The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-03-25 01:48:38

การประยุกต์ใช้ Live worksheet เพื่อจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ครูภัสราภรณ์

รายงานวิจยั ในชัน้ เรยี น

การประยุกต์ใช้ Live worksheet เพ่ือจดั การเรยี นการสอนออนไลน์ในสถานการณ์
Covid-19 รว่ มกบั เทคนคิ การสอน CIRC สำหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4

นางสาวภัสราภรณ์ ณ พทั ลงุ
ตำแหน่งครู

ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ
โรงเรียนกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จังหวดั สตลู
สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษาสงขลา สตูล



ชอื่ เรือ่ ง การประยกุ ตใ์ ช้ Live worksheet เพื่อจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์ Covid-19
รว่ มกับเทคนคิ การสอน CIRC สำหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
ผู้วิจยั นางสาวภสั ราภรณ์ ณ พทั ลุง
กลุม่ สาระฯ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาตา่ งประเทศ
ปกี ารศกึ ษา 2564

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียน
และหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจระหว่างเรียน 3) เพื่อศึกษาความ
คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live worksheet
ร่วมกับเทคนคิ การสอน CIRC

กล่มุ ตวั อย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู
จังหวัดสตลู ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 หอ้ งเรยี น ได้แก่ นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4/3 จำนวน
30 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง ใช้เวลาทดลองทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง โดยใช้แผนการวิจัยแบบ One-group Pretest-
Posttest Design เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 0.95
แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจมีค่าความเชื่อมั่น 0.86 มีค่าอำนาจ
จำแนก 0.33 และมีค่าความยากง่าย 0.62 และแบบสอบถามความคิดเห็นมีค่าความเชื่อมั่น 0.96 วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ ได้แก่ สถิติทีใน
การทดสอบสมมติฐาน

ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ( X = 23.75, S.D. = 1.595) สูงกว่าก่อนเรียน
( X = 15.25, S.D. = 2.17 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือ
ความเข้าใจของนักเรียนระหว่างเรียนผ่านเกณฑ์คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 95.83 3) ความ
คดิ เหน็ ของนักเรยี นทม่ี ีต่อทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live worksheet
รว่ มกบั เทคนิคการสอน CIRC อยู่ในระดับมาก จากผลการวิจัยควรมีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้เกิดขึ้นน้อย
ที่สดุ เช่น การขาดเรยี นของนกั เรยี น และชว่ งเวลาในการสอน ควรเตรยี มความพร้อมในดา้ นการใช้สื่อเทคโนโลยี
และความเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้สมบูรณ์ และควรใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการพูดสำหรับการจัดการ
เรยี นการสอนใหม้ ากท่สี ุด



สารบญั

หนา้

บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก

สารบญั ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข

สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค

บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา…………….…………………………………………………………………….. 1

วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั …………………………………..…………………………………………………………………… 2

สมมติฐานของงานวิจัย………………………………………..……………………………………………….………………… 2

ขอบเขตของการวิจยั ……………………………………………..………………………………………………………………. 2

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วข้อง……………….………………………………………………………………………… 4

เอกสารเก่ยี วกับหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551………………………………… 4

เอกสารท่เี ก่ยี วกับทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจ…………………………………………………… 11

เอกสารท่เี กยี่ วข้องกับเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี (CIRC Technique)………………………………………………….. 18

เอกสารทเี่ กี่ยวกับใบงานมชี ีวิต Live worksheet…………………………..…………………………………………. 22

เอกสารทเ่ี กีย่ วกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน………………………………………………………………………………… 24

เอกสารท่ีเกี่ยวกบั แบบสอบถามความคิดเหน็ …………………………………………………………………………….. 29

งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 37

บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย………………………….………………………………………………………..………………………… 39

ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 39

เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู …………………………………………………………………………………….. 39

ขน้ั ตอนการสร้างและพฒั นาเครื่องมอื ………………………………………………………………………………………. 39

การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ……………………………………………………………………………………………………………. 43

การวเิ คราะหข์ ้อมูล………………………………………………………………………………………………………………… 44

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………….……………………………………………. 47

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล…………………………………………………………………………………………………………….. 47

บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 13

สรปุ ผลการวิจัย……………………………………………………………………………………………………………………… 53

อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 53

ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 57

บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 58

ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….……… 60

ภาคผนวก ก รายชอื่ ผู้เช่ยี วชาญเป็นผตู้ รวจสอบเคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั ………………..…………………… 61

ภาคผนวก ข แผนการจดั การเรยี นรู้…………………………………………………………………………………………. 63

ภาคผนวก ค แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการอา่ นภาษาอังกฤษเพอ่ื ความเข้าใจกอ่ นเรียนหลงั เรยี น 88

ภาคผนวก ง แบบสอบถามความคดิ เห็น 98

ภาคผนวก จ ผลการวเิ คราะหค์ า่ ความสอดคลอ้ ง (IOC) คา่ ความยากงา่ ย (p) คา่ อำนาจจำแนก (r) 100

และค่าความเชือ่ ม่ัน (rtt) ของเคร่อื งมือวจิ ัย……………………………………………………………

ภาคผนวก ฉ คะแนนก่อนเรียนและหลงั เรียนของกลมุ่ ทดลอง และผลการหาคา่ สถิติที…………………… 107

ภาคผนวก ช คะแนนรายบคุ คลของนักเรียน/คะแนนกลุ่ม…………………………………………………………… 110

ภาคผนวก ช ผลการประเมนิ แบบสอบถามความคดิ เห็น……………………………………………………………… 113



สารบัญตาราง

ตารางที่ หน้า

2.1 เกณฑ์การคาํ นวณคะแนนความก้าวหนา้ …………………………………………………………………. 20

2.2 เกณฑ์การพฒั นา…………………………………………………………………………………………………… 20

4.1 ผลการวิเคราะห์การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น 47

ของนกั เรยี นท่ีมีตอ่ การพัฒนาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยกุ ต์

ใชง้ าน Live worksheet ร่วมกบั เทคนคิ การสอน CIRC…………………………………………….

4.2 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ทิ างการอ่านภาษาองั กฤษเพ่อื ความเข้าใจโดยการประยุกต์ใชง้ าน 48
Live worksheet รว่ มกบั เทคนิคการสอน CIRC ของนักเรียนรายบคุ คล

คะแนนไมต่ ำ่ กว่ารอ้ ยละ 70……………………………………………………………………………………….

4.3 ผลการวิเคราะห์ผลสมั ฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจ โดยการประยกุ ต์ 49
ใชง้ าน Live worksheet ร่วมกับเทคนคิ การสอน CIRC แบบกลุ่ม (Team)……………………..

4.4 ผลการวิเคราะหค์ วามคิดเหน็ ของนกั เรียนที่มีตอ่ ทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 50
โดยการประยกุ ตใ์ ช้งาน Live worksheet รว่ มกบั เทคนิคการสอน CIRC…………………………

1

บทที่ 1
บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา

การศกึ ษาในยุค Thailand 4.0 มีความหมายมากกว่าการเตรยี มความพร้อมของคนหรือ ให้ความรู้กับ
คนเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมมนุษยใ์ ห้เป็นมนุษย์ กล่าวคือ นอกจากให้ความรูแ้ ล้วต้องทำให้เขาเป็นคนท่ีรักท่จี ะ
เรียน มีคุณธรรม และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย นั่นก็คือการสร้างคนให้มี ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st
Century Skills) วิจารณ์ พานิช (2555 : 1) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียน
วิชาในหอ้ งเรียนยังเป็นการเรียนแบบสมมติ “ครเู พอื่ ศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรใู้ หศ้ ิษย์” ได้เรียนในสภาพที่
ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด และ วิจารณ์ พานิช (2555 : 19) ได้กล่าวว่าในศตวรรษที่ 21 เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้น
อนุบาลไปจนถึงระดับอุดมศึกษา นั่นหมายถึงเราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนั้น การเรียนรู้สาระวิชา (Content
หรือ Subject Matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบ
กิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ ในขณะเดียวกัน
นโยบาย Thailand 4.0 คือ การพัฒนาประเทศให้มีความทันสมัย กระทรวงศึกษาธิการจึงเร่งปฏิรูปการศึกษา
และการเรยี นรู้ให้กับเด็กไทยอยา่ งเปน็ รปู ธรรมในหลาย ๆ ดา้ น เชน่ การพฒั นาทักษะภาษาอังกฤษ ซ่ึงเป็นหัวใจ
สำคัญในการสื่อสารกับนานาชาติ ทั้งเพื่อการติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความรู้ การประสานความร่วมมือ
และการค้าขาย ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการยกระดับภาษาอังกฤษของประเทศผ่านโครงการ
สำคัญต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาครูภาษาอังกฤษผ่านกระบวนการ Boot Camp, การจัดทำแอพพลิเคชั่น Echo
Hybrid, Echo English เปน็ ต้น

นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ยงั เล็งเหน็ ถึงการเรยี นการสอนระดับมัธยมศกึ ษาของประเทศ
ไทย และให้ความสำคัญของวิชาภาษาอังกฤษมาโดยตลอด โดยทั่วไปนักเรียนระดับนี้ จะได้เรียนรู้ และฝึก
ทักษะทง้ั 4 ทักษะ คอื ทักษะการฟัง ทกั ษะการพูด ทักษะการอ่าน และทกั ษะการเขียน เพอื่ เป็นพื้นฐานสำหรับ
การศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรือเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพในอนาคต จากทักษะทั้ง 4 ทักษะนี้ การอ่านถือ
ว่าเป็นทกั ษะทจี่ ำเปน็ และสำคัญเป็นอยา่ งย่ิงในชวี ิต ประจำวนั และเปน็ ทักษะทผี่ ู้เรียนมีโอกาสใช้มาก เนื่องจาก
ในปัจจุบัน เรามีโอกาสที่จะได้เหน็ และอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วย การรับเอาเทคโนโลยแี ละวิชาการสมัยใหม่
รวมทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคจากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ จึงมี
ความสำคัญมากขึ้นในชวี ิตคนไทย ซึ่งจะเห็นได้จากเอกสารสิ่งพิมพต์ า่ ง ๆ อนั ไดแ้ ก่ หนงั สือพมิ พ์ วารสาร หนังสอื
เรียน ประกาศ โฆษณา ฉลาก คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องอาศัยความเข้าใจในการอ่าน
ทง้ั สน้ิ

อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในประเทศไทยยังมีความรุนแรงและยังไม่มี

แนวโน้มที่ดีขึ้นส่งผลกระทบกับหลายๆ ด้านรวมถึงด้านการศึกษาที่ได้รับผลกระทบทั้งครูและนักเรียน การ
จัดการศึกษาที่เคยจัดการเรียนการสอนที่โรงเรียนกับต้องเปลี่ยนรูปแบบให้อยู่ในรูปการสอนออนไลน์ นักเรียน
และครูตา่ งมีปรับตวั อย่างไม่คาดฝัน แตก่ ็ยังมีนักเรียนบางส่วนทย่ี ังไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ท่ี

ต้องเรียนในรูปแบบออนไลน์ได้ ด้วยสาเหตุน้ีข้าพเจ้าจึงปรบั การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ที่นักเรียนและ
ครูมีความพร้อมและเวลาไม่ตรงกัน สามารถจัดการเรยี นการสอนได้ตามที่ตนเองเกิดความพร้อมและสนใจ ด้วย
สื่อการเรียนรู้ออนไลน์และเทคนิคการสอนที่สามารถบูรณาการการเรียนการสอนได้จริง โดยใช้ใบงานมีชีวิต

Live worksheet บูรณาการวิธีร่วมมือกันเรียนรู้แบบผสมผสาน Cooperative Integrated Reading and

2

Composition (CIRC) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะประกอบด้วย
กิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการ
ภาษากับการเรียน เพื่อเป็นสื่อช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองในด้านทักษะการอ่านและการเขียน
ภาษาอังกฤษใหด้ ขี ึ้น และสง่ ผลให้ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นสงู ขน้ึ

ด้วยเหตุน้ี ผู้สอนจึงจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานประเด็นท้าทาย โดยประยุกต์ใช้ใบงาน
Live worksheet เพื่อจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC
สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4/3 รายวชิ าภาษาองั กฤษ (อ31102) ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live

worksheet ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC กอ่ นและหลังเรยี น
2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live

worksheet ร่วมกับเทคนคิ การสอน CIRC ระหวา่ งเรยี น
3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยการ

ประยุกต์ใช้งาน Live worksheet รว่ มกบั เทคนิคการสอน CIRC

สมมติฐานของงานวจิ ัย
1. ความสามารถด้านทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live

worksheet ร่วมกับเทคนคิ การสอน CIRC หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live worksheet

ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC ระหวา่ งเรยี นสูงขน้ึ ไมต่ ่ำกว่ารอ้ ยละ 70 ของคะแนนเต็ม
3. ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้

งาน Live worksheet ร่วมกบั เทคนิคการสอน CIRC อยู่ในระดบั มาก

ขอบเขตของการวจิ ัย
ประชากร
ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา

อำเภอละงู จังหวัดสตูล สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล จำนวน 275 คน ซึ่งกําลัง
เรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2564

กลุม่ ตวั อย่าง
กลมุ่ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการวจิ ัยคร้งั นี้ เปน็ นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอ

ละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/ 3
จำนวน 30 คน โดยสุม่ แบบเจาะจง

เนอื้ หาทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
ใช้เนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชาภาษาอังกฤษ

รหสั วิชา อ33102 ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) โดยเลอื กหน่วยการ
เรียนและเรื่องที่เหมาะสม และสอดคล้องกับการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ
เขา้ ใจ แบง่ ออกเป็น 6 หนว่ ยการเรยี นรู้ ดังนี้

3

หนว่ ยท่ี 1 That’s me! เร่ือง Unique Hobbies

หนว่ ยที่ 2 My Hero เร่ือง Real Life Heroes

หนว่ ยที่ 3 Time to Celebrate! เรื่อง The Origin of Rock’n Roll

หน่วยท่ี 4 Managing your money เรอื่ ง Student Struggles

หนว่ ยที่ 5 Who are you? เรื่อง Getting to know you!

หน่วยท่ี 6 A History of the future เรอื่ ง A History of the Future

ระยะเวลาท่ใี ช้
ดำเนินการวิจยั ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โดยใช้เวลาในการทดลอง 6 เร่อื ง หน่วยละ

3 คาบ ๆ ละ 50 นาที รวมเป็น 15 ชั่วโมง และทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2 ชั่วโมง รวมเป็น 17
ช่วั โมง

ตัวแปรทศ่ี ึกษา
ตัวแปรต้น ใบงานมชี วี ิต Live worksheet รว่ มกบั เทคนคิ การสอน CIRC
ตัวแปรตาม
1.ความสามารถดา้ นทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจโดยการประยุกต์ใช้
งาน Liveworksheet ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Live
worksheet ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC ระหว่างเรยี น
3.ความคิดเห็นของนักเรยี นที่มีต่อการเรียนรโู้ ดยการประยุกต์ใชง้ าน Live worksheet
ร่วมกับเทคนคิ การสอน CIRC

4

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง

การประยุกต์ใช้ Live worksheet เพือ่ จดั การเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับ
เทคนิคการสอน CIRC สำหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผูว้ จิ ยั ได้ศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวิจยั ต่างๆ ดงั น้ี

1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
1.1 วสิ ัยทัศน์ พนั ธกิจ สมรรถนะของผ้เู รียน และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
1.2 หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ
1.3 คุณภาพผ้เู รยี นจบชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6
1.4 คำอธิบายรายวิชา
1.5 โครงสรา้ งรายวิชา

2. เอกสารทเ่ี กยี่ วกบั ทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
2.1 ความหมายของการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ
2.2 ความสำคัญของการอ่านภาษาองั กฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจ
2.3 ขน้ั ตอนการสอนและเทคนิคอา่ นภาษาอังกฤษเพ่อื ความเขา้ ใจ
2.4 การวัดความเขา้ ใจในการอา่ นภาษาอังกฤษ

3. เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี (CIRC Technique)
3.1 ความหมายและองคป์ ระกอบของเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี
3.2 ขั้นตอนการสอนโดยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี

4. เอกสารที่เกย่ี วกับใบงานมชี วี ิต Live worksheet
4.1 ความหมายของใบงานมชี ีวิต Live worksheet
4.2 การใช้งาน Liveworksheets

5. เอกสารทเี่ ก่ียวกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
5.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
5.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
5.3 ปัจจัยทมี่ คี วามสัมพนั ธ์กบั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน

6. เอกสารทีเ่ กีย่ วกบั แบบสอบถามความคดิ เหน็
6.1 ความหมายของแบบสอบถามความคดิ เหน็
6.2 ประเภทของแบบสอบถามความคิดเห็น
6.3 หลกั การสร้างและขน้ั ตอนการสรา้ งแบบสอบถาม
6.4 ประเภทของคำถามในแบบสอบถาม
6.5 ข้อดแี ละขอ้ เสยี ของแบบสอบถาม

7. งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง

5

1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

1.1 วิสัยทัศน์ พันธกิจ สมรรถนะของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551

กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุก
คน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งร่างกาย มีความรู้ มีคุณธรรม และ มีจิตสำนึกในความ
เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ตลอดจนผเู้ รยี นทุกคนมคี วามรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติทด่ี ีและจำเป็น
ตอ่ การศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพ และเพือ่ การศกึ ษาตลอดชีวิตซ่ึงมุ่งเนน้ ผูเ้ รียนทุกคนเปน็ สำคญั อยู่บนพื้นฐาน
ความเชื่อทวี่ า่ ผู้เรยี นทกุ คนสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีวิสัยทศั น์ มุ่งมั่นให้ผู้เรียน มีเจตคติที่ดี
ต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อสื่อสารบนสถานการณ์ต่าง ๆ ในการแสวงหาความรู้
ประกอบอาชีพ และศกึ ษาตอ่ ในระดบั ทีส่ งู ข้ึน วางรากฐานด้านภาษาและ พฒั นาผเู้ รียนสมู่ าตรฐานสากล

หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 มีพันธกิจเพื่อจัดการเรยี นการสอนในวิชา
ภาษาต่างประเทศตามโครงสรา้ งหลักสูตรเพื่อมุง่ สู่มาตรฐานสากลและสอดคล้องกบั ความต้องการของผู้เรียน จัด
บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ครู บุคลากรและผู้เรียนใช้สื่อและ
เทคโนโลยีในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการสืบค้น และจัดกิจกรรมทางภาษาเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็น
คุณคา่ และประโยชน์ของการเรยี นภาษาตา่ งประเทศ และมีเจตคตทิ ่ีดีในการเรยี น

ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานที่กำหนด มุ่งใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ สมรรถนะสำคัญ 5 ประการ มีความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถ
ในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี ควบคู่กับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ คือ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่
เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีคุณลักษณะ
ผู้เรียนในศตวรรษ 21 โดยใหผ้ ู้เรียนมีความใฝ่รใู้ ฝเ่ รยี น มีภมู ิรู้ ร้จู ักใชว้ ิจารณญาณ เป็นนกั คิด สามารถสอ่ื สารได้ มี
ระเบยี บวินยั ใจกว้าง รอบคอบ กลา้ ตัดสนิ ใจ และมีความยตุ ธิ รรม

1.2 หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ
สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน สามารถแสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ
และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของ
ประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคดิ และวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย
สาระสำคัญ ดังนี้

1. ภาษาเพื่อการสื่อสาร เน้นการใช้ภาษาในการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อ
แลกเปล่ียนข้อมลู ขา่ วสารตา่ ง ๆ แสดงออกทางความรสู้ ึกนึกคิด และความคดิ เหน็ ตีความ นำเสนอขอ้ มูล ความคดิ
และความคดิ เหน็ ในเร่ืองตา่ ง ๆ และสร้างความสัมพนั ธ์อันดีระหว่างบคุ คลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2. ภาษาและวัฒนธรรมเน้นการใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
ความสัมพนั ธ์ มคี วามเหมอื น หรอื ความแตกตา่ งระหว่างภาษากับวฒั นธรรม ทั้งภาษาและวฒั นธรรมของเจ้าของ
ภาษากบั วฒั นธรรมไทย และนำไปใช้อยา่ งเหมาะสม

6

3. ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เน้นการใช้ภาษาในการเชื่อมโยงความรู้กับ

กลุ่มสาระการเรียนรอู้ ืน่ เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ และเปิดโลกทศั นใ์ หก้ บั ตนเอง

4. ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มุ่งเน้นการใช้ภาษาต่างประเทศ ในสถานการณ์ท้ัง

ในห้องเรียน นอกห้องเรียน ในชุมชน และสังคม เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ

แลกเปลี่ยนเรียนรกู้ บั สังคมโลก
1.3 คุณภาพผเู้ รียนจบช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6
1. ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือการใช้งานต่าง ๆ คำชี้แจง คำอธิบาย และคำบรรยายที่ฟังและ

อ่าน อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครสั้นถูกต้องตามหลักการอ่าน
อธบิ ายและเขียนประโยคและข้อความสัมพนั ธก์ ับสอ่ื ทีไ่ ม่ใชค่ วามเรยี งรปู แบบต่าง ๆ ท่อี ่าน รวมท้ังระบแุ ละเขียน
สื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่าง ๆ สัมพันธ์กับประโยคและข้อความที่ฟังหรืออ่านจับใจความสำคัญ วิเคราะห์
ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นจากการฟงั และอา่ นเรื่องทีเ่ ป็นสารคดแี ละบนั เทิงคดี พรอ้ มทั้งให้
เหตุผลและยกตวั อย่างประกอบ

2. สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว ประสบการณ์
สถานการณ์ ข่าว/เหตุการณ์ ประเด็นที่อยู่ในความสนใจและสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เลือกและใช้คำ
ขอร้อง คำชี้แจง คำอธิบาย และให้คำแนะนำ พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอและ ให้ความช่วยเหลือ
ตอบรับและปฏิเสธการใหค้ วามช่วยเหลือในสถานการณ์จำลองหรือสถานการณ์จริงอย่างเหมาะสม พูดและเขียน
เพอื่ ขอและให้ขอ้ มลู บรรยาย อธิบาย เปรียบเทยี บ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง/ประเด็น/ข่าว/เหตุการณ์
ที่ฟงั และอา่ นอย่างเหมาะสม พดู และเขียนบรรยายความร้สู ึกและแสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเร่ืองต่าง
ๆ กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณอ์ ย่างมเี หตุผล

3. พูดและเขียนนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง/ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์ เรื่องและประเดน็
ต่าง ๆ ตามความสนใจ พูดและเขียนสรุปใจความสำคัญ แก่นสาระที่ได้จากการวิเคราะห์เรื่อง กิจกรรม ข่าว
เหตุการณ์ และสถานการณ์ตามความสนใจ พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม ประสบการณ์ และ
เหตุการณ์ ทัง้ ในท้องถนิ่ สงั คม และโลก พร้อมท้ังให้เหตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ

4. เลือกใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกับระดับของบุคคล เวลา โอกาสและสถานที่
ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อธิบาย/อภิปรายวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ และที่มาของ
ขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา เข้าร่วม แนะนำ และจัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมอย่าง
เหมาะสม

5. อธิบาย/เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโครงสร้างประโยค ข้อความ สำนวน คำพังเพย
สุภาษิต และบทกลอนของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย วิเคราะห์/อภิปรายความเหมือนและความแตกต่าง
ระหวา่ งวิถีชีวิต ความเชอื่ และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับของไทย และนำไปใช้อยา่ งมเี หตุผล

6. ค้นคว้า/สืบค้น บันทึก สรุป และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระ
การเรียนรอู้ ืน่ จากแหลง่ เรียนรู้ตา่ ง ๆ และนำเสนอดว้ ยการพดู และการเขียน

7. ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา
ชุมชน และสังคม

8. ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ค้นควา้ รวบรวม วิเคราะห์ และสรุปความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ
จากสื่อและแหลง่ การเรยี นรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ ข้อมูล ข่าวสาร
ของโรงเรยี น ชุมชน และท้องถน่ิ /ประเทศชาติ เปน็ ภาษาตา่ งประเทศ

9. มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) สื่อสารตามหัวเรื่องเกี่ยวกับ
ตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เวลาว่างและนันทนาการ

7

สขุ ภาพและสวสั ดิการ การซอื้ -ขาย ลมฟา้ อากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดินทางทอ่ งเทยี่ ว การบรกิ าร สถานที่
ภาษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคำศัพท์ประมาณ 3,600 - 3,750 คำ (คำศัพท์ที่มีระดับการใช้
แตกตา่ งกัน)

10. ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อนส่ือความหมายตามบรบิ ทต่าง ๆ ในการสนทนา ทั้งที่เป็น
ทางการและไมเ่ ป็นทางการ

สรุปได้ว่าหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เป็นหนึ่งในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งเน้นผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
สามารถใช้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เพื่อสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เหมาะกับระดับบุคคล เวลา
โอกาส และสถานที่ ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา ผู้เรียนต้องรู้จักแสวงหาความรู้เพื่อการ
ประกอบอาชีพ การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ด้วยวิธีการที่หลากหลาย รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราว
และวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก มีทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียน เพื่อสื่อสารอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ

1.4 คำอธบิ ายรายวชิ า
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม รหัสวิชา อ31102 รายวิชา
ภาษาอังกฤษ ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
ปฏิบัติตามคำสัง่ คำแนะนำ และคำชี้แจงง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน อ่านออกเสียงข้อความ นิทาน บทร้อย
กรอง สั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน สามารถเข้าใจในเนื้อความของบทความและลำดับโครงสร้างประโยคของ
ภาษาอังกฤษและเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางภาษาไทย เลือก/ระบุประโยคและข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่
ความเรียง เลือกหัวข้อ ใจความสำคัญ และตอบคำถามจากการฟังและอ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องส้ัน
สนทนา แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรมและสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ใช้คำขอร้อง
คำแนะนำ คำชี้แจงตามสถานการณ์ พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอให้ความช่วยเหลือ ตอบรับและ
ปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลและแสดง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านอย่างเหมาะสม ใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะสมตาม
มารยาทสังคม และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา บรรยายเกี่ยวกับเทศกาล วันสำคัญ ชีวิตความเป็นอยู่และ
ประเพณีของเจ้าของภาษากับของไทย เข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ บอกความ
เหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ เสนอ/สื่อสารด้วยการพูดหรือเขียน และใช้
ภาษาต่างประเทศในการส่ือสารในสถานการณต์ า่ ง ๆ พรอ้ มทัง้ สืบค้น ค้นคว้า รวบรวมและสรุปขอ้ มูลตา่ ง ๆ จาก
สือ่ และแหล่งการเรยี นรูต้ า่ ง ๆ ในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชพี
อีกทั้งสามารถประยุกตท์ ักษะการใช้ภาษาอังกฤษครบท้ังหมดเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนรู้ตลอดชีพ
และเป็นทักษะชีวิตในการติดต่อสื่อสารตามแนวทางการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสาร ( Communicative
Language Teaching) และการเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) ทง้ั หมดนีเ้ พ่ือให้ผ้เู รียน
เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ เห็นคุณค่าในการเรียนภาษาอังกฤษ สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้
เหมาะสมกับบุคคล สังคม สถานการณ์และโอกาสตามวัฒนธรรมของตนเอง รวมทั้งวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
อยา่ งมีคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมท่ีเหมาะสม

8

1.5 โครงสรา้ งรายวิชาภาษาอังกฤษ (วชิ าพน้ื ฐาน) รหัสวิชา อ31102 รายช่ือวิชาภาษาอังกฤษ

ลำดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
ท่ี การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน
1 That’s me! ต 1.1 ม 4-6/1 Vocabulary – Hobbies / Pastimes /
ต 1.1 ม 4-6/4 Interests / Experiences 13 13
2 My hero ต 1.2 ม 4-6/1 Grammar and Structures – Present
ต 1.2 ม 4-6/2 perfect / Action verbs vs. Stative verbs 13 13
ต 1.2 ม 4-6/4 Listening – Listen to talks about where
ต 1.2 ม 4-6/5 someone has been
ต 1.3 ม 4-6/1 Speaking – Talk about your experiences
ต 2.1 ม 4-6/3 Reading – Read about interesting hobbies
ต 2.2 ม 4-6/1 and pastimes
ต 4.1 ม 4-6/1 Writing – Write an SNS profile of yourself
ต 4.2 ม 4-6/1 Project – K-Drama Director
Vocabulary – Role models / Adventure
ต 1.1 ม 4-6/1 Exploration
ต 1.1 ม 4-6/3 Grammar and Structures – Past perfect /
ต 1.1 ม 4-6/4 Adverb sentence starters / Past perfect
ต 1.2 ม 4-6/1 continuous
ต 1.2 ม 4-6/2 Listening – Listen to people talk about
ต 1.2 ม 4-6/4 heroic actions
ต 1.2 ม 4-6/5 Speaking – Describe the qualities of a
ต 1.3 ม 4-6/1 Hero
ต 1.3 ม 4-6/3 Reading – Read about real-life heroes
ต 2.2 ม 4-6/1 Writing – Write about a hero you admire
ต 3.1 ม 4-6/1 Project – Let’s Explore!
ต 4.1 ม 4-6/1
ต 4.2 ม 4-6/1
ต 4.2 ม 4-6/2

9

ลำดบั ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
ที่ การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชัว่ โมง) คะแนน
3 Time to Vocabulary – Performances /Performers /
ต 1.1 ม 4-6/1 Festivals & celebrations / Traditions 13 14
celebrate! ต 1.1 ม 4-6/2 Grammar and Structures – Present
ต 1.1 ม 4-6/4 perfect vs. Past simple / Present perfect
ต 1.2 ม 4-6/1 continuous
ต 1.2 ม 4-6/2 Phrases to conclude
ต 1.2 ม 4-6/4 Listening – Listen to people talk about
ต 1.2 ม 4-6/5 cultural events they have attended
ต 1.3 ม 4-6/1 Speaking – Talk about traditional cultural
ต 1.3 ม 4-6/2 events and celebrations
ต 1.3 ม 4-6/3 Reading – Read about the history of rock
ต 2.1 ม 4-6/2 'n' roll music
ต 2.2 ม 4-6/1 Writing – Write a review of a play, movie,
ต 2.2 ม 4-6/2 or concert
ต 3.1 ม 4-6/1 Project – Let the Festivities Begin!
ต 4.1 ม 4-6/1
ต 4.2 ม 4-6/1
ต 4.2 ม 4-6/2

สอบกลางภาค 1 10
10
4 Managing ต 1.1 ม 4-6/1 Vocabulary – Money / Finance / 13

your money ต 1.1 ม 4-6/2 Spending / Budgeting
ต 1.1 ม 4-6/3 Grammar and Structures – Modal verbs

ต 1.1 ม 4-6/4 of necessity / Future perfect & Future

ต 1.2 ม 4-6/2 perfect Continuous

ต 1.2 ม 4-6/3 Listening – Listen to people ask for and

ต 2.1 ม 4-6/1 receive advice about money

ต 2.2 ม 4-6/1 Speaking – Give someone financial advice

ต 3.1 ม 4-6/1 Reading – Read about students' financial

ต 4.1 ม 4-6/1 issues

ต 4.2 ม 4-6/1 Writing – Write a financial plan

Project – Project Manager

10

ลำดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
ที่ การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน

5 Who are you? ต 1.1 ม 4-6/1 Vocabulary – Personality / Qualities / 13 10

ต 1.1 ม 4-6/2 Characteristics

ต 1.1 ม 4-6/4 Grammar and Structures – Defining

ต 1.2 ม 4-6/1 relative clauses / Non-defining relative

ต 1.2 ม 4-6/2 clauses

ต 1.2 ม 4-6/3 Listening – Listen to descriptions of

ต 1.2 ม 4-6/4 personality types

ต 1.2 ม 4-6/5 Speaking – Describe your personality

ต 1.3 ม 4-6/1 Reading – Read about personality tests

ต 1.3 ม 4-6/3 Writing – Write about people’s

ต 2.1 ม 4-6/1 Personalities

ต 2.1 ม 4-6/3 Project – Personality Finder

ต 2.2 ม 4-6/1

ต 4.1 ม 4-6/1

6 A history of ต 1.1 ม 4-6/1 Vocabulary – Adverbs / Technology / 13 10

the Future ต 1.1 ม 4-6/2 Tech jobs

ต 1.1 ม 4-6/3 Grammar and Structures – Passive voice

ต 1.1 ม 4-6/4 tenses / Causative passive

ต 1.2 ม 4-6/1 Listening – Listen to people talk about

ต 1.2 ม 4-6/2 new technology

ต 1.2 ม 4-6/4 Speaking – Talk about how technology

ต 1.2 ม 4-6/5 will change people's lives

ต 1.3 ม 4-6/3 Reading – Read about failed

ต 2.2 ม 4-6/1 Technologies

ต 3.1 ม 4-6/1 Writing – Write an argument for or against

ต 4.1 ม 4-6/1 the use of technology

ต 4.2 ม 4-6/1 Project – Automated Solutions

ต 4.2 ม 4-6/2

สอบปลายภาค 1 20

รวม 80 100

อัตราส่วนคะแนน = 80 : 20
คะแนนเก็บระหวา่ งภาค : คะแนนปลายภาค
K : P : A = 64 : 30 : 6
รวม 100 คะแนน

11

เอกสารทเ่ี กยี่ วกับทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจ

2.1 ความหมายของการอา่ นภาษาอังกฤษเพือ่ ความเขา้ ใจ
ปัจจุบันทักษะการอา่ นเป็นสิง่ สำคัญเพราะเปน็ เครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้และสรรพวิชาต่าง

ๆ การอ่านเพื่อความเข้าใจนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการอ่านมีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือมุ่งให้ผู้อ่านเกิดความ
เข้าใจเป็นสำคัญ ถ้าผู้อ่านไม่เข้าใจสิ่งที่ตนอ่านก็นับว่าการอ่านนั้นไม่มีประสิทธิภาพ การอ่านจึงต้องเน้นความ
เข้าใจเป็นพื้นฐานที่สำคัญ การอ่านอย่างเข้าใจจะช่วยให้ผู้อ่านรู้จักคิด สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหา และวินิจฉัย
เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีเหตุผล นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางการอ่านได้กล่าวถึง
ความหมายของการอา่ นเพื่อความเขา้ ใจ ดงั นี้

Carrell (1984 : 441) กล่าวว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจคือความสามารถในการเข้าใจประโยค
และอนุเฉท โดยเฉพาะความเข้าใจรูปแบบโครงสร้างหรือการเรียบเรียงของผู้เขียนว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจมี
สองระดับ คือ ความเข้าใจระดับจุลภาค คือความเข้าใจตั้งแต่ระดับคำ วลี และประโยค กับความเข้าใจมห ภาค
คอื ความเขา้ ใจเรอ่ื งทั้งหมดที่อ่าน

Farr and Other (1986 : 1 - 2) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจหมายถึง การตีความหมาย
จากเรอื่ งที่อ่าน และปฏิสมั พนั ธ์กบั เร่ืองทอ่ี ่านกบั ความรู้เดมิ ของผู้อ่าน ผอู้ ่านใช้ความรู้เดมิ น้นั ในการตีความ และ
ตดั สินความนนั้ อย่างมีเหตผุ ล

Wilhelm (2011) ได้อธิบายไว้สรุปได้ว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจ คือ กระบวนการที่ผู้อ่านสร้าง
ความหมายจากการอ่านอย่างกระตือรือร้น (Active Constructor of Meaning) กล่าวคือ เป็นการอ่านที่ผู้อ่าน
ไม่ได้มีฐานะเป็นฝ่ายรับความหมายในตัวบท (Text) หรือข้อความที่อ่าน แต่ผู้อ่านนั้นเองที่จะต้องเป็นผู้สร้าง
ความหมายระหวา่ งการอ่าน ซึ่งเรียกว่ากระบวนการสรา้ งปฏิสมั พันธส์ ่งผ่านระหว่างกันระหว่างผู้อ่านและตัวบท
(Transaction) ผู้อ่านจะต้องนำประสบการณใ์ นชวี ติ ความรู้เดิม อารมณ์ ความรู้สกึ ความตอ้ งการหรอื เป้าหมาย
ณ ขณะที่อ่านนั้นเข้ามามีส่วนในกระบวนการสร้างความหมาย (Meaning-Making Process) นั่นจึงเป็นที่มาว่า
เหตุใดเมื่อเราอ่านข้อความหรือตัวบทใดตัวบทหน่ึงในเวลาที่แตกต่างหรือในบริบทที่ต่างกัน เช่น เคยอ่านเรื่องน้ี
ในวัยเด็กและมาอ่านซ้ำอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ ความหมายและสิ่งที่เกิดข้ึนภายในความคิดของเราจึงแตกต่างกัน ท่ี
เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเรา มีประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การสร้างความหมายหรือ
ความเข้าใจนนั้ แตกต่างจากการอ่านในครง้ั แรก

นเรศ เปลี่ยนคํา (2551 : 32) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจต้องอาศัยเชาวป์ ัญญา มาช่วยใน
การทําความเข้าใจ ผู้อ่านที่มีเชาว์ปัญญาดีก็สามารถอ่านเพื่อความเข้าใจได้ดีเช่นกัน และเชาว์ปัญญานี้ก็คือ
ประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละคนที่สามารถคิดในระดับสูงได้ การอ่านเพื่อ ความเข้าใจยังประกอบด้วย
ความสามารถหลัก 2 ประการ คือ ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคํา และความสามารถในการทํา
ความเขา้ ใจภาษา ถา้ ปราศจากความสามารถท้ังสองแล้วการอ่านเพื่อความเขา้ ใจก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

สมุทร เซ็นเชาวนิช (2551) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจนั้นเป็นความสามารถที่จะอนุมาน
ข้อสนเทศ หรือความหมายอนั พงึ ประสงค์จากสง่ิ ที่อา่ นมาแล้วได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพมากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะทาํ ได้ การ
อ่านเพื่อความเข้าใจสัมพันธ์กับประสบการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละคน ถ้าผู้อ่านอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจใด ๆ เลย
ก็อาจกลา่ วไดว้ ่าการอา่ นท่ีแทจ้ รงิ ยงั ไม่เกดิ

มหิศร นันตโลหิต (2552 : 15) ได้อธิบายการอ่านเพื่อความเข้าใจว่า เป็นความสามารถในการ
รับรู้และสรุปข้อมูลจากการเขียน โดยอาศัยประสบการณ์เดิมและทักษะพื้นฐาน ด้านความรู้ ความเข้าใจ และ
ความคิด และสามารถถ่ายทอดออกมาไดต้ รงตามเจตนาของผู้เรียน

12

ชวาล แพรตั กุล (2552 : 153) กลา่ ววา่ การอา่ นเพ่ือความเข้าใจเปน็ กระบวนการที่จะสรา้ งความ
เข้าใจ นักเรียนจะต้องดัดแปลงของใหม่ที่ตนประสบให้กลายเป็นรูปใหม่ที่คล้าย ๆ กับของเดิมที่ตนรู้ และให้
ความหมายต่อตนเองมากขึ้นกว่าเดิมด้วย นั่นคือพยายามเปลี่ยนแปลงรูปร่างของสิ่งแปลกใหม่ที่มองเห็นแล้วยัง
ไม่รู้เรื่อง ให้กลายเป็นส่ิงใหม่ที่มีโครงสร้างขนานกับของเดิมและขนานกับส่ิงที่ตนรู้จกั และเคยจำมาแล้วด้วยคอื
พยายามแปลงของยากใหม้ ีรูปแบบใหมใ่ กลเ้ คยี งกบั ของเดิม

สมุ าลี รัตนศรีหา (2553 : 29) กลา่ วว่า การอา่ นเพื่อความเข้าใจหมายถงึ กระบวนการ ทำความ
เขา้ ใจหรือเรียนร้ปู ระเด็นของเรอ่ื งหรือข้อความโดยการอ่าน แลว้ สามารถเขา้ ใจเร่อื งหรือข้อความจากจินตนาการ
ของผูเ้ รียนทำใหส้ ามารถแปลความ ตีความ จบั ใจความสำคัญ ขยายความ และสรปุ ความจากเร่ืองที่อ่าน จากส่ิง
ท่ีผู้เขยี นต้องการสอื่ ความจนผู้อ่านสามารถบอกรายละเอยี ด ของเรื่องทอ่ี ่านได้

จากการศึกษาความหมายของการอ่านเพื่อความเข้าใจจากนักวิชาการต่าง ๆ สรุปได้ว่า การอ่าน
เพื่อความเข้าใจ หมายถึงกระบวนการทางความคิดที่ใช้ความรู้ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน มาสร้างความหมาย
ให้เข้าใจเรื่องที่อ่านให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน โดยผู้อ่านจะต้องสามารถแปลความ ตีความ จับใจความ
สำคญั ขยายความ และสรปุ ความจากเรอื่ งทีอ่ ่านในสง่ิ ทีผ่ ู้เขียนต้องการสื่อใหผ้ อู้ า่ นรบั รู้

2.2 ความสำคัญของการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจ
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ มีความจำเป็นสำหรับคนในยุคข้อมูล

ข่าวสารในการแสวงหาความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด นักการศึกษาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำคัญของการอ่าน
เพื่อความเข้าใจ ดังนี้

Carrell (1984 : 1) ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการอ่านในการเรียนภาษาอังกฤษเป็น
ภาษาตา่ งประเทศวา่ การอ่านมคี วามสำคญั ตอ่ การเรียนภาษาของผเู้ รียนโดยเฉพาะอย่างย่ิงในการเรียนรู้ระดับสูง
ผู้เรียนจะต้องอ่านหนังสือประกอบการเรียน แบบเรียน และเอกสารที่เป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้น การอ่านนับว่า
เป็นทกั ษะทสี่ ำคัญมาก

อาจรยี ์ ขณะรตั น์ (2546) กลา่ วว่า การอ่านเพ่ือความเข้าใจมีประโยชน์ต่อนกั เรียนเพราะจะช่วย
ให้ร้จู ักการคิดวิเคราะห์อยา่ งมีเหตุผล มีความรอบคอบในการตัดสินใจ รจู้ กั แกป้ ญั หาในชวี ติ ประจำวัน และรู้จัก
การเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้นักเรียนมีความคิดเป็นของตัวเอง เกิดความเข้าใจในพฤติกรรมของตนเอง
และคนในสังคม อันนำไปสู่การปรับปรุงตนเองทำใหป้ รับตัวเข้ากบั คน ในสงั คมได้ดี และมคี วามสุขในการดำเนิน
ชีวติ

กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (2551) กล่าวว่า การอ่านเป็นทักษะในการรับสารที่มีส่วนช่วยพัฒนา
คุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้ คือการเสริมสร้างความรู้ท้ังเพิ่มพูนความรูเ้ ดิมที่มอี ยู่ในมุมมองที่แตกต่างไป
จากความรู้หรือคติเดิมของผู้อ่าน และพัฒนาคุณค่าทางอารมณ์ให้ผู้อ่านได้รับความสุขหรือความบันเทิง ส่งผลดี
ต่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย ตลอดจนส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้หรือแนวคิด
รวมทัง้ สง่ เสรมิ จนิ ตนาการเพ่ือนำมาสร้างสรรคผ์ ลงานในรปู แบบตา่ ง ๆ

จิราภรณ์ บุญณรงค์ (2554 : 29) ได้สรุปความสำคัญของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ว่า การอ่าน
เพอ่ื ความเขา้ ใจนนั้ ครอบคลุมการดำเนินชวี ิตประจำวันของคนทุกคน ตง้ั แตก่ ารอ่านเพื่อ ความบันเทงิ จนกระท่ัง
ถึงการอ่านเพื่อการศึกษาหาความรู้ในสรรพวิทยาการต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัย การอ่านเพื่อจับใจความทั้งสิ้น
บุคลากรท่มี ีความสามารถในการอา่ นจึงเปน็ บุคคลทรี่ ับรขู้ ่าวสาร เร่อื งราวไดร้ วดเร็วและเขา้ ใจเรอื่ งท่ีอา่ นได้ดีกว่า
คนอ่นื

จิตตภัสร์ ทับสิงค์ (2554 : 41) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญและเป็นความจำเป็นข้ันพื้นฐาน
ของคนเราในการศึกษาและพัฒนาความรู้ ช่วยไขข้อข้องใจเมื่อเกิดปัญหาที่สำคัญ ทำให้บุคคลมีความคิด
กว้างไกลและเกดิ การพัฒนาทางสติปญั ญา

13

จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจมีความสำคัญต่อผู้อ่านช่วยให้ผู้อ่านได้รับ
ความรู้อย่างถูกตอ้ ง เป็นผู้มีเหตผุ ล ใช้ความคดิ พจิ ารณาสิง่ ทอี่ ่านอย่างรอบคอบ เป็นระบบและสามารถนำความรู้
ที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม รวมทั้งสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดี
ย่ิงขึ้น

2.3 ขน้ั ตอนการสอนและเทคนคิ อา่ นภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ
การอ่านเป็นทกั ษะที่มีความสำคัญมากทสี่ ุดสำหรับผูท้ ีเ่ รยี นภาษาองั กฤษทจี่ ะต้องนำไปใช้ในการศึกษา
หาความรู้ ดังนน้ั ในการสอนอา่ น ครคู วรมกี ารวางแผนเตรียมการสอนตามลำดบั ข้ันตอนอย่างเป็นระบบ ชัดเจน
เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องที่อ่านได้มากยิ่งขึ้น นักการศึกษาได้เสนอแนวคิดในการสอนอ่าน
เพื่อความเข้าใจ ดงั นี้
กุลยา แสงเดช (2548) กล่าวว่า การสอนทักษะการอ่านเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจใน
เร่อื งทอ่ี ่านมากย่ิงขึน้ ประกอบด้วย ขั้นก่อนอ่าน ขั้นระหว่างอ่าน และข้นั หลังการอ่าน ดังตอ่ ไปน้ี
1. ขน้ั การอา่ น (Pre-Reading) แบง่ เป็น 2 ลักษณะ คือ

1.1 Personalization เป็นการสรา้ งความคุ้นเคยใหก้ ับผู้เรียนโดยถาม-ตอบ สนทนาเพอ่ื ทบทวน
ความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี น เปน็ การรบั ความรู้ใหมจ่ ากการอ่าน

1.2 Prediction เป็นการเดาเรอื่ งที่จะอา่ นจาก Picture Diagrams หรอื Title ของเรื่องโดยให้
ผูเ้ รียนทาย หรือเดาเร่อื งราววา่ เป็นอยา่ งไร และควรอธิบายคำศัพท์ใหมใ่ ห้กับผ้เู รยี น โดยวธิ กี ารเรียน ดงั ตอ่ ไปนี้

1.2.1 Vocabulary Prediction
1.2.2 Vocabulary Matching
1.2.3 Vocabulary Dictionary Working
2. ขั้นระหว่างอ่าน (While-Reading) ในระหว่างการอ่าน ครูสามารถดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริม
และตรวจสอบความเขา้ ใจของผ้เู รยี นดงั ต่อไปน้ี
2.1 Matching เป็นกจิ กรรมการจับคู่
2.2 Ordering เป็นกจิ กรรมการเรยี งเหตกุ ารณ์ให้สมบรู ณถ์ กู ต้อง
2.3 Completing เป็นกิจกรรมการเติมข้อความใหส้ มบรู ณ์
2.4 Correction เป็นกจิ กรรมการแก้ไขคำ ข้อความ รปู ภาพ Diagram ให้ถกู ต้องตามเนอื้ เรื่อง
2.5 Deciding เป็นการเลือกวา่ อย่างไหนดี
2.6 Supplying/Identifying เป็นการหาความคดิ รวบยอด
3. ขั้นหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการสอนอ่าน เช่นเดียวกับการสอนฟัง
คือ มีจุดประสงค์ที่จะย้ำความเข้าใจของเรื่องราวที่อ่านมากยิ่งขึ้น สร้างเจตคติที่ดีให้กับผู้เรียน โดยดำเนิน
กจิ กรรมให้สนุกสนาน และสามารถแสดงออกเก่ียวกบั ความเข้าใจในสิ่งท่ีอ่าน

วสฏิ ฐา แรงเขตรการ (2551 : 28 - 29) กล่าวว่า การสอนอ่านเพอ่ื ความเขา้ ใจ ผู้อ่านจะมีความเข้าใจ
ในการอ่านได้ดีนั้น จะต้องมีการฝึกฝนทักษะการอ่านอย่างสม่ำเสมอ และการฝึกฝนควรคำนึงถึงขั้นตอน และ
ดำเนินไปอย่างเปน็ ระบบ เป็นแนวทางในการสอนให้นักเรียนสามารถอา่ น ไดอ้ ยา่ งเข้าใจ เขา้ ถงึ เน้อื หาที่อ่าน ซึ่ง
มีแนวทาง ดงั น้ี

ข้ันตอนท่ี 1 ฝึกการเก็บสาระสำคัญของเร่อื ง
ขน้ั ตอนที่ 2 ฝึกการพจิ ารณารายละเอียด ซึ่งจะแยกออกไดเ้ ปน็ ใจความสำคัญและสว่ นขยาย
ข้นั ตอนท่ี 3 ฝกึ ให้จดั โครงเร่อื งทอ่ี ่าน โดยการจดั ลำดับใจความตามขอบเขตทปี่ รากฏในเร่อื ง
ขนั้ ตอนท่ี 4 ฝึกให้ย่อหรือสรุปใจความสำคัญ เมื่ออ่านเข้าใจเรื่อง และจับใจความสำคัญ ได้จากโครง
เร่ืองทอ่ี ่านได้ นักเรยี นสามารถยอ่ หรือสรปุ สาระสำคัญของเร่ืองนนั้ ๆ ได้

14

สุทธิ ศรีชล (2552 : 11 - 15) ได้สรุปไว้ว่า ขั้นตอนการสอนทักษะการอ่าน มีลักษณะ เช่นเดียวกัน
กับขั้นตอนการสอนทักษะการฟัง โดยแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมนำเข้าสู่ การอ่าน (Pre-
Reading) กิจกรรมระหว่างการอ่านหรือขณะที่สอนอ่าน (While-Reading) กิจกรรมหลังสอนอ่าน (Post-
Reading) โดยแตล่ ะกิจกรรมอาจจะใช้เทคนคิ ดังน้ี

1. กิจกรรมนำเขา้ สู่การอา่ น (Pre-Reading) การท่ีผู้เรียนจะอ่านสารใดได้อย่างเขา้ ใจ ควรต้องมี
ขอ้ มลู บางสว่ นท่ีเกี่ยวข้องกับสารที่จะได้อ่าน โดยครูผสู้ อนอาจใช้กจิ กรรมนำ เพ่ือให้ผ้เู รยี นได้ข้อมูลบางส่วนเพ่ือ
ช่วยสร้างความเข้าใจในบริบท ก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่ กำหนดให้โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขั้นตอน คือ ข้ัน
Personalization เป็นขั้นสนทนา โต้ตอบระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่าง ผู้เรียนกับผู้เรียน เพื่อทบทวน
ความรู้เดิมและเตรียมรับความรู้ใหม่จากการอ่าน ขั้น Predicting เป็นขั้นที่ผู้เรียนคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
โดยอาจจะใชร้ ูปภาพ แผนภูมิ หัวเรอ่ื ง ฯลฯ ท่เี กย่ี วขอ้ งกับเร่ืองที่จะได้อ่าน แล้วนำสนทนาหรืออภิปรายหรือหา
คำตอบที่เก่ยี วกบั ภาพนัน้ ๆ หรือฝกึ กจิ กรรมเกีย่ วกบั คำศัพท์ เชน่ ขีดเส้นใตห้ รือวงกลมลอ้ มรอบคำศัพท์ในสารที่
อ่านหรืออา่ นคำถามเกย่ี วกบั เรอ่ื งท่ีได้อ่าน เพ่ือให้ผู้เรียนไดท้ ราบแนวทางว่าจะได้อ่านสารเร่ืองใด เปน็ การเตรียม
ตวั ลว่ งหน้าเกย่ี วกบั ขอ้ มูลประกอบการอา่ น และคน้ หาคำตอบจากสารนัน้ ๆ หรือทบทวนคำศัพทจ์ ากความรู้เดิม
ทม่ี ีอยู่ ซ่งึ จะปรากฏในสารท่ีจะไดอ้ ่าน โดยใชว้ ธิ ีการบอกความหมาย หรอื ทำแบบฝึกหัดด้วยการเตมิ คำเปน็ ต้น

2. กจิ กรรมระหวา่ งการอา่ น หรอื กจิ กรรมระหวา่ งที่สอนอ่าน (While-Reading) เปน็ กจิ กรรม
ที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ ในขณะที่อ่านสารนั้น กิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการอ่าน แต่เป็นการฝึกทักษะการอ่าน
เพื่อความเขา้ ใจ กิจกรรมระหวา่ งการอ่านนี้ควรหลีกเลย่ี งการปฏิบัติกิจกรรมฝึกทกั ษะอนื่ ๆ เชน่ การฟังหรือการ
เขียน อาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อย เนื่องจากจะเป็นการเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกปฏิบัตไิ ปสู่
ทกั ษะอื่นโดยไมเ่ จตนา กิจกรรมท่ีฝึกในขณะทีอ่ ่านควรเปน็ ประเภทต่อไปนี้

2.1 Matching คือ อ่านแล้วจับคู่คำศัพท์กับคำจำกัดความหรือจับคู่ประโยค เนื้อเรื่องกับ
ภาพหรือแผนภมู ิ

2.2 Ordering คอื อ่านแล้วเรยี งภาพ แผนภูมิ ตามเนือ้ เรื่องทอ่ี า่ นหรอื เรียงประโยค
(Sentences) ตามลำดับเร่ืองหรือเรียงเนือ้ หาแตล่ ะตอน (Paragraph) ตามลำดบั ของเนื้อหา

2.3 Completing คอื อ่านแลว้ เตมิ คำ สำนวน ประโยค ข้อความลงในภาพ แผนภมู ิ ตาราง
ตามเนือ้ เร่อื งท่ีอา่ น

2.4 Correcting คือ อา่ นแล้วแก้ไขคำ สำนวน ประโยค ข้อความ ใหถ้ ูกต้องตามเนอ้ื เรื่องที่
อา่ น

2.5 Deciding คือ อา่ นแล้วเลอื กคำตอบทถ่ี กู ต้อง (Multiple Choices) หรือ เลอื กประโยค
ถูกผิด (True - False) หรือเลือกว่ามีประโยคนั้น ๆ ในเนื้อเรื่องหรือไม่ หรือเลือกว่าประโยคนั้นเป็นข้อเท็จจริง
(Fact) หรอื เป็นความคดิ เหน็ (Opinion)

2.6 Supplying/Identifying คอื อ่านแลว้ หาประโยค หาประโยคหวั ข้อเร่อื ง (Topic
Sentence) หรอื สรปุ ใจความสำคัญ (Conclusion) หรือจับใจความสำคัญ (Main Idea) หรอื ต้ังชอ่ื เรอ่ื ง (Title)
หรือย่อเรอ่ื ง (Summary) หรือหาข้อมูลรายละเอียดจากเรอ่ื งท่อี ่าน (Specific Information)

3. กจิ กรรมหลังการอ่าน (Post - Reading) เปน็ กิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรยี นไดฝ้ ึกการใช้ภาษาในลักษณะ
สัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากการอ่าน ทั้งการฟัง การพูดและการเขียน ภายหลังได้ฝึกการปฏิบัติกจิ กรรมระหว่างการอ่าน
แล้ว โดยอาจฝกึ การแข่งขันดา้ นคำศัพท์ สำนวน ไวยากรณ์หรอื ฝึกทกั ษะ การฟงั การพูด โดยใหผ้ ูเ้ รียนช่วยกนั ตัง้
คำถามจากเรื่องที่อ่านแล้วช่วยกันหาคำตอบ สำหรับผู้เรียนชั้นสูงอาจจะให้อภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติ
ของผเู้ ขียนเรื่องนั้น หรือฝกึ ทักษะการเขยี นแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับเร่ืองท่ีอ่านน้นั

15

สรุปได้ว่า การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจมีขั้นตอนที่สำคัญ คือ ขั้นก่อนการอ่าน
(Pre-reading) ขั้นการอ่าน (While-reading) และขั้นหลังการอ่าน (Post-reading) เน้นการฝึกให้นักเรียนมี
พฒั นาการอา่ น สามารถอา่ นออก อา่ นได้ อา่ นเปน็ และเขา้ ใจความหมายจากสิ่งท่ีอ่าน สามารถจับใจความสำคัญ
และบอกรายละเอยี ดจากการอ่านได้ ทั้งนข้ี น้ึ อย่กู ับการฝึกฝนอยา่ งเป็นระบบเปน็ ขัน้ ตอน เพอ่ื ให้นักเรียนมีความ
เขา้ ใจและพฒั นาการอา่ นไดด้ ว้ ยตนเอง

นอกจากน้ยี งั มีเทคนิคสำหรบั พัฒนาทกั ษะการอา่ นเพ่ือความเขา้ ใจ ดังน้ี
สุทธิ ศรีชล (2552 : 8 - 11) ได้กล่าวถึงเทคนิคของการพัฒนาทักษะอ่านภาษาอังกฤษ (Reading
Skill) ไว้ว่า การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจมี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง (Aloud Reading) และ
การอ่านในใจ (Silent Reading) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อความถูกต้อง (Accuracy) และความ
คล่องแคล่ว (Fluency) สว่ นการอา่ นในใจเปน็ การอา่ นเพื่อรอบรู้และทำความเข้าใจในส่งิ ที่อา่ น ซ่งึ เป็นการอ่านท่ี
มีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับการฟัง ต่างกันท่ีการฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้
จากตวั อกั ษรทีผ่ ่านสายตา ทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเป็นทักษะทส่ี ามารถฝึกฝนให้ผู้เรยี นเกิดความชำนาญและ
มคี วามสามารถเพิ่มพนู ขน้ึ ไดด้ ว้ ยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครผู สู้ อนจึงควรมคี วามรู้และเทคนิควธิ กี ารในการสอน
ทักษะการอ่านให้แกผ่ เู้ รยี นอยา่ งไร ให้การอ่านแต่ละลกั ษณะประสบผลสำเรจ็ โดยมเี ทคนคิ วิธีปฏบิ ัติ ดงั นี้
1. การอ่านออกเสียง การฝึกให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ควรฝึกไป
ตามลำดบั โดยใช้เทคนคิ ดังน้ี

1.1 Basic Steps of Teaching (BST) มีเทคนคิ ขนั้ ตอนการฝึกต่อเน่อื งกันไปดังน้ี
1.1.1 ครอู ่านข้อความท้ังหมด 1 ครง้ั /นกั เรยี นฟงั
1.1.2 ครอู า่ นทีละประโยค/นกั เรียนทง้ั หมดอา่ นตาม
1.1.3 ครูอ่านทลี ะประโยค/นักเรียนอา่ นตามทลี ะคน (อาจจะขา้ มขั้นตอนน้ไี ด้ ถา้

นักเรยี นสว่ นใหญ่อา่ นไดด้ ีแล้ว)
1.1.4 นกั เรยี นอ่านคนละประโยค ใหต้ ่อเน่อื งกนั ไปจนจบข้อความทัง้ หมด
1.1.5 นกั เรียนฝึกอา่ นเอง
1.1.6 สุ่มนกั เรียนอา่ น

1.2 Reading for Fluency (Chain Reading) คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียนอ่านประโยคทีละ
ประโยคอย่างต่อเนื่องกันไป เสมือนคนอ่านคนเดียว โดยครูสุ่มเรียกผู้เรียนจากหมายเลขลูกโซ่ เช่น ครูเรียก
Chain-Number One นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย 1, 11, 21, 31 จะเป็นผู้อ่านข้อความคนละประโยค
ต่อเนื่องกันไป หากสะดุดหรือติดขัดที่ผู้เรียนคนใด ถือว่าโซ่ขาด ต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่ หรือเปลี่ยน Chain
Number ใหม่

1.3 Reading and Look up คือ เทคนิคการฝึกให้ผู้เรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยวิธีอ่านแล้ว
จำประโยคแลว้ เงยหนา้ ขึ้นมาพูดประโยคนั้น ๆ อย่างรวดเร็ว คล้าย ๆ วธิ ีการอ่านแบบนักขา่ ว

1.4 Speed Reading คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคน อ่านข้อความโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะ
เร็วได้ การอ่านแบบนีอ้ าจจะไม่คำนึงถงึ ความถูกต้องทุกตัวอักษร แตต่ ้องอา่ น โดยไมข่ า้ มคำ เปน็ การฝกึ ธรรมชาติ
ในการอา่ นเพอื่ ความคลอ่ งแคล่ว (Fluency) และเปน็ การหลีกเลีย่ งการอ่านแบบสะกดคำ

1.5 Reading for Accuracy คือ การฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงทั้ง
Stress/Intonation/Cluster/Final Sounds ให้ตรงตามหลักเกณฑ์การออกเสียง (Pronunciation) โดยอาจจะ
นำเทคนคิ Speed Reading มาใช้ในการฝึกและเพ่ิมความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงที่ต้องการ จะเป็นผลให้
ผ้เู รียนมคี วามสามารถในการอา่ นได้อยา่ งถูกต้อง (Accuracy) และคล่องแคล่ว (Fluency) ควบค่กู นั ไป

16

สรุปได้ว่า เทคนคิ สำหรบั พฒั นาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ผู้เรียนควรไดร้ บั การฝึก ไปตามขั้นตอน
ประกอบด้วย เทคนิคที่หลากหลาย ดังนี้ Basic Steps of Teaching (BST), Chain Reading, Reading and
Look up, Speed Reading และ Reading for Accuracy ทั้งนี้การนำเทคนิคไปใช้ก็ต้องสอดคล้องกับ
วตั ถปุ ระสงค์ ควรเลอื กใช้เทคนิคใดใหเ้ หมาะสมกบั ผู้เรียน และบทเรียนนั้น ๆ

2.4 การวัดความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษ
การวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ต้องวัดให้ครอบคลุมระดับความเข้าใจในการอ่าน

เพื่อที่จะตัดสินระดับความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน จากแบบทดสอบได้อย่างถูกต้อง นัก
การศกึ ษาหลายทา่ นกลา่ วถงึ การวัดความเขา้ ใจในการอ่านไว้ ดังน้ี

Wen-Jang Huang (1993 : 33 - 34) ไดแบงคําถามที่ใชวัดความเขาใจในการอานระดับ
ตาง ๆ ออกเปน 3 ประเภท ดงั นี้

1. คําถามที่ใชวัดระดับความเขาใจระดับตามตัวอักษร (Literal Comprehension
Question) คอื เปนคาํ ถามท่หี าคําตอบไดงายที่สุด เพราะคาํ ตอบมีปรากฏใหเหน็ ชัดเจนในเน้ือเรื่อง ใชคําท่ีมีอยู
ในเน้ือเรอ่ื งต้งั คําถามหรือเปนคําถามท่ไี มเกยี่ วของกบั การหาหรือใหเหตผุ ล คาํ ถามท่ีใช เปน็ ลักษณะใคร เมื่อไหร
ท่ไี หน และอะไร ในการตั้งคาํ ถาม

2. คําถามที่ใชวัดความเขาใจระดับอางอิง (Inferential Comprehension Question)
คือ เปนคําถามที่ตองใชการคิด คนหาคําตอบ โดยไมมีคําตอบปรากฏใหเห็นในเนื้อเรื่อง อางอิงโดยใช
ขอมูลหรือความจริงที่อยูในเนื้อเรื่องชวยตอบคําถาม มักถามวา ทําไม อยางไร เกี่ยวของกับการใช เหตุผล หรือ
การตคี วามทมี่ ีอยูในเน้ือเรือ่ ง

3. คําถามที่ใชวัดความเขาใจระดับประยุกต (Applied Comprehension Question)
คือ เปนคําถามที่ตองใชการคิด คนหาคําตอบ โดยไมมีคําตอบปรากฏในเนื้อเรื่องที่อาน เปนคําถามที่ใชเป็น
ลักษณะแสดงความคดิ เหน็ พจิ ารณา ประเมนิ สิง่ ที่อาน ผูอานตองอาศัยความรูเดมิ ในการตอบ

Alderson (2000 : 202 - 233) ไดเ้ สนอแบบวัดความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษไว้ ดังน้ี
1. แบบทดสอบแบบเติมคาํ ในชอ่ งวา่ งและแบบโคลซ (Gap-Filling and Cloze Test)
2. แบบทดสอบหลายตัวเลอื ก (Multiple-Choice)
3. แบบทดสอบแบบเลอื กตอบ (Alternative Objective)
4. การจับคู่ (Matching)
6. การเรยี งลาํ ดบั (Ordering)
7. คําถามแบบ 2 ตัวเลือก (Dichotomous Items)
8. แบบทดสอบแบบแกไ้ ข (Editing Test)
9. แบบทดสอบแบบเขียนตอบ (Short-answer Test)

วันทา สขุ โสม (2551 : 40 - 41) กลา่ วไวว้ า่ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านภาษาเป็นงาน
ที่ยากซึ่งต้องการความเข้าใจที่ถูกต้องแท้จริงเกี่ยวกับการทำงานของภาษาและการพัฒนา ทางภาษา เพื่อเป็น
พ้ืนฐานการดำเนนิ งาน ดังนี้

1. หลักการของการประเมินผลในชั้นเรียนทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ดังนี้
ประการแรก : การประเมนิ ผลในชั้นเรียนทีมีประสทิ ธิภาพจะต้องส่งเสรมิ การเรียนรู้ของผู้เรียน

หมายความว่า ผู้สอนประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรียนต้ังแต่เรม่ิ บทเรียน และประเมนิ อย่างสมำ่ เสมอตลอดการสอน

17

แต่ละหน่วย เพื่อให้ได้ข้อมูลมาปรับปรุงการสอน ผู้สอนต้องตั้งเกณฑ์ไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับการสอนและการ
ประเมิน และตอ้ งอธบิ ายเกณฑ์ท่ีต้องการใหน้ ักเรยี นทราบแจ้งผลการประเมินใหผ้ ู้เรียนทราบอยา่ งสมำ่ เสมอ

ประการที่สอง : การประเมินจะต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ีมีความหลากหลาย
หมายความวา่ การประเมินผลในชัน้ เรยี นที่ดีตอ้ งได้จากการสังเคราะหข์ ้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ

ประการที่สาม : การประเมินจะต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ และยุติธรรม หมายความว่า
ความเที่ยงตรงและความเช่ือม่ัน หรือความคงเสน้ คงวาในการประเมิน เป็นคุณสมบัติสำคญั ของเครือ่ งมือที่ใชใ้ น
การวัดผลการเรยี นรู้ของผูเ้ รียน เชน่ กิจกรรมการเรียนรู้ทส่ี อนดว้ ยวธิ ีการอ่านในใจ จะประเมินผลการตอบคำถาม
จากเรอื่ งทอ่ี า่ น การสรุปสาระสำคัญจากเร่ืองท่ีอา่ น การประเมนิ การเรยี นรทู้ ส่ี อน

2. การประเมินผลการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจ มีวิธีการสอนแบบ
หลากหลายวิธี การประเมินจึงประเมินผลตามลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ ครูควรเน้นการประเมินผลตาม
สภาพจริงที่มีประสทิ ธิภาพประกอบด้วย การประเมนิ ด้านภาษาใหค้ รบสามประการทกี่ ลา่ วมาข้างตน้ ไดแ้ ก่

2.1 การประเมนิ ผลอย่างสมำ่ เสมอในขณะทท่ี ำการสอนแตล่ ะหน่วย
2.2 การประเมนิ จากแหล่งข้อมูลท่หี ลากหลายหรือไดจ้ ากการสังเคราะห์ขอ้ มูล
2.3 การประเมนิ จากแบบทดสอบท่มี คี วามเทย่ี งตรง และความเช่อื ม่ัน

กระทรวงศึกษาธิการ (2554 : 2) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมาย
พ้นื ฐานสองประการ

ประการแรกคือ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการ
เรียนและการเรยี นร้ขู องผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างตอ่ เนื่อง บนั ทกึ วิเคราะห์ และแปลความหมาย
ข้อมูล แล้วนำไปใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของครู การวัดและ
ประเมนิ ผลกบั การสอนจึงเปน็ เรื่องทีส่ ัมพันธก์ ัน หากขาดสงิ่ หนงึ่ สิ่งใด การเรยี นการสอนกข็ าดประสิทธภิ าพ การ
ประเมินระหว่างการเรียนการส อนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เช่นนี้เป็นการวัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา
(Formative Assessment) ท่เี กิดข้นึ ในห้องเรียนทกุ วนั เปน็ การประเมินเพอ่ื ให้รจู้ ดุ เดน่ จดุ ทีต่ ้องปรับปรงุ จึงเปน็
ข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนาในการเก็บข้อมูล ผู้สอนต้องใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การ
สังเกต การซักถาม การระดมความคิดเห็นเพื่อให้ได้มติข้อสรุปของประเด็นที่กำหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การ
ใช้ภาระงานที่เน้นปฏิบัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพื่อนประเมินเพื่อน และ
เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) สิ่งสำคัญที่สุดในการประเมินเพื่อพัฒนาคือ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนใน
ลกั ษณะคำแนะนำ ท่เี ชอ่ื มโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ ทำใหก้ ารเรียนรู้พอกพูน แก้ไขความคิด ความเข้าใจเดิม
ท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง ตลอดจนการใหผ้ เู้ รียนสามารถตงั้ เปา้ หมายและพัฒนาตนได้

ประการที่สองคือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผลการ
เรียนรู้ (Summative Assessment) ซ่ึงมหี ลายระดับไดแ้ ก่ เมอื่ เรียนจบหนว่ ยการเรยี น จบรายวิชาเพ่ือตัดสินให้
คะแนน หรอื ให้ระดับผลการเรยี น ใหก้ ารรบั รองความรู้ความสามารถของผู้เรียนวา่ ผ่านรายวิชาหรือไม่ ควรได้รับ
การเล่อื นชน้ั หรือไม่ หรอื สามารถจบหลักสูตรหรือไม่ ในการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนที่ดีต้องให้โอกาสผู้เรียน
แสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่หลากหลายและพิจารณาตัดสนิ บนพ้ืนฐานของเกณฑ์ผลการปฏิบัติมากกว่า
ใช้เปรยี บเทียบระหวา่ งผู้เรียน

สรุปได้ว่า ในการวัดและประเมินผลความเข้าใจในการอ่าน นิยมใช้แบบทดสอบปรนัยชนิด
เลือกตอบ (Multiple Choices) เพราะเป็นแบบทดสอบที่มคี วามเที่ยงตรงสูง โดยกําหนดขอ้ ที่ถูกต้อง ไว้ชัดเจน
เกณฑ์การให้คะแนนเหมือนกันไม่ว่าใครจะเป็นผู้ตรวจ นอกจากนี้การตรวจให้คะแนน สะดวก รวดเร็ว เพราะ
คําตอบทถี่ ูกต้องมเี พียงคําตอบเดียว และใชเ้ วลาในการทําแบบทดสอบน้อย รวมทัง้ ยังสามารถถามได้ครอบคลุม
เนื้อหาหลาย ๆ ด้าน และสามารถใช้วัดกับผู้สอบทุกระดับ และการวัดและประเมินผลได้กำหนดการวัดและ

18

ประเมินผลสองช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 วัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ที่เกิดขึ้นใน
ห้องเรียนหลังจากการสอน และช่วงที่ 2 วัดและประเมินผลเพื่อสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment)
หลงั จากจบทกุ หน่วยการเรยี นรู้

3. เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี (CIRC Technique)

3.1 ความหมายและองคป์ ระกอบของเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี
เทคนิคซี ไอ อาร์ ซี (Cooperative Integrated Reading and Composition) คือ โปรแกรม

สำหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language Arts) ใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอน
ปลายขึ้นไป โดยเน้นท่หี ลักสูตรและวิธีการสอน โดยการพยายามนาํ การเรียนร้แู บบร่วมมือมือ มาใช้ โปรแกรมซี
ไอ อาร์ ซี พัฒนาข้นึ โดย Slavin และ Stevens ในปี 1986 นบั วา่ เป็นโปรแกรมทีใ่ หม่ที่สดุ ของวิธีการเรียนรู้เป็น
ทีม ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนแบบร่วมมือที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นำการเรียน
แบบรว่ มมอื มาใช้กบั การอา่ นและการเขยี นโดยตรง

นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงหลักการ แนวคิด และทฤษฎีการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ
เทคนิคซี ไอ อาร์ ซี ไวด้ งั น้ี

Slavin (1990 : 345) กล่าวว่าเทคนิคซี ไอ อาร์ ซี เป็นวิธีการเรียนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอน
อ่านการเขียนและศิลปะทางภาษา ที่ประยุกต์จากการวิจัยทางด้านจิตวิทยาพุทธิ ปัญญา (Cognitive
Psychology) ซงึ่ มอี งคป์ ระกอบ 4 ประการ คอื

1. กจิ กรรมท่เี ก่ียวขอ้ งกบั เรื่องทอ่ี ่าน (Story-Related Activity)
2. การสอนอ่านจบั ใจความ (Direct Instruction in Comprehension)
3. การบูรณาการการเขยี นกับศลิ ปะในการใช้ภาษา (Integrated Writing & Language Arts)
4. การอา่ นนอกเวลา
ทิศนา แขมมณี (2552 : 270) กล่าวถึงรูปแบบเทคนิคซี ไอ อาร์ ซี (CIRC) หรือ Cooperative
Integrated Reading and Composition ว่าเปน็ รปู แบบการเรยี นการสอนแบบรว่ มมือท่ีใช้ในการสอนอ่านและ
เขียน โดยเฉพาะรูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนอ่าน
เพอื่ ความเข้าใจ และการบรู ณาการภาษากบั การเขียน
วัชรา เล่าเรียนดี (2555 : 169 - 170) ได้กำหนดองค์ประกอบสำคัญของเทคนิคซี ไอ อาร์ ซี ไว้
3 ประการคือ
1. กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ พือ่ สร้างพืน้ ฐานดา้ นการอา่ นและการเขียน
2. การดำเนินการสอนของครู
3. การบูรณาการการอ่านและการเขยี น
จากทีก่ ล่าวมาข้างต้นสรุปไดว้ ่า เทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี เปน็ วิธีการเรียนแบบร่วมมือสำหรับสอนอ่าน
การเขียนและศิลปะทางภาษา มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างพื้นฐานด้านการอ่าน
และการเขียน การดำเนนิ การสอนของครู และการบรู ณาการการอ่านและการเขียน

19

3.2 ขน้ั ตอนการสอนโดยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี
เทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี มนี ักวิชาการได้สรุปข้นั ตอนการสอนไว้ ดังน้ี
วัชรา เล่าเรียนดี (2555) กล่าวว่า สิ่งที่ผู้สอนต้องคํานึงถึงในขั้นเตรียมการสอน โดยเทคนิค ซี ไอ

อาร์ ซี มีอยู่ 4 ประการ คอื
1. การเตรียมเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้สอนเป็นแบบโครงสร้างข้อเขียน (Story Grammar) ที่

จัดเป็นชุด ๆ ตามระดับความสามารถของผู้เรียน หรือครูผู้สอนสามารถที่จะเลือกเนื้อหาที่ใช้สอนประเภท
เดียวกันเช่นเรื่องที่เป็นตอนเดียวจบหรือมากกว่าหนึ่งตอน ซึ่งจะอธิบายถึงฉาก ตัวละคร สถา นที่ เวลา ที่มี
เหตุการณ์ดําเนินไปอธบิ ายเปา้ หมายของตวั ละครการกระทําและผลจากการกระทาํ เปน็ อย่างไรบ้าง และเร่ืองจบ
ลงแบบใด หรืออาจจะใช้เรื่องที่ไม่สมบูรณ์แล้วให้นักเรียนคาดการณ์ว่าส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นควรเป็นอะไร เช่น
นกั เรยี นอ่านเร่อื งที่ไมม่ ตี อนจบ แล้วคาดว่าเหตุการณ์ควรจะจบลงอย่างไรเป็นตน้

2. การจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม (Assigning Students to Teams) ครูเป็นผู้จัดกลุ่มให้กับ
นักเรยี นโดยมีขัน้ ตอน ดังนี้

2.1 เรียงลําดับคะแนนผู้เรียนตามคะแนนที่ทําได้ในเกมครั้งก่อน ๆ หรือตามเกรดหรือ
ตามความร้สู ึกของผสู้ อนก็ได้เรียงคะแนนสงู ไปหาต่ํา

2.2 กำหนดจํานวนทีม แต่ละทีมควรประกอบดว้ ยสมาชิก 4 คน ถา้ หารไมล่ งตัวอาจเพ่ิม
สมาชกิ ให้บางกลมุ่ เปน็ 5 คนได้

2.3 จัดผู้เรียนเข้าทีม แต่ละทีมประกอบด้วยสมาชิก 4 คนคือ ผู้ที่มีความสามารถในการ
อ่านสูง 2 คน และตํ่า 2 คน จากนั้นจัดให้นักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านสูงจับคู่กับนักเรียนที่มี
ความสามารถในการอา่ นต่ํา

3. การจัดทําใบคะแนนของทีม (Team Score Sheet) เป็นแบบบันทึกคะแนน รายบุคคล
ของนักเรียน แต่ละทีมประกอบด้วย รายชื่อสมาชิกในทีมและตารางคะแนนทดสอบเมื่อจบแต่ละบทเรียน เช่น
ความเขา้ ใจในการอ่าน อา่ นออกเสยี งคาํ ศัพท์หาความหมายของคํา การสอบสะกดคําและการเขยี นเก่ียวกับเร่ือง
ท่ีอ่าน เปน็ ตน้ ครูจะอธบิ ายการไดม้ าซ่งึ คะแนนแต่ละอยา่ งทีมท่ีทําคะแนนได้ถงึ 90 คะแนนขน้ึ ไป จะไดร้ บั เกยี รติ
บัตร “Super Team” ทีมทไี่ ด้คะแนน 80 - 89 จะได้รับเกียรติบัตร “Great Team” และทมี ที่ได้คะแนน 70 - 79
จะได้รบั เกยี รติบัตร “Good Team” ครูควรอธบิ ายเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนและให้นกั เรยี นเป็นผู้กรอกรายช่ือสมาชิก
ในทีมเอง

4.การจัดทําแบบฟอร์มบันทึกการทํางานที่ได้รับมอบหมาย (Assignment Record Form)
ในแบบฟอรม์ จะมชี ่ือนักเรยี น วนั ทท่ี ี่เรยี นและตารางกิจกรรมท่ที ําหลังการอ่านและระหว่างการอ่าน

คะแนนของนักเรียนได้จากการตอบคําถามทําแบบฝึกหัดแต่ละคาบเรียน และสมุดรายงาน (Book
Reports) โดยนาํ มารวมกนั เปน็ คะแนนของทีม เพ่อื พิจารณาคะแนนความก้าวหน้าพัฒนาการของนักเรียนแต่ละ
คนและของกลมุ่ ดว้ ย

1. ทีมที่ทําคะแนนในทุกกิจกรรมได้ถึงเกณฑ์ 90% (กิจกรรมที่ได้รับในสัปดาห์หนึ่งจะ
ได้รบั การประกาศวา่ เปน็ “Super Teams” และไดร้ ับประกาศนียบัตร

2. ทีมที่ทําคะแนนได้ 80 - 90% จะได้รับการประกาศให้เป็น “Great Teams” และ
ได้รับใบประกาศนยี บัตรในระดับรองลงมา

การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือผลงานของนักเรียนทุกคนคือ ผลงานของกลุ่มและกลุ่มที่ได้รับ
คะแนนรวมสูงสุดจัดเป็นกลุ่มดีเยี่ยม ดังนั้น ในการทดสอบทุกครั้งหลังจากกิจกรรมกลุ่มแล้ว มีการทดสอบเป็น
รายบุคคล คะแนนสอบของแต่ละคนจะนําไปเปรียบเทียบกบั คะแนนฐานเพ่ือคิดคะแนนพัฒนา คะแนนฐานอาจ
มาจากคะแนนสอบในรายวิชานั้นในภาคเรียนก่อนที่จะมีการสอนในภาคเรยี นตอ่ ไป แต่คะแนนฐานและคะแนน

20

สอบควรเทียบกับคะแนน 100 เสมอ คะแนนฐานอาจได้มาจากคะแนนสอบแต่ละครั้งจากคะแนนฐานที่สามารถ
นํามาคิดคะแนนพฒั นาจากคะแนนสอบในคร้งั ต่อไป (วัชรา เล่าเรยี นดี, 2555 : 196) ดังตารางท่ี 2.1

ตารางที่ 2.1 เกณฑก์ ารคาํ นวณคะแนนความกา้ วหนา้

คะแนนจากการทดสอบ/แต่ละคน คะแนนพฒั นา

ต่าํ กว่าคะแนนฐาน มากกวา่ 10 คะแนน 0
ต่ํากว่าคะแนนฐาน 1 - 10 10
เทา่ กับคะแนนฐานหรือมากกว่า 1 - 10 คะแนน 20
สงู กวา่ คะแนนฐานมากกว่า 10 คะแนน 30

ในการทดสอบแต่ละครั้งนักเรียนต้องรู้คะแนนฐานของตนเองก่อนและคํานวณว่าตนเอง อาจต้องทํา
อีกเท่าไรจึงจะได้คะแนนพัฒนาตามที่คาดหวัง คะแนนพัฒนาของแต่ละคนขึ้นอยู่กับ ความพยายามของแต่ละ
คน ทจ่ี ะพยายามทําข้อสอบให้มากกว่าคะแนนฐานในแตล่ ะครัง้ ที่มีการสอบเพ่ือผลประโยชนข์ องตนเองและของ
กลุ่ม กลุ่มที่ไดค้ ะแนนพัฒนาสงู สุดหรือถึงเกณฑท์ ่ีกำหนดจะได้รับ รางวลั เป็นเครอื่ งหมายความสาํ เร็จ (วชั รา เล่า
เรยี นดี, 2555 : 196)

ตารางที่ 2.2 เกณฑ์การพัฒนา

คะแนนพฒั นาเฉลีย่ ของกลุม่ ระดบั การพัฒนา

0 - 15 กลุ่มเกง่
16 - 25 กล่มุ เก่งมาก
26 - 30 กลมุ่ ยอดเยยี่ ม

วชั รา เลา่ เรยี นดี (2555) ได้สรุปการเตรียมการสอนโดยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี ไว้ดังนี้
1. ขน้ั เตรยี ม ประกอบดว้ ย การแบง่ กลุ่มนกั เรียนโดยคละความสามารถ กำหนดสัดสว่ น เกง่ ปาน

กลาง อ่อนเป็น 1 : 2 : 1 แนะนําวิธีการเรียนรู้เทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี อธิบายวิธีการวัดผลประเมินผล การคิด
คะแนนกลุ่ม วิธกี ารทาํ งานกลุม่ สร้างแรงจงู ใจในการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื กัน แจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียน

2. ขั้นสอน ประกอบด้วย ครูทบทวนความรู้เดิม การนําเสนอคําศัพท์ใหม่ นําเสนอบทเรียนใหม่

และสอน วิธีสอนอ่านเพอื่ ความเข้าใจ นักเรยี นอา่ นบทอ่าน ครูฝึกทกั ษะในการอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจจากเรอ่ื ง

3. ขั้นกิจกรรมกลุ่ม ดําเนินการสอนตามกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันด้ว ยเทคนิค

CIRC ประกอบด้วย ขั้น C (Cooperative) คือ การให้นักเรียนฝึกปฏิบัติโดยจับคู่กนั อ่าน ผลัดกันอ่าน แก้ไขการ

อ่านของเพื่อน เข้ากลุ่มช่วยกันสรุป ขั้น IR (Integrated Reading) เป็นการบูรณาการการสอนอ่าน นักเรียน

รว่ มกันอ่านบทอา่ น ร่วมกันคดิ พิจารณา จบั ใจความสาํ คัญ บอกรายละเอียดจากเร่ือง เรียงลาํ ดบั เหตุการณ์ บอก

ความหมายของคําศัพท์จากบริบท การแปลความ ตีความ ขั้น C (Composition) คือ การเขียนสรุป และแสดง

ความคดิ เห็นจากเรือ่ งทีอ่ า่ น

21

4. ขั้นประเมินผล และมอบรางวัล ประกอบด้วย นักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน นักเรียนทํา
แบบทดสอบโดยลาํ พงั ไม่มีการช่วยเหลือกัน ตรวจให้คะแนน บันทึกคะแนนของสมาชกิ ในแต่ละกลุ่ม รวมคะแนน
แตล่ ะกลุ่มเพอื่ ประเมินผลสัมฤทธ์ิของกลุ่ม ใหร้ างวลั สาํ หรับกลมุ่ ทท่ี าํ คะแนนเฉลย่ี ได้มากท่สี ดุ

ทิศนา แขมมณี (2552 : 270 - 271) กลา่ วถงึ ขั้นตอนในการสอนด้วยเทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี ดงั นี้
1. ครูแบง่ กล่มุ นกั เรยี นตามระดบั ความสามารถในการอ่าน นักเรยี นในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คน หรือ

3 คน ทำกิจกรรมการอา่ นแบบเรยี นรว่ มกัน
2. ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับทีมทำ

กิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แตง่ ความ ทำแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้คะแนนของแต่
ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80 -
89% ก็จะได้รบั รางวลั รองลงมา

3. ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่
ๆ ทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำเรือ่ งที่อ่านแลว้ ใหผ้ ู้เรียนทำกิจกรรมตา่ ง ๆ ตามที่ผู้เรียน
จดั เตรียมไว้ให้ เชน่ อา่ นเร่ืองในใจแล้วจับคู่อา่ นออกเสียงให้เพื่อนฟังและชว่ ยกันแกจ้ ุดบกพร่อง หรือครูอาจจะให้
นักเรยี นชว่ ยกันตอบคำถาม วิเคราะหต์ วั ละครวเิ คราะหป์ ัญหาหรือทำนายวา่ เรื่องจะเปน็ อยา่ งไรต่อไป เป็นตน้

4. หลังจากกจิ กรรมการอ่าน ครนู ำอภิปรายเรื่องที่อ่าน โดยครจู ะเน้นการฝึกทกั ษะต่าง ๆ ในการ
อ่าน เช่น การจบั ประเด็นปัญหา การทำนาย เปน็ ตน้

5. นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้ง รายบุคคล
และทมี

6. นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความ
สำคญั ทกั ษะการอ้างอิง ทกั ษะการใชเ้ หตุผล เป็นต้น

7. นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียน ได้ตาม
ความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุดตีพิมพ์ผลงาน
ออกมา

8. นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่อ่าน เป็น
รายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอา่ นของนักเรียนทบี่ ้าน โดยมีแบบฟอรม์ ให้

สังวาล วิริจินดา (2553 : 36 - 38) ได้สรุปกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิค ซี ไอ
อาร์ ซี ดงั นี้

1. การจัดกล่มุ อ่าน (Reading Group)
2. การจัดทมี รว่ มกันเรียนรู้ (Teams)
3. การจัดกิจกรรมพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหลักที่จะให้นักเรียนอ่าน (Basal-Related
Activities)
4. การจบั คอู่ า่ น (Partners Reading)
5. การเรียนรู้ไวยากรณ์ในเรื่องและการฝึกเขียนในเรื่อง (Story Grammar and Story-
related writing)
6. การฝึกอา่ นออกเสยี งคำท่ีกำหนด (Word Out Loud)

22

7. การฝกึ หาความหมายของคำศัพท์ (Word Meaning)
8. การสรุปเร่อื ง (Story Retell)
9. การฝกึ สะกดคำ (Spelling)
10. การตรวจสอบโดยเพื่อน (Partners Checking)
11. การทดสอบความร้คู วามเข้าใจ (Test)
12. การสอนอ่านเพ่ือความเข้าใจ (Direct Instruction in Reading Comprehension)
13. การให้อ่านบทความต่าง ๆ นอกเวลาและการให้เสนอรายงานการอ่านต่าง ๆ
(Independent Writing-Reading and Book Reports)
14. การผสมผสานหลักภาษากับการเขยี น (Integrated Language Arts and Writing)
สรปุ ได้ว่า ขัน้ ตอนการสอนโดยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี ท่ีผ้วู จิ ยั นำมาใช้ในการจัดการเรยี นรู้ประกอบด้วย
4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นสอน ขั้นกิจกรรมกลุ่ม และวัดผลและประเมินผล โดยเน้นการสอน
การอ่านภาษาองั กฤษเพอ่ื ความเข้าใจ และเรียนรดู้ ้วยกจิ กรรมกลุ่มแบบร่วมมอื กัน

4. เอกสารที่เก่ยี วกบั ใบงานมชี วี ติ Live worksheet

4.1 ความหมายของใบงานมชี ีวิต Live worksheet
Liveworksheet เป็นเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ฟรี และมีรูปแบบใบงานที่หลากหลายให้คุณครู

ได้เลือกใช้ หรือถ้าคุณครูต้องการยกระดับประสทิ ธิภาพการใช้งานกส็ ามารถสมัครสมาชิกกับทางเว็บไซต์เพื่อให้
ใช้งานได้ดีขึ้นในอีกระดับหนึ่ง โดยสามารถเลือกระดับสมาชิกได้อย่างหลากหลาย มีรูปแบบใบงานที่สามารถ
สรา้ งได้น้นั มีหลากหลายแบบด้วยกนั ยกตัวอยา่ งเช่น ใบงานการโยงเสน้ จับคู่ ใบงานการแยกหมวดหมโู่ ดยลากไป
วาง ใบงานเลอื กคำตอบถูก-ผิด ใบงานเติมคำจากตัวเลือกท่ีกำหนดให้ ขอ้ สอบปรนยั ใบงานการตอบคำถามแบบ
อัตนยั และใบงานการฝกึ พดู -อ่านออกเสยี ง

4.2 การใชง้ าน Liveworksheets
1 ไปที่เว็บไซต์ https://www.liveworksheets.com

การสร้างใบงานออนไลน์ สำหรับคนรนุ่ ใหม่ ด้วย Live Worksheet
2 ไปท่ี Teachers access เลอื กเข้าไปสมัครใช้งานที่ Register

23

การสรา้ งใบงานออนไลน์ สำหรบั คนรุ่นใหม่ ดว้ ย Live Worksheet
3 เขา้ ไปกรอกข้อมูลฝงั่ ซ้าย ส่วนฝ่ังขวายังไม่จำเปน็ ต้องกรอกกไ็ ด้ (ท่สี ำคัญจะต้องจำ
username และ password ท่ใี ชส้ มัครให้ได้)

การสรา้ งใบงานออนไลน์ สำหรบั คนร่นุ ใหม่ ด้วย Live Worksheet
4 กลับเข้าไปทกี่ ล่องจดหมายของ E-mail ท่ีเราสมคั รเพ่ือไป Activate เขา้ ใชง้ านไปที่ จดหมาย
Welcome to liveworksheets (กดเลือกตรงขอ้ ความที่ยาวทสี่ ุด)

24

5 จากนนั้ จะกลับเขา้ มา login หน้าเว็บอกี ครง้ั โดยใส่ Username และ Password ที่เราใชส้ มคั ร
ลงไป (โดยอาจจะกดให้เคร่ืองท าการบันทึกไวท้ ่ี Remember me)

5. เอกสารทเ่ี กย่ี วกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น

5.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ

ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ
สรา้ งเครื่องมอื วดั ใหม้ ีคณุ ภาพนน้ั ไดม้ ผี ูใ้ หค้ วามหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นไวด้ งั น้ี

พโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะรวมถึง
ความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับ
จากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมี
จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมี
ความสามารถด้านใดมากนอ้ ยเท่าไร ตลอดจนผลทเ่ี กิดขึน้ จากการเรยี น การฝกึ ฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทง้ั ใน
โรงเรียน ทีบ่ ้าน และสง่ิ แวดลอ้ มอ่นื ๆ รวมทง้ั ความรสู้ กึ ค่านิยม จรยิ ธรรมตา่ ง ๆ กเ็ ป็นผลมาจากการฝกึ ฝนดว้ ย

อรทัย จันใด (2553 : 18) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถใน
การท่ีจะพยายามเขา้ ถึงความรู้ หรอื ทักษะซง่ึ เกดิ จากการกระทำที่ประสานกนั ตอ้ งอาศัยความพยายามอย่างมาก
ทั้งองค์ประกอบทางด้านที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ใช้สถิติปัญญา แสดงออกในรูปของ
ความสำเร็จ ซง่ึ สามารถสงั เกตและวดั ได้ดว้ ยเคร่ืองมือทางจติ วิทยาหรือวา่ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทวั่ ไป

สรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้มาตามหลักการวัดและ
ประเมินผลที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิดหรือพุทธิพิสัย ด้านอารมณ์และความรูสึกหรือจิตพิสัย และด้าน
ทักษะปฏบิ ัติหรอื ทักษะพิสยั ทผ่ี สู้ อนกำหนดไวใ้ นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

5.2 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ

ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ
สรา้ งเครอ่ื งมอื วดั ใหม้ ีคณุ ภาพนนั้ ไดม้ ีผูบ้ อกประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนไว้ ดงั นี้

25

พโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher Made Tests) และแบบทดสอบ
มาตรฐาน (Standardized Tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือถามสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการ
เรยี นการสอนซงึ่ จัดกลุม่ พฤติกรรมได้ 6 ประเภท คอื ความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การ
สังเคราะห์ และการประเมนิ

1. แบบทดสอบท่ีครูสรา้ งขึ้นเปน็ แบบทดสอบท่ีครสู รา้ งข้ึนเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้เรียนในชั้น
เรยี น แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ

1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective Tests) ได้แก่ แบบถูก - ผิด (True - False)แบบ
จับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคำตอบสั้น (Short Answer)และแบบ
เลือกตอบ (Multiple Choice)

1.2 แบบอัตนัย ( Essay Tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ ( Restricted Response
Items) และแบบไมจ่ ำกดั ความตอบ หรือตอบอย่างเสรี (Extended Response Items)

2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญที่มี
ความรู้ในเนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มีคำชี้แจง
เกี่ยวกับการดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มีความ
เที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California Achievement
Test, Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test และ the Metropolitan Achievement
tests เป็นต้น

พิสณุ ฟองศรี (2553 : 124 - 125) ได้กล่าวถึงการสร้างและพัฒนาแบบสอบชนิดเลือกตอบ ไว้ว่า
แบบสอบประเภทปรนัยชนิดเลือกตอบใช้กันแพร่หลายมากที่สุด แบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเภท คือ แบบคำถาม
โดด แบบสถานการณ์และแบบตัวเลือกคงที่ จุดมุ่งหมายในการใช้แบบทดสอบชนิดเลอื กตอบ เพื่อวัดพฤติกรรม
ด้านพุทธิพิสัยเกี่ยวกับความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้วิเคราะห์ โดยอาจวัดได้ถึงการสังเคราะห์และ
ประเมนิ คา่ ได้

ข้อดขี องแบบสอบชนดิ เลอื กตอบ
1. ออกข้อคำถามได้ทุกเนื้อหาและพฤติกรรม
2. ตรวจงา่ ย ยุตธิ รรม

3. ในการตรวจไมม่ ปี ัญหาเรอ่ื งการอา่ น

4. สามารถพฒั นาให้เป็นแบบสอบมาตรฐานได้

5. สอดคลอ้ งกบั พฤติกรรมของมนุษยท์ ่ตี ้องตดั สินใจเลือกอยูเ่ สมอ

ข้อเสียของแบบสอบชนดิ เลือกตอบ

1. สร้างยากใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าแบบสอบปรนัยประเภทอื่น เนื่องจากต้องสร้าง ทั้งข้อ

คำถามและตัวเลอื ก ยงิ่ มหี ลายตวั เลือกกย็ ่ิงสร้างยาก

2. ใชเ้ วลานานและคา่ ใชจ้ า่ ยสงู

3. ถ้าสร้างไมด่ ีมักจะวดั ไดเ้ ฉพาะพฤติกรรมระดับความรู้ - ความจำ

พิสณุ ฟองศรี (2553 : 126 - 147) ได้กลา่ วถงึ การสร้างแบบสอบชนิดเลือกตอบไวว้ ่า การสร้างแบบ

สอบชนดิ เลอื กตอบมหี ลกั การสรา้ ง ดงั นี้

1. ศกึ ษาหลกั สูตร เนอ้ื หา และวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมหรือการเรียนรู้

2. สรา้ งตารางวิเคราะห์หลกั สูตร (Table of Specification)

26

3. รา่ งข้อคำถามและองคป์ ระกอบ ขอ้ คำถามทใ่ี ช้สำหรบั วดั พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยท้งั 6 ระดับ

โดยมีข้อคำถามหลกั ๆ ดงั นี้

3.1 ด้านความรู้ความจำ การวัดด้านความรู้ความจำ เป็นความสามารถในการระลึกได้ถึง

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยประสบมาคำถามประเภทนี้จะเป็นคำถามตามตำราหรือตามประสบการณ์ที่เคยได้รับ หรือ

ตามท่ีผู้บอกหรอื สอนไว้ หรอื ถามความจำทเี่ กีย่ วกบั เน้อื หาวชิ าที่เรียนมา แบ่งออกเปน็ 3 ระดับ คือ

3.1.1 ความจำเก่ียวกบั เน้ือเรอ่ื ง

1) การถามความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม เช่น การถามชื่อ ถามคำศัพท์ การถาม

ความหมาย การถามตัวอย่าง

2) ถามความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง เช่น การถามสูตร กฎ หลักการ ทฤษฎี

สมมตฐิ าน ถามความจริงเก่ียวกับเรื่องราวหรือเนื้อเรื่อง ถามขนาด จำนวน ถามสถานท่ี ถามเวลา ถามคุณสมบัติ

ถามวัตถปุ ระสงค์ ถามสาเหตุและผลทีเ่ กิด ถามประโยชน์และโทษ ถามสทิ ธหิ นา้ ที่

3.1.2 ความรู้เกี่ยวกับดำเนินการ เปน็ การถามความรู้เกย่ี วกับวิธีปฏิบัติ ในการทำกิจการ

ต่าง ๆ และเรื่องราวเหตุการณ์ เขียนได้ 5 แบบ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้น

และแนวโน้ม ความรูเ้ กี่ยวกบั การจำแนกประเภท ความร้เู กยี่ วกบั เกณฑ์ และความรูเ้ กี่ยวกับวิธีการ

3.1.3 ความรู้รวบยอดในเนื้อเรื่อง เป็นการถามความสามารถในการจดจำข้อสรุปหรือ

หลกั การของเรื่องที่เกิดข้ึนจากการผสมผสานหาลักษณะรว่ มเพ่ือรวบรวมและย่นย่อลงมาเป็นหลักหรือหัวใจของ

เนื้อหานั้น มี 2 แบบ คือ ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาการกับการขยายหลักวิชา และความรู้เกี่ยวกับ ทฤษฎีกับ

โครงสรา้ ง
3.2 ความเข้าใจ การวัดความเข้าใจเป็นการถามเกี่ยวกับความสามารถในการนำ ความรู้

ความจำไปดัดแปลงปรับปรุง เพื่อให้สามารถจับใจความอธิบาย หรือเปรียบเทียบย่นย่อเรื่องราว ความคิด
ขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ รวมทง้ั สามารถอธิบายและเปรียบเทยี บส่ิงท่มี ีลักษณะและสภาพคล้ายคลงึ กันเปน็ ทำนองเดียวกับ
ของเดิมได้ ผทู้ ม่ี ีความเข้าใจในสิง่ ใดจะสามารถแปลความหมายหรือตคี วามหมาย หรอื ขยายความเก่ียวกับสิ่งนั้น
ได้ คำถามทีใ่ ชว้ ดั ความเขา้ ใจมี 3 แบบ คอื การแปลความ การตีความและการขยายความ

3.3 การนำไปใช้ การวัดการนำไปใช้ เป็นการถามเก่ยี วกับการนำเอาความรู้ ความเขา้ ใจไปใช้
ในการแก้ปญั หาใหม่ท่ีมีลักษณะเดียวกนั หรือคล้ายคลึงกันได้ ถามประเภทนี้จะถามสิ่งต่าง ๆ 3 แบบ คือ ถามให้
แก้ปัญหา ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชาการกับการปฏิบัติ และถามให้อธิบายเหตุผลตามหลักวิชาหรือ
เหตุผลของการปฏิบัติ

3.4 การวิเคราะห์ การวัดการวิเคราะห์เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะ สิ่งต่าง ๆ
หรือเรื่องราวต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อค้นหาความจริงทีซ่ ่อนเร้นอยู่ในเร่ืองราวน้ัน ๆ ว่ามีอะไรสำคญั มาก
หรือนอ้ ยในด้านใด มคี วามเกีย่ วพันกันอยา่ งไร และยึดหลกั การใด คำถามประเภทนี้แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ การ
วิเคราะหค์ วามสำคัญ การวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ และการวเิ คราะห์หลักการ

3.5 การสังเคราะห์ การวัดการสังเคราะห์เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมผสมผสาน
สิ่งต่าง ๆ เช่น สิ่งของ ข้อเท็จจริง รายละเอียด ความคิด เพื่อนำมาผลิตหรือทำให้เป็นสิ่งใหม่ หรือเพื่อหาข้อสรุป
ข้อยุติ คำถามประเภทนี้แบ่งเป็น 3 แบบ คือ การสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน และการสังเคราะห์
ความสัมพนั ธ์

3.6 การประเมินค่า การวัดการประเมินค่าเป็นการวินิจฉัยตีราคาโดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์
การประเมนิ คา่ แบง่ ยอ่ ยออกเปน็ 2 แบบ คอื การประเมินค่าโดยอาศยั เกณฑภ์ ายในและการประเมนิ คา่ โดยอาศัย
เกณฑภ์ ายนอก

27

ไพศาล วรคำ (2556 : 239 - 243) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบและประเภทของ แบบทดสอบ
ไว้ว่า แบบทดสอบ (Test) หมายถงึ ชุดของข้อคำถามท่ีใชว้ ัดค่าของตัวแปรใดตัวแปรหน่งึ โดยมีคำตอบที่ถูกต้อง
แน่นอน และมีกฎเกณฑ์ในการตรวจให้คะแนนอย่าง สมเหตุสมผลและแน่นอน สามารถแบ่งประเภทของ
แบบทดสอบ ได้ดงั นี้

1. จำแนกตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด ซึ่งเป็นคุณลักษณะทางจิตภาพ แบบทดสอบจึงทำ
หนา้ ทเี่ ป็นแบบวดั เพราะใชว้ ดั คุณลักษณะต่าง ๆ จำแนกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ

1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัด
ความรู้ (Knowledge) และทกั ษะ (Skill)

1.2 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality Test) เป็นแบบดสอบที่ใช้วดั คุณลักษณะของ
คนเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดและเจตคติ ลักษณะของแบบทดสอบมีทั้งแบบสอบภาคปฏิบัติ และแบบถามตอบ
การทดสอบเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบวัดที่ใช้การฉายออก (Projective Test)
และแบบวัดที่ไม่ใช้การฉายออก (Non Projective Test) แบบวัดที่ใช้การฉายออกจะมีลักษณะเป็นแบบทดสอบ
ส่วนแบบวดั ที่ไม่มีการฉายออกจะมีลักษณะเป็นแบบสอบถามหรือรายงานตนเอง ซึ่งมกั จะมีปัญหาเร่ืองการตอบ
คือ ผ้ตู อบจะตอบในแนวทางทใี่ หต้ นเองดดู ี คำตอบทไี่ ดจ้ ึงไมค่ ่อยตรงตามความเปน็ จริง

1.3 แบบวดั ความถนัด (Aptitude Test) เปน็ การวดั ศกั ยภาพ (Potential) ของผูต้ อบเพ่ือใช้
ในการทำนายความสามารถในการปฏิบัติงาน กิจกรรมหรือการศึกษาในอนาคต ผลของการวัดความถนัดจะเป็น
ประโยชน์ต่อครูผู้สอน ครูแนะแนว และผู้บริหาร แบบวัดความถนัดแบ่งออกเป็น แบบวัดความถนัดทั่วไป แบบวัด
ความถนัดเฉพาะทาง แบบวัดความพร้อม และแบบวดั ความคิดสรา้ งสรรค์

2. จำแนกตามลักษณะการตรวจให้คะแนน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่การตรวจให้คะแนนมี

ความเป็นปรนัยสูง กล่าวคือ ไม่ว่าจะให้บุคคลใดเป็นผู้ตรวจก็สามารถให้คะแนนได้ถูกต้องตรงกันเสมอ เช่น
แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบจับคู่ แบบทดสอบแบบถกู -ผดิ เป็นตน้

2.2 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่การตรวจ ให้คะแนนมี
ความเป็นปรนัย หรือคะแนนที่ได้จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ตรวจให้คะแนนแต่ละคน เช่น แบบทดสอบ
ความเรียง แบบทดสอบเตมิ คำ เป็นต้น

2.3 แบบทดสอบอัตนัยประยุกต์ (Modified Subjective Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ทำ
การปรบั ปรงุ มาจากแบบทดสอบอัตนยั โดยการปรับวธิ กี ารตรวจให้คะแนนใหม่ ความเป็นปรนยั มากขน้ึ

3. จำแนกตามลักษณะการสร้าง จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
3.1 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่มีคณะผู้เชี่ยวชาญ

ทางด้านจิตวิทยา ด้านการวัดและประเมิน และนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนาขึ้นภายใต้ กระบวนการ
สร้างทไี่ ด้มาตรฐาน และมีการพัฒนาอย่างตอ่ เน่อื งจนเปน็ ทยี่ อมรบั กนั ทัว่ ประเทศ

3.2 แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างเอง (Researcher - Made Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจัย
สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย หรืออาจเป็นแบบทดสอบที่มีผู้วิจัยอื่น ๆ
สร้างไว้แล้ว

4. จำแนกตามลักษณะการนำผลที่ไดไ้ ปใชป้ ระเมิน จำแนกเปน็ 2 ประเภท คอื
4.1 แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ (Criterion - Referenced Test) เป็นแบบทดสอบ ที่สร้างขึ้น

เพื่อวัดความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลว่ามีความรู้ความสามารถตามเกณฑ์ตั้งไว้หรือไม่ ส่วนใหญ่จะใช้ใน
การประเมนิ เพ่ือพัฒนาผ้เู รยี น

4.2 แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม (Norm - Referenced Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพ่ือ
วัดความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลว่ามีอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับบุคคลอื่น ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาและ

28

พฤติกรรมที่ต้องการวัด สว่ นใหญแ่ บบทดสอบแบบองิ กลมุ่ จะใช้จัดตำแหน่ง ความรอบรู้ของผเู้ รียนในเร่อื งที่สอน
หรือใช้ในการประเมินผลสรุปรวม แบบทดสอบประเภทนี้จึงมุ่งทดสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการวัดให้มาก
ทสี่ ดุ

5. จำแนกตามลักษณะการตอบสนอง จำแนกได้เปน็ 3 ประเภท คือ
5.1 แบบทดสอบข้อเขียน (Paper - Pencil Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้ตอบต้องอ่านข้อ

คำถามแล้วเลือกคำตอบหรือเขียนตอบในกระดาษคำตอบที่จัดให้ มีหลายรูปแบบ ได้แก่ แบบทดสอบเลือกตอบ
แบบทดสอบความเรียง แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบโคลซ

5.2 แบบทดสอบปฏิบตั ิ (Performance Test) เปน็ แบบทดสอบทีใ่ ชว้ ัดทกั ษะ ความสามารถ
ในการปฏิบัติงานโดยการกำหนดภาระงาน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ให้ผู้เข้าสอบได้ปฏิบัติงานตามคำสั่ง หรือ
สถานการณท์ ีก่ ำหนด

5.3 แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) เป็นแบบทดสอบที่มีลักษณะคล้าย แบบทดสอบ
ความเรียงหรือแบบทดสอบอัตนัย แต่แทนทจี่ ะให้ผ้ตู อบเขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ กใ็ ห้ผู้ตอบบรรยายหรือ
อธิบายออกมาให้ฟัง หรือมีลักษณะเดียวกันกับการสัมภาษณ์ เพียงแต่ประเด็นคำถามต้องการที่จะ ตรวจสอบ
ความรู้ความสามารถ ตลอดจนปฏิญาณไหวพรบิ ของผ้ตู อบ

สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่ง
สร้างจากผู้เชีย่ วชาญดา้ นเนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ
แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
คำศพั ทเ์ พ่ือการสื่อสาร ผู้วิจยั ไดเ้ ลือกแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึน้ แบบปฏิบตั ิ ในการวัดความสามารถในการนำ
คำศัพท์ไปใช้ในการสื่อสารด้านการการพูดและการเขียน และเลือกแบบทดสอบแบบเขียนตอบที่จำกัดคำตอบ
โดยการเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดให้ในการวัดความรู้ความเข้าใจความหมายของคำศัพท์ และการนำ
คำศพั ทไ์ ปใชใ้ นการฟังและการอ่าน

5.3 ปัจจัยทม่ี ีความสัมพันธ์กบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
เรณุกา หนูวัฒนา (2551 : 94) พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา

ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่
ปัจจยั ผเู้ รียนด้านเจตคติตอ่ การเรียนภาษาอังกฤษ ปัจจัยด้านโรงเรียน และปัจจยั ด้านครอบครวั

อรทัย จันใด (2553 : 80 - 81) พบว่า ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
ภาษาอังกฤษ ได้แก่ คุณภาพการสอนของครู บุคลิกภาพของครู บรรยากาศในชั้นเรียน เจตคติ ต่อการเรียน
ภาษาอังกฤษ ความต้งั ใจเรยี น อัตมโนทัศน์เกยี่ วกบั ตนเอง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

วนิดา ดีแป้น (2553 : ค - ง) พบว่า ตัวแปรอิสระระดับนักเรียนที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ โอกาสในการฝึกใช้
ภาษาอังกฤษ ความรู้พื้นฐานเดิม ความถนัดทางภาษา เวลาที่เข้าเรียนชั่วโมง ภาษาอังกฤษ เจตคติต่อ
ภาษาองั กฤษ แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ ความเอาใจใสข่ องผูป้ กครอง และนิสัยในการเรียน

ศิรินาฏ เจาะจง (2554 : 84 - 93) ได้ศึกษาสภาพปัจจัยการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและ ผลกระทบ
ของครอบครวั ท่มี ีต่อนกั เรยี นในชนบท พบวา่ ปจั จัยท่ีมอี ิทธพิ ลต่อการเรียนภาษาองั กฤษ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ทางครอบครัว
รายได้ของครอบครัว การสนับสนุนทางครอบครัว โอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษ ตัวนักเรียนเอง ครูสอน
ภาษาองั กฤษดุและเข้มงวดเกินไป สภาพการจดั การเรียนการสอนของครู สภาพแวดล้อมของโรงเรียน ผู้ปกครอง
ไมเ่ หน็ ความสำคัญของการเรยี นภาษาอังกฤษ

29

สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษมีมากมาย ในการจัด
กระบวนการเรียนการสอนนั้นควรคำนึงถึงตัวผู้เรียน ซึ่งตัวผู้เรียนเองนั้นนับเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ สามารถสังเกตได้จากเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
และความตั้งใจเรียน อกี ปจั จัยหนึ่งทสี่ ่งผลต่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาภาษาอังกฤษ คือ ครูผู้สอนและการจัด
กระบวนการเรียนการสอน ครผู ้สู อนจะตอ้ งเอาใจใส่ในการเตรียมความพร้อมไมว่ ่าจะเป็นเตรยี มเน้ือหาท่ีจะสอน
เตรียมพร้อมเรื่อง สื่อโสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ และแม้กระทั่งบุคลิกภาพการสอนของครู เช่น การแต่งกายของครู
ท่วงท่า น้ำเสียง การยืน การเดิน ท่าทางประกอบการบรรยายของครูที่สอนนักเรียน ตลอดรวม ไปถึงปัจจัยดา้ น
สภาพแวดล้อม การจัดบรรยากาศในช้ันเรยี น การตกแต่งห้องเรียน และบรรยากาศทีด่ ีเอ้ือประโยชน์ต่อการเรียน
น้นั กส็ ่งผลตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าภาษาอังกฤษ ดว้ ยทง้ั สน้ิ

6. เอกสารท่ีเกยี่ วกับแบบสอบถามความคดิ เห็น

6.1 ความหมายของแบบสอบถามความคิดเห็น
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อวัดความคิดเห็นต่าง ๆ หรือวัดความจริงที่ไม่

ทราบ อนั จะทำใหไ้ ดม้ าซ่ึงข้อเท็จจรงิ ทั้งในอดีต ปจั จุบนั และการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตส่วนใหญจ่ ะอยู่ใน
รูปของคำถามเป็นชุด ๆ เพื่อวัดสิ่งที่ต้องการวัด โดยมีคำถามเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้า ให้บุคคลตอบออกมา นับว่า
เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้วัดทางด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และมีผู้ให้คำจำกัดความของ “แบบสอบถาม”
ไว้หลายทา่ นดว้ ยกัน ดงั นี้

พิชญ์สินี ชมภูคำ (2551) ให้คำนิยามว่า แบบสอบถามเป็นรปู แบบของคำถามเปน็ ชุด ๆ ที่ได้ถูก
รวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์และเป็นระบบ เพื่อใช้วัดสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการจะวัดจากกลุ่มตัวอย่าง หรือประชากร
เป้าหมายให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงทั้งในอดีต ปัจจุบันและการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถาม
ประกอบด้วย รายการคำถามที่สร้างอย่างประณีต เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือข้อเท็จจริง โดยส่ง
ให้กลุ่มตัวอย่างตามความสมัครใจ การใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น การสร้าง
คำถามเป็นงานที่สำคัญสำหรับผู้วิจัย เพราะว่าผู้วิจัยอาจไม่มีโอกาสได้พบปะกับผู้ตอบแบบสอบถามเพื่ออธิบาย
ความหมายต่าง ๆ ของข้อคำถามทต่ี อ้ งการเก็บรวบรวม

อุดม กุลธร (2551 : 23) กล่าวถึงความคิดเห็นในแบบความพึงพอใจ เป็นระดับความรู้สึก หรือ
ทัศนคติของกลุ่มบุคคล หรือบุคคลที่มีต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นต่ อเมื่อความ
ต้องการของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเหล่านั้นได้รับการตอบสนอง ทั้งในด้านตัวสินค้า และบริการ โดยทำการ
เปรียบเทยี บกบั ผลประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั กบั ความคาดหวงั ในการรับบริการ หรือ ซอ้ื บรกิ าร

ธเนศ ต่วนชะเอม (2552) แบบสอบถาม คือ ข้อคำถามที่ผู้วิจัยต้องสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิด
และนิยามปฏิบัติการอย่างได้มาตรฐาน (Standard) สำหรบั วัดสงิ่ ที่ต้องการวัด

สรุปได้ว่า แบบสอบถามเป็นรูปแบบของคำถามเป็นชุด ๆ ที่ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์และ
เป็นระบบ โดยสร้างขนึ้ เพอ่ื วัดระดับความคดิ เหน็ หรือความพงึ พอใจ ความรู้สกึ หรือทัศนคติของกลุ่มบุคคลหรือ
บุคคล ท่มี ีตอ่ ปจั จยั ต่าง ๆ

30

6.2 ประเภทของแบบสอบถามความคดิ เห็น
แบบสอบถามความคิดเห็นที่ใช้ในการวัดระดับความคิดเห็นทางด้านจิตพิสัย ( Affective

Domain) มีผู้จำแนกประเภทของแบบสอบถามความคดิ เห็น ดงั นี้
ไพศาล วรคำ (2556 : 251 - 258) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบสอบถามไว้ว่า แบบสอบถามเป็น

เครื่องมือที่ใช้สอบถามความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือใช้สอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติ คุณลักษณะและ
บุคลิกภาพ โดยให้กลุม่ ตัวอย่างเขียนตอบหรอื เลือกคำตอบทจ่ี ัดไวใ้ ห้ สามารถแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่

1.จำแนกตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด ได้แก่ แบบวัดบุคลิกภาพ แบบวัดเจตคติ แบบวัดความ
สนใจ

2.จำแนกตามลักษณะของมาตรประมาณค่า ได้แก่ มาตรวัดของลิเคิร์ต มาตรวัดของออสกูด
มาตรวัดของเทอร์สโตน และมาตรวัดของกัทท์แมน ในที่นี้ผู้วิจัยจะนำเสนอรายละเอียดของมาตรวัดลิเคิร์ต
(Likert Scales) ดงั นี้

มาตรวัดลิเคิร์ต (Likert Scales) ส่วนใหญ่จะใช้ในการถามความรู้สึกหรือเจตคติต่อสิ่งใดส่ิง
หนึ่งโดยให้ผู้ตอบเลือกระดับความรู้สึกจากมากไปหาน้อย เช่น “มากที่สุด” “มาก” “ปานกลาง” “น้อย” และ
น้อยที่สุด” โดยกำหนดคะแนนเป็น 5, 4, 3, 2, 1 สำหรับข้อคำถามเชิงบวก และกำหนดคะแนนเป็น 1, 2, 3, 4
และ 5 สำหรับข้อคำถามเชิงลบ การแปลผลให้รวมคะแนนทั้งหมดของแบบวัด ถ้ามีคะแนนสูงแสดงว่ามีเจตคติ
ตอ่ ส่ิงนน้ั ในทางบวกสูง ข้อบกพรอ่ งทส่ี ำคญั ของมาตรวัดของลิเคริ ์ตคือ คะแนนท่ใี ห้ซง่ึ แทจ้ รงิ แล้วเป็นเพียงระดับ
ความคดิ เหน็ ไมส่ ามารถบอกไดว้ ่าระดับ ความคิดเห็นท่ตี ่างกันมีระยะห่างกันเทา่ ใด

3. จำแนกตามลักษณะการตอบ ได้แก่ แบบสอบถามปลายปิด แบบสอบถามปลายเปิด และ
แบบสอบถามชนิดผสม

ขนั้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม
1. ระบตุ วั แปรและกลุ่มประชากรท่ีจะศึกษา
2. กำหนดนิยามเชงิ ปฏิบัตกิ ารของตัวแปรทต่ี ้องการวัด
3. ระบุวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูล
4. เลือกรูปแบบของแบบสอบถามทีต่ อ้ งการ
5. รา่ งคำถามท่ตี ้องการถาม
6. นำเสนอผเู้ ชีย่ วชาญทางด้านเน้ือหา ด้านจิตวิทยา ดา้ นการวดั และประเมินผล หรอื ด้านอ่ืน ๆ

ท่เี กยี่ วขอ้ งในการตรวจสอบความเทยี่ งตรงเชงิ เนอ้ื หา
7. ทดลองใชแ้ บบสอบถาม
8. ปรบั ปรงุ แบบสอบถาม
9. จัดแบบสอบถามฉบบั สมบรู ณ์ มีจดหมายนำส่งและวิธีการส่งแบบสอบถามกลับคืน

สรุปได้ว่า ประเภทของแบบสอบถามความคิดเห็น สามารถจำแนกได้ตามลักษณะ ได้แก่ 3 ลักษะ
ดังนี้ คือ จำแนกตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด จำแนกตามลักษณะของมาตรประมาณค่า และจำแนกตาม
ลักษณะการตอบ ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้แบบสอบถามประเภทจำแนกตามลักษณะของมาตรประมาณค่า คือ มาตร
วัดของลิเคิร์ต โดยผู้วิจยั ใชใ้ นการถามความคิดเห็นต่อการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้วิธกี ารสอน ซี
ไอ อาร์ ซี บนเครือข่ายสังคมออนไลน์เอ็ดโมโด โดยให้ผู้ตอบเลือกระดับความรู้สึกจากมากไปหาน้อย ได้แก่
“มากท่ีสดุ ” “มาก” “ปานกลาง” “น้อย” และนอ้ ยที่สุด” โดยกำหนดคะแนนเปน็ 5, 4, 3, 2, 1

31

6.3 หลักการสร้างและขัน้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม
พิชญส์ ินี ชมภคู ำ (2551) ไดบ้ อกหลกั การสรา้ งแบบสอบถาม และขน้ั ตอนการสร้างแบบสอบถาม

ไว้ ดงั นี้
1. สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์การวิจยั
2. ใชภ้ าษาทเ่ี ข้าใจง่าย เหมาะสมกบั ผ้ตู อบ
3. ใชข้ ้อความที่สัน้ กะทัดรัด ไดใ้ จความ
4. แตล่ ะความถามควรมนี ัย เพียงประเดน็ เดยี ว
5. หลกี เลี่ยงการใช้ประโยคปฏิเสธซอ้ น
6. ไมค่ วรใช้คำย่อ
7. หลีกเลย่ี งการใชค้ ำทเ่ี ป็นนามธรรมมาก
8. ไมช่ น้ี ำการตอบให้เป็นไปแนวทางใดแนวทางหนึ่ง
9. หลีกเลี่ยงคำถามท่ีทำให้ผตู้ อบเกดิ ความลำบากใจในการตอบ
10. คำตอบท่มี ีให้เลอื กต้องชดั เจนและครอบคลุมคำตอบทเ่ี ป็นไปได้
11. หลกี เล่ียงคำที่สอ่ื ความหมายหลายอยา่ ง
12. ไม่ควรเป็นแบบสอบถามที่มีจำนวนมากเกินไป ไม่ควรให้ผู้ตอบใช้เวลาในการตอบ

แบบสอบถามนานเกนิ ไป
13. ขอ้ คำถามควรถามประเดน็ ท่ีเฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายของการวิจัย
14. คำถามต้องนา่ สนใจสามารถกระตนุ้ ใหเ้ กิดความอยากตอบ

มขี นั้ ตอนการสรา้ งแบบสอบถามไว้ ดังนี้
1. กำหนดวตั ถุประสงค์ของการสรา้ งแบบสอบถาม
2. ระบุเนื้อหาหรือประเด็นหลกั ทีจ่ ะถามให้ครอบคลุมวตั ถุประสงค์ทจ่ี ะประเมนิ
3. กำหนดประเภทของคำถามโดยอาจจะเปน็ คำถามปลายเปิดหรือปลายปดิ
4. รา่ งแบบสอบถาม โครงสรา้ งแบบสอบถามอาจแบ่งเป็น 3 ตอน คือ
ตอนท่ี 1 ข้อมูลเบ้ืองต้น/ข้อมลู ทั่วไป
ตอนที่ 2 ข้อมลู หลักเกยี่ วกับเร่อื งท่จี ะถาม
ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ
5. ตรวจสอบข้อคำถามวา่ ครอบคลมุ เรือ่ งท่จี ะวัดตามวัตถุประสงค์หรือไม่
6. ใหผ้ เู้ ชียวชาญตรวจสอบความเทยี่ งตรงเน้อื หาและภาษาท่ีใช้
7. ทดลองใชแ้ บบสอบถามเพอ่ื ดูความเปน็ ปรนยั ความเชอื่ มัน่ และเพอ่ื ประมาณเวลาทีใ่ ช้
8. ปรบั ปรุงแก้ไข
9. จัดพิมพแ์ ละทำคมู่ ือ

32

ธเนศ ตว่ นชะเอม (2552) แบ่งข้ันตอนในการสรา้ งแบบสอบถามไว้ 7 ขัน้ ตอน ดังนี้

ขั้นที่ 1 สิ่งที่ผู้วิจัยยกร่างควรคำนึง ก่อนที่จะสร้างแบบสอบถามนั้น ผู้ยกร่างจะต้องคำนึงถึงส่ิง

ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนีก้ อ่ น คอื

1) ต้องทราบและคำนึงปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการวิจัย รวมทั้ง

สมมตฐิ านการวจิ ัย และทีส่ ำคัญมากท่สี ดุ คือนยิ ามปฏิบัติการ (O.D.) อย่างชัดเจนว่าต้องการศึกษาหรือถามอะไร

แล้วจงึ นำเอาความตอ้ งการทราบน้ันมาต้ังเปน็ คำถาม
2) ต้องคำนึงถึงผู้ตอบว่าเป็นใคร มีระดับการศึกษาแค่ไหน และมีเวลาหรือ ความตั้งใจ

เพียงใดนน่ั คอื คำนึงถงึ หน่วยท่ีจะวิเคราะห์ (Unit of Analysis)
3) ต้องทราบลักษณะของข้อมูลว่าเป็นเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เพื่อจะได้ตั้งคำถามสำหรับ

เก็บขอ้ มลู ไดส้ ะดวก
4) ต้องพิจารณาถึงประเภทหรือชนิดของคำถามว่าจะใช้คำถามปิด (Close -Ended) หรือ

คำถามเปิด (Open - Ended) จึงจะเหมาะสม
ขั้นที่ 2 จัดทำรายการหัวข้อปัญหาหรือตวั ชี้วัด (Indicator) ก่อนที่จะยกร่างคำถามนัน้ ควรจะได้

จดั ทำปัญหาใหญ่ ๆ ไว้ก่อน เพอ่ื สะดวกแก่การยกร่าง โดยนำเอาวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ทีต่ อ้ งทราบมาแปลง
เปน็ หัวขอ้ คำถาม เชน่ จะทำวจิ ยั เรื่องความยากจนของชาวนาในภาคกลาง ก็อาจต้ังเปน็ รูปปญั หาว่าเพราะเหตุใด
หรือมีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ชาวนายากจน ซึ่งอาจทำให้หัวข้อรายการใหญ่ ๆ ที่จะถามก็ได้ โดยให้ตรงกับ
วัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัย ตัวอย่างเช่น ปัญหา ที่สำคัญ (Key Question) เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
(จะมีกี่ข้อ ขอให้ดูโครงสร้าง หรือกรอบแนวคิด) พร้อมทั้งให้คำจำกัดความแต่ละรายการปัญหาว่ามีขอบเขตแค่
ไหน และจะตอ้ งศึกษาคน้ คว้าเพ่ิมเติมอีกหรือไม่ ทั้งน้ีเพื่อจะได้คำถามใหค้ รอบคลุม และตรงกบั ปัญหาในรายการ
นัน้ อยา่ งแท้จรงิ

ขั้นที่ 3 การนิยามตัวแปร เมื่อกำหนดปัญหาการวิจัยและตั้งสมมติฐานการวิจัยแล้วผู้วิจัยจะต้อง
นิยามตัวแปร (Variables Definition) ที่ปรากฏอยู่ในปัญหา หรือสมมติฐานการวิจัย นั้นว่า หมายความว่า
อย่างไร หรือกนิ ความลึกมากน้อยเพยี งไร ซึง่ การนิยามมี 2 ระดับ คือ

1) นยิ ามทั่วไป (General Definition) หรอื นิยามเชิงทฤษฎี (Theoretical Definition) เปน็
การนิยามทั่ว ๆ ไป หรือเป็นการนิยามที่กว้างเกินไป โดยปกติเป็นการให้คำจำกัดความตามหนังสือตำราที่มีผู้ให้
ความหมายไว้ ซ่งึ การนิยามระดบั น้ียังไม่สามารถเก็บข้อมลู ได้

2) นิยามปฏิบัติการ (Operational, Working Definition) เป็นการนิยามชี้เฉพาะ เจาะจง
หรือให้ลึกลงไป ซึ่งเป็นการตีความหมาย หรือแยกกระจายออกไปภายใต้การนิยามทั่วไป ซึ่งการนิยามเชิง
ปฏิบัติการนี้เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยต้องนิยามเอง โดยอาศัยทฤษฎี แนวความคิด ความรู้ ประสบการณ์และผลงานท่ี
เกี่ยวข้องของผู้วิจัย ซึ่งการนิยามในระดับปฏิบัติการนี้จะช่วยชี้แนวทาง ให้ผู้วิจัยสามารถสร้างคำตอบ และ
เก็บขอ้ มูลไดต้ รงเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพ่อื นำขอ้ มลู มาทดสอบสมมติฐานต่อไป

ขั้นที่ 4 ลงมือยกร่างคำถาม เมื่อได้จัดทำรายละเอียดของปัญหาพร้อมหมดแล้วก็ถึง ขั้นที่จะต้อง
ยกร่างคำถามในแต่ละหวั ข้อ รายละเอยี ดน้นั ซ่งึ อาจดำเนินการดังต่อไปน้ี

1) ตั้งคำถามใหม้ ากที่สดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ และให้มีหลาย ๆ แบบ
2) ต้งั คำถามให้เสร็จส้ินไปในแต่ละรายการ
3) ให้พิจารณาว่าคำถามท่ีตงั้ น้ันตรงกับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั หรอื ไม่
4) คำถามที่ตั้งขึ้นนั้น ควรจะใช้คำถามปิดหรือคำถามเปิด จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและ
สมบรู ณม์ ากทส่ี ุด

33

5) คำถามที่ตั้งขึ้นนั้น มีซ้ำกันหรือคล้ายคลึงกันหรือไม่ ถ้าซ้ำกันให้ตัดทิ้งหรือดัดแปลงเข้า
ดว้ ยกนั ใช้ เพยี งคำถามเดยี ว

6) ถ้าเปน็ คำถามปิด ให้พิจารณาวา่ มีคำตอบใหเ้ ลือกตอบครบถ้วนหรือไม่ แต่ถ้าไมแ่ น่ใจ ให้
เปิดชอ่ งว่างสำหรบั คำตอบอนื่ ๆ (ระบุ)...................ไวด้ ้วย

7) ถ้าเป็นคำถามที่วัดทัศนคติให้พิจารณาถึง Scale ที่จะใช้มาตรวัดและควรแบ่งอย่างไร
เช่น ถ้ามีการศึกษาต่ำ (ป.6) อาจแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เห็นด้วย ไม่แน่ใจ และไม่เห็นด้วย ถ้ามีการศึกษาสูง
อาจแบ่งเป็น 5 ระดับคือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง พร้อมทั้งกำหนดคะแนนไว้
ด้วย

ข้ันที่ 5 ตรวจแกแ้ บบสอบถาม เมอื่ ได้ยกร่างคำถามแต่ละรายการหมดแล้วต้องช่วยกันตรวจสอบ
ความถูกตอ้ งและครบถว้ นของคำถามท้ังหมดน้นั ซึ่งอาจทำได้ 2 ทาง คอื

1) ตรวจสอบโดยผยู้ กรา่ งเอง อาจพิจารณาใน 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ ดงั น้ี ตรวจดูประโยชน์และ
ภาษาที่ใช้ (Wording) ว่ามีคำถามข้อใดบ้างที่ซ้ำกัน ใช้ภาษาไม่สุภาพ ไม่ชัดเจน หรือ ใช้ศัพท์ทางวิชาการสูง
เกินไป รวมทั้งตรวจดูว่าคำถามข้อนี้ยากเกินไปสำหรับผู้คำถามระดับนี้หรือไม่ และจะเหมาะสมเพียงไร มี
ลักษณะเป็นคำถามนำหรอื ไม่ มีความหมายหลายนัยหรอื ไม่ ถ้าหลายนัย ให้แยกออกเป็น 2 ข้อ เป็นคำถามที่จะ
ใหค้ ำตอบตรงกับวัตถปุ ระสงค์และสมมติฐานหรือไม่ และสะดวกแก่การรวบรวมตัวเลขเพยี งไร ถา้ ถามคำถามข้อ
นี้จะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง และถ้าไม่ถามจะขาดประโยชน์อย่างไรบ้าง หรือคำถามข้อนี้ถ้าเห็นว่าผู้ถามทราบดี
เท่าผู้ตอบก็ไม่ต้องถามให้เสียเวลา ตลอดจนตรวจดูการจัดหน้า เว้นวรรคและตัวสะกดการันต์ว่าถูกต้องและ
เหมาะสมดแี ลว้ หรือไม่ เปน็ ตน้

2) ตรวจสอบโดยบุคลากรภายนอก เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้และชำนาญทางด้านนี้โดยเฉพาะได้
พิจารณากลั่นกรองก่อนว่า มีข้อความหรือคำถามข้อใดบ้างที่ควรแก้ไขให้ถูกต้องสมบูรณ์ซึ่งตามทฤษฎี ต้องมี
ผู้เชี่ยวชาญตรวจแก้ความถูกต้อง (Validity) ของการสอบถาม จำนวน 33 คน แต่ในทางปฏิบัติมี 3 ท่านก็
เพียงพอ แต่ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนตามเนื้อหา (Content Validity) อย่างแท้จริงในการพิจารณาผูเ้ ชี่ยวชาญ
ตรวจความครบถ้วนสมบรู ณ์ (Validity) ท้ัง 3 ทา่ นนต้ี อ้ งเป็น ผูม้ คี วามรู้ ประสบการณ์ เคยศึกษาและคลุกคลีกับ
เรื่องนั้นมาอย่างดี พอบอกชื่อและนามสกุลก็ทราบเป็นอย่างดีว่า เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เช่น ทำวิจัยเรื่อง “การ
ฌาปนกิจศพ” ผู้เชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถามเครื่องมือวิจัย ได้แก่ สัปเหร่อ และต้องเป็นหัวหน้าสัปเหร่อด้วยอย่าง
นอ้ ยตอ้ ง 3 วดั การตรวจ Validity นี้ ควรใหผ้ เู้ ชีย่ วชาญ 3 - 5 คน ตรวจสอบดัชนคี วามสอดคล้องของข้อคำถามแต่
ละขอ้ กับวัตถุประสงค์ดว้ ย โดยการใชส้ ตู ร IOC

ข้นั ที่ 6 การทดสอบแบบสอบถาม (Pre - test) เปน็ ข้นั ตอนท่ีมีความสำคัญมากในทางปฏบิ ตั ิ การ
ทดสอบแบบสอบถามหมายถึง การนำคำถามไปถามกลุ่มประชากรที่มีคุณลักษณะคล้ายกับตัวอย่างที่จะไปเก็บ
รวบรวมข้อมูลจริง ๆ เช่น จะทำวิจัยเรื่อง ปญั หาความยากจนของชาวนาในภาคกลาง นักวจิ ยั กต็ อ้ งทดสอบกับบุคคล
ที่มีอาชีพทำนาเท่านั้นด้วย จะทดสอบกับชาวสวน พ่อค้า หรือข้าราชการไม่ได้ และต้องเป็นชาวนาในภาคกลาง
เท่านั้นด้วย การทดสอบ เป็นการตรวจดูว่าแบบสอบถามที่ร่างขึ้นมานั้นผู้ถูกถามมีความเข้าใจมากน้อยเพียงไร
และข้อบกพร่องที่ควรจะแก้ไขอย่างไรบ้างหรือไม่ ก็ให้บันทึกพร้อมเสนอแนะในแต่ละข้อคำถามไว้ด้วย การ
ทดสอบแบบสอบถามนีไ้ ดจ้ ดั ทำขึ้นโดยมีวตั ถปุ ระสงคด์ ังต่อไปน้ี

1) เพื่อหาความถูกต้องสมบูรณ์ (Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ของ
แบบสอบถามว่า จะสามารถใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื วิจัยในการวดั ความรู้สึกและประชากรได้หรือไม่ และไดข้ ้อมลู ตรงกัน
เพียงไร การตั้งคำถามเพื่อหา Validity และ Reliability ก็เหมือนกับการสร้างเครื่องมือวัด เช่น ไม้บรรทัด ถ้า
สร้างไม้บรรทัดได้มาตรฐาน การวัดก็ย่อมถูกต้องและน่าเชื่อถือการสร้างคำถามก็เช่นกัน ถ้าสร้างได้มาตรฐาน
และถูกต้องย่อมเป็นเครื่องมือวิจัยท่ีมี Validity และ Reliability สูงด้วย แต่ในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติการสรา้ ง
ตรงตาม Validity ได้ดแี ลว้ ไซร์ Relidbility กส็ ูงไปดว้ ย

34

2) เพ่อื ตรวจดวู า่ คำถามทต่ี งั้ ขึน้ นน้ั ผู้ตอบมีความเข้าใจในภาษาท่ีใช้หรือไม่เพียงไร
3) เพอื่ ตรวจดวู ่ามีคำถามซำ้ กนั หรอื ไม่ และมีคำถามขอ้ ใดบา้ งที่เกินความจำเป็น
4) เพื่อตรวจดูว่าผู้ตอบสามารถตอบคำถามได้ดีหรือไม่ หรือคำถามข้อใดบ้างที่ทำให้ผู้ตอบ
แบบสอบถามรู้สึกอดึ อดั ในการตอบ
5) เพื่อตรวจดวู า่ มีคำถามขอ้ ใดบ้างทมี่ ลี ักษณะเป็นการถามนำ
6) เพอ่ื ตรวจดูวา่ มีคำถามปดิ ได้จดั เตรียมคำถามไว้ให้เลือกตอบครบถ้วนหรือไม่ในประเด็นนี้
การไปทดสอบกอ่ นจะได้คำตอบอีกมาก
7) เพื่อตรวจดูว่ามีคำถามในเรื่องเดียวกัน ได้จัดเรียงลำดับคำถามต่อเนื่องสัมพันธ์กันดี
เหมอื น ลกู โซ่หรอื ไม่
8) เพื่อตรวจดูว่ามีคำถามที่ต่อเนื่องจะสามารถทดสอบข้อเท็จจริงในตัวได้หรือไม่ เช่น
คำถามเรอ่ื ง รายรับ - รายจา่ ย ถ้ารายรบั มากกว่ารายจ่าย กต็ ้องมีเงินออม ถ้ารายจา่ ยมากกวา่ รายรับก็ต้องมีเงิน
ยมื เปน็ ต้น
9) เพอ่ื ตรวจดวู า่ มคี ำตอบท่ไี ดร้ ับจะมาสนับสนุนสมมตฐิ านที่ตั้งไว้หรอื ไมเ่ พียงไร
10) เพอ่ื ตรวจสอบวา่ ใช้เวลาในการสอบถามโดยเฉล่ียนานเท่าไร
11) เพื่อหาประสบการณ์ให้ผู้สัมภาษณ์ก่อนที่จะออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลจริง ๆ ใน
ภาคสนามต่อไป
ขั้นที่ 7 การปรับปรุงและแก้ไขแบบสอบถาม สรุปได้ว่าหลักการสร้างและขั้นตอนการสร้าง
แบบสอบถาม ในรูปแบบของแผนผงั ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบสอบถาม

6.4 ประเภทของคำถามในแบบสอบถาม
ในการสร้างแบบสอบถามผู้วิจัยต้องทราบประเภทของคำถาม (Types of Question) ก่อนเพ่ือ

จะได้นำมาสร้างอย่างเหมาะสมกบั ข้อที่ต้องการจะวัด ซึ่ง ธเนศ ต่วนชะเอม (2552) กำหนดประเภทของคำถามไว้
2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. คำถามปิดแบบปิดหรือปลายปิด (Close-ended Question) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ 1
ข้อ แลว้ มีคำตอบใหเ้ ลือกตอบไว้ด้วย ซึง่ คำถามปดิ นแ้ี บง่ ออกเปน็ 2 ประเภทย่อย ดังนี้

1.1 คำถามให้ตอบรับหรือปฏิเสธ (Yes-No Question) ได้แก่ คำถามที่สั้นและง่ายที่สุดท่ี
ผูว้ จิ ัยไดต้ ้ังไว้ 1 ขอ้ แล้วมีคำตอบ (Choice) ให้เลือกตอบเพยี ง 2 เท่านั้น คอื ใช่ - ไมใ่ ช่, รู้ - ไมร่ ู้, มี - ไม่มี, หรือ
เคย - ไม่เคย เป็นตน้

1.2 คำถามเผื่อเลือก (Check list Question) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ 1 ข้อ แล้วมี
คำตอบให้เลือกไว้หลาย ๆ คำตอบ เพื่อให้ผู้ตอบเลือกได้ตามความรู้สึกของผู้ตอบ ซึ่งคำถามประเภทนี้สามารถ
แบ่งออกได้ 4 ชนดิ คอื

1.2.1 คำถามให้เลือกตอบเพียงข้อเดียว (Check one Choice) ได้แก่ คำถามที่ผู้วิจัยต้ัง
ไว้ 1 ข้อ แล้วมีคำตอบให้เลือกหลาย ๆ คำตอบ แต่ใหผ้ ู้ตอบเลอื กเพยี งขอ้ เดยี วเท่าน้ัน

1.2.2 คำถามที่ให้เลือกตอบได้หลายคำตอบ (Check Multiple Choice) ได้แก่ คำถาม
ทีผ่ ูว้ จิ ยั ต้ังไว้ 1 ขอ้ แลว้ มีคำตอบเลอื กไวห้ ลาย ๆ คำตอบ และให้เลอื กตอบไดห้ ลาย ๆ คำตอบเช่นเดยี วกันพร้อม
ท้ังวงเลบ็ วา่ “(ตอบได้หลายข้อ)”

35

1.2.3 คำถามให้เลือกตอบตามน้ำหนักความสำคัญ (Weighting Question) ได้แก่
คำถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งคำถามไว้ 1 ข้อ แล้วคำตอบให้ตอบไว้หลาย ๆ คำตอบ และในคำตอบเหล่านั้นให้ผู้ตอบ
เลือกตอบตามน้ำหนัก หรือตามความสำคัญจากมากไปหาน้อยด้วยการใส่เลข 1, 2 และ 3 หน้าข้อความที่
ตอ้ งการ

1.2.4 คำถามแบบประเมินคา่ หรอื มาตราสว่ น (Rating Scale) ไดแ้ ก่ คำถามท่ผี ู้วิจยั ต้ังไว้
เพื่อวัดสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) เช่น ความพึงพอใจ ค่านิยม ความซื่อสัตย์ ความดีงาม ความเลื่อมใส ความ
รัก ความต้องการ ความเหมาะสม หรือความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ด้วยการแปลงข้อความเป็นปริมาณ (Quantities
Data) คือ เป็นตัวเลขที่ให้ผู้ตอบประเมินข้อคำถามที่เป็นสิ่งเร้าออกมาเป็นคำตอบที่เป็นปริมาณ มาก -น้อย
เพยี งไรได้ ซ่ึงคำถามแบบประเมินค่านี้มหี ลาย Scales เชน่ Turnstone Scale และ Liker scale เป็นตน้ ในการ
ตั้งคำถามเพื่อวัดทัศนคติความเห็นต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เจตคติ (Attitude) นี้ อาจแบ่งเป็น 3, 5, 7, หรือ 9 ระดับ
แล้วแต่ความเหมาะสม ตวั อยา่ งแบง่ เปน็ 5 ระดับ ไดแ้ ก่ มากท่สี ดุ - มาก - ปานกลาง - นอ้ ย และน้อยท่สี ุด หรือ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง (Strongly Agree) เห็นด้วย (Agree) ไม่แน่ใจ (Neutral) ไม่เห็นด้วย (Disagree) และไม่เห็น
ด้วยอยา่ งย่ิง (Strongly Disagree) ซง่ึ คำถามในลกั ษณะนี้กใ็ หเ้ ลือกคำตอบเพียงข้อเดียว (Check one Choice)

2. คำถามเปิดแบบปิด หรือปลายเปิด (Open-ended Question) เป็นคำถามที่เปิดโอกาสให้
ผูต้ อบแสดงความคดิ เหน็ และตอบได้อย่างเสรี โดยตัง้ คำถามพร้อมเวน้ ที่วา่ งไว้

สรุปไดว้ า่ ประเภทของคำถามในแบบสอบถามแบ่งได้เปน็ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ แบบสอบถามแบบปลายเปิด
(Open-ended Form) และแบบสอบถามแบบปลายปิด (Closed-ended Form) ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้
แบบสอบถามแบบปลายเปิด (Open-ended Form) ประกอบด้วยข้อคำถามและตัวเลอื ก (คำตอบ) ซึ่งตัวเลือก
นี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบแบบสอบถามสามารถเลือกตอบได้ตามต้องการ และมีอย่างเพียงพอเหมาะสม
แบบสอบถามแบบนี้สร้างยาก ใช้เวลาในการสร้างมากกว่าแบบสอบถามแบบปลายเปิด แต่ผู้ตอบตอบง่าย
สะดวก รวดเร็ว นอกจากนขี้ อ้ มูลทไี่ ด้สามารถนำไปวเิ คราะห์ สรุปผลได้งา่ ยอกี ดว้ ย

6.5 ข้อดีและข้อเสียของแบบสอบถาม
การใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาประกอบในการ

เลอื กใช้แบบสอบถามในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้
เกยี รติสดุ า ศรสี ุข (2552) ไดก้ ลา่ วว่าขอ้ เดน่ ของการเก็บขอ้ มลู โดยใช้แบบสอบถามมดี งั นี้
1. ถ้ากลุ่มตัวอย่างมีขนาดใหญ่ วิธีการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จะเป็นวิธีการ ที่สะดวก

และประหยดั กวา่ วธิ ีอ่นื
2. ผู้ตอบมีเวลาตอบมากกว่าวธิ กี ารอ่นื
3. ไม่จำเป็นตอ้ งฝกึ อบรมพนักงานเก็บขอ้ มูลมากเหมือนกบั วิธกี ารสัมภาษณ์หรือวธิ กี ารสงั เกต
4. ไม่เกิดความลำเอียงอันเนื่องมาจากการสัมภาษณ์หรือการสังเกต เพราะผู้ตอบ เป็นผู้ตอบ

ขอ้ มลู เอง
5. สามารถส่งแบบสอบถามใหผ้ ตู้ อบทางไปรษณยี ์ได้
6. ประหยัดค่าใช้จา่ ยในการเกบ็ ขอ้ มูล

เกยี รติสดุ า ศรสี ขุ (2552) ไดก้ ล่าวว่าข้อดอ้ ยของการเก็บข้อมูลโดยใชแ้ บบสอบถาม มดี งั นี้
1. ในกรณีท่สี ่งแบบสอบถามใหผ้ ้ตู อบทางไปรษณีย์ มกั จะได้แบบสอบถามกลบั คืน มาน้อย และ

ต้องเสยี เวลาในการตดิ ตาม อาจทำใหร้ ะยะเวลาการเกบ็ ข้อมลู ล่าชา้ กว่าท่กี ำหนดไว้

36

2. การเกบ็ ข้อมูลโดยวธิ ีการใช้แบบสอบถามจะใช้ได้เฉพาะกับกลุ่มประชากรเป้าหมายท่ีอ่านและ
เขยี นหนงั สือไดเ้ ท่านั้น

3. จะได้ข้อมูลจำกัดเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เพราะการเก็บข้อมูลโดยวิธีการใช้
แบบสอบถามจะต้องมีคำถามจำนวนน้อยขอ้ ทสี่ ุดเท่าทีจ่ ะเปน็ ไปได้

4. การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ หนว่ ยตัวอยา่ งอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบแบบสอบถามเองก็ได้ ทำ
ให้คำตอบท่ไี ด้มีความคลาดเคลอ่ื นไม่ตรงกบั ความจรงิ

5. ถ้าผู้ตอบไม่เข้าใจคำถามหรือเขา้ ใจคำถามผิด หรือไม่ตอบคำถามบางข้อ หรือไม่ไตร่ตรองให้
รอบคอบก่อนที่จะตอบคำถาม ก็จะทำให้ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนได้ โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถย้อนกลับไป
สอบถามหนว่ ยตวั อย่างนนั้ ได้อกี

6. ผทู้ ีต่ อบแบบสอบถามกลับคืนมาทางไปรษณยี ์ อาจเป็นกลุ่มที่มลี ักษณะแตกต่างจากกลุ่มผู้ท่ีไม่
ตอบแบบสอบถามกลับคืนมา ดังนัน้ ขอ้ มลู ทนี่ ำมาวิเคราะหจ์ ะมคี วามลำเอยี งอนั เนอ่ื งมาจากกล่มุ ตัวอย่างได้

ธเนศ ตว่ นชะเอม (2552) ไดจ้ ำแนกขอ้ ดีของแบบสอบถามได้ ดังน้ี
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จะช่วยให้ได้ข้อมูลในลักษณะหรือแบบเดียวกัน

ทัง้ หมด (Uniformity) เพราะมคี ำถามท่จี ะให้ได้ขอ้ มูลในลักษณะเดียวกนั ท้ังฉบบั
2. เป็นขอ้ มูลประเภทปฐมภมู ิ (Primary data) ที่ทนั สมัย ถูกต้องและทนั ต่อเหตุการณ์
3. ในกรณีที่ประชากรมีมาก และอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ก็สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ ซึ่ง

ประหยัดทง้ั กำลงั คน เวลา และงบประมาณ
4. ชว่ ยให้ผูต้ อบมอี ิสระในการตอบ
5. เป็นคู่มือช่วยในการตอบของผู้ตอบในขอบเขตของปัญหาที่ตั้งไว้เท่านั้น กล่าวคือ มีคำถาม

อย่างไรกต็ อบไปตามน้ัน
6. ง่ายต่อการวิเคราะห์ เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลมาได้แล้วก็สามารถบรรณาธิกรณ์ลงรหัสจัดทำ

ตารางได้สะดวกและรวดเรว็ ขึน้
จากการศกึ ษาข้อเด่นและข้อด้อยของแบบสอบถาม สรปุ ได้ว่า แบบสอบถามช่วยในการเก็บข้อมูลของ

ประชากรกลุ่มใหญ่ได้ดี ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ และไม่เกิดความลำเอียงอันเนื่องมาจากการสัมภาษณ์หรือการ
สังเกต เพราะผู้ตอบเป็นผู้ตอบข้อมูลเอง แต่แบบสอบถามก็มีข้อด้อยคือ มีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากต้องตาม
ระดับท่ีผวู้ ิจัยสร้างขนึ้ แต่ทงั้ นี้ผวู้ จิ ัยเลือกใช้แบบสอบถามความคิดเหน็ เพื่อใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิจัยใน
คร้ังนี้

37

7. งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง

ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยหลายเล่มที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ
ความเข้าใจที่ใช้การเรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC และการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการใช้ใบงาน Live worksheets ซ่ึง
สามารถสรุปได้ ดังต่อไปน้ี

เนตรวรา ศรีสิน (2556) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี เพ่ือ

พฒั นาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการจดั การเรียนรู้แบบ

ร่วมมือด้วยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย

เทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนที่ได้รับการ

จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ

.05 2) นักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือด้วยเทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี อยู่ในระดบั มาก
ชมพูนุท บุญอากาศ (2559) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบ CIRC ร่วมกับเทคนิคการ

สะทอ้ นคิดทมี่ ตี อ่ ความสามารถในการอา่ นจบั ใจความภาษาองั กฤษและเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ ของนกั เรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษกลุ่มที่ได้รับการอ่านจับ
ใจความภาษาอังกฤษแบบรว่ มมือกนั เรียนรู้ CIRC หลังเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสําคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05
2) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ กลุ่มที่ได้รับ การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษแบบร่วมมือ
กันเรียนรู้ CIRC ร่วมกบั เทคนิคการสะทอ้ นคดิ หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสําคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 3)
ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
เรียนรู้ CIRC ร่วมกับเทคนิค การสะท้อนคิด สูงกว่ากลุ่มที่ได้รบั การอ่านจับใจความภาษาองั กฤษแบบร่วมมือกัน
เรียนรู้ CIRC อยา่ งมีนยั สําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 4) เจตคติตอ่ การจัดการเรยี นรู้ CIRC ร่วมกับเทคนิคการสะท้อน
คดิ อยู่ในระดบั ดี

ภทัท์สุดา ประดับ (2564) ได้ศึกษาการใช้เว็บไซต์ Liveworksheets เพื่อแก้ปัญหาการส่งงาน
ของนกั เรียนระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียน หาดใหญ่วทิ ยาลัย 2 จังหวดั สงขลา ในปกี ารศึกษา 2564 มี
วัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบการส่งงานของนักเรียน ระหว่างใบงานรูปแบบเอกสารและใบงานรูปแบบ
ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Liveworksheets ของนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในปีการศึกษา 2564 ทั้งหมด
3 ห้องได้แก่ ห้อง ม.2/2 ม.2/8 และ ม.2/13 2. เพื่อประเมิน ความพึงพอใจการทำใบงานออนไลน์ผ่านเว็บไซต์
Liveworksheets ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ ผลการวิจัยพบว่า ผลการ
เปรียบเทียบการส่งงานของนักเรียนระหว่างใบงานรูปแบบเอกสารและใบงาน รูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์
Liveworksheets พบว่าการส่งงานในรูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Liveworksheets มากกว่าการส่งงานใน
รูปแบบเอกสาร ร้อยละ 1.4325 ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อย เนื่องจากหลากหลายปัจจัย เช่น การเรียนออนไลน์
เป็นระยะเวลานาน ด้านสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยไม่พร้อมสำหรับการส่งงาน ที่สำคัญคือ นักเรียนเบื่อหน่าย
สำหรับการส่งงานที่หลากหลายวิชา ส่งผลกระทบกันเป็นทอด ๆ นักเรียนจึงเลือกที่จะไม่ส่งงาน ส่วนผลการ
ประเมินความพึงพอใจการทำใบงานออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Liveworksheets นักเรียนพึงพอใจ ในการทำ
แบบฝึกหัดออนไลน์อยู่ในระดับปานกลางจนถึงระดับมาก แสดงให้เห็นว่าการทำงานผ่านเว็บไซต์
Liveworksheets ทำให้นักเรียนทำแบบใบงานได้สะดวก ใช้งานง่ายและรวดเร็วเหมาะสมกับสถานการณ์
ปัจจบุ ัน

วิลาวัณย์ ผลเงาะ (2564) ได้ศึกษาการพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้
ด้วยใบงานแบบ Interective Liveworksheets เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
การวิจัยครั้งน้ีมีวตั ถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เรื่อง แนวคิด

38

เชิงคำนวณ รายวชิ าวิทยาการคำนวณและการออกแบบ 2 โดยใชใ้ บงานแบบ Interective Liveworksheets ใน
การจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองเสือ
วิทยาคม ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ
แผนการจดั การเรยี นรู้ และ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน รายวชิ าวิทยาการคำนวณและการออกแบบ
2 เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยใบงานแบบ Interective Liveworksheets ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองเสือวิทยาคม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการ
เรียนรู้ด้วยใบงานแบบ Interective Liveworksheets เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ รายวิชาวิทยาการคำนวณและ
การออกแบบ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แตกต่างกัน โดยมีค่าเฉล่ีย
ผลสมั ฤทธหิ์ ลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั 0.05

จากการศึกษางานวิจัยภายในประเทศที่เกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ใช้ การ
เรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC และใบงาน Live worksheets พบว่า การเรียนด้วยเทคนิคซี ไอ อาร์ ซี มีผลต่อการ
พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจได้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะใช้สอนกับผู้เรียนในระดับช้ัน
ประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา โดยมีผลทำให้ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ ทำให้นักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านสูง และนักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านต่ำ
สามารถสรุปใจความสําคัญของเรื่องที่อ่าน และเขียน สรุปความได้ดี นอกจากนี้เป็นเทคนิคการสอนที่เน้นการ
เรียนรู้แบบร่วมมือกัน ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม แบ่งปันเนื้อหา ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม จน
บรรลุตามจดุ ประสงค์ หรอื สำเร็จตามเปา้ หมายที่วางไว้ได้ อกี ทงั้ ผลสมั ฤทธ์ิของการใช้ Live worksheets ในการ
จัดการเรียนการสอน Live worksheets เป็นเครื่องมือที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อ
การใช้งาน จงึ ส่งผลใหผ้ ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นอยู่ในระดับที่ดีขนึ้

39

บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนินการวิจัย

การประยุกตใ์ ช้ Live worksheet เพ่อื จดั การเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับ
เทคนคิ การสอน CIRC สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ผู้วจิ ยั ไดม้ ีวิธกี ารดำเนินการวจิ ยั ดังนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ขน้ั ตอนการสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมอื
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู

1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา

อำเภอละงู จังหวัดสตูล สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล จำนวน 275 คน ซึ่งกําลัง
เรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปการศกึ ษา 2564

กลุ่มตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างทใี่ ช้ในการวิจัยครั้งนี้ เปน็ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอ

ละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3
จำนวน 30 คน โดยส่มุ แบบเจาะจง

2. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาทักษะอ่านเขียน คือ แผนการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่าน

ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการประยุกต์ใช้งาน Liveworksheet ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC เพื่อใช้
ทดลองกับนักเรยี นจำนวน 6 แผน ๆ ละ 3 คาบๆ 50 นาที รวม 15 ชัว่ โมง

2.2 แบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 ใช้
เปน็ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ขอ้

2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อโดยการประยุกต์ใช้งาน Liveworksheet
ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC มจี ำนวน 20 ขอ้

3. ขั้นตอนการสรา้ งเครือ่ งมือ
การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในการประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวิต Live

worksheet เพ่ือจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC สำหรับ
นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 มี 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. แผนการจัดการเรยี นร้เู พื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจ ด้วยการเรียนรู้
การประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวิต Live worksheet เพื่อจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์ Covid-19
ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากเรื่องที่อ่านในรูปของบทความ เรื่องส้ัน
เกี่ยวกับเหตุการณ์ เรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน แบ่งออกเป็น 6 เรื่อง ได้จากการเลือกหัวข้อตามความสนใจของ
ผ้เู รียน ประกอบดว้ ยแผนการจดั การเรยี นรู้ จำนวน 6 แผน ๆ ละ 3 คาบๆละ 50 นาที รวมท้งั สน้ิ 15 ช่ัวโมง ดงั น้ี

40

หนว่ ยที่ 1 That’s me! เรอ่ื ง Unique Hobbies

หน่วยท่ี 2 My Hero เรอ่ื ง Real Life Heroes

หน่วยที่ 3 Time to Celebrate! เร่อื ง The Origin of Rock’n Roll

หน่วยที่ 4 Managing your money เรื่อง Student Struggles

หนว่ ยที่ 5 Who are you? เรอ่ื ง Getting to know you!

หนว่ ยที่ 6 A History of the future เรอื่ ง A History of the Future

มีขน้ั ตอนการสร้างและหาประสทิ ธภิ าพ ดังน้ี
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 และหลักสูตรของโรงเรียน ควนสุบรรณ

วิทยา ในส่วนของกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
1.2 วิเคราะห์ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
1.3 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนทักษะ การอ่าน

ภาษาอังกฤษเพอ่ื ความเข้าใจดว้ ยการเรยี นรู้เทคนคิ ซี ไอ อาร์ ซี บนเครือขา่ ยสังคมออนไลนเ์ อ็ดโมโด
1.4 เลือกเนื้อหาที่สอบคล้องกับตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้เพื่อจัดทำ

แผนการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยการเรยี นรู้เทคนิค ซี ไอ อาร์ ซี บนเครอื ขา่ ยสังคมออนไลนเ์ อด็ โมโด
1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้การประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวิต Live worksheet เพื่อจัดการ

เรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC สำหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี
ท่ี 4 จำนวน 6 แผน โดยจัดการเรยี นการสอนตามกระบวนการ ดังน้ี

1.5.1 ขัน้ เตรียมความพร้อม (CI) (Warm-up)
1.5.2 ขนั้ การสอน (R) (Pre-reading)
1.5.3 ขัน้ กจิ กรรมกลมุ่ (R and C) (While-reading)
1.5.4 ขั้นวดั ผลและประเมนิ (Evaluation) (Post-reading)
1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงและแก้ไขเรียบร้อยแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5
ท่าน เพือ่ ตรวจสอบความเหมาะสม/สอดคล้องเชงิ โครงสร้างของแผนการจัดการเรยี นรู้ และใหค้ ำแนะนำสิ่งทคี่ วร
ปรับปรงุ แก้ไขใหถ้ ูกต้อง โดยใช้ดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อคำถามกบั ประเด็นหลักของเนื้อหาตามวิธีการของ
Rovineli และ Hambleton (ผ่องศรี วาณิชยศ์ ภุ วงศ์, 2546 : 140) โดยกำหนดคะแนนไว้ ดงั นี้
เห็นวา่ สอดคล้อง ให้คะแนน +1
เหน็ วา่ ไมแ่ น่ใจ ใหค้ ะแนน 0
เหน็ วา่ ไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1
นำข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนี
ความสอดคลอ้ ง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้เชย่ี วชาญมาคำนวณ หาดชั นคี วามสอดคล้อง
แลว้ เลอื กดัชนีความสอดคล้องตง้ั แต่ 0.5 ขึ้นไป
1.7 ปรบั ปรงุ แก้ไขแผนการจดั การเรียนรู้ท้ัง 6 แผนให้สอดคลอ้ งกบั คำแนะนำของอาจารย์ที่
ปรึกษาวทิ ยานิพนธแ์ ละผเู้ ชยี่ วชาญท้งั 5 ทา่ น
1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
โดยมคี ่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ 0.95
จากขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ
เข้าใจโดยการประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวิต Live worksheet เพื่อจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณ์
Covid-19 รว่ มกับเทคนิคการสอน CIRC สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 สรุปไดด้ งั นี้

41

ศึกษาหลักสตู รแกนกลางขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) และกระบวนการจดั การเรียนรู้

สรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้การประยกุ ตใ์ ช้ใบงานมชี วี ติ Live worksheet
ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC

นำแผนการจดั การเรียนรู้การประยกุ ตใ์ ช้ใบงานมีชีวติ Live worksheet ร่วมกบั เทคนิคการสอน
CIRCใหอ้ าจารย์ท่ีปรึกษาตรวจสอบความถูกต้อง และเหมาะสมเชิงทฤษฎแี ละนำไปปรบั ปรงุ แก้ไข

นำโครงรา่ งแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวติ Live worksheet ร่วมกับ
เทคนิคการสอน CIRC เสนอต่อผเู้ ช่ยี วชาญ จำนวน 3 ท่านเพอ่ื ตรวจสอบความถูกต้อง และ

เหมาะสมเชงิ ทฤษฎี และนำไปปรับปรุงแก้ไข

นำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ปี รับปรงุ แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ไปใช้ทดลองกบั กลมุ่ ตวั อย่าง

ข้ันตอนการพัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้

2. แบบทดสอบวัดทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4
ใช้เป็นแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น จำนวน 30 ขอ้ มขี น้ั ตอนการสร้าง และหาประสิทธิภาพ ดงั น้ี

2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 และหลักสูตรของโรงเรียนควนสุบรรณ
วิทยา ในสว่ นของกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

2.2 วิเคราะห์ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

2.3 สร้างแบบทดสอบวดั ความสามารถการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ กอ่ นเรียนและ
หลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งครอบคลุมตัวชี้วัด เกี่ยวกับคำศัพท์
ไวยากรณ์ การแปลความ ขยายความ ตคี วาม และสรุปความ

2.4 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงและแก้ไขเรียบร้อยแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน
เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และนำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยใช้เกณฑ์การประเมิน
ดังนี้

+1 หมายถึง แนใ่ จว่าข้อสอบวัดตรงกบั จดุ ประสงคข์ อ้ น้นั
0 หมายถึง ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวดั ตรงกบั จดุ ประสงค์ข้อนั้นหรือไม่

42

-1 หมายถงึ แนใ่ จว่าขอ้ สอบวดั ไมต่ รงกบั จุดประสงคข์ ้อนน้ั
2.5 นำแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ท่ไี ด้รบั คดั เลอื กแล้วไปทดลองใช้ (Try Out) กับกลมุ่ ทดลอง
2.6 ตรวจให้คะแนน จากนั้นนำมาหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) พิจารณา
คดั ขอ้ สอบทม่ี คี วามยากง่าย อยรู่ ะหว่าง 0.2 - 0.8 มีคา่ ความยากงา่ ย (p) 0.62 และคา่ อำนาจจำแนกตงั้ แต่ 0.2 -
0.8 คา่ อำนาจจำแนก (r) 0.33
2.7 นำข้อสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ มาหาค่าความเชื่อมั่น
(Reliability) โดยใชส้ ตู ร KR-20 ของ Kuder Richardson มคี า่ ความเชือ่ มน่ั ทัง้ ฉบบั 0.86
2.8 นำข้อสอบวัดทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว มาเป็น
เครื่องมอื การวิจัยสำหรับทดสอบก่อนเรียน และหลงั เรยี นกับกลุม่ ตัวอย่าง สรปุ ได้ดงั น้ี

ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)

สาระสำคัญ เน้ือหา และจดุ ประสงค์การเรยี นรู้

สรา้ งข้อสอบวัดทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเขา้ ใจ

เสนออาจารย์ทปี่ รกึ ษา/แก้ไขปรบั ปรงุ

เสนอผเู้ ชี่ยวชาญ/ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชงิ เน้ือหา

หาดัชนีความสอดคล้อง (IOC)/เลอื กข้อสอบทมี่ ี (IOC)

ทดสอบกบั นักเรยี น/วิเคราะห์ความยากงา่ ย คา่ อำนาจจำแนก หาคา่ ความเชื่อมั่น

นำข้อสอบวัดทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ ไปใชท้ ดลองกับกลมุ่
ตวั อยา่ ง

ขน้ั ตอนการสรา้ งขอ้ สอบวดั ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจ

3. แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้การประยุกต์ใช้ใบงานมีชีวิต Live
worksheet ร่วมกับเทคนิคการสอน CIRC มีจำนวน 20 ข้อ โดยมีการให้คะแนนตามหลักการของ ลิเคิร์ท
(Likert’s Scale) มีข้ันตอนการสรา้ ง และหาประสิทธภิ าพ ดังนี้

43

3.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ และวิธีการประเมนิ ความคิดเหน็
3.2 สร้างแบบสอบถามความคิดเห็น จำนวน 20 ข้อ โดยใช้แบบมาตราส่วนประเมินค่า
(Rating Scale) 5 ระดับ ตามมาตรวดั แบบลเิ คิรท์ (Likert’s Scale) ดังนี้

5 หมายถึง นักเรยี นมีความคิดเหน็ ในระดับมากท่ีสดุ
4 หมายถงึ นักเรียนมคี วามคดิ เห็นในระดบั มาก
3 หมายถึง นักเรียนมีความคิดเห็นในระดบั ปานกลาง
2 หมายถงึ นักเรียนมคี วามคดิ เหน็ ในระดับน้อย
1 หมายถงึ นักเรยี นมีความคดิ เหน็ ในระดบั นอ้ ยท่ีสดุ
3.3 นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงและแก้ไขเรียบร้อยแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน
เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และนำมาหาค่า IOC โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของ
ผู้เชี่ยวชาญ 0.96
3.4 นำแบบสอบถามความคิดเห็นที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง และแปร
ผลแบบสอบถามความคิดเห็นตามแนวคิดของลิเคริ ์ท (Likert Rating Scale) ไดด้ ังนี้
ค่าเฉล่ยี 4.50 ถึง 5.00 หมายถงึ มคี วามคดิ เห็นในระดบั มากท่ีสุด
ค่าเฉลย่ี 3.50 ถงึ 4.49 หมายถงึ มคี วามคดิ เห็นในระดับมาก
คา่ เฉลี่ย 2.50 ถึง 3.49 หมายถึง มคี วามคิดเห็นในระดับปานกลาง
ค่าเฉล่ยี 1.50 ถึง 2.49 หมายถึง มคี วามคดิ เห็นในระดบั น้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 ถงึ 1.49 หมายถงึ มีความคิดเห็นในระดบั นอ้ ยที่สดุ

4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการวจิ ยั ครัง้ นี้เปน็ การวิจัยเชงิ ทดลอง (Experimental Research) ซง่ึ ผู้วิจยั ได้

ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวโดยทดสอบก่อนและหลังเรียน (One-group Pretest-Posttest
Design) โดยมรี ูปแบบแผนของการวิจัย ดงั น้ี

แบบแผนการวิจยั

ทดสอบกอ่ นเรยี น การดำเนนิ การทดลอง ทดสอบหลงั เรียน
O1 X O2

ความหมายของสญั ลักษณ์
O1 แทน การทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest)
X แทน การดำเนินการทดลองการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจด้วยเทคนิคซี ไอ อาร์

ซี บนเครือข่ายสังคมออนไลน์เอ็ดโมโด
O2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)

การวจิ ยั ครงั้ น้ผี วู้ ิจัยไดด้ ำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลดว้ ยตนเอง มีขนั้ ตอนดงั ต่อไปน้ี
1. คดั เลือกกลุ่มตัวอยา่ งด้วยวิธกี ารสุ่มอยา่ งงา่ ย (Sample Random Sampling)

44

2. ปฐมนิเทศเพื่อทำความเข้าใจกับนักเรียนเกี่ยวกับการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ
เข้าใจ

3. ทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพอ่ื ความเขา้ ใจก่อนการเรยี น (Pre-test) โดย
ใชแ้ บบทดสอบวัดความสามารถในการอา่ น ภาษาองั กฤษ เป็นแบบทดสอบปรนัยชนดิ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ข้อ
ใช้เวลา 60 นาที

4. ดำเนนิ การสอนตามแผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ผวู้ ิจยั สร้างขนึ้
5. ทดสอบความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพอื่ ความเขา้ ใจ หลงั การเรยี น (Post-test)
6. นักเรียนกลุ่มทดลองทำแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยเทคนิค
ซี อาร์ ซี บนเครือข่ายสงั คมออนไลน์เอด็ โมโด มีจำนวน 20 ข้อ
7. รวบรวม และวเิ คราะหข์ อ้ มูลตามวธิ ีการทางสถิติ
8. สรปุ ผล และอภิปรายผล

5. การวิเคราะห์ข้อมลู

ผวู้ ิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพ้ืนฐาน สถติ ทิ ี่ใช้ในการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ และสถิติ
ที่ใชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ าน ดังนี้

1. สถติ ิพน้ื ฐาน
1.1 คา่ เฉลย่ี (Mean) คำนวณโดยใชส้ ตู ร (พิชติ ฤทธิ์จรญู , 2544 : 300) ดังนี้

X = X
N

เมือ่ X แทน คะแนนเฉล่ยี
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทน จำนวนนักเรยี นในกลุ่มตวั อยา่ ง

1.2 คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) คำนวณจากสูตร (พิชิต ฤทธจิ์ รญู , 2544 : 300) ดงั น้ี

S.D. = N( X) −  X2 
N(N −1)

เมอ่ื S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X แทน จำนวนนักเรยี นในกลุ่มตวั อยา่ ง
X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด
 X2 แทน ผลรวมกำลงั สองของคะแนนท้งั หมด

45

2. สถิตทิ ี่ใช้ในการตรวจสอบวเิ คราะห์คุณภาพเครอื่ งมือ ได้แก่
2.1 การหาค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษ

เพื่อความเข้าใจ คำนวณจากสตู ร ดงั น้ี

P= R
N

สายยศ, 2543) เมอ่ื P แทน ค่าความยากงา่ ยของข้อสอบ
R แทน จำนวนนักเรยี นที่ตอบถูก
N แทน จำนวนนกั เรยี นทง้ั หมด

เกณฑก์ ารแปลความหมายคา่ ความยากง่าย (p) ของข้อสอบ (ล้วน สายยศ และ องั คณา

คา่ ความยากง่ายของข้อสอบ (p) และความหมาย
0.81 - 1.00 เป็นข้อสอบที่ง่ายมาก (ควรปรับปรงุ หรอื ตดั ทงิ้ )
0.61 - 0.80 เป็นข้อสอบทค่ี อ่ นขา้ งง่าย (ด)ี
0.41 - 0.60 เปน็ ขอ้ สอบทย่ี ากง่ายพอเหมาะ (ดีมาก)
0.21 - 0.40 เปน็ ข้อสอบที่คอ่ นขา้ งยาก (ดี)
0.00 - 0.20 เป็นขอ้ สอบที่ยากมาก (ควรปรับปรุงหรือตดั ทง้ิ )

2.2 การหาค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษ

เพื่อความเข้าใจ

r = H-L
N

เม่อื r แทน ค่าอำนาจจำแนก
H แทน จำนวนคนตอบถูกในกลมุ่ ท่ไี ดค้ ะแนนสูง
L แทน จำนวนตอบถูกในกล่มุ ทีไ่ ด้คะแนนต่ำ
N แทน จำนวนคนทัง้ หมด

ขอบเขตค่า r และความหมาย
0.40 ขนึ้ ไป เป็นข้อสอบที่มอี ำนาจจำแนกดีมาก
0.30 - 0.39 เป็นขอ้ สอบท่ีมีอำนาจจำแนกดี
0.20 - 0.29 เปน็ ข้อสอบทมี่ อี ำนาจจำแนกพอใช้ ปรบั ปรุงตัวเลือก
0.00 - 0.19 เป็นขอ้ สอบท่มี ีอำนาจจำแนกต่ำ ควรตัดทิง้
2.3 การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ
เขา้ ใจ ของคูเดอร์-ริชารด์ สนั KR-20 (Kuder & Richardson, 1937)

rtt = N N 1 1 −  pq 
− S2t 

เมอื่ rtt แทน ค่าความเชื่อม่ันของแบบทดสอบท้งั ฉบับ
N แทน จำนวนข้อในแบบทดสอบ

46

P แทน สัดส่วนของผูท้ ำไดใ้ นขอ้ หนึ่ง ๆ
q แทน สดั สว่ นของคนทำผดิ ในข้อหนง่ึ ๆ คอื 1 - p
S2t แทน ความแปรปรวนของคะแนนแบบทดสอบท้ังฉบับ

2.4 การทดสอบหาความตรงเชงิ เน้ือหา (Content Validity) ของแบบทดสอบความสามารถ
ทางการอ่านเพือ่ ความเขา้ ใจ โดยใชส้ ูตรดัชนคี ่าความสอดคลอ้ ง IOC

IOC = R
N

เมอ่ื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกับจดุ ประสงค์
R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญด้านเน้อื หาทง้ั หมด

N แทน จำนวนผเู้ ชยี่ วชาญ

3. สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐานการวิจัย
3.1 ความสามารถทางด้านการอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างท่ี

ใช้ในการทดลองมาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมตฐิ าน โดยใชส้ ถิติที (t-test) แบบ Dependent (ล้วน สายยศ และ
องั คณา สายยศ, 2536 : 87 - 89) ดังนี้

t= D

ND2 − (D)2
n−1

เม่อื t แทน การตรวจสอบความแตกตา่ งของ คะแนนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
D แทน ความแตกตา่ งระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี น
N แทน จำนวนกลุ่มตัวอยา่ ง

 D แทน ผลรวมของค่า D

 D2 แทน ผลรวมของคา่ D2

สมมติฐาน H0 :  post =  pre
H1 :  post >  pre
 = .05

3.2 แบบสอบถามความคิดเห็นของนกั เรียน คำนวณโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ( X ) และ
ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)


Click to View FlipBook Version