42 ภำพที่ 21 การจ าแนกปัญหา อีกหนึ่งวิธีในบ ารุงรักษาเชิงคาดการ (Predictive Maintenance) การบ ารุงรักษาตามสภาพเครื่องจักร (Condition Maintenance) ก็คือการวิเคราะห์ตรวจสอบน ้ามัน (Oil Analysis)ซึ ่งจะช ่วยท าให้รู้ว่า น ้ามันหล่อลื่นสามราถใช้จะงานต่อได้หรือช่วยตรวจสภาพของเครื่องจักรได้ ซึ่งการวิเคราะห์ตรวจสอบ น ้ามันนั้นจะแบ่งการตรวจสอบหลักอยู่ 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะใช้วิธีการตรวจสอบไม่เหมือนกัน 1) Contaminate ตรวจสอบการปนเปื้อนของน ้ามัน เช่น ฝุ่น (Particle contamination) หรือ ความชื้น (Moisture) 2) chemistry ตรวจสอบสภาพของน ้ามัน เช่น ความหนืด (Viscosity) ความเป็นกรด,เบส หรือชนิดของน ้ามัน 3) Wear ตรวจสอบสภาพของเครื่องจักร ดูความสึกหร่อ เช่นความสึกหร่อของฟันเฟือง (Gear Wear) กับเครื ่องจักรอุตสาหกรรมที ่สะดวก ปลอดภัยกว ่าใครอยากได้ความรู้เทคนิคดีๆ กับ เครื่องมือวิศวกรยุคใหม่ความหมายของความปลอดภัยในการท างาน และ อุบัติเหตุจากการท างานการเกิด อุบัติเหตุในการท างานแต่ละครั้ง มิใช่จะเกิดขึ้นจากโชคชะตาหรือเคราะห์กรรมของแต่ละบุคคล หากแต่ เกิดขึ้นโดยมี“สาเหตุความหมายของความปลอดภัยในการท างาน”ที่ชี้ชัดลงไปได้การเสริมสร้างความ ปลอดภัยในการท างานจะเกิดขึ้นได้โดยการแก้ไขป้องกันที่“สาเหตุของอุบัติเหตุ”ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม • การแต่งการไม่เหมาะสม • การถอดเครื่องก าบังส่วนอันตรายของเครื่องจักรออกด้วยความรู้สึกร าคาญ
43 ท างานไม่สะดวก หรือถอดออกเพื่อซ่อมแซมแล้วไม่ใส่คืนการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่เหมาะกับงาน เช่น การใช้ขวดแก้วตอกตะปูแทนการใช้ค้อนการหยอกล้อกันระหว่างท างานการท างานโดยที่ร่างกายและ จิตใจไม่พร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบาย เมาค้าง มีปัญหาครอบครัว ทะเลาะกับแฟน เป็นต้นสภาพการณ์ ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Condition)เป็นสาเหตุรอง คิดเป็นจ านวน15% เท่านั้น เช่นส่วนที่เป็นอันตราย (ส่วนที่เคลื่อนไหว) ของเครื่องจักร ไม่มีเครื่องก าบังหรืออุปกรณ์ป้องกันอันตรายการวางผังโรงงานที่ไม่ ถูกต้องความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสกปรกในการจัดเก็บวัสดุสิ่งของพื้นโรงงานขรุขระ เป็นหลุมเป็น บ่อสภาพแวดล้อมในการท างานที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ถูกสุขอนามัย เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอเสียงดังเกิน ควร ความร้อนสูง ฝุ่นละออง ไอระเหยของสารเคมีที่เป็นพิษ เป็นต้นเครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ ช ารุดบกพร่อง ขาดการซ่อมแซมหรือบ ารุง รักษาอย่างเหมาะสมระบบไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ช ารุด บกพร่อง เป็นต้นความสูญเสียจากอุบัติเหตุการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ย่อมก่อให้เกิดความสูญเสีย มากมาย นอกจากจะเกิดการบาดเจ็บ การเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต หรือแม้แต่ทรัพย์สินเสียหาย อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรที่เกิดความเสียหาย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ ารุงแล้ว ยังรวมถึงการสูญเสียเวลาในการ ผลิตที ่ต้องหยุดและค ่าใช้จ ่ายอื ่นๆ หรือแม้แต ่เสียภาพพจน์ของบริษัทความสูญเสียหรือค ่าใช้จ ่ายอัน เนื่องมาจากการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้คือ ความ สูญเสียทางตรง (Direct Loss)หมายถึง จ านวนเงินที่ต้องจ่ายไปอันเกี่ยวเนื่องกับผู้ได้รับบาดเจ็บโดยตรง จากการเกิดอุบัติเหตุ หรือเป็นค่าเสียหายที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ได้แก่ค่ารักษาพยาบาลค่าทดแทน จากการได้รับบาดเจ็บค่าท าขวัญค่าท าศพค่าประกันชีวิตความสูญเสียทางอ้อม (Indirect Loss)หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะค านวณเป็นตัวเงินได้) นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายทางตรงส าหรับการเกิด อุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ได้แก่การสูญเสียเวลาในการท างานของคนงานหรือผู้บาดเจ็บ เพื่อรักษาพยาบาล คนงานอื่นหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยการปฐมพยาบาล หรือน าส่งโรงพยาบาล อยากรู้อยากเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ ความตื่นตกใจหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สอบสวน หาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ บันทึกและจัดท ารายงานการเกิด อุบัติเหตุ จัดหาคนงานอื่นและฝึกสอนให้เข้าท างานแทนผู้บาดเจ็บ หาวิธีแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้ เกิดซ ้าอีกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ได้รับความเสียหายวัตถุดิบหรือสินค้าที่ ได้รับความเสียหายต้องทิ้ง ท าลายหรือขายเป็นเศษผลผลิตลดลง เนื่องจากกระบวนการผลิตขัดข้อง ต้อง หยุดชะงักค่าสวัสดิการต่างๆของผู้บาดเจ็บค่าจ้างแรงงานของผู้บาดเจ็บซึ่งโรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าผู้บาดเจ็บจะท างานยังไม่ได้เต็มที่หรือต้องหยุดงานการสูญเสียโอกาสในการท าก าไร เพราะผลผลิต ลดลงจากการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต และการเปลี่ยนแปลงความต้องการของตลาดค่าเช่า ค่า
44 ไฟฟ้า น ้าประปา และโสหุ้ยต่างๆที่โรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าโรงงานจะต้องหยุดหรือปิดกิจการ หลายวันในกรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงการเสียชื่อเสียงและภาพพจน์ของโรงงานนอกจากนี้ผู้บาดเจ็บจนถึง ขั้นพิการหรือทุพพลภาพ จะกลายเป็นภาระสังคมซึ ่งทุกคนมีส่วนร ่วมรับผิดชอบด้วย ความสูญเสีย ทางอ้อมจึงมีค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียทางตรงมาก ซึ่งปกติเรามักจะคิดไม่ถึง จึงมีผู้เปรียบเทียบว่า ความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเสมือน “ภูเขาน ้าแข็ง” ส่วนที่โผล่พ้นน ้าให้มองเห็น มีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนที่จมอยู่ใต้น ้า ในท านองเดียวกันค่าใช้จ่ายทางตรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะเป็น เพียงส่วนน้อยของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งผู้บริหารโรงงานจะมองข้ามมิได้การเกิดอุบัติเหตุก่อให้เกิด ความสูญเสียอย่างมากทั้งต่อชีวิตของคนงานและทรัพย์สิน ทั้งที่คิดเป็นเงินค่าใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน และที่เป็นค่าใช้จ่ายแฝงในรูปต่างๆ การสร้างสภาพการท างานที่ปลอดภัยในโรงงานจึงมีความส าคัญต่อ ความส าเร็จของการบริหารงานในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะเป็นการป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ซึ่ง เป็นการลดต้นทุนในการผลิตสินค้าแล้ว ยังท าให้ขวัญหรือก าลังใจของคนงานสูงขึ้น ผลผลิตและก าไร เพิ ่มขึ้นด้วยในทางกลับกัน หากโรงงานใดมีการเกิดอุบัติเหตุบ ่อยครั้ง โรงงานนั้นย ่อมต้องเผชิญกับ ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขวัญและก าลังใจของคนงานตกต ่าลง ในที่สุดผลผลิตและก าลังการผลิตก็จะลดลง นั่นคือ การบริหารงานที่ล้มเหลวดังนั้น จึงควรอย ่างยิ่งที ่ผู้บริหาร จะต้องให้ความส าคัญต่อการป้องกันมิให้ อุบัติเหตุเกิดขึ้น โดยการเสริมสร้างความปลอดภัยในการท างานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงาน และก าหนดเป็น “นโยบายของบริษัท” ที่ชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอีกทั้งควรให้พนักงานทุกคนใน องค์กรได้รับการอบรมความปลอดภัยในการท างานตามที่กฎหมายก าหนด 2.4.5จุดประสงค์ของการบ ารุงรักษาเครื่องจักรในโรงงาน 1)เพื่อให้เครื่องมือท างานได้อย ่างมีประสิทธิภาพการบ ารุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานให้ สามารถท างานได้เต็มความสามารถตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานทุกเครื ่องจักรท างานได้เต็ม ประสิทธิภาพส่งเสริมให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามแผนงานที่ก าหนด 2)เพื่อให้เครื่องมือมีสมรรถนะการท างานสูงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานการบ ารุงรักษา เครื่องจักรในโรงงานให้สามารถท างานได้เต็มความสามารถตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานทุกเครื่องจักร ท างานได้เต็มประสิทธิภาพส่งเสริมให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามแผนงานที่ก าหนด 3.)เพื่อให้เครื่องมือมีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือเครื่องจักรเมื่อเกิดการสึกหร่อและช ารุดอาจ ส่งผลต่อความแม่นย าและมาตรฐานความเที่ยงตรงของเครื่องจักรจึงต้องมีการบ ารุงรักษาเครื่องจักรใน โรงงานควบคุมมาตรฐานการท างานให้สามารถท างานได้แม่นย าน่าเชื่อถือไม่เกิดการเคลื่อน
45 4) เพื่อความปลอดภัยเครื่องจักรและเครื่องใช้ทุกประเภทในโรงงานต้องมีความปลอดภัยได้ มาตรฐานเมื่อเกิดการช ารุดอาจก่อให้เกิดอุบัติอันตรายส่งผลต่อความปลอดภัยในการท างานของพนักงาน ได้ซึ ่งการบ ารุงรักษาเครื ่องจักรในโรงงานที ่ดีจะช่วยควบคุมการ ผิดพลาดและลดการเกิดอุบัติเหตุใน โรงงานได้เป็น อย่างดี 5) เพื่อลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมตามที่ พรบ ควบคุมโรงงานฉบับใหม่ พ.ศ. 2562 ได้มี การก าหนดควบคุมโรงงานโรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งให้มีมาตรฐานควบคุมภายในโรงงานและลดการ ปล่อยมลภาวะออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกทุกโรงงานจึงต้องมีการบ ารุงรักษาเครื่องจักรโรงงานให้สะอาด ปลอดภัยและไม ่เกิดการช ารุดอยู ่เสมอ เพราะเมื ่อเครื ่องจักรเก ่าและช ารุดจะท าให้เกิดปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมได้ 6) เพื่อประหยัดพลังงานเครื่องจักรในโรงงานทุกประเภทต้องใช้พลังงาน หากเกิดการสึก หรอจะท าให้เครื่องจักร ท างานรถประสิทธิภาพลงต้องท างานหนักขึ้นเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมากยิ่งขึ้น อีกถ้าหากเครื่องจักรเครื่องใช้ได้รับการบ ารุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานให้อยู่ในสภาพดีก็จะเป็นการลดการ สิ้นเปลืองพลังงานลงได้ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่ายใน ระยะยาวได้เป็นอย่างดี ภำพที่ 2.22 การซ่อมบ ารุงเครื่องจักร
46 ระบบงำนซ่อม และกำรบ ำรุงรักษำโดยทั่วไป (Maintenance System) ในโรงงานอุตสาหกรรม และโรงงานผลิตต่างๆ ในส่วนของงานซ่อมและการบ ารุงรักษา ถือเป็นส่วน ส าคัญมากๆต่อระบบ การผลิต (Production) เรียกได้ว่าไม่สามารถแยกหน่วยงานซ่อมออกจากหน่วยงาน ผลิตได้เลยครับยกตัวอย่าง เช่น หากฝ่ายผลิตในโรงงาน ขาดการบ ารุงรักษาที่มีประสิทธิภาพที ่ดีแล้ว เครื่องจักรต่างๆในโรงงานอาจจะเสียบ่อยๆ หรืออาจจะพังขนาดที่ว่า ไม่สามารถเดินเครื่องจักรต่อได้ถ้า เป็นแบบนั้นแล้ว การผลิตจะติดขัดเนื่องจาก เครื่องจักรเสีย และไม่สามรถใช้งานต่อได้ ส่งผลให้ไม่สามารถ ผลิต“ผลิตภัณฑ์”(Product) ให้กับโรงงานได้ ท าให้โรงงานสูญเสียผลประโยชน์มากมายมหาศาล ทั้งใน เรื ่องของต้นทุนในการซ ่อม (Maintenance Cost) และการสูญเสียโอกาสในในการผลิต (Lost of Production Opportunity) ภำพที่ 2.23 งานซ่อมและการบ ารุงรักษา งำนซ่อม และงำนบ ำรุงรักษำ คือ “การพยายามรักษาสภาพของเครื ่องมือเครื ่องจักรต ่างๆ ให้มีสภาพที ่พร้อมจะใช้งานอยู่ ตลอดเวลา”โดยปกติถ้าพูดถึงงานซ่อม หลักการคือ การถอด การรื้อ เปลี่ยนอะไหล่ด้านใน แล้วประกอบ กลับมาใช้ให้เหมือนเดิม และการบ ารุงรักษาก็คือการไปท ากิจกรรมต่างๆเกี่ยวกับเครื่องจักร ตามรอบ และ แผนที ่ก าหนด เพื ่อยืดอายุการใช้งาน ความมั ่นใจ และประสิทธิภาพในเครื ่องจักร เช ่น การเปลี ่ยน น ้ามันเครื่อง การเปลี่ยนจาระบี เป็นต้นโดยจุดมุ่งหมายของงานซ่อม และบ ารุงรักษา คือ ค่าใช้จ ่ายที่ เกิดขึ้นควรจะน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการใหเครื่องจักรสามารถใช้งานตลอดเวลาเมื่อฝ่ายผลิตต้องการ และ ใช้งานด้วยความมั่นใจที่สุด หรือถ้าพูดในเชิงทฤษฎีคือ Down time = 0 และ อีกเหตุผลหลักๆอีกข้อหนึ่ง
47 คือ ในแง่ความปลอดภัย เป็นหลักนะครับ ซึ่งขณะใช้งาน ผู้ใช้งานเครื่องจักรจะต้องไม่ได้รับอันตรายใดๆ ซึ่งเกิดจากการพังเสียหายของเครื่องจักร และอุปกรณ์ประเภทต่างๆของงานบ ารุงรักษาความจริงแล้ว งาน บ ารุงรักษาสามารถแบ่งได้มากมายหลายชนิดมากๆ แต่เราขอมาพูดถึงประเภทหลักๆ เราสามารถแบ่ง ออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆคือ Reactive Maintenance หรือ “การซ่อมบ ารุงเชิงรับ” เป็นประเภทงานซ่อมในแบบเชิงรับซึ่งความหมาย ของงานซ่อมชนิดนี้จริงๆ ก็สมชื่อเลยนะครับ คือ การรอรับมือกับเครื่องจักรที่พังเข้ามาในทุกๆวัน โดยหลักการของงานซ่อมบ ารุงประเภทนี้คือใช้งานเครื่องจักรจนเครื่องจักรพัง (Run to fail) แล้วหลังจาก นั้นค่อยซ่อมกลับมาให้ใช้ได้ใหม่ดังนั้นช่างซ่อมในโรงงานก็คอยรับมือกับเครื่องจักรพังในทุกๆวัน ทางทีม ซ่อมก็จะมีหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหานั้นให้เสร็จสิ้นเพื่อที่จะท าให้การผลิตสามารถเดินไปต่อได้ครับ โดยประเภทงานซ ่อมที ่เข้าไปแก้ไขเครื ่องจักรที ่พังอยู ่ ให้กลับมาใช้งานได้ เราจะเรียกว ่า CM หรือ Corrective Maintenance นะครับ หรือบางที ่จะใช้ค าว ่า BM (ไม ่เป็นที ่นิยมเรียกแล้ว) หรือ Break down maintenance ซึ่งส่วนใหญ่เครื่องจักรเสียหายอยู่แล้ว (ฺ Break down) ถ้าเป็นแบบนี้ทางทีมซ่อม ต้องรีบหยิบประแจเข้าไปแก้ไขให้เร็วที่สุด ซึ่งในโรงงานหากงานประเภทนี้เยอะๆนะครับ วันหนึ่งวันแทบ ไม่ต้องท าอะไรเลยนั่งซ่อมเครื่องจักรกันอย่างเดียวงานซ่อมแบบนี้ทุกโรงงานไม่ค่อยชอบแน่นอนเพราะว่า จะได้รับผลกระทบโดยตรงทั้งค่าซ่อม และโอกาสที่เสียไปส าหรับการผลิตสินค้าต่างๆแต่ก็สามารถลดได้ หากมีแผนงานซ่อมอีกสองแบบหลังที่ดี หรือการบริหารเชิงวิศวกรรมที่ดี 7) Preventive Maintenance Preventive Maintenance หรือ การบ ารุงรักษาเชิงป้อง โดยความหมายคือ เป็นการซ่อมบ ารุงเชิงป้องกัน โดยจะเข้าไปท ากิจกรรมงานซ่อมต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ เครื่องจักรพัง โดยที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้
