โครงการปรบั ปรงุ การใชส้ ารเคมเี กษตรดว้ ยความปลอดภยั สมาคมอารกั ขาพชื ไทย
วชั พชื สามญั ภาคกลาง
Common Weeds of Central Thailand
สมาคมวทิ ยาการวขั พชื แหง่ ประเทศไทย
Weed Science Society of Thailand
ธนั วาคม 2545
December 2002
ISBN 974-90817-7-3
วชั พชื สามญั ภาคกลาง
จดั พมิ พโ์ ดย: สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย
อาคารวทิ ยาการวชั พชื เกษตรกลางบางเขน
50 ถนนงามวงศว์ าน
แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรงุ เทพฯ 10900
โทร. 0-2561-4541
ปก : หญา้ ละออง (Vernonia cinerea (Linn.) Less)
คณะผจู้ ดั ทำ :
วริ ชั จนั ทรศั มี
ชอมุ่ เปรมษั เฐยี ร
ทวี แสงทอง
จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ์
ไชยยศ สพุ ฒั นกลุ
มาลี ณ นคร
สนุ นั ทา เพญ็ สตุ
ศรสี ม สวุ รรณวงศ์
ศริ พิ ร ซงึ สนธพิ ร
ภาพทต่ี พี มิ พส์ งวนลขิ สทิ ธต์ิ ามกฎหมายโดยเจา้ ของทม่ี ชี อ่ื กำกบั ภาพ
พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1 : ธนั วาคม 2545
จำนวน 5,000 เลม่
ISBN 974-90817-7-3
พมิ พท์ :่ี หา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั ฟนั นพ่ี บั บลชิ ชง่ิ
549/1 ซอยเสนานคิ ม 1 ถนนพหลโยธนิ 32
แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรงุ เทพฯ 10900
โทร. 0-2579-3352, 0-2579-7885
โทรสาร 0-2561-1933
E-mail: [email protected]
คำนำ
เนอ่ื งในโอกาสทส่ี มาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย มอี ายคุ รบ
25ปี นายกสมาคมฯ ดำรทิ จ่ี ะจดั พมิ พห์ นงั สอื ทเ่ี กษตรกรทว่ั ๆ ไปสามารถ
หยบิ มาดแู ละตรวจสอบวา่ วชั พชื ทเ่ี ปน็ ปญั หาในไรส่ วนของตนนน้ั คอื อะไร
หนังสือเล่มนี้ จึงเน้นหนักไปทางการจำแนกวัชพืชที่พบในภาคกลางและ
มภี าพประกอบเปน็ สว่ นใหญ่ ในโอกาสตอ่ ไปสมาคมฯ จะจดั พมิ พค์ มู่ อื วชั พชื
ในภาคอน่ื ๆ จนครบทง้ั ประเทศ
แผนแบบและข้อมูลส่วนใหญ่ในหนังสือเล่มนี้มาจาก “คู่มือควบคุม
วชั พชื ” ทส่ี มาคมฯ โดยคณุ วสิ ตู ร จนั ทรางศุ เปน็ นายกสมาคมฯ (พ.ศ.2532–
2535) ซง่ึ ดร.ไพฑรู ย์ กติ ตพิ งษ์ เลขาธกิ ารสมาคมฯ เปน็ ประธานคณะ
ทำงาน ไดจ้ ดั พมิ พแ์ จกจา่ ยหมดไปแลว้ เมอ่ื หลายปกี อ่ น และมผี ตู้ อ้ งการไดไ้ ว้
เปน็ คมู่ อื ตดิ ตวั คณะผจู้ ดั ทำหวงั วา่ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ เกษตรกร
นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจวิทยาการด้านนี้
จงึ ไดป้ รบั ปรงุ เนอ้ื หาเพอ่ื ความสมบรู ณข์ องหนงั สอื และขอขอบคณุ ทกุ ทา่ น
ทไ่ี ดก้ รณุ ามอบภาพมาใหค้ ณะผจู้ ดั ทำลงประกอบขอ้ ความ
อนึ่ง สารจากอดีตนายกสมาคมฯ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้มีครบ
ทกุ ทา่ น ยกเวน้ จากอดตี นายกฯ วสิ ตู ร จนั ทรางศุ ซง่ึ เปน็ ทน่ี า่ เสยี ใจวา่ ทา่ น
ไดถ้ งึ แกก่ รรมเมอ่ื เดอื นกนั ยายนทผ่ี า่ นมา
คณะผจู้ ดั ทำ
ธนั วาคม 2545
สารจากนายกสมาคมวทิ ยาการวชั พชื
ดร.เกลยี วพนั ธ์ สวุ รรณรกั ษ์
ย้อนอดีตปี 2518 ณ ที่ทำการงานวิทยาการวัชพืช กองวิทยาการ
กรมวชิ าการเกษตร ซง่ึ อยู่ ณ อาคารชน้ั เดยี ว หลงั ตกึ โภชากร มอี ยชู่ ว่ งเวลาหนง่ึ
ตอนเยน็ หลงั เลกิ งาน จะมบี คุ คลกลมุ่ หนง่ึ มารวมตวั กนั ปรกึ ษาหารอื ดว้ ยเรอ่ื งอะไร
ดฉิ นั ไมอ่ าจทราบได้ เปน็ เชน่ นอ้ี ยหู่ ลายครง้ั ... อยมู่ าเชา้ วนั หนง่ึ … อาจารยป์ ระเชญิ
กาญจโนมยั เรยี กดฉิ นั ไปพบพรอ้ มกบั บอกวา่ “...ผมและพรรคพวกกำลงั คดิ จะ
รวมตวั กนั เปน็ ชมรมวชั พชื แหง่ ประเทศไทย คณุ บรรพตเปน็ หลกั ทำการรา่ ง
กฎระเบยี บอยู่ อยากใหค้ ณุ มาชว่ ยคณุ บรรพต และจะไดฝ้ กึ งานดว้ ย…” ไมน่ านนกั
ชมรมวชั พชื แหง่ ประเทศไทย กก็ อ่ ตง้ั ขน้ึ มกี ารจดั ประชมุ สมั มนา เพอ่ื ประกาศ
ใหท้ ราบวา่ ไดม้ ชี มรมนเ้ี กดิ ขน้ึ แลว้ ... มเี สยี งถามจากหลายๆ คนทเ่ี ฝา้ มอง
ดว้ ยความพศิ วง ทำไมจงึ ตอ้ งมชี มรมวชั พชื แหง่ ประเทศไทย… ตอ่ มาจากชมรม
กเ็ ปลย่ี นสภาพเปน็ สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2520
ดว้ ยอดุ มการณท์ ไ่ี มเ่ ปลย่ี นแปลงของนกั วชิ าการวชั พชื ทย่ี ดึ มน่ั ความเปน็
นกั วชิ าการ” เฉกเชน่ นกั วชิ าการวชั พชื ของตา่ งประเทศ กจิ กรรมตา่ งๆ จงึ เกดิ ขน้ึ
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและไดร้ บั ความสนใจ รวมทง้ั การสนบั สนนุ จากบคุ คล องคก์ รตา่ งๆ
ทง้ั ภาครฐั และเอกชน ทง้ั ภายในประเทศและตา่ งประเทศ
คำกลา่ วทว่ี า่ “หากไมม่ เี มอ่ื วาน กย็ อ่ มไมม่ วี นั น”้ี ฉะนน้ั ในโอกาสท่ี
สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งเรอ่ื ยมาจนถงึ
วนั น…้ี วนั ทม่ี อี ายคุ รบ 25 ปี กต็ อ้ งสำนกึ ในบญุ คณุ ของบรรพชนทเ่ี ปน็ ผบู้ รหิ าร
สมาคมมาในอดตี และมวลสมาชกิ ตลอดจนผอู้ ปุ การะคณุ ตอ่ สมาคมมาโดย
ตลอด จงึ ขอถอื โอกาสอนั เปน็ ศภุ มงคลน้ีขอบพระคณุ ทกุ ทา่ น ดว้ ยความเคารพยง่ิ
iii วัชพืชสามัญภาคกลาง
สารจาก ดร.ประเชญิ กาญจโนมยั
นายกสมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2520-2524
สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ชาติ กำเนดิ ขน้ึ หรอื กอ่ ตง้ั ขน้ึ เปน็ ครง้ั แรก
เมอ่ื ปี พ.ศ.2520 โดยเจา้ หนา้ ทท่ี ร่ี บั ผดิ ชอบในหนว่ ยราชการและ เอกชน
ตา่ งๆ จำนวนหนง่ึ รวมตวั กนั ทำงานเปน็ ชมรมวชั พชื กอ่ นในปี 2517-18
แลว้ คอ่ ยๆ กลายเปน็ สมาคมขน้ึ ในภายหลงั ตวั แทนหนว่ ยราชการและเอกชน
ที่มาชุมนุมกันเป็นชมรมในขณะนั้นมี คุณอัมพร สุวรรณเมฆ คุณสว่าง
พฤกษาชวี ะ คณุ ถวลั ย์ มณวี รรณ์ ดร.บรรพต ณ ปอ้ มเพชร คณุ ทกั ษณิ ณ
สงขลา คุณนิยม จันทกูล คุณธงชัย ธารวนิช คุณมนตรี สิมะกรัย และ
คุณเกลียวพันธ์ สุวรรณรักษ์ บุคคลดังกล่าวถือว่า เป็นผู้เริ่มการก่อตั้ง
สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย
เหตจุ งู ใจใหช้ มรมวชั พชื สนใจจดั ตง้ั เปน็ สมาคมฯ กนั นน้ั เปน็ ผลมาจาก
ประธานของชมรมคือกระผม ได้รับเชิญจากสถาบันนานาชาติต่างๆ เช่น
APWSS (สมาคมวิทยาศาสตร์วัชพืชแห่งเอเชียและแปซิฟิก) FAO
(องคก์ ารอาหารแหง่ สหประชาชาต)ิ ฯลฯ ไปประชมุ รว่ มกบั เขา ในการไป
ประชมุ แตล่ ะครง้ั กไ็ ดร้ บั ทราบความกา้ วหนา้ ตา่ งๆ ของงานวทิ ยาการวชั พชื
และได้รู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ทางวิทยาการวัชพืช ของประเทศต่างๆ
เปน็ อนั มาก
นักวิชาการวัชพืชซึ่งเป็นตัวแทนมาร่วมในการประชุมต่างๆ นั้น
ลว้ นสนใจในกจิ กรรมของชมรมวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ทเ่ี ราจดั ทำกนั อยู่ เปน็
อยา่ งมาก และตา่ งสนบั สนนุ ใหเ้ ราปรบั ปรงุ สถานภาพของเราใหเ้ ปน็ สมาคม
โดยเร็ว เพื่อว่าจะได้มาร่วมกันทำงานในระดับเป็นองค์กรระหว่างชาติ
และนานาชาติ ในบรรดานักวิทยาการวัชพืชชั้นนำของโลกที่กรุณา
ให้คำแนะนำและชักชวนเราเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรวิทยาการวัชพืช
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย iv
ระหวา่ งประเทศและนานาชาติ เทา่ ทจ่ี ำได้ มี Dr. LeRoy G.Holm, Dr. S.
