อาการ
ความบกพรอ่ งของการเขยี น -สะกดคา
• ไมส่ ามารถแยกขนาด รูปทรงเรขาคณติ ได ้
• ใชส้ ายตาในการจดจาสง่ิ ของไมไ่ ด ้หรอื ไดไ้ มด่ ี
• เขยี นพยัญชนะทัง้ 44 ตัว ไดไ้ มค่ รบ
• เขยี นสระทัง้ 32 ตัว ไดไ้ มค่ รบ เขยี นไดเ้ ฉพาะสระง่ายๆ เสยี งเดยี่ ว
• สะกดคาผดิ มกั เขยี นไดเ้ ฉพาะพยัญชนะตน้ แต่เลอื กใชส้ ระ
ตวั สะกด และวรรณยุกตไ์ มถ่ กู ตอ้ ง ทาใหเ้ ขยี นแลว้ อา่ นไมอ่ อก
• การเขยี นคาทสี่ ะกดไมต่ รงตามมาตรา การใชก้ ารันต์ คายากหรอื
คาทมี่ หี ลายพยางค์ เด็กจะเขยี นตามเสยี งทไี่ ดย้ นิ เชน่
พสิ จู น์ – พสิ ดู ธรรมชาติ – ทามะชาด
51
อาการ
ความบกพรอ่ งของการเขยี น -สะกดคา
• เรยี งลาดบั ตวั อกั ษร พยญั ชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์ ตัวการนั ต์
ผดิ ตาแหน่ง
• สบั สนในการเขยี นและการสะกดคาทพี่ อ้ งเสยี ง
• มคี วามบกพร่องในการใชค้ าศัพท์ การแตง่ ประโยค การเวน้ วรรค
เรยี งคาไมถ่ ูกตอ้ ง การใชไ้ วยากรณ์และการเรยี บเรยี งเนื้อหาไมด่ ี
• ไมส่ ามารถลอกคาทคี่ รูเขยี นบนกระดานลงสมดุ ของนักเรยี นได ้
อยา่ งถูกตอ้ ง หลกี เลย่ี งการเขยี นหนังสอื และการจดงาน หรอื จด
งานชา้
• เขยี นไมเ่ ป็ นคา รูปของตวั อกั ษรทเี่ ขยี นอาจไมแ่ น่นอน ตัวอกั ษรท่ี
เด็กเขยี นแต่ละครงั้ อาจมรี ปู ทรงทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป
52
53
อาการ
ความบกพรอ่ งทางคณิตศาสตร์
• ไมเ่ ขา้ ใจความหมายของจานวน
• ไมเ่ ห็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ ทไี่ ดย้ นิ กบั สง่ิ ทม่ี องเหน็
• มปี ัญหาในการจดั เรยี งลาดับ
• ไมส่ ามารถจาแนกวัสดทุ มี่ ขี นาดตา่ งกนั ทกี่ องรวมกนั อย่ไู ด ้
• ไมเ่ ขา้ ใจปรมิ าณ เมอ่ื ขนาดเปลย่ี นไป
• ไมเ่ ขา้ ใจความหมายการชงั่ การตวง การวดั
• ไมส่ ามารถปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนในการคานวณได ้
• ไมเ่ ขา้ ใจลาดับตวั เลข พดู ตวั เลข 1-20 กลบั ไปมาไมไ่ ด ้
• ไมเ่ ขา้ ใจคาของตัวเลข ไดแ้ ก่ หลกั หน่วย สบิ รอ้ ย พัน หมน่ื
54
อาการ
ความบกพรอ่ งทางคณติ ศาสตร์
• จาสตู รคูณ สตู รคณติ ศาสตร์ และสญั ลกั ษณ์คณิตศาสตรไ์ มไ่ ด ้
• มปี ัญหาความเขา้ ใจพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ (บวก ลบ คณู หาร)
• มปี ัญหาในการวเิ คราะหโ์ จทย์ เป็ นขนั้ ตอนยอ่ ยๆ
• มปี ัญหาในการวเิ คราะหโ์ จทยป์ ัญหาจากภาษาเขยี นเป็ นสญั ลักษณท์ าง
คณติ ศาสตร์
• เขยี นตวั เลขกลับกนั เชน่ 35 เขยี นเป็ น 53
• คดิ เลขชา้ ผดิ พลาด สบั สนในการยมื การทดเลข
• มปี ัญหาในการนับเงนิ การทอนเงนิ
• มปี ัญหาในการอา่ นแผนทแ่ี ละกราฟ
55
ลกั ษณะงานของนกั เรยี น ดา้ นการคิดคานวณ
56
การวนิ จิ ฉยั โรค
57
สาเหตุ
• ความผดิ ปกตขิ องการทางานของสมอง
– ทาใหค้ วามสามารถในการรับรู ้ การเรยี บเรยี ง การ
แปลความขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั และการประมวลผลขอ้ มลู