48 ภำพที่ 2.24 Preventive Maintenance (PM) โดยขอเล่าเป็นประวัติ timeline นะครับเพื่อความเข้าใจ ในยุคโรงงานแรกๆเนี่ย โรงงานก็จะเป็นแบบแรก คือ Reactive maintenance โดยจะเดินเครื่องจักรไปเรื่อย ๆจนมันพัง พอเครื่องจักรพังเสร็จก็รีบไปซ่อม พอซ่อมเสร็จก็กลับไปใช้ และวนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ“เวลาเราปล่อยเครื่องจักรพังเลยเนี่ย ค่าซ่อมมันจะ แพงกว ่าที ่เรารีบซ ่อมก ่อนที ่มันจะพัง” และเรื ่องประสิทธิภาพเวลาเราซ ่อมก ่อนที ่มันจะพังเนี่ย ประสิทธิภาพก็จะดีกว่า เพราะว่า ชิ้นส่วนด้านในเครื่องจักรที่ส าคัญยังไม่พังเสียหายมากครับเวลาเรารีบ เข้าไปซ่อมก่อนดังนั้นโรงงานจึงวางแผนซ่อม และบ ารุง ก่อนที่เครื่องจักรตัวนั้นจะพัง เพราะต้นทุนงาน บ ารุงรักษา ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของตัวเครื่องจักรในโรงงานจะดีกว่า โดยจะก าหนดเวลาที่ เหมาะสมเข้าไป บ ารุงรักษา และซ่อมยกตัวอย่างเช่นมีปั๊ม 1 ตัว เราอาจจะก าหนดแผน การเปลี่ยนถ่าย น ้ามันทุก 6 เดือน และถอดออกมาซ่อม (Overhaul) ทุกๆ 4 ปีเป็นต้น 8) Proactive Maintenance หรือ การบ ารุงเชิงรุก เรียกได้ว่าเป็นที่สุดในการก าหนดกล ยุทธ์ในการซ่อม และบ ารุงรักษา (บนสุดของยอดพีระมิดงานซ่อม) ซึ่งจะเป็นการผสมผสานงานซ่อมทั้งใน แบบ Reactive maintenance และ Preventive maintenance โดยใช้ศาสตร์ในการคาดก ารณ์ Predictive Maintenance และ Condition base monitoring มาก าหนดช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการ เข้าไปซ่อม เพื่อลดต้นทุนงานซ่อมให้มากที่สุด
49 ภำพที่ 2.25 การบ ารุงเชิงรุก ขอยกตัวอย่างอย่างง่าย ที่เราจะตัดสินใจซ่อมปั๊มทุก 4 ปี ค าถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าไวเกินไป หรือช้า เกินไป ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบต่อต้นทุนผลิตของโรงงานทั้งนั้น ดังนั้น Proactive maintenance จะเป็น ค าตอบส าหรับโรงงานที่จะลดต้นทุนในงานซ่อม อย่างเหมาะสมที่สุด (Cost Optimization) ภำพที่ 2.26 Proactive maintenance
50 โดย Proactive maintenance จะเข้าไปจัดการถึงต้นตอของปัญหาเครื ่องจักรจริงๆ (Root cause of machine failure) เพราะในหลายๆโรงงานจะมีเครื่องจักรบางตัวพังบ่อยๆ ปีนึงหลายๆครั้ง หรือที่เรา เรียกว่า Bad actor ซึ่งการเสียหายบ ่อยๆ อาจจะเกิดตั้งแต่การท า engineering และการออกแบบไม่ เหมาะสมตั้งแต่แรกท าให้ซ่อมเท่าไหร่ก็ไม่หาย เป็นต้นหรือการเข้าไปวัดคุณภาพของเครื่องจักร ณ เวลา นั้นจริงๆ ว่าถึงเวลาสมควรแล้วรึยังที่ต้องซ้อม หรือที่เรียกว่า CBM หรือ Condition Base Monitoring เช่นงานวัด Vibration monitoring เป็นต้นซึ่งรวมไปถึงการเก็บข้อมูลต่างๆ ในงานซ่อม ไม่ว่าจะเป็นอายุ ใช้งานเครื่องจักร เวลางานซ่อม ค่าซ่อม ต่างๆ เพื่อมาใช้วิเคราะห์เชิงสถิติ ในระบบคอมพิวเตอร์ หรือ ระบบ CMMS (Computerized Maintenance Management System) เพื่อน ามาก าหนดกลยุทธ์ และ วิเคราะห์ปัญหางานซ่อมโดยองค์รวมการวางแผน PM ในงานซ่อมและการบ ารุงรักษา – (Preventive Maintenance)จากบทความที ่ผ่านมาในเรื ่องของ “ชนิดของงานซ ่อมบ ารุง” ท าให้รู้ว ่า เราควรที ่จะ วางแผนดูแล และมีกระบวนงานซ่อมเครื่องจักรก่อนที่เครื่องจักรจะพัง เพื่อไม่ให้การผลิตในโรงงาน ต้อง หยุดจนโรงงานสูญเสียโอกาสในการผลิต ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่สูงกว่า ค่าซ่อมเครื่องจักรมากๆแต่ว่าในการ วางแผนงานซ่อมที่ดีนั้น จะต้องคิดถึงในแง่ของต้นทุนงานซ่อมที่เหมาะสมด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยน ถ่ายน ้ามัน หากเราวางแผนเข้าไปเปลี่ยนถ่ายไม่เหมาะสมเช่นช้าเกินไปก็อาจจะท าชิ้นส่วนในเครื่องจักร เสียหาย ส่งผลให้เครื่องจักรพังโดยที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเอาไว้ (Unplanned break down) แต่ถ้าวางแผนซ่อมเร็วเกินไปน ้ามันยังที่ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่ แต่ก็ต้องถูกเปลี่ยนไปแล้วส่งผลท าให้ต้นทุน งานซ่อมสูงอีก แล้วจุดไหนละที่จะเหมาะสมที่สุดในการเข้าไปเปลี่ยนถ่ายน ้ามันวันนี้ทางเพจนายช่างมา แชร์ ขอมาแชร์ความรู้ในด้านของงานซ่อมบ ารุงเชิงป้องกันหรือ“Preventive Maintenance”(PM)
51 ภำพที่ 2.27 Preventive Maintenance (PM) งำนซ่อมบ ำรุงรักษำเชิงป้องกัน หรือ Preventive Maintenance งานซ่อมบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน โดยนิยามแล้ว “เป็นการดูแลชิ้นส่วนของเครื่องจักร ให้มีโอกาสล้มเหลวใน การท าหน้าที่ของเค้าให้น้อยที่สุด” ซึ่งเครื่องจักรจะต้องไม่หยุดกระทันหันในขณะที่ท างานโดยงานซ่อม บ ารุงรักษาชนิดนี้จะถูกเรียกสั้นๆว่า “PM” ที่ย่อมาจาก Preventive Maintenanceซึ่งลักษณะของงาน PM จะเป็นลักษณะการวางแผนให้เหมาะสมเพื ่อที่จะเข้าไปท ากิจกรรมในงานซ่อมและการบ ารุงรักษา ชนิดของงาน Preventive Maintenance ในการวางแผน PM ในงานซ่อมและการบ ารุงรักษา สามารถ แบ ่งออกได้เป็น 2 แบบหลักๆคือ แบ ่งตามระยะเวลา (Time base) และ แบ ่งตามปริมาณการใช้งาน (Usage base) 9) แผน PM ตามระยะเวลา (Time-based Preventive Maintenance)ในการก าหนด แผน PM โดยใช้เวลาเป็นตัวก าหนดเพื่อท านายสภาพ และคุณสมบัติของเครื่องจักร ซึ่งในกรณีแรก จะใช้ ในการเข้าไปท ากิจกรรมกับชิ้นส่วนที่มีความส าคัญต่อเครื่องจักรมากๆ ซึ่งชิ้นส่วนตัวนั้นของเครื่องจักรมี ผลกระทบรุนแรงต่อเครื่องจักรมากๆ หากชิ้นส่วนนี้เกิดความเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อเครื่องจักร และ การผลิตของโรงงานได้ 1.หรือส าหรับโรงงานที่เดินเครื่องจักร ที่มีระยะเวลาที่แน่นอนตลอด ขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ นะครับ เช่นสมมุติเรามีปั๊ม 1 ตัว ในระยะเวลา 1 ปี ปั๊มอาจจะมีการใช้งานตลอด 6,570 ชม (ใช้งาน 3
52 เดือน หยุด 1 เดือน; ตลอด 24 ชม) ก็สามารถก าหนดช่วงเวลาเข้าไปเปลี่ยนถ่ายน ้ามันหล่อลื่นทุกๆ 6 เดือน เป็นต้นนะ 2. แผน PM ตามปริมาณการใช้งาน (Usage-based Preventive Maintenance)ในการก าหนด แผน PM ตามลักษณะปริมาณการใช้งานจะ “ชี้ชัดมากกว ่า” แบบแผน PM ที ่ก าหนดตามระยะเวลา เพราะ สภาพ และคุณสมบัติของชิ้นส่วนเครื่องจักร รวมถึงชิ้นส่วนสิ้นเปลืองต่างๆ (Consume part) จะ สามารถท านายได้แม ่นย ากว่ายกตัวอย ่างเช ่น เราจะก าหนดเป็นแผนว่า เราจะเข้าไปท ากิจกรรมของ เครื่องจักรทุกๆการใช้งาน กี่ ชม ที่ใช้งานเครื่องจักรจริงๆ ,ตามจ านวนครั้ง (Cycle) , หรือ ระยะทางที่ใช้ งาน (ในกรณีของยานพาหนะ) เป็นต้นการวางแผนงาน PM (Preventive Maintenance Planning)การ วางแผนงาน PM โดยปราศจากโปรแกรม CMMS หรือโปรแกรมบริหารจัดการงานซ่อมบ ารุง ถือว่าเป็น ความท้าทายของโรงงานอย่างมาก เพื่อที่จะท าให้ไม่ลืมงาน PM….เนื่องจากว่า การวางแผนเข้าไปท าการ ซ่อม และบ ารุงรักษาต้องใช้ทั้ง ก าลังคน (Man-hour) สิ่งของต่างๆ (Spare part) และช่วงเวลาที่จะเข้าไป ท า (Planned schedule) ซึ่งข้อมูลพวกนี้มีปริมาณมหาศาล ทีเดียวเลยครับส าหรับโรงงานหนึ่งโรงงาน ยกตัวอย่างเช่น เราก าหนดแผนการซ่อมเครื่องจักรทุกๆ 4 ปี ด้วยเวลาตั้ง 4 ปี อาจจะมีคนเก่าลาออก หรือเปลี่ยนแปลงองค์กร ข้อมูลการซ่อมก็สามารถลืมไปได้ง่ายๆตลอดจนปัญหาโลกแตก!! อย่างการท างาน ตามแผน PM แต่ช่างหน้างานก็ไม่ได้เข้าไปท าจริง แต่ส่งรีพอทมาว่าท าครบหมดแล้ว….?? ก็ไม่สามรถ ควบคุมได้ครับ (ถ้าเป็นยุคระบบสมัยใหม ่จะมีระบบสแกน Code รวมถึงถ่ายรูปเป็น Report และเก็บ ข้อมูลหน้างานได้ทันทีดังนั้นการที่เรามีโปรแกรม CMMS ที่ดีจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้มากๆเลยครับ ซึ่ง จะสามารถติดตามผลการเข้าไปท า ว่าแผนทั้งหมดในโรงงานมีอะไรบ้าง เสร็จตามแผนกี่งาน มีข้อมูลต่างๆ น ามาวิเคราะห์ และสรุปผล และยังสามารถตั้งเป็น KPI ประจ าหน่วยงานได้อีกต่างหาก“ความเหมาะสม” และ “ข้อจ ากัด” ของงาน Preventive Maintenanceงานที่เหมาะสมส าหรับการท า PM จะเป็น ลักษณะ เครื่องจักรที่ลักษณะของความเสียหายของชิ้นส่วน สามารถป้องกันได้ด้วยการซ่อมและบ ารุงรักษาปกต ลักษณะความเสียหาย แปรผันตรงตาม การใช้งานแต่อย่างไรก็ตาม PM ก็ยังมีข้อจ ากัดต่ออุปกรณ์ หรือ ชิ้นส่วนบางประเภทได้เลย หรืออาจจะใช้งานได้นาน ซึ่งคาดเดาไม่ได้ เช่น บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ที่ไม่ได้มีความส าคัญ หรือผลกระทบต่อโรงงาน (ประมาณว่า ค่าการบ ารุงรักษาในการท า PM แพง กว่า ซ่อม และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณสปอนเซอร์ใจดีจาก Factorium โปรแกรม CMMS อันดับหนึ่งของไทย หากเพื่อนๆก าลังมองหาโปรแกรมจัดการ PM
53 2.4.6ประเภทต่างๆของงานบ ารุงรักษา 3 ประเภทหลัก 1)การซ่อมบ ารุงเชิงรับ: คือการซ่อมแซมเครื่องจักร หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เสียหายแบบวันต่อ วัน แล้วท าการซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานใหม่อีกครั้ง หรือ เพื ่อให้การผลิต หรือระบบต ่างๆ สามารถ ด าเนินงานต ่อได้โดยไม ่มีการบ ารุงรักษาใดๆ แม้จะไม่มีค ่าใช้จ ่ายส าหรับการบ ารุงรักษา และไม ่ต้อง เสียเวลาตรวจเช็ค แต่อาจจะต้องท าใจกับค่าซ่อมที่แพงกว่า ด้วยการที่ไม่มีการควบคุม หรือวางแผนการ ซ่อมได้และอาจเกิดความเสียหายในระดับรุนแรงที่อาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังระบบอื่นๆ ได้ จนท าให้ เสียโอกาสในการผลิต 2)การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน: หรือการซ่อมแซมเครื่องจักรก่อนจะเกิดอาการผิดปกติหรือ เสียหาย โดยมีการวางแผนการซ ่อมบ ารุง ตามรอบเวลาที ่เหมาะสม ที ่ได้จากการบันทึก คู ่มือ หรือ ค าแนะน าจากประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ เช่น การเปลี่ยนถ่ายน ้ามันตามรอบชั่วโมงการใช้งานที่ก าหนด ไว้หรือ ทุกๆ 6 เดือน หรือถอดอะไหล ่ซ ่อม ฯลฯซึ ่งมีข้อดีในการวางแผนซ ่อมบ ารุงได้ง ่าย รักษา ประสิทธิภาพของเครื่องจักรได้ดีกว่าวิธีแรก เพราะไม่เกิดความเสียหายมากนัก และยังประหยัดค่าใช้จ่าย ในการซ่อมแซมมากกว่าวิธีแรก ดังนั้นโรงงานจึงวางแผนซ่อม และบ ารุง ก่อนที่เครื่องจักรตัวนั้นจะพัง เพราะต้นทุนงานบ ารุงรักษา ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของตัวเครื่องจักรในโรงงานจะดีกว่า โดย จะก าหนดเวลาที่เหมาะสมเข้าไป บ ารุงรักษา และซ่อม 3)การบ ารุงเชิงรุก: คือการก าหนดกลยุทธ์ในการซ่อมและบ ารุงรักษา แก้ปัญหาจากสาเหตุ ต้นตอโดยตรง เช่น การตรวจสอบการออกแบบตั้งต้น หรือ วัดคุณภาพของ และมีการป้องกันไม่ให้เกิดซ ้า โดยใช้การคาดการณ์จากการเก็บข้อมูลต่างๆ ในงานซ่อมที่ผ่านมา เช่น อายุการใช้งานของเครื่องจักร ความถี่ ระยะเวลา มาวิเคราะห์เชิงสถิติด้วยเทคโนโลยีในระบบคอมพิวเตอร์ก าหนดกลยุทธ์และวิเคราะห์ ระยะเวลาซ่อมบ ารุงที่เหมาะสมที่สุดในอนาคต เพื่อลดต้นทุนของงานซ่อมบ ารุง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเม็ดเงิน และเวลาให้มากที่สุดวิธีนี้มีความแม่นย า และมีข้อดีมากมายในเรื่องของประสิทธิภาพ การยืดอายุการใช้ งานของเครื ่องจักร ระบบต ่างๆ แต ่ต้องอาศัยผู้เชี ่ยวชาญเฉพาะทางที ่มีประสบการณ์มาร ่วมในการ วิเคราะห์ ตรวจสอบ 2.5 กำรบ ำรุงรักษำเชิงป้องกัน PM Preventive Maintenance คือ การคาดการณ์และป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์ใน อนาคต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะท าการตรวจสอบ, บ ารุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์หรือวัสดุอยู่ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันสามารถท างานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการนี้ยังช่วยลดการบ ารุงรักษาเชิง
54 รับรวมถึงยังมีเวลาเพิ่มในการท างานด้านอื่นๆอีกด้วยตามหลักทั่วไป การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ล่วงหน้านั้นถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดโดยการ ส่งเสริมประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ดีที่สุด รายการต่อไปนี้แสดงถึงวิธีการบางประการที่ทีมดูและทรัพย์สิน และฝ่ายซ่อมบ ารุงสามารถอยู่เหนือการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันในแผนกของตนได้: ก าหนดเวลาและด าเนินการตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม ่าเสมอ ท าความเครื่องจักรและทรัพย์สินเป็นประจ า หล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวเพื่อลดการสึกหร่อ ปรับการควบคุมประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีที่สุด ซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ช ารุด ดูแลน ้ามันหล่อลื่นให้สะอาดอยู่เสมอ 2.5.1 ประโยชน์ของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันคืออะไร?การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มีเป้าหมายครอบคลุม 2 ประการ : เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และเพิ่มผลผลิต และ เพื่อให้ผู้คนและทรัพย์สินปลอดภัยจากอันตรายจากอุปกรณ์ต่างๆ ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบ ารุงและทีม สามารถใช้หลักการของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ ภำพที่ 2.28 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน 2.5.2 ประหยัดเงินโดยการยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น เพิ่มความปลอดภัยและลดโอกาสบาดเจ็บของพนักงาน ลดค่าเสื่อมสภาพที่ไม่จ าเป็นของอุปกรณ์ต่างๆลง
55 ป้องกันอุปกรณ์หลักพังก่อนเวลาอันควร ลดขั้นตอนการตรวจสอบและตรวจจับที่ไม่จ าเป็นลง พร้อมรับมือและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ลดข้อผิดพลาดในการด าเนินงานประจ าวันลง ปรับปรุงความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ (Machine Reliability) ประเภทของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันมีอะไรบ้าง การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันแบ่งออกเป็นการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา, การบ ารุงรักษา เชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานหรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน 2.5.3 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลาการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลาคือการ ตรวจสอบชิ้นส่วนอุปกรณ์อย่างสม ่าเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อการผลิตในกรณีที่พบความช ารุดหรือเสียหายการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามเวลาเหมาะที่สุดส าหรับ สินทรัพย์ที่มีขอบเขต (เช่นอุปกรณ์ดับเพลิง / รักษาปลอดภัย) และทรัพย์สินที่ส าคัญ (เช่นระบบ HVAC และปั๊มต่างๆ) รวมถึงยังสามารถใช้แนวทางนี้ส าหรับสินทรัพย์ใดๆที่ต้องการการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันได้ อีกด้วย 2.5.4 การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการ ใช้งานคือแนวทางที่ท าให้เกิดการบ ารุงรักษาหลังจากมีการใช้งานไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง (เช่นทุกๆ“ X” ของ กิโลเมตร, ไมล์, ชั่วโมงหรือรอบการผลิต)การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน จะช่วยให้แน่ใจ ว่าอุปกรณ์ยังคงท างานได้ตามที่ผู้ผลิตต้องการ ไม่เหมือนกับการบ ารุงรักษาตามระยะเวลาซึ่งเกิดขึ้นตาม ก าหนดที่เข้มงวดกว่า วิธีการนี้สามารถใช้ตรวจสอบได้ทุกเดือนหรือทุกหกเดือนก็ได้ข้อดี – ข้อเสีย ของ การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน ข้อดีของ Preventive Maintenance เพิ่มความปลอดภัย การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันจะเข้าไปตรวจสอบและป้องกันกันความล้มเหลวที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นการป้องกันการบาดเจ็บของพนักงาน ลดความเสี่ยงและความเสียหายจาก การฟ้องร้องได้อายุการใช้งานของอุปกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้น การเข้าไปตรวจสอบเชิงรุก และป้องกันเสียแต่ เนิ่น ๆ เพื่อแน่ใจว่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ยังสามารถท างานได้อย่างราบลื่นลดโอกาสเสียหายครั้งใหญ่ เพราะถ้าปล่อยให้ชิ้นส่วนที่ล้มเหลวบางชิ้น จะส่งผลต่ออุปกรณ์โดยรวมส่งผลให้ต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยน อะไหล่ที่มีราคาแพงเพิ่มผลผลิต สถิติในหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบ ารุงรักษาที่ไม่ดีลดก าลังการ
56 ผลิตของเครื่องจักรและบริษัทได้ถึง 20% แต่หากคุณบ ารุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม ่าเสมอสามารถป้องกัน การลดลงของประสิทธิภาพการผลิต ลดเวลาหยุดงานของเครื ่องจักรเพื ่อเพิ ่มประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลต้นทุนลดลง ต้นทุนที่มองเห็น ไม่แพงเท่ากับ ต้นทุนที่มองไม่เห็น อาจะมากกว่าถึงสิบเท่า ด้วยกัน ถ้าคุณสามารถหา รากของปัญหา Root Cause ในเครื่องจักรแล้วซ่อมบ ารุงหรือรักษาสภาพได้ดี จะช ่วยลดการบ ารุงรักษาเชิงรับ ลดการหยุดงานของเครื ่องจักร Machine Downtime และลดความ เสียหายของเครื่องจักรโดยรวม ซึ่งเป็นการลดต้นทุนของบริษัทในที่สุด แม้ว่าข้อดีของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันจะมีข้อดีที่ชัดเจน แต่ก็มีข้อจ ากัดบางประการที่ต้องพูดถึง ข้อจ ากัดด้านงบประมาณ ในธุรกิจขนาดเล็กอาจะพบว่าการ เครื่องมือส าหรับบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน หรือ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการมีราคาสูง และ ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาช่วยบริหารจัดการ จึงมีปัญหา ด้านงบประมาณได้ต้องการทรัพยากรเพิ่ม การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันให้ประสบความส าเร็จอาจจะต้องใช้ พนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจ หรือมีประสบการณ์ท าให้อาจจะต้องจ้างบุคลากรเพิ่ม หรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญ ภายนอกเข้ามาช ่วยจัดการ Reactive Maintenance VS Preventive Maintenance แตกต ่างกัน อย ่างไร?การบริหารจัดการทรัพยากรอาคารนั้นกล ่าวได้ว ่า การบ ารุงรักษาแบบเชิงรับ (Reactive Maintenance) ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งของทุกชิ้นสามารถเสียหายได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามเราสามารถ หลีกเลี ่ยงปัญหาเหล ่านี้ได้โดยการใช้การบ ารุงแบบเชิงรุก และเราจะมาเปรียบเทียบระหว ่างการ บ ารุงรักษาแบบเชิงรุกและเชิงรับกันดังต่อไปนี้การบ ารุงรักษาเชิงรับมุ่งเน้นไปที่การวินิจฉัยและแก้ไข ปัญหาเมื่อเกิดความเสียหายหรือท างานผิดปกติแล้ว ช่างซ่อมบ ารุงจะระบุปัญหาที่เกิดขึ้นและซ่อมแซมให้ กลับมาใช้งานได้ตามปกติ.การบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน มุ ่งเน้นไปที ่การบ ารุงรักษาตามก าหน ดอย ่าง สม ่าเสมอ เป้าหมายของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน คือ การดูแลอุปกรณ์ต่างๆที่ยังท างานอยู่ให้ท างานได้ ตามปกติต่อไป วิธีนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายสูงและลดโอกาสการท างานผิดปกติในอนาคตอีกด้วยความเข้าใจผิด ทั่วไป คือ การบ ารุงรักษาแบบเชิงรับนั้นไม่ดี ความจริงก็คือแผนกที่ดูแลบริหารทรัพยากรหรือฝ่ายซ่อม บ ารุงส่วนใหญ่จะมีการบ ารุงรักษาเชิงรับและการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันร่วมกันตลอด เนื่องจากการที่เรา จะคาดการณ์และป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์และสินทรัพย์ทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่ยากกิจกรรมส าคัญ ของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันคืออะไร? 4 ขั้นตอนส าคัญมีดังนี้: การตรวจสอบ, การตรวจจับ, การแก้ไข และการป้องกัน เรามาดูกันว่าแต่ละขั้นตอนท างานกันแบบไหนกันบ้าง 2.5.6การตรวจสอบการตรวจสอบเป็นส่วนที ่จ าเป็นของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันและการ ช่วยเหลือองค์กรใน 2 วิธีวิธีแรกการตรวจสอบเครื่องจักร สารหล่อลื่นเครื่องจักร รวมถึงสถานที่ เพื่อให้ แน่ใจว่าเครื่องจักร อุปกรณ์ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน การตรวจสอบเป็นประจ าจะช ่วย
57 ป้องกันการเสียหายและช่วยเพิ่มความน่าเชื ่อถือให้กับธุรกิจอีกด้วย อันดับที่สองคือการตรวจสอบเป็น ประจ าเพื่อปกป้องทรัพย์สินเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดท างานได้ตามที่ผู้ผลิตต้องการ 2.5.7การตรวจจัดการใช้งานจนพังนั้นอาจท าให้เสียค่าใช้จ่ายจ านวนมากซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้จัดการ ทรัพยากรกายภาพจ านวนมากเลือกใช้การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันเพราะมันช่วยให้พบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยที่ปัญหายังค่อนข้างแก้ไขง่ายและใช้เงินไม่มากนัก 2.5.8การแก้ไขการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันสนับสนุนให้ผู้จัดการทรัพยากรกายภาพใช้แนวทางเชิงรุก ในการดูแลอุปกรณ์และแก้ไขปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น หากตรวจพบปัญหา (หรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น) ผู้จัดการทรัพยากรกายภาพจะเข้าแก้ไขปัญหาทันทีก่อนที่มันจะแย่ลงหรือไม่สามารถท างานได้อีกต่อไป 2.5.9การป้องกันผู้จัดการทรัพยากรกายภาพสามารถรวบรวมบันทึกการตรวจสอบและการ บ ารุงรักษาเพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตและแก้ไขปัญหาที่เกิดซ ้ากับอุปกรณ์ นั้นๆ วิธีนี้จะช่วยลด ความเครียดและเพิ่มผลผลิตได้เมื่ออุปกรณ์ท างานตามที่ควร เจ้าหน้าที่สามารถมุ่งเน้นไปที่งานบ ารุงรักษา เชิงรุก (แทนที ่จะเป็นเชิงรับ)อะไรคือตัวบ ่งชี้ประสิทธิภาพของ Preventive Maintenanceผลผลิตที่ เพิ่มขึ้น ถ้าการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันของคุณมีประสิทธิภาพ คุณจะวัดผลได้โดยการตรวจวัดจากเวลาการ หยุดงานของเครื่องจักร Machine Downtime จะลดลงอย่างมีนัยส าคัญและผลผลิตโดยรวมจะเพิ่มขึ้น ประหยัดต้นทุน : ค่าอุปกรณ์การซ่อมแซม ค่าแรงจะลดลง คุณจะสามารถลดการซ่อมบ ารุงแบบตอบสนอง Reactive Maintenance ได้ช่วยในการลดเวลาการท างานของพนักงานนอกเวลาที่ต้องคอยสแตนบายว่า เครื่องจักรอาจจะเสียหายได้ทุกเมื่อ ลดต้นทุนค่าอุปกรณ์และอะไหล่ได้ เพราะเมื่อคุณมีการก าหนดเวลา ล่วงหน้าแล้ว การสั่งชิ้นส่วนและวัสดุต่างๆจะมีการจัดส่งในราคาที่ถูกที่สุด แต่ถ้าเกิดคุณไม่มีการวางแผน จนเกิดเหตุเครื ่องจักรพังลงและคุณไม ่มีอะไหล่ในการซ่อมบ ารุงที ่เหมาะสมในสินค้าคงคลังคุณจ าเป็น จะต้องใช้การส่งด่วนที่สุดที่มีราคาแพงตัวอย่างแผนการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ 1) ต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งองค์กรในการบริหารจัดการโรงงานและเครื ่องจักรให้มี ประสิทธิภาพด้วยการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน หมายความ คุณต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งเจ้าของบริษัท ผู้บริหารระดับสูง รวมถึงช่างซ่อมบ ารุงของคุณ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเครื่องมือและกระบวนการที่ จ าเป็น รวมทั้งมีบุคลากรที่รับผิดชอบโปรแกรมการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน 2) สร้างและจัดท ารายงานการตรวจสอบบ ารุงรักษาเชิงป้องกันการสร้างและท ารายงานการ บ ารุงรักษาเชิงป้องกันจะเป็นการท าความเข้าใจโครงการสร้างซ่อมบ ารุงของเครื่องจักรทุกชนิด อาจจะเริ่ม จากการท า Preventive Maintenance Process Flow และค่อยท าเป็นลิสต์ส าหรับการตรวจสอบการ
58 ซ่อมบ ารุง เพื่อที่จะสามารถมอบหมายและสรุปงานกับเจ้าหน้าที่ซ่อมบ ารุงที่ต้องด าเนินการตรวจสอบหรือ ซ่อมบ ารุงต่อไป ภำพที่ 2.29 Preventive Maintenance Process Flow ถ้าคุณสามารถสร้างลิสต์รายการตรวจสอบที ่ถูกออกแบบมาอย ่างดีจะช ่วยลดข้อผิดพลาดของ มนุษย์และจะสามารถปรับปรุงความน่าเชื่อถือของเครื่องจักร Machine Reliability และอื่นๆอีกมามาย ในการสร้างรายการตรวจสอบการซ่อมบ ารุงเชิงป้องกัน PM ให้ลองท าตามขั้นตอนเหล่านี้สรุปเป้าหมาย การบ ารุงรักษาของคุณเลือกทรัพย์สินหรือเครื ่องจักรที ่จะซ ่อมบ ารุงเชิงป้องกันตรวจสอบอุปกรณ์ เครื่องจักร สถานที่ของคุณจดทุกค าแนะน า มาตรฐานการซ่อมบ ารุงและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร สรุปงานที่ต้องบ ารุงรักษาเชิงป้องกันในเครื ่องจักรหรือทรัพย์สินแต่ละชิ้นสร้างรายงานการตรวจสอบ ฝึกอบรมบุคลากรติดตามผล เก็บสถิติและปรับเปลี่ยนให้ดียิ่งขึ้น
59 3) ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงที่ท าให้ทรัพย์สินหรือเครื่องจักรพัง!!ถ้าคุณสามารถค้นหาต้นเหตุจน เจอและสามารถระบุสาเหตุส าคัญที ่ท าให้เครื ่องจักรคุณพังได้ คุณจะสามารถสร้างโปรแกรมการ บ ารุงรักษาเชิงป้องกันที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการลดโอกาสของความล้มเหลวนั้นๆ การพังของอุปกรณ์หรือ อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยครั้งในเครื่องจักร ในหลายกรณีเกิดจากการสึกหร่อของเครื่องจักร ปัญหาด้าน อุณหภูมิ และ การหล่อลื่นในระบบ 4) คุณต้องท าความคุ้นเคยกับเครื่องจักรหากคุณก าลังจัดการเครื่องจักรใหม่แกะกล่อง สิ่ง แรกที่จ าเป็นคือการอ่านคู่มือและท าความรู้จักรคุ้นเคยกับอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือ เครื่องจักรของคุณให้ดี ที่สุด เมื่อน าไปใช้งานได้แล้วอย่าลืมส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการใช้งาน อุปกรณ์สู่ช่างเทคนิค และฝ่ายที่ต้อง อยู่หน้างาน 5) รวมทุกองค์ความรู้และอบรมพนักงานอย ่างต่อเนื่องในการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันของ บริษัทคุณ พนักงานต้องเข้าใจวิธีการใช้อุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนวิธีการดูแลเครื่องจักรของตน (มีความเป็นเจ้าของเครื่องจักร) นอกจากนี้หากผู้ปฏิบัติงานได้รับการฝึกฝนและถูกปฏิบัติในฐานะสมาชิกที่ มีคุณค่าของธุรกิจ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะจับตาดูกิจกรรมอุปกรณ์ที่น่าสงสัย เช่น เครื่องสั่นผิดปกติ มี เสียงที่ผิดปกติ และแจ้งฝ่ายที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า 6) เริ่มต้นตารางการบ ารุงรักษาตามที่ผู้ผลิตเครื่องจักรแนะน าในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรหนัก พวกเขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทดสอบเครื่องจักร เช่น การกดดันในภาวะต่างๆ การใช้งานที่ผิดปกติ ทดสอบความสกปรกของน ้ามันหล่อลื่น ก่อนที่จะส่งไปให้ลูกค้าใช้งาน เพื่อที่เขาจะแนะน าได้ว่าคุณควรจะ บ ารุงรักษาอย่างไร เช่น ในเครื่องจักรที่ใช้น ้ามันหล่อลื่น น ้ามันควรมีค่าไม่สูงกว่า ISO 13/10 หรือ มีน ้า เข้าไปผสมในน ้ามันไม่ควรเกิน 300 PPM เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมของแผนการซ่อม บ ารุง อย่างไรก็ตามคุณควรพิจารณาถึงองค์ประกอบอื่นควรคู่ไปด้วย เช่น เครื่องจักรคุณท างานในสภาพ อางกาศท้องถิ่นหรือมีสภาพพื้นที่เฉพาะ อยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นและความร้อนเป็นจ านวนมาก อาจจะ ส่งผลให้ระยะเวลาบ ารุงรักษาเชิงป้องกันที่สั้นลง 7) ติดตามข้อมูลทั้งหมดและบันทึกทุกการเปลี่ยนแปลงหลังจากเริ่มท าการบ ารุงรักษาเชิง ป้องกันสักระยะคุณจะสามารถสะสมข้อมูล เก็บสถิติ สามารถดูได้ว่ามีการด าเนินการบ ารุงรักษาและ ซ่อมแซมเครื่องจักรใดไปบ้าง ณ เวลาใด คุณจะสามารถเทียบสถิติกับเครื่องจักร หรือ อุปกรณ์ที่คล้ายคลึง กันเพื่อหาว่าการบ ารุงรักษาแบบใดให้ประสิทธิภาพดีกว่า รู้ถึงระยะเวลาที่คาดว่าจะต้องซ่อมบ ารุง เปลี่ยน อะไหล่ มากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงต้นทุนจมในการสต็อกอะไหล่ส ารองจะลดลง คุณภาพของข้อมูลจะช่วยให้ ทีมผู้บริหารตัดสินได้อย่างชาญฉลาดวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของ Preventive Maintenance เพียงคุณให้
60 ความส าคัญมากขึ้น 20 % กับการดูแลรักษาเชิงป้องกัน จะสามารถลดต้นทุนและความเสียหายจากการ บ ารุงรักษาเชิงรับ (Reactive Maintenance) ลดถึง 80 % ทั้งลดอัตราการซ่อม ลดต้นทุนการส ารอง อะไหล่ที่คุณต้องส ารองไว้ส าหรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวแต่ยังมีวิธีที่ช่วยคุณเพิ่ม ประสิทธิภาพการบ ารุงรักษาให้มากยิ่งขึ้น !! นั่นคือ. . .การบ ารุงรักษาที่ต้นเหตุของการพังของเครื่องจักร (Root cause machine downtime)จากงานวิจัยของบริษัท Shell ที ่ได้เก็บข้อมูลของลูกค้าใน อุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรไฮดรอลิค เพื่อหาว่า สาเหตุที่ท าให้เครื่องไฮดรอลิกต้องหยุดเดิน โดยสาเหตุ ต่างๆเกิดจาก80% ของน ้ามันไฮดรอลิที่ใช้มีสภาพไม่สมบูรณ์10% จากการวิเคราะห์ปัญหาไม่ถูกต้อง รวมทั้งไม่มีความรู้ดีพอที่จะท าการแก้ไข10% เกิดจากการติดตั้งระบบไม่ดี เช่น ชิ้นส่วนต่างไม่ได้เข้ากัน พอดี ซีลรั่วอีกทั้งทางเชลล์ได้ท าการศึกษาผลที่ได้จาก Shell e-quip (โปรแกรมการดูแลสภาพเครื่องจักร ของเชลล์) โดยตรวจสอบน ้ามันตัวอย่างที่เอาออกมาจากเครื่องจักรโดยตรง พบว่าการปนเปื้อนและการ กรองน ้ามันที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหลักถึง 60% ของปัญหา การสึกหร่ออย่างผิดปกติ 22% การเสื่อมของ น ้ามัน 12% และคุณภาพของน ้ามันเองอีก 6%ความส าคัญของการท า Preventing Maintenance 2.6 ยืดอำยุกำรใช้งำนของเครื่องจักร วัตถุประสงค์ส าคัญของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventing Maintenance) คือ การยืดอายุ การใช้งานของเครื่องจักรให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีการรักษาชิ้นส่วนต่างๆ และสภาพของเครื่องจักรให้ อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานที่สุด โดยการหมั่นตรวจเช็กอย่างสม ่าเสมอ หากพบเจอจุดช ารุดก็สามารถ ด าเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดในเบื้องต้นได้ทันทีท าให้การผลิตภายในโรงงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องการใช้ งาน Preventing Maintenance คือการท าให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมีการวางแผนการใช้งาน ในระยะยาว เพื่อคงรักษาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตภายในโรงงาน ให้สามารถผลิตสินค้าที ่มี คุณภาพได้อย่างต่อเนื่องและสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากยิ่งขึ้น โดยเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ยังคง คุณภาพและสภาพการใช้งานได้เป็นอย่างดี ไม่มีการช ารุดที่รุนแรงเกิดขึ้นลดต้นทุนและรักษาทรัพย์สิน ของบริษัทการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventing Maintenance) คือสิ่งส าคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ และเจ้าของโรงงานประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว เพราะคุณสามารถวางแผนและด าเนินการ ซ่อมบ ารุงเครื่องจักรเบื้องต้นได้ป้องกันการเสียหายช ารุดที่รุนแรงได้เป็นอย่างดี ประหยัดเงินโดยการยืด อายุการใช้งานของเครื่องจักรให้นานขึ้น รวมถึงลดต้นทุนค่าซ่อมบ ารุงและค่าเสื่อมสภาพที่ไม่จ าเป็นของ อุปกรณ์ต่างๆ ลงได้ประเภทของการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventing Maintenance)การบ ารุงรักษา เชิงป้องกันตามระยะการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventing Maintenance) ตามเวลา คือแผนการ
61 บ ารุงรักษาที่ด าเนินการตามช่วงระยะเวลาที่ก าหนด เช่น การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันทุกสิ้นปี รายไตรมาส รายเดือน และรายสัปดาห์ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการและผู้จัดการโรงงานควรอ่านคู่มือการบ ารุงรักษา อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ จากผู้ผลิตและจัดจ าหน่ายอย่างละเอียด เพื่อก าหนดตารางเวลาในการท า PM การบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานรูปแบบ Preventing Maintenance ประเภทนี้ คือจะ ก าหนดแนวทางการบ ารุงรักษาหลังมีการใช้งานเครื่องจักรไปแล้วช่วงเวลาหนึ่งตามลักษณะปริมาณการใช้ งาน โดยการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งานนั้นมีความแม่นย ากว่าการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน ตามระยะ เพราะสภาพและคุณสมบัติของเครื่องจักรและชิ้นส่วนต่างๆ ที่ผ่านการใช้งานจะบ่งชี้ได้แม่นย า มากกว่าว่าเราควรท าการบ ารุงรักษาในช่วงไหนจึงจะเหมาะสมที่สุดการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันตามการ คาดการณ์รูปแบบ Preventing Maintenance ขั้นสูง คือมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจ านวนงานที่วางแผนและ เหลือไว้เฉพาะส่วนที่จ าเป็นเท่านั้น ซึ่งใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่รวบรวมไว้ น ามาพิจารณา ก ่อนที ่จะระบุข้อก าหนดการท า Preventing Maintenance ให้เหมาะสมที ่สุด ยิ ่งมีข้อมูลมาท าการ วิเคราะห์และพิจารณามากเท่าไรก็จะยิ่งช่วยให้เจ้าของโรงงานใช้จ่ายในการลงทุนและท าการบ ารุงรักษา เชิงป้องกันได้อย่างคุ้มค่าที่สุดหลักการยืดอายุการใช้งานเครื่องจักร ตัด เจาะ ชิ้นงานตรวจสอบคุณภาพ และสภาพการใช้งานเครื่องจักรในทุก ๆ ครั้งทั้งก่อนและหลังการใช้งานเครื่องจักร ตัด เจาะ ชิ้นงาน ควร ต้องตรวจเช็กสภาพเครื่องจักรอยู่เสมอว่าพร้อมต่อการใช้งานหรือไม่ หากพบเจอจุดช ารุดให้ด าเนินการ ซ่อมบ ารุงหรือเปลี่ยนใหม่ทันที เช่นหากผิวชุบ PVD บน tooling เริ่มสึกหร่อจ าเป็นต้องเปลี่ยน tooling ตัวใหม่มาใช้งานทันที และอาจวางแผนส่ง tooling ตัวเก่าไปท าการแก้ไขและ re-coat PVD ใหม่เพื่อน า กลับมาใช้ใหม่อีกครั้งการใช้งานเครื่องจักรอย่างถูกวิธีการเรียนรู้วิธีการและเลือกใช้งานเครื่องจักร ตัด เจาะ ชิ้นงานที ่ถูกต้องจะช ่วยยืดอายุของเครื ่องจักรให้นานขึ้นได้ เพราะเครื ่องจักรแต ่ละชิ้นต ่างก็มี วิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน หากใช้งานแบบผิด ๆ ก็มีโอกาสที่จะท าให้เครื่องจักรช ารุดเสียหายได้ รวมถึง ควรเลือกใช้เครื่องจักรให้เหมาะสมกับลักษณะงานและวัสดุด้วย เครื่องจักรจะได้ไม่สึกหร่อก่อนเวลาอัน ควร รวมถึงการเลือกใช้กระบวนการปรับปรุงคุณสมบัติของชิ้นงานโลหะที่ประกอบเป็นเครื่องจักร เช่น การอบชุบทางความร้อน, การชุบฟอสเฟต, การชุบไนไตรดิ้ง หรือการเคลือบผิวแข็งแบบ PVD ให้ เหมาะสมกับการใช้งานของชิ้นงานนั้นๆ ในเครื่องจักร ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรให้ยาวนานขึ้น ได้เช่นกันการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันเพื่อให้เครื่องจักรมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จึงต้องมีการวางแผน บ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventing Maintenance) คือเพื่อที่พนักงานในโรงงานของคุณจะได้ท างาน อย่างมีแบบแผนชัดเจน รู้หน้าที่และสิ่งที่ต้องท าในการดูแลบ ารุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่าง ถูกต้อง เรียนรู้วิธีตรวจสอบสภาพเครื่องจักร การตรวจจับหาจุดช ารุด การแก้ไข และการรวบรวมบันทึก
62 ข้อมูลเพื่อมองหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ท าให้เครื่องจักรช ารุด และวางแผนป้องกันส าหรับดอกสว่านที่ใช้ตัดเจาะ (Cutting tools, Insert, Punch) หรือแม่พิมพ์ขึ้นรูปชิ้นงาน (Mold, Die) มักเกิดการเสียดสีหรือ เกิดการสึกหร่อระหว่างการใช้งานจนไม่สามารถใช้งานต่อได้จึงต้องสั่งซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนบ่อย ท าให้เสีย ทั้งเวลา บุคลากร และต้นทุนการผลิตที่สูงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นด้วยกระบวนการเคลือบผิว PVD ให้ได้เนื้อ ฟิล์มที่บางระดับไมครอนบนผิวชิ้นงาน โดยความแข็งของเนื้อฟิล์มที่เคลือบจะมีค่าสูงกว่า Tungsten carbide ถ้าเปรียบเทียบกับการท า Hard chrome หรือ Nitriding ฟิล์มที่ได้จากการชุบ PVD จะมีความ แข็งมากกว่ามาก และสามารถลดการสึกหร่อได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยความหนาฟิล์มที่บางเพียงไม่กี่ไมครอน ทั้งยังหมดกังวลเรื่องปัญหาขนาดของชิ้นงานที่เปลี่ยนไป ท าให้สามารถลดจ านวนครั้งในการบ ารุงรักษาต่อ ปีให้น้อยลง ถือเป็นการลดต้นทุนและความขั้นตอนในการบ ารุงรักษาได้อย่างดีเยี่ยม 2.6.1ความส าคัญของระบบ CMMS ในงานซ่อมบ ารุง ระบบ CMMS คืออะไร?ระบบ CMMS ซึ่งถ้าแปลตรงตัวเลยคือ ระบบบริหารและจัดการ งานซ่อมบ ารุงด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นระบบ Software ที่ออกแบบมาเพื ่อเก็บฐานข้อมูลงานซ ่อม ทั้งหมดในองค์กร ตั้งแต่ขั้นตอนการออกงานแจ้งซ่อม (Maintenance Notification หรือ MN)จากนั้นใบ แจ้งซ่อม จะถูกน าเข้าสู่กระบวนการวางแผนงานซ่อม (Planning) ว่าใช้คนเท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่ เข้าไป ซ่อมได้เมื่อไหร่ ใช้ของอะไรบ้าง มีความส าคัญต่อโรงงานแค่ไหน จนออกเป็น ใบสั่งซ่อม (Maintenance Order หรือ MO)จากนั้นทีมช่างซ่อมจึงเข้าไปซ่อมเครื่องจักรที่เสียหาย เมื่อเสร็จงานก็จะมีการวัดผลความ พึงพอใจว่า เครื่องจักรหลังจากซ่อมแล้วใช้งานได้ดีมากน้อยแค่ไหน ก็อันเป็นการจบงานครับโดยข้อมูลที่ กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้นจะน าเก็บไปรวบรวมเพื่อประเมินผล และจัดท ากลยุทธในงานซ่อมต่อไป รวมถึง ตลอดจนประสิทธิภาพในการผลิตโรงงานทีเดียวดังนั้นโปรแกรมในงานซ ่อมบ ารุงรักษาที่ดี ถือว่าเป็น กุญแจส าคัญของ ต้นทุน และประสิทธิภาพในการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมเลย
63 ภำพที่ 2.30 Maintenance Management ประวัติของระบบจัดการงานซ่อมยุคสมัย “สั่งงานด้วยกระดาษ”ในยุคสมัยแรกๆ ที่ยุคที่ โรงงานอุตสาหกรรมเพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น ในการจัดการบริหารงานซ่อมบ ารุงจะเป็นเพียงแค่ “กระดาษแผ่น เล็กๆ” ที ่ทางทีมวางแผนยื ่นให้ช ่างเวลาจะซ ่อมอะไรที รวมถึงใบเบิกของ ชิ้นส่วนต ่างๆ ก็ยังคงเป็น กระดาษ แต่ถ้าหากว่าปริมาณเครื่องจักรในโรงงานเยอะๆระดับ พัน หรือสองพันตัว กระดาษก็จะเยอะ มากๆเลยครับ เรียกว่ากองถ้วนหัวกันเลยทีเดียว และเวลาสรุปรายเดือนต้องนั่งรวบรวมกระดาษกองใหญ่ มาสรุป ท าให้เสีย ทั้งก าลังคนและเวลามากๆยุคสมัย “จัดการงานด้วย EXCEL”ในยุคถัดมา เริ่มจะมี โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เข้ามา หลายๆโรงงานคงจะไม่พ้น Excel แต่ Excel ก็ถือว่าดีกว่าระบบกระดาษ ดั้งเดิมนะครับ แต่การที่จะบริหารจัดการข้อมูลมากๆ และจัดการงานระหว่างแผนก ก็ถือว่ามีช่องว่างเยอะ พอสมควรเลยครับ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องใช้พนักงานมาเข้ามานั่งป้อนข้อมูล ท าสูตร สรุปผลแต่ละเดือน ถ้ารีบๆ หน่อย ก็รายวัน ซึ้งงานเยอะๆก็อาจจะไม่เหมาะสมยุคสมัย “Software” ราคาแพงในยุคถัดมา ก็จะมี Software ส าหรับองค์กรขนาดใหญ่ (ส าหรับโรงงาน และบริษัทขนาดใหญ่ ที่ท าหน้าที่บริหารจัดการงาน ซ่อมบ ารุงได้ดี ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น จนจบกระบวนการ และสามารถบริหารการจัดการงานรวมระหว่าง แผนกได้ เช่น แผนกงานซ่อม, แผนกคลังสินค้า แผนกการผลิต เป็นต้น ซึ่งในหนึ่งงานต้องท างานร่วมกัน ซึ่งสามารถท างานสอดคล้องได้ดีครับ แต่ทว่าในการประเมินผลอาจจะท าได้ไม่รวดเร็วนัก และด้วยความ เป็นระบบเก่าอาจจะดูช้าๆ ไปบ้าง ซึ่ง Software แบบนี้มีราคาข่อนค้างสูงมาก และแถมค่า service ราย ปีในทุกๆปี
64 ภำพที่ 2.31 ยุคสมัยจัดการงานด้วย Excel ยุคสมัย “Software” ราคาแพงในยุคถัดมา ก็จะมี Software ส าหรับองค์กรขนาดใหญ่ (ส าหรับ โรงงาน และบริษัทขนาดใหญ่ ที่ท าหน้าที่บริหารจัดการงานซ่อมบ ารุงได้ดี ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น จนจบ กระบวนการ และสามารถบริหารการจัดการงานรวมระหว ่างแผนกได้ เช ่น แผนกงานซ ่อม, แผนก คลังสินค้า แผนกการผลิต เป็นต้น ซึ่งในหนึ่งงานต้องท างานร่วมกัน ซึ่งสามารถท างานสอดคล้องได้ดีครับ แต่ทว่าในการประเมินผลอาจจะท าได้ไม่รวดเร็วนัก และด้วยความเป็นระบบเก่าอาจจะดูช้าๆ ไปบ้าง ซึ่ง Software แบบนี้มีราคาข่อนค้างสูงมาก และแถมค่า service รายปีในทุกๆปี ภำพที่ 2.32 ยุคสมัย Enterprise Software
65 ยุคสมัย “4G,5G และ Digital disruption”แต่ทว่าในยุคปัจจุบัน ในยุคที่ 4G และ 5G เฟื้องฟู ที่ส าคัญ ที่สุด Software ฟรีซึ่งวิธีนี้อาจจะเป็นค าตอบของโรงงานยุคใหม่ หรือโรงงานยุคดังเดิมที ่อยาก เข้าม พัฒนาระบบบริหารจัดการงานซ่อมบ ารุงครับ ซึ่งสามารถลดต้นทุนในการซ่อมบ ารุง และเพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิตของโรงงานได้อย่างมากเลยครับซึ่งยุคนี้จุดเด่นคือ ความง่าย และความสะดวกในการใช้งาน ครับ ไม่จ าเป็นต้องโหลดโปรแกรม ใช้บนเว็ปไซด์ได้เลย แถมใช้งานในมือถือดูระบบบริหารจัดการงานซ่อม ได้สะดวก สบาย ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งถือว่าเป็นยุคระบบใหม่ที่หลายๆโรงงานอาจจะยังไม่ได้เห็นโอกาส หรือ อาจจะยังไม่กล้าเปลี่ยน ภำพที่ 2.33 ยุคสมัย 4G 5G Digital disruption ความส าคัญ และประโยชน์ของระบบ CMMSโดยระบบ CMMS เป็นระบบที ่จัดเก็บข้อมูลการ จัดการ และบริหารงานซ่อมทั้งหมดของโรงงานไว้ ดังนั้นระบบนี้จึงช่วยช่างซ่อมของเราให้ท างานซ ่อม อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เครื่องจักรที่ช่างจะเข้าไปซ่อมมีระบบการเบิกจ่ายชิ้นส่วน spare parts ได้อย่างถูกต้องและแม่นย าจากระบบ BOM (Bill Of Material) ที่ผูกติดกับเครื่องจักรนั้นๆ และก าลังคนที่ใช้อย่างเหมาะสมในการเข้าไปซ่อมเครื่องจักรนั้นๆและยังช่วยระดับบริหารได้ข้อมูลในการ น าไปค านวน MTBF*, MTTR**, และ Cost ค่าซ่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยในการก าหนดกลยุทธ์ในการวางแผน PM PDM และ CM * MTBF = Mean Time Between Failure คือ ระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหายแต่ ละครั้ง**MTTR = Mean Time To Repair คือ ระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เสียหายจนใช้งานได้แต่ละครั้ง
66 โปรแกรม CMMS ส าหรับโรงงานยุค 4.0โดยระบบ CMMS ไม่ได้จ ากัดการใช้งานในแค่ที่โรงงานแค่นั้น แต่ ยังสามารถใช้ประโยชน์ในงานอื่นๆได้มากมาย เช่น โรงพยาบาล ตึก อาคาร ห้างร้าน และศูนย์กีฬา เป็น ต้น ที่ซึ่งมีระบบงานซ่อม และอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่ต้องการดูแลรักษา (Asset)หากเพื่อนๆก าลังมอง หาระบบ CMMS ที่คุณภาพ มีมาตราฐานสากลระดับโลก ที่ส าคัญใช้ฟรี ไม่ต้องโหลดโปรแกรม สามารถ ใช้ได้ในมือถือ ทั้งระบบ android และ iOSนายช่างมาแชร์ขอแนะน าโปรแกรม Factorium ระบบ CMMS ยุคใหม ่ โปรแกรมซ ่อมบ ารุงบนสมาร์ทโฟน ส าหรับโรงงานยุค 4.0 ข้อมูล CMMS ยังช ่วยเก็บข้อมูล Report ที่ส าคัญที่เป็นข้อบังคับ หรือตามกฎหมายก าหนดด้วยครับ และยังช่วยติดตามงานซ่อมตัวนี้ว่าอยู่ ขั้นตอนไหน เช่น อาจจะรอของอยู่เป็นต้น ครับ เพื่อให้งานซ่อมนั้นๆไม่หลุดออกจากระบบงานหรือลืมเข้า ไปท านอกจากนั้นระบบผู้บริหารสามารถน าไปวาง Organization หรือองค์กร ของโรงงานว่าจ าเป็นต้อง ใช้คนงานกี่คน วิศวกร กี่คน ระบบจัดกำรคลังสินค้ำประกอบไปด้วยอะไรบ้ำง องค์ประกอบหรือระบบต ่างๆ ในระบบจัดการคลังสินค้าประกอบไปด้วย 7 ระบบส าคัญ ด้วยกัน ได้แก่ 1 ระบบสินค้าเข้า (Stock Entry) 2 ระบบจัดการและเอกสารต่างๆ (Documenting) 3 ระบบบริหารสินค้า (Inventory Management) 4 ระบบจัดการการขนส่ง (Transportation Management System) 5 ระบบโอนย้ายสินค้า (Inventory Transfers) 6 ระบบตั้งหน่วยนับสินค้า (Unit of measurement) 2.28.1 รายงานสรุปภาพรวมสินค้า (Report) 1) ระบบสินค้าเข้า (Stock Entry)ระบบสินค้าเข้า หรือ Stock Entry เป็นระบบจัดการการ น าสินค้าเข้ามาในคลัง ช่วยบันทึกธุรกรรมหรือการเคลื่อนไหวของสินค้า คอยบอกจ านวน/ปริมาณของ สิ่งของ ที่อยู่ (คลังสินค้า) มูลค่า รหัสสิ่งของ (Serial Number) ประโยชน์ของระบบคลังสินค้าเข้านั้น จะ ช่วยให้เรารู้ว่า ของออกจากคลังต้นทาง (Source Warehouse) เท่าไหร่ ช่วยให้รู้ว่าจะต้องมีของเข้ามากัก เก็บไว้ในคลังปลายทาง (Target Warehouse) เท่าไหร่ หรือมีอะไรเคลื่อนย้ายจากคลังหนึ่งไปอีกคลังหนึ่ง อย่างไร เห็นการเคลื่อนไหวของการใช้วัสดุหรือวัตถุดิบจากคลังต่างๆ เป็นต้น
67 2) ระบบจัดการและเอกสารต ่างๆ (Documenting) ระบบจัดการเอกสารต ่างๆ เป็นอีก องค์ประกอบส าคัญที่จะคอยสรุปข้อมูลการท าธุรกรรมต่างๆ (Transaction) ภายในคลังสินค้า ซึ่งในระบบ นี้ จะประกอบไปด้วย ใบส่งของ (Delivery Note) ใบส่งของ หรือ Delivery Note คือ เอกสารที่จะออกเมื่อส่งสินค้า/บริการ ให้กับลูกค้าเพื่อ เป็นหลักฐานระหว่างผู้ส่งและผู้รับ ว ่าผู้รับได้รับของหรือสินค้าและสิ ่งที ่ได้รับถูกต้องตามที ่ตกลง ทั้ง รายการส่งของ จ านวน ราคา เป็นต้น โดยใบส่งของจะประกอบไปด้วยรายละเอียดส าคัญ 2 ส่วน ได้แก่ 1) รายละเอียดสินค้า/บริการ เช่น ข้อมูลผู้รับ, ข้อมูลผู้จัดส่ง, รายการสินค้าและบริหาร, จ านวนสินค้า, ราคาสินค้า, วันที่และรายละเอียดการจัดส่ง รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่ก าหนดไว้หลักฐานการ รับสินค้า ซึ่งจะประกอบไปด้วย ลายเซ็นของผู้รับสินค้า วันที่ในการรับสินค้า โดยข้อมูลส่วนนี้จะใช้เป็น หลักฐานในการยืนยันการได้รับสินค้าที่ถูกต้อง 2) ใบเสร็จการสั่งซื้อ (Purchase Receipt)ใบเสร็จการสั่งซื้อ คือ เอกสารที่ออกให้กับผู้ซื้อ หรือลูกค้า ซึ่งเป็นเอกสารที่ยืนยันว่าได้มีการช าระค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว 3) ใบเบิกพัสดุหรือวัตถุดิบ (Material Request) ใบเพิกพัสดุ มีความหมายตามชื่อ คือ เป็น เอกสารที่ใช้ส าหรับการขอเบิกพัสดุ วัสดุ หรือสิ่งของออกจากคลัง โดยรายละเอียดหลักๆ จะต้องระบุผู้ที่ ท าการขอเบิกพัสดุ วันที่ท าการขอเบิก รายละเอียดสิ่งของ คลังที่จัดเก็บ รวมไปถึงชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ ขอเบิก ผู้ตรวจสอบ ผู้อนุมัติ เป็นต้น 4) รายการสิ่งของตามใบสั่ง/ใบเบิก (Pick List) รายการสิ่งของตามใบสั่ง/ใบเบิก (Pick List) คือ เอกสารที่รวบรวมรายการสิ่งที่ถูกขอสั่งซื้อหรือขอเบิกจากคลังมา หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า “ออร์เดอร์ (Order)” ซึ่งจะระบุรายละเอียดการหยิบสิ่งของว่า หยิบมาอย่างไร (เป็นชิ้น เป็นลัง เป็นพาเลท) ปริมาณ เท่าไหร่ จากคลังหรือโซนไหน เป็นต้น ระบบบริหารสินค้า (Inventory Management)
68 ภำพที่ 2.34 ระบบคลังสินค้า ระบบบริหารสินค้าหรือระบบบริหารสินค้าคงคลัง คือ ระบบส าหรับจัดการ ดูแล และวางแผนใน การจัดการกับสินค้า และธุรกิจจะเห็นการเคลื่อนไหวของสินค้าต่างๆ ว่ามีอะไรที่ถูกจ าหน่ายออก หรือ น าเข้ามา ให้รู้ว่าคลังมีสินค้าอะไร เท่าไหร่ และจัดเก็บอย่างไร อยู่บริเวณไหน ระบบบริหารสินค้าที่ดีจะช ่วยให้ธุรกิจรู้ว่าสินค้าตัวใดเป็นที่ต้องการ สินค้าไหนก าลังขาดมือและต้อง จัดซื้อ/ผลิตเพิ ่ม ช ่วยให้รู้ว ่าลูกค้าหรือตลาดก าลังต้องการสิ ่งใด ทั้งนี้ ระบบบริหารที ่ครบฟังก์ชันจะ สามารถดูแลจัดการการเคลื่อนไหวของสินค้าได้ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ ระบบบริหารสินค้าแบบเดี่ยว (Single Product) เป็นระบบบริหารสินค้าแบบชิ้นต่อชิ้น หมายความ ว่า เมื่อมี 1 ออร์เดอร์เข้ามา จะมีสินค้าออกจากคลังหรือสต็อก 1 รายการระบบบริหารสินค้าแบบกลุ่ม (Bundle Product) หมายถึง ระบบบริหารสินค้าที่เข้าใจและจัดการออร์เดอร์ที่มีความซับซ้อนได้ เช่น เมื่อมี 1 ออร์เดอร์เข้ามา อาจจะมีสินค้าที่ออกจากคลังไปมากกว่า 1 รายการ ซึ่งอาจไม่ได้เป็นสินค้า ประเภทเดียวกัน 4. ระบบจัดการการขนส่ง (Transportation Management System) ระบบบริหารจัดการการขนส่ง หรือ Transportation Management System (TMS) คือ ระบบที่ช ่วย บริหารงานขนส่งต่างๆ งานโลจิสติกส์ (Logistics) โดยหน้าที่ของระบบจัดการการขนส่ง คือ ช่วยให้ธุรกิ สามารถวางแผน และบริหารงานขนส่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงรักษาคุณภาพของสิ่งของ ตลอดจนลดต้นทุนการขนส่งลงระบบจัดการการขนส่งจะครอบคลุมกระบวนการขนส่งตั้งแต ่ต้นน ้ายัน ปลายน ้า ได้แก่
69 การรับค าสั่งการขนส่งและการตรวจสอบสถานะการขนส่ง การยืนยันการรับงาน การจัดการเส้นทางและเที่ยวรถ การติดตามสถานะการขนส่ง เช่น ยานพาหนะ อุปกรณ์ พนักงาน ระบบยืนยันการรับของ การเก็บช าระเงินและบันทึกรายรับรายจ่าย การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการขนส่ง ฯลฯ 2.6.2ประโยชน์ของระบบจัดการการขนส่งที่ดี ช่วยจัดสรรตารางการวิ่งรถหรือการขนส่งให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพิ่ม ความพึ ่งพอใจให้กับลูกค้า จากระบบการติดตามสถานะการขนส่งบันทึกทุกกิจกรรมและข้อมูลต่างๆ ส าหรับตรวจสอบหรือวิเคราะห์วางแผน เช่น เส้นทางเดินรถ ค่าใช้จ่าย การยืนยันรับสินค้า ระยะเวลาที่ใช้ ขนส่ง เป็นต้นช่วยลดเอกสารและงานซ ้าซ้อนในการบันทึกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานขนส่งใช้ส าหรับสรุป ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เพื่อวิเคราะห์และวางแผนต่อไประบบโอนย้ายสินค้า (Inventory Transfers) ระบบโอนย้ายสินค้า หรือ Inventory Transfers คือ ระบบที่เข้ามาจัดการเรื่องการย้ายสินค้าไม่ว่าจะจาก คลังหนึ่งไปอีกคลังสินค้าหนึ่งหรือระหว่างโรงงาน เพราะในธุรกิจหนึ่งอาจมีคลังสินค้ามากกว่าหนึ่งคลัง โดยกระบวนการย้ายสินค้าส่วนใหญ่แล้วจะมีกระบวนการทั้งสิ้น 4 กระบวนการด้วยกัน • สร้างรายการโอนย้ายสินค้า (Inventory List) เป็นการจัดท ารายการและจ านวน สินค้าที ่จะย้าย โดยสินค้าที ่จะโอนย้ายต้องอยู่ในคลังสินค้าคงคลังต้นทางก่อนอยู่แล้ว ถึงจะสามารถ โอนย้ายได้ • ด าเนินการโอนย้ายสินค้า เป็นการด าเนินงานย้ายสินค้าออกจากคลัง ซึ่งในขั้นตอนนี้ รายการสินค้าที่โอนย้ายจะถูกลบออกจากคลังสินค้าเดิม โดยจะมีการบันทึกใบแจ้งสินค้าออก (Goodsout note) • จัดส่งใบแจ้งสินค้าออก (Goods-out note) เป็นการออกใบแจ้งสินค้าออกเมื่อสินค้า เริ่มด าเนินการโอนย้ายแล้ว เมื่อใบแจ้งสินค้าออกส่งให้ด าเนินการแล้ว สินค้าที่โอนย้ายมาจะอยู่ในสถานะ “อยู่ระหว่างการขนส่ง” และจะไม่มีสินค้าอยู่ในคลังสินค้าเดิม • รับสินค้าที่คลังสินค้าปลายทาง เมื่อสินค้าถูกโอนย้ายมาที่คลังสินค้าปลายทางแล้ว ข้อมูลสินค้าเหล่านี้จะถูกน าเข้าเป็นสินค้าคงคลังของคลังสินค้าใหม่
70 • ระบบตั้งหน ่วยนับสินค้า (Unit of Measurement) หน ่วยนับสินค้า (Unit of measurement) คือ การนับหน่วยของสินค้าหนึ่งๆ เช่น แก้วนับเป็น “ใบ” โต๊ะนับเป็น “ตัว” หรือสินค้า บางรายการนับเป็น “ชิ้น” เป็นต้น ซึ่งในระบบงานจัดการคลังสินค้านั้น ประเด็นส าคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะ เรียกลักษณะนามของสิ่งของว่าอะไร แต่อยู่ที่ว่า “หน่วยนับสินค้า” นับอย่างไร 2.7 ระบบจัดกำรคลังสินค้ำ ระบบการจัดการคลังสินค้า คือ ระบบที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการสินค้าและงานต่างๆ ในคลังสินค้า เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า ระบบ WMS (Warehouse Management System) ปัจจุบันระบบนี้ถูกน าไปใช้ ประโยชน์เฉพาะเรื่องการจัดการสต๊อกสินค้าเท่านั้น ระบบมี 3 ขั้นตอนส าคัญ ได้แก่ การรับสินค้า การเก็บ สินค้า และการเบิกสินค้า ระบบ WMS ช่วยวางแผนการจองพื้นที่เก็บสินค้า หาพิกัดของสินค้าสะดวกใน การเบิก ช่วยจัดวางสินค้าขนาดต่างๆ อย่างเหมาะสม แยกประเภท แยกชนิดสินค้าป้องกันความสับสนท า ให้รู้ว่าสินค้าตัวไหนใกล้หมดอายุด้วย ส่วนประกอบของระบบจัดการคลังสินค้า 1) ระบบสินค้าเข้า ระบบนี้ช่วยบริหารจัดการเมื่อน าสินค้าเข้ามาจัดเก็บในคลังสินค้า พร้อมบันทึก ข้อมูลต่างๆ ของสินค้าเข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของสินค้า จ านวน ที่อยู่ มูลค่า รหัส SKU ของสินค้า ช่วยให้เห็นว่าสินค้าออกจากต้นทางเท่าไหร่ เข้ามาเก็บปลายทางเท่าไหร่ ระบบนี้มีประโยชน์ มากๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้าจากคลังหนึ่งไปเก็บอีกคลังหนึ่ง 2) ระบบจัดการเอกสาร ระบบนี้ช่วยสรุปข้อมูลเพื่อให้ง่ายต่อการท ารายงาน ระบบประกอบด้วย ใบส่งของมีด้วยสองส่วนหลักๆ ได้แก่ รายละเอียดสินค้า/บริการและหลักฐานการรับสินค้า นอกจากนั้นยัง มีใบเสร็จการสั่งซื้อ ใบเบิกพัสดุหรือวัตถุดิบ รายการสิ่งของตามใบสั่ง/ใบเบิก 3) ระบบบริหารสินค้าคงคลังระบบบริหารสินค้าคงคลัง ช่วยดูแลจัดการสต๊อกสินค้า และวางแผน การจัดเก็บสินค้า ท าให้เห็นข้อมูลและการเคลื่อนไหวของสินค้า ช่วยให้เห็นภาพรวมการน าเข้า การจัดเก็บ และการน าออกของสินค้าหรือการจ าหน่าย ธุรกิจสามารถวางแผนการสต๊อก สั่งผลิตเพิ่มหรือลดสต๊อกได้ 4) ระบบตั้งหน่วยนับสินค้า ระบบตั้งหน่วยนับสินค้า เช่น แก้วมีหน่วยนับเป็นใบ โต๊ะหรือเก้าอี้มี หน่วยนับเป็นตัว เป็นต้น ระบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การนับหน่วยชิ้นเดียวและการนับหน่วย หลายชิ้น เช่น 1 โหล 1 แพ็ค 1 กล่อง เป็นต้น หากไม่มีระบบนี้เข้ามาช่วยอาจท าให้เช็คสต๊อกผิดพลาดได้ 5) ระบบโอนย้ายสินค้า ระบบนี้ช่วยให้การถ่ายโอนหรือการย้ายสินค้าจากคลังหนึ่งไปยังคลังหนึ่ง สะดวก รวดเร็ว ลดข้อผิดพลาด เหมาะกับธุรกิจที่มีคลังเก็บสินค้าหลายคลัง บางครั้งพื้นที่เก็บสินค้าไม่
71 เพียงพอท าให้ต้องเช่าคลังสินค้าเพิ่มเติมเพื่อจัดเก็บสินค้า กระบวนการย้ายสินค้ามี 4 กระบวนการหลักๆ คือ สร้างรายการโอนย้าย ด าเนินการโอนย้าย จัดส่งใบแจ้งสินค้าออก และรับสินค้าที่คลังปลายทาง 6) ระบบจัดการขนส่ง ระบบจัดการขนส่งเป็นระบบบริหารคลังสินค้าที่ส าคัญมากช่วยจัดการงาน ด้านการขนส่งสินค้า ธุรกิจสามารถวางแผนจัดการด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบการจัดส่ง สินค้านั้นครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการขนส่งจากต้นน ้าไปยังปลายน ้า เช่น รับค าสั่งการขนส่ง ตรวจสอบ สถานะ ยืนยันรับงาน จัดการเที่ยวรถ จัดการเส้นทาง ติดตามสถานการณ์ขนส่ง ยืนยันรับของ การเก็บเงิน รายรับรายจ่าย ฯลฯ เมื่อมีระบบนี้เข้ามาช่วยลดต้นทุนที่เกิดจากการขนส่งจึงลดลง 7) ระบบช่วยสรุปภาพรวม ระบบช่วยสรุปภาพรวมเป็นระบบจัดการสินค้าคงคลังช่วยสรุปภาพรวม จะท าให้มองเห็นภาพรวมหรือมองเห็นกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการสินค้าในคลัง เมื่อเห็น ภาพรวมจะสามารถจัดการ แก้ปัญหาได้ตรงจุด ระบบนี้สรุปผลภาพรวมออกมาเป็นรายงาน ได้แก่ รายงานบันทึกธุรกรรมทั้งหมด รายงานแสดงข้อมูลสินค้าคงเหลือ รายงานสรุปสถานะสินค้าเข้า-ออกจาก คลัง จ านวนคงเหลือ ยอดเบิกจ่าย ฯลฯ 2.7.1 ประโยชน์ของการใช้ระบบบริหารจัดการคลังสินค้า ใช้พื้นที่ในคลังอย่างมีประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการคลังสินค้าเข้ามาช่วยให้การท างาน ง่ายขึ้น ช่วยในการจัดการพื้นที่คลังสินค้า ธุรกิจจึงสามารถใช้พื้นที่ในคลังสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด 1) จัดเก็บสินค้าอย่างเป็นระบบการจัดวางสินค้าอย่างเป็นระบบช่วยให้ท างานง่ายขึ้น ลด ข้อผิดพลาดต่างๆ เพิ่มความรวดเร็วในการท างาน ระบบบริหารจัดการคลังสินค้าช่วยเก็บสินค้าได้อย่าง เป็นระบบแยกประเภท แยกขนาด แบ่งตามขนาดและน ้าหนักได้อย่างเหมาะสม 2) ค้นหาสินค้าได้ง่ายเมื่อมีระบบบริหารจัดการคลังสินค้าเข้ามาช่วยเก็บสินค้าอย่างเป็น ระบบ ก็จะส่งผลให้การค้นหาสินค้าและการหยิบสินค้าตามออเดอร์ นั้นท าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ป้องกัน การสับสนของพนักงาน 3) ป้องกันปัญหาสินค้าค้างสต๊อก สินค้าที่เก็บไว้นาน ขายไม่ออก หรือที่เรียกกันว่าสินค้า ค้างสต๊อก (Dead Stock) ท าให้มีต้นทุนดูแลรักษาสูงขึ้น เมื่อมีระบบ WMS เข้ามาช่วยท าให้รู้ว่ามีสินค้า ค้างสต๊อกเท่าไหร่ สินค้าประเภทไหน สินค้าที่ค้างสต๊อกจะถูกจัดการอย่างเหมาะสม 4) ลดความผิดพลาดจากการท างานการท างานของมนุษย์อาจมีข้อผิดพลาดขึ้นได้ ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจมีผลกระทบอย ่างมาก ระบบ WMS จะช ่วยลดความผิดพลาดจากการ ท างาน ระบบมีความเสถียร แม่นย าและรวดเร็วในการแสดงผลลัพธ์
72 5) ประหยัดต้นทุนค่าขนส่งระบบ WMS ช่วยให้การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ง่ายขึ้น เพื ่อการขนส่งที ่มีประสิทธิภาพ ช ่วยจัดการเที ่ยวรถ จัดการเส้นทาง วางแผนการขนส่งและติดตาม สถานการณ์ขนส่งได้ 6) บริการลูกค้าได้รวดเร็ว เมื่อมีระบบ WMS ที่ดีการท างานรวดเร็วสามารถน าสินค้าส่ง ลูกค้าได้รวดเร็ว ลูกค้าย่อมเกิดความประทับใจในบริการที่รวดเร็ว ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ 7) แก้ปัญหาได้ตรงจุด ระบบ WMS สามารถรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ในคลังสินค้า สรุปผลท าให้คุณมองเห็นภาพรวม มองเห็นปัญหาสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ระบบจัดการ คลังสินค้าส าคัญอย่างไร กับการขายของออนไลน์ 2.7.2 ระบบจัดการคลังสินค้าส าคัญกับทุกๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์ ยุคที่ใครๆ ก็หันมาขายสินค้าออนไลน์กันแล้ว เมื่อออเดอร์เยอะขึ้น ก็จ าเป็นต้องสต๊อกสินค้าเพิ่ม และมีการบริหารจัดการสินค้าในสต๊อกให้ดี เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอในการ ขาย แต่ต้องไม่สต๊อกมากเกินไป เพราะอาจท าให้เกิดต้นทุนจมได้ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จึงควรน าเอา ระบบจัดการคลังสินค้าเข้ามาช่วยในการท างาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท างาน ช่วยลดข้อผิดพลาด ต่างๆ ป้องกันสินค้าค้างสต๊อกและสินค้าขาดสต๊อก นอกจากนี้หากระบบจัดการคลังสินค้าหรือระบบ WMS สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดการออเดอร์ OMS ซึ่งเปรียบเสมือนระบบหลังบ้านร้านค้าออนไลน์ได้ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า ก็จะช่วยให้การท างานต่างๆ ไร้รอยต่อมาก ยิ่งขึ้น ข้อมูลเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และมีการอัพเดตแบบ Real-timeจะเห็นได้ว่า ระบบการจัดการ คลังสินค้า นั้นมีความส าคัญอย่างมากในการท าธุรกิจ เพราะจะช่วยให้การท างานต่างๆ นั้นมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดในการท างานได้เป็นอย่างดีส าหรับพ่อค้าแม่ค้า ออนไลน์คนไหนที ่ไม ่มีเวลาบริหารจัดการคลังสินค้าเอง แนะน าให้ใช้บริการคลังสินค้าออนไลน์ Fulfillment ที ่ให้บริการรับฝากสินค้า เก็บ แพ็ค และจัดส ่งรวมไว้ในจุดเดียว พร้อมระบบจัดการ คลังสินค้าที่ทันสมัย มีระบบหลังบ้านให้อย่างดีแค่ส่งออเดอร์เข้ามา เราแพ็คให้ ส่งให้ ไม่ต้องยุ่งยากและ เสียเวลาจัดการเอง ท าให้มีเวลาไปโฟกัสกับการขายและงานด้านอื่นๆ มากขึ้น 2.8 CMMS โซลูชันซอฟต์แวร์การจัดการบ ารุงรักษาด้วยคอมพิวเตอร์ที่ท าให้ข้อมูลสินทรัพย์ถาวรและสินค้าคง คลังเป็นปัจจุบันอยู่เสมอช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลสภาพเครื่องได้ติดตามงานบ ารุงรักษาและข้อมูลที่ เกี ่ยวข้อง และ"อ านวยความสะดวกในการด าเนินการบ ารุงรักษาและการจัดการ การตระหนัก,และ กระบวนการสนับสนุนซอฟต์แวร์การจัดการการบ ารุงรักษา CMMS ถูกใช้โดยอุตสาหกรรมที่ต้องการรักษา