Matsunaka, Dr. M. Soerjani, Dr. K. Ueki ฯลฯ เมอ่ื กลบั จากการประชมุ
ก็มารายงานให้คณะกรรมการบริหารชมรมได้ทราบถึงความสำคัญและ
ความจำเป็นของการแปรสภาพจากชมรมแล้วขอจดทะเบียนเป็นสมาคม
แล้วเราจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ประโยชน์ที่จะได้รับแน่ๆ ก็คือ ได้รับเข้า
เปน็ สมาชกิ ขององคก์ รวทิ ยาการวชั พชื นานาชาตติ า่ งๆ และเปน็ ทย่ี อมรบั จาก
สมาคมวัชพืชแห่งชาติของประเทศต่างๆ โดยทั่วไป ได้รับทราบและ
แลกเปลย่ี นขา่ วสารความกา้ วหนา้ ของวทิ ยาการดา้ นวชั พชื ซง่ึ กนั และกนั อยา่ ง
ตอ่ เนอ่ื ง ฯลฯ
เมอ่ื คณะกรรมการบรหิ ารชมรมฯ มมี ตเิ หน็ ควรเปลย่ี นสถานภาพจาก
ชมรมเปน็ สมาคมไดแ้ ลว้ กม็ อบให้ คณุ เกลยี วพนั ธ์ สวุ รรณรกั ษ์ ซง่ึ ทำหนา้ ท่ี
เป็นผู้ช่วยเลขานุการอยู่ในขณะนั้น รวบรวมหลักฐานที่จำเป็นสำหรับ
การดำเนนิ การขอจดทะเบยี น จดั ตง้ั สมาคมเปน็ ทางการ โดยไมช่ กั ชา้ จำไดว้ า่
ขณะนน้ั ดร.บรรพต ณ ปอ้ มเพชร เปน็ ผรู้ า่ งระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ของสมาคมฯ
และผู้ที่แข็งขันมากในการร่วมก่อตั้งสมาคมฯ คือ คุณอัมพร สุวรรณเมฆ
หลงั จากนน้ั ไมช่ า้ กไ็ ดร้ บั อนญุ าตจดทะเบยี นใหเ้ ปน็ สมาคมวทิ ยาการวชั พชื
แหง่ ประเทศไทย เมอ่ื วนั ท่ี 20 กรกฎาคม 2520
กิจกรรมของสมาคมฯ ส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติกันในช่วงนั้นก็คือ การทำ
หนังสือแจ้งให้ผู้ที่สนใจและทำงานเกี่ยวกับวิทยาการวัชพืชทั้งภาคราชการ
และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศทราบว่าบัดนี้ในประเทศไทย
ของเราได้มีสมาคมวิทยาการวัชพืชเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งจะทำงานอะไรบ้าง
และใหค้ วามรว่ มมอื กบั หนว่ ยงานตา่ งๆ อยา่ งไร
เนื่องจากเรายังไม่มีสมาชิกสามัญแน่นอน คณะกรรมการบริหาร
ของสมาคม ในขณะนั้นก็ได้พร้อมใจกันแต่งตั้งให้กระผมเป็นนายกของ
สมาคมอยสู่ มยั หนง่ึ แลว้ กพ็ อดขี า้ พเจา้ ลาออกจากราชการและครบอายขุ อง
v วัชพืชสามัญภาคกลาง
สมัยการดำรงตำแหน่งนายกของสมาคมพอดี ก็ได้มีการเลือกตั้งกันตาม
ระเบียบและดำเนินการกันเรื่อยมาโดยต่อเนื่อง นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี
เปน็ อยา่ งยง่ิ
ในโอกาสที่สมาคมมีอายุครบ 25 ปี กระผมขอแสดงความยินดี
และชื่นชมในกิจกรรมของสมาคมฯ ที่ช่วยกันจัดทำมาได้ถึงขณะนี้
และขออวยพรให้สมาชิกสมาคมและคณะผู้บริหารสมาคมทุกท่าน จงมี
สุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ มีสมองปราดเปรื่องยิ่ง สามารถช่วยกันทำนุ
บำรุงให้สมาคมเจริญก้าวหน้า เป็นประโยชน์ค้ำจุนวิทยาการด้านวัชพืช
ของประเทศชาติ ใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ และสถาพรตลอดไปชว่ั กาลนาน
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย vi
สารจากรองศาสตราจารย์ ดร.อมั พร สวุ รรณเมฆ
นายกสมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2524-2531
ผมขอแสดงความยินดีกับสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ทไ่ี ดม้ อี ายยุ นื ยาวมาครบ 25 ปี และกย็ งั มกี จิ กรรมทท่ี ำตอ่ เนอ่ื ง แมร้ ะยะหลงั ๆ
อาจจะแผว่ ลงไปบา้ งตามประสาคนทป่ี ระสบความสำเรจ็ สงู สดุ มาแลว้ จากการ
จดั ประชมุ APWSS เมอ่ื 3 ปที ผ่ี า่ นมา ระยะหลงั สดุ เหน็ วา่ ทา่ นนายกสมาคม
คนปัจจุบันจะเน้นการจัดกิจกรรม ร่วมกับหน่วยงานในภูมิภาคมากขึ้น
ทไ่ี ดก้ ระทำไปแลว้ คอื การ จดั สมั มนาวธิ กี ารปลกู พชื แบบไมไ่ ถพรวน ครง้ั ท่ี 2
รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ทจ่ี งั หวดั พษิ ณโุ ลก เมอ่ื ปลายเดอื นกรกฎาคม
นเ้ี อง และกย็ งั จะมกี จิ กรรมอน่ื ๆ อกี ความคดิ นน้ี บั วา่ เปน็ เรอ่ื งทด่ี มี าก เพราะ
บคุ ลากรของสมาคมฯ จะไดร้ บั ทราบปญั หาของทางชนบท ซง่ึ แตกตา่ งจาก
ทเ่ี คยไดร้ บั ทำใหเ้ กดิ ความคดิ วา่ จะชว่ ยกนั อยา่ งไร เชน่ การปลกู พชื ไร่ ในพน้ื ท่ี
ลาดชันค่อนข้างมาก และเป็นการปลูกแบบไถพรวนปกติ ทำให้เกิดการ
ชะลา้ งหนา้ ดนิ ในแตล่ ะปอี ยา่ งมากมาย หนา้ ดนิ เกดิ การตน้ื ขน้ึ หนิ โผลม่ าก
แลว้ กจ็ ะทำอะไรไมไ่ ด้
ปัจจุบัน กระแสสังคมและบางทีก็เป็นข้อเท็จจริง ด้วยเห็นว่า
การใช้สารเคมีเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารกำจัดแมลงทำให้เกิดผลเสีย
ในระยะยาว และมีการหันมาใช้น้ำยาจากพืชสมุนไพรแทน สารควบคุม
วัชพืชอันที่จริงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่เมื่อเป็นสารเคมีเกษตร
กถ็ กู มองในสถานะเดยี วกนั นอกจากนก้ี ารปลกู พชื แบบเกษตรอนิ ทรยี ์ เชน่
ขา้ วหอมมะลิ และกลว้ ยหอม ไดร้ บั การยอมรบั มากขน้ึ ในตลาดตา่ งประเทศ
และมแี นวโนม้ วา่ พชื อน่ื ๆ กจ็ ะคลา้ ยๆ กนั จงึ ใครข่ อใหน้ กั วจิ ยั หนั มาสนใจ
วิธีการที่จะลดการใช้สารเคมี งานวิจัยบางครั้งอาจจะต้องร่วมมือกับ
หน่วยงานอื่น เช่น การศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่สามารถงอกได้จากใต้น้ำ
เพอ่ื จะไดก้ ำจดั วชั พชื นอ้ ยลง ในพชื ไรอ่ าจตอ้ งหาพชื บำรงุ ดนิ หรอื พชื คลมุ ดนิ
vii วัชพืชสามัญภาคกลาง
ที่โตเร็ว แต่ไม่เลื้อยพันพืชหลัก ทั้งนี้เพื่อเตรียมการรับกับสถานการณ์
ทเ่ี ปลย่ี นไป
สดุ ทา้ ยน้ี ในโอกาสครบรอบ 25ปี ขออวยพรใหส้ มาคมฯ จงมกี จิ กรรม
ทร่ี งุ่ เรอื งตลอดไป
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย viii
สารจาก ดร.ประสาน วงศาโรจน์
นายกสมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2536–2539
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย เป็นสมาคมที่เริ่มต้นจาก
ชมรมวชั พชื แหง่ ประเทศไทยและพฒั นาเปน็ สมาคม จงึ มโี ครงสรา้ งและระบบ
การบรหิ ารจดั การทไ่ี ดม้ าตรฐานและมน่ั คง และประกอบกบั คณะผบู้ รหิ าร
ชดุ กอ่ นๆ ตง้ั แตส่ มยั อาจารยป์ ระเชญิ กาญจโนมยั รศ.ดร.อมั พร สวุ รรณเมฆ
คุณวิสูตร จันทรางศุ ได้สร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติและเกียรติคุณของ
สมาคมวทิ ยาการวชั พชื เปน็ อเนกประการ อกี ทง้ั ไดร้ บั ความรว่ มมอื อยา่ งดยี ง่ิ
จากทป่ี รกึ ษา กรรมการ และสมาชกิ ของสมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศ
ไทย และการอนเุ คราะหจ์ าก ดร.ไพฑรู ย์ กติ ตพิ งษ์ หวั หนา้ กลมุ่ งานวทิ ยาการ
วชั พชื และนางหรรษา จกั รพนั ธ์ุ ณ อยธุ ยา ผอู้ ำนวยการกองพฤกษศาสตร์
และวชั พชื ในขณะนน้ั ดร.วจิ ติ ร เบญจศลี ร.ต.มนตรี รมุ าคม อดตี อธบิ ดี
กรมวิชาการเกษตร ตลอดจนองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
ทำใหง้ า่ ยตอ่ การดำเนนิ งานของสมาคมใหป้ ระสบความสำเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์
ของสมาคมทไ่ี ดต้ ง้ั ไว้ กระผมใครข่ อบคณุ และขอบพระคณุ ตอ่ ทกุ ทา่ นไว้ ณ
ที่นี้ด้วย เมื่อกล่าวถึงสมาคมในอดีต ก็คงต้องกล่าวถึงผลงานที่สำคัญๆ
ระหวา่ งทก่ี ระผมเปน็ นายกสมาคม ดงั น้ี
1. จัดทำจดหมายข่าว เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลทางวิชาการด้านวัชพืช
