The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sophia.psu, 2022-11-01 00:03:15

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

6





Implementation of Laws in the Southern

Border Provinces of Thailand รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทีใ่ ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 1

รายวชิ าท่ี 6
กฎหมายทีใ่ ช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
Implementation of Laws in the Southern Border

Provinces of Thailand
กิตติ สรุ ะค�ำ แหง

2 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายท่ีใชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

กติ ติ สุระค�ำ แหง : กฎหมายทใี่ ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้
พมิ พค์ ร้งั ที่ 1 ศูนย์อำ�นวยการบริหารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
กันยายน 2565
เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนงั สือ 978-974-458-750-3

ข้อมลู ทางบรรณานกุ รมของหอสมุดแหง่ ชาติ
Nationnal Library of Thailand Cataloging in Publication data
กิตติ สรุ ะคำ�แหง : กฎหมายท่ีใชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต.้ ----- ยะลา
: ศนู ย์อ�ำ นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต,้ 2565. 125 หน้า.

1. กฎหมายปกครอง. I. ชื่อเรื่อง.
II. ช่อื เร่ือง

342.06
ISBN 978-974-458-750-3

บรรณาธิการเล่ม : ฮาฟีส สาและ
หน้าปก : Subper Graphic
รปู เล่ม : ชวลิต เหมหมนั
พิสูจน์อักษร : สุลต่าน ต่วนดาโอะ
จัดพมิ พโ์ ดย : ศูนยอ์ �ำ นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต ้
ถนนสขุ ยางค์ ตำ�บลสะเตง อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวัดยะลา 95000 โทร.073-203872
พมิ พ์ท่ี : หจก.1000 ทางการพมิ พ์ 87/22 ถนนสามัคคี สาย ก. ตำ�บลสะบารงั อำ�เภอเมือง
จงั หวัดปัตตานี 94000 โทร.073-332578
ควบคมุ การผลติ : มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี 181 ถนนเจรญิ ประดิษฐ์
ต�ำ บลรูสะมิแล อำ�เภอเมือง จงั หวดั ปตั ตานี 94000

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 3 ก

ค�ำ น�ำ
จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหน่ึงในพ้ืนที่ท่ีมีลักษณะเฉพาะทางสังคมศาสนาและ
วฒั นธรรม ซงึ่ สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาทางการเมอื งการปกครองและความขดั แยง้ ทแ่ี ตกตา่ งจากพน้ื ท่ี
อน่ื ๆ การแกป้ ญั หาและพฒั นาในพน้ื ทโี่ ดยเฉพาะในบรบิ ททมี่ สี ถานการณค์ วามไมส่ งบจงึ จ�ำ เปน็
ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจท่ีลึกซ้ึงในระดับที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานท่ีสอดคล้องกับความ
ตอ้ งการและสภาพเงื่อนไขต่างๆ ของพ้นื ที่ ซึง่ จากแนวทางตา่ งๆ ที่ทางรัฐบาลพยายามดำ�เนิน
การเพ่อื แก้ไขปัญหาความไมส่ งบตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2547 เป็นตน้ มานนั้ หนึง่ ในตัวแปรทีส่ ำ�คัญตอ่
การแก้ปัญหาและลดเง่ือนไขความขัดแย้งก็คือ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ซ่ึงเป็นกลไก
ด่านหน้าของภาครัฐในการมีปฏิสัมพันธ์หรือการสร้างความประทับใจที่เป็นบวกและลบต่อ
ประชาชนได้โดยตรง ความรู้และทักษะท่ีเก่ียวข้องกับการปฏิบัติงานในพ้ืนที่ของเจ้าหน้าท่ีจึงมี
ความสำ�คัญอย่างยง่ิ ยวด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีโครงการอบรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายและสามารถลดเง่ือนไขความ
ขัดแย้งและสร้างความเชื่อม่ันท่ีเพ่ิมข้ึนในหมู่ประชาชน แต่การดำ�รงอยู่ของปัญหาความรุนแรง
และกรณีตัวอย่างของความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าท่ียังคงไม่หมดไป ดังนั้นจึง
จำ�เปน็ ต้องมเี ครอื่ งมือใหม่ๆ เพ่อื เตมิ เต็มการพฒั นาเจา้ หนา้ ท่ีรัฐในพนื้ ท่ีใหม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจ
และการปฏิบัติงานที่สมบูรณ์ยิ่งข้ึน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำ�เสนอองค์ความรู้
ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่าย เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีเคร่ืองมือในการ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของ
เจา้ หน้าท่ีในบรบิ ททีส่ อดรับการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมยคุ ดจิ ติ ัล
จากความสำ�คัญข้างต้น โครงวิจัยเพื่อการผลิตชุดความรู้เก่ียวกับจังหวัดชายแดน
ภาคใตแ้ ละการพฒั นาสอื่ การเรยี นรแู้ ละแบบทดสอบอเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ พอื่ เปน็ เครอื่ งมอื ในการแกไ้ ข
ปญั หาและพฒั นาพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ เกดิ ขนึ้ ภายใตก้ ารท�ำ งานรว่ มกนั ระหวา่ งสถาบนั
พัฒนาเจ้าหน้าท่ีของรัฐฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำ�นวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี โดยอาศัยบุคลากรจากคณะรัฐศาสตร์
คณะศกึ ษาศาสตร์ ฝา่ ยเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมการเรยี นรู้ ส�ำ นกั วทิ ยบรกิ าร และศนู ยส์ มทุ รรฐั
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ซ่ึงเป็นการบูรณาการการทำ�งานระหว่างหน่วยงานราชการและ
หนว่ ยงานวชิ าการในรปู แบบสหวทิ ยาการทเี่ นน้ การใชอ้ งคค์ วามรู้ เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมหนนุ
เสรมิ การพฒั นาเจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพและทั่วถึงยง่ิ ขนึ้
การจัดทำ�สอื่ การเรยี นร้มู ที ัง้ สื่อส่ิงพิมพแ์ ละสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์ สอ่ื สิง่ พิมพป์ ระกอบด้วย
หนังสือชุดความรู้จำ�นวน 6 รายวิชา พร้อมหนังสือฉบับพกพาที่รวมเน้ือหาของรายวิชาท้ังหก

ข 4 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายที่ใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ พหวุ ฒั นธรรมและสงั คมจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ แนว
ปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ภาษามลายถู น่ิ เบอ้ื งตน้ สทิ ธปิ ระโยชน์
ส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ และกฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซง่ึ
ไดร้ บั ความอนเุ คราะหใ์ นการเรยี บเรยี งเนอื้ หาโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ เี่ ปน็ นกั วชิ าการจากมหาวทิ ยาลยั
ผบู้ รหิ ารปจั จบุ นั และอดตี ขา้ ราชการทม่ี ปี ระสบการณด์ า้ นการปกครอง กฎหมาย และกฎระเบยี บ
ตลอดจนผู้นำ�ศาสนา โดยมกี ารวิพากษ์ชดุ ความรูแ้ ละข้อสอบจากท้ังภาคราชการ ภาควิชาการ
และภาคประชาสงั คม
ส่วนส่ืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยชุดความรู้ในรูปแบบ E-Book ส่ือการเรียนรู้ใน
รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) จำ�นวน 6 รายวิชา และแบบทดสอบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Testing) จ�ำ นวน 3 รายวชิ า ทม่ี เี นอื้ หาเชอื่ มโยงและอา้ งองิ มาจากชดุ ความรขู้ า้ งตน้ ซง่ึ ทง้ั หมด
มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมรองรับการขับเคล่ือนงานด้านการพัฒนา
เจ้าหน้าท่ีของรัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งนี้โดยมุ่งผลลัพธ์ในการพัฒนาเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ให้
เป็นที่ยอมรับของประชาชน ลดการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงในพ้ืนที่ และเป็นกลไกสำ�คัญใน
การขับเคล่ือนภารกิจเพ่ือตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัด
ชายแดนภาคใต้อยา่ งย่งั ยนื
คณะผู้จัดท�ำ
15 กันยายน พ.ศ. 2565

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 5 ค

สารบัญ
หนา้
บทที่ 1 การบังคบั ใช้กฎหมายพิเศษในพืน้ ท่ีจังหวดั ชายแดนภาคใต.้ .........................................1
1. กฎหมายพิเศษ พเิ ศษอย่างไร..................................................................................1
2. การบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพน้ื ที่จังหวดั ชายแดนภาคใต้ ทำ�ไมตอ้ งใช้
หลายฉบับ...............................................................................................................3
3. กฎหมายพิเศษในพน้ื ทีจ่ ังหวัดภาคใต้ มีกฉี่ บับ แตล่ ะฉบับมีขอบเขตพ้ืนที่
การใช้อย่างไร..........................................................................................................9
4. สาระสำ�คญั ของกฎหมายพเิ ศษแต่ละฉบับ............................................................12
บทที่ 2 กระบวนการยตุ ธิ รรมกบั ปญั หาการใชก้ ฎหมายในจงั หวดั ชายแดนภาคใต.้ .................32
1. กระบวนการยตุ ธิ รรม กับท่มี าและสาเหตุของปญั หาจังหวัดชายแดนภาคใต้........32
2. กระบวนการยตุ ิธรรม ความหมายและขอ้ จำ�กัดอันเป็นทม่ี าของปญั หา................36
3. ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นากระบวนการยุติธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้.....................48
บทที่ 3 กระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลอื ก....................................................................................51
1. ทำ�ความเข้าใจความหมายและความแตกตา่ งของค�ำ วา่ ยตุ ิธรรมทางเลอื ก
ยตุ ธิ รรมชมุ ชน และยตุ ธิ รรมเชงิ สมานฉนั ท.์ ...............................................................51
ยตุ ิธรรมทางเลือก........................................................................................51
ยุตธิ รรมชุมชน.............................................................................................52
ยตุ ิธรรมเชิงสมานฉันท์................................................................................52
2. ยุติธรรมชมุ ชนเปน็ รูปแบบทสี่ ำ�คัญในการสง่ เสริมการมีสว่ นร่วมในกระบวน
การยุตธิ รรม กรอบแนวคดิ ยตุ ิธรรมชมุ ชน.................................................................55
3. การอบรมแทนการฟอ้ ง คือยุติธรรมทางเลอื ก และเป็นมาตรการพเิ ศษใน
กระบวนการยตุ ิธรรม จชต. เพ่อื แกไ้ ขปัญหาความขดั แย้งเชงิ สนั ตวิ ธิ .ี .......................58
4. ยตุ ิธรรมทางเลือกในชุมชนอสิ ลามหรอื สนั ตวิ ิธใี นวถิ มี สุ ลิม...................................60
ชมุ ชนมุสลมิ : จากศรทั ธาสู่การรวมตัว.........................................................60
กรอบก�ำ หนดวถิ ชี วี ิตชมุ ชนมุสลมิ ................................................................60
ผ้นู �ำ กบั ความจ�ำ เปน็ สำ�หรบั ชมุ ชนมุสลิม.....................................................63
สภาชูรอ: นยิ ามความหมาย........................................................................66
ความสำ�คญั ของสภาชรู อต่อวิถีชมุ ชนมสุ ลมิ ................................................66
ความส�ำ คญั ของอบี าดะฮฺตอ่ วถิ ชี ุมชนมุสลมิ ................................................72
อีบาดะฮฺกบั การผูกโยงความสัมพันธข์ องสมาชิกในชมุ ชน...........................73

ง 6 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายที่ใช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

คุตบะฮวฺ ันศกุ ร:์ กลไกในการเข้าถึงสมาชิกในชุมชน...................................76
ตาดกี า: จุดศูนย์รวมส�ำ หรับเดก็ และเยาวชน...............................................77
กตี าบ / อัลกรุ อาน : เวทสี ำ�หรบั ทบทวนความรู้..........................................77
อบี าดะฮทฺ ป่ี ฏบิ ตั แิ ตล่ ะเดอื นในรอบปตี ามปฏทิ นิ อสิ ลาม.............................77
ญาตพิ ี่นอ้ งและเพ่ือนบา้ น: ความรบั ผิดชอบท่ที อดท้งิ มิได.้ ..........................83
บทที่ 4 กฎหมายอิสลาม.........................................................................................................85
ความเปน็ มาของการใชก้ ฎหมายอสิ ลามในประเทศไทย............................................85
บรรณานกุ รม...........................................................................................................................96

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทีใ่ ช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 7 จ

สารบัญรปู ภาพ
หน้า
ภาพที่ 1 แผนภาพสรุปเจตนารมณข์ องกฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ...............................................2
ภาพที่ 2 แผนภาพสรุปวัตถปุ ระสงค์ของกฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ.............................................3
ภาพท ี่ 3 แผนภาพสรปุ ความเข้าใจประเดน็ ปญั หาจังหวัดชายแดนภาคใต้..............................4
ภาพท ี่ 4 ภาพตวั อยา่ งพน้ื ทแี่ ละระยะเวลาทปี่ ระกาศใชแ้ ละยกเลกิ กฎหมายความมนั่ คง 3 ฉบบั
(ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564)........................................................................................11
ภาพที่ 5 สรปุ การก�ำ หนดพ้นื ทกี่ ารบงั คับใชก้ ฎหมายพเิ ศษทัง้ 5 ฉบับ ในจังหวดั ชายแดน
ภาคใต.้ ....................................................................................................................................12
ภาพท ่ี 6 ข้อเปรียบเทียบการใชก้ ฎหมายพิเศษในจังหวดั ชายแดนภาคใต.้ ............................13
ภาพท ่ี 7 ขัน้ ตอนการด�ำ เนนิ การตามมาตรา 21.....................................................................22
ภาพท่ี 8 ความเชอื่ มโยงระหวา่ งปญั หากระบวนการยตุ ธิ รรมกบั ทม่ี าและสาเหตขุ องปญั หาจงั หวดั
ชายแดนภาคใต.้ ......................................................................................................................32
ภาพที่ 9 ขนั้ ตอนและวิธีปฏบิ ัตติ ่อผู้กระท�ำ ความผดิ (ในคดอี าญา)........................................36
ภาพท ี่ 10 กระบวนการหรอื ขน้ั ตอนของการแสวงหาความจรงิ เพอ่ื เขา้ ถงึ “ความยตุ ธิ รรม” ของ
ทุกฝา่ ยในสงั คม (ผูก้ ระทำ� ผถู้ กู กระท�ำ สงั คม)........................................................................38

ฉ 8 รายวิชาที่ 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 9

ชดุ ความรรู้ ายวชิ า “กฎหมายที่ใช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้”
กรอบเนือ้ หาวชิ า

การบังคับใชก้ ฎหมายพิเศษในพ้นื ทจ่ี ังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอ้ จ�ำ กดั หรอื ข้อควรรดู้ ้าน
กระบวนการยตุ ธิ รรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลือก
หลักกฎหมายอิสลาม และอ่นื ๆ
==================================
บทที่ 1
การบงั คบั ใชก้ ฎหมายพิเศษในพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้

1. กฎหมายพเิ ศษ พิเศษอยา่ งไร
เพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การเรยี นรแู้ ละท�ำ ความเขา้ ใจเนอื้ หาวชิ านี้ กอ่ นอน่ื เราตอ้ งเขา้ ใจใหถ้ กู ตอ้ ง
ตรงกนั วา่ “กฎหมายพเิ ศษ” ในทน่ี ี้ หมายถงึ กฎหมายใด ๆ ทถ่ี กู น�ำ มาประกาศใชเ้ ปน็ การเฉพาะ
เจาะจงท่ีแตกต่างจากพ้ืนท่ีอื่น ๆ ซ่ึงความพิเศษหรือเหตุจำ�เป็นเฉพาะดังกล่าว มีข้อพิจารณา
อยา่ งน้อย 3 ประการ นน่ั คือ เปน็ กฎหมายทถ่ี ูกนำ�มาประกาศใชโ้ ดยก�ำ หนดพื้นท่ี กำ�หนดหว้ ง
เวลา และกำ�หนดสถานการณ์ เพราะการประกาศใช้กฎหมายพิเศษทุกฉบับ จะเก่ียวข้องกับ
อ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องเจ้าพนกั งาน หรอื เจ้าหนา้ ทผ่ี ูป้ ฏบิ ัตกิ ารท่ถี ูกก�ำ หนดไว้ในกฎหมายแต่ละฉบบั
ดงั นนั้ ผู้เก่ยี วข้องทุกฝา่ ย เมอ่ื จะต้องปฏิบัตกิ ารใด ๆ โดยอาศยั อำ�นาจตามกฎหมายพิเศษฉบบั
ใด จำ�เปน็ ตอ้ งมีองค์ประกอบของเงื่อนไขการใชก้ ฎหมายพิเศษท้งั 3 ประการ ดังน้ี
1) พื้นทปี่ ระกาศใช้กฎหมายพิเศษ หมายถึง กฎหมายพเิ ศษแต่ละฉบับ หากไม่มกี าร
ประกาศใช้ ก็จะไมม่ ผี ลบังคบั แตห่ ากจะต้องประกาศใช้บังคับ ตอ้ งกำ�หนดเปน็ พื้นทเี่ ฉพาะเทา่
ท่ีจำ�เป็นเท่านั้น ซ่ึงจะแตกต่างกับกฎหมายทั่วไป และหากพ้ืนที่ใดไม่อยู่ในเขตพ้ืนที่ประกาศ
ใช้กฎหมายพิเศษ เจ้าพนักงานหรือผู้มีอำ�นาจหน้าที่จะอาศัยบทบัญญัติหรืออำ�นาจหน้าที่ตาม
กฎหมายนั้นไปปฏิบัติหรือบังคับใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ซ่ึงในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้มี
กฎหมายพิเศษประกาศใช้หลายฉบับ แต่ขอให้สังเกตและพิจารณาว่าแต่ละฉบับจะมีเขตพ้ืนท่ี
การใช้ทแ่ี ตกตา่ งกัน เพราะกฎหมายพิเศษบางฉบบั อาจบังคบั ใชท้ ับซ้อนในพื้นท่เี ดียวกนั ได้ แต่
บางฉบบั จะไมส่ ามารถประกาศใชท้ บั ซอ้ นกนั ได้ ขนึ้ อยกู่ บั บทบญั ญตั ิ และเงอ่ื นไขหรอื เจตนารมณ์

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายท่ีใช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 1

ของกฎหมายแต่ละฉบบั
2) หว้ งเวลาของการประกาศใชก้ ฎหมายพเิ ศษ หมายถงึ การประกาศใชก้ ฎหมายพเิ ศษ
ในพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ เกอื บทกุ ฉบบั จะตอ้ งมหี ว้ งเวลาก�ำ กบั ไวเ้ ปน็ การเฉพาะ เชน่ พรก.
ฉุกเฉนิ ฯ จะประกาศใชแ้ ตล่ ะครงั้ ไม่เกนิ 3 เดือน หากจะใชต้ อ่ ไปมากกวา่ น้ัน ตอ้ งมกี ารประเมิน
สถานการณ์ และประกาศใชใ้ หม่ หรอื พ.ร.บ.การรกั ษาความม่ันคงภายในฯ จะประกาศใชค้ รั้ง
ละไม่เกิน 1 ปี เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม แม้กฎหมายพิเศษบางฉบบั จะไมก่ ำ�หนดระยะเวลาส้นิ สุด
การใช้ แต่เมื่อหมดเงื่อนไขอันเป็นที่มาของการประกาศใช้กฎหมายฉบบั นนั้ ๆ แล้ว กต็ ้องมกี าร
ประกาศยกเลกิ การใช้ทันที
3) การกำ�หนดสถานการณ์เฉพาะ หมายความว่า การประกาศใช้กฎหมายพิเศษทุก
ฉบับ จะต้องมีเหตุผลหรือสถานการณ์เฉพาะ อันเป็นความจำ�เป็นต้องนำ�เอาหลักการและวิธี
ปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายพเิ ศษเหลา่ นน้ั มาบงั คบั ใช้ เพอื่ ระงบั ยบั ยง้ั ปอ้ งกนั หรอื แกไ้ ข
ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในพน้ื ทแ่ี ละหว้ งเวลาใดเวลาหนง่ึ ซงึ่ จะเหน็ ไดช้ ดั เจนวา่ การประกาศใชก้ ฎหมาย
พิเศษในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องเก่ียวข้องกับสถานการณ์ความไม่สงบ อันมีผล
กระทบกบั ความมน่ั คงของประเทศเทา่ นนั้ สว่ นสถานการณค์ วามรนุ แรงหรอื การกอ่ อาชญากรรม
ทว่ั ไป เจา้ หนา้ ทไ่ี มส่ ามารถอา้ งอ�ำ นาจตามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายพเิ ศษมาด�ำ เนนิ การหรอื ปฏบิ ตั ิ
การใด ๆ ทีน่ อกเหนืออำ�นาจหนา้ ทตี่ ามปกตไิ ด้

ภาพที่ 1 แผนภาพสรุปเจตนารมณ์ของกฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ

2 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายทีใ่ ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

ภาพที่ 2 แผนภาพสรปุ วตั ถุประสงคข์ องกฎหมายพิเศษ 3 ฉบับ
2. การบังคบั ใชก้ ฎหมายพิเศษในพืน้ ทจี่ ังหวดั ชายแดนภาคใต้ ท�ำ ไมต้องใชห้ ลายฉบบั
เปน็ ทท่ี ราบกนั ดวี า่ กฎหมายพเิ ศษทถ่ี กู น�ำ มาประกาศใชใ้ นพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
มหี ลายฉบบั บางฉบบั ประกาศใชใ้ นหลายพน้ื ท่ี และบางพนื้ ท่ี มกี ฎหมายพเิ ศษประกาศใชท้ บั ซอ้ น
กนั อยหู่ ลายฉบบั ซงึ่ อาจเปน็ ทส่ี งสยั ของประชาชนหรอื แมก้ ระทงั่ เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั เองหลายฝา่ ยทไี่ ม่
ได้ใกลช้ ิดหรอื เกยี่ วขอ้ งโดยตรงกไ็ ม่สามารถอธบิ ายให้ประชาชนเขา้ ใจได้ ดงั นน้ั จ�ำ เป็นอยา่ งย่งิ
ทีเ่ จา้ หน้ารฐั ผปู้ ฏิบตั ิงานในพน้ื ทีจ่ ังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคน ทกุ ฝา่ ย ทุกพนื้ ท่ี จะตอ้ งรบั ร้วู ่า
ในพ้ืนท่ีทตี่ นปฏบิ ัตงิ านอยนู่ น้ั มีกฎหมายพเิ ศษฉบับใดประกาศใชอ้ ยู่กฉ่ี บับ เพราะเหตุใดและที่
สำ�คัญคือ ต้องเข้าใจด้วยว่าเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ท่ีแท้จริงของการประกาศใช้กฎหมาย
พเิ ศษแตล่ ะฉบบั คืออะไร
แตก่ อ่ นทจี่ ะเรยี นรวู้ า่ กฎหมายพเิ ศษทใี่ ชใ้ นแตล่ ะพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ มกี ฎหมาย
อะไรบา้ ง กี่ฉบบั และแตล่ ะฉบับมกี ารประกาศใชใ้ นพืน้ ทีใ่ ดบา้ ง เรามาทำ�ความเข้าใจทมี่ าและ
สภาพปญั หาของจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ใหถ้ กู ตอ้ งกอ่ น จงึ จะเขา้ ใจเจตนารมณแ์ ละวตั ถปุ ระสงค์
ของการจัดล�ำ ดบั และการบริหารจัดการในการใชก้ ฎหมายพเิ ศษแต่ละฉบบั ในแตล่ ะพน้ื ที่

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใ่ี ช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 3

ภาพท่ี 3 แผนภาพสรุปความเข้าใจประเด็นปัญหาจังหวดั ชายแดนภาคใต้

ประการแรก ต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งและความรุนแรงในพ้ืนที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่การก่อการร้าย ไม่ใช่สถานการณ์สงคราม และไม่ใช่การต่อสู้
เพ่อื แยง่ ชิงดนิ แดน แต่เป็นสถานการณ์ความขัดแย้งทางความคดิ ต่อตา้ นอำ�นาจรัฐอันเกิด
จากการรสู้ ึกไม่ไดร้ ับความเป็นธรรม
เหตุการณ์ความรุนแรงในจงั หวัดชายแดนภาคใตน้ ้ัน เกดิ ขน้ึ อย่างต่อเนื่องตัง้ แตป่ ี ค.ศ.
1909 (พ.ศ. 2452) และมาเกิดเหตุมากท่ีสุดตั้งแต่มีเหตุการณ์ปล้นปืนจากกองพลพัฒนาที่ 4
จงั หวัดนราธวิ าส เม่ือวนั ที่ 4 มกราคม 2547 ซ่งึ เหตกุ ารณค์ วามรุนแรงดังกลา่ วมผี ู้เสยี ชีวิต และ
บาดเจ็บจำ�นวนมาก ทงั้ เจ้าหนา้ ท่รี ฐั และประชาชน โดยเปน็ ผูท้ ีน่ ับถอื ศาสนาอสิ ลามและนับถอื
ศาสนาพทุ ธในอตั ราสว่ นทใี่ กลเ้ คยี งกนั รปู แบบของการกอ่ เหตรุ า้ ยมที งั้ การลอบยงิ การวางระเบดิ
การวางเพลิงเผาทรพั ยส์ นิ ของทางราชการและเอกชน เหตุเกิดครอบคลุมพืน้ ท่เี กอื บทุกจังหวดั
(ยกเวน้ จังหวดั สตูล) และจากการประเมนิ โดยสถานวจิ ยั ความขัดแยง้ และความหลากหลายทาง
วฒั นธรรมภาคใต้ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ พบวา่ มคี นในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำ�นวน
มากถงึ รอ้ ยละ 22 ไดร้ บั ผลกระทบในแงค่ วามรสู้ กึ ทม่ี คี นรจู้ กั หรอื ญาตสิ นทิ เสยี ชวี ติ หรอื บาดเจบ็
หรอื หายตวั ไปจากเหตกุ ารณค์ วามรนุ แรง สว่ นนกั ธรุ กจิ ไดร้ บั ผลกระทบจากรายไดล้ ดลง การสงั่
ซื้อสนิ คา้ และการขนสง่ ท�ำ ไดย้ าก เพราะความหวาดกลวั ของผปู้ ระกอบการ
อย่างไรก็ตาม เมอ่ื พิจารณาปัญหาความรุนแรงทีเ่ กดิ ข้นึ ในพ้ืนทีจ่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้
จากคำ�นิยามของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก กองทัพบกสหรัฐ ถือเป็นความขัดแย้งซ่ึงมีความ
เขม้ ขน้ ระดบั ต�่ำ (Low-Intensity Conflict) ประเภทสงครามการกอ่ ความไมส่ งบ (Insurgency
War) ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะการตอ่ สรู้ ะหวา่ งรฐั บาลทปี่ กครองประเทศกบั ขบวนการกอ่ ความไมส่ งบ จน

4 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ีใชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

น�ำ ไปสกู่ ารกอ่ เหตรุ ้าย ทำ�ลายชวี ิต ทรพั ย์สนิ ของประชาชน และเจา้ หนา้ ท่ีรฐั ด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ
ท�ำ ใหท้ กุ ฝา่ ยไดร้ บั ผลกระทบทง้ั ในดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื ง การปกครอง โดยเฉพาะอยา่ ง
ยิง่ ผลกระทบในแง่ความรสู้ กึ และจิตวทิ ยาสงั คม ตลอดจนกระทบกับความสัมพันธ์ และการอยู่
ร่วมกันของคนในสงั คมอยา่ งรุนแรง
ส่วนทีม่ าและสาเหตขุ องความขดั แยง้ และความรนุ แรง อารง สทุ ธาศาสน์ (2519) ได้
ศึกษาพบวา่ ปัญหาสำ�คญั ประการหน่ึง ซึง่ นำ�ไปส่คู วามขดั แยง้ ระหวา่ งชาวไทยมุสลมิ ในจงั หวัด
ชายแดนภาคใต้กับรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีรัฐ เกิดจากความเป็นเอกลักษณ์ และความสำ�นึกทาง
ประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ทำ�ให้มองรัฐไทยหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐในทางลบ และ
พยายามที่จะต่อต้าน เมื่อประกอบกับเจ้าหน้าที่รัฐท่ีไปปกครองไม่เข้าใจภาษา ศาสนา และ
วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ท�ำ ใหย้ ง่ิ เกดิ ความไมเ่ ขา้ ใจ และความไมไ่ วว้ างใจตอ่ กนั มากยง่ิ ขนึ้ ซงึ่ สอดคลอ้ ง
กบั การวิเคราะหข์ อง พรี ะพงษ์ มานะกจิ (2550) ท่สี รปุ วา่ ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น
ปัญหาเชิงประวัติศาสตร์ที่กลุ่มคนในพ้ืนที่มีสำ�นึกในความเป็นเช้ือชาติ ศาสนา และรวมท้ัง
ปัญหาความไรธ้ รรมรัฐของเจ้าหน้าท่ีดว้ ย ดังจะเหน็ ได้จากเหตรุ า้ ยท่เี กดิ ข้ึน มกั มกี ารกระทำ�ตอ่
เหยื่ออยา่ งเห้ียมโหด ซ่ึงสะท้อนถงึ ความรสู้ กึ เกลียดชงั อย่างมีนัยเชงิ สญั ลักษณ์
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของจฑุ ารัตน์ เอ้อื อ�ำ นวยและคณะ (2549: 14) พบว่า เงอ่ื นไข
หลักสำ�คัญประการหนึ่งจากหลาย ๆ เง่อื นไขของปญั หาในพ้นื ทจ่ี ังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การ
เกิดวิกฤติศรัทธาต่อการดำ�เนินกระบวนการยุติธรรม ประชาชนขาดความเช่ือม่ันในระบบการ
บงั คับใชก้ ฎหมายและกลไกการดำ�เนินงานของรฐั จึงทำ�ใหต้ ้องพยายามหาความยุตธิ รรมให้กับ
ตนเอง และญาตพิ น่ี อ้ งโดยการแก้แคน้
ประการที่ 2 ต้องเข้าใจความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมและลักษณะพ้ืนที่เฉพาะซึ่ง
แตกต่างจากพ้ืนท่ีอ่ืน จึงถูกนำ�เอาหลักการของศาสนา สถานการณ์ทางประวัติศาสตร์บาง
ชว่ งบางตอน และใชค้ วามเปน็ อตั ลกั ษณข์ องคนพนื้ ถน่ิ มลายมู าเปน็ เงอ่ื นไขหรอื เครอื่ งมอื ใน
การตอ่ สู้ สร้างความขดั แย้งทางความคดิ
พน้ื ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซง่ึ ประกอบดว้ ยจงั หวดั ยะลา ปตั ตานี นราธวิ าส สตลู และ
โดยนยิ ามรฐั บาลปจั จบุ นั ใหร้ วมจงั หวดั สงขลา เฉพาะพนื้ ท่ี 4 อ�ำ เภอ คอื อ�ำ เภอเทพา สะบา้ ยอ้ ย
จะนะ และนาทวี มพี น้ื ทที่ ัง้ หมด 44 อำ�เภอ 326 ตำ�บล 2,260 หมบู่ า้ น ประชากร 2,348,728
คน (กรมการปกครอง, 2549) มีผู้นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 80 และนับถือศาสนาพุทธ
ร้อยละ 20 (สำ�นกั งานสถิติแห่งชาติ, 2546)
และถา้ พิจารณาในทางประวตั ิศาสตร์ ตอ้ งยอมรบั ว่าดนิ แดนที่เรียกว่า “ปาตานีดารสุ -

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 5

ลาม” (ดนิ แดนแหง่ สนั ต)ิ แหง่ น้ี เคยมเี จา้ เมอื งมลายมู สุ ลมิ ปกครองรฐั ปาตานดี ารสุ ลามตอ่ เนอ่ื ง
กนั มาเกอื บ 600 ปี แตใ่ นทส่ี ดุ ไดเ้ สยี อธปิ ไตยอยา่ งสมบรู ณแ์ กร่ าชอาณาจกั รสยาม ในตน้ ศตวรรษ
ท่ี 19 รัฐปาตานีดารุสลาม จึงถกู แบ่งออกเปน็ 3 จงั หวดั ได้แก่ ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส
อยา่ งทเ่ี หน็ ในปจั จบุ นั ส�ำ หรบั จงั หวดั สตลู นบั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของรฐั เคดาห์ ของสหพนั ธรฐั มาเลเซยี
ฉะนนั้ ถา้ มองในเชงิ วชิ าการแลว้ โดยประวตั ศิ าสตรร์ ฐั ปตั ตานเี คยเปน็ รฐั อสิ ระมากอ่ น (พรี ยศ รา
ฮมิ มลู า, 2001)
ในทางกลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnicity) และวัฒนธรรม (Culture) ดินแดนท่ีเรียกว่า รัฐ
ปัตตานี อยใู่ นโลกมลายมู าก่อน (Malay Culture World) เมื่อดินแดนสว่ นน้ีมาเป็นส่วนหน่งึ
ของราชอาณาจกั รสยามหรือไทย รัฐปัตตานีในทางวชิ าการกลายเปน็ รัฐกันชน (Buffer State)
ระหวา่ งโลกมลายกู บั รฐั ไทย (Malay World and Thai World) หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ คอื ระหวา่ ง
โลกมสุ ลิมกบั โลกพทุ ธ (Muslim World and Buddhist World) ซ่ึงทง้ั สองรฐั มีจกั รวาลทศั น์
(Cosmology) ที่แตกต่างกันอย่างส้ินเชิง ซ่ึงสิ่งท่ีชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
มคี วามภาคภมู ใิ จ 3 ประการ คือ 1) ความภาคภูมใิ จในประวตั ศิ าสตรร์ ัฐปัตตานอี นั ยาวนาน 2)
ความภาคภมู ใิ จในฐานะศนู ยก์ ลางทมี่ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมากแหง่ หนงึ่ ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก
เฉียงใต้ (One of the International Enterpolytrade of Southeast Asia) ในศตวรรษท่ี
17 และ 3) เป็นศูนย์กลางการศึกษาอสิ ลามแหง่ ภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Centre for
Islamic Studies in Southeast Asia) ในศตวรรษท่ี 19 ซงึ่ ความภาคภมู ิใจสามประการนี้ ยงั
ตรึงอย่ใู นความรู้สกึ ของประชาชนมสุ ลมิ ตราบถึงทุกวนั น้ี
สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มเกิดขึ้น ภายหลังการเซ็นสนธิ
สัญญาระหว่างอังกฤษกับไทย ท่ีเรียกว่า “สัญญาอังกฤษ-ไทย” (Anglo-Siamese Treaty)
เมือ่ วนั ที่ 10 มนี าคม ค.ศ.1909 (พ.ศ.2452) ในสมัยรชั กาลท่ี 5 เนือ่ งจากอังกฤษให้เอกราช
แกส่ หพนั ธรฐั มลายา หรอื ปจั จุบันเรียกว่า สหพนั ธรฐั มาเลเซีย การตอ่ สู้ของขบวนการแบง่ แยก
ดินแดนทีห่ วังจะไปผนวกเปน็ สว่ นหนึง่ ของบริตชิ มาเลย์ (British Malay) และต่อมาการต่อส้ดู ัง
กลา่ ว ไดเ้ ปลยี่ นไปเปน็ “การตอ่ สเู้ พอ่ื ความยตุ ธิ รรมและการรกั ษาเอกลกั ษณข์ องตนเอง” (The
Struggle for Maintaining Justice and Self Identity) แต่ด้วยเหตุทท่ี างฝา่ ยรฐั ไทยได้ด�ำ เนิน
นโยบาย “รฐั นยิ ม” ขนึ้ ในขณะนน้ั จงึ มงุ่ เนน้ ดา้ นการปราบปรามและเนน้ วฒั นธรรมแหง่ ชาตเิ ปน็
หลกั ทำ�ให้สถานการณ์ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ไดท้ วีความรนุ แรงยง่ิ ขนึ้
ประกอบกับการตายของนายหะยีสุหลง โต๊ะมีนา ที่ไร้ร่องรอยและไม่มีคำ�ตอบ
สถานการณ์จึงดูเหมือนจะเลวร้ายท่ีสุดในประวัติศาสตร์ของปัตตานี ความขัดแย้งระหว่าง
ประชาชนมุสลิมกับรัฐทวีความรุนแรงย่ิงกว่ายุคใด ซ่ึงพีรยศ ราฮิมมูลา ได้ต้ังฉายายุคน้ีว่า
“อาณาจักรแห่งความกลวั ” (The Kingdom of Terror) เพราะว่าประชาชนตกอยู่ในภาวะที่

6 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายท่ีใชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

หวาดกลัว ไม่มีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนการประกอบอาชีพ และศาสนาถูก
กดดนั จากฝ่ายรัฐ กฎหมายอิสลามที่วา่ ดว้ ยครอบครัวมรดก และวฒั นธรรมมสุ ลมิ ถกู ยกเลกิ ไป
โดยรัฐ ทั้ง ๆ ที่ในยุคปฎิรูปการเมืองการปกครองภายใต้รัฐบาลของพระพุทธเจ้าหลวง (ร.5)
ให้สิทธิพิเศษและหลักประกันกับพ่ีน้องชาวไทยมุสลิมว่าสามารถใช้กฎหมายพิเศษน้ีได้ เพราะ
พระองคถ์ อื วา่ เป็น “กฎหมายสว่ นตัว” (Personal Law) และมีการปฏิบัตศิ าสนกจิ อยา่ งอสิ ระ
ตามความเชือ่ ในหลักศาสนาอิสลาม
ต่อมา เมื่อมีการเปล่ียนแปลงรัฐบาลท่ีใช้นโยบาย “รัฐนิยม” ส้ินสุดลง รัฐบาลใหม่ก็
ยงั คงใช้นโยบายปราบปรามเชน่ เดิม ความรูส้ กึ ของประชาชนชาวไทยมสุ ลิมไม่ไว้ใจฝา่ ยรัฐวา่ จะ
ทำ�อะไรกับพวกเขาอีก ท้ังสองเหตุการณ์จึงทำ�ให้มีการอพยพของชาวไทยมุสลิมไปอาศัยอยู่ใน
ประเทศเพ่ือนบ้าน โดยอาศัยญาติพี่น้องที่อยู่ฝั่งมาเลเซียมากขึ้น เพราะประชาชนไม่ไว้ใจการ
กระท�ำ ของเจา้ หน้าทฝ่ี ่ายรฐั และมีบทบันทกึ เหตุการณ์ทีร่ ะบุวา่ ผูบ้ รสิ ทุ ธ์จิ �ำ นวนมากถกู จับกมุ
โดยไม่ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม หรอื การฆ่าโดยไม่รสู้ าเหตุ ท�ำ ให้ประชาชนเกิดความกลัวและ
เกลยี ดชังฝา่ ยรัฐ
ประการที่ 3 ต้องเข้าใจว่านโยบายและยทุ ธศาสตร์ของรฐั บาลทุกรัฐบาลในปัจจบุ นั
ต้องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยนโยบายและ
ยทุ ธศาสตรก์ ารเมืองน�ำ การทหาร เนน้ กระบวนการพดู คยุ เพ่ือสันติสขุ สรา้ งพน้ื ทแี่ ละสภาพ
แวดล้อมทีเ่ อ้อื ตอ่ การร่วมกนั พฒั นา ส่วนเจ้าหน้าท่รี ัฐทุกคนทุกฝ่ายมหี น้าท่รี กั ษาความสงบ
เรียบร้อย ด้วยการบงั คับใช้กฎหมายอยา่ งเป็นธรรม
ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใตท้ ผี่ ่านมา แมว้ า่ รฐั บาลไดพ้ ยายามทกุ วิถีทาง
ทจ่ี ะลดระดบั ความรนุ แรง และพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ประชาชนในพนื้ ทใี่ หส้ ามารถด�ำ รงชพี อยรู่ ว่ ม
กนั อยา่ งปกตสิ ขุ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการระดมสง่ ก�ำ ลงั ทหารจากกองทพั ทงั้ 4 ภาคลงไปหลายหมนื่
คน เพอ่ื รกั ษาความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ประชาชน และงบประมาณทที่ มุ่ เทลงไปภายใน
ระยะเวลาประมาณ 6 ปเี ศษ นบั แตเ่ กดิ เหตกุ ารณป์ ลน้ ปนื และมเี หตรุ า้ ยรนุ แรงตอ่ เนอ่ื งมาตงั้ แต่
ปี พ.ศ. 2547 จนถงึ ปจั จบุ นั รฐั บาลไดใ้ ชเ้ งนิ งบประมาณในการแกไ้ ขปญั หาจงั หวดั ชายแดนภาค
ใตเ้ ปน็ จำ�นวนมากถึงสามแสนกวา่ ล้านบาท เพอ่ื การพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกจิ สังคม การศึกษา
ศาสนา วฒั นธรรม อาชพี และการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ดา้ นอนื่ ๆ แตป่ ญั หาและสถานการณค์ วาม
รุนแรงก็ยงั คงเกิดขึน้ อย่างต่อเนือ่ ง ยืดเยื้อ เรือ้ รงั ไมแ่ นน่ อน และยังไมม่ ีใครหรอื คนกลุ่มใดใน
จังหวัดชายแดนภาคใตท้ จ่ี ะได้รับการรบั รองความปลอดภยั อยา่ งแทจ้ รงิ (ศรสี มภพ จติ ต์ภริ มย์
ศร,ี 2549)
ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จลุ านนท์ นายกรัฐมนตรี ไดม้ ีคำ�สัง่ สำ�นักนายก

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใี่ ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 7

รัฐมนตรีที่ 206/2549 ลงวันท่ี 30 ตุลาคม 2549 กำ�หนดแนวนโยบายเสริมสร้างสันติสุขใน
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนำ�ยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มา
เป็นยุทธศาสตร์นำ� และมุ่งเน้นดำ�เนินการทางการเมืองนำ�การทหาร สร้างสภาพแวดล้อมที่
ปลอดภยั เพ่ือให้ประชาชนมคี วามเชอื่ ม่นั ศรัทธาและไวว้ างใจในรัฐ ขจัดเงื่อนไขและสาเหตุท่สี ง่
ผลให้ประชาชนในพ้ืนที่เกิดความรู้สึกแตกแยกหรือความไม่เท่าเทียม เร่งสร้างความเช่ือมั่นใน
กระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่พ่ึงของประชาชนในพ้ืนท่ี รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคประชาชนเข้า
มามสี ว่ นรว่ มในกระบวนการยตุ ธิ รรม การพฒั นากลไกในการท�ำ หนา้ ทค่ี มุ้ ครองสทิ ธิ เสรภี าพของ
ประชาชน การพัฒนาระบบงานยตุ ิธรรมชุมชนและการพฒั นากระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลอื ก
นอกจากน้ี แผนพฒั นาพนื้ ทพี่ เิ ศษ 5 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2552-2555 ไดก้ �ำ หนด
เป้าหมายสำ�คัญด้านการอำ�นวยความเป็นธรรมและความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ไว้ 2 ประการ คอื การพฒั นางานยตุ ิธรรม การปรบั ความคดิ ความเชือ่ และการจดั การความขัด
แย้งตามแนวทางสันติวิธี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี ให้ประชาชนมีความเข้าใจการดำ�เนินงาน
ของภาครัฐ ยอมรับและให้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยการเสริมสร้างเครือข่ายประชาชนใน
ชมุ ชนใหม้ สี ว่ นในการท�ำ งานรว่ มกบั ภาครฐั มากขน้ึ และแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นากระบวนการ
ยตุ ธิ รรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553-2557 ซึง่ คณะรัฐมนตรไี ด้มีมติเห็นชอบ เมอ่ื วันที่
17 มีนาคม 2552 ให้นำ�มาใช้ เพื่อช่วยให้การแก้ไขปัญหาดา้ นการอำ�นวยความเป็นธรรมและ
การจัดการความขดั แย้งโดยสนั ติวิธเี ปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพตามหลักนิติธรรม จนถงึ ปจั จบุ นั
นโยบายและยทุ ธศาสตรห์ ลกั ในการแกไ้ ขปญั หาจงั หวดั ชายแดนภาคใตย้ งั คงมงุ่ เนน้ แนวทางสนั ติ
วธิ ี สรา้ งความเขา้ ใจ และสรา้ งสภาวะแวดลอ้ มทเี่ ออื้ ตอ่ การพดู คยุ เปน็ ส�ำ คญั ควบคกู่ บั การพฒั นา
คุณภาพชวี ติ ของประชาชนในทกุ มิติ
ด้วยเหตุผลความเป็นมาทั้ง 3 ประการข้างต้น รัฐบาลจึงจำ�เป็นต้องมีกฎหมาย
พิเศษเพอ่ื ใช้เป็น “เคร่อื งมอื ” ในการบริหารจัดการกบั ความขดั แย้งและความรุนแรงทเ่ี กดิ
ข้ึนให้เหมาะสมตามความหนักเบาของสถานการณ์แตล่ ะห้วงเวลา และสอดคล้องกบั บริบท
ของพนื้ ทท่ี ่ีแตกตา่ งกนั ดังจะเห็นได้วา่ บางพนื้ ที่ บางห้วงเวลา มกี ารประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎ
อยั การศกึ ฯ ซงึ่ เปน็ กฎหมายพเิ ศษทใี่ หอ้ �ำ นาจ “เจา้ หนา้ ทท่ี หาร” มอี �ำ นาจเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาด
ในการปฏิบัติการด้านการยุทธเพ่ือระงับยับยั้ง และป้องกันสถานการณ์อันกระทบกับความ
มนั่ คง แตก่ ย็ งั มกี ารประกาศใช้ พรก.ฉกุ เฉนิ ฯ ทใี่ หอ้ �ำ นาจและเอกภาพในการสงั่ การเพอื่ แกไ้ ข
สถานการณโ์ ดย “พนกั งานเจา้ หน้าที่” ซง่ึ เปน็ ฝ่ายพลเรือนทับซ้อนลงมาดว้ ย เพ่อื ใหฝ้ า่ ย
เจ้าหน้าท่ีทหาร และข้าราชการฝ่ายพลเรือนร่วมกันใช้ดุลพินิจ เลือกใช้กฎหมายให้
เหมาะสม เป็นธรรม หรือบางพ้ืนที่เม่ือความรุนแรงลดระดับลง รัฐบาลก็จะประกาศใช้

8 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้

พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความม่ันคงภายในฯ ท่ีกำ�หนดให้มีการจัดตั้งกองอำ�นวยการรักษา
ความม่ันคงภายในขึ้นมาดูแลในพ้ืนท่ีประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว เช่น การจัดต้ัง “กอง
อ�ำ นวยการรักษาความมน่ั คงภายในภาค 4 หรือ กอ.รมน.ภาค 4” เพอ่ื มงุ่ เนน้ กระบวนการ
มสี ว่ นรว่ มของข้าราชการทกุ ฝ่ายทง้ั พลเรือน ต�ำ รวจ ทหาร นกั วชิ าการ ผู้นำ�ศาสนา ผู้ทรง
คุณวุฒิ ภาคประชาสังคมและประชาชนสามารถเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาสถานการณ์ท่ี
คลี่คลายดีข้ึนตามลำ�ดับ จนสามารถจัดระเบียบสังคม หาทางออกให้กับบุคคลหรือกลุ่ม
บคุ คลทเี่ คยเปน็ ฝ่ายคูข่ ดั แย้ง เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมใหเ้ กดิ ความสันติสขุ ทย่ี ง่ั ยนื เปน็ ตน้

“……กฎหมายมไี วส้ �ำ หรบั ใหค้ วามสงบสขุ ในบา้ นเมอื ง มใิ ชว่ า่ กฎหมายมไี วส้ �ำ หรบั บงั คบั
ประชาชน ถา้ จะมงุ่ หมายทจี่ ะบงั คบั ประชาชนกก็ ลายเปน็ เผดจ็ การกลายเปน็ สง่ิ ทบ่ี คุ คลหมนู่ อ้ ย
จะต้องบงั คบั บคุ คลหม่มู าก ในทางตรงกันขา้ ม กฎหมายมไี ว้สำ�หรบั ให้บุคคลสว่ นมากมเี สรภี าพ
และอยูไ่ ดด้ ้วยความสงบ......”

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว
27 มถิ นุ ายน 2516

3. กฎหมายพเิ ศษในพ้นื ที่จังหวดั ภาคใต้ มกี ี่ฉบับ แตล่ ะฉบับมขี อบเขตพื้นทก่ี ารใชอ้ ย่างไร
กฎหมายเฉพาะหรือจะเรียกว่ากฎหมายพิเศษที่มีการประกาศบังคับใช้ในพ้ืนที่จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญจ่ ะเข้าใจกันว่ามอี ยแู่ คเ่ พียง 3 ฉบบั ไดแ้ ก่พระราชบญั ญตั ิกฎอัยการ
ศกึ พ.ศ.2457 พระราชก�ำ หนดการบรหิ ารราชการในสถานการณฉ์ ุกเฉิน พ.ศ. 2548 และพระ
ราชบญั ญัติการรักษาความมนั่ คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซง่ึ เราเขา้ ใจวา่ เป็นกฎหมาย

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 9

พเิ ศษของฝา่ ยความมนั่ คง
แต่อย่าลืมว่าในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรายังมีกฎหมายพิเศษบังคับใช้อยู่อีก 2
ฉบบั ไดแ้ ก่ พระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารราชการจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 และพระราช
บัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.
2489 โดยกฎหมาย 2 ฉบบั นี้เป็นกฎหมายทถ่ี กู นำ�มาประกาศใชเ้ ปน็ การเฉพาะในพื้นทจ่ี ังหวัด
ชายแดนภาคใต้ จึงถือไดว้ ่าเปน็ กฎหมายพเิ ศษเชน่ เดียวกัน
กล่าวโดยสรุปก็คือ กฎหมายท่ีถูกนำ�มาประกาศใช้เป็นการเฉพาะ ซ่ึงถือว่าเป็น
กฎหมายพิเศษในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจำ�นวนทั้งสิ้น 5 ฉบับ และแต่ละฉบับมี
ขอบเขตพ้นื ท่ีการใช้ท่แี ตกตา่ งกนั ดังนี้
1) พระราชบัญญัติกฎอัยการศกึ พ.ศ. 2487 เรมิ่ ประกาศใชใ้ นพืน้ ท่ีจงั หวดั
ชายแดนภาคใตต้ งั้ แตป่ ี พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มาจนถงึ ปจั จบุ นั มพี น้ื ทก่ี ารใชเ้ ตม็ พื้นทท่ี กุ อ�ำ เภอใน
เขตจังหวดั ปัตตานี 12 อำ�เภอ จังหวดั นราธิวาส 13 อ�ำ เภอ จงั หวัดยะลา 8 อ�ำ เภอ และในพื้นที่
จงั หวัดสงขลาเฉพาะ 4 อำ�เภอ ได้แก่ อ�ำ เภอเทพา จะนะ นาทวี และสะบา้ ย้อย รวมท้ังสิน้ 37
อ�ำ เภอ
2) พระราชก�ำ หนดการบรหิ ารสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ. 2548 เรม่ิ ประกาศใช้
ในพนื้ ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2548 เปน็ ตน้ มา โดยประกาศใชค้ รงั้ ละ 3 เดอื น และ
มกี ารตอ่ อายกุ ารประกาศใชต้ ดิ ตอ่ กนั มาจนถงึ ปจั จบุ นั แตพ่ นื้ ทกี่ ารใชม้ กี ารปรบั เปลยี่ น เพอ่ื ใหม้ ี
ความเหมาะสมกบั สถานการณ์ โดยในระยะเรม่ิ แรกของการประกาศใชใ้ นปี พ.ศ. 2548 ประกาศ
ใชใ้ นทกุ อ�ำ เภอของ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ปตั ตานี นราธวิ าส และยะลา รวม 33
อ�ำ เภอ ส่วนปัจจบุ นั รัฐบาลได้มกี ารประกาศขยายเวลาการใช้ พรก.ฉุกเฉนิ ฯ ครั้งท่ี 66 ตง้ั แต่วนั
ที 20 ธันวาคม 2564 ถงึ วนั ท่ี 19 มีนาคม 2565 ใหใ้ ช้ในพ้นื ที่ 3 จชต. คือจังหวดั ปตั ตานี ยะลา
และนราธวิ าส ยกเว้น อำ�เภอไม้แก่น อ�ำ เภอแมล่ าน จงั หวัดปัตตานี อำ�เภอเบตง อำ�เภอกาบงั
จังหวดั ยะลา อ�ำ เภอแว้ง อ�ำ เภอสคุ ิริน อ�ำ เภอศรีสาคร และอำ�เภอสุไหงโกลก จงั หวดั นราธวิ าส
ซึ่งสรุปวา่ ล่าสุด ณ เวลาน้ี (20 ธนั วาคม 2564 ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2565) ในพน้ื ท่ี 3 จชต. มี
การประกาศใช้ พรก.ฉกุ เฉนิ รวมทั้งส้ิน 25 อ�ำ เภอ ยกเวน้ ไม่ใช้ 8 อ�ำ เภอ ทั้งน้ี ในทุกอำ�เภอท่ี
มีการยกเลกิ ไม่ใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมัน่ คงภายในราช
อาณาจักร พ.ศ. 2551 