70 แนวความคิด เทคนิค สีนํามันบนผ้าใบ ขนาด 100 � x150 เซนติเมตร แนวคิด วัยสูงอายุเป� นวัยที�อยู่ในช่วง บันปลายของชีวิต เป� � นวัยที�ร่างกายเริ� มเสื�อมสภาพ ในมุมมองของลูกหลาน ความตายของผู้สูงอายุ เป� นเรื�องน่ากลัว เป� นลางร้ายเมื�อพูดถึง ลูกหลานจึงหลีกเลี�ยงที�จะพูดถึงความตายกับผู้สูงอายุ แต่เมื�อหลีกเลี�ยงที�จะพูด เท่ากับการยอมรับว่า ลูกหลานยังไม่พร้อมรับมือกับความสูญเสีย แต่สิ� งที� ผู้สูงอายุต้องการมากที�สุด คือ การจากไปอย่างหมดห่วง ข้าพเจ้าจึงนําเสนอด้วยบรรยากาศที�ผ่อน คลาย และมีช้างที�อายุยืน เพื�อจะสื�อว่า ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ก็ต้องจากไป บันปลายชีวิตที�สมบ �ูรณ์แบบ คือการปล่อยวาง
71 วันวุ่น ๆ Busy day นางสาววิพาวี ผดุงกมล สาขาทัศนศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
72 แนวความคิด ผลงานแสดงถึงความคิดของตัวข้าพเจ้าที�มีความสุข ความสนุกที�ได้รับชมภาพยนตร์ และในทุก ๆ ครังที�ได้รับชมตัวข้าพเจ้าได้เกิดการจินตนาการไปตามเนื�อเรื�องของภาพยนตร์ของเรื�องนั �น � เสมือนตัวของข้าพเจ้าเองได้เป� นส่วนหนึ�งของภาพยนตร์ ที�ได้สวมบทบาทอารมณ์ของตัวละครนัน ๆ� ในรูปแบบงานจิตกรรมสร้างสรรค์เทคนิคสีนํ� ามันบนผ้าใบ (Oil painting) จุดเด่นของผลงานคือ จะเป� นตัวละครต่าง ๆ จากภาพยนตร์โดยข้าพเจ้าจะวาดออกมาเป� นใบหน้าของข้าพเจ้าแทน เปรียบเสมือนตัวของข้าพเจ้าได้สวมบทบาทของตัวละครนัน ๆ�
73 ชิงเปรต Ching Pret นางสาวอินทิรา สิทธิพันธ์ สาขาศิลปกรรมและออกแบบ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั
74 แนวความคิด ผลงานชิ� น “ชิงเปรต” เป� นประติมากรรมนูนตํ� า เทคนิคปั�นดินสอพองขนาด 100 x 130 เซนติเมตร ได้แรงบันดาลใจจากกิจกรรมชิงเปรตซ�ึงเป� นประเพณีบุญสารทเดือนสิบในวันแรม 15 คํ� า เดือน 10 โดยชาวบ้านในพื�นที�ภาคใต้เชื�อว่าเป� นช่วงเวลาที�เปรตหรือผีบรรพบุรุษจะมารวมตัวกันแย่งกิน อาหารที�ลูกหลานนํามาวางไว้ให้ ณ ลานเปรต แสดงถึงความกตัญ�ูของคนอยู่และการดินรนของคน� ตายที�ต้องชดใช้กรรมผ่านกิจกรรมสัมพันธ์สองโลก” ผู้สร้างสรรค์สร้างจินตภาพรูปลักษณ์ของเปรต จากคําบอกเล่าที�สืบต่อกันมา ประกอบกับสัญลักษณ์ในพิธีกรรมพื�นถิ� นอย่างประเพณีสารทเดือนสิบ แล้วยังเป� นกุศโลบาย เพื�อให้ผู้คนเกรงกลัวต่อบาป และสร้างครรลองที�ดีในสังคม
75 วิถียามเช้า Morning way นายสุวิจักขณ์ เข็มเศรษฐี สาขาศิลปกรรมและออกแบบ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั
76 แนวความคิด ผลงานชิ� น “วิถียามเช้า” เป� นเทคนิคแกะขี�ผึ�ง(wax cut) ขนาด 100 x 130 เซนติเมตร ได้รับแรงบันดาลใจมาจากครอบครัวที�ประกอบอาชีพในการค้าขายจาโก้ยหรือปาท่องโก๋ที�คนส่วนใหญ่รู้จัก และนิยมทานร่วมกับนําชากาแฟในยามเช้า และชายังมีต้นกําเนิดมาจากประเทศจีนสามารถแสดงออกถึง� ครอบครัวของผู้สร้างสรรค์ที�มีเชื�อสายจีน ซ�ึงผู้สร้างสรรค์มีความชื�นชอบบรรยากาศในร้านนําชากาแฟ� ที�เหล่าผู้คนมานั�งกินและพูดคุยกันในเรื�องต่างๆ ซ�ึงแสดงออกถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยามเช้า และยังแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที�ไม่จํากัดเชื�อชาติ ศาสนา และอายุ ทุกคนสามารถพูดคุย มีความสัมพันธ์ต่อกันได้ อีกทั� งบรรยากาศและสถานที�ที�ปรากฏในผลงานเป� นพื�นที�จังหวัดสงขลา บ้านเกิดของผู้สร้างสรรค์แสดงถึงการเป� นพื�นที�ทางพหุวัฒนธรรมสําคัญแห่งหนึ�งของภาคใต้
ศ ิลปะการแสดง
77 ระบําจุลจอมอาภรณ์พัฒน์ Chulachom Arpon Patt Dance ผูช่วยศาสตราจารย์ ้ กิตติ อัตถาผล ผูช่วยศาสตราจารย์ ้ ดร.ธนกร สุวรรณอําภา ผูช่วยศาสตราจารย์ ้นฤมล ณ นคร ผูช่วยศาสตราจารย์ ้ ดร.ฤดีชนก คชเสนี ผูช่วยศาสตราจารย์ ้ ดร.จินตนา อนุวัฒน์ อาจารย์ ดร.พิมพิกา มหามาตย์ นางสาวพิชญา บวรอิทธิกร นายเสรษฐวุฒิ ชาวห้วยหมาก ผูช่วยศาสตราจารย์ ้ดร.ชนะชย กอผจญั นางสาววรารัตน์ สีชมนิม� นายปรัชญา เข็มนาค นายอธิพัชร์ สุวรรณวัฒนะ นายสุรเดช สารอินทร์ และนางสาวอรอนงค์ จตุรภัทรพร วิทยาลัยนาฏศิลป
