระบบแบบแผนและมีประสิทธิภาพมากที่สุด 2.1 ควำมหมำยกำรบ ำรุงรักษำ การบ ารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง :“การพยายามรักษาสภาพของเครื ่องมือเครื ่องจักร ต่างๆ ให้มีสภาพที่พร้อมจะใช้งานอยู่ตลอดเวลา”การบ ารุงรักษานั้นครอบคลุมไปถึงการซ่อมแซมแซม (Repair) เครื่องด้วย ในงานบริหารการผลิตหรือการบริการ มักจะหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมที่ส าคัญงานหนึ่ง คือ การซ่อมและบ ารุงรักษา ไปไม่ได้ ถึงแม้ว่างานซ่อมและบ ารุงรักษาไม่ใช่งานผลิตโดยตรง แต่งานซ่อม และบ ารุงรักษาก็มีบทบาทช่วยให้การผลิตและการบริการขององค์กรนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในโลกปัจจุบันที่การผลิตและการบริการจ าเป็นที่จะต้องอาศัยอุปกรณ์และเครื่องจักรมากขึ้น การ ที ่เครื ่องจักรเกิดขัดข้องขึ้นมากะทันหันหรือไม ่สามารถใช้งานได้ จะท าให้มีผลกระทบโดยตรงต่อ ประสิทธิภาพการผลิตและการบริการนั้นๆ การที่จะได้มาซึ่งเครื่องจักรที่มีคุณภาพนั้น ต้องประกอบด้วย 2.1.1 มีการออกแบบที่ดีและตรงตามความประสงค์ต่อการใช้งาน มีความเที่ยงตรงแม่นย า รวมทั้ง สามารถท างานได้เต็มก าลังความสามารถที่ออกแบบไว้ 2.1.2 มีการผลิต (หรือสร้าง) ที ่ให้ความแข็งแรงทนทาน สามารถท างานได้นานที ่สุด และ ตลอดเวลา
7 2.1.3 มีการติดตั้งในสถานที่ที่เหมาะสมและสะดวกต่อการใช้งาน 2.1.4 มีการใช้เป็นไปตามคุณสมบัติและสมรรถนะของเครื่อง 2.1.5 มีระบบการบ ารุงรักษาที่ดีเนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้เมื่อถูกใช้งานไปนาน ๆ ก็ต้องมีการ เสื่อมสภาพ ช ารุด สึกหร่อ เสียหายขัดข้อง ดังนั้น เพื่อให้อายุการใช้งานเครื่องมือเครื่องใช้ยืนยาว สามารถ ใช้งานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ไม่ช ารุดหรือเสียบ่อยๆ ต้องมี “การบ ารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องมือ เครื ่องใช้ในระบบการด าเนินงานด้วย จึงจะสามารถควบคุมการท างานของเครื ่องมือได้อย ่างมี ประสิทธิภาพ การบ ารุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Total Productive Maintenance;TPM) ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทห้างร้านต่างๆ สิ่งที่ปรารถนามากที่สุดซึ่งแน่นอนว่าคือ “ก าไร (Profits)” ครับ ซึ่งก าไรพวกนี้ส่วนหนึ่งจะมาจาก “ผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ ก าลังการผลิตที่ได้ตาม เป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยมีการสูญเสียที่น้อยที่สุด”ดังนั้น “การผลิตได้อย่างต่อเนื่อง และสินค้ามีคุณภาพ ที ่ดี (Continuous Productivity and Good) โดยมีการสูญเสียจากกระบวนการต ่างๆน้อยที ่สุด (Minimize watse) และเครื่องจักรปราศจากหยุดผลิตอย่างกระทันหัน (Unplanned Shutdown) ” คง จะเป็นสิ่งที่หลายๆ บริษัท และโรงงานใฝ่ฝัน เพื่อที่จะมีความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุน และสร้าง ความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทอีกด้วย แต่ทว่า หากปราศจากเครื่องมือที ่มีประสิทธิภาพ และการบริหาร จัดการที่ดีแล้ว ความใฝ่ฝันอันนี้ก็คงเป็นไปได้ยากที่มีโอกาสได้ท างานในโรงงานการผลิตต่างๆ โดยเฉพาะ ในเครือโรงงานจากประเทศญี่ปุ่น ต้องคุ้นเคยกับ เครื่องมือตัวนึงที่ท าหน้าที่ บริหารจัดการโรงงานโดยองค์ รวม เพื่อให้บริษัทนั้นๆ สามารถท างานได้อย่างมีิประสิทธิภาพสูงสุด นั้นคือเครื่องมือที่มีชื่อว่า “TPM (Total Productive Maintenance)” TPM (Total Productive Maintenance) แปลเป็นชื่อภาษาไทยคือ การบ ารุงรักษาแบบ ทวีผล โดยเป็นศาสตร์ในการรักษาและบรูณาการณ์เครื่องจักร (Medical science of machines) ซึ่งเป็น โปรแกรมในการบริหารและจัดการงานซ่อม โดยมีรากเป้าหมาย (Root objective) ไปที่ “เครื่องจักรกล” (Machining) ในโรงงาน โดยท าให้เครื่องจักรกลมีประสิทธิ์ภาพสูงที่สุด และไม่เกิดการเสียหายกลางทาง เลย (Breakdown) เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตของโรงงานได้อย่างสูงสุดโดยหลักการของ TPM คือ การที่ไปโฟกัสจริงๆว่า “อะไร จ าเป็น หรือไม่จ าเป็น” ในหน่วยธุรกิจนั้นๆ โดยแนวคิดจะแบบองค์รวม โดยจะคิดทั้งกระบวนการท างานทั้งบริษัท (Overall process) เพื่อสนับสนุนลงไปยังกระบวนการผลิต ให้ มีความกระชับและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยหัวใจส าคัญของ TPM คือ “คน (Manpower)” และ “เครื่องจักร (Machine)” ดังนั้นหน่วยธุรกิจอะไรที่มีคน และเครื่องจักรสามารถใช้หลักการนี้ได้หมดเลย
8 ครับ ดังนั้น TPM จึงไม่ได้จ ากัดเฉพาะโรงงานผลิตเท่านั้นและนอกเหนือจากนั้นอีกจุดมุ่งหมายหลักๆของ TPM คือ ทุกคนๆในองค์กรจะมีส ่วนร ่วม (Participation) และมีความตระหนัก (Recognition) ถึง ความส าคัญด้วยความจริงใจจริงๆ ตั้งแต ่ระดับพนักงานฝ่ายผลิต พนักงานฝ่ายซ ่อมบ ารุง ตลอดจน พนักงานอ็อฟฟิต ไม่ว่าจะเป็นหน่วยบัญชี หน่วยงานจัดซื้อ ทีมคงคลังต่างๆ จนถึงระดับผู้บริหาร ที่ต้อง ปรับปรุงกระบวนการท างานซึ่งกันและกันให้สอดคล้องกัน และมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการ ท างานได้อย่างแท้จริงโดยเริ่มต้นด้วยการสร้าง “ความตระหนัก (Recognition)” ให้กับพนักงานทุกคน จริงๆ ถึง “ความส าคัญ” โดยผู้บริหารจะต้องเชื่อมั่นและเป็นผู้น าพาทุกคนก้าวไปสู่ความส าเร็จครับ TPM ที่มีเป้าหมายหลักๆ ที่มีประโยชน์กับองค์กร และบริษัทดังนี้ 1.ลดการสูญเสีย (Loss and waste) 2.เพิ่มก าลังการผลิต (Productivity) โดยที่ผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพเสมอ ไม่มีของที่ไม่ได้ 3.มาตราฐาน (Non defective) ไปถึงมือของลูกค้า 4.ลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยส าคัญ (Reduce cost) 5.สร้างจิตส านึก และความสามัคคีให้กับคนในองค์กร (Employees recognition and participation) ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม จากยุคเกษตรกรรมสมัยก่อน ซึ่งใช้แรงงานมนุษย์และสัตว์ เมื่อ มีการปฏิวัติอ69สาหกรรมเข้าสู่ยุคโรงงานอุตสาหกรรมท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตอย่างมาก และโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิต ท าให้สามารถสร้างก าลังผลิตได้จ านวนมาก และสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยผลิตได้ เมื่อเปรียบเทียบกับยุคเกษตรกรรมแต่ในยุคสมัยนั้น การแข่งขัน ของโรงงานยังมีไม่สูง เนื่องจากผู้ผลิตสินค้ายังมีไม่มาก เมื่อเทียบสัดส่วนกับผู้บริโภค จึงท าให้การผลิตเป็น แบบลักษณะ “ผลิตยิ่งมากยิ่งถูก” และไม่ค่อยมีการค านึงถึง คุณภาพของสินค้าเท่าที่ควร และไม่มีความ หลากหลายในผลิตภัณฑ์อีกด้วยดังนั้นในยุคปัจจุบันด้วยการที่เป็นยุคทุนนิยมแบบเต็มรูปแบบ จึงเกิด ความสามารถทางการแข่งขันระหว่างบริษัทที่สูงมากขึ้น ดังนั้นในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มี ประสิทธิภาพ และลดต้นทุน ของแต่ละบริษัท ถือว่า “เป็นกุญแจส าคัญในการแข่งขันของธุรกิจในยุคนี้”
9 ภำพที่ 2.1 การปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคโรงงานอุตสาหกรรม โดย TPM มีการริเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 หรือ 47 ปีที่แล้ว จากสมาคมที่ปรึกษาส าหรับ โรงงานญี ่ปุ่น JIPM หรือ Japanese Insititute of Plant Maintenance โดยให้ค านิยาม TPM ว ่าเป็น “สุดยอดวิธีไขว ่คว้าหาประสิทธิภาพในการผลิต” เพื ่อพัฒนาบริษัท องค์กร และโรงงานผลิตให้มี ประสิทธิภาพสูงที ่สุด โดยที ่ทุกคนมีส ่วนร ่วมซึ ่งแนวคิดของ TPM ในยุคแรกๆมาจากการท า PM (Preventive Maintenance) หรือ การซ่อมบ ารุงเชิงป้องกัน โดยจะไม่ยอมให้เครื่องจักรพังโดยไม่มีการ วางแผน ซึ่งได้รับวิธีนี้าจากต้นก าเนิดที ่ฝั ่งประเทศอเมริกาแต่ทว ่า ทางฝั่งประเทศญี่ปุ ่นจะมีการปรับ กระบวนการจากแบบเดิม โดยช่างเครื่องฝั่งผลิต (Operator) จะถูกท าและจัดการงานบ ารุงรักษาและงาน ซ่อมเบื้องต้นได้โดยทันที ท าให้กระบวนการท างานมีความกระชับ และท าให้เครื่องจักรมีการบ ารุงรักษา มี การดูแลเอาใจใส่ และพร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการท าแบบนี้เราจะเรียกว่า AM หรือ Autonomous Maintenance* ซึ่งส่งผลให้โรงงานผลิตประหยัดค ่าซ่อม และค่าสูญเสียโอกาสไปได้อย่างมหาศาลเลย ทีเดียวซึ่งข้อแตกต่างระหว่างงานบ ารุงรักษาแบบ PM และ AM คือ PM จะท าโดยทีมช่างซ่อมบ ารุง แต่ AM จะท าโดยฝ่ายผลิต ซึ่ง AM จะสามารถจัดการงาน scope ขนาดเล็กได้ไวกว่ามาก โดยไม่ต้องผ่าน ระบบส่งงานใดๆเลยและจากนั้นได้ท าการขยายผลจากฝ่ายผลิต เป็นทุกฝ่ายในบริษัท เช่น เช่น ฝ่ายบัญชี ธุรการ ฝ่ายคงคลัง และ ฝ่ายความปลอดภัย ซึ่งจะต้องท างานให้สอดคล้องกัน มีการท างานซ ้าซ้อน การ ท างานที ่ไม ่จ าเป็นหรือขั้นตอนให้น้อยที่สุด เพื่อความกระชับในการท างาน และประสิทธิภาพในการ