เพอ่ื สง่ ออกหรอื โตต้ อบเสยี ไป
– เด็กไมส่ ามารถเรยี นรไู ้ ดเ้ ต็มศกั ยภาพ ทัง้ ๆ ทเ่ี ด็ก
กลมุ่ นไ้ี มไ่ ดม้ ภี าวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา ไมไ่ ดม้ ี
ความพกิ าร และไมไ่ ดเ้ ป็ นเด็กทอี่ ยใู่ นวัฒนธรรมหรอื
สงิ่ แวดลอ้ มทม่ี ลี กั ษณะดอ้ ยโอกาสในการเรยี นรแู ้ ต่
อยา่ งใด
58
ปจั จยั เสยี่ ง
1) การไดร้ บั บาดเจ็บทางสมอง อาจจะเป็ นการไดร้ ับ
บาดเจ็บกอ่ นคลอด ระหวา่ งคลอด หรอื หลงั คลอดก็
ได ้ การบาดเจ็บนีท้ าใหร้ ะบบประสาทสว่ นกลางไม่
สามารถทางานไดเ้ ตม็ ที่ อยา่ งไรกต็ ามการไดร้ ับ
บาดเจ็บอาจไมร่ นุ แรงนัก (Minimal brain
dysfunction)
2) กรรมพนั ธุ์ สามารถถา่ ยทอดทางพันธกุ รรมได ้
3) สง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ การไดร้ ับสารพษิ บางอยา่ ง การ
สอนของครทู ไ่ี มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ การขาดโอกาสทาง
การศกึ ษา
59
60
ผลกระทบ
• เด็กในกลมุ่ นมี้ กั ถกู มองว่าเป็ น
เด็กขเ้ี กยี จ ไม่สนใจเรยี น
เนอื่ งจาก ไมย่ อมอ่าน ไม่ยอม
เขยี น ทงั้ ๆทดี่ เู หมอื นพดู คยุ
โตต้ อบดว้ ยปากเปลา่ แลว้ เดก็
ก็เขา้ ใจ และตอบไดถ้ กู ตอ้ ง
• หากปล่อยทง้ิ ไวอ้ าจจะมี
ปัญหาทางอารมณ์ และ
พฤตกิ รรมตามมาได ้
61
62
การดแู ลรกั ษา
• ควรไดร้ บั การประเมนิ โดยจติ แพทยเ์ ด็กและวัยรนุ่ หรอื
กมุ ารแพทย์
• สรา้ งความเขา้ ใจกบั ครอบครวั โรงเรยี น
• การชว่ ยเหลอื ดา้ นการเรยี น
• คน้ หาและสง่ เสรมิ จดุ เดน่ ดา้ นอน่ื ๆ นอกเหนือไปจาก
การเรยี น เชน่ ศลิ ปะ ดนตรี กฬี า เป็ นตน้
• การจัดหลักสตู รสาหรับเดก็ ทม่ี ี
ความบกพรอ่ งดา้ นการเรยี น
(Individualized Education Plan=IEP)
• การออกหนังสอื รับรองความพกิ าร
63
การชว่ ยเหลอื เดก็ ทมี่ ปี ญั หาทางการ
เรยี นรใู้ นชนั้ เรยี นปกติ
• พยายามใหเ้ ดก็ ทางานทส่ี อดคลอ้ งกบั ความสามารถของ
เด็ก
• ใหค้ าสงั่ คาชแี้ จงงานหรอื คาสั่งชแ้ี จงในบทเรยี นที่
ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย ไมซ่ บั ซอ้ นและตอ้ งแน่ใจวา่ ขอ้ ความ
ทค่ี รถู า่ ยทอดใหก้ บั เดก็ เป็ นทเี่ ขา้ ใจของเด็ก
• ถา้ เด็กไมอ่ ยนู่ ง่ิ และมที ที า่ จะรบกวนการเรยี นของเพอื่ น
คนอนื่ ๆ ครตู อ้ งแยกเดก็ ออกไปตา่ งหาก
• ยอมรบั เด็ก เขา้ ใจเด็กและพยายามหาทางชว่ ยเหลอื ให ้
ดที สี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะทาไดต้ ามหนา้ ทขี่ องครู
64
ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา
(Intellectual Disabilities)
65
ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา
Intellectual Disabilities
• ในปัจจบุ นั ใชค้ าวา่ “บกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา
(Intellectual Disabilities)” แทน
“ภาวะปญั ญาออ่ น (Mental Retardation)”
66
ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา
คอื อะไร?
• เป็ นความผดิ ปกตทิ เ่ี กดิ ขนึ้ ใน developmental
period สง่ ผลใหเ้ กดิ ความบกพรอ่ ง มขี อ้ จากัดดา้ น
สตปิ ัญญาและความสามารถในการปรบั ตวั
ใน 3 domains หลัก ไดแ้ ก่
– The conceptual domain (ความคดิ )
– The social domain (สังคม)
– The practical domain (การกระทา)
67
การวนิ จิ ฉยั โรค
A. มคี วามบกพรอ่ งดา้ นสตปิ ัญญา ซง่ึ ครอบคลมุ
ความสามารถดา้ นตา่ งๆ เชน่ การใหเ้ หตผุ ล การแกไ้ ข
ปัญหา การวางแผน การคดิ เชงิ นามธรรม การ
ตดั สนิ ใจ การเรยี นรู ้ การเรยี นรผู ้ า่ นประสบการณ์
ความบกพรอ่ งดังกลา่ ว ถกู ยนื ยันโดยการประเมนิ ทาง
คลนิ กิ และการทาแบบทดสอบสตปิ ัญญาทมี่ มี าตรฐาน
คะแนนตา่ กวา่ มาตรฐาน 2 SD ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ มี
ความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญาชดั เจน มักจะมIี Q ตา่
กวา่ 70 คะแนนลงมา
68
การวนิ จิ ฉยั โรค (ตอ่ )
B. มคี วามบกพรอ่ งดา้ นการปรับตัว (Adaptive functioning)
• เป็ นผลใหไ้ มส่ ามารถมรี ะดบั พฒั นาการ การดารงชวี ติ อสิ ระและการ
รบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมทเี่ ป็ นปกตไิ ด ้
• รวมไปถงึ ทกั ษะเรอ่ื งดารงชวี ติ ตามลาพงั หรอื การรบั ผดิ ชอบตนเอง มี
ความจากดั ในการดารงชวี ติ ตงั้ แต่ 1 ดา้ นขนึ้ ไป จากทัง้ หมด 3 ทกั ษะ
คอื ทกั ษะการสอ่ื สาร การมสี ว่ นร่วมในสงั คม และการดารงชวี ติ โดย
อสิ ระในสงิ่ แวดลอ้ มหลายแหง่ เชน่ บา้ น โรงเรยี น ทท่ี างานและ
ชมุ ชน
C. ความจากดั เหลา่ นี้ เกดิ ขนึ้ ตงั้ แตเ่ รม่ิ มพี ฒั นาการ
69
การแบง่ ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาตามระดบั ความรุนแรง
ระดบั ความช่วยเหลอื ทต่ี อ้ งการและรอ้ ยละทพ่ี บ
ระดบั ความรนุ แรง ระดบั ระดบั ความชว่ ยเหลอื ทตี่ อ้ งการ รอ้ ยละ
IQ ทพี่ บ
- บกพร่องทางสตปิ ัญญาเลก็ นอ้ ย 50-70 ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื เป็ นครงั้ 85
(Mild Intellectual disability) คราว
- บกพรอ่ งทางสตปิ ัญญาปานกลาง 35-49 ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื ปานกลาง 10
(Moderate Intellectual
disability)
- บกพร่องทางสตปิ ัญญารุนแรง 20-34 ตอ้ งการความช่วยเหลอื มาก 3-4
(Severe Intellectual disability)
- บกพร่องทางสตปิ ัญญารนุ แรง <20 ตอ้ งการความช่วยเหลอื ตลอดเวลา 1-2
มาก (Profound Intellectual
disability)
70
Mild Intellectual Disabilities
• พบไดป้ ระมาณ 85 % ของ ID ทงั้ หมด
• มักไดร้ ับการวนิ จิ ฉัยเมอื่ เดก็ เขา้ สวู่ ัยเรยี นแลว้
• สว่ นใหญเ่ รยี นไดถ้ งึ ชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 หรอื สงู กวา่
• เมอ่ื เป็ นผใู ้ หญส่ ามารถทางาน แตง่ งาน ดแู ลครอบครัว
ได ้ แตอ่ าจตอ้ งการความชว่ ยเหลอื บา้ งเป็ นครัง้ คราวเมอ่ื
มปี ัญหาชวี ติ หรอื หนา้ ทกี่ ารงาน
• มกั ไมพ่ บสาเหตทุ างพยาธสิ ภาพ
71
Moderate Intellectual
Disabilities
• พบประมาณ 10 % ของ ID ทงั้ หมด
• มกั ไดร้ บั การวนิ จิ ฉัยตงั้ แตว่ ยั กอ่ นเรยี น เมอื่ อายปุ ระมาณ
2-3 ปี
• มักจะมที กั ษะในการสอ่ื สาร แตจ่ ะมขี อ้ จากัดในการสอื่ สาร
ทม่ี คี วามซบั ซอ้ น
• กจิ วัตรประจาวนั มกั จะทาไดภ้ ายใตก้ ารควบคมุ ดแู ล
• ตอ้ งการการดแู ลชว่ ยเหลอื โดยเฉพาะในสว่ นของ Social
cues, social judgment และ social decisions
72
Moderate Intellectual
Disabilities (ตอ่ )
• สามารถเรยี นไดถ้ งึ ชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 2-3 ในวัยเรยี น
• มกั ตอ้ งการ การจัดการศกึ ษาพเิ ศษ
• สามารถเรยี นรกู ้ ารเดนิ ทางตามลาพงั ไดใ้ นสถานทท่ี ่ี
คนุ ้ เคย
• ใชช้ วี ติ ในชมุ ชนไดด้ ที ัง้ การดารงชวี ติ และการงาน
• ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื ปานกลาง ตลอดชวี ติ
• ประมาณรอ้ ยละ 20 ดารงชวี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ยตนเอง
73
Severe Intellectual Disabilities
• พบไดป้ ระมาณ 3 - 4 % ของ ID ทงั้ หมด
• มกั พบความผดิ ปกตขิ องพัฒนาการตงั้ แตข่ วบปี แรก
• มกั มพี ัฒนาการลา่ ชา้ ทกุ ดา้ น โดยเฉพาะพฒั นาการ
ดา้ นภาษา สอ่ื ความหมายไดเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยหรอื พดู
ไมไ่ ดเ้ ลย
• บางรายเรมิ่ พดู ไดเ้ มอื่ เขา้ สวู่ ยั เรยี น
• มปี ัญหาในการเคลอื่ นไหว
• สว่ นใหญพ่ บความเสยี หายของระบบประสาทสว่ นกลาง
• สว่ นใหญต่ อ้ งการการดแู ลอยา่ งใกลช้ ดิ หรอื ตอ้ งชว่ ย
ในทกุ ๆดา้ นตลอดชวี ติ
74
Profound Intellectual Disabilities
• พบประมาณ 1 – 2 % ของ ID ทงั้ หมด
• มกั ทราบตงั้ แตแ่ รกคลอด
• ตอ้ งการการดแู ลตลอดเวลา
• ทกั ษะการสอื่ สารมจี ากัด
• มักพบความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทสัมผัสและความ
พกิ ารอน่ื ๆรว่ มดว้ ย
75
สาเหตุ
• เกดิ จากปัจจยั ตา่ งๆ ในดา้ นชวี ภาพ สงั คม
จติ วทิ ยา
• อาจเกดิ จากหลายๆ ปัจจยั รว่ มกนั
• ประมาณ รอ้ ยละ 30-50 ของภาวะบกพรอ่ งทาง
สตปิ ัญญาเทา่ นนั้ ทท่ี ราบสาเหตุ
• สาเหตุ แบง่ เป็ น
1. กรรมพนั ธุ์
2. ทางชวี ภาพ
3. สงิ่ แวดลอ้ ม
76
สาเหตทุ างกรรมพนั ธุ์
• เป็ นความผดิ ปกตทิ ไี่ ดร้ ับการถา่ ยทอดมาแตก่ าเนดิ ทาให ้
เกดิ ความพกิ ารทางสตปิ ัญญา รว่ มกับความพกิ ารทางกาย
• พบไมเ่ กนิ 40% ของสาเหตคุ วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา
• ตัวอยา่ ง เชน่ กลมุ่ อาการดาวน์ (Down syndrome)
กลมุ่ อาการโครโมโซมเอ็กซเ์ ปราะ (Fragile X syndrome)
77
กลม่ ุ โรคท่ีเกดิ จากความผิดปกติของโครโมโซม
Down syndrome Fragile X syndrome Trisomy 18 (Edwards' syndrome)
William syndrome Angelman syndrome Prader- willi syndrome 78
สาเหตทุ างชวี ภาพ
• สาเหตทุ เี่ กดิ จากสงิ่ ตา่ งๆ ทมี่ ผี ลกระทบตอ่ ชวี ติ สง่ ผล
ใหพ้ ฒั นาการของสมองบกพรอ่ งหรอื หยดุ ชะงัก
ซง่ึ เกดิ ขนึ้ ในระหวา่ งการเจรญิ เตบิ โตในระยะใดระยะ
หนงึ่ เชน่
– ขณะตงั้ ครรภ์ สาเหตขุ องความพกิ ารทางสตปิ ัญญาในขณะ
ตงั้ ครรภ์ เชน่ มารดาตดิ เชอื้ มารดาดมื่ สรุ าหรอื ไดร้ บั สารพษิ
ขณะตงั้ ครรภ์ เป็ นตน้
– ขณะคลอด ทาใหเ้ กดิ ความพกิ ารทางสตปิ ัญญาได ้เชน่ การ
คลอดกอ่ นกาหนด หรอื การบาดเจ็บขณะคลอด เป็ นตน้
– หลงั คลอด ทาใหเ้ กดิ ความพกิ ารทางสตปิ ัญญาได ้เชน่ การ
ตดิ เชอ้ื ทางระบบประสาท ขาดสารอาหาร ไดร้ ับความ
กระทบกระเทอื นทางสมอง เป็ นตน้
79
Fetal Alcohol Syndrome
เดก็ ทเ่ี กดิ จากมารดาทด่ี มื่ แอลกอฮอลช์ ว่ งตงั้ ครรภ์
80
การตดิ เชอื้ ระหวา่ งตง้ั ครรภ์
Congenital
Syphilis
Congenital CMV
Congenital Toxoplasmosis
Congenital Rubella 81
โรคเออ๋ หรอื ภาวะขาดฮอรโ์ มนไทรอยด์
(Cretinism)
82
สาเหตจุ ากสง่ิ แวดลอ้ ม
• การขาดสงิ่ แวดลอ้ มทม่ี สี ว่ นชว่ ยใหเ้ กดิ การเรยี นรู ้ เชน่
– ในเด็กทถ่ี กู ละเลยทอดทงิ้
– เด็กทถี่ กู ทารณุ กรรม
– ในครอบครัวทพ่ี อ่ แมม่ ฐี านะยากจน ขาดการศกึ ษาขาดความรู ้
83
การดแู ลรกั ษา
• เป้ าหมาย มใิ ช่ มุ่งรกั ษาใหห้ ายจากโรค
เพอื่ ใหส้ ามารถดาเนนิ ชวี ติ ในสงั คมได้
ใกลเ้ คยี งกบั คนปกตมิ ากทสี่ ดุ ใหช้ ว่ ยเหลอื
ตวั เองได้ ไมเ่ ป็ นภาระแกค่ รอบครวั และ
สงั คมมากเกนิ ไป
84
การดแู ลรกั ษา
• เมอ่ื เกดิ ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญาแลว้ จะไมอ่ าจ
รกั ษาสมองสว่ นทเี่ สยี ไปใหก้ ลบั คนื มาทางานได ้
ตามปกติ
• สามารถจะคงสภาพ หรอื ฟ้ื นฟสู ภาพทางสมองสว่ นที่
คงเหลอื อยใู่ หท้ างานไดเ้ ตม็ ที่
• เนน้ การฟื้ นฟสู มรรถภาพของสมองและรา่ งกาย
• การวนิ จิ ฉัยใหไ้ ดเ้ รว็ ทสี่ ดุ และการฟ้ื นฟสู มรรถภาพทันที
ทว่ี นิ จิ ฉัยได ้ จะชว่ ยหยดุ ยงั้ ความพกิ ารมใิ หเ้ พม่ิ ขน้ึ
85
การดแู ลรกั ษา
• การฟ้ื นฟสู มรรถภาพทางการแพทย์
(Medical Rehabilitation)
• การฟ้ื นฟสู มรรถภาพทางการศกึ ษา