และสื่อกลางกับนักวิชาการและองค์กรต่างๆ ได้รับทราบวิทยาการและ
ความเคลอ่ื นไหวของวชิ าการดา้ นวชั พชื ทง้ั ภายในและภายนอกประเทศ ปลี ะ
3 ฉบบั
2. ดำเนนิ การตดิ ตอ่ เพอ่ื ขอเปน็ เจา้ ภาพจดั การประชมุ Asian-Pacific
Weed Science Society Conference ครง้ั ท่ี 17 โดยจดั ทำขอ้ เสนอตง้ั แต่
การประชมุ ครง้ั ท่ี 14 ณ กรงุ Brisbane ประเทศออสเตรเลยี ในปี พ.ศ.2536
ix วัชพืชสามัญภาคกลาง
3. จดั การประชมุ วชิ าการวชั พชื แหง่ ชาติ ระหวา่ งวนั ท่ี 26-30 มถิ นุ ายน
2537 ณ โรงแรมโฆษะ จงั หวดั ขอนแกน่
4. จัดการบรรยายเรื่อง บทบาทของสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่ง
ประเทศไทย สำหรบั การวจิ ยั และพฒั นาวชั พชื ในการสมั มนาทางวชิ าการ
เรอ่ื งวชั พชื ในพชื เศรษฐกจิ และแนวทางการวจิ ยั ในอนาคต ระหวา่ งวนั ท่ี 16-
18 สงิ หาคม 2536 ณ โรงแรมโกลเดน้ แซนด์ อำเภอชะอำ จงั หวดั เพชรบรุ ี
5. จดั การอบรมเรอ่ื งการควบคมุ วชั พชื ในนาขา้ ว รว่ มกบั สำนกั งานคณะ
กรรมการสภาวจิ ยั แหง่ ชาติ ระหวา่ งวนั ท่ี 26-30 กรกฎาคม 2536 ณ ศนู ย์
ปฏิบัติงานวิจัยและเรือนทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต
กำแพงแสน จงั หวดั นครปฐม แกภ่ าครฐั และภาคเอกชน
6. จดั ประชมุ อารกั ขาพชื แหง่ ชาติ ครง้ั ท่ี 2 ระหวา่ งวนั ท่ี 9-11 ตลุ าคม
2538 ณ โรงแรมเพชรงาม จงั หวดั เชยี งใหม่
7. จดั อบรมการจดั การวชั พชื ในไรอ่ อ้ ย ระหวา่ งวนั ท่ี 27-28 สงิ หาคม
2538 รว่ มกบั สมาคมนกั วชิ าการออ้ ยและนำ้ ตาลแหง่ ประเทศไทย ณ หอ้ ง
ประชมุ สมาคมชาวไรอ่ อ้ ย อำเภอกมุ ภวาปี จงั หวดั อดุ รธานี
8. ประสานงานในการประชมุ Asian-Pacific Weed Science Society
ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2538 และขอเป็นเจ้าภาพ
ในการจดั ประชมุ ครง้ั ท่ี 17
9. จัดอบรม Tropical Weed Management ระดับนานาชาติ
ระหวา่ งวนั ท่ี 13 ตลุ าคม 2539 ถงึ วนั ท่ี 9 พฤศจกิ ายน 2539 ณ มหาวทิ ยาลยั
เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมีผู้เข้ารับการ
ฝึกอบรมจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชาและ
จากประเทศไทย และไดร้ บั ความอนเุ คราะหว์ ทิ ยากร จากประเทศญป่ี นุ่ 2 ทา่ น
คอื Prof.Dr. K. Ishizuka และ Mr. H. Hyakutake
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย x
10. ร่วมกับมูลนิธิวัชพืชแห่งประเทศไทยในการดำเนินกิจกรรม
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั วชั พชื
กระผมในฐานะทไ่ี ดถ้ กู ฝกึ มาในดา้ นทง้ั Weed biology, Weed ecology
และทาง Agronomy ทำงานเกย่ี วขอ้ งกบั วชั พชื ตง้ั แตเ่ รม่ิ รบั ราชการและเคย
สัมผัสกับ Weed Research Organization (WRO) ที่เมือง Oxford
สหราชอาณาจกั ร ซง่ึ เปน็ องคก์ ารวชั พชื แหง่ เดยี วในโลก และยงั ไดเ้ คยชว่ ย
กจิ กรรมของสมาคมฯ มาตลอด ตง้ั แตก่ รรมการ บรรณาธกิ ารจดหมายขา่ ว
ภาษาองั กฤษ และอปุ นายกสมาคม เมอ่ื มโี อกาสทจ่ี ะรบั ใชส้ มาคมวทิ ยาการ
วัชพืชแห่งประเทศไทย ซึ่งตรงกับสาขาวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา ก็ย่อมจะมี
ความดใี จและภมู ใิ จกบั งานทไ่ี ดท้ ำและไดใ้ ชป้ ระสบการณ์ จากทต่ี า่ งๆ นำมา
ใชก้ บั สมาคมฯ แตผ่ ลงานอาจไมถ่ งึ กบั ดเี ทา่ ทค่ี วร กใ็ ครอ่ ยากใหม้ กี ารพฒั นา
สมาคมฯ ต่อไป โดยคงจะต้องอาศัยคณะกรรมการผู้บริหารสมาคมฯ
ชุดหลังๆ ปรับปรุงงาน เพื่อให้สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
เป็นที่พึ่งของทั้งภาครัฐและเอกชน และเป็นที่ยอมรับของทั้งภายในและ
ภายนอกประเทศและหวังว่า สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
จะอยกู่ บั การเกษตรของไทยตลอดไป สมกบั เจตนารมณ์ ของคณะผกู้ อ่ ตง้ั
สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ ใคร่ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหาร
ของสมาคม ทร่ี ว่ มชว่ ยกนั มากบั กระผมทง้ั สองสมยั โดยเฉพาะ ดร.ประทปี
กระแสสินธุ์ กรรมการ ดร.เกลียวพันธ์ สุวรรณรักษ์ เลขาธิการสมาคม
ดร.สมบัติ ชิณะวงศ์ และคุณบุญรัตน์ นันทะ กรรมการของสมาคมฯ
ทม่ี สี ว่ นชว่ ยกระผมเปน็ อยา่ งมาก ทท่ี ำใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในระดบั นไ้ี ด้
xi วัชพืชสามัญภาคกลาง
สารจาก ศาสตราจารย์ ดร.รงั สติ สวุ รรณเขตนคิ ม
นายกสมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2540-2544
ปจั จบุ นั สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทยมคี วามมน่ั คงดา้ นทนุ
ทรัพย์ เพราะมีรายได้จากการจัดประชุมสัมมนาในระดับนานาชาติ แต่
สมาคมฯ ยงั ขาดแคลนบคุ ลากรทจ่ี ะเปน็ อาสาสมคั รเขา้ มาชว่ ยกนั บรหิ ารจดั
การสมาคมฯ ทง้ั นเ้ี พราะคนทอ่ี ยใู่ นสายอาชพี ดา้ นวทิ ยาการวชั พชื มจี ำนวน
นอ้ ยกวา่ สาขาอาชพี อน่ื ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ระดบั กระทรวง หรอื มหาวทิ ยาลยั หรอื
ภาคเอกชน
ขณะนี้ ได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะ
กรมวิชาการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์จะมีการแบ่งแยกคณะเกษตรออกเป็นคณะเกษตรบางเขน
และคณะเกษตรกำแพงแสน อยา่ งชดั เจน นอกจากนภ้ี าคเอกชนกไ็ ดม้ กี าร
รวมตวั ของหลายๆ บรษิ ทั เขา้ เปน็ บรษิ ทั เดยี วกนั ทำใหจ้ ำนวนบรษิ ทั ลดลง
สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นย้ี อ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ การบรหิ ารงานของสมาคมฯ ไมท่ างตรง
กท็ างออ้ ม ทง้ั ทางดา้ นบคุ ลากรและทนุ ทรพั ย์ ซง่ึ กห็ วงั วา่ สมาคมฯ จะสามารถ
ปรับตัวให้เข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศ และของโลกได้
แตค่ งไมล่ มื ภารกจิ หลกั ของสมาคม ทจ่ี ะเปน็ แหลง่ รวบรวมองคค์ วามรดู้ า้ น
วทิ ยาการวชั พชื และเผยแพรส่ มู่ วลชน ตอ่ ไป
ในโอกาสทส่ี มาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทยครบรอบ 25 ปี
ขออวยพรใหส้ มาคมฯ มคี วามกา้ วหนา้ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ผบู้ รหิ ารสมาคมฯ จะตอ้ งมี
สตทิ ม่ี น่ั คง เพอ่ื แกป้ ญั หาตา่ งๆ ใหล้ ลุ ว่ งไปดว้ ยดี
สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย xii
สารบญั หนา้
i
คำนำ iii
สารจากนายกสมาคมฯ
สารจากอดตี นายกสมาคมฯ iv
vii
♦ ดร. ประเชญิ กาญจโนมยั ix
♦ ดร. อมั พร สวุ รรณเมฆ xii
♦ ดร. ประสาน วงศาโรจน์ xiii
♦ ศ.ดร. รงั สติ สวุ รรณเขตนคิ ม 1
สารบญั 3
วชั พชื และการแบง่ ประเภท 4
ความสำคัญของวัชพืช 6
วธิ กี ารควบคมุ วชั พชื
สารกำจดั วชั พชื และการจำแนก 11
วชั พชื สามญั ภาคกลาง 33
♦ ใบแคบ 41
♦ กก 109
♦ ใบกวา้ ง 115
♦ สาหรา่ ย 119
♦ เฟริ น์ 121
♦ อน่ื ๆ 126
ดรรชนชี อ่ื ไทย 130
ดรรชนชี อ่ื วทิ ยาศาสตร์ 133
มาตรา ชง่ั ตวง วดั
บรรณานกุ รม วัชพืชสามัญภาคกลาง
xiii
วัชพืชและการแบ่งประเภท
วชั พชื หมายถงึ พชื ทไ่ี มต่ อ้ งการ