10 ท างานให้สูงที่สุด โดยบริษัทที่น ามาใช้เป็นบริษัทแรกคือ Nippondenso ของ Toyota Group ในสมัยนั้น และยังเป็นบริษัทแรกที่ได้แบบ certificate จาก JIPM อีกด้วย 2.2 องค์ประกอบหลักของ TPM โดยหากพูดถึงองค์ประกอบของระบบ TPM แล้ว จะมีองค์ประกอบหลักๆ จะคล้ายๆกับบ้านของ เรา โดยจะมีหลังคาที่เปรียบเสมือนเป้าหมายขององค์กร และเสาหลักทั้ง 8 เสาที่ท าหน้าที่รับภาระจาก เป้าหมายมาอีกทีและในส่วนสุดท้ายคือรากฐานที่เปรียบเสมือนความมั่นคงรับภาระต่อจากเสาต่ออีกที ภำพที่ 2.2 ภาพรวมกิจกรรมของ TPM หลังคาและเป้าหมายของ TPM มีผลิตภัณฑ์ที่เสียหาย หรือไม่ได้คุณภาพเป็นศูนย์ (Zero defects) ความขัดข้องในการผลิตของเครื ่องจักรเป็นศูนย์ (Zero Breakdown) อุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์ (Zero Accident)รากฐานของ TPM และระบบ 5 ส.และมีฐานราก ซึ่งมีความส าคัญไม่แพ้กัน และเปรียบเสมือน เป็นสิ่งให้เสาหลักแต่ละเสาวางได้อย่างมั่นคง นั้นคือระบบ 5ส (5s) ซึ่งมีหลักๆ 5 ขั้นตอนคือ 2.2.1 สะสาง (Seiri – Sort) คือการจ าแนก และแยกแยะระหว ่างสิ่งที่จ าเป็นกับสิ ่งที่ไม่จ าเป็น และท าการการก าจัดสิ่งที่ไม่จ าเป็นทิ้งไป ยกตัวอย่างเช่นการจัดพื้นที่การท างานในพื้นที่การผลิต และทิ้ง อุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้หรือไม่จ าเป็น
11 2.2.2 สะดวก (Seiton – Set) คือการจัดระเบียบเพื่อท าให้สิ่งที่อยากใช้งาน สามารถถูกน ามาใช้ งานได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการลดเวลาในการค้นหาส าหรับคนท างานอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการจัดการกล่องเก็บเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อให้หยิบใช้ได้ง่าย เป็นต้น 2.2.3 สะอาด (Seiso – Sweep) คือการท าความสะอาดสถานที่ในพื้นที่ เพื่อลดปัญหาต่างๆถูก ค้นพบได้ง่ายขึ้น ยังเป็นการสร้างความปลอดภัย และความมั่นใจให้กับคนที่ท างานหรือใช้ประโยชน์จาก พื้นที่นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น การก าจัดคราบ หรือเศษขยะบริเวณพื้นที่การท างาน 2.2.4 สร้างมาตรฐาน (Seiketsu – Standardized) คือ การก าหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ให้มีระเบียบและความชัดเจนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การสร้างมาตรฐาน (Standard) กฎเกณฑ์ข้อบังคับ ใช้ (Procedure) ขั้นตอนการ ด าเนินงานต่างๆ (Work Instruction) ในแต่ละแผนกหรือองค์กร เพื่อให้ เป็นแนวทางและสร้างความชัดเจน อีกด้วย 2.2.5 สร้างวินัย (Shusuke – Sustain) คือ การสร้างวินัยเพื่อให้ปฏิบัติได้ตามมาตรฐาน และวิธี ปฏิบัติการต่างๆที ่ได้ก าหนดขึ้นมา และยังสามารถถูกรักษาไว้ในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น ระบบการ ตรวจสอบ (Audit) หรือ การปฏิบัติตาม KPI และ Compliance ต่างๆขั้นตอนเหล่านี้เริ่มจัดการวิเคราะห์ พื้นที่หรือระบบการปฏิบัติการ เพื่อหาสิ่งที่จ าเป็นและสิ ่งที่ไม่จ าเป็น จัดวางสิ่งของเรียบร้อย ท าความ สะอาด และสร้างขั้นตอนเพื่อที่จะท าให้หน้าที่ประจ าวันเหล่านี้มีระบบมากขึ้น 1) เสาที่ 1 : การบ ารุงรักษาด้วยตัวเอง (Autonomous Maintenance) ภำพที่ 2.3 การบ ารุงรักษาด้วยตนเอง หรือเรียกในภาษาญี ่ปุ ่นคือ “JISHU HOZEN” คือการสร้างกระบวนการบ ารุงรักษา เบื้องต้นของเครื่องจักร โดยที่แต่ละเครื่องจะมีผู้ดูแลและผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน แต่การท าความสะอาด
12 ไปจนถึงการบ ารุงรักษาขั้นพื้นฐานซึ่งกระบวนการนี้ คือต้องอาศัยการพัฒนา และการสร้างทักษะให้กับ พนักงานดูแลเครื่องในระยะยาวในการที่จะสามารถดูแลและเข้าใจเครื่องจักรได้อย่างดี ดังนั้นเครื่องจักร ถูกดูแล และท าให้พร้อมใช้งานเสมอครับ โดยผลลัพธ์ที ่ได้ถือว่า สร้างผลประโยชน์ให้แก ่บริษัทอย่าง มหาศาลโดยเป็นการลดค่าใช้จ่ายในงานซ่อมบ ารุง (Reduce Maintenance cost), ลดการเสียหายแบบ กระทันหัน (Break Down) และที ่ส าคัญที ่สุด ท าให้ลดโอกาสในการสูญเสียในการผลิต (Loss of Production Opportunity; LOPC) 2) เสาที่ 2 : การซ่อมและบ ารุงรักษาตามแผน (Planned Maintenance) ภำพที่ 2.4 การซ่อมและบ ารุงรักษาตามแผน (Planned Maintenance) โดยเป้าหมายของกระบวนการของการบ ารุงรักษาตามแผน หรือ Planned Maintenance คือ “ท าให้เครื่องจักรปราศจากปัญหาขณะใช้งาน” และ “เครื่องจักรจะต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามคุณภาพ ตามความต้องการและพึงพอใจกับลูกค้า” ครับ ซึ่งหากแบ่งประเภทของงาน Planned Maintenance จะแบ่งได้ 4 แบบหลักๆคือBreakdown Maintenance ตัวนี้เรียกว่าเป็นการวางแผน “ให้ใช้งานจนพัง” หรือ run-to-fail ใช้ส าหรับเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มีความส าคัญต่อโรงงาน หรือค่าซ่อมไม่ได้แพง มากPreventive Maintenance คือ งานซ่อมที่ท าในทุกวัน (daily maintenance) ยกตัวอย่างเช่น งาน ท าความสะอาด, งานตรวจสอบ, งานเติมน ้ามันและอัดจาระบี เป็นต้น ซึ่งงานพวกนี้ถือเป็นการรักษา ระดับสุขภาพของเครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน ซึ่งหากแบ่งลงไปจะแบ่งได้เป็นTime Base Maintenance; TBM หรือการบ ารุงรักษาตามเวลาPredictive Maintenance หรือการบ ารุงรักษาแบบคาดการณ์
13 ล่วงหน้า โดยเกิดจากการวัดสภาพต่างๆ เพื่อคาดการณ์ Corrective Maintenance คือ การพัฒนา หรือ แก้ไขจุดอ่อน ของเครื่องจักรนั้นๆ ให้เครื่องจักรมีประสิทธิภาพ และอายุใช้งานที่สูงขึ้นMaintenance Prevention คือ กระบวนการที่โฟกัสไปที่การออกแบบเครื่องจักรตั้งแต่แรกเริ่ม โดยต้องมีความรู้ความ เข้าใจเครื ่องจักรนั้นๆ และออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานในโรงงานซึ ่งเมื ่อเราท างาน Planned maintenance ได้ดีเราก็สามารถเปลี ่ยนระดับงานซ่อมบ ารุงจาก Reactive เป็นขั้นสูงคือ Proactive Maintenance 3) เสาที่ 3 : การปรับปรุงเฉพาะเรื่อง (Focus Improvement) ภำพที่ 2.5 การปรับปรุงเฉพาะเรื่อง (Focus Improvement) หรือเรียกตามภาษาญี่ปุ่นคือ “Kanetsu Kaizen” ซึ่งหากไปดูค าว่า Kaizen ค าว่า Kai- ที่ แปลว่า การเปลี่ยนแปลง และค าว่า Zen- ที่แปลว่า ดีขึ้น เมื่อรวมกันแล้วจะแปลว่า การเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ดีขึ้นแต่เป้าหมายของเสานี้จริงๆคือ “การปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างเล็กๆน้อยๆเป็นปริมาณมาก” เพื่อ ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ต้องการนวัตกรรมอันสุดยอด หรือการลงทุน อย่างมหาศาล เพียงแค่ปรับปรุง การสูญเสียบางกระบวนการท างาน หรือการปรับปรุงและพัฒนาบางส่วน หรือกระบวนการ ก็ถือว่าถูกเป้าหมายแล้วครับ ซึ่งโดยทั่วไป กระบวนการนี้สามารถลดต้นทุนให้กับบริษัท ได้ถึง 30% เลยทีเดียว 4) เสาที ่ 4 : การจัดบริหารจัดการตั้งแต ่ขั้นตอนของการออกแบบ (Early Equipment Management)
14 ภำพที่ 2.6 การจัดบริหารจัดการตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบ (Early Equipment Management) การออกแบบในเชิงวิศวกรรมของเครื่องจักร และระบบต่างๆในขั้นต้นที่ดี จะสามารถช่วย เพิ่มประสิทธิภาพผลิต และต้นทุนการผลิตของโรงงานได้อย่างมากเลยครับ และยังส่งผลต่อก าลังผลิต อายุ ใช้งาน และความน่าเชื่อถือของเครื่องจักรโดยตรงด้วยโดยขั้นตอนนี้จะใช้ความสามารถทางวิศวกรรมใน การออกแบบเครื่องจักร ซึ่งโรงงาน หรือบริษัทจะต้องยึดถือมาตราฐานและการออกแบบที ่เป็นสากล รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆให้เป็นปัจจุบันเสมอ และประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับโรงงานนั้นๆให้เหมาะสมครับ ซึ่ง เครื่องจักรพวกนี้มีความสามารถในการผลิต และส่งผลต่อต้นทุนการผลิตโดยตรงเลย ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบเครื่องจักรตัวหนึ่งซึกมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า และประหยัดไฟที่ใช้ในการเดิน เครื่องจักรมากกว่า แค่นี้ต้นทุนของเราก็จะต ่ากว่าแล้วครับ รวมถึงการออกแบบเส้นทางเข้า-ออก ในการ ท าความสะอาด และส าหรับงานซ่อมบ ารุงรักษาอีกด้วย 5) เสาที่ 5 : การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Quality Management)
15 ภำพที่ 2.7 การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Quality Management) ส าหรับเสานี้จะมีจุดมุ ่งหมายเพื ่อที ่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการคง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้สูงที่สุด (Highest quality) โดยที่ปราศจากของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต (Defect free manufacturing)โดยกระบวนการ QM (Quality Management) จะมีแนวคิดที ่ว ่า หาก เครื ่องจักรสามารถท างานได้อย ่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว คุณภาพของผลิตภัณฑ์ก็จะมีความสมบูรณ์ ครบถ้วน ซึ่งในทางกลับกันหากเครื่องจักรเกิดความผิดปกติ ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาย่อมไม่ได้คุณภาพ และ เกิดความเสียหายเช ่นเดียวกันแต ่กระบวนการที ่ใช้ในการตรวจสอบว ่า สินค้านั้น ก็คือ กระบวนการ ควบคุมคุณภาพ QC (Quality control) ซึ่งเป็นการตรวจสอบสินค้าในกระบวนการผลิตให้เป็นไปตาม มาตราฐานที่ก าหนดไว้ โดยการตรวจสอบมีตั้งแต่ •การตรวจวัตถุดิบ (Raw material) •การตรวจสอบคุณภาพบรรจุภัณฑ์ (Packaging) •การตรวจสอบคุณภาพระหว่างการผลิต •การตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ส าเร็จรูป (Finish Good) ซึ่งเมื่อกระบวนการ QC ส าเร็จเสร็จสิ้นครบถ้วน ก็สามารถท าการรับประกันคุณภาพของสินค้า หรือ QA (Quality Assurance) ให้กับลูกค้าได้ ให้มีคุณลักษณะตรงกับความต้องการของลูกค้าและดูแลแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดกับลูกค้า (Customer Satisfaction)
16 6) เสาที่ 6 : การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Education & Training) ภำพที่ 2.8 การจัดบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ (Education & Training) มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนา ความรู้และทักษะ (Knowledge & skill) ให้กับคนท างาน ให้เค้า สามารถที ่จะสามารถท างานได้เต็มประสิทธิภาพ มีความสามารถที ่จะรับผิดชอบงานเองได้ (Independently)โดยมีค ากล่าวว ่า “คนท างานจะต้องไม ่เพียงแค ่รู้ว ่าท าไปท าไม (Know-How) แต่ จะต้องรู้ถึงระดับที่ (Know-Why)”ไม่เพียงแต่ ความรู้และทักษะ ในส่วนของด้าน soft skill เช่นเรื่องของ ความคิด (Mindset) ความตระหนักรู้ (Recognition) และจริยะธรรม (Morale) ยังเป็นส่วนที่ส าคัญใน องค์กรที่ต้องสร้างอย่างจริงจังควบคู่กันไปซึ่งจะต้องมีการประเมิน วัดผลได้ และสร้างเส้นทางในวิชาชีพ (Career Path) ของสาขานั้นๆ อย่างชัดเจนด้วยนะ 7) เสาที ่ 7 : ความปลอดภัย ระบบชีวอนามัย และสิ ่งแวดล้อม (Safety Health and Environment)
17 ภำพที่ 2.9 ความปลอดภัย ระบบชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Safety Health and Environment) เสานี้มีจุดมุ่งหมายในการสร้าง “สถานที่ท างาน และบริเวณโดยล้อมให้มีความปลอดภัย” โดยที่เริ่มจากการ “ก าจัดกระบวนการท างานที่เป็นอันตราย และไม่ปลอดภัยออกไป”สภาพแวดล้อมการ ท างานที่ปลอดภัยจะท าให้พนักงานสามารถด าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถผลิตสินค้าที่มี คุณภาพได้อย่างต ่อเนื ่อง ทั้งพื้นที่การผลิต และในส่วนของส านักงานโดยการสร้างต้องเริ่มจากความ ตระหนัก (Awareness) ของตัวพนักงานทุกๆคน และจากนั้นต้องมีการรณรงค์ และการสนับสนุนของ ผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง 8) เสาที่ 8 : TPM ในส านักงาน (Office TPM) ภำพที่ 2.10 TPM ในส านักงาน (Office TPM) เป็นกระบวนการท าให้ทุกแผนกในส านักงานเข้าใจ และสามารถน าหลักการของ TPM มา ใช้งานได้จริงในแผนก โดยการสนับสนุนกระบวนการท างานเพื่อสนับสนุนฝ่ายผลิต ฝ่ายซ่อมบ ารุงรักษา
18 ตลอดจนผลประโยชน์สูงสุดตามเป้าหมายหลักของ TPM (ดังได้กล ่าวมาแล้ว) ให้กระบวนการมี ประสิทธิภาพ และมีความกระชับที่สุดโดยหลักการคือ กระบวนการท างานไหนที่ท างานซ ้าซ้อน หรือไร้ ประโยชน์ท าให้การท างานเกิดความล้าช้าก็ควรที่จะตัดทิ้งออกไป และกระบวนการท างานไหนที่ยังขาดอยู่ และมีประโยชน์แก ่บริษัทจะท าการเพิ ่มเข้าไป (แต่คุณภาพ หรือกระบวนการโดยองค์รวมต้องไม่เสีย) เพื่อที่จะท าให้ทุกแผนกสามารถเพิ ่มคุณค ่าให้กับระบบการท างานของแต่ละแผนก เนื่องจากสามารถ ประหยัด “เวลารอ” ของแผนกฝ่ายผลิตได้สรุปแล้ว ในปัจจุบันท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือนในวงการ อุตสาหกรรม โปรแกรม TPM อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ท าให้บริษัทก้าวเข้าสู่ “ความส าเร็จ (Success)” ด้วย การบริหาร “ความเสียหายโดยรวม (Total failure)”และ TPM ยังไม่ได้จ ากัดอยู่แค่โรงงานอุตสาหกรรม ได้เท่านั้น แต่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ใน งานก่อสร้าง, งานตึกอาคาร และ งานขนส่ง เป็นต้น และ TPM ไม่ใช่โปรแกรมที่ต้องท าให้ได้เป้าในแต่ละเดือนๆ แต่เป็นโปรแกรมที่จ าน าพาองค์กรสู่ความส าเร็จ และ ยั่งยืนอย่างแท้จริงสุดท้ายนี้ขอขอบคุณสปอนเซอร์ใจดีจากทาง Factorium โปรแกรมงานซ่อมบ ารุงบน สมาร์ทโฟน ส าหรับโรงงานยุค 4.0 2.3 Total productive maintenance ในการท าธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจร้านค้า หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ สิ่งที่ ทุกคนมุ่งเน้นเป็นหลักก็คือ ก าไร แต่การที่จะได้ก าไรมานั้น ต้องขึ้นอยู่กับก าลังการผลิตอย่างต่อเนื่องให้ได้ ตามเป้าหมาย มีคุณภาพ และลดความสูญเปล่าให้น้อยที ่สุด ในสายงานอุตสาหกรรมการผลิต เน้น ความส าคัญกับ ‘จ านวนการผลิต’ การผลิตของที่ไม่ได้คุณภาพ เครื ่องจักรเสื่อมสภาพ ระบบขัดข้อง ล้มเหลว ท าให้เสียเวลางานเสร็จล่าช้าและเสียโอกาสในการท างาน ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของการควบคุม ระบบการผลิต การบ ารุงรักษาก็ส าคัญเราทุกคนควรใส่ใจอุปกรณ์ในการท างานและใช้งานอย่างรอบคอบ ถูกวิธี โดยใช้หลักการเกี ่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว ่า TPM (Total Productive Maintenance) วันนี้เราอยากแนะน าให้ทุกคนได้รู้จักเกี่ยวกับ TPM กระบวนการที่ช่วยให้ ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีส่วนร่วมในการบ ารุงรักษาอุปกรณ์ รวมไปถึงเครื่องจักรในการท างาน ประเด็นส าคัญ 2.3.1 ความหมายของ TPM (Total Productive Maintenance) 2.3.2 ความเป็นมาของ TPM (Total Productive Maintenance) 2.3.3 วิวัฒนาการของการก้าวเข้าสู่ TPM (Total Productive Maintenance) 2.3.4 เป้าหมายหลักของ TPM 2.3.5 ประโยชน์ของการน า TPM มาใช้ในการท างาน
19 ความหมายของ TPM (Total Productive Maintenance;TPM) คือ กระบวนการที ่ให้ พนักงานทุกคนๆในองค์กรได้มีส่วนร่วมในการบ ารุงรักษาอุปกรณ์เครื่องจักรแบบทวีผลในกระบวนการ ผลิต ตั้งแต่ระดับพนักงานฝ่ายผลิต พนักงานออฟฟิต ไปจนถึงระดับผู้บริหาร ที่ต้องปรับปรุงกระบวนการ ท างานให้มีความสอดคล้องกัน และมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการท างานอย่างแท้จริง โดยท าให้ อุปกรณ์และเครื่องจักรมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการความเสียหายระหว่างการท างาน ตอบสนองความ ต้องการผลิตของโรงงานได้อย่างสูงสุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์กรพร้อมกับเทคนิคการบ ารุงรักษาเชิงลึก (Proactive Maintenance) และการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ได้แก่ No Breakdown : ไม่มีการหยุดงานโดยไม่ได้วางแผน No Small Stops or Slow Running : ไม่มีการหยุดชะงักของเครื่องจักร No Defects : ไม่มีข้อเสียเมื่อส่งถึงมือลูกค้า No Accidents : ไม่มีอุบัติเหตุต่อพนักงาน ในสมัยก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม จากเดิมที่ใช้การผลิตแรงงานมนุษย์ และแรงงานจาก สัตว์ เปลี ่ยนมาเป็นเครื ่องจักร ท าให้เกิดการเปลี ่ยนแปลงในระบบการผลิตเป็นอย ่างมาก เนื ่องจาก อุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรในการผลิตนั้น จะผลิตสินค้าได้เป็นจ านวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ แรงงานคน ท าให้ลดต้นทุนต่อหน่วยการผลิตลง อีกทั้งในสมัยก่อนการแข่งขันยังไม่สูงเท่าปัจจุบัน ผู้ผลิต สินค้ายังมีไม่เยอะเมื่อเทียบกับผู้บริโภค ท าให้เมื่อผลิตมากต้นทุนยิ่งถูก จึงไม่ค่อยค านึงถึงคุณภาพมากนัก ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์น้อย แต่จะค านึงถึงปริมาณในการผลิตเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน เกิดผู้ผลิต จ านวนมาก ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ก็มากตาม และเน้นคุณภาพมากขึ้น การน าระบบ TPM (Total Productive Maintenance) ซึ่งเป็นระบบบริหารการผลิตสมัยใหม่มาใช้ โดยใช้แนวความคิดการมีส่วน ร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายในองค์กร โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานจะต้องดูแลรักษา อุปกรณ์ เครื่องจักร ของ ตนเอง ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของแผนกซ่อมบ ารุงเพียงฝ่ายเดียว เน้นการลดความสูญเสีย และก าจัดความสูญ เปล่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
20 ภำพที่ 2.11 วิวัฒนาการของการก้าวเข้าสู่ TPM (Total Productive Maintenance) TPM (Total Productive Maintenance) พัฒนามาจากการดูแลรักษาเครื่องจักรเริ ่มต้น จาก Breakdown Maintenance ที่เกิดขึ้นในอเมริกาในขณะที่เศรษฐกิจยังไม ่ฝืดเคือง การดูแลรักษา อุปกรณ์เครื่องจักรยังไม่มากนักจึงปล่อยให้เครื่องจักรเสียแล้วค่อยซ่อม จากนั้นมาเศรษฐกิจเริ่มฝืดเคือง เรื่อย ๆ จนหลายๆสถานประกอบการต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของบริษัท จึงได้มีการพัฒนาการดูแล รักษาเครื่องจักรเรื่อยมาก่อน ปี ค.ศ. 1950 เป็นยุคการซ่อมบ ารุงรักษาหลังเกิดเหตุขัดข้อง (Breakdown Maintenance ) ยุคนี้เป็นปัญหาอย ่างมาก เพราะเมื่อเครื่องจักรเสียแล้วจึงท าการซ่อมแซม ซึ่งท าให้ ระบบการผลิตต้องหยุดชะงัก ท าให้เกิดความเสียหายในการผลิตเป็นอย่างมากปี ค.ศ. .1950-1960 เป็น ยุคการซ่อมบ ารุงรักษาป้องกัน (Preventive Maintenance ) เป็นยุคที่เริ่มน าระบบ PM มาใช้เรียกว่า เป็นระบบแรกเริ่มซึ่งเป็นการซ่อมบ ารุงรักษาตามแผน ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร ช่วยลด ปัญหาความขัดข้องระหว ่างการผลิต ปี ค.ศ. 1960 – 1970 เป็นยุคการรักษาทวีผล (Productive maintenance) เป็นยุคที ่ให้ความส าคัญในการออกแบบโรงงาน โดยค านึงถึงความเชื ่อถือ น าเอาวิธี บ ารุงรักษาเชิงป้องกันเข้ามาอยู่ด้วย ขณะเดียวกันก็ค านึงถึงผลทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต คือการเอา ค่าความเสียหายของการเสื่อมสภาพ และค่าใช้จ่ายของการบ ารุงรักษามาพิจารณาหาจุดที่เหมาะสมและ สร้างขึ้นเป็นระบบบ ารุงรักษา
21 ปี ค.ศ. 1970 – ปัจจุบัน เป็น ยุคการเข้าร่วมในระบบ TPM (Total Productive Maintenance ) เป็น ยุคที่ท าระบบ PM ให้เป็นแบบ Total System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยค านึงถึงบุคคลเป็นส่วนใหญ่ และให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ลงมือท ากันอย่างทั่วถึงและจริงจัง เป้าหมายหลักของ TPM เป้าหมายของ TPM เพื ่อใช้ในการวัดระดับความส าเร็จในการท างาน เพื ่อให้ทุกคนใน องค์กรท างานไปในทิศทางเดียวกัน ก าจัดของเสียทุกรูปแบบ ป้องกันการเกิดซ ้า ก าจัดความศูนย์เสียให้ เป็นศูนย์ (Zero Wastes ) ได้แก่ 1)ความผิดพลาด ขัดข้อง ของเครื่องจักรเป็นศูนย์ (Zero Breakdown) 2)ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพเป็นศูนย์ (Zero Defect) 3)อุบัติเหตุในการท างงานเป็นศูนย์ (Zero Accident) ประโยชน์ของการน า TPM มาใช้ในการท างาน 2.3.6 ลดต้นทุนต้นทุนที ่พูดถึงก็คือ ต้นทุนค ่าเปลี ่ยนอะไหล่จากการสึกหร่อ ค ่าเสียหาย ค่า น ้ามันหล่อลื่นเครื่องจักร ฯลฯ ทุกครั้งที่เครื่องจักรเกิดการเสีย หรือพัง เราต้องมีการซ่อมแซมเครื่องจักรใช้ เวลาหลายชั่วโมง หรืออาจจะเป็นวัน รวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการหยุดการผลิต เมื่อเครื่องจักรใช้ งานไม่ได้ท าให้การผลิตเกิดความเสียหายเป็นจ านวนมาก การน า TPM เข้ามาช่วยจะท าให้เรารู้จักดูแล รักษาการใช้งานของเครื่องจักรมากขึ้น ผลกระทบที่ได้รับไม่ใช่จากฝ่ายผลิตอย่างเดียว แต่ทุกฝ่ายได้รับ ผลกระทบหมด 2.3.7 การผลิตมีคุณภาพ ก าไรก็เพิ่มตามเครื่องจักรคือสิ่งส าคัญในการท างาน เมื่อมีการปรับปรุง และรักษาคุณภาพ ยิ่งท าให้เครื ่องจักรสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน ท าให้กระบวนการผลิตมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ผลิตสินค้าได้ตามทันตามความต้องการ ลดความสูญเสียสินค้าที่ไม่มีคุณภาพออกไป เมื่อสินค้าที่ดีมีคุณภาพส่งถึงมือลูกค้า ลูกค้าได้รับเกิดการบอกต่อ ซื้อซ ้าก็จะท าให้บริษัทมีก าไรมากขึ้น 2.3.8 สภาพแวดล้อมดีการท างานปลอดภัยการมีสภาพแวดล้อมการท างานที่ และปลอดภัยนับว่า เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการท างาน เนื่องจาก TPM เป็นพื้นฐานของ 5 สิ่ง ที่พนักงานทุกฝ่ายควรปฏิบัติ และมีส่วนร่วมในการจัดระเบียบสถานที่ท างาน ท าความสะอาดจัดของให้เรียบร้อยเป็นระบบ ช่วยลดการ เกิดอุบัติเหตุในการท างานด้วย TPM (Total Productive Maintenance) สิ ่งที ่ควรทราบก่อนคือในโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทห้างร้านต่างๆ สิ่งที่ปรารถนามากที่สุดซึ่งแน่นอนว่าคือ “ก าไร (Profits)” ครับ ซึ่งก าไรพวกนี้
22 ส่วนหนึ่งจะมาจาก “ผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ ก าลังการผลิตที่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยมีการสูญเสีย ที่น้อยที่สุด” ดังนั้น “การผลิตได้อย ่างต ่อเนื ่อง และสินค้ามีคุณภาพที ่ดี (Continuous Productivity and Good) โดยมีการสูญเสียจากกระบวนการต ่างๆน้อยที ่สุด (Minimize waste) และเครื ่องจักร ปราศจากหยุดผลิตอย ่างกระทันหัน (Unplanned Shutdown) ” คงจะเป็นสิ ่งที ่หลายๆ บริษัท และ โรงงานใฝ่ฝัน เพื่อที่จะมีความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทอีก ด้วย แต่ทว่า หากปราศจากเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการที่ดีแล้ว ความใฝ่ฝันอันนี้ก็คง เป็นไปได้ยาก เชื่อว่า…เพื่อนๆหลายๆคน ที่มีโอกาสได้ท างานในโรงงานการผลิตต่างๆ โดยเฉพาะในเครือโรงงานจาก ประเทศญี่ปุ่น ต้องคุ้นเคยกับ เครื่องมือตัวนึงที่ท าหน้าที่ บริหารจัดการโรงงานโดยองค์รวม เพื่อให้บริษัท นั้นๆ สามารถท างานได้อย่างมีิประสิทธิภาพสูงสุด นั้นคือเครื่องมือที่มีชื่อว่า “TPM (Total Productive Maintenance)” การก่อสร้างที่ใช้มาตรฐานความปลอดภัยต ่าก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง 1)ค่าซ่อมบ ารุงเครื่องจักรเครื่องมือในระหว่างการท างานจะสูงขึ้น 2)ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากงานช้าลง เช่น คนงานว่าง คนไม่มีงานท า เพราะเครื่องจักร เครื่องมือเสีย แต่ค่าแรงยังคงต้องจ่ายอยู่ 3)ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการด าเนินคดีตามกฎหมาย กรณีเครื่องจักรเสียหายแล้วก่อให้เกิด มลพิษต่อบริเวณข้างเคียง เช่น ตอกเข็มโดยใช้ Diesel Hammer ที่เครื่องยนต์เก่าจะก่อให้เกิดมลภาวะ ทางด้านไอเสีย (ก๊าซ CO) สูงมากต่อบริเวณข้างเคียง 4)ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งเครื่องจักรเครื่องมือฉุกเฉินเพื่อทดแทนที่เสีย 5)ค่าเช่าเครื่องจักรเครื่องมือเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนของเก่า 6)ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้ใช้เครื่องมือชนิดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัย 7)ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องการท างานล่วงเวลาเพื่อเร่งงานให้ทันกับแผนงานที่วาง เอาไว้ เนื่องจากต้องหยุดเพราะเครื่องจักรเครื่องมือเสีย 8)ผลงานที ่ได้จะลดลงเพราะคนงานบาดเจ็บเนื ่องจากใช้เครื ่องจักรเครื ่องมือไม ่มี ประสิทธิภาพ เมื่อผลงานลดลง ต้องใช้ระยะเวลาท างานมากขึ้นเพื่อให้ได้ปริมาณงานเท่าเดิม ท าให้เสีย ค่าใช้จ่ายมากขึ้น
23 9)ชื่อเสียงของบริษัทเสียหายที่ท างานไปหยุดไป 10)ค ่าใช้จ ่ายในการตรวจสอบ ความส าเร็จของงานและหาแนวทางแก้ไขข้อผิดพลาด เหล่านั้นจะเพิ่มขึ้น 2.3.9 บริษัทก ่อสร้างที ่ใช้มาตรฐานความปลอดภัยสูงในการประมาณราคาผลต ่อการยื ่นซอง ประกวดราคาจะเป็นอย่างไร ? ค่าใช้จ่ายในหมวดค่าก่อสร้างทั่วไปจะสูง และโอกาสชนะการประมูลงาน จะลดลง ค่าก่อสร้างที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงหรือมักจะถูกลืมเมื่อท างานโดยใช้มาตรฐานงานก่อสร้างต ่า (HIDDEN COST)การท างานก ่อสร้างที ่มีมาตรฐานความปลอดภัยต ่าจะท าให้มี COST หรือค ่าใช้จ ่าย ประเภทหนึ่งซึ่งเรียกว่าค่าใช้จ่ายที่ซ่อนเร้นหรือค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาด้วยในระหว่างการ ก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมาจาก 1)ค่าซ่อมแซมและบ ารุงรักษาเครื่องจักรเครื่องมือเก่าที่เสียในระหว่างการท างาน 2)ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความล่าช้าของงานหรืองานถูกขัดจังหวะ เช่น เครื่องจักรเครื่องมือเสีย แต่ค่าแรงยังคงต้องจ่ายอยู่ 3)ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ค่าทนายความกรณีเกิดอุบัติเหตุคนตาย เป็นต้น 4)ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเกี่ยวกับการจัดส่งของและเครื่องจักรเครื่องมือส ารองในกรณีเร่งด่วน 5)ค่าเช่าเครื่องจักรเครื่องมือทดแทนของเก่าที่เสียในระหว่างการก่อสร้าง 6)ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบงานที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการ 7)ค่าใช้จ่ายในการจ้างและฝึกอบรมบุคคลากรทดแทนผู้ประสบอุบัติเหตุในงานก่อสร้าง 8)ค่าล่วงเวลาหรือค่าใช้จ่ายในการเร่งงานให้ทัน 9)ค ่าใช้จ ่ายที ่เพิ ่มขึ้น เนื ่องจากผลงานที ่ลดลงของการกลับมาท างานใหม ่ของคนงานที่ บาดเจ็บท าให้ใช้เวลาท างานมากขึ้น 10)ธุรกิจก่อสร้างประสบการขาดทุนเนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชื่อเสียงของบริษัท หรือผู้บริหารของบริษัทท าให้สถาบันการเงินขาดความมั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อต่อไป ให้ยกตัวอย่างชนิด ของงานที่มีแต่ค่าแรง และ ค่าเครื่องจักรเครื่องมือ ไม่มีค่าวัสดุ 2.3.10 การแต่งไหล่ถนน โดยใช้ MOTOR GRADERชนิดของเครื่องจักรเครื่องมือในงานก่อสร้าง และวิธีการคิดราคาในงานก่อสร้างทุกชนิดจะมีเครื ่องจักรเครื่องมือเครื ่องใช้หลายชนิด หลายประเภท ตามแต่ชนิด และ ขนาดของโครงการก่อสร้างแต่ส่วนมากแล้วพอจะแบ่งออกได้ ดังนี้
24 1) HAND TOOL OR SMALL TOOLS เป็นเครื ่องมือขนาดเล็ก เช ่น ค้อน ไขควง ขวาน จอบ เสียม พลั่ว ฯลฯ ในการคิดราคาจะคิดเป็น % ของค่าแรง แต่มีโครงการก่อสร้างเป็นจ านวนมากไม่น า ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มาคิดด้วย 2) SITE EQUIPMENT เป็นเครื ่องมือที ่ต้องใช้ร ่วมกันในการท างานหลาย ๆ ชนิด เครื่องจักรเครื่องมือในกลุ่มนี้จะต้องเก็บเอาไว้ที่ SITE ตลอดระยะเวลาการท างานหรือจนกว่างานจะเสร็จ เช่น CRANE เป็นต้น และมักจะเช่ามากกว่าจะซื้อมาเป็นเจ้าของเองนอกจากจะมีงานต่อเนื่องเป็นระยะ เวลานาน การซื้อจะถูกกว่าการเช่าและการคิดราคามักจะคิดเป็นชั่วโมงการท างานรวมทั้งค่าล่วงเวลาด้วย ข้อส าคัญก็คือจะต้องตกลงกันก่อนว่าค่าน ้ามันรถ ค่าซ่อมบ ารุง ค่าใช้จ่ายในการหาเครื่องจักรตัวใหม่มา ทดแทนตัวที่เสีย 3) SPECIFIC EQUIPMENTเป็นเครื่องจักรเครื่องมือที่ใช้เฉพาะงานและใช้เป็นบางเวลาที่ ต้องการเท ่านั้น เมื ่อเสร็จงานนั้นๆแล้วจะต้องน าออกไปจาก SITE เช ่น HEAVY CONSTRUCTION EQUIPMENTS ได้แก ่ TRACTOR , BULLDOZER, GRADER เป็นต้นและเช ่นเดีย วกันกับ SITE EQUIPMENT คือ มักจะเช่ามากกว่าซื้อนอกจากจะมีงานก่อสร้างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน 2.3.11 หลักการและวิธีการคิดราคา SPECIFIC EQUIPMENT นิยมบอกเป็นปริมาณงานที่ท าได้ ต่อหนึ่งหน่วยเวลา หน่วยเวลาที่ใช้แล้วแต่ข้อตกลง อาจจะเป็น ชั่วโมงหรือสัปดาห์หรือ เดือน ก็ได้ เช่น ค่า เช่ารถแทรกเตอร์ ถ้าคิดเป็นปริมาณงานที่ท าได้ต่อชั่วโมง จะมีหน่วยเป็นบาท ต่อ ชั่วโมง ต่อ ดัน หรือถ้า คิดเป็นสัปดาห์จะมีหน่วยเป็นบาท ต่อ สัปดาห์ ต่อ คัน หรือ ถ้าคิดเป็นเดือน จะมีหน่วยเป็นบาท ต่อ เดือน ต่อ คันการเช่า หรือ การซื้อเครื่องจักร อย่างใดจะให้ผลดีมากกว่ากันการที่จะซื้อหรือเช่าเครื่องจักร จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจก่อสร้าง คือถ้าเพิ่งจะเข้ามาสู่ธุรกิจก่อสร้างใหม่ ๆ การเช่าจะให้ ประโยชน์มากกว่า เพราะมีเงินทุนน้อย มี CREDIT หรือ ความน่าเชื่อถือน้อย มี CONNECTION หรือ สายใยความสัมพันธ์หรือการติดต่อกับสถาบันทางการเงินน้อยแต ่ถ้าเข้ามาสู ่ธุรกิจก ่อสร้างเป็นระยะ เวลานานพอสมควร จะมีทางเลือก 2 ทาง คือ จะเช่าหรือจะซื้อก็ได้ เพราะมีเงินทุนมากพอ มีCREDITที่ เชื่อถือได้ มี CONNECTION หรือสายใยความสัมพันธ์หรือการติดต่อกับ BANKER หรือสถาบันการเงิน มากพอสมควร ถ้าต้องใช้เป็นการชั่วคราว ควรเช่าดีกว่า เช่น MOBILE CRANE ถ้าต้องใช้บ่อย ๆ ควรซื้อ ดีกว่า 2.3.12 มีความจ าเป็นประการใดหรือไม ่ที ่จะต้องซื้อเครื ่องจักรเครื ่องมือเสมอไปปัจจุบันไม่ จ าเป็นต้องซื้อเครื่องจักรเครื่องมือเสมอไป เพราะปัจจุบันมีบริษัทที่ท าธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรเครื่องมือ มากมายโดยมีครบทุกชนิดทุกประเภท และให้บริการพร้อมคนขับ และเนื่องจากเป็นการแข่งขันโดยเสรีจึง
25 ไม่มีใครกล้าตั้งราคาค่าเข่าสูงเพราะอาจจะไม่ได้งานเลยก็ได้แต่อย่างไรก็ตามผู้รับเหมาจะต้องตัดสินใจเอา เองว่าจะซื้อหรือจะเช่าเครื่องจักรเครื่องมือดี หรือ ระหว่างการเช่า กับ การซื้อ วิธีไหนจะให้ผลประโยชน์ ตอบแทนมากกว ่ากันข้อดีและข้อเสียของการเช ่าหรือซื้อเครื ่องจักรเครื ่องมือใหม ่การซื้อหรือการเช่า เครื่องจักรเครื่องมือหนัก มีข้อควรพิจารณา ดังนี้ 2.3.13 ข้อดีของการเช่าไม่ต้องมีโรงเก็บที่ใหญ่โต โดยที่อาจจะใช้เครื่องจักรที่ใช้บ่อย ๆ เพียง 2 – 3 ชนิดเท ่านั้น ถ้าไม ่ต้องมีโรงเก็บก็จะลดค ่าประกันความเสียหายลงไปด้วย สามารถเลือกเครื่องจักร เครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสิทธิ์ภาพได้ตามความพอใจ ไม่มีความจ าเป็นที่จะต้องมีโรงเก็บอะไหล่หรือสิ่ง อ านวยความสะดวก ลดการจ้างเจ้าหน้าที่มาท าการบ ารุงรักษาหรือมาควบคุมการใช้งานเป็นพิเศษท าบัญชี ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย 2.3.14 ข้อเสียของการเช่า คือถ้าหากผู้รับเหมาต้องใช้เครื่องจักรเครื่องมือเป็นระยะเวลานาน ค่า เช่าที่จะต้องจ่ายออกไปจะแพงกว่าการซื้อเป็นเจ้าของเสียเองการมีเครื่องจักรเครื่องมือเป็นของตัวเอง จะ ท าให้ได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจเพิ่มขึ้นเพราะจ าท าให้ดูว่ามีความมั่นคงมากกว่าบริษัทที่ไม่มี เครื่องจักรเครื่องมือเป็นของตัวเองเจ้าของงานบางคนต้องการให้ผู้รับเหมาที่จะมารับงานไปท ามีเครื่องจักร เครื่องมือเป็นของตัวเอง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะท างานได้เสร็จโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้แม้ว่าจะใช้ เวลานานก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของเครื่องจักรเครื่องมือในงานก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ประกอบด้วย ค่าเสื่อมราคา (DEPRECIATION) ค่าดอกเบี้ย หรือค่าเสียโอกาสของเงิน (FINANCING EXPENSE) ค่าน ้ามันหล่อลื่นและค่าน ้ามันเชื้อเพลิง (FUEL AND LUBRICATION COST) ค่าซ่อมแซมและค่าบ ารุงรักษา (MAINTENANCE AND REPAIR COST) ค่าภาษี (TAXES) ค่าประกันภัย (STORAGE COST) ค่าอื่นๆที่ไม่สามารถลงบัญชีได้ วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา หมายถึง มูลค่าที่ลดลงของทรัพย์สินใดๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไปซึ่งโดยมากจะ คิดต่อปีหมายความว่า ราคาของเครื่องจักรทุกชนิดจะลดน้อยลงไปตามเวลาที่ใช้งานหรือแม้ว่าจะจอดทิ้ง ไว้เฉยๆ ก็ตามและเมื ่อครบอายุใช้งานราคาของเครื ่องจักรจะมีค่าใกล้เคียงศูนย์ซึ ่งเรียกว่า SALVAGE
26 VALUE หรือ ราคาเมื่อหมดสภาพการใช้งานแล้วแต่โดยข้อเท็จจริงแล้วจะยังคงใช้งานได้อยู่แต่จะเสียค่า ซ่อมแซมและบ ารุงรักษามากไม่คุ้มค่ากับงานที่ท าได้ อายุการใช้งาน (SERVICE LIFE) หมายถึง ระยะเวลาการใช้งานของเครื่องจักรที่จะให้ผลงาน ออกมามากกว่าค่าซ่อมแซมและบ ารุงรักษาความสัมพันธ์ของค่าเสื่อมราคากับค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงได้ ดังนี้ ค ่าเสื ่อมราคา = ราคาทรัพย์สิน (CAPITAL COST) – ราคาเมื ่อหมดสภาพ (SALVAGE VALUE) วิธีการที่ใช้คิดค่าเสื่อมราคาอยู่หลายวิธีแล้วแต่ผู้วางแผนหรือผู้มีอ านาจตัดสินใจว่าจะเลือกใช้แบบใด แต่ที่ ใช้กันส่วนมาก ได้แก่วิธี STRAIGHT LINEวิธี PRODUCTION OR USEวิธี DECLINING BALANCE วิธี SUM OF THE YEARS’ DIGIT วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบบ STRAIGHT LINE นิยมใช้กันมาก วิธีนี้เหมาะส าหรับใช้คิดค่า เสื่อมราคาของเครื่องจักรที่มีการใช้งานอยู ่ตลอดเวลา เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที ่สุด เพราะง่ายในการ ค านวณ โดยยึดหลักการว่า มูลค่าจะลดลงเท่ากันทุกๆ ปี ซึ่งการคิดแบบนี้ท าให้การวางแผนการเงินเป็นไป ได้โดยง่าย แต่ผิดข้อเท็จจริง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วค่าเสื่อมราคาจะลดลงเร็วในปีแรกและจะคงที่ในปี ท้ายๆ การคิดค่าเสื่อมราคาวิธีนี้ไม่ได้น าอัตราการใช้เครื่องจักรเครื่องมือมากหรือน้อยมาพิจารณา ด้วย วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบบ STRAIGHT LINE ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาซื้อครั้งแรก – ราคาเมื่อหมดสภาพ) / อายุการใช้งานตัวอย่าง เครื่องจักรตัวหนึ่งราคาซื้อ 150,000 อายุการใช้งาน 5 ปี หลังจากนั้นแล้วขายไปได้เงิน 50,000 อยากทราบว่าค่า เสื่อมราคาต่อปีเป็นเท่าใด วิธีท าค่าเสื่อมราคาต่อปี=(ราคาซื้อครั้งแรก–ราคาเมื่อหมดสภาพ) / อายุการใช้งาน=(150,000–50,000)/5=20,000 ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาของยางรถยนต์ • อายุการใช้งานของยางรถยนต์สั้นกว่าอายุการใช้งานของตัวเครื่องจักรมาก • อัตราค่าเสื่อมราคาของยางจะแตกต่างจากอัตราค่าเสื่อมราคาของ • เปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าซ่อมแซมและบ ารุงรักษาของยางรถยนต์จะแตกต่างกับ ตัวรถมาก, ในการค านวณค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรเครื่องมือจะต้องแยกออกจากการคิดค่าเสื่อมราคาของยาง
27 วิธีการคิดค ่าซ่อมบ ารุง เครื ่องจักรเครื่องมือทุกชนิดจะต้องมีการซ่อมบ ารุงอย่าง สม ่าเสมอเพื่อให้อุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือได้ใช้ประโยชน์ได้นานที่สุดและหารายได้หรือท าประโยชน์ได้ มากที ่สุดตลอดอายุการใช้งาน ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องมีการวางแผนการซ่อมบ ารุงว ่าจะต้องซ ่อมแซม อะไรบ้าง เพื่อที่จะตั้งงบประมาณได้ถูกต้อง วิธีที่จะให้ได้ตัวเลขในการซ่อมบ ารุงที่แน่นอนจะต้องหามาจากงานสนามโดยดูจาก ของจริงที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วท าไม่ได้ครบถ้วนด้วยเหตุผลหลายประการจึงนิยมคิด เป็น % แทนโดยอาศัยข้อมูลจาก RENTAL RATE ON CONSTRUCTION EQUIPMENT BY THE CANADIAN CONSTRUCTION ASSOCIATION ได้แนะน า ไว้ ดังนี้ ORTABLE COMPRESSORS 83 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี SELE-PROPELLED ROLLER 120 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี HYDRAULIC LIFTING CRANE 120 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี POWER SHOVELS 120 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี HYDRAULIC BACKHOE 100 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี TELESOOPIC BOOM EXCAVATOR 100 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี TRACK-FRONT ENDLOADER110 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี RUBBER-TIRE-FRONT END LOADER 110 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี MOTOR GRADER 125 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่า เสื่อมราคาต่อปี
28 SELF-LOADING ELEVATING SCRAPER 110 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่าเสื่อมราคาต่อปี TRACTOR-DOZER 110 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่า เสื่อมราคาต่อปี DUMP TRUCK 130 % OF ANNUAL DEPRECIATION หรือ ค่า เสื่อมราคาต่อปี การคิดค่าน ้ามันเชื้อเพลิงถ้าต้องการตัวเลขที่ถูกแน่นอนต้องตรวจสอบในสนามหรือ ในภาวะการณ์ที ่ท างานจริง แต ่ในทางปฏิบัติแล้วท าได้ยาก ดังนั้น จึงต้องใช้การประมาณเอาจาก ประสบการณ์ จากหนังสือ ESTIMATING CONSTRUCTION COST BY PEURIFOY ได้แนะน าการ คิดตัวเลขค ่าใช้จ ่ายโดยคิดจากรายละเอียดตามที่ระบุไว้ใน SPECIFICATION หรือสมุดคู ่มือประจ ารถ โดยประมาณไว้ ดังนี้กรณีภาวการณ์ท างานปกติทั่วไปที่ความดัน 29.9” ของปรอท และที่อุณหภูมิ 15° C เครื่องยนต์เบนซินจะใช้น ้ามัน = 0.06 แกลลอน / 1 แรงม้า / ชั่วโมง = 0.2271 ลิตร / 1 แรงม้า / ชั่วโมง เครื่องยนต์ดีเซลจะใช้น ้ามัน = 0.04 แกลลอน / 1 แรงม้า /ชั่วโมง = 0.1514 ลิตร / 1 แรงม้า / ชั่วโมง จุดมุ่งหมำยของกำรบ ำรุงรักษำ 1เพื่อให้เครื่องมือใช้ท างานได้อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ สามารใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ได้เต็มความสามารถและตรงกับวัตถุประสงค์ที่จัดหามามากที่สุด 2เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีสมรรถนะการท างานสูง (Performance) และช่วยให้เครื่องมือ เครื่องใช้มีอายุการใช้งานยาวนาน เพราะเมื่อเครื่องมือได้ใช้งานไประยะเวลาหนึ่งจะเกิดการสึกหร่อ ถ้า หากไม ่มีการปรับแต ่งหรือซ่อมแซมแล้ว เครื ่องมืออาจเกิดการขัดข้อง ช ารุดเสียหายหรือ ท างาน ผิดพลาด 3เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือ (Reliability) คือ การท าให้เครื่องมือ เครื่องใช้มีมาตรฐาน ไม่มีความคลาดเคลื่อนใด ๆ เกิดขึ้น 4เพื่อความปลอดภัย (Safety) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ส าคัญ เครื่องมือเครื่องใช้จะต้องมีความ ปลอดภัยเพียงพอต่อผู้ใช้งาน ถ้าเครื่องมือเครื่องใช้ท างานผิดพลาด ช ารุดเสียหาย ไม่สามารถท างานได้
29 ตามปกติ อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และการบาดเจ็บต่อผู้ใช้งานได้ การบ ารุงรักษาที่ดีจะช่วยควบคุม การผิดพลาด 5เพื่อลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช ารุดเสียหาย เก่าแก่ ขาดการ บ ารุงรักษา จะท าให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีฝุ่นละอองหรือไอของสารเคมีออกมา มีเสียงดัง เป็นต้น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง 6เพื่อประหยัดพลังงาน เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนมากจะท างานได้ต้องอาศัยพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น ้ามันเชื้อเพลิง ถ้าหากเครื่องมือเครื่องใช้ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี เดินราบเรียบไม่มี การรั่วไหลของน ้ามัน การเผาไหม้สมบูรณ์ ก็จะสิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ 2.3.15 การบ ารุงรักษาเครื่องมือ เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงฝึกงานส่วนใหญ่จะมีราคาแพง ถ้าหากมีการ ช ารุดเสียหายเกิดขึ้นแล้วย่อมจะเป็นการเปลืองงบประมาณของสถานศึกษาเป็นอย่างมากการบ ารุงรักษา เครื่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือนับเป็นสิ่งที่ส าคัญมาก ไม่ควรท าการซ่อมแซมต่อเมื่อได้เกิดข้อบกพร่อง บางอย ่างแก่เครื ่องจักรแล้วเท ่านั้น ควรป้องกันโดยการบ ารุงรักษาเครื ่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือ เหล่านั้นให้สามารถใช้งานได้อย่างประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์ในการบ ารุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ การบ ารุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์และเครื่องมือมีวัตถุประสงค์หลายๆประการ ได้แก่ 1) เพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ 2) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ในการซ่อมแซมในส่วนที่ช ารุด และส่วนที่เกี่ยวข้อง 3) เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานเนื่องจากอุบัติเหตุ 4) เพื่อลดเวลาสูญเปล่าเนื่องจากต้องหยุดท างาน เนื่องจากการซ่อมแซม 5) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติงาน 2.3.16 ลักษณะของการบ ารุงรักษา การบ ารุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือแบ่งออกเป็น 2ลักษณะคือ 1) การบ ารุงรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสียหาย 2) การซ่อมบ ารุงเมื่อเครื่องจักรอุปกรณ์ช ารุด 2.3.17 ขั้นตอนการบ ารุงรักษาเพื่อป้องกัน 1) ก าหนดนโยบายในการบ ารุงรักษา 2) ท าการเลือกและก าหนดอุปกรณ์เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ส าคัญ
30 3) ท าการก าหนดมาตรฐาน 4) การวางแผนบ ารุงรักษา 5) การวางแผนตรวจสอบ 6) การด าเนินการ 7) การบันทึก 8) การประเมินผล 2.3.18 ผลเนื่องมาจากการจัดมาตรการบ ารุงรักษาที่ถูกต้อง 1) ท าให้สามารถซ่อมเครื่องจักร อุปกรณ์และเครื่องมือที่ช ารุดได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ผู้ซ่อมไม่ต้องเสียเวลาวินิจฉัยสาเหตุและวิธีแก้ไขอาการที่ปรากฏออกมาและยังช่วยให้ซ่อมได้ถูกจุดอีกด้วย 2) สามารถใช้เป็นข้อมูลส าหรับการจัดท าคู่มือปฏิบัติงานซ่อมและบ ารุงรักษา โดยยกสาเหตุ และวิธีแก้ไขในแต่ละเรื่องไปเป็นหัวข้อเรื่องส าหรับพิจารณาการเขียนคู่มือปฏิบัติงาน 3) ใช้วางแผนหรือก าหนดแผนงานบ ารุงรักษา โดยการน าเอาผลการวิเคราะห์แนวโน้มซึ่ง คาดว่าเครื่องจักรจะถึงก าหนดการช ารุดเมื่อใด 4) ใช้เป็นแนวทางของการจัดเตรียมอะไหล ่ส าหรับการซ ่อมและบ ารุงตลอดจน การ จัดเตรียมงาน เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องอีกด้วย 5) ใช้เป็นข้อมูลในการวิจัยเครื่องจักรนั้น เพื่อพิจารณา ว่าสมควรจะใช้ต่อไปหรือสมควรเลิก ใช้ หรือควรจะปรับปรุงอย่างไรการจัดบ ารุงรักษาให้มีประสิทธิภาพการจัดบ ารุงรักษาให้มีประสิทธิภาพ จ าเป็นจะต้องทราบถึงอุปสรรคต ่าง ๆ อย่างชัดเจนและพยายามขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เหล่านั้นแล้ว ก าหนดเป็นแนวทางที่แน่นอนในการบ ารุงรักษาต่อไป 2.3.19 อุปสรรคที่มีผลต่อการบ ารุงรักษาแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบ ารุงรักษางานซ่อมบ ารุง คือ อะไร ท าไมจึงส าคัญ?เชื ่อว ่าในปัจจุบัน ค าว่า “การซ่อมบ ารุง” เป็นหลายสิ ่งที่ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน อุตสาหกรรมต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง เพราะการซ ่อมบ ารุงถือเป็นอีกกระบวนการส าคัญซึ่งส่งผลต่อ กระบวนการผลิต ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายชนิดและรูปแบบ ในบทความนี้เรามาดูตัวอย่างประเภทงานซ่อม บ ารุงแบบต่างๆ กันครับว่ามีอะไรบ้าง“การซ่อมบ ารุง” คือ กิจกรรมในการดูแลรักษาสภาพเครื่องจักร/ เครื่องมือ/อุปกรณ์การท างานต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมส าหรับการใช้งานตลอดเวลา หากขาด การซ่อมบ ารุงที่ดี ก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการท างานของเครื่องจักร เสี่ยงต่อเครื่องจักรหยุดท างาน น าไปสู่ปัญหาการ Breakdown ซึ่งจะกระทบต่อประสิทธิภาพในการผลิตของโรงงาน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย
31 ต่างๆที่จะเกิดขึ้นทั้งค่าซ่อม ค่าเสียเวลา-เสียโอกาสและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น การซ่อมบ ารุง จึงเป็น สิ่งจ าเป็นที่ทุกโรงงานควรให้ความส าคัญเป็นอย่างยิ่ง ภำพที่ 2.12 การซ่อมบ ารุง การซ่อมบ ารุงนั้นสามารถท าได้กับเครื่องจักร/อุปกรณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ภายในโรงงาน ไปจนถึงสิ่งอ านวยความสะดวกในชีวิตประจ าวัน เช่น รถยนต์ โดยมีจุดประสงค์ให้อุปกรณ์นั้นสามารถ ท างานได้อย่างดีและมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด ประเภทของงานซ่อมบ ารุง มีแบบไหนบ้าง งานซ่อมบ ารุงนั้น คนส่วนมากเข้าใจว่ามันคือการที่ “เสียแล้วซ่อม” แต่จริงๆแล้วการซ่อมบ ารุงนั้น มีหลากหลายระดับ ทั้งการซ่อมบ ารุงเพื่อแก้ไขเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ช ารุด และการซ่อมบ ารุงเพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดการช ารุด โดยสามารถแยกออกได้ขั้นต้นดังนี้ 1) การซ่อมบ ารุงเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance)“การซ่อมบ ารุงเชิงแก้ไข” หรือชื่อ ที่คนสมัยก่อนนิยมเรียกว่า “การซ่อมบ ารุงแบบ Break down (Breakdown Maintenance)” ถือเป็น กระบวนการซ่อมบ ารุงที่พื้นฐานและมีมาอย่างยาวนานที่สุด ซึ่งกระบวนการซ่อมบ ารุงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ เครื่องจักรชิ้นส่วนอุปกรณ์ใช้งานเกิดการช ารุดเสียหาย จนไม่สามารถน ามาใช้งานได้แล้ว กล่าวคือ “เมื่อ พังจึงซ่อม”แม้อาจจะฟังดูขาดหลักการในการดูแลรักษาที่ดีแต่การซ่อมบ ารุงเชิงแก้ไขนี้ก็ยังคงถูกใช้อยู่ใน โรงงานอุตสาหกรรมในปัจจุบัน โดยมักจะใช้กับเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่ไม่ค่อยมีนัยส าคัญในการท างาน เช่น โคมไฟแสงสว่าง,ก๊อกน ้าภายในห้องน ้า,พัดลมระบายอากาศ เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ข้างต้นที่ยกตัวอย่าง หาก
32 ช ารุดจะกระทบต่อประสิทธิภาพในการผลิตต ่า/ไม่มีผลกระทบใดๆ อีกทั้งที่มีราคาถูก หาซื้อได้ทั่วไป จึงไม่ มีความจ าเป็นต้องจัดท าเป็นแผนงานซ่อมบ ารุง แต่หากน าวิธีการนี้มาใช้กับเครื่องจักรผลิต แน่นอนว่าจะ ส่งผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอน ภำพที่ 2.13 การซ่อมบ ารุงเชิงแก้ไข 2)การบ ารุงรักษาเชิงป้อง (Preventive Maintenance)“การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน” หรือที่ ถูกเรียกสั้นๆว่า การ PM เป็นกิจกรรมการเข้าซ่อมแซม/เปลี่ยนชิ้นส่วนของเครื่องจักรตามก าหนดการก่อน สิ้นสภาพการใช้งาน เพื่อป้องกันเครื่องจักรไม่ให้เกิดการช ารุดและน าไปสู่การเกิด Breakdown ขึ้น ซึ่งการ ท าการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันนั้นสามารถท าได้หลากหลายวิธี เช่นการตรวจด้วยสายตา, การขันแน่น, การ หล่อลื่น/ท าความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆ ที่สามารถท าได้ตั้งแต่รายวัน/รายสัปดาห์ ไปจนถึงการเปลี่ยน อะไหล่ และการ Overhaul ประจ าปี เมื่อพูดถึงการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน จะสามารถแยกย่อยได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้ 1)การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา (Time-based Preventive Maintenance) การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา (Time-based Preventive Maintenance) เป็นกระบวนการ PM ที่เราสามารถพบเห็นได้เยอะที่สุด โดยการท าการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลานี้ สามารถหา ข้อมูลอ้างอิงได้จากคู่มือของเครื่องจักร เช่น การล้างท าความสะอาดชุดกรองต้องท าทุก1สัปดาห์, ควรมี การอัดจาระบีช่วงล่างของรถยนต์ทุกๆ 6 เดือน เป็นต้น
33 ภำพที่ 2.14 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา ช่างท าการอัดจาระบีชิ้นส่วนของรถดันดินตามช่วงเวลาที่มีก าหนดในคู่มือ ถือเป็นการ Time-Based PM รูปแบบหนึ่งซึ่งจะช่วยลดปัญหาการสึกและยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนรถได้ 2)การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน กล่าวคือ เนื่องด้วยอุปกรณ์บางชนิดมีการ ใช้งานที่หนักเบาแตกต่างกัน ในบางครั้งเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่มีใช้งานหนัก อาจต้องมีการซ่อมบ ารุงก่อน แผนงานบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา หรือซ ่อมก ่อนเครื่องจักร/อุปกรณ์ที ่มีใช้งานน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนถ่ายน ้ามันเครื่องรถยนต์ทุกระยะทาง 7,500 ก.ม. หากเจ้าของรถยนต์ใช้รถใน การเดินทางบ ่อยก็จะเปลี ่ยนน ้ามันเครื ่องเร็วกว่าอีกคนที่ไม ่ค ่อยได้ใช้รถ เป็นต้น ซึ ่งวิธีการนี้จะช่วย ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
34 ภำพที่ 2.15 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน การเปลี่ยนถ่ายน ้ามันเครื่องรถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของ Usage-based PM เนื่องจากหากผู้ใช้งาน รถยนต์ต้องขับขี่รถบ่อยๆ ก็จะท าให้น ้ามันเกิดความข้นหนืดและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น จึงท าให้รอบการ เปลี่ยนถ่ายน ้ามันถี่ขึ้นเช่นกัน 3)การบ ารุงรักษาตามสภาพ (Condition Based Maintenance)“การบ ารุงรักษาตาม สภาพ” เป็นขั้นพัฒนาของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน แตกต่างจากวิธีการเดิมที่เน้นการก าหนดอายุการใช้ งานของเครื่องจักร/อุปกรณ์แล้วเข้าเปลี่ยนตามระยะเวลา การบ ารุงรักษาตามสภาพจะเน้นการซ่อมแซม เครื ่องจักร/อุปกรณ์ตามลักษณะสภาพที ่ชิ้นส่วนนั้นแสดงออกมา กล่าวคือ เมื ่อเริ ่มใช้งานครั้งแรก เครื่องจักรจะมีความสมบูรณ์พร้อม แต่เมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่ง ชิ้นส่วนอุปกรณ์จะเริ่มเกิดการสึก/ ช ารุด และจะเริ่มแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา เช่น ค่าการสั่นสะเทือนผิดปกติ, อุณหภูมิสูงขึ้น, มีเสียง ดังแปลกๆ, มีกลิ่นไหม้, มีคราบการรั่วซึม เป็นต้น โดยหากผู้ใช้งานหรือช่างสามารถตรวจพบสัญญาณที่ แสดงออกมาเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยในการวางแผนซ่อมบ ารุงและท าการเข้าแก้ไขซ่อมแซมก่อนที่เครื่องจักร อุปกรณ์จะช ารุดเสียหายได้ ซึ่งจะเป็นการดึงประสิทธิภาพของชิ้นส่วน/อุปกรณ์แต่ละชิ้นจนถึงขีดสุดก่อน ท าการเปลี่ยนใหม่ ท าให้เกิดความคุ้มทุนสูงที่สุด
35 ภำพที่ 2.16 เครื่อง Thermal Scan เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิ 2.3.20 เครื่อง Thermal Scan เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิซึ่งถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อใช้ในการท า Condition Based Maintenance โดยในรูปจะเป็นการตรวจวัด ค ่าความร้อน Globe Valve ของท ่อสตรีม โดยหากชิ้นส่วน/อุปกรณ์เกิดค ่าความร้อนสูงผิดปกติ อาจ เป็นไปได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มเกิดการช ารุดแล้ว ท าให้ทีมช่างสามารถคาดการณ์และวางแผนงานซ่อม บ ารุงได้ก่อนเกิด Breakdown อีกทั้งปัจจุบันนี้ ก็มีเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆมาช่วยในการตรวจจับสัญญาณ ผิดปกติมากขึ้น เช่น Sensor แบบต่างๆซึ่งสามารถตรวจวัดค่าที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ รับรู้ได้ ท าให้การบ ารุงรักษาตามสภาพถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งโดยทั่วไป การบ ารุงรักษาในระดับนี้จะ มีชื่อเรียกว่า “การบ ารุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)”
36 ภำพที่ 2.17 อุปกรณ์ที่ช่วยในการ Monitor ค่าการสั่งสะเทือน Vibration Sensor เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการ Monitor ค่าการสั่งสะเทือนที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักร เช่นในรูปเป็นการตรวจวัดค่าการสั่นสะเทือนของเพลา หากค่าการสั่นสะเทือนมีการผิดแปลกไปจากปกติ อาจสันนิษฐานได้ว่า เครื่องจักรเกิดการปัญหาบางอย่าง เช่น Miss Alignment หรือ เพลาสึก เป็นต้น 4.การบ ารุงรักษาเชิงรุก (Proactive Maintenance)“การบ ารุงรักษาเชิงรุก” ถือเป็นขั้นสูงของการซ่อม บ ารุงรักษาของหน่วยงานซ่อมบ ารุง โดยการบ ารุงรักษาเชิงรุกจะเน้นการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของ ปัญหาการช ารุดนั้น เพื่อปรับปรุงแผนการด าเนินงานซ่อมบ ารุง และสรรหาวิธี/แนวทางในการบ ารุงรักษา เพื ่อป้องกันไม ่ให้ปัญหาการช ารุดเดิมเกิดขึ้นซ ้าอีก ซึ ่งสิ ่งนี้ถูกเรียกว ่า “การป้องกันการบ ารุงรักษา (Maintenance Prevention)” เช่น การใช้อุปกรณ์กันน ้าในไลน์การผลิตที่ต้องมีการล้างท าความสะอาด บ่อยๆ, การใช้ท่อน ้าแสตนเลสแทนการใช้ท่อเหล็กเพื่อป้องกันการผุกร่อน/การเกิดสนิม เป็นต้น
37 ภำพที่ 2.18 ชุดอัดจาระบีอัตโนมัติ ชุดอัดจาระบีอัตโนมัติ เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ช่วยในเรื่องของการ Maintenance Prevention โดย จะอัดจาระบีไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรโดยไม่ต้องใช้ช่าง/คนงานในการอัดจาระบี เพื่อป้องกัน การสึก/ช ารุดของชิ้นส่วนจากการเสียดสี เช่น Bearing เป็นต้น เหมาะกับเครื่องจักรที่มีการใช้งานอยู่ ตลอดเวลาและเข้าท า PM ได้ยากเป็นอย่างยิ่งTotal Productive Maintenance คือ อะไรแม้การซ่อม บ ารุงจะถูกมองว่า เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานซ่อมบ ารุง แต่หากต้องการบริษัท/โรงงานต้องการ ผลผลิตที่มีความคุ้มค่าและให้ผลก าไรสูงสุด เครื่องจักรที่สามารถท างานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจึงถือ เป็นกุญแจส าคัญ ท าให้ในปัจจุบัน เกิดเทคนิคที่เรียกว่า “Total Productive Maintenance หรือ TPM” ที่ไม่เพียงแค่มุ่งเน้นให้มีการซ่อมบ ารุงที่มีคุณภาพสูง แต่ยังมุ่งเน้นกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งกับการ ซ่อมและการใช้งานเครื่องจักร/อุปกรณ์ ไปจนถึงการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อประสิทธิภาพการ ท างานที่สูงที่สุดและมีค่าใช้จ่ายต้นทุนต ่าที่สุด โดยเราจะมาพูดถึงหลักการนี้ในภายหลัง
38 ภำพที่ 2.19 การท า TPM ในการท า TPM นั้นอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่ายในโรงงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายซ่อมบ ารุง ฝ่ายผลิตและ หน่วยงานสนับสนุนอื่นๆ โดยมุ่งหวังให้เกิดการซ่อมบ ารุงที่มีประสิทธิภาพสูง ทันท่วงที มีการเสียเวลาและ ต้นทุนต ่าสุด)จบไปแล้วนะครับส าหรับบทความ งานซ่อมบ ารุงคืออะไร ท าไมจึงส าคัญ จะเห็นได้ว่า การ ซ่อมบ ารุงไม่ใช ่สิ่งที ่จะถูกมองข้ามไปได้ หากบริษัท/โรงงานต้องการการผลิตที่ต่อเนื่องและมีคุณภาพ ดังนั้นหากโรงงานของท ่านยังคงใช้การซ ่อมบ ารุงแบบ Corrective Maintenance อยู ่ ก็ถึงเวลา ปรับเปลี่ยนได้แล้ว เพราะนอกจากจะไม่ต้องปวดหัวกับการปัญหา Breakdown เครื่องจักรที่จะเกิดขึ้น แล้ว ยังท าให้หน่วยงานจัดสรรตารางเวลาในการท างานได้ง่าย ไปจนถึงใช้ในการวางแผนงบประมาณและ ช่วยปูรากฐานส าหรับการยกระดับขึ้นไปสู่การซ่อมบ ารุงในระดับที่สูงขึ้นไป “การบ ารุงรักษาเชิงรุก” หรือ “TPM” อย่างได้อีกด้วยการตรวจสอบและบ ารุงรักษาเครื่องจักรHome การตรวจสอบและบ ารุงรักษา เครื่องจักรการตรวจสอบและบ ารุงรักษาเครื่องจักรของคุณ ย่อมจะเป็นสิ่งส าคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ สูงสุด เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร คุณจึงจ าเป็นที่ต้องการใช้ความเชี่ยวชาญของผู้ท างานที่มี เพียงพอ และยังจ าเป็นต้องมีเครื ่องมือที ่เหมาะสมอีกด้วย เพื ่อให้เกิดโปรแกรมการตรวจสอบสภาพ เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่โรงงานอุตสาหกรรมของคุณการบ ารุงรักษาตามสภาพ (CBM) เป็นกล ยุทธ์การบ ารุงรักษาที่เกิดจากการตรวจสอบสภาพจริงของเครื่องจักร เพื่อใช้ประเมินและตัดสินใจวาง แผนการบ ารุงรักษาที่ถูกต้อง CBM จึงถูกออกแบบให้ท าการบ ารุงรักษาก็ต่อเมื่อคุณพบว่า มีตัวชี้วัดบางตัว แสดงสัญญาณของประสิทธิภาพที่ลดลง หรือเกิดความเสียหายขึ้น การตรวจสอบสภาพเครื่องจักรส าหรับ ตัวบ ่งชี้เหล ่านี้ อาจรวมถึงการวัดตรวจสอบแบบไม ่ท าลาย, การตรวจสอบด้วยสายตา, ข้อมูลที ่มี
39 ประสิทธิภาพ และการทดสอบตามก าหนดเวลา ข้อมูลสภาพสามารถรวบรวมได้ในช่วงเวลาหนึ่งหรืออย่าง ต่อเนื่องก็ได้ (เช่นเดียวกับที่ท าเมื่อเครื่องมีเซ็นเซอร์ภายใน) การบ ารุงรักษาตามสภาพยังสามารถน าไปใช้ ได้ทั้งกับเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่มีความส าคัญและไม่ส าคัญได้เช่นเดียวกันเพื่อให้การบ ารุงรักษาตาม สภาพประสบผลส าเร็จ จึงมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายประการในการด าเนินการบ ารุงรักษาของคุณที่ จ าเป็นต้องมี ซึ่งรวมถึงการมีกลยุทธ์การบ ารุงรักษาตามก าหนดเวลาที่ช่วยให้คุณตรวจสอบและระบุความ ผิดปกติในอุปกรณ์ และช ่วยสร้างใบสั ่งงานติดตามผลตามก าหนดเวลาได้เช ่นกัน หากคุณต้องการ ด าเนินการในขั้นต่อไปและคาดการณ์ว่าใบสั่งงานใด จะน าไปสู่ความล้มเหลวของสินทรัพย์ ให้ตรวจสอบว่า รายงานใบสั่งงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถท าอะไรให้คุณได้บ้าง สิ่งส าคัญคือคุณต้องมีเครื่องมือ และ อุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อการระบุปัญหาด้านประสิทธิภาพและการสร้างงานต่างจากการบ ารุงรักษาเชิง ป้องกัน (PM) ซึ่งแตกต่างกัน คือ เป็นการบ ารุงรักษาตามปฏิทิน หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อก าหนดเวลาที่จะ ก าหนดเวลา และด าเนินการบ ารุงรักษา การบ ารุงรักษาตามสภาพนั้นจะก าหนดว่าการบ ารุงรักษาควรท า เมื่อตัวบ่งชี้ตามเวลาจริงเหล่านี้ แสดงความผิดปกติหรือสัญญาณการลดลงของประสิทธิภาพเครื่องจักร เท่านั้น เมื่อเทียบกับการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน สิ่งนี้จะเพิ ่มเวลาระหว ่างการซ ่อมแซม เนื่องจากการ บ ารุงรักษาจะด าเนินการตามความจ าเป็นเทคนิคการบ ารุงรักษาตามสภาพมีหลายประเภท และนี่คือ ตัวอย่างบางส่วน:การวิเคราะห์การสั่นสะเทือน - วัดความถี่การสั่นสะเทือน และระดับของเครื่องจักรเพลา หมุน เช ่น มอเตอร์และปั๊ม คอมเพรสเซอร์ ทั้งหมดแสดงระดับการสั ่นสะเทือนที ่แน ่นอน ขึ้นอยู ่กับ ความส าคัญของเครื ่องจักร เราจะเลือกใช้โซลูชันที ่แตกต ่างกัน เช ่น Portable analyzer, Wireless system และระบบ Real time,การตรวจสอบสภาพเครื่องจักร (Condition Monitoring)ตามกฎหมาย แล้ว เครื ่องจักรต้องตรวจสภาพตามการใช้งานประจ าปี แยกเป็นทั้งหมด 7 ชนิด ตามกฎหมาย กฎกระทรวง ก าหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการท างานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน ้า พ.ศ. 2564 ดังนั้น การที่จะเข้ามา ใช้งานหรือตรวจสอบเครื่องจักรนั้นๆแล้ว จ าเป็นต้องมีใบรับรองเพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องจักร ดูว่าเครื่องจักรประเภทต่างๆที่ได้น าเข้ามาท างานนั้นมีสภาพความพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยการจัด ต าแหน่งเพลา - เพื่อการจัดต าแหน่งระหว่างเครื่องจักรด้านส่งก าลัง และตัวรับ เราสามารถให้บริการคุณ ในเครื่องจักรประเภทต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง - การตรวจจับข้อบกพร่องใต้ผิวดิน ลึก เช่น การสึกกร่อนของตัวเรือและใช้เพื่อตรวจจับการรั่วไหลของก๊าซ ของเหลว หรือสุญญากาศ เช่น Leak detection, Bearing lubrication testing and Steam trap leaks or fails testing,การวิเคราะห์ น ้ามัน - วัดจ านวนและขนาดของอนุภาคในตัวอย่างเพื่อตรวจสอบสุขภาพของน ้ามัน การปนเปื้อน และ
40 การสึกหร่อของเครื่องจักรทั้งการทดสอบในสถานที่ และในห้องปฏิบัติการกล้องอินฟราเรด - กล้อง IR สามารถใช้เครื ่องถ ่ายภาพความร้อนเพื ่อตรวจจับรังสีจากวัตถุเพื ่อตรวจจับสภาวะที ่มีอุณหภูมิสูงใน อุปกรณ์ที่ได้รับพลังงานไฟฟ้า - การอ่านค่ากระแสของมอเตอร์โดยใช้แคลมป.แอมมิเตอร์ประสิทธิภาพ การท างาน - ผ่านเซ็นเซอร์ทั่วทั้งระบบ วัดความดัน อุณหภูมิ การไหล ฯลฯชนิดเครื่องจักรที่ต้องตรวจ รับรองประจ าปี 1) เครื่องจักรที่ใช้ในงานยกและขนย้าย เช่น รถยก โฟล์คคลิฟท์ ฯ 2) เครื่องจักรกลที่ใช้ในงานดินและงานถนน รถแทรกเตอร์ เครื่องจักรกล ส าหรับงานขุด ฯ 3) เครื่องจักรที่ใช้ในงานคอนกรีต ฯ 4) เครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้างเครื่องตอกเสาเข็ม เครื่องจักรที่ใช้ส าหรับงานเจาะเสาเข็ม 5) เครื่องจักรที่ใช้ในงานขุดอุโมงค์ งานเจาะ ฯ 6) เครื่องจักรที่ใช้ในงานรื้อถอนท าลาย เครื่องสกัด คอนกรีตเบรกเกอร์ 7) เครื่องจักรอื่นที่อ าจก่อให้เกิดอันตร ายจ ากก ารใช้ง านต ามที่อธิบดีประกาศก าหนด ภำพที่ 2.20 ชนิดเครื่องจักรที่ต้องตรวจรับรองประจ าปี 2.3.21 เครื่องจักรที่มีคุณภาพ จะต้องประกอบด้วย 1) มีการออกแบบที่ดีและตรงตามความประสงค์ต่อการใช้งาน มีความเที่ยงตรง แม่นย า รวมทั้งสามารถท างานได้เต็มก าลังตาม ความสามารถที่ออกแบบไว้ 2) มีการผลิตหรือสร้าง ที ่ให้ความแข็งแรงทนทาน สามารถท างานได้นานที ่สุดและ ตลอดเวลา 3) มีการติดตั้งในสถานที่ที่เหมาะสม และสะดวกต่อการใช้งาน
41 4) มีการใช้งานเป็นไปตามคุณสมบัติและสมรรถนะของเครื่อง 2.3.22 มีระบบการบ ารุงรักษาที่ดี เนื่องจากเครื่องมือ เครื่องใช้ เมื่อถูกใช้งานไปนานๆ ก็ต้องมีการ เสื่อมสภาพ ช ารุด สึกหร่อเสียหาย ขัดข้อง ดังนั้นเพื่อให้อายุการใช้งานของเครื่องมือเครื่องใช้ ยาวนาน สามารถใช้งานได้ตามความต้องการของการของผู้ใช้การตรวจสอบคุณภาพน ้ามัน (Oil Quality Inspection)เพราะน ้ามันหล่อลื ่นเปรียบเสมือนเลือดที ่สูบฉีดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต ่างๆ ของ เครื่องจักร ซึ่งการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน ้ามันจะสามารถบ่งชี้สมรรถนะและสภาพของเครื่องจักร เพื่อ เพิ ่มความพร้อมในการใช้งานของเครื่องจักร และช ่วยประหยัดค ่าใช้จ ่ายในการบ ารุงรักษาที ่เกิดจาก น ้ามันหล่อลื่น ความสูญเสียโอกาสจากการหยุดเดินเครื่องของเครื่องจักร และอื่นๆการตรวจวิเคราะห์ น ้ามันหลังการใช้งาน (Used Oil Analysis)สามารถบอกถึงสมรรถนะ หรือสภาพของเครื ่องจักรและ อุปกรณ์ สภาวะการสึกหร่อ การเสื่อมสภาพของน ้ามันหล่อลื่นและสิ่งสกปรกปนเปื้อนต่างๆ โดยช่างซ่อม บ ารุงหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องท าการเก็บตัวอย่างน ้ามัน เพื่อตรวจสอบหาคุณสมบัติของสารหล่อลื่น และท าการวิเคราะห์เศษโลหะ เพื ่อหาสาเหตุของความเสียหายและระดับความรุนแรง ซึ ่งการตรวจ วิเคราะห์น ้ามันหลังการใช้งานจะท าให้สามารถใช้น ้ามันได้อย่างคุ้มค่าเครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนาน มากขึ้นสามารถลดต้นทุนโดยรวมของเครื่องจักรได้ 2.4 ประเภทของกำรบ ำรุงรักษำ 2.4.1 Breakdown Maintenance (การบ ารุงรักษาโดยการซ่อมแซมส่วนที่เสีย) 2.4.2 Planned/Preventive maintenance (การบ ารุงรักษาตามแผน) 2.4.3 Predictive maintenance (การบ ารุงรักษาโดยการคาดคะเน) 2.4.4 Proactive maintenance (เป็นแนวคิดใหม ่ในวงการบ ารุงรักษา โดยการแก้ที ่สาเหตุที่ แท้จริงของปัญหา)