(Educational Rehabilitation)
• การฟื้ นฟสู มรรถภาพทางอาชพี
(Vocational Rehabilitation)
86
การฟ้ื นฟสู มรรถภาพทางการแพทย์
(Medical Rehabilitation)
• การสง่ เสรมิ ป้องกนั บาบดั รักษาและฟ้ื นฟสู มรรถภาพ
• การสง่ เสรมิ สขุ ภาพเชน่ เดก็ ปกติ
• การบาบัดรักษาความผดิ ปกตทิ อี่ าจพบร่วมดว้ ย
• ควรไดร้ บั การดแู ลโดยทมี สหวชิ าชพี เชน่ อรรถบาบดั
กายภาพบาบดั กจิ กรรมบาบัด เป็ นตน้
87
การฟ้ื นฟสู มรรถภาพทางการศกึ ษา
(Educational Rehabilitation)
• ชว่ งอายุ 7 – 15 ปี จัดการการศกึ ษาโดยมแี ผนการศกึ ษา
สาหรบั แตล่ ะบคุ คล (Individualized Educational
Program : IEP)
• อาจเป็ นการเรยี นในชนั้ เรยี นปกติ เรยี นรว่ ม หรอื มกี ารจัด
การศกึ ษาพเิ ศษ
88
การฟ้ื นฟสู มรรถภาพทางอาชพี
(Vocational Rehabilitation)
• อายุ 15-18 ปี
• การฝึกวชิ าชพี และลักษณะนสิ ยั ทด่ี ใี นการทางาน
• เมอ่ื เขา้ วยั ผใู ้ หญค่ วรชว่ ยเหลอื ใหไ้ ดม้ อี าชพี ทเ่ี หมาะสม
89
การป้ องกนั
ระยะกอ่ นตง้ั ครรภ์
• ประชาชนควรไดร้ บั ความรเู ้ รอ่ื งภาวะบกพรอ่ งทาง
สตปิ ัญญา และสาเหตทุ สี่ ามารถป้องกนั ได ้เชน่
– การตรวจรา่ งกายและรบั วัคซนี ของคสู่ มรส
– การใหค้ าแนะนาคสู่ มรสในการตงั้ ครรภ์
– การวางแผนครอบครวั
90
การป้ องกนั
ระหวา่ งตง้ั ครรภ์
• การฝากครรภท์ มี่ คี ณุ ภาพ
• หญงิ ตงั้ ครรภไ์ ดร้ บั วคั ซนี ทจี่ าเป็ นครบถว้ น
ไดร้ บั สารอาหารทเ่ี ป็ นประโยชนอ์ ย่างเพยี งพอ
• หลกี เลยี่ งการดม่ื เหลา้ สบู บหุ รี่ การใชส้ ารเสพ
ตดิ และการซอ้ื ยารบั ประทานเอง ในระหวา่ ง
ตงั้ ครรภ์
• แนะนาการสง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ ในครอบครวั
• การวนิ จิ ฉัยกอ่ นคลอด 91
การป้ องกนั
ระยะคลอด
• ควรคลอดในสถานบรกิ ารสาธารณสขุ เพอ่ื
ป้องกนั ภาวะแทรกซอ้ นตา่ งๆ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ
92
การป้ องกนั
ระยะหลงั คลอด
• ความรกั และเอาใจใสใ่ นครอบครวั
• การใหล้ กู ไดด้ มื่ นมแม่ซง่ึ มภี มู คิ มุ ้ กนั โรคตา่ งๆและมี
สารอาหารทจี่ าเป็ นตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและ
พฒั นาการของสมองของลกู
• ระวังภาวะแทรกซอ้ นหลงั คลอด เชน่ ตวั เหลอื ง
• ใหว้ คั ซนี ป้องกันโรค
• ตดิ ตามภาวะโภชนาการและพฒั นาการเด็ก
• ใหค้ วามรแู ้ กพ่ อ่ แมใ่ นการดแู ลลกู ยามเจ็บป่ วย ระวงั
โรคตดิ เชอื้ สารพษิ และการกระทบกระเทอื นตอ่
ศรี ษะลูก
• การเลย้ี งดทู เี่ หมาะสมตามวยั และระดบั พฒั นาการ93
โรคออทสิ ตกิ
(Autism Spectrum Disorder)
94
โรคออทสิ ตกิ คอื อะไร ?
• ความผดิ ปกตขิ อง
พัฒนาการทม่ี ลี ักษณะ
สาคญั คอื มคี วามผดิ ปกติ
ของพัฒนาการทางดา้ น
ความสมั พนั ธก์ บั ผูอ้ นื่
รวมทงั้ การสอ่ื ความหมาย
และ พฤตกิ รรมหรอื
ความสนใจซา้ ๆ
95
พบบอ่ ยแคไ่ หน
96
แนวทางการวนิ จิ ฉยั ของแพทย์
• ประวตั ิ
– ประวัตพิ ัฒนาการ
– ประวัตทิ แ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความบกพรอ่ งในพัฒนาการ
ดา้ นสังคมและการสอ่ื สาร รปู แบบของพฤตกิ รรม
ความสนใจ หรอื กจิ กรรมทจี่ ากดั ทาซา้ ๆ และคงรปู
แบบเดมิ ซงึ่ เป็ นอาการหลัก
– แบบคดั กรองออทสิ ตกิ สเปกตรัม
• PDD SQ (Pervasive Developmental Disorders
Screening Questionnaire)
• KUS-SI
ใชใ้ นการคดั กรองเบอ้ื งตน้ เพอื่ สง่ ตอ่ วนิ จิ ฉัยตอ่ ไป
97
แนวทางการวนิ จิ ฉยั ของแพทย์
• การตรวจรา่ งกายและสภาพจติ
– การตรวจรา่ งกายทั่วไป เพอื่ ใหก้ ารดแู ลรักษาเป็ น
ลกั ษณะองคร์ วม และควรตรวจละเอยี ดในบางระบบ
เชน่ ระบบประสาท แตส่ ว่ นใหญไ่ มพ่ บวา่ มคี วาม
ผดิ ปกตทิ างรา่ งกาย
– ตรวจประเมนิ ระดับพัฒนาการ และตรวจ สภาพจติ
98
แนวทางการวนิ จิ ฉยั ของแพทย์
• การทดสอบระดบั สตปิ ัญญา (Intelligence Test)
– พจิ ารณาตามความเหมาะสม เพอ่ื ประกอบในการประเมนิ
ความรนุ แรง วางแผนดแู ลชว่ ยเหลอื ตามความจาเป็ น
• การประเมนิ ระดบั พฒั นาการ (Developmental Test)
– พจิ ารณาตามความเหมาะสม เพอื่ ประกอบในการประเมนิ
ความรนุ แรง วางแผนดแู ลชว่ ยเหลอื ตามความจาเป็ น
99
แนวทางการวนิ จิ ฉยั ของแพทย์
• ตรวจการไดย้ นิ
– เพอ่ื คดั แยกปัญหาการไดย้ นิ
• การตรวจคลน่ื ไฟฟ้าสมอง
(Electroencephalography - EEG)
– พจิ ารณาตามความเหมาะสม
• การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร
– เชน่ การตรวจเลอื ด ปัสสาวะ การถา่ ยภาพรังสี
พจิ ารณาตามความเหมาะสม
100