ประเภทของวัชพืช สามารถแยกเป็น 5 ประเภท เพื่อประกอบ
การปอ้ งกนั กำจดั ไดด้ งั น้ี
1. ประเภทใบแคบ เปน็ วชั พชื ใบแคบประกอบดว้ ยพชื อายปุ เี ดยี วและ
หลายปี และมลี กั ษณะทส่ี ำคญั คอื
ใบ เปน็ ใบเดย่ี วแตกจากลำตน้ เรยี งแบบสลบั ปลายใบแคบยาว
ส่วนล่างของใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น มีลิ้นใบ (ligule) เส้นใบ
แบบขนาน
ลำตน้ ลกั ษณะกลมภายในกลวง เหน็ ขอ้ และปลอ้ งชดั เจน
ตวั อยา่ ง เชน่ หญา้ คา หญา้ ขจรจบ หญา้ ขน หญา้ นกสชี มพู หญา้ ขา้ วนก
หญา้ ปากควาย ฯลฯ
2. ประเภทกก เปน็ วชั พชื ในวงศก์ ก มลี กั ษณะทส่ี ำคญั คอื
ใบ เปน็ ใบเดย่ี วรปู เรยี วยาว ไมม่ ลี น้ิ ใบ (ligule)
ลำตน้ สว่ นใหญเ่ ปน็ สามเหลย่ี ม ตนั และไมม่ ขี อ้ ปลอ้ ง
ตวั อยา่ ง เชน่ แหว้ หมู แหว้ ทรงกระเทยี ม กกขนาก กกสามเหลย่ี ม ฯลฯ
3. ประเภทใบกวา้ ง ประกอบดว้ ยพชื จากหลายวงศ์ มลี กั ษณะสำคญั คอื
ใบ มหี ลายรปู แบบ สว่ นใหญม่ ขี นาดใหญก่ วา่ วชั พชื ประเภทใบแคบ
และประเภทกก
ลำตน้ มที ง้ั ลำตน้ เดย่ี ว และแตกกง่ิ กา้ นสาขา มที ง้ั กลมและเหลย่ี ม
ตวั อยา่ ง เชน่ หญา้ ยาง ผกั เบย้ี หนิ ผกั ปอด เซง่ ตดหมตู ดหมา ผกั โขม
วัชพืชสามัญภาคกลาง : วัชพืชและการแบ่งประเภท 1
4. ประเภทสาหรา่ ย เปน็ พชื ชน้ั ตำ่ มสี ว่ นทท่ี ำหนา้ ทค่ี ลา้ ยลำตน้ เปน็
สายและมีส่วนคล้ายข้อ ตรงบริเวณข้อจะมีแขนงแตกออกไปรอบๆ เช่น
สาหรา่ ยไฟ หรอื เปน็ เสน้ สายสเี ขยี ว เชน่ เทา นอกจากนย้ี งั มวี ชั พชื ทเ่ี รยี กวา่
สาหรา่ ย แตเ่ ปน็ พชื ชน้ั สงู ประกอบดว้ ยวชั พชื จากหลายสกลุ และเปน็ วชั พชื นำ้
ทั้งสิ้น เช่น สาหร่ายห่างกระรอก สาหร่ายข้าวเหนียว สาหร่ายพุงชะโด
สาหรา่ ยเสน้ ดา้ ย
5. ประเภทเฟริ น์ เปน็ วชั พชื ทข่ี ยายพนั ธด์ุ ว้ ยสปอร์ ทม่ี ที ง้ั ชนดิ ทข่ี น้ึ อยู่
ในนำ้ รมิ นำ้ หรอื ตามทม่ี นี ำ้ ขงั เชน่ ผกั แวน่ แหนแดง จอกหหู นู ผกั กดู นำ้
และชนดิ ทข่ี น้ึ บนทด่ี อน เชน่ กดู เกย๊ี ะ
6. อน่ื ๆ เชน่ ธปู ฤๅษี
2 สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย
ความสำคญั ของวชั พชื
วชั พชื เปน็ พชื ทจ่ี ดั ไดว้ า่ เปน็ องคป์ ระกอบทส่ี ำคญั ของสภาพแวดลอ้ ม
โดยทว่ั ไป แตเ่ ปน็ พษิ ภยั ตอ่ ระบบการเกษตรอยา่ งมาก ซง่ึ ทง้ั คณุ และโทษของ
วชั พชื นน้ั สามารถจำแนกไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี คอื
ความเสยี หายทเ่ี กดิ จากวชั พชื
1. ทำใหผ้ ลผลติ พชื ปลกู ลดลง
2. ทำใหค้ ณุ ภาพและราคาผลผลติ ตกตำ่
3. ทำใหค้ ณุ ภาพและราคาปศสุ ตั วต์ กตำ่
4. เปน็ ทอ่ี าศยั ของโรคและแมลงศตั รพู ชื
5. กอ่ ใหเ้ กดิ มลพษิ จากการกำจดั เชน่ การเผา การใชส้ ารเคมที ไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง
6. ทำใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยเรอ่ื งแรงงานและเครอ่ื งมอื เพม่ิ ขน้ึ
7. เปน็ อปุ สรรคตอ่ ระบบชลประทาน และการสญั จรทางนำ้
8. เปน็ อปุ สรรคตอ่ การผลติ กระแสไฟฟา้ จากพลงั นำ้ และเปน็ เชอ้ื เพลงิ
ทำใหเ้ กดิ ไฟไหมป้ า่
9. สรา้ งความรำคาญ และเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพมนษุ ย์
อย่างไรก็ตาม วัชพืชก็มีความเป็นประโยชน์ หรือสามารถนำมาใช้
ใหเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ดห้ ลากหลาย เชน่
1. ปอ้ งกนั การพงั ทลายของดนิ
2. ชว่ ยรกั ษาความชน้ื ของดนิ
3. เพม่ิ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ
4. เปน็ แหลง่ อาหารธรรมชาติ
5. เปน็ แหลง่ พชื สมนุ ไพร
6. เปน็ วสั ดุ ทำเครอ่ื งใชต้ า่ งๆ
7. ชว่ ยลดมลพษิ
8. ชว่ ยใหภ้ มู ปิ ระเทศมคี วามสวยงาม
วัชพืชสามัญภาคกลาง : วัชพืชและการแบ่งประเภท 3
วธิ กี ารควบคมุ วชั พชื
วธิ กี ารควบคมุ วชั พชื ทน่ี ยิ มปฏบิ ตั กิ นั โดยทว่ั ไป มดี งั น้ี
1. การควบคมุ โดยวธิ ปี อ้ งกนั (Preventive Control)
หมายถงึ การปอ้ งกนั มใิ หว้ ชั พชื จากแหลง่ อน่ื เขา้ มาในพน้ื ทเ่ี พาะปลกู
ซง่ึ อาจทำโดย ใชเ้ มลด็ พนั ธไ์ุ มม่ เี มลด็ วชั พชื แปลกปลอม ปะปน เครอ่ื งมอื
เขตกรรมทน่ี ำมาในพน้ื ท่ี ไมค่ วรมเี มลด็ หรอื สว่ นขยายพนั ธข์ุ อง วชั พชื ตดิ มา
หรอื การออกกฎหมายและกฎเกณฑต์ า่ งๆ สำหรบั ปอ้ งกนั การแพรก่ ระจาย
ของวชั พชื จากแหลง่ ระบาดไปสแู่ หลง่ อน่ื ๆ ซง่ึ ไดแ้ ก่ การออกพระราชบญั ญตั ิ
และกฎหมายต่างๆ ขึ้นควบคุม เช่น พระราชบัญญัติผักตบชวา และ
พระราชบญั ญตั กิ กั พชื ฯลฯ
2. การควบคมุ วชั พชื ดว้ ยวธิ กี ล (Mechanical Control)
หมายถึง การใช้แรงงานจากคน สัตว์ และเครื่องมือจักรกลต่างๆ
เขา้ ชว่ ยทำลายวชั พชื ใหห้ มดไป ตามแตโ่ อกาสและชว่ งเวลาจะอำนวย เชน่
การกำจดั วชั พชื ดว้ ยมอื การไถพรวน การทำรนุ่ ฯลฯ
3. การควบคมุ โดยชวี วธิ ี (Biological Control)
หมายถงึ การใชส้ ง่ิ มชี วี ติ ตา่ งๆ เขา้ ชว่ ยทำลายวชั พชื เชน่ โรค แมลง
รวมทง้ั ศตั รอู น่ื ๆ ทส่ี ามารถกดั กนิ และทำลายวชั พชื ได้ สง่ิ มชี วี ติ ทจ่ี ะสามารถ
นำมาใชค้ วบคมุ วชั พชื โดยวธิ นี ไ้ี ดน้ น้ั จะตอ้ งมคี ณุ สมบตั ใิ นการเลอื กทำลาย
เฉพาะวชั พชื เปา้ หมายไดด้ เี ปน็ พเิ ศษ เชน่ ใชด้ ว้ งงวงกนิ ผกั ตบชวา หนอน
กนิ จอก ฯลฯ
4. การควบคมุ ดว้ ยสารเคมี (Chemical Control)
หมายถงึ การใชส้ ารกำจดั วชั พชื ประเภทตา่ งๆ ในการควบคมุ วชั พชื
วธิ นี ้ี อาจเปน็ สารทม่ี คี ณุ สมบตั เิ ลอื กทำลาย (Selective herbicides) เฉพาะ
วชั พชื บางชนดิ หรอื ทำลายวชั พชื ทกุ ชนดิ (Non-selective herbicides) เชน่
2,4-ดี กำจดั วชั พชื ประเภทใบกวา้ งในนาขา้ ว โพรพานลิ กำจดั วชั พชื ประเภท
4 สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย
ใบแคบไดด้ ใี นนาขา้ ว หรอื การใชพ้ าราควอตกำจดั ระหวา่ งแถว พชื ปลกู ฯลฯ
5. การควบคมุ ดว้ ยระบบนเิ วศน์ (Ecological Control)
หมายถงึ การสรา้ งระบบนเิ วศนใ์ หเ้ หมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของ
พชื ปลกู แตไ่ มเ่ หมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของวชั พชื จะชว่ ยใหส้ ามารถ
ควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของวชั พชื ชนดิ ทท่ี ำลายยากใหห้ มดไปได้ พรอ้ มกบั
ชว่ ยลดปรมิ าณการใชส้ ารกำจดั วชั พชื ของเกษตรกรลงดว้ ย เชน่ การใชอ้ ตั รา
ปลกู ระยะปลกู ระดบั นำ้ และระบบการปลกู พชื ฯลฯ
6. การควบคมุ ดว้ ยการใชป้ ระโยชนจ์ ากวชั พชื (Weed Utilization)
หมายถงึ การนำวชั พชื มาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ ดา้ นตา่ งๆ
เชน่ การนำผกั ตบชวามาทำเครอ่ื งจกั สาน ตน้ โสนทำดอกไมแ้ หง้ กกชา้ งนำมา
สานเสอ่ื การทำปยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ พชื สด ฯลฯ
วัชพืชสามัญภาคกลาง : วิธีการควบคุมวัชพืช 5
สารกำจัดวชั พืชและการจำแนก
สารกำจัดวัชพืชที่ผลิตขึ้นจำหน่ายในปัจจุบันนี้ มีมากมายหลาย
ประเภทและในแตล่ ะประเภทนน้ั มดี ว้ ยกนั มากชนดิ ซง่ึ แตล่ ะชนดิ มคี ณุ สมบตั ิ
แตกต่างกันไป จึงต้องมีระบบหรือหลักการที่ช่วยจำแนกสารกำจัดวัชพืช
หรอื ทช่ี าวบา้ นทว่ั ไปเรยี กวา่ “ยาฆา่ หญา้ ” ออกเปน็ หมวดหมเู่ พอ่ื ความสะดวก
ในการเลอื กใชต้ ามความตอ้ งการ โดยอาศยั หลกั การดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ตามโครงสรา้ งทางเคมี (Chemical Structure)
2. ตามวธิ กี ารใช้ (Type of Application)
3. ตามการเคลอ่ื นยา้ ย (Mobility)
4. ตามการเลอื กทำลาย (Selectivity)
5. ตามระยะเวลาการใช้ (Time of Application)
6. ตามคณุ สมบตั กิ ารทำลายในพชื (Mode of Action)
1. จำแนกตามโครงสรา้ งทางเคมี (Chemical Structures)
สารกำจัดวัชพืชโดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐาน (Basic structure)
ของสารกำจดั วชั พชื แตล่ ะชนดิ เปน็ หลกั
1.1ชนดิ โครงสรา้ งเปดิ (Open-chain) ตวั อยา่ งของสารกำจดั วชั พชื
ชนดิ นก้ี ค็ อื ไกลโฟเซต (glyphosate) ฯลฯ
1.2ชนดิ โครงสรา้ งวงแหวน (Ring structure) ตวั อยา่ งสารกำจดั วชั พชื
ชนดิ นไ้ี ดแ้ ก่ 2,4-ดี (2,4-D), ควซิ าโลฟอป (quizalofop) ฯลฯ
2. จำแนกตามวธิ กี ารใช้ (Type of Application)
2.1 ประเภทใชท้ างดนิ (Soil application) เปน็ สารทใ่ี ชพ้ น่ คลมุ ไปบน
ผวิ ดนิ หรอื พน่ แลว้ คลกุ เคลา้ กบั ดนิ มกั เปน็ สารพน่ กอ่ นการงอก
ของวชั พชื ตวั อยา่ งเชน่ อะลาคลอร์(alachlor), อาทราซนี (atrazine),
บวิ ทาคลอร์ (butachlor), ไตรฟลรู าลนิ (trifluralin) ฯลฯ
6 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
2.2 ประเภทใชท้ างใบ (Foliar Application) เปน็ สารประเภทพน่ หลงั
การงอกของวชั พชื โดยตอ้ งพน่ ใหถ้ กู ใบหรอื ตน้ พชื ตวั อยา่ งเชน่ 2,4-
ดี (2,4-D), พาราควอต (paraquat), ไกลโฟเซต (glyphosate),
ควซิ าโลฟอป-พ-ี เทอฟวิ รลิ (quizalofop-P-terfuryl) ฯลฯ
3. จำแนกตามลกั ษณะการเคลอ่ื นยา้ ยในพชื (Mobility)
สารกำจดั วชั พชื เมอ่ื เขา้ สพู่ ชื มกี ารเคลอ่ื นยา้ ยสองลกั ษณะ จงึ จำแนก
ตามลกั ษณะการเคลอ่ื นยา้ ยไดด้ งั น้ี
3.1 ชนดิ ทไ่ี มเ่ คลอ่ื นยา้ ย (Non-systemic) คอื สารกำจดั วชั พชื ท่ี
ไมเ่ คลอ่ื นยา้ ยในตน้ พชื เชน่ พาราควอต (paraquat)
3.2 ชนดิ ทเ่ี คลอ่ื นยา้ ย (Systemic) คอื สารกำจดั วชั พชื ทส่ี ามารถ
เคลอ่ื นยา้ ยไดด้ ใี นตน้ พชื เชน่ 2,4-ดี (2,4-D), ไกลโฟเซต
(glyphosate) ฯลฯ
4.จำแนกตามการเลอื กทำลายพชื (Selectivity) แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ คอื
4.1 เลอื กทำลายเฉพาะพชื (Selective herbicides) อาจเปน็ สาร
ทเ่ี ลอื กทำลายเฉพาะพชื ใบแคบ ดงั อยา่ ง เชน่ ฟลอู ะซฟิ อป-พ-ี บวิ ทลิ
(fluazifop-p-butyl), โพรพานลิ (propanil), ฮาโลซฟี อป-อาร-์
เมทลิ (haloxyfop-R-methyl) หรอื อาจเลอื กทำลายเฉพาะพชื
ใบกวา้ ง ตวั อยา่ งเชน่ 2,4-ดี (2,4-D), โฟมซี าเฟน (fomesafen),
อะซฟิ ลอู อร-์ เฟน (acifluorfen) ฯลฯ หรอื อาจทำลายวชั พชื ใบแคบ
ใบกวา้ ง แตไ่ มท่ ำลายพชื ปลกู ถา้ ใชใ้ นอตั ราทก่ี ำหนด ตวั อยา่ งเชน่
โฟมซี าเฟน (fomesafen) กำจดั วชั พชื ใบกวา้ งในถว่ั เหลอื ง และ ฯลฯ
4.2 ไมเ่ ลอื กทำลายพชื (Non-selective herbicides) เปน็ สารทเ่ี ปน็
พิษต่อพืชทุกประเภท ตัวอย่างเช่น พาราควอต (paraquat),
ไกลโฟเซต (glyphosate) ฯลฯ
วัชพืชสามัญภาคกลาง : สารกำจัดวัชพืชและการจำแนก 7
5. จำแนกตามระยะเวลาการใช้ (Time of Application)
5.1 ใชก้ อ่ นวชั พชื งอก (Pre-emergence) สารกำจดั วชั พชื ประเภทน้ี
สามารถใช้ได้สองแบบ คือ ใช้หลังการเตรียมดินก่อนปลูก
พชื ประธาน ซง่ึ เรยี กวา่ pre-planting หรอื ใชห้ ลงั การปลกู พชื
ประธานแลว้ แตว่ ชั พชื ยงั ไมง่ อก เรยี กวา่ post-planting ตวั อยา่ ง
สารกำจัดวัชพืชที่ใช้ประเภทนี้ คือ อะลาคลอร์ (alachlor),
บวิ ทาคลอร์ (butachlor), ออกซาไดอะซอน (oxadiazon) ฯลฯ
5.2 ใชห้ ลงั วชั พชื งอก (Post-emergence) สารกำจดั วชั พชื ในกลมุ่ น้ี
จำแนกออกไดต้ ามการออกฤทธค์ิ วบคมุ วชั พชื ในขน้ั ตา่ งๆ ไดด้ งั น้ี
ควบคมุ วชั พชื ขนาดเลก็ (Early post-emergence) กำจดั
วชั พชื ชนดิ ทย่ี งั มขี นาดเลก็ หรอื อายยุ งั นอ้ ย ซง่ึ มใี บอยรู่ ะหวา่ ง
2-4 ใบไดด้ กี ค็ อื โมลเิ นท (molinate), โปรปานลิ (propa-
nil), ควิซาโลฟอพ-พี-เทฟูริล (quizalofop-P-tefuryl),
ฟลอู าซฟิ อบ-พ-ี บวิ ทลิ (fluazifob-p-butyl), ฟอรเ์ มซาน
(formesan) ฯลฯ
ควบคมุ วชั พชื ขนาดใหญ่ (Late post-emergence) สาร
กำจัดวัชพืชที่ออกฤทธิ์ควบคุมวัชพืช ที่มีขนาดโตแล้วหรือ
มอี ายมุ ากขน้ึ และมจี ำนวนใบมากกวา่ 5 ใบขน้ึ ไป จนถงึ ระยะ
ออกดอกไดด้ ี คอื 2,4-ดี (2,4-D), ไกลโฟเซส (glypho-
sate), พาราควอต (paraquat) ฯลฯ
6. จำแนกตามคณุ สมบตั กิ ารทำลายในพชื (Mode of Action)
การเลอื กทำลายในพชื แบง่ ไดห้ ลายอยา่ ง คอื
6.1 ทำลายการแบง่ เซลของพชื (Cell membrane disruptors) ทำใหเ้ กดิ
อาการใบไหมแ้ หง้ และตน้ เหย่ี วตายอยา่ งรวดเรว็ ตวั อยา่ งเชน่ พารา
ควอต (paraquat), โฟมีซาเฟน (fomesafen), แลคโตเฟน
8 สมาคมวทิ ยาการวชั พชื แหง่ ประเทศไทย
(lactofen), อะซฟิ ลโู อเฟน (acifluorfen) ฯลฯ
6.2 ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช (Growth regulators) สารที่มี
คุณสมบัติเป็นฮอร์โมน แต่ออกฤทธิ์เป็นสารกำจัดวัชพืชได้
ถ้าใช้ในอัตราสูง เช่น 2,4-ดี (2,4-D), ไดแคมบา (dicamba),
คลอไพรดิ (clopyrid), ไตรโคลไพร์ (triclopyr) ฯลฯ
6.3 ยับยั้งการสังเคราะห์แสง (Photosynthesis inhibitors) ทำให้
ใบพชื มสี ซี ดี ลง ปลายใบ ขอบใบเหย่ี วและคอ่ ยๆ แหง้ ตาย เชน่
อาทราซีน (atrazine), เมทริบูซิน (metribuzin), อามีทรีน
(ametryn), ไดยรู อน (diuron), โบรมาซลิ (bromacil) ฯลฯ
6.4 ยบั ยง้ั สารชว่ ยสงั เคราะหแ์ สง (Pigment inhibitors) ไมเ่ กดิ กบั
การสังเคราะห์แสงโดยตรง แต่จะยับยั้งสารที่ช่วยในการ
สงั เคราะหแ์ สงของพชื พชื จะแสดงอาการสขี าวซดี และแหง้ ตาย
เชน่ โคลมาโซน (clomazone), ไอซอกซาฟลโู ทล (isoxaflutole)
ฯลฯ
6.5 ยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โตของตน้ ออ่ น (Seedling growth inhibitors)
แบง่ เปน็ สองชนดิ คอื
ยบั ยง้ั การสรา้ งปลายยอด (Shoot meristem inhibitors) เชน่
อะลาคลอร์ (alachlor), อะเซโทคลอร์ (acetochlor), เอสเมโทลา-
คลอร์ (s-metolachlor) ฯลฯ
ยบั ยง้ั การสรา้ งปลายราก (Root meristem inhibitors) เชน่ ไตร-
ฟลรู าลนิ (trifluralin), เพนดเิ มทาลนิ (pendimethalin) ฯลฯ
วัชพืชสามัญภาคกลาง : วัชพืชและการแบ่งประเภท 9
6.6 ยบั ยง้ั การสรา้ งโปรตนี ในพชื (Amino acid synthesis inhibitors)
เปน็ การยบั ยง้ั ขบวนการสรา้ งโปรตนี ตา่ งๆ ในพชื ทำใหพ้ ชื ชงกั
การเจริญเติบโตและตายได้ ตัวอย่างเช่น อิมาเซทาเพอร์
(imazethapyr), อิมาซาเพอร์ (imazapyr), คลอริมูรอน
(chlorimuron), ซลั โฟเมทรู อน (sulfometuron), ไกลโฟเซต
(glyphosate), ซัลโฟเซต (sulfosate), กลูโฟซิเนต-
แอมโมเนียม (glufosinate-ammonium) ฯลฯ
6.7 ยบั ยง้ั การสรา้ งกรดไขมนั ในพชื (ACCase inhibitors or Lipid
inhibitors) ตวั อยา่ งเชน่ ฟลอู ะซฟิ อป-พ-ี บวิ ทลิ (fluazifop-P-
butyl), ควิซาโลฟอป-พี-เอทิล (quizalofop-p-ethyl),
ฟีโนซาพรอป (fenoxaprop), เซโทไซดิม (sethoxydim),
คลโี ทดมิ (clethodim)
10 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ประเภทใบแคบ
ชอ่ื ไทย ขา้ วปา่
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Oryza rufipogon Griff.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี วหรอื หลายปี ลกั ษณะคลา้ ยขา้ ว ลำตน้ ทอดยาวไปกบั
พน้ื แตกแขนง ตน้ ตง้ั ตรง สงู 50-100 ซม. ใบเรยี ว ยาว 15-80 ซม. กวา้ ง
1.0-2.5 ซม. ตรงฐานใบดา้ นลา่ งมเี ขย้ี วใบและหใู บยาว 1.5-4 ซม. มขี น
ชอ่ ดอก ยาวประมาณ 20 ซม. และแตกแขนง กา้ นดอกยอ่ ยแตล่ ะกา้ นมดี อก
เพยี ง 1 ดอก ยาวประมาณ 7-9 มม. กวา้ ง 2-2.5 มม. เปลอื กมหี างยาว 5-
8 ซม. เมลด็ เมอ่ื แกม่ กั รว่ ง ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็ หรอื สว่ นของลำตน้ ทม่ี ขี อ้
1-2: ลกั ษณะตน้ 3: ดอก (ภาพ วริ ชั จนั ทรศั ม)ี
12 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ขจรจบดอกเลก็ หญา้ ขจรจบ
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Pennisetum polystachyon Schult.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ แตกกอสงู 30-300 ซม. คลา้ ยขจรจบดอก
ใหญ่ และมกั ขน้ึ ปะปนกนั สเี ขยี วเหลอื ง บางครง้ั อาจมสี มี ว่ ง แผน่ ใบเรยี วยาว
ใบนมุ่ เปน็ ขนทง้ั ดา้ นบนและดา้ นลา่ ง ยาวถงึ 45 ซม. กวา้ ง 1.5-1.8 ซม.
กาบใบมีขนช่อดอกอยู่ที่ปลาย มีดอกย่อยจำนวนมาก ยาว 5-20 ซม.
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. สีม่วงอ่อน เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลเหลือง
ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอกออ่ น 4: ดอกแก่ (ภาพ ศริ พิ ร ซงึ สนธพิ ร)
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 13
ชอ่ื ไทย หญ้าขจรจบดอกเหลือง
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Pennisetum setosum (Swt.) L.C. Rich.
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ แตกเปน็ กอ สงู 100-200 ซม. แตกแขนง
สเี หลอื งเขยี ว ใบเรยี วยาว ปลายแหลม มขี นทง้ั ดา้ นบนและดา้ นลา่ ง ยาว
ประมาณ 60 ซม. กว้าง 0.8-1.2 ซม. กาบ ใบเรียบ แต่มีขนด้านบน
ออกดอกทป่ี ลาย ดอกแนน่ ยาว10-20 ซม. เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง1.5-2.5 ซม.
สฟี าง ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็ และแตกกอใหม่
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ดอกออ่ น 3: ดอกแก่ (ภาพ วริ ชั จนั ทรศั ม)ี
14 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ขจรจบดอกใหญ่ หญา้ ขจรจบ
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Pennisetum pedicellatum Trin.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ แตกกอ สงู 60-100 ซม. แตกแขนงตามขอ้
ข้อล่างๆ ใกล้โคนมักงอโค้งติดดินและแตกรากหยั่งดิน แตกเป็นต้นใหม่
ใบนมุ่ เปน็ ขนทง้ั ดา้ นบนและดา้ นลา่ ง กาบใบเรยี บ ชอ่ ดอกออกทย่ี อดเปน็
ชอ่ เดย่ี ว ดอกตดิ รอบกา้ นชอ่ ชอ่ ดอกแนน่ ฟู ดอกมขี นนมุ่ ยาว ขนสขี าวปลาย
มว่ ง ทำใหช้ อ่ ดอกทก่ี ำลงั บานมสี มี ว่ ง ออกดอกราวเดอื นตลุ าตม เมลด็ แก่
ประมาณเดอื นธนั วาคม ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ดอกออ่ น 3: ดอกแก่ (ภาพ วริ ชั จนั ทรศั ม)ี 15
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ
ชอ่ื ไทย หญา้ ขน
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Brachiaria mutica (Forsk.) Stapf
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ สน้ั หรอื ทอดเปน็ ไหลแลว้ ยกปลายขน้ึ อาจสงู
ถงึ 200 ซม. กาบใบมขี นนมุ่ จำนวนมาก ใบ รปู ขอบขนาน ปลายแหลม กวา้ ง
16-20 มม. อาจยาวถงึ 30 ซม. ผวิ ใบเกลย้ี ง ลน้ิ ใบเปน็ วงแหวน มขี นสขี าว
ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง ยาว 10-20 ซม. ชอ่ ดอกยอ่ ยยาว 3-3.5 มม.
ดอกยอ่ ยออกเปน็ คู่ เรยี งสลบั กนั บนแกนกลาง กา้ นชอ่ ดอกยอ่ ยมขี น กาบคลมุ
ลา่ งรปู ไข่ ปลายแหลม ขนาดเลก็ กวา่ กาบคลมุ บน กาบคลมุ บนรปู เรอื ปลาย
แหลมมีสีม่วง ดอกย่อยล่างมักเป็นดอกเพศผู้ ดอกย่อยบนมักเป็นดอก
สมบรู ณเ์ พศ ใบประดบั นอกเนอ้ื บาง หยกั เปน็ คลน่ื ใบประดบั ในมลี กั ษณะ
คลา้ ยใบประดบั นอก เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก
มสี มี ว่ งเขม้
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ ศริ พิ ร ซงึ สนธพิ ร)
16 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ขา้ วนก หญา้ ปลอ้ งละมาน
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Echinochloa crus-galli (Linn.) P. Beauv.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ตง้ั ตรงแตกเปน็ กอ สงู 100-120 ซม. กาบใบ
เกลย้ี ง ขอบใบขนาน ปลายแหลม ยาว 40 ซม. กวา้ ง 1.5 ซม. ไมม่ ลี น้ิ ใบ
ดอกออกเปน็ ชอ่ มี 9-12 แขนง มกั มขี นสขี าวทโ่ี คน แกนคอ่ นขา้ งแบน ชอ่ ดอก
ยอ่ ยจำนวนมาก ยาว 3.8 มม. เรยี งตวั ทางดา้ นบนของแกน ออกเปน็ คู่ มแี ละ
ไมม่ กี า้ น ชอ่ ดอกยอ่ ยทม่ี กี า้ นจะมขี นแขง็ ทโ่ี คนเปน็ ตอ่ ม กาบคลมุ ลา่ งมเี สน้ สนั
3 เสน้ กาบคลมุ บนมเี สน้ สนั 5 เสน้ ชอ่ ดอกยอ่ ยประกอบดว้ ย 2 ดอก ดอกลา่ ง
เปน็ หมนั ใบประดบั นอก ยาว 2.2 มม. ปลายของเสน้ กลางเปลย่ี นเปน็ รยางค์
แขง็ ใบประดบั ในเปน็ แผน่ ใส ดอกยอ่ ยบนเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ใบประดบั
นอกแขง็ เปน็ มนั ปลายแหลม ใบประดบั ในลกั ษณะ คลา้ ยใบประดบั นอก
เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผลยาว 2.2 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ผล (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ์ และ ผศ.มาลี ณ นคร)
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 17
ชอ่ื ไทย หญา้ โขยง่ หญา้ โปรง่ คาย
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Rottboellia exaltata Linn.f.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ คอ่ นขา้ งแขง็ อาจสงู ถงึ 3 เมตร มรี ากคำ้
ลำตน้ เรยี บ กาบคลมุ ดว้ ยขนทม่ี ฐี านกลมๆ ยาว คม เนอ่ื งจากมสี ารซลิ กิ า้ เปน็
ส่วนประกอบที่หักง่ายเมื่อสัมผัส ทำให้ระคายเคือง ลิ้นใบมีขนตามขอบ
ใบแบนเรยี วยาวประมาณ 60 ซม. เสน้ กลางใบใหญ่ สขี าว เหน็ ชดั เจน กวา้ ง
1-2.5 ซม. ผวิ คอ่ นขา้ งหยาบ บางครง้ั ผวิ ดา้ นลา่ งเรยี บ แตข่ อบใบ หยาบมาก
ดอกเกดิ ทป่ี ลายตน้ และทกุ สาขา ชอ่ ดอกรปู ทรงกระบอก ยาว 8-15 ซม.
เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 3 มม. ชอ่ ดอกเรยี วขน้ึ ทางปลาย ผวิ เรยี บเปน็
แผน่ ทฐ่ี าน แยกเปน็ รปู กรวยเลก็ ๆ ขนาด 6-7 มม.
1, 4: ชอ่ ดอก 2 : เสน้ กลางใบ 3: รากคำ้ ลำตน้ (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์
18 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ คา
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Imperata cylindrica (L.) Raeuschel
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ ตรงแตกเปน็ กอ สงู 30-200 ซม. กาบใบเกลย้ี ง
มขี นเลก็ นอ้ ยบรเิ วณขอบ ใบรปู ขนาน ปลายแหลม อาจยาวถงึ 180 ซม. กวา้ ง
2.5 ซม. ผวิ ใบดา้ นบนมขี นสาก ลน้ิ ใบเปน็ เยอ่ื บาง มกี ลมุ่ ขนละเอยี ด ดอกออก
เปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง อาจยาวถงึ 30 ซม. กวา้ ง 2 ซม. มแี ขนงจำนวนมากออก
รอบแกน มขี นสขี าวหนาแนน่ ชอ่ ดอกยอ่ ยออกเปน็ คู่ มที ง้ั กา้ นสน้ั และยาว
กาบคลมุ ลา่ งรปู ใบหอก บางใส กาบคลมุ บนแคบเรยี วปลายเปน็ รว้ิ ชอ่ ดอกยอ่ ย
ประกอบดว้ ย2ดอกดอกลา่ งเปน็ หมนั ใบประดบั นอกเปน็ แผน่ บางใส ใบประดบั ใน
ไมม่ ี ดอกยอ่ ยบนเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ใบประดบั นอกมลี กั ษณะเหมอื นของ
ดอกยอ่ ยลา่ ง ใบประดบั ในลกั ษณะคลา้ ยใบประดบั นอก แตก่ วา้ งกวา่ และโอบเกสร
เพศผแู้ ละเกสรตวั เมยี ไว้ เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรตวั เมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก
1: ลกั ษณะตน้ 2: ดอก 3: ชอ่ ดอก 4: ดอกแก่ (ภาพ ผศ.มาลี ณ นคร)
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 19
ชอ่ื ไทย หญา้ เจา้ ชู้ หญา้ กลอ่ น หญา้ ขค้ี รอก หญา้ นกคมุ่
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Chrysopogon aciculatus (Retz.) Trin.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ทอดเลอ้ื ย สงู 20-60 ซม. กาบใบเกลย้ี ง ใบสน้ั
แคบ ขอบขนาน ปลายแหลม ยาว 5 ซม. กวา้ ง 5 มม. ขอบใบเปน็ คลน่ื และ
สากคาย ลิ้นใบตื้นและขอบเป็นริ้ว ดอกออกเป็นช่อแบบช่อแขนงสีแดง
หรือม่วง แต่ละแขนงมี 3 ช่อดอกย่อย 2 ช่อดอกย่อยมีก้าน ช่อดอกย่อย
ที่ไม่มีก้าน ดอกย่อยล่างเป็นหมัน ใบประดับนอกบางใส ดอกย่อยบนเป็น
ดอกสมบรู ณเ์ พศ ปลายยน่ื ยาวเปน็ รยางคแ์ ขง็ ใบประดบั ในบางใสขอบขนาน
ปลายแหลม เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ชอ่ ดอก
ย่อยที่มีก้านสีม่วง ดอกย่อยมีลักษณะเหมือนที่พบในช่อดอกที่ไม่มีก้าน
แตด่ อกยอ่ ยบนเปน็ ดอกเพศผู้
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ ผศ.มาลี ณ นคร)
20 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ชนั กาด
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร Panicum repens Linn.
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ มที ง้ั ทเ่ี ปน็ เหงา้ ใตด้ นิ และลำตน้ ตง้ั ตรง รอื เปน็
ขอ้ งอทโ่ี คน ไมแ่ ตกแขนง ปลอ้ งรปู ทรงกระบอก กลวง ใบเดย่ี ว เรยี งสลบั
รปู เรยี วยาว ยาว 4-15 ซม. กวา้ ง 0.2-0.8 ซม. ขอบใบสากเลก็ นอ้ ย อาจมี
ขนทโ่ี คนใบ ลน้ิ ใบเปน็ เยอ่ื ยาว 0.4-1.0 มม. มขี น ชอ่ ดอกเปน็ แบบชอ่ แขนง
ยาว 3-19 ซม. ช่อดอกย่อยยาว 2.6-3.0 มม. กาบกลุ่มล่างรูปไข่
ปลายตดั ถงึ กลมกวา้ ง กาบกลมุ่ บนยาวเทา่ ๆ กบั ชอ่ ดอกยอ่ ย ดอกยอ่ ยลา่ ง
เปน็ ดอกเพศผู้ ดอกยอ่ ย บนรปู วงรี ยาว 1.7-2.2 มม. สขี าว ผวิ เกลย้ี งเปน็ มนั
ปลายแหลม อบั เรณสู สี ม้ ยาว 1.4-1.7 มม. ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็ และเหงา้
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์ 21
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ
ชอ่ื ไทย หญา้ ดอกขาว หญา้ ยอนหู หญา้ ยางคง หญา้ เมด็ งา
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Leptochloa chinensis (Linn.) Nees
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ตรงแตกเปน็ กอ สงู 30-100 ซม. กาบใบ
เกลย้ี ง ใบเลก็ เรยี ว ปลายแหลม ยาว 20 ซม. กวา้ ง 5 มม. ลน้ิ ใบเปน็ แผน่ บาง
มกี ลมุ่ ขน ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง ยาว 40 ซม. มแี ขนงทเ่ี รยี งตวั คลา้ ย
วงรอบ ชอ่ ดอกยอ่ ยยาว 2.5-3.5 มม. ประกอบดว้ ยดอกยอ่ ย 4-6 ดอก
มกี า้ นสน้ั ๆ กาบคลมุ ลา่ งรปู ใบหอก มขี นสากคายบนเสน้ สนั กาบคลมุ บน
รปู หวั ใจ ใบประดบั นอก ใบประดบั ในรปู ใบหอกกลบั มขี นสากคายบนเสน้ สนั
และขนนมุ่ บรเิ วณโคนของใบประดบั ใน เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี
ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผลสนี ำ้ ตาล ดา้ นหนง่ึ แบน ยาว 0.7 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2-4 : ชอ่ ดอก (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์
22 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ดอกแดง หญา้ ดอกชมพู
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Melinis repens (Willd.) Ziska
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ เปน็ กอสงู 50-100 ซม. ใบแคบ ขอบขนาน
ปลายแหลม ยาว 20-30 ซม. มีขนที่ใบเล็กน้อย ลิ้นใบเป็นแนวขนสั้นๆ
ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง สชี มพอู มแดง ชอ่ ดอกยอ่ ยปกคลมุ ดว้ ยขนสชี มพู
ช่อดอกย่อยประกอบด้วย 2 ดอกย่อย เมล็ดแก่มีสีน้ำตาลอ่อน ขยายพันธุ์
โดยเมลด็
1: ลกั ษณะตน้ 2: ชอ่ ดอก 3: ดอก 4: ดอกแก่ (ภาพ ศริ พิ ร ซงึ สนธพิ ร)
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 23
ชอ่ื ไทย หญา้ ตนี กา หญา้ ปากคอก หญา้ ปากควาย
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Eleusine indica (Linn.) Gaertn.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ทอดนอนแลว้ ตง้ั ตรง แตกเปน็ กอสงู 30-60 ซม.
กาบใบเกลย้ี ง แตอ่ าจพบขนบรเิ วณทต่ี ดิ กบั แผน่ ใบ ใบแคบยาว 10-35ซม. ปลาย
แหลมกวา้ ง7มม.ลน้ิ ใบเปน็ เยอ่ื บางๆมขี นบรเิ วณเขย้ี วใบดอกออกเปน็ ชอ่ ดอกยอ่ ย
มกี า้ นสน้ั มากหรอื ไมม่ กี า้ นมี3-12ชอ่ ออกจากจดุ เดยี วกนั ยาว3-15ซม.และมกั มี
1 ชอ่ ทอ่ี ยตู่ ำ่ ลงมา แกนกลาง แบน ชอ่ ดอกยอ่ ยยาว 5-6 มม. ไมม่ กี า้ น ผวิ เกลย้ี ง
เรยี งแบบสลบั บนแกน ประกอบดว้ ยดอกยอ่ ย 4-6 ดอก ดอกทางดา้ นบนของชอ่
1-2 ดอกเปน็ ดอกเพศผู้ กาบคลมุ ลา่ ง รปู ใบหอก ขอบมว้ น กาบคลมุ บนยาวกวา่
เลก็ นอ้ ย รปู หวั ใจ ใบประดบั นอก ยาว 2.6-4 มม. รปู หวั ใจปลายแหลม ขอบมว้ น
ใบประดบั ในยาว 2-3 มม. ขอบไมม่ ว้ น เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี
ปลายแยกเปน็ 2แฉกผลยาว1.2มม.มรี อยยน่ ตามผวิ รปู ไขป่ ลายแหลมสนี ำ้ ตาล
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ ศริ พิ ร ซงึ สนธพิ ร)
24 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ ตนี ตดิ หญา้ ตน้ ตดิ หญา้ ผกั ไก
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Brachiaria reptans (Linn.) Gard. & Hubb.
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ ตง้ั ตรง โคนตน้ ทอดเลอ้ื ยเลก็ นอ้ ย สงู ประมาณ
30 ซม. กาบใบมขี นประปราย ใบรปู ขอบขนาน ปลายแหลม ฐานรปู หวั ใจ กวา้ ง
5-10 มม. ยาว 2-5 ซม. มขี นประปรายทผ่ี วิ ทง้ั สองดา้ น ลน้ิ ใบเปน็ แผน่
บางขนาดเลก็ ปลายมจี กั ตน้ื ๆ ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ แยกแขนงมี 6-8 แขนง
แตล่ ะแขนงยาว 1.5-3 ซม. ชอ่ ดอกยอ่ ยยาว 2 มม. ออกเปน็ คู่ เรยี งสลบั
กนั บนดา้ นเดยี วของแกน ชอ่ ดอกทม่ี กี า้ นมขี นแขง็ ทส่ี ว่ นโคน บวมเปน็ ตอ่ ม
กาบคลมุ ลา่ งเปน็ แผน่ ใส มว้ นพบั กาบคลมุ บนรปู เรอื ปลายแหลม ดอกยอ่ ย
ล่างเป็นดอกเพศผู้หรือเป็นหมัน ใบประดับในเป็นแผ่นบาง ดอกย่อยบน
เปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ใบประดบั นอกแขง็ สนี ำ้ ตาลออ่ น หมุ้ ใบประดบั ในไว้
เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก มสี มี ว่ ง ผลเปน็ รปู ไข่
คอ่ นขา้ งแบน ยาว 1.2 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2-3 : ชอ่ ดอก (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 25
ชอ่ื ไทย หญา้ ตนี นก หญา้ ปลอ้ งขา้ วนก
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Digitaria ciliaris (Retz.) Koel.
ลกั ษณะ พืชอายุหลายปี ลำต้นทอดเลื้อยแล้วตั้งตรง สูง 20-60 ซม.
กาบใบเกลย้ี ง ยกเวน้ ตามขอบใบมตี อ่ มขน ขอบใบขนานแคบ ยาว 20 ซม. กวา้ ง
3-10 มม. ลน้ิ ใบเปน็ แผน่ บาง ดอกออกเปน็ ชอ่ มี 4-7 แขนง ยาวไดถ้ งึ 12 ซม.
ชอ่ ดอกยอ่ ยออกเปน็ คู่ มกี า้ นและไมม่ กี า้ น รปู ไข่ ยาว 3.2 มม. เรยี งตวั ดา้ นเดยี ว
ของแกน กาบคลมุ ลา่ งรปู สามเหลย่ี ม กาบคลมุ บนรปู สามเหลย่ี มแคบขนาดใหญ่
กวา่ กาบคลมุ ลา่ งชอ่ ดอกยอ่ ยประกอบดว้ ย2ดอกดอกลา่ งเปน็ หมนั ใบประดบั นอก
มเี สน้ สนั 5เสน้ ใบประดบั ในลดรปู ดอกยอ่ ยบนเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศใบประดบั นอก
บางใสใบประดบั ในมีรปู รา่ งเหมอื นใบประดบั นอกแตม่ เี กสรเพศผมู้ ี3อนั เกสรเพศ
เมยี ปลายแยก เปน็ 2 แฉก ผลยาว 3 มม. มสี ว่ นของใบประดบั นอกและใบ
ประดบั ในทแ่ี ขง็ ตดิ อยู่
1-2: ลกั ษณะตน้ 3: ชอ่ ดอก 4: ดอกยอ่ ย (ภาพ ผศ.มาลี ณ นคร และเกลยี วพนั ธ์ สวุ รรณรกั ษ)์
26 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ นกสชี มพู หญา้ ตน้ แก หญา้ ขา้ วนก หญา้ นกเขา
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Echinochloa colonum (Linn.) Link.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี วลำตน้ ตง้ั ตรงแตกเปน็ กอสงู ถงึ 60ซม.กาบใบเกลย้ี งแตอ่ าจ
พบขนแขง็ บรเิ วณรอยตอ่ กาบใบและแผน่ ใบ มกั มสี แี ดง ขอบใบขนาน ปลายแหลม
ขอบอาจเปน็ คลน่ื ยาว 11 ซม. กวา้ ง 3-6 มม. ผวิ เกลย้ี ง ไมม่ ลี น้ิ ใบดอกออกเปน็ ชอ่
แบบชอ่ แขนง ยาว 5-15 ซม. มี 8-10 แขนงสน้ั ๆ คอ่ นขา้ งแบน และมขี นสากคาย
ชอ่ ดอกยอ่ ยจำนวนมากยาว2.5-3มม.เรยี งตวั แนน่ ทางดา้ นบนของแกนเปน็ สแ่ี ถว
กาบคลมุ ลา่ งมเี สน้ สนั 3 เสน้ กาบคลมุ บนรปู เรอื ปลายแหลม มขี นาดใหญก่ วา่ กาบ
คลมุ ลา่ ง ชอ่ ดอกยอ่ ย ประกอบดว้ ย 2 ดอก ดอกลา่ งเปน็ หมนั ใบประดบั นอกรปู เรอื
ปลายแหลม ใบประดบั ในเปน็ แผน่ ใส ดอกยอ่ ยบนเปน็ ดอก สมบรู ณเ์ พศ ใบประดบั
นอกแขง็ เปน็ มนั ปลายแหลมใบประดบั ในลกั ษณะคลา้ ยใบประดบั นอกเกสรเพศผมู้ ี
3 อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผลยาว 2-3 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2-3 : ชอ่ ดอก (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์ 27
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ
ชอ่ื ไทย หญา้ ปากควาย หญา้ ปากกลว้ ย
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Dactylocteniumaegyptium(L.)P.Beauv.Ess.Agrost.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ทอดเลอ้ื ยแลว้ ตง้ั ตรง แตกเปน็ กอสงู 15-50 ซม.
กาบใบเปน็ แผน่ หนาเนอ้ื หยาบ ใบรปู ขอบขนานปลายแหลม ยาว7-15ซม.กวา้ ง
0.5-1 ซม. ขอบใบมขี นกระจาย ลน้ิ ใบเปน็ แผน่ บางมขี น เลก็ นอ้ ย ดอกออกเปน็ ชอ่
แบบชอ่ เชงิ ลด มี 4-5 แขนงออกจากจดุ เดยี วกนั แตล่ ะชอ่ ยาว 1.5-7 ซม.
มกั มขี นสขี าวทโ่ี คน แกนคอ่ นขา้ งแบน ชอ่ ดอกยอ่ ยแบนทางดา้ นขา้ ง เรยี งดา้ นเดยี ว
บนแกน ชอ่ ดอกซอ้ นเหลอ่ื มกนั เปน็ สองแถวกาบคลมุ ลา่ งเปน็ แผน่ บางใสรปู ทอ้ งเรอื
ปลายแหลมเปน็ รยางค์กาบคลมุ บนเปน็ แผน่ บางใสปลายแหลมเปน็ ตง่ิ มขี นแขง็ บน
เสน้ สนั ดอกยอ่ ยบนเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศใบประดบั นอกบางใสรปู ไข่ใบประดบั ใน
เปน็ แผน่ บางใส ผวิ เกลย้ี ง รปู ไข่ ปลายเวา้ เปน็ 2 แฉก เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั เกสรเพศ
เมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผล รปู ไต สนี ำ้ ตาล ผวิ เปน็ คลน่ื
1-2: ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ จนั ทรเ์ พญ็ ประคองวงศ)์
28 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ แพรก หญา้ แผด
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Cynodon dactylon (L.) Pers.
ลกั ษณะ พชื อายหุ ลายปี ลำตน้ ตง้ั ตรง สงู ประมาณ 30 ซม. มไี หล ใบแคบเรยี ว
ผิวใบเกลี้ยง ลิ้นใบเป็นแผ่นบาง ปลายเป็นริ้ว ดอกเป็นช่อ ดอกย่อยมี
กา้ นสน้ั มากหรอื ไมม่ กี า้ น มแี ขนงยอ่ ย 3-7 แขนง ยาว 3-6 ซม. เรยี งเปน็ วง
รอบขอ้ อาจพบเรยี งซอ้ นเปน็ สองชน้ั ชอ่ ดอกยอ่ ยไมม่ กี า้ น รปู รี แคบ ยาว 2-
3 มม. เรยี งสลบั กนั บนแกนกลางดา้ นเดยี ว และมกั พบชอ่ ดอกยอ่ ยทล่ี ดรปู
ตรงโคนแขนงย่อย กาบคลุมล่างรูปใบหอก ปลายแหลม มีขนบนเส้นสัน
กาบคลมุ บนมลี กั ษณะคลา้ ยกาบคลมุ ลา่ ง แตม่ ขี นาดใหญก่ วา่ ใบประดบั นอก
รปู ไขป่ ลายมน ใบประดบั ในถกู หมุ้ ดว้ ยใบประดบั นอก เกสรเพศผมู้ ี 3 อนั
เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผลเปน็ รปู ไข่ ยาว 1 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ ผศ.มาลี ณ นคร และ วริ ชั จนั ทรศั ม)ี
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ 29
ชอ่ื ไทย หญา้ รงั นก
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Chloris barbata Sw.
ลกั ษณะ พืชอายุหลายปี สูง 30-80 ซม. ลำต้นทอดเลื้อยแล้วตั้งตรง
แตกเปน็ กอ กาบใบเกลย้ี ง ใบรปู ขอบขนาน ปลายแหลม ยาว 10-20 ซม. กวา้ ง
4-8 มม. ขอบใบมขี นสากคาย ลน้ิ ใบเปน็ แผน่ บาง ดา้ นขา้ งมขี นยาว ดอกออก
เปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง มี 9-12 แขนง แตล่ ะแขนงยาว 5-8 ซม. ชอ่ ดอกยอ่ ย
ขนาด 2-3 มม. จดั เรยี งเฉพาะทางดา้ นบน กาบคลมุ ลา่ งเปน็ แผน่ บางรปู รี มสี นั
กลาง ปลายแหลม กาบคลมุ บนคลา้ ยกนั แตม่ ขี นาดใหญก่ วา่ กาบคลมุ ลา่ ง
ชอ่ ดอกยอ่ ย ประกอบดว้ ย 2 ดอก ดอกลา่ งเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ดอกบนเปน็
ดอกลดรปู ดอกลา่ งประกอบดว้ ยใบประดบั นอกแขง็ รปู ไขก่ ลบั สว่ นปลายมกั
มสี มี ว่ งเขม้ ใบประดบั ในเปน็ แผน่ บางรปู ขอบขนาน ปลายมน เกสรเพศผมู้ ี 3
อนั เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 3 แฉก ผลขนาดเลก็ รปู หอกกลบั ปลายมน
สนี ำ้ ตาล
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ ผศ.มาลี ณ นคร)
30 สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย
ชอ่ื ไทย หญา้ หวาย
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Eragrotis tenella (L.) P. Beauv. ex Roem et Schult.
ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ ทอดนอนหรอื ตง้ั ตรง แตกเปน็ กอ สงู 10-
40 ซม. กาบใบเกลย้ี งสน้ั กวา่ ปลอ้ ง ใบเรยี วยาว ปลายแหลม ยาว 5-8 ซม.
กวา้ ง 2-3 มม. ผวิ ใบเกลย้ี ง ยกเวน้ บรเิ วณฐานใกลล้ น้ิ ใบมขี นยาว ลน้ิ ใบลดรปู
เปน็ ขนสน้ั ๆ เรยี งเปน็ แถว ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ แขนง ยาว 6-15 ซม. มกั มี
ขนสขี าวทโ่ี คนแกนกลาง ชอ่ ดอกยอ่ ยยาว 1.5-2.5 มม. ประกอบดว้ ย 4-8
ดอกยอ่ ย กาบคลมุ ลา่ งเนอ้ื บางและออ่ นนมุ่ รปู ใบหอก ผวิ เกลย้ี ง กาบคลมุ บน
ยาวกวา่ กาบคลมุ ลา่ ง รปู หวั ใจปลายแหลม ผวิ เกลย้ี ง ใบประดบั นอกขนาด
ใกล้เคียงกับกาบคลุมบน ใบประดับในเนื้อบางใส เกสรเพศผู้มี 3 อัน
เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผลยาว 0.4 มม.
1: ลกั ษณะตน้ 2 : ชอ่ ดอก 3: ดอก (ภาพ วริ ชั จนั ทรศั ม)ี 31
วัชพืชสามัญภาคกลาง : ประเภทใบแคบ
ประเภทกก