73 ทรัพย์สิน, โรงงาน และอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี และด าเนินการได้ตลอดเวลาฐานข้อมูล CMMS เป็นที่เก็บข้อมูลหลักของข้อมูลการบ ารุงรักษาและ ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวรแลรายการสินค้าคงคลัง เช ่นเดียวกับค าสั ่งงานและงานการเป็นเจ้าของข้อมูลการบ ารุงรักษามีความส าคัญต ่อเจ้าของธุรกิจ กรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงที ่ต้องตัดสินใจอย ่างชาญฉลาดเกี ่ยวกับการเปลี ่ยนสินทรัพย์ หมุนเวียนและการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ความแตกต่าง On-Premise ส าหรับการจัดการบ ารุงรักษาบน คลาวด์ที่ทันสมัย ระบบที่เรียกว ่าเป็น CMMS ถูกส่งไปยังลูกค้าผ่านข้อมูลไร้สายเครือข่ายเป็นบริการ ซอฟต์แวร์ (บริการคลาวด์) ตัวอย่างของความทันสมัยระบบการจัดการบ ารุงรักษาบนคลาวด์ ANEO Zero CMMS ที่ได้รับการพัฒนาโดย Aneo Software Oy จากฟินแลนด์MAINTENANCE PROCESSES กระบวนการบ ารุงรักษา มาตรฐานยุโรป EN17007 จัดกลุ่มกระบวนการบ ารุงรักษา เป็น 3 ประเภทของกระบวนการ กระบวนการจัดการ กระบวนการตระหนัก กระบวนการสนับสนุน ค าอธิบายกระบวนการบ ารุงรักษาถูกก าหนดโดย EN17007 ดังนี้กระบวนการจัดการ ที่ก าหนด นโยบายและกลยุทธ์, จ ากัดความองค์กร, มอบหมายความรับผิดชอบ, เจรจางบประมาณ, จัดการการ ด าเนินการ, วิเคราะห์ข้อมูลและน าไปสู่กระบวนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง!"กระบวนการการตระหนัก ซึ่ง เป็นสาเหตุของกระบวนการโดยรวมและ สร้างผลลัพธ์ที ่คาดหวัง รวมถึงการป้องกันและแก้ไข การ บ ารุงรักษาซึ่งมีกระบวนการร่วมกันรวมทั้งการเตรียมการการจัดตารางเวลาและการปฏิบัติงาน และ ขั้นตอนที่สามส าหรับการปรับปรุงความน่าเชื่อถือและการบ ารุงรักษาของไอเท็มกระบวนการสนับสนุน ที่ จ าเป็นส าหรับการบรรลุผลและกระบวนการจัดการ”MAINTENANCE JOBS Tony Unlick อ้างว่างานทั้งหมดมี8 ขั้นตอนเหมือนกัน และฉันคิดว่างานบ ารุงรักษาก็มีเช่นกัน: Define งานบ ารุงรักษาและสร้างใบสั่งงานก าหนดเป้าหมายลูกค้าของคุณ และวางแผนทรัพยากร เช่น ทีมซ่อมบ ารุงเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการซ่อมบ ารุง. Locate ข้อมูลอะไหล่ และวัตถุดิบที่จ าเป็นในการท างานบ ารุงรักษาและให้พร้อมส าหรับการใช้งาน หรือส่งถึงพื้นที่ท างาน. Prepare เตรียม พื้นที่ท างานและจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและง่ายต่อการท างานบ ารุงรักษา. Confirm ว่าลูกค้าและทีมบ ารุงรักษาของคุณพร้อมที่จะท างาน และอะไหล่และวัตถุดิบที่จ าเป็น พร้อมใช้งานส าหรับการด าเนินการงานบ ารุงรักษา
74 Execute บ ารุงรักษาเพิ่มอะไหล่และวัตถุดิบที่ใช้ท างานไปยังงานบ ารุงรักษาและ จัดท าเอกสารงาน ที่ก าลังด าเนินการเป็นรายงานผล และเวลาท างานที่ใช้ในการท างาน. Monitor และประเมินว่าการบ ารุงรักษางานส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี. Modify ค าสั่งงานบ ารุงรักษาเพื่อปรับปรุงการด าเนินการของงานบ ารุงรักษาที่จะเกิดขึ้น. Conclude และเสร็จสิ้นงานบ ารุงรักษาเชิงแก้ไข หรือเตรียมการรับงานบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคต. หน้าที่และคุณสมบัติขั้นต้นของ CMMS ควรมีอะไรบ้าง? ระบบ CMMS จะต้องมีฟีเจอร์ที่ครบครอบคลุมทุกกิจกรรมงานที่เกี่ยวกับการซ่อมบ ารุงและต้องตรงตาม มาตรฐานสากล โดยฟีเจอร์หลักที่ระบบ CMMS ควรมีได้แก่ 2.8.1 ระบบบริหารการซ่อม (Work Order Management) ซึ่งรวมถึงระบบการแจ้งซ่อม ระบบใบค าสั่งซ่อม ระบบการตรวจรับงานซ่อมและปิดงานซ่อม โดย ระบบทั้งหมดควรที่จะสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการท างาน (Work Flow) แบบฟอร์ม ค าแนะน าหรือ การแก้ไข ได้ตามประเภทของเครื ่องจักรหรือปัญหาระบบการบริหารการบ ารุงรักษา (Preventive Maintenance) จัดตั้งแผนการบ ารุงรักษา (Master Plan) กับเครื่องจักรทั้งหมดเพื่อให้เครื่องจักรสามารถ ท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดปัญหาน้อยที่สุด นอกจากนี้การท าการบ ารุงรักษายังช่วยในเรื่องการ ยืดอายุของเครื ่องจักรและความเสี ่ยงที ่จะเกิดปัญหาในอนาคตอีกด้วยระบบบริหารจัดการทรัพย์สิน (Asset Management) ระบบเก็บบันทึกข้อมูลของเครื ่องจักรและอุปกรณ์ต ่างๆ เพื ่อใช้ในการวัด ประสิทธิภาพการท างานของเครื่องจักรและช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น เช่น การขโมย การใช้อุปกรณ์ผิดวิธี การวางผิดต าแหน่ง ระบบนี้ช่วยในการติดตามเครื่องจักรและประเมินค่าวัดผลประสิทธิภาพระบบบริหาร จัดการอะไหล่ (Inventory Management) ระบบเก็บบันทึกข้อมูลและติดตามอุปกรณ์อะไหล่ที่ใช้กับ เครื่องจักร ซึ่งจะช่วยในการพิจารณาถึงต้นทุน จ านวน ที่จัดเก็บและอายุของอะไหล่ โดยระบบควรที่จะ สามารถแจ้งเตือนหรือสั ่งซื้ออะไหล่ที่ขาดได้โดยอัตโนมัติระบบรายงานและวิเคราะห์ข้อมูลการซ่อม รายงานพร้อมการวิเคราะห์ข้อมูลและค าแนะน าเพิ ่มเติมต่อธุรกิจ เช่น รายงานต้นทุนอะไหล่คงเหลือ รายงานแสดงความคุ้มค่าการใช้งานเครื่องจักร (Utilization) รายงานแสดงประสิทธิภาพความพร้อมใช้ งานของเครื ่องจักร (Availability) รายงานแสดงสาเหตุหลักการเสียของเครื ่องจักร (Root Cause Analysis) หรือรายงานแสดง ประสิทธิภาพ MTBF MTTR MWTระบบการสั ่งซื้อ (Purchasing) ระบบ การสั ่งซื้ออะไหล่และอุปกรณ์ที ่เชื ่อมต ่อกับระบบหลักของธุรกิจที ่สามารถแจ้งเตือนการสั ่งซื้อได้โดย อัตโนมัติเมื่ออะไหล่หรืออุปกรณ์ขาดการรองรับกับระบบเสริมอื่นๆ ระบบ CMMS ควรที่จะรองรับกับการ
75 ท างานเสริมกับระบบอื่นๆ เช่น การรองรับ Web App, Mobile, Kiosk การรองรับกับ ERP, Scada, PLC หรือ รองรับการท างานกับบาร์โค้ดหรือ RFID เป็นต้น 2.8.2 ประโยชน์ในการใช้ CMMS จากที ่กล่าวมาข้างต้นระบบ CMMS เป็นระบบที ่ส าคัญส าหรับอุตสาหกรรมการผลิตเนื ่องจาก เครื่องจักรของโรงงานจ าเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการและดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่สามารถท างานได้ อย ่างเต็มประสิทธิภาพมากที ่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื ่อที่จะผลิตสินค้าให้ได้มีคุณภาพและตรงตามความ ต้องการ แต่นอกจากนี้ระบบ CMMS ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่เป็นระบบที่รองรับการซ่อม ฉุกเฉินและสามารถจ่ายแผนงานการซ่อมและบ ารุงรักษาได้โดยอัตโนมัติ พร้อมการชี้น าแนวโน้มในการ เลือกวิธีและรูปแบบบ ารุงรักษาที่เหมาะสมส าหรับแต่ละเครื่องจักรระบบ CMMS ช่วยควบคุมและก าหนด ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการบ ารุงรักษา รวมถึงธุรกิจจะทราบถึงค่าใช้จ่ายในสัดส่วนต่างๆ ของ เครื่องจักรทั้งหมดระบบ CMMS ช่วยสร้างคู่มือมาตรฐานในการท างาน (Work Instruction) ของพนักงาน ซ่อมบ ารุงเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความช านาญในการปฏิบัติงานเป็นเครื่องมือส าหรับการติดตาม สถานะและประเมินประสิทธิภาพของเครื่องจักรโดยพิจารณาจากการเพิ่มอายุและประสิทธิภาพโดยรวม เครื่องจักร OEE (Overall Equipment Effectiveness)เป็นตัวชี้ถึงสาเหตุของปัญหาที่ท าให้เครื่องจักร เกิดความเสียหายรวมถึงพยากรณ์อายุการใช้งานของเครื่องจักรและต้นทุนในการซ่อมแซม PMIIซอฟต์แวร์ซ่อมบ ารุง CMMS ตามมาตรฐานสากล PMII คือ ซอฟต์แวร์ซ่อมบ ารุงตามมาตรฐานสากล CMMS ที่มีฟีเจอร์ครบ รองรับทุกกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับงานซ่อมและบ ารุงรักษา โดย PMII มีจุดเด่นที่การช่วยให้งานซ่อมและบ ารุงรักษาเป็นไปได้ อย่างอัตโนมัติด้วยการท างานร่วมกับอุปกรณ์ IoT และระบบ Scada, PLC, ERP หรือ GPS นอกจากนี้ PMII ยังรองรับต่ออุปกรณ์มือถือ (Mobile), Kiosk และยังเหมาะสมกับทุกโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่ง PMII มีฟีเจอร์การท างานหลักๆ ระบบจัดการบริหารทรัพย์สิน (Asset Management)บริหารจัดการเครื ่องจักร อุปกรณ์และ อะไหล่ต ่างๆ ได้อย ่างไม่จ ากัด รวมถึงแสดงถึงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและต้นทุน นอกจากนี้ ยัง รองรับต่อการเชื่อมโยง กับ ERP, Scada, PLC, GPS ระบบการบ ารุงรักษาเชิงแก้ไขปรับปรุง (Corrective Maintenance) - รองรับการแจ้งซ ่อมได้ หลายช่องทาง เช่น PC, Kiosk, PLC , App รองรับการแยกกลุ่มอาการเสีย การจัดเรียงคิวซ่อมโดยยึดถือ ความส าคัญของเครื่องจักรเป็นหลักและการน าเสนอช่างซ่อม วิธีการซ่อม ขั้นตอนการซ่อม ที่ดีที่สุดในงาน นั้นๆ
76 ระบบวางแผนและพยากรณ์การบ าร ุงรักษา (Preventive Maintenance & Predictive Maintenance)ระบบวางแผนและพยากรณ์การบ ารุงรักษาที่สร้างได้อย่างอิสระหลายรูปแบบพร้อมระบบ ยังใช้งานง่ายด้วยการแสดงตารางงาน (Master Plan) ในรูปแบบปฏิทินที่สามารถสั่งเลื่อนแผนได้ทันทีแค่ Drag and Drop เท่านั้น ระบบการบ ารุงรักษาตามสภาพ (Condition Based Maintenance) - แจ้งเตือนความผิดปกติของ เครื่องจักร (โดยการดึงข้อมูลจาก Scada หรือ PLC) พร้อมออกใบสั่งงานเมื่อเครื่องจักรเริ่มผิดปกติไปยัง หน่วยงานซ่อมบ ารุงหรือ Mobile Application ของช่างได้อย่างอัตโนมัติและทันที ระบบการจัดการอะไหล่คงคลัง (Inventory Management) - ค านวนและแจ้งเตือนจ านวนอะไหล่ ที่เหมาะสมแบบอัตโนมัติพร้อมพยากรณ์การใช้อะไหล่ล่วงหน้าอีกทั้งยังสามารถค านวณอายุอะไหล่ได้โดย อัตโนมัติโดยมุ่งเน้นถึงการใช้งานอะไหล่อย่างคุ้มค่าสูงสุด ระบบรายงานข้อมูล (Report Management)รายงานแสดงประวัติการซ่อมที ่บอกถึงเวลาหยุด เครื่อง เวลาซ่อม เวลารอและค่าใช้จ่ายอื่นรายงานการแสดงความคุ้มค่าในการใช้งานเครื่องจักร, รายงาน แสดงประสิทธิภาพความพร้อมใช้งานของเครื ่องจักรรายงานแสดงสาเหตุการเสียหลักของเครื่องจักร รายงานแสดงประสิทธิภาพ MTBF MTTR MWT และรายงานเชิงวิเคราะห์และแนวโน้มของงานซ่อมบ ารุง ภำพที่ 2.36 Maintenance Management
77 ประวัติของระบบจัดการงานซ ่อมยุคสมัย “สั ่งงานด้วยกระดาษ”ในยุคสมัยแรกๆ ที ่ยุคที ่โรงงาน อุตสาหกรรมเพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น ในการจัดการบริหารงานซ่อมบ ารุงจะเป็นเพียงแค่ “กระดาษแผ่นเล็กๆ” ที่ ทางทีมวางแผนยื่นให้ช่างเวลาจะซ่อมอะไรที รวมถึงใบเบิกของ ชิ้นส่วนต่างๆ ก็ยังคงเป็นกระดาษ แต่ถ้า หากว่าปริมาณเครื่องจักรในโรงงานเยอะๆระดับ พัน หรือสองพันตัว กระดาษก็จะเยอะมากๆเลยครับ เรียกว่ากองถ้วนหัวกันเลยทีเดียว และเวลาสรุปรายเดือนต้องนั่งรวบรวมกระดาษกองใหญ่มาสรุป ท าให้ เสีย ทั้งก าลังคนและเวลามากๆ ภำพที่ 2.37 ยุคสมัย สั่งงานด้วยกระดาษ ยุคสมัย “จัดการงานด้วย EXCEL”ในยุคถัดมา เริ่มจะมีโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เข้ามา หลายๆ โรงงานคงจะไม่พ้น Excel แต่ Excel ก็ถือว่าดีกว่าระบบกระดาษดั้งเดิมนะครับ แต่การที่จะบริหารจัดการ ข้อมูลมากๆ และจัดการงานระหว่างแผนก ก็ถือว่ามีช่องว่างเยอะพอสมควรเลยครับ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องใช้ พนักงานมาเข้ามานั่งป้อนข้อมูล ท าสูตร สรุปผลแต่ละเดือน ถ้ารีบๆหน่อย ก็รายวัน ซึ้งถ้างานเยอะๆก็ อาจจะไม่เหมาะสมนัก
78 ยุคสมัย “Software” ราคาแพงในยุคถัดมา ก็จะมี Software ส าหรับองค์กรขนาดใหญ่ ส าหรับ โรงงาน และบริษัทขนาดใหญ่ ที่ท าหน้าที่บริหารจัดการงานซ่อมบ ารุงได้ดี ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น จนจบ กระบวนการ และสามารถบริหารการจัดการงานรวมระหว ่างแผนกได้ เช ่น แผนกงานซ ่อม, แผนก คลังสินค้า แผนกการผลิต เป็นต้น ซึ่งในหนึ่งงานต้องท างานร่วมกัน ซึ่งสามารถท างานสอดคล้องได้ดีครับ แต่ทว่าในการประเมินผลอาจจะท าได้ไม่รวดเร็วนัก และด้วยความเป็นระบบเก่าอาจจะดูช้าๆ ไปบ้าง ซึ่ง Software แบบนี้มีราคาข่อนค้างสูงมาก และแถมค่า service รายปีในทุกๆปี ยุคสมัย “4G,5G และ Digital disruption”แต่ทว่าในยุคปัจจุบัน ในยุคที่ 4G และ 5G เฟื่องฟู ที่ ส าคัญที่สุด Software ฟรีซึ่งวิธีนี้อาจจะเป็นค าตอบของโรงงานยุคใหม่ หรือโรงงานยุคดังเดิมที่อยาก เข้า มาพัฒนาระบบบริหารจัดการงานซ ่อมบ ารุงครับ ซึ ่งสามารถลดต้นทุนในการซ ่อมบ ารุง และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการผลิตของโรงงานได้อย่างมากเลยซึ่งยุคนี้จุดเด่นคือ ความง่าย และความสะดวกในการ ใช้งานครับ ไม่จ าเป็นต้องโหลดโปรแกรม ใช้บนเว็ปไซด์ได้เลย แถมใช้งานในมือถือดูระบบบริหารจัดการ งานซ่อมได้สะดวก สบาย ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งถือว่าเป็นยุคระบบใหม่ที่หลายๆโรงงานอาจจะยังไม่ได้เห็น โอกาส หรืออาจจะยังไม่กล้าเปลี่ยน 2.8.3 ความส าคัญ และประโยชน์ของระบบ CMMS โดยระบบ CMMS เป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลการจัดการ และบริหารงานซ่อมทั้งหมดของโรงงานไว้ ดังนั้นระบบนี้จึงช่วยช่างซ่อมของเราให้ท างานซ่อมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเครื่องจักรที่ช่างจะเข้าไป ซ ่อมมีระบบการเบิกจ ่ายชิ้นส ่วน spare parts ได้อย ่างถูกต้องและแม ่นย าจากระบบ BOM (Bill Of Material) ที่ผูกติดกับเครื่องจักรนั้นๆ และก าลังคนที่ใช้อย่างเหมาะสมในการเข้าไปซ่อมเครื่องจักรนั้นๆ และยังช่วยระดับบริหารได้ข้อมูลในการน าไปค านวน MTBF*, MTTR**, และ Cost ค่าซ่อมต่างๆ ซึ่งจะ ช่วยในการก าหนดกลยุทธ์ในการวางแผน PM PdM และ CM MTBF = Mean Time Between Failure คือ ระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหายแต่ละครั้ง MTTR = Mean Time To Repair คือ ระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เสียหายจนใช้งานได้แต่ละครั้ง ข้อมูล CMMS ยังช่วยเก็บข้อมูล Report ที่ส าคัญที่เป็นข้อบังคับ หรือตามกฎหมายก าหนดด้วยและยัง ช่วยติดตามงานซ่อมตัวนี้ว่าอยู่ขั้นตอนไหน เช่น อาจจะรอของอยู่เป็นต้น ครับ เพื่อให้งานซ่อมนั้นๆไม่หลุด ออกจากระบบงาน หรือลืมเข้าไปท านอกจากนั้นระบบผู้บริหารสามารถน าไปวาง Organization หรือ องค์กร ของโรงงานว่าจ าเป็นต้องใช้คนงานกี่คน วิศวกร กี่คนด้วยโปรแกรม CMMS ส าหรับโรงงานยุค 4.0 โดยระบบ CMMS ไม่ได้จ ากัดการใช้งานในแค่ที่โรงงานแค่นั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์ในงานอื่นๆได้ มากมาย เช่น โรงพยาบาล ตึก อาคาร ห้างร้าน และศูนย์กีฬา เป็นต้น ที่ซึ่งมีระบบงานซ่อม และอุปกรณ์
79 หรือเครื่องจักรที่ต้องการดูแลรักษา (Asset)หากก าลังมองหาระบบ CMMS ที่คุณภาพ มีมาตราฐานสากล ระดับโลก ที ่ส าคัญใช้ฟรี ไม ่ต้องโหลดโปรแกรม สามารถใช้ได้ในมือถือ ทั้งระบบ android และ ios Factorium ระบบ CMMS ยุคใหม ่ โปรแกรมซ ่อมบ ารุงบนสมาร์ทโฟน ส าหรับโรงงานยุค 4.0CMMS Service ระบบบริหารจัดการงานซ่อมบ ารุงด้วยคอมพิวเตอร์ 2.8.4 CMMS หรือ Computerized Maintenance Management System คือ ระบบบริหารงานซ่อมบ ารุงโรงงานด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้งานง่าย อีกทั้งลดขั้นตอนและระยะเวลาการด าเนินงาน สามารถน าข้อมูล มาวิเคราะห์ได้ เพิ่มขีดความสามารถให้สอดคล้องกับยุคอุตสาหกรรม 4.0 ในปัจจุบันโดยEPSได้พัฒนา ซอฟต์แวร์เฉพาะที่มีชื่อว่าSIMเพื่อยกระดับความสามารถและประสิทธิภาพให้กับโรงงาน 2.9 SIM SIMs ห รื อ Systematically Integrated Maintenance Software เป็น ซ อฟ ต ์ แ ว ร ์ CMMS service ที ่ออกแบบมาเพื ่อเก็บรวบรวมข้อมูลระบบงานซ ่อมบ ารุงทั้งหมดในโรงงานด้วยระบบ คอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการกระบวนการซ่อมบ ารุงรักษาเครื่องจักรอย่างอัจฉริยะ สามารถ ด าเนินการตามขั้นตอน และช ่วยในการวางแผนการผลิตอย ่างเป็นระบบ ช ่วยเพิ ่มประสิทธิภาพของ เครื่องจักร และอุปกรณ์ต ่างๆ นอกจากนี้ยังมีระบบการแจ้งเตือนแบบ Real-Time พร้อมทั้งช่วยดูแล เครื่องจักรเพื่อยืดอายุการท างาน เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรมในยุค Industrial 4.0 ที่สามารถเชื่อมต่อ เครื่องจักรทั้งโรงงานเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการวางแผนการผลิตและประเมิน 2.9.1 ประสิทธิภาพของเครื่องจักร ปัญหาการจัดการงานซ่อมบ ารุงที่พบในโรงงานที่สามารถน า ระบบ SIMs มาแก้ไขได้โรงงานขาดประสิทธิภาพในการจัดการเอกสาร การบันทึก การเก็บรวบรวมข้อมูล ที่มีจ านวนมาก ท าให้จัดการเอกสารได้ยากและขาดความแม่นย าเครื ่องจักรมีอายุการใช้งานน้อยกว่า มาตรฐานที่ควรจะเป็น มีค่าใช้จ่ายในการบ ารุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกปีใช้เวลาและ ทีมงานจ านวนมากไปกับงานซ่อมบ ารุงเครื่องจักรมีระบบจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ยังขาดระบบใน การสังเกตการณ์ออนไลน์ (Online Monitor) ระบบบริหารจัดการข้อมูลที ่ใช้อยู ่มีราคาสูง แต ่ได้ ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควรเครื่องจักรเกิดการช ารุด (Breakdown) ท าให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการ ผลิต 2.9.2 SIMs ในระบบ CMMS ของ EPS โปรแกรม CMMS ส่วนใหญ่มักเป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนา โดยผู้ช านาญการด้านโปรแกรมเพียงอย่างเดียว ในขณะที่โปรแกรม SIMs นอกจากจะถูกพัฒนาขึ้นมาจาก
80 ทีมเขียนโปรแกรมที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญแล้ว ยังมีประสบการณ์ด้านการซ่อมบ ารุงกว่า 20 ปีจึง เข้าใจลักษณะเครื ่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถประเมินสภาพเครื ่องจักร รวมถึงในกรณีที่ เครื่องจักรมีปัญหาก็สามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้อย่างแม่นย า นอกจากนี้ ระบบยังมีการพัฒนา อย ่างต ่อเนื ่อง มีการปรับปรุงตลอดเวลาท าให้บริการ CMMS service ของ EPS สามารถสร้างและ ออกแบบระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการ และสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ตามความต้องการของลูกค้า ที ่จะให้ทีมซ ่อมบ ารุงท างานได้เต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม ่ซับซ้อน สามารถท างานร่วมกับระบบ ฐานข้อมูลเดิมได้ ออกแบบตามมาตรฐานสากลโดยทีมงานและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยตรง ดูแล ลูกค้าอย่างใกล้ชิดโดยทีมงานมืออาชีพ 2.9.3 ประโยชน์จากการใช้ระบบ SIMs โดย EPS เครื่องจักรในโรงงานเป็นหัวใจส าคัญที่ต้องดูแล รักษาอย่างสม ่าเสมอ ระบบ SIMs จึงถือว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ส าคัญ ส าหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ใน การเพิ่มการบริหารจัดการงานซ่อมบ ารุงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เครื่องจักรสามารถท างานได้อย่างเต็มที่ ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และลดโอกาสเกิดการช ารุดของเครื่องจักร ท าให้สามารถด าเนินการผลิต ได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพให้โรงงานและลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่ ช่วยลดภาระการท างานอีกมากมาย ได้แก่ลดเวลาในการจัดท าเอกสาร ค้นหาเอกสาร และท าเอกสารสรุป รายงานประวัติการซ่อมบ ารุงเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วจากที่ใดก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งบน Mobile App และ Desktop พร้อมเรียกดูข้อมูลและสั ่งการได้ทันทีลดขั้นตอนการท างานที ่ไม ่จ าเป็นออกไป กระบวนการท างานของ SIMs เป็นอย่างไร ขั้นตอนการท างานของโปรแกรมซ่อมบ ารุง SIMs ในแต่ละ Module Module: Equipment รวบรวมฐานข้อมูลเครื่องจักรของโรงงานไว้ในที่เดียว ช่วยจัดการ ข้อมูลของอุปกรณ์และแยกกลุ่มอุปกรณ์ ตามโรงงาน แผนก ฝ่าย และกลุ่มเครื่องจักรได้ รวมถึงจ าแนก ประเภทหรือสเปคเครื่องจักรและบันทึกประวัติการซ่อมบ ารุงModule: Plan Maintenance ระบบวาง
81 แผนการซ ่อมบ ารุง PM (Preventive Maintenance) ด้วยการวัดระยะเวลาเดินหรือปริมาณงานที่ใช้ จัดการสร้างคู ่มือการท างานรูปแบบต ่างๆ ของงาน และช ่วยสร้างแผนก าหนดเวลาระยะเวลา PM ที่ เหมาะสมส าหรับงานแต่ละประเภทModule: Job Request ระบบแจ้งงานซ่อมและบันทึกผลการแจ้ง ซ่อม ตรวจสอบสถานะของ Job Request รวมถึงการประเมินราคาซ่อม และสร้างรายงาน สรุปปริมาณ งานได้ทันทีModule: Plant Performance ระบบบันทึกความผิดปกติที ่เกิดขึ้นของเครื ่องจักร และ วิเคราะห์หาสาเหตุของความผิดปกติ ก าหนดรายงานเวลาใช้งานต่อเนื่องของเครื่องจักรModule: Smart Maintenance ระบบที่ช่วยจัดการสุขภาพเครื่องจักร ผู้ใช้สามารถติดตามสถานะเครื่องจักรแบบ RealTime และตรวจสอบสถานะการท างานเครื ่องจักรได้ผ ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือEPS ผู้ ให้บริการ CMMS service Thailand ชั้นน าของประเทศระบบ CMMS เป็นหนึ ่งในส ่วนส าคัญของ โรงงานผลิตทั่วทุกแห่งหน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานในอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร ไฟฟ้า หรืออื่นๆ จึงควร ปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ อย่าง EPS หรือ บริษัท อีโค่ แพลนท์ เซอร์วิสเซส จ ากัด ผู้น าแนวหน้าที่ให้บริการด้านวิศวกรรมมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เรามี ความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะน าเสนอ Services and Solutions ทางวิศวกรรมให้ตอบสนองและตอบ โจทย์ความต้องการของลูกค้า การศึกษาการปรับปรุงระบบการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันของโรงงานผลิตเพลารถยนต์ เพื่อลดความถี่ การเสียของเครื่องจักร ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์สาเหตุของลักษณะ ข้อบกพร่องและผลกระทบ (FMEA) ในการช่วยวิเคราะห์ถึงสาเหตุและเก็บข้อมูลเพื่อค านวณค่า MTBF และ MTTR ของเครื่องจักรโดยน ามาเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดที่สร้างไว้ พบว่า หลังจากการใช้ระบบซ่อมบ รุงรักษาเชิงป้องกันที่มีการปรับปรุงส่งผลให้เครื่องจักรที่ปฏิบัติตามแผนมีค่า MTBF สูงขึ้นจากเดิม 83±45 ชั่วโมงต่อครั้ง เป็น 87±22 ชั่วโมงต่อครั้ง และค่า MTTR ที่ลดลง จาก 84.70±32.57 นาทีต่อครั้ง เป็น 70.38±33 ชั่วโมง ต่อครั้ง[1]การศึกษาการปรับปรุงระบบการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันส าหรับแผนกพาว เวอร์ซัพพลายของโรงงานกรณีศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเตรียมความพร้อมของเครื่องจักร หลังจาก ปรับปรุงพบว่าเปอร์เซ็นต์ Delay ลดลงจาก 3.27% เป็น 0.81% คิดเป็น 75.23% เมื่อเทียบกับก่อนการ ใช้ระบบ และเวลาสูญเสียเฉลี่ยจากการหยุดท างานของเครื่องจักรลดลงจาก 16.16% เป็น 8.02% เมื่อ เทียบกับเวลาสูญเสียทั้งหมด และจากเปอร์เซ็นต์ Machine Operation Ratio ของส่วน Insertion มีค่า เพิ่มขึ้นในช่วง 1.93%-8.76%[2]การศึกษาการวางแผนบ ารุงรักษาเชิงป้องกันเครื่องจักรในอุตสาหกรรม รีเลย์ หลังด าเนินการ ซึ่งสรุปผลได้ดังต่อไปนี้ ค่า MTBF เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเป็น 215.42 เปอร์เซ็นต์จากเดิม ค่า MTTR ลดลงโดยเฉลี่ยเป็น 73.91 เปอร์เซ็นต์จากเดิม ค่าความพร้อมใช้งานของ
82 เครื่องจักรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเป็น 18.67 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการช ารุดลดลง 35.89 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการลดอัตราการเสียหายของเครื ่องฆ่าเชื้อของบริษัท ฟรีส แลนด์คัพน่า ผลจากการปรับปรุงทให้การเสียหายของเครื ่องฆ่าเชื้อที ่มีประวัติการเสียหายตั้งแต่เดือน มกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน 2555 มีอัตราเสียหายเฉลี่ย ร้อยละ 1.45 ของเวลาการผลิต ลดลงเหลือร้อย ละ 0 ในเดือนธันวาคม 2555 และจากผลการศึกษานี้น าไปสร้างแผนการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันของ อุปกรณ์ควบคุมแรงดันระบบหล่อเย็นการศึกษาการหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการด าเนินงาน ด้านเอกสารประกอบการเดินพิธีการกรมศุลกากร (ใบขนขาออก) กรณีศึกษาบริษัทตัวแทนส่งสินค้าทาง อากาศแห่งหนึ่งหลังการปรับปรุง พบว่า สามารถลดเวลาเฉลี่ยได้ถึง 78.65 เปอร์เซ็นต์ และผู้วิจัยได้ท า การวิเคราะห์ต่อโดยใช้แผนภูมิพาเรโต พบว่า เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก เช่นจ านวนหีบห่อ ชื่อเลขที่อิน วอนซ์วันที่ในอินวอยซ์ปริมาณหน ่วยสินค้า เป็นต้น ในข้อผิดพลาดนี้ทางบริษัทสามารถพัฒนาเพื ่อลด ข้อผิดพลาดนี้ต่อไปได้อีกการศึกษาการปรับปรุงประสิทธิผลโดยรวมของอุปกรณ์เครื่องจักรเพื่อให้เกิด ความสามารถในการผลิตสูงสุด โดยมีกรณีศึกษาเป็นโรงงานเครื่องดื ่ม หลังจากด าเนินกิจกรรมต่างๆ ส าหรับปรับปรุงค ่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื ่องจักรพบว ่าความถี ่และเวลาสูญเสียจากการหยุด เครื่องจักรมีค่าลดลง อัตราการเดินเครื่องจักรมีค่าสูงขึ้น มีระบบบ ารุงรักษาดีขึ้น พนักงานมีความรู้และ ทักษะสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าประสิทธิผลโดยรวมของสายการผลิตมีค่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.6 เป็นร้อยละ 72.2 การศึกษาการวางแผนบ ารุงรักษาเครื ่องอัดขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการผลิตเซรามิก หลังจากที่ได้ด าเนินการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันกับเครื่องจักรที่ท าการศึกษาแล้ว ผลที่ได้ คือ ระยะเวลา เฉลี ่ยระหว ่างการเกิดเหตุขัดข้องของเครื ่องจักรเพิ ่มขึ้น 56.99% ,ระยะเวลาเฉลี ่ยการซ ่อมแซมของ เครื่องจักรลดลง 48.77%และอัตราความพร้อมใช้งานเครื่องจักรเพิ่มขึ้น 1.66% 2.10 ค่ำใช้จ่ำย สถิติการเกิดอุบัติเหตุและการได้รับบาดเจ็บของคนงานก่อสร้างในประเทศไทยนั้นมีอัตราที่ค่อนข้าง สูงเมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศ นักวิจัยหลายท่านพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการประเมินหา ค่าใช้จ ่ายเพื ่อป้องกันอุบัติเหตุที ่จะเกิดขึ้น รัฐบาลไทยเองก็ก าหนดนโยบายให้ผู้รับเหมาต้องน าเสนอ แผนปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยพร้อมค่าใช้จ่ายเพื่อให้อุบัติเหตุลดน้อยลงอย ่างไรก็ตามยังมีคนงาน ได้รับบาดเจ็บอยู่มากเช่นเดิม บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกรอบแนวคิดในการศึกษาค่าใช้จ่าย ระบบความปลอดภัยที่เหมาะสมของโครงการก่อสร้างงานอาคาร ซึ่งเก็บข้อมูลด้วยการสอบถามผู้รับเหมา ในการลงทุนด้านความปลอดภัย และการสูญเสียอันเกิดจากอุบัติเหตุ จากนั้นค านวณหาค่าสัดส่วนการ
83 ลงทุนด้านความปลอดภัย สัดส่วนการสูญเสียจากอุบัติเหตุ และดัชนีการเกิดอุบัติเหตุ แล้วน าค่ามา วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว ่างสมรรถภาพความปลอดภัยกับมูลค ่าโครงการตามสัญญาและค่า เปอร์เซ็นต์การลงทุนด้านความปลอดภัยที ่เหมาะสมกับมูลค ่าโครงการตามสัญญา จากการส ารวจ เบื้องต้นพบว ่า รายการที ่มีผลต ่อการลงทุนด้านความปลอดภัย คือ ผู้ดูแลความปลอดภัย มาตรการ ป้องกัน การฝึกอบรมและการฝึกปฏิบัติ การรณรงค์ส่งเสริม และการเกิดอุบัติเหตุในหน่วยงาน ดังนั้น การที่สามารถประมาณค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมได้ล่วงหน้า จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาการอุบัติเหตุ ในงานก่อสร้างของไทยให้ลดน้อยลงได้ 2.11 ควำมปลอดภัย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และองค์การอนมัยโลก WHO ได้จ ากัดความร่วมกันถึง วัตถุประสงค์และขอบเขตของการด าเนินงานด้านความปลอดภัย 3 หลักที่ในองค์กรนั้นควรจัดให้มี 1.มีการส่งเสริมด้านสุภาพของพนักงาน 2.มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการท างานให้พื้นที่การท างานนั้นเกิดความปลอดภัย 3.มีการเสริมสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยในการท างานภายในองค์กร และ สนับสนุนในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับการท างานให้ปลอดภัยโดยให้พนักงานทุกคนนั้นมีส่วนร่วม มีการออกนโยบายจาก ผู้บริหารเพื ่อแสดงจุดยืนด้านความปลอดภัยขององค์กร มีการสนับสนุนในด้านการฝึกอบรมความ ปลอดภัย 2.11.1 อันตรายจากการท างาน Workplace hazards แม้ว ่าการท างานจะให้ผลประโยชน์กับ นายจ้างและทางเศษรกิจอื ่นๆอย่างมากมาย แต ่การท างานก็แฝงไปด้วยอันตรายในสถานที ่ท างานที่ มากมายด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า สภาพการท างานที่ไม่ปลอดภัย เช่น สารเคมี สารก่อให้เกิดภูมิแพ้ สารชีวภาพ อันตรายจากการรับสัมผัสสารเคมีอันตรายในที ่ท างาน ได้แก ่ สารพิษต ่อระบบประสาท สารเคมีที่ท ามีผลต่อภูมิคุ้มกัน สารเคมีที่ท าลายผิวหนัง สารเคมีประเภทก่อมะเร็ง สารก่อโรคหอบหืด เป็น ต้น ปัจจัยอันตรายทางกายภาพ สภาพการท างานด้านการยศาสตร์ อันตรายการจากสูญเสียการได้ยินจาก เสียงดังซึ่งพบบ่อยที่สุดในประเทศสหัฐอเมริกาโดยมีพนักงานประมาณ 22 ล้าน คนที่สัมผัสกับเสียงดังเกิด มาตรฐาน 2.11.2 พื้นฐานเกี่ยวกับความปลอดภัยในการท างาน สิ่งที่ต้องค านึงถึงเสมอในการปฏิบัติงานด้าน อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงงานคือความปลอดภัย โดยเฉพาะการผลิตในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมี ความเสี่ยงที่จะได้รับ อันตรายจากการท างานสูง หากป้องกันไม่รัดกุมไม่เพียงพออาจก ่อให้เกิดความ
84 เสียหายทั้งผู้ปฏิบัติงาน วัตถุดิบและเครื ่องจักรในการผลิต อุบัติเหตุส ่วนใหญ ่เกิดขึ้นจากการ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความประมาทของผู้ปฏิบัติงานเอง นอกจากนี้แล้วสภาพแวดล้อม ในการท างาน เช่น การวางผังโรงงาน เครื่องจักร อากาศ แสงสว่าง หรือเสียงก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากสิ่งเหล่านั้นมี ความบกพร่องและผิดจากมาตรฐานที่ก าหนดไว้ก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อเช่นกันดังนั้นความปลอดภัย ในการท างานจึงถือเป็นหัวใจส าคัญของการท างาน เมื่อมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วนั้น โอกาสที่ จะประสบอันตรายในขณะท างานย ่อมลดน้อยลงตามไปด้วยความปลอดภัยในการท างาน คือ การมี สภาพการณ์ที ่ปลอดภัยพนักงานที่ท างานปราศจากการอุบัติเหตุต ่างๆ ที ่ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บต่อ ร่างกาย ชีวิต หรือทรัพย์สินในขณะที่ปฏิบัติงาน 2.11.3 อุบัติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อน และ เมื่อเกิดขึ้นแล้วท าให้ส่งผล กระทบต่อการท างาน ท าให้ทรัพย์สินเสียหายหรือ บุคคลได้รับบาดเจ็บ การเกิดอุบัติเหตุมักเกิดจากสาเหตุที่ส าคัญอยู่ 3 ประการ คือ 1) สภาพการณ์ หรือเครื ่องมือเครื ่องจักร อุปกรณ์ ไม ่ปลอดภัย (hard ware) เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์มีการช ารุด มีพื้นที่หรือบริเวณท างานที่เป็นอันตราย 2) วิธีการท างานไม่ปลอดภัย (soft ware) เช่น ไม่มีการก าหนดขั้นตอนการท างาน ไม่มี WI 3) ตัวบุคคลประมาท (human ware) พนักงานไม ่มีความระมัดระวัง ท างานด้วยความ ประมาท ชอบเสี่ยง ไม่ท าตามกฎระเบียบ เป็นต้น จากข้อ 3. อุบัติเหตุที่เกิดจากการกระท าที่ไม่ปลอดภัยเป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ คิดเป็น 85% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด การกระท าที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ การท างานข้ามขั้นตอน หรือ ลัดขั้นตอน ความประมาท พลั้งเผลอ เหม่อลอย การมีนิสัยชอบเสี่ยง หรือเจตนาหลีกเลี่ยงเพื่อความสะดวกสบาย ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัยในการท างาน ปฏิบัติงานโดยไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคค PPE ใช้เครื่องมือไม่เหมาะสมหรือผิดประเภท , ดัดแปลงหรือแปลงสภาพเครื่องมือ เครื่องจักร การท างานโดยสภาพร่างกายหรือจิตใจไม่ปกติ ไม่พร้อมปฏิบัติงาน ท างานด้วยความรีบร้อน เร่งรีบ เป็นต้น 2.11.4 การป้องกันอุบัติเหตุ ตามหลักการของ safety มีด้วยกัน 3 วิธีคือ การป้องกันหรือแก้ไขที่ แหล่งก าเนิดอันตราย source เป็นแก้ไขแก้ที่ดีที่สุด ตามหลักวิศวกรรม Engineering เพราะได้ท าการ
85 จัดการที่ต้นเหตุของปัญหาด้วยการออกแบบให้เครื่องจักรหรือสถานที่เกิดความปลอดภัยมากขึ้น แต่การ แก้ไขด้วยวิธีนี้มักใช้งบประมาณและต้นทุนมาก เสียเวลา และ ทรัพยากรค่าใช้จ่ายสูง หรือ การแก้ไขท าได้ ยาก จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก ส่วนใหญ่เราจะเห็นบริษัทหรือโรงงานใหญ่ๆที่ให้ความส าคัญด้าน safety จริงๆจึงจะยอมลงทุนแก้ไขด้วยวิธีการนี้การป้องกันที่ทางผ่าน Path เป็นการตัดแยกให้แหล่งอันตรายกับ คนท างานแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น การท างานกับเครื่องจักรที่มีจุดหนีบ การแก้ไขคือ ให้ท าการเอาเครื่องก าบังมาครอบเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มือของพนักงานสามารถเข้าไปอยู่ในบริเวณจุด หนีบได้ เป็นต้นการแก้ไขที่ตัวบุคคล Receivers เป็นวิธีการแก้ไขที ่สามารถท าได้โดยง่ายและรวดเร็ว ประหยัด ท าให้ส่วนใหญ่จะจบด้วยการที่ให้พนักงานท างานอย่างระมัดระวัง หรือ สวมใส่ PPE แต่การ แก้ไขด้วยวิธีนี้ข้อเสียคือมีความปลอดภัยน้อยที่สุดใน 3 วิธีที่กล่าวมาและบ่อยครั้งอุบัติเหตุก็ยังคงเกิดอยู่ ซ ้าตามเดิมการป้องกันอุบัติเหตุและท างานให้เกิดความปลอดภัยนั้นยังสามารถท าได้ด้วยวิธีอื่นเข้ามาช่วย เช่นการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับในสถานประกอบการอย่างเคร่งครัดใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตราย ส่วนบุคคล PPE ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานติดตั้งการ์ดเครื่องจักร สวมใส่เครื่องแต่งกาย และแบบฟอร์มที่เหมาะสมกับลักษณะงาน ไม่ใส่เครื่องประดับ หรือ ปล่อยผมยาว ขณะท างานกับเครื่องจักรจัดให้มีแสงสว่างภายในโรงงานที่เพียงพอตามมาตรฐานพิจารณาในด้านต าแหน่ง ที่ตั้งที่เหมาะสมของระบบโครมไฟฟ้า เพื่อให้ความเข้มส่องสว่างบนโต๊ะท างานที่เพียงพอและไม่เกิดเงา หรือแสงสะท้อน รวมทั้งการเลือกชนิดของหลอดไฟที่เหมาะสมกับสภาพการท างานพื้นที ่ท าวานมีการ ระบายอากาศ พิจารณาของการไหลเวียนอากาศเข้าออกจากบริเวณท างาน รวมทั้งคุณภาพของอากาศ ด้วย อาทิ ความชื้นสัมพัทธ์อุณหภูมิอากาศ ปริมาณฝุ่นละออง กลิ่นควันพิษที่มีอยู่ในอากาศนั้น 2.12 กำรวำงแผนกำรบ ำรุงรักษำ ปัจจุบันการวางแผนบ ารุงรักษามีความส าคัญต่อการป้องกันและลดปัญหาเครื่องจักรช ารุดเสียหาย โดยเฉพาะธุรกิจภาคการผลิตจะเกิดความสูญเสียหลายประการ อาทิ ค่าล่วงเวลา เวลา ของเสีย และความ สูญเสียโอกาสการแข่งขันที่มีสาเหตุหลักจากการขาดแผนงานบ ารุงรักษาที่เหมาะสม ดังนั้นผู้ประกอบการ ควรพิจารณาปัจจัยและประเมินผลกระทบการบ ารุงรักษาหลังเกิดเหตุขัดข้อง เพื่อลดความสูญเสียโอกาส ทางธุรกิจหากปราศจากแผนการบ ารุงรักษาแล้วความเสียหายที ่เกิดจากสาเหตุเครื่องจักรขัดข้องและ ค ่าใช้จ ่ายการถอดเปลี ่ยนชิ้นส่วนจะสูงมาก ซึ ่งการด าเนินการอย ่างมีประสิทธิผลควรค านึงถึงความ เหมาะสมด้วยการจัดท าแผนเพื่อลดความสูญเสียและยืดอายุการใช้งานเครื่องจักร หลายทศวรรษที่ผ่านมา บทบาทฝ่ายบ ารุงรักษาถูกมองว่าเป็นศูนย์ต้นทุน (Cost Center) โดยมุ่งดูแลเครื่องจักรให้สามารถใช้งาน
86 ด้วยต้นทุนต ่าสุด แต่แนวโน้มอุตสาหกรรมได้ถูกปรับเปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมที่มุ่งใช้แรงงานสู่ความเป็น อัตโนมัติมากขึ้น ดังนั้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลการบ ารุงรักษาไม่เพียงแค่ศูนย์ต้นทุนแต่ได้กลายเป็น อาวุธส าคัญในการแข ่งขัน โดยเฉพาะฝ่ายบ ารุงรักษาจะรับผิดชอบการวางแผน เช ่น การจัดท าแผน ก าหนดการและปฏิบัติตามใบสั่งงานให้เสร็จสิ้นภายในก าหนด งานดังกล่าวครอบคลุมถึงการบ ารุงรักษา เชิงคาดการณ์(Predictive Maintenance) และการบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) รวมถึงงานแก้ไขที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายผลิตและวิศวกรรม ดังนั้นการวางแผนจะมุ่งประเด็นการจัดสรร ทรัพยากรที ่จ าเป็นต ่องานซ ่อมบ ารุงให้เสร็จภายในก าหนดการด้วยค ่าใช้จ ่ายที ่เหมาะสม รวมถึง ก าหนดการในแผนบ ารุงรักษาควรตอบค าถามส าคัญ อาทิการบ ารุงรักษาเครื ่องจักรในโรงงาน ประกอบด้วยงานอะไรบ้าง งานอะไรที่มีความส าคัญสูงสุด เครื่องจักรมีความพร้อมเดินเครื่องเมื่อไหร่และ ทรัพยากรหรือระบบสนับสนุนการผลิตมีความพร้อมเมื่อไหร่ 2.12.1 การบ ารุงรักษาเชิงวางแผน การบ ารุงรักษาเชิงวางแผน (Planned Maintenance) เป็นกิจกรรมที่มุ่งประสิทธิผลงาน บ ารุงรักษาด้วยการตรวจจับความบกพร่องเพื่อให้เครื่องจักรมีสภาพพร้อมใช้งานสูงสุดและลดค่าใช้จ่าย บ ารุงรักษา รวมถึงการด าเนินกิจกรรมปรับปรุงสภาพเครื่องจักรที่มุ่งขจัดความขัดข้องและปัญหาการหยุด เดินเครื ่องจักร โดยใช้ข้อมูลที ่บันทึกเพื่อระบุก าหนดการบ ารุงรักษา ด าเนินการโดยบุคลากรฝ ่าย บ ารุงรักษาร่วมกับแรงงานสายการผลิต ดังนั้นกิจกรรมหลักบ ารุงรักษาเชิงวางแผน คือ การบันทึกสภาพ ปัญหาเครื่องจักรและการประเมินผลเบื้องต้น การฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การสร้างระบบสารสนเทศงาน บ ารุงรักษา การจัดเตรียมข้อมูลคัดเลือกเครื่องจักรหรือชิ้นส่วนให้สอดคล้องกับแผนงานบ ารุงรักษา รวมถึง การพัฒนาและปรับปรุงแผนงานต่อเนื่อง ดังนั้นการก าหนดเป้าหมายงานบ ารุงรักษาควรด าเนินการร่วม ระหว่างฝ่ายบ ารุงรักษากับฝ่ายงานเกี่ยวข้อง แต่แผนงานมักเกิดข้อจ ากัดบางประการ เนื่องจากต้องใช้ ทรัพยากร อาทิ บุคลากร เวลา และงบประมาณ โดยด าเนินกิจกรรมตามแผนงานที่ระบุไว้ อาทิ
87 ภำพที่ 2.38 การวางแผนการบ ารุงรักษา 2.12.2 ประเภทแผนงานบ ารุงรักษา 1) การตรวจเช็คตามรอบเวลา (Periodical Check) 2) การซ่อมใหญ่และการถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ (Replacement) 3) การปรับตั้งเครื่องและการเปลี่ยนถ่ายน ้ามันตามรอบเวลา 4) การน าสารสนเทศการขัดข้องเพื่อใช้วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น 5) การแสดงแนวโน้มสมรรถนะจากค่า MTBF, MTTR และความคืบหน้าเทียบกับแผนที่ ระบุไว้ 6) การค้นหาปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่อง 7) การควบคุมความเที่ยงตรงของเครื่องด้วยการสอบเทียบ (Calibration) 8) การควบคุมความพร้อมสิ่งอ านวยความสะดวกงานบ ารุงรักษา โดยเฉพาะอะไหล่ด้วยการ วินิจฉัยและคาดการณ์ความเสื ่อมสภาพสภาพเครื ่องจักรด้วยการวิเคราะห์สภาพการหล่อลื ่นและการ วิเคราะห์ความสั่นสะเทือน การวิเคราะห์ข้อมูลส าคัญและแสดงด้วยตัวชี้วัดส าคัญจากเครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ
88 ภำพที่ 2.39 อัตราการเสื่อมสภาพเครื่องจักร โดยฝ่ายบ ารุงรักษาจะมีบทบาทสนับสนุนการฝึกอบรมให้กับทีมงานบ ารุงรักษาด้วยตนเอง ด าเนินการโดย ผู้ควบคุมเครื่องจักร ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ดังนี้. 1)ช่วงเริ่มต้นโครงการปรับปรุงเครื่องจักร โดยมีการอธิบายหน้าที่การท างานเครื่องจักร การระบุ รายการท าความสะอาด การตรวจสอบ และการหล่อลื่น ซึ่งมีการจัดท าเอกสาร One Point Lesson ให้ ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้และแนะน าวิธีการตรวจสอบขณะที่ด าเนินการท าความสะอาด รวมทั้งฝึกอบรมเรื่อง การเคลื่อนย้ายงานและตรวจสอบกลไกท างานขณะเดินเครื่องเพื่อค้นหาความผิดปกติ โดยให้ผู้ปฏิบัติงาน สามารถก าหนดเกณฑ์การตรวจสอบ (Pass-Fail Criteria) 2)การวิเคราะห์สาเหตุต้นตอและประเภทปัญหาความบกพร่องในสายการผลิตซึ่งส่งผลกระทบต่อ เวลาการเดินเครื่องจักรและคุณภาพผลิตผล โดยปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการควบคุมคุณภาพสู่การประกัน คุณภาพด้วยการศึกษาองค์ประกอบหลักของเครื่องจักรที่ส่งผลต่อคุณภาพผลิตผลและด าเนินการขจัดต้น ตอปัญหา ซึ ่งมีการติดตามวัดผลตามรอบเวลาเพื ่อใช้ข้อมูลด าเนินกิจกรรมไคเซ็นและจัดเก็บข้อมูลที่ จ าเป็น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ อาทิ ต าแหน่งที่เกิดปัญหาความบกพร่อง ความรุนแรงแต่ละประเภทปัญหา ความถี่การตรวจพบปัญหาแต่ละช่วงการทดสอบ รวมทั้งข้อมูลแสดงแนวโน้มการเกิดปัญหาทางคุณภาพ ตามรอบเวลาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการ โดยเฉพาะเงื่อนไขการท างานแต่ละกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ แรงงาน วิธีการท างาน วัสดุ และเครื ่องจักร การก าหนดมาตรฐานหรือเงื่อนไขการท างานของแต่ละ กระบวนการ ข้อมูลบันทึกเกี่ยวกับสภาพการท างานขณะที่เกิดปัญหาขึ้น
89 ภำพที่ 2.40 กระบวนการร่วมแก้ปัญหา 3)จัดเตรียมสิ ่งอ านวยความสะดวกและระบบป้องกัน อาทิสร้างระบบควบคุมด้วยการมองเห็น (Visual Control) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสะดวกต่อการตรวจจับปัญหาและสามารถเข้าถึงจุดที่ยากต ่อการ ตรวจสอบก าหนดความถี่และวิธีการด าเนินกิจกรรม อาทิ การท าความสะอาด การหล่อลื่น การขันแน่น รวมถึงการให้ค าแนะน ากับผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับปัญหาการท างานจัดเตรียมเครื่องมือที่จ าเป็นไว้ในพื้นที่ ท างานเพื่อสามารถหยิบใช้งานได้สะดวกจัดเตรียมใบงานแสดงการขัดข้อง (Breakdown Sheet) เพื่อใช้ วิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขความผิดปกติที่ถูกตรวจพบท าการสาธิต อธิบายแนวทางด าเนินการบ ารุงรักษา เชิงป้องกันและการบ ารุงรักษาด้วยตนเองก าหนดมาตรฐานการหล่อลื่นและตรวจสอบ แรงดัน อุณหภูมิ มาตรฐานท าความสะอาด
90 ภำพที่ 2.41 ตัวอย่างมาตรฐานเปลี่ยนถ่ายน ้ามัน ส าหรับผู้จัดการฝ่ายผลิตและฝ่ายบ ารุงรักษา ควรให้การสนับสนุนร่วมก าหนดนโยบายสร้างระบบ บ ารุงรักษาด้วยตนเอง โดยระบุรายละเอียดขอบเขตประเภทงานบ ารุงรักษาพนักงานแต่ละคนและขั้นตอน ท างานที่ชัดเจน ดังนั้นก่อนที่จะมอบหมายความรับผิดชอบให้กับพนักงานควรท าการฝึกอบรมเพื่อลด ความผิดพลาดขณะปฏิบัติงาน ส่วนขั้นตอนด าเนินการบ ารุงรักษาด้วยตนเอง ได้แก่ การจัดเตรียมบุคลากร การท าความสะอาดเครื่องจักรเบื้องต้น การแก้ปัญหา มาตรฐานบ ารุงรักษาด้วยตนเอง การตรวจสอบ ทั่วไป การตรวจสอบด้วยตนเองและการบริหารจัดการด้วยตนเอง (Autonomous Management) ภำพที่ 2.42 แผนมุ่งสู่ความช ารุดเป็นศูนย์
91 ส าหรับการก าหนดเป้าหมายงานบ ารุงรักษาจะมีการประสานความร ่วมมือระหว ่างฝ่ายงาน โดยเฉพาะประเด็นการบ ารุงรักษาเชิงป้องกันหรือ PM ที่ต้องด าเนินการคัดเลือกเครื่องจักรที่มีผลกระทบ ต่อกระบวนการและบันทึกข้อมูลในแบบฟอร์มพร้อมท าเครื่องหมายบนเครื่องจักรด้วย แต่ละองค์กรได้ ก าหนดแผนบ ารุงรักษาแตกต ่างกันที ่ขึ้นกับปัจจัยสภาพเครื ่องจักรและความพร้อมทางทรัพยากรใน กิจกรรมบ ารุงรักษาเชิงป้องกัน บางกรณีอาจก าหนดให้มีการหยุดเดินเครื่องจักรและด าเนินกิจกรรม PM ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สถานการณ์เร่งด่วนอาจต้องมีแผนฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์หรืออาจก าหนด กิจกรรมบ ารุงรักษาตามรอบเวลาและการบ ารุงรักษาตามสภาพการณ์รวมทั้งการปรับปรุงค่าเวลาเฉลี่ย ระหว่างการบ ารุงรักษา (Mean Time Between Maintenance) เป็นการวัดค่าเฉลี่ยช่วงเวลาระหว ่าง การด าเนินกิจกรรมบ ารุงรักษา เช่น การหยุดเดินเครื่องจักรเพื่อท าการปรับเปลี่ยนใบมีดตัดและการปรับ ค่าเวลาการซ ่อมแซมที่ประเมินตั้งแต ่เครื่องจักรเกิดขัดข้องจนกระทั่งด าเนินการซ่อมเสร็จสิ้น (Mean Time to Repair) หรือ MTTR ซึ ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบ ารุงรักษาเชิงแก้ไข การด าเนินกิจกรรม ดังกล่าวจะมีทีมงาน PM แบบเต็มเวลาให้การสนับสนุน เมื่อปัญหาเครื่องจักรขัดข้องลดลงหลังจากด าเนิน กิจกรรมบ ารุงรักษาไประยะหนึ่งก็อาจด าเนินกิจกรรมบ ารุงรักษาตามสภาพหรือถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนตาม สภาพการใช้งาน การก าหนดรายละเอียดกิจกรรมจะมีคณะกรรมการเพื่อระบุปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการ ผลิตประจ าวันซึ่งการระบุก าหนดการแต่ละกิจกรรมจะขึ้นกับความรุนแรงหรือความเร่งด่วนของปัญหา โดยกิจกรรมที่ถูกระบุในช่วงการเดินเครื่องจักร ได้แก่การวางแผนอะไหล่ส ารอง การจัดเตรียมบุคลากร เพื ่อปฏิบัติการฉุกเฉิน การถอดเปลี ่ยนและเคลื ่อนย้ายชิ้นส ่วน การวิเคราะห์แบบ Why-Why การ ตรวจสอบสภาพและระดับน ้ามัน การตรวจสอบความเรียบร้อยของการเดินสายไฟและอุปกรณ์เชื่อมต่อ ส่วนกิจกรรมที่ด าเนินในช่วงหยุดเดินเครื่องจักร ได้แก่ การถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนตามรอบเวลา การทดสอบ ความสั่นสะเทือนและกระแสมอเตอร์ทดสอบความผิดปกติของเสียง ทดสอบการรั่วน ้ามันและความดัน อากาศ การระบุก าหนดการจะต้องศึกษาประวัติเครื่องจักรแต่ละความถี่ การขัดข้องหรือข้อเสนอแนะของ ผู้ผลิตเครื่องจักร ส่วนการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนและการปรับตั้งเครื่องจะถูกก าหนดไว้ในก าหนดการเพื่อใช้ จัดเตรียมอะไหล่ชิ้นส่วนให้พร้อม ดังนั้นแผนบ ารุงรักษาเชิงป้องกันจะต้องครอบคลุมถึงก าหนดการ บ ารุงรักษาที่จัดท าตามค าแนะน าของผู้ผลิตเครื ่องจักรและข้อมูลประวัติเครื่องจักร แผนการฝึกอบรม แผนการปรับปรุงสภาพเครื่องจักร รวมทั้งการวางแผนจัดเตรียมชิ้นส่วนและอะไหล่ โดยแนวทางมุ่งสู่ความช ารุดเสียหายเป็นศูนย์ (Zero Breakdown) ประกอบด้วย