78 แนวความคิด คณะผู้สร้างสรรค์มีแนวคิดจากการพัฒนาเครื�องแต่งกายสตรีไทยในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที� 5 โดยระบําจุลจอมอาภรณ์พัฒน์ จะแสดงถึงความงดงาม เครื�องแต่งกายของสตรีที�รับอิทธิพลของวัฒนธรรมการแต่งกายแบบสากล เข้ามาผสมผสานกับรูปแบบ การแต่งกายของสตรีไทยดังเดิม เกิดเป� � นความผสมผสานของการแต่งกาย ซ�ึงมีความวิจิตรงดงาม นําเสนอในนาฏศิลป์ไทยจารีต ในรูปแบบ “ระบํา” ประกอบ “การรําใช้บทประกอบคําประพันธ์” คือการใช้ภาษาท่านาฏศิลป์ไทยแบบแผนดังเดิมและการแปรแถวที�หลากหลายโดยคํานึงถึงหลักความ � สมดุล ความพร้อมเพรียง แบ่งออกเป� น 3 ช่วงได้แก่ ช่วงที� 1 ปกเกล้าชาวสยาม ช่วงที� 2 อาภรณ์ งามพัฒนา และช่วงที� 3 วิจิตราสตรีไทย ระยะเวลาในการแสดง 8 นาที มีโครงสร้างกระบวนท่ารําหลัก 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) ท่ารําพื�นฐานทางนาฏศิลป์ไทย 2) ท่ารําที�ประดิษฐ์ขึ�นใหม่ 3) ท่ารําตีบทตามคําร้อง และ 4) ท่าทางธรรมชาติ รายชื�อนักแสดง วันทนีย์ ปากเมย ณัฐกานต์ ธีรกระวีกุล กิตติกา นครวัน อันนา มามาก ภานรินทร์ สุขาบูรณ์ ณัชชา เหราบัตร วีรนุช วิบุลศิลป์ สุทธิกานต์ รักษี ปุณยาพร สมบุญสุโข พรรณวษา ศรีเดือน ณิชชยาภัทร์ วิเศษเปี�ยมสิน
79 กวนเกษียรสมุทร Guan Retired Samut ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มนูศกดิ ั � เรืองเดช นายชยธวัช ทัพธานี ั และนายทรรศน์กมล ถูกดี สาขาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
80 แนวความคิด การกวนเกษียรสมุทรนี�ต้องใช้พระยาอนันตนาคราช ซ�ึงเป� นพญานาค มาพันรอบยอดเขา พระสุเมรุแล้วให้เหล่าเทพดึงทางหนึ�ง อสูรดึงอีกทางหนึ�ง ฝ่ายเทพก็ให้พวกยักษ์ไปดึงพญานาคทางด้าน หัวเพราะรู้ว่าพญานาคจะคายพิษออกมา พวกอสูรก็จะโดนพิษจากปากของพระยาอนันตนาคราช ฝ่ายอสูรก็ต้องทนไป การกวนเกษียรสมุทรนี� ความสั�นสะเทือนอาจจะทําให้โลกมนุษย์พังทลาย ได้ พระนารายณ์จึงต้องแบ่งภาคอวตารไปเป� นเต่ายักษ์ เพื�อเอากระดองไปรองรับยอดเขาพระสุเมรุไว้ เพื�อไม่ให้โลกมนุษย์พังทลาย ฝ่ายเทพและอสูรกวนเกษียรสมุทรกันเป� นพันๆ ปีจึงเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ มีของวิเศษต่าง ๆ เกิดจาก เกษียรสมุทรขึ�นมา เช่น โคอุสุภทราช ซ�ึงเป� นพาหนะของพระอิศวร รวมไปถึงนางอัปสรสวรรค์ต่างๆ ก็ออกมาด้วย เหล่าเทพจึงถือโอกาสที�อสูรกําลังสนใจนางงามเหล่านัน � แอบดื�มนําอมฤตก่อน� ฝ่ายอสูรนันมีเพียงราหูตนเดียวที�ไม่สนใจนางอัปสร และได้แปลงร่างเป � � นเทพเข้ามาดื�มนํ� า อมฤต แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ซ�ึงเห็นว่าราหูปลอมตัวมาเป� นเทพ ได้ไปฟ้องพระนารายณ์ ราหูจึงถูกพระนารายณ์ตัดร่างกายออกเป� นสองท่อนด้วยจักร แต่เพราะได้ดื�มนํ� าอมฤตเข้าไปแล้ว จึงไม่ตายหากเหลือร่างกายเพียงครึ�งท่อนเท่านัน ดังนั�นราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก� และจะจับกินทุกครังที�เจอกัน � ผู้สร้างสรรค์จึงมีแรงบัลดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านนาฏศิลป์มาใช้ในการแสดง บนเวทีหมอลําคณะรัตนศิลป์ อินตาไทยราษฏร์ เพื�อเป� นการเผยแพร่วรรณกรรม รายชื�อนักแสดง นายสุรชาติ หาญสุริย์ คณะหมอลําคณะรัตนศิลป์ อินตาไทยราษฏร์
81 หญาดโด๊ด Yaddod นางสาวปิยะเนตร สุวรรณศรี นางสาวอภิญญา ผานามอญ นางสาวศลิษา ภุมรี อาจารย์พัชรินทร์ ร่มโพธิ� ชื�น อาจารย์ ดร.ดุสิตธร งามยิง � และอาจารย์ ดร.ลักขณา แสงแดง สาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
82 แนวความคิด “หญาดโด๊ด” เป� นภาษามอญ ซ�ึงหมายถึง “สไบ” การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ ชุด “หญาดโด๊ด” สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของหญิงสาวชาวมอญ และการแต่งกายของหญิงสาว ชาวมอญ ที�นิยมห่มสไบในรูปแบบที�แตกต่างกันออกไป โดยมีทังหมด 8 แบบ ซ� �ึงใช้ห่มสไบเพื�อเข้าร่วมงาน ประเพณีสําคัญต่าง ๆ ตลอดจนการเข้าวัดทําบุญ และการห่มสไบเป� นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่าง หนึ�งที�แสดงถึงความเป� นอัตลักษณ์ที�สําคัญของชาวมอญทั� งชายและหญิง จากแนวความคิดการ สร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ ชุด “หญาดโด๊ด” ดังกล่าว คณะผู้สร้างสรรค์จึงได้นําเสนอให้เห็นถึง ความงดงามของหญิงสาวชาวมอญ และวิธีการห่มสไบมอญ โดยนําเสนอทังหมด 6 แบบ โดยถ่ายทอด� ผ่านลีลานาฏศิลป์ “หญาดโด๊ด” มีทั� งหมด 2 องก์ ได้แก่ องก์ที� 1 สตรีชาวมอญ และองก์ที� 2 หญาดโด๊ด รายชื�อนักแสดง ปิยะเนตร สุวรรณศรี อภิญญา ผานามอญ ศุภรัตน์ สมบูรณ์ทรัพย์ อัญชริกา ทับเงิน พัสวี พวงทอง ศรัณญา ประทุมวัน สุวรรณา น้อยสุข อวิรุธ สิงห์ศกดิ ั �
83 ทําลาย TimeLine ดร.วิรสันต์ วิรุฬห์สกุลภิบาล และตรีธวัฒน์ มีสมศกดิ ั � สาขาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
84 แนวความคิด การสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปกรรมศาสตร์กับบริบทในสังคมยุคปัจจุบันนับเป� นสิ� งที�พัฒนา ไปอย่างรวดเร็วและไร้ขีดกําจัด ทังเรื�องเทคนิควิธี การสร้างสรรค์ที�บ �ูรณการข้ามศาสตร์ร่วมถึงแนวคิด ที�มาหรือเรื�องราวการนําเสนอที�หลากหลายเช่นเดียวกับการสร้างสรรค์ผลงานชุด ทําลาย โดยผู้อ่าน ทั� วไปอาจตีความหมายทางภาษาไปในทางทัศนะเชิงลบ แปลความได้ว่าการทําให้ พังลง รื�อ กําจัดขจัด แต่หากเราเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษจะให้อักษรที�อ่านว่า TimeLine เส้นเวลา เส้นทางทางของเวลา จากการตีความของประดิษฐกรรมทางภาษา ที�มีความซบซั ้อนของมิติเชิงสัญญะซ้อนอยู่ ทําให้ผู้สร้าง สรรค์งานนํามาเป� นแนวคิดในออกแบบการสร้างสรรค์กับสังคมกับยุคปัจจุบัน โดยมี นิทานเรือกับรัว � จากหนังสือ เรือกับรัว ของเทพศิริ สุขโสภา สร้างสรรค์ผ่านการแสดงนาฏศิลป� ์ โดยใช้เทคนิคการด้นสด (Improvisation) คือ ปัจจัยหลักในการสร้างภาพลวง “โดยสมบูรณ์” ด้วยนักแสดงที�มีปฏิภาณไหวพริบ การสร้างความ“เชื�อ” ร่วมถึงการ“เป� น” ในตัวละครอย่างแท้จริง นําเสนอผ่านแนวความคิดชุมชน ในปรัชญาแนวความคิดชุมชน ที�มีบทบาทและหน้าที�หลักในการดําเนินทิศทาง เครื�องแต่งกายจากผ้าดิบ สิ� งของไร้ค่าสร้างสรรค์ให้สวยงาม อุปกรณ์จากกระดาษเหลือใช้ เพื�อเป� นนําเสนอเรื�องราวของคําว่า ทํา ให้เกิด ลาย ที�ปรากฏ ผ่านเส้นเรื�อง TimeLine จากมุมมองของวิถีสังคมปัจจุบัน
85 การสร้างสรรค์นาฏศิลป์จากกรอบคิดเรื�องเพศ Sexual framing ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิทวัส กรมณีโรจน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ขนิษฐา บุตรไชย สาขาวิชานาฏศิลป์และศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
86 แนวความคิด ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้องการนําเสนอ กรอบนิยามเรื�องเพศ การกําหนดหรือจําแนกประเภท เพศของบุคคลหรือสิ� งมีชีวิตตามลักษณะของเพศทางกาย นิยามเรื�องเพศสามารถมีหลายแบบตาม วัตถุประสงค์และบทบาททางสังคมที�แตกต่าง ซ�ึงมักมีส่วนที�เกี�ยวข้องกับทัศนคติ, วัฒนธรรม, และค่านิยมของสังคมนัน ๆ ตลอดประวัติศาสตร์ และในทุกสังคมที�แตกต่างกันบางประเทศและบาง � วัฒนธรรมอาจมีกรอบนิยามเรื�องเพศที�หลากหลาย โดยบางครังอาจมีการจําแนกเพศเป � � นชายและหญิง เท่านัน โดยผ่านการสร้างสรรค์ผลงานในร�ูปแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัย รายชื�อนักแสดง นางสาววราภรณ์ นามปัญญา นางสาววิภาวี พุ่มภักดี นายจารุกิตต์รุ่งอรุณแสงทอง นายพชธกร วงษ์ธรรม
87 วิมาลาทรงเครื�อง Vimala Song Krueng การะเกด กฤษณะโยธิน ศิลปินอิสระ
88 แนวความคิด เป� นการแสดงรําเดี�ยว ที�เกี�ยวข้องกับการแต่งองค์ทรงเครื�องของตัวละคร ผู้สร้างสรรค์ เล็งเห็นว่าในการแสดงละครเรื�องไกรทองมีรําเดี�ยวประเภทฉุยฉาย แต่ยังไม่มีตัวละครเอกที�มีการแสดง ประเภททรงเครื�อง จากการศึกษาข้อมูลในเรื�องไกรทอง นางวิมาลาเป� นตัวละครที�มีความรักสวย รักงามมาก ไม่ว่าจะทําการสิ� งใดจะต้องแต่งกายให้ดูดีอยู่เสมอ ผู้สร้างสรรค์จึงหยิบยกเอาจุดเด่นของ นางวิมาลา มาจัดทําเป� นการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์เชิงอนุรักษ์ มีกระบวนการท่ารําของการรํา แต่งตัว แบบนาฏศิลป์ไทย มีลักษณะเด่นของนางวิมาลาอยู่ในกระบวนท่ารํา การแสดงชุดวิมาลา ทรงเครื�อง ใช้เวลาในการแสดง 9.34 นาที
89 ซอนทานกวานโหม่นตะเรม (บ้านงิวเมืองมอญ) � Sontan Kwan Mon Tarem อาจารย์ ดร.ลักขณา แสงแดง อาจารย์ ดร.มนทิรา มะโนรินทร์ อาจารย์ศิริขวัญ บุญธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิระศกดิ ั � สังเมฆ และอาจารย์วัชรากรณ์ ถมจอหอ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
90 แนวความคิด ซอนทานกวานโหม่นตะเรม เป� นการสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงเพื�อชุมชนบ้านงิ� ว ตําบลบ้านงิว อําเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี อันเป � � นผลงานสร้างสรรค์จากโครงการยกระดับพัฒนา คุณภาพชีวิต และยกระดับรายได้ให้กับคนในชุมชนฐานราก ตําบลบ้านงิ�ว อําเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี กล่าวถึงประวัติความเป� นมาของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ ที�อพยพเข้ามาตั� งถิ� นฐาน ในประเทศไทย ประพันธ์บทขับร้องประกอบการแสดงโดย อาจารย์ประพัฒน์ กองศรี บรรจุเพลง ประกอบการแสดงโดย อาจารย์ ดร.ธํามรงค์ บุญราช นักวิชาการละครและดนตรีช�านาญการ สํานักการสังคีต กรมศิลปากร การแสดงจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป� นมาของชุมชน วิถีชีวิตของชุมชน อัตลักษณ์ของชุมชน และทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะการแสดง โดยใช้ระยะเวลาในการแสดงจํานวน 6 นาที
91 การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ ชุด นางหงส์ทรงเครื�อง The Creation Of Dance ‘Nang Hong Song Krueng’ การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ ชุด นางหงส์ทรงเครื�อง สาขาวิชานาฏศิลปศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
92 แนวความคิด นางหงส์ทรงเครื�อง เป� นผลงานสร้างสรรค์ที�ได้รับแรงบันดาลใจจากบทประพันธ์การแต่งตัว โนรา ของโนรายก ชูบัว ศิลปินแห่งชาติ ด้านศิลปะการแสดง (โนรา) ผู้สร้างสรรค์จึงนํามาเสนอในรูปแบบ ของการรําบท ตามแบบแผนการรําคําพรัดโนรา (บทที�แต่งไว้แล้ว) โดยอธิบายองค์ประกอบของเครื�อง แต่งกาย วิธีการและขั� นตอนของการแต่งกายโนราไว้อย่างชัดเจน ต่อด้วยการรําเพลงครู 12 ท่า เพื�อความสิริมงคลก่อนออกเดินทางของนางกินรี ตลอดจนเพื�อเป� นการสรรเสริญบูชาบรรพชนโนรา หลังจากรําบทหรือกระทําภารกิจสําเร็จตามหลักการรําโนรา ซ�ึงสามารถนําใช้เป� นบทเรียนขันพื�นฐาน � ในการฝึกหัดรําตีบทของโนรา เป� นการอนุรักษ์ สืบทอด และเผยแพร่องค์ความรู้อันเป� นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมที�จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติต่อไป ใช้เวลาในการทําการแสดง 7 นาที
93 “โนราหญิง” บทระไวระเวก The creation of female Nora on Ra Wai Ra Wek dance อาจารย์อานนท์ หวานเพ็ชร์ สาขานาฏศิลป์ศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
94 แนวความคิด การแสดงชุด “โนราหญิง” ได้แนวคิดและแรงบันดาลใจมาจากการเกิดขึ�นครั� งแรกของ นักแสดงโนราที�เป� นผู้หญิง ซ�ึงปรากฏในการแสดงโนราของภาคใต้เมื�อประมาณปี พ.ศ. 2482 หรือเมื�อประมาณ 84 ปีที�ผ่านมา การแสดงโนราหญิงในชุดนี�เป� นการรําโนราประสมท่าสื�อให้เห็นถึงความ ยืดหยุ่นของกล้ามเนื�อของผู้รํา เน้นทักษะกระบวนการรําโดยใช้แม่ท่าและการตีท่ารําของโนราประกอบกับ บทร้องระไวระเวกเพื�อให้สอดรับกับสีรระทางกายภาพของสตรี การแสดงแบ่งออกเป� น 3 ช่วง คือ ช่วงที� 1 รําประสมท่า ช่วงที� 2 บทร้องระไวระเวกและจับระบํา ช่วงที� 3 ท่าครูแบบฉบับโนรายกชูบัว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงแขนงโนรา พ.ศ. 2530 ใช้เวลาแสดงทังสิ�น 11 นาที 3 วินาที � รายชื�อนักแสดง สิรินญา ไม้งาม รัชนีกร นานันท์ กัลยาณี มูลสาร จริญญา จงฝังกลาง กานต์พิชชา พานไธสง สุวนันท์ ขําโคกกรวด จีรนันท์ ทองเสริม ชลทิชา สังฆะสา ณัฐธิดา เหมาะสม ศุภานันท์ มาพลาย ธนภรณ์ ติบแก้ว�พรรวี ทวยเจริญ
95 กะชงไถนา ั� Ka Chang Tai na สุนิษา สุกิน เทพบุตร รัตนปัญญาธร และคณะ หลักสูตรนาฏศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
96 แนวความคิด การแสดงชุด “กะชัง� ไถนา” มีแนวคิดการแสดงจากวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื�อ และภูมิปัญญาการใช้ช้างไถนาของชาติพันธุ์กระเหรี�ยงบ้านนาเกียน อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยสร้างสรรค์ในรูปแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัยผสมผสานการเคลื�อนไหวเลียบแบบธรรมชาติ การแสดง แบ่งเป� น 3 ช่วง คือ ช่วงที� 1 ไถนาซังบึง (ไถนาปลูกข้าว) นําเสนอบรรยากาศธรรมชาติยามเช้า และกระบวนการปลูกข้าวของชาติพันธุ์กะเหรี�ยง ช่วงที� 2 อังผลึ�งทังกะชังคู (พิธีทําขวัญช้าง) นําเสนอ � เรื�องราววิถีชีวิตและพิธีกรรมทําขวัญช้างของชาติพันธุ์กะเหรี�ยงบ้านนาเกียน ช่วงที� 3 เกาะบึง (เก็บเกี�ยว) สื�อถึงกระบวนการการเก็บเกี�ยวข้าว จุดเด่นของการสร้างสรรค์ผลงานคือ การแสดงสื�อ ให้เห็นถึงความรักความสามัคคี การพึ�งพาอาศยกัน การมีนํ ั าใจ การช่วยเหลือซ� �ึงกันและกันในวิถีชีวิต การลงแขกทํานา และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับช้าง อีกทังยังเป� � นการ อนุรักษ์และเผยแพร่การใช้ช้างไถนาให้เป� นที�รู้จักสืบไป โดยใช้เวลาในการแสดง คือ 8.08 นาที รายชื�อนักแสดง เทพบุตร รัตนปัญญาธร กิตติ กันทะ กัญญาณัฐ ยานะใจ กัญญาพัชร แสนโซ้ง ชาคริต ล้างป่า ธีรวัฒน์ เบ้าทอง นีรนุช ดํารงอาภาติ เนาวรัตน์ แซ่ยะ ปวรินทร์ กะสังข์ สุดา มะฮี� ศลิษา มหสถาพร อังศุมาลิน หีบทอง
97 การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากคําขวัญจังหวัดบุรีรัมย์ ชุดบุรีรัมย์ บุรีรมย์ The creation of dance performance influenced by Buriram province’s motto : Buriram Burirom ภูวนัย กาฬวงศ ์ สาขาวิชานาฏศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
98 แนวความคิด การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์จากคําขวัญจังหวัดบุรีรัมย์ ชุดบุรีรัมย์ บุรีรมย์ ผู้สร้างสรรค์ได้รับ แรงบันดาลใจจากคําขวัญของจังหวัดบุรีรัมย์ที�กล่าวไว้ว่า “เมืองปราสาทหิน ถิ� นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศลํ� าเมืองกีฬา” ซ�ึงคําขวัญดังกล่าวบ่งบอกถึงอัตลักษณ์และความโดดเด่นของ จังหวัดบุรีรัมย์ได้เป� นอย่างดี จึงได้นําคําขวัญดังกล่าวมาสร้างสรรค์เป� นการแสดงโดยแบ่งออกเป� น 3 องก์ ได้แก่ องก์ 1 เมืองปราสาทหิน ถิ� นภูเขาไฟ องก์ 2 ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม และองก์ 3 เลิศลําเมืองกีฬา ใช้ลีลานาฏยศิลป�์ผสมผสานระหว่างนาฏยศิลป์พื�นบ้านอีสานและนาฏยศิลป์ร่วมสมัย เพื�อสื�อความหมายถึงลักษณะเด่นที�สะท้อนอยู่ในคําขวัญของจังหวัดบุรีรัมย์ได้อย่างลงตัว รายชื�อนักแสดง นพกร สีเหลือง ธนกร เลื�อนไธสง เนติพงษ์ มะณูธรรม ภรณ์ธิดา พิลาสันต์ กฤติกา จารุวงศ์ อินธุอร สีแวงนอก มาริษา นันทรัตน์ อารีรัตน์ ธรรมบุญ นําฝน แซ�่ลี�
99 อุทัยธานี Uthai thani นางสาววรรณดี ลาวิลาศ นางสาวมณีรัตน์ ยวนใจ นางสาวฐิตินันท์ เสนาโกฎิ นางสาวปณิดา สีม่วง นางสาวนิลดา สมภูเวียง และอาจารย์ ดร.มนทิรา มะโนรินทร์ สาขาศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
100 แนวความคิด ตํานานเมืองอู่ไทยตามตํานานเล่าว่า ท้าวมหาพรหมได้มาตังเมืองที�บ้านอุไทยในสมัยสุโขทัย � เชื�อกันว่าเป� นแหล่งที�อยู่ของคนไทยจึงเรียกว่า “เมืองอู่ไทย” ต่อมาแม่นําเปลี�ยนทิศทางเดินนํ �าทําให้เมือง� เกิดกันดารนํา เมืองอ�ู่ไทยจึงถูกทิงร้างจนถึงสมัยอยุธยา “พะตะเบิด” ได้เข้ามาปรับปรุงพัฒนาเมืองอ �ู่ไทย โดยขุดทะเลสาบกักเก็บนําไว้ใกล้เมือง และตั�งตนเป� � นผู้ปกครองเมืองอู่ไทย เป� นเจ้าเมืองคนแรกในสมัย กรุงศรีอยุธยา เมืองอู่ไทยต่อมาได้เรียกกันเป� น “เมืองอุไทย" เป� นแหล่งอู่ข้าวอู่นําที�มีความอุดมสมบ �ูรณ์ จากตํานานดังที�กล่าว จึงเป� นแรงบันดาลใจให้คณะผู้สร้างสรรค์นํามาสร้างสรรค์ในรูปแบบ นาฏศิลป์ร่วมสมัย ชุด “อุ ทัยธานี” โดยได้แรงบันดาลใจจากตํานานเมืองอู่ไทยแบ่งเป� น 3 องก์ โดยเริ� มด้วยองก์ที� 1 Populate (พอพ’ พิว เลท) ต่อด้วยองก์ที� 2 Discomposure (ดิสคัมโพ’ เชอะ) และจบลงด้วยองก์ที� 3 Breadbasket (เบรด’ แบสเกท) ซ�ึงการแสดงชุดนี�ได้ถูกนํามาถ่ายทอดผ่านลีลา นาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์สากลออกมาในรูปแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัย รวมทั� งลีลาการเคลื�อนไหว ในชีวิตประจําวัน ใช้ระยะเวลาในการแสดง 7 นาที รายชื�อนักแสดง วรรณดี ลาวิลาศ มณีรัตน์ ยวนใจ ฐิตินันท์ เสนาโกฎิ ปณิดา สีม่วง นิลดา สมภูเวียง อนัญญา เทพกลาง ชินาภา วรจิระกรวิช ปรัชญา ปานทิม
101 เทศกาลสายนําแห่งวัฒนธรรม สานสัมพันธ์มอญ � จีน ไทย ลาวพวน The River of Cultural Festival, Weaving Relationships of Mon, Chinese, Thais and Lao Phuan อาจารย์วิระสิทธิ� สุขสมชิต และอาจารย์พีรณัฐ ทรงเกตุกุล กลุ่มวิชาพื�นฐาน (นาฏศิลป์ไทย) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
102 แนวความคิด จังหวัดฉะเชิงเทรา เป� นเมืองที�มีแม่นําบางปะกงไหลผ่าน เป� � นแหล่งรวมความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของ 4 ชนชาติ ที�อาศัยอยู่ร่วมกันในพื�นที�จังหวัดฉะเชิงเทรา อาทิ ชาวไทย ชาวจีน ชาวมอญ และชาวลาวพวน แสดงให้เห็นถึงความเป� นบ้านเมืองที�เจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรม เป� นสังคม พหุวัฒนธรรมที�หลากหลาย เป� นต้นทุนอันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาวฉะเชิงเทรา ด้วยความ หลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี�จึงเป� นแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงาน ที�ต้องการแสดงให้เห็น ถึงศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ของทัง 4 ชนชาติ ที�อาศ �ยอยัู่ร่วมกันในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีแม่นํา� บางปะกง แม่นําสายสําคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา เปรียบเสมือนสายสัมพันธ์ที�เชื�อมโยงทุกชนชาติเข้าไว้ � ด้วยกัน โดยใช้เพลงและการออกแบบท่ารําเต้นที�สื�อถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของทั� ง 4 ชนชาติ การแสดงชุดนี�ใช้เวลาทังสิ�น 13 นาที � รายชื�อนักแสดง นักเรียนชมรมนาฏศิลป์ โรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา นักศึกษาชมราร้องเล่นเต้นรํา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ผู้สูงอายุชมรมรักษ์รําวงมาตรฐาน รําวงพื�นบ้าน เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา
103 นาฏศิลป์พืนบ้านอีสานสร้างสรรค์ ชุด �ลายซิ� นถินอีสาน � Creative Isaan Folk Dance lai sin thin isan series อาจารย์สุนิศา โพธิแสนสุข ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อําพร แสงไชยา อาจารย์พิมพ์วลัญช พลหงส์ ์ และอาจารย์ภานุวัฒน์ เหล่าลิลัย สาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
104 แนวความคิด การทอผ้าไหม ถือได้ว่าเป� นมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมที�มีกันมาอย่างยาวนาน มีการทอผ้า กันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ เช่นเดียวกับแถบจังหวัดมหาสารคามที�มีการทอผ้าหลากหลาย ลวดลาย ซ�ึงแต่ละจังหวัดจะมีการทอผ้าที�เป� นลวดลายประจําจังหวัดนันๆ ผ�ู้วิจัยจึงเล็งเห็นความงดงาม และความเป� นเอกลักษณ์ทางด้านหัตถกรรมกระบวนการทอผ้าไหมบ้านหนองบัว ตําบลกุดรัง อําเภอ กุดรัง จังหวัดมหาสารคาม โดยเฉพาะผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก ซ�ึงเป� นลายประจําจังหวัดมหาสารคาม อันก่อให้เกิดคุณค่าด้านเศรษฐกิจและศิลปะวัฒนธรรมของชุมชน ผู้วิจัยจึงเกิดแรงบันดาลใจที�จะศึกษา กระบวนการทอผ้าไหมบ้านหนองบัว ตําบลกุดรัง อําเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม เพื�อนํามาบูรณา การองค์ความรู้ด้านหัตถกรรมการทอผ้าไหมลายสร้อยดอกหมาก สู่การสร้างสรรค์ผลงานทางด้าน นาฏศิลป์พื�นบ้านอีสานร่วมสมัย ชุด ลายซิ� นถิ� นอีสาน
105 โนราทําบทเล่าเรื�องหัวนายแรง Nora.Dance.with.a.Southern.Folktale: Hua Nai Rang ธวัลรัตน์ พรหมวิเศษ หลักสูตรรายวิชาภาษาไทย สาขาศึกษาทัวไป คณะศ �ิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั วันพระ สืบสกุลจินดา หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
106 แนวความคิด การสร้างสรรค์การแสดงโนราทําบทเล่าเรื�องหัวนายแรง เป� นการบูรณาการนาฏศิลป์พื�นบ้าน โนรากับเรื�องเล่าท้องถิ�นภาคใต้ตามแนวทางของศิลปะที�ส่องทางให้แก่กัน มีลักษณะเป� นการรํา ประกอบการเล่าเรื�องในรูปแบบกลอนโนรา ถือเป� นการรําทําบทในรูปแบบใหม่ที�ส่งเสริมการถ่ายทอด มุขปาฐะท้องถิ� นให้เป� นที�รู้จักในวงกว้าง โดยประยุกต์ท่ารําของโนราให้สอดคล้องกับเนื�อหาของเรื�องเล่าอัน เป� นลักษณะของโนราทําบท เสน่ห์ของการนําเสนออยู่ที�การสร้างสรรค์ท่ารําและการถ่ายทอดเรื�องเล่าใน รูปแบบกาพย์ยานี 11 อันเป� นฉันทลักษณ์การประพันธ์ที�ได้รับความนิยมในท้องถิ� นภาคใต้ (เวลาในการ แสดง 5 – 7 นาที) รายชื�อนักแสดง วันพระ สืบสกุลจินดา
107 พิภัทราจุฬากันต์ Piphattrachurakan ผู้ช่วยศาสตรจารย์ฐปนี ภูมิพันธุ์ อาจารย์ณุทชากร เกชณียาบุตร อาจารย์ศิราภรณ์ ลินดาพรประเสริฐ รัชน์พล ศรีนาทม รัฐกร ชยรัตน์ ั อภินันท์ ศรีนาคา วรฤทธิ� วรคํา ปลายฟ้า จันทร์ศรี เบญจพร ศรีวะรมย์ สุรสวดี ภูอาจดัน� และชลธิชา นาหมื�น สาขานาฏศิลป์ศึกษา คณะศิลปศึกษา วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
108 แนวความคิด ผลงานการแสดงนาฏศิลป์สร้างสรรค์ ชุด พิภัทราจุฬากันต์ ได้แนวคิดมาจากการศึกษา ข้อมูลในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร์จุฬาลงกรณ์มหาราช พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรากฏ ภาพถ่ายของเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชายที�ไว้ผมทรงจุก ซ�ึงแสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ความเชื�อ ในเรื�องการไว้ผมจุก และประเพณีพิธีโกนจุก ซ�ึงถือได้ว่าเป� นประเพณีที�สําคัญ จัดขึ�นเพื�อ เป� นสวัสดิมงคลก่อนที�จะเริ�มใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว การโกนจุกนี�ถือปฏิบัติตั�งแต่เจ้านายชั� นสูง ในพระบรมมหาราชวังและราษฎรสามัญทั� วไป โดยมุ่งเน้นศึกษาในขนบธรรม ประเพณีในการทําขวัญ และเวียนเทียนสมโภช ซ�ึงปรากฏหลักจากเสร็จพิธีโกนจุก โดยได้ศึกษาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ ข้อมูลทางด้านวรรณกรรม นาฏศิลป์ ดนตรี และเครื�องแต่งกาย เพื�อสื�อสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีตังแต่พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีเกศากันต์ และพิธีโกนจ�ุก ใช้เวลาในการแสดงทังหมด 11 นาที และการแสดงแบ่งออกเป� � น 3 ช่วง คือ ช่วงที� 1 “มังคละกันต์เกศา” สื�อให้เห็นถึง พิธีโกนจุก ในขันตอนการตัดจ�ุก ก่อนจะสรงนําบนเบญจา� ช่วงที� 2 “สมโภชภัทรจุฬา” สื�อให้เห็นถึง กระบวนพิธีทําขวัญ และพิธีเวียนเทียนสมโภช ช่วงที� 3 “บรบวนปทิตตา” สื�อให้เห็นถึง การสมโภชหลังจากเสร็จกระบวนพิธีต่าง ๆ รายชื�อนักแสดง ปรีย์วรา วัฒนากุลวัฒน์ ณัฏฐนิชา พัดค้อ นางสาวกลินนรี บัวเหง้า อริสรา เดชอนันต์ ศตวรรษ ทําละเอียด ปิยดา อินธิสิทธิ� ชนาธิป นาชัยเวียง ธนาวรรณ แก้วม้า ณัฐธิดา ยอดรัก ชลธิชา บรรลุธรรม ปฐมาภรณ์ ทองทา รุ่งอรุณรัตน์ เชื�อวงศ์ อรวรินทร์ ทองเจริญ กิตติภรณ์ สวัสดิ� สละ พิมพ์ชนก อินทรศิริ พิมพ์วลัญช์ จูมจันทา ภัทรวรรณ ทันจิตร
109 เมืองแป้แห่ระเบิด Mueang Phrae Hae Ra Burd อาจารย์ชพวิชญ์ ใจหาญ ั กัลยา แซ่เล่า กุสุมา จันทร์วิลา ธนกิจ เฟื�องฟู ปาลิดา เจริญผลิตผล พศิกา แป้นแก้ว วริษา เป� งสุนา สริตา รักพงษ์ เหมือนฝัน กรรณศร สาขาวิชานาฏศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
110 แนวความคิด คณะผู้วิจัยมีแนวความคิดที�จะนําเสนอเรื�องราวของคําว่า “เมืองแป้แห่ระเบิด” ซ�ึงที�แท้จริง แล้วเกิดจากการที�ชาวบ้านได้นําเอาลูกระเบิดที�ไม่ระเบิดในช่วงสงครามโลกครังที� 2 มาทําระฆังนําไปถวาย � วัด สะท้อนให้เห็นถึงความเลื�อมใสศรัทธาในพระพุ ทธศาสนาและความสามัคคีของชาวอําเภอลอง จังหวัดแพร่ มาสร้างสรรค์การแสดงในรูปแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัย มีทั� งหมด 3 ช่วง ดังนี� ช่วงที� 1 ถือกําเนิด นําเสนอถึง วิถีชีวิตของชาวบ้านบริเวณลํานําห้วยแม่ต้า อําเภอลอง จังหวัดแพร่ ในการหา� ไม้สักและการเกี�ยวพาราสีของชายหญิง จนพบเห็นเครื�องบินรบทิ� งระเบิดทําลายสะพานห้วยแม่ต้า ช่วงที� 2 เกิดศรัทธา นําเสนอถึงกระบวนการ การนําลูกระเบิดมาทําเป� นระฆัง ที�เกิดจากความศรัทธามา ถวายเป� นพุทธบูชาให้กับวัด และช่วงที� 3 สุขสราญแห่ระเบิด นําเสนอถึง ความสนุกสนานของชาวบ้าน ในการแห่ระฆังลูกระเบิดไปถวายวัด เวลาในการแสดง 8 นาที 40 วินาที รายชื�อนักแสดง ธนกิจ เฟื�องฟูวริษา เป� งสุนา ณัฐสินี โพธิ� แก้ว อริสา สํานักบ้านโคก ณัฐยาน์ สมศรี วีร์สุดา หาญใจ ธิดารัตน์ วงศ์สถิต กรวรรณ คําวัง วรินธร แสงแสน สิระวิชญ์ เทียบเทียม ศุภกิตติ�กิจตะวงศ์ กํา อ่องเงิน�
111 ลายประเกือม Lai Prakuem ศิราภรณ์ ลินดาพรประเสิรฐ ์ ธัญลักษณ์ จันทับ เอกรินทร์ เทียนทอง บุษราคัม เเสงย้อย สุรัสวดี นาวารี เมทีนี มาททะจันทร์ ศศิธร ศรศรี อาภัสรา จันดาดวง ภูฤทธิ� ดําเนินงาม ธนพรรณ นามโสภา และอรัญญา มีพร วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด
112 แนวความคิด ผลงานการแสดงชุด ลายประเกือม ได้ดําเนินการสร้างสรรค์จากการศึกษาความเป� นมา แนวคิดกระบวนการทําเครื�องเงิน หรือที�ชาวจังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “ประเกือม” ที�ถือเป� นความภาคภูมิใจ และเป� นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาวสุรินทร์ โดยคณะผู้สร้างสรรค์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ลักษณะลวดลายของประเกือมที�สื�อถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความงดงาม ทางธรรมชาติในจังหวัด สุรินทร์ ผู้สร้างสรรค์จึงศึกษาเอกสาร และนําหลักในการสร้างสรรค์ มาใช้ในการออกแบบกระบวนท่ารํา ซ�ึงการแสดงนาฏยประดิษฐ์ชุด “ลายประเกือม” มีแนวคิดในในการสร้างสรรค์ท่ารําโดยการนําเอา ลักษณะการใช้เท้าของนาฏศิลป์ตะวันตกมาผสมผสานระหว่างท่ารํานาฏศิลป์ไทยและท่ารํานาฏศิลป์ พื�นเมืองอีสานใต้เพื�อให้เกิดกระบวนท่ารําและองค์ประกอบการแสดงที�แปลกใหม่รวมถึงกระบวนการแปร แถวและการต่อตัวที�สื�อถึงลักษณะลวดลายของประเกือมเพื�อให้เกิดความงดงามและให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงสิ� ง ที�ผู้สร้างสรรค์ต้องการนําเสนอ ในครังนี�คณะผ �ู้สร้างสรรค์ได้รับองค์ความรู้จากการแสดงสร้างสรรค์ ผลงานชุด “ลายประเกือม” ด้วยการศึกษาลักษณะลวดลาย ของประเกือมที�จะนํามาสร้างสรรค์ และออกแบบท่ารําให้เกิดความงดงาม ศึกษาการใช้แสงและเงาเพื�อให้เกิดองค์ประกอบของการแสดงที� สมบูรณ์ รวมถึงการออกแบบกระบวนท่ารําที�แปลกใหม่และการออกแบบชุดการแสดงเพื�อให้เข้ากับ ลักษณะรูปแบบของลายประเกือมและให้งดงามและสมจริงมากที�สุด และทําการแสดงเป� นเวลา 8 นาที รายชื�อนักแสดง ธีริศราวดี ตังภักดี �อนุชา ดีแป้น กนกวรรณ อินอ่อน สิทธิชัย แก้วดวงใน พรธิตา สีลาดเลา เยาวภา นักปาละโถ นุชจิรา ทองแดง กุลจิรา อุตโท มนัสนันท์ ห้องแซง ดาริกา จินดามาตร ประพล ภูครองนา ธนภัทร ทองคํา สมัชญา ภูปุย พนิดา นาบุญ
113 สิเน่ห์หาลายนาค Si nay ha lay nak นายจักราวุฒิ จงเทพ โรงเรียนหนองแสงราษฎร์พัฒนา สํานักงานเขตพื�นที�การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์
114 แนวความคิด จากแนวคิดในการศึกษาผ้าลายนาค เป� นผ้าที�อยู่คู่วัฒนธรรมของคนในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้มานานมาก ไล่มาตังแต่อินเดีย ลังกา พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปจนถึงมาเลเซ�ีย อินโดนีเซีย คนในสมัยโบราณกว่า 3,000 ปี นับถือว่างูเป� นสัตว์สําคัญ เวลาเลื�อยไปไหนจะเงียบ เลื�อยเลี�ยวลดคดเคี�ยวไปได้ทุกทาง หากถูกกัดก็จะถึงแก่ชีวิต คนจึงเกรงกลัวกันมากถึงขั� นยกขึ�น เป� นเทพเจ้าจากนันมาง�ูก็ถูกยกย่องให้มีส่วนร่วมในทุกศาสนาที�เกิดขึนในเอเชีย โดยถูกนํามาตีความตาม� จินตนาการและทัศนคติความเชื�อ แตกต่างกันไปให้เป� นพญานาคบ้าง มังกร หรือมกรบ้าง และด้วยความ เชื�อเหล่านี�จึงถูกถ่ายทอดเป� นลวดลายผ้าที�ต่างวัฒนธรรมกันไป ไม่ว่าจะเป� นลายนาคที�มีความชัดเจนใน ตัวเอง หรือในเชิงสัญลักษณ์แห่งความยิ� งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และเป� นบันไดนําไปสู่ ความดินแดนแห่งจักรวาลนํามาสร้างสรรค์การแสดง ชุด สิเน่ห์หาลายนาค รายชื�อนักแสดง จักราวุฒิ จงเทพ ธีรภัทร คําบุญเกิด
115 อาศิรวาทวิศิษฎ์ศิลป์ปิ�นสยาม Asirawat Wisitsin Pinsiam (The Performance that conveys blessings to Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn) อาจารย์อัมพร ใจเด็จ รองศาสตราจารย์นงเยาว์ อํารุงพงษ์วัฒนา และคณะ สาขาวิชานาฏศิลป์ศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
116 แนวความคิด การแสดงเบิกโรงชุดนี� สร้างสรรค์เพื�อสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที�ท่านได้ทรงงานพระราชกรณียกิจ นานับประการ และเนื�องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน
117 ออกนอกกรอบ “Out of Space” พิชญาภา วิศิษฎ์ศิลป์ สาขาสื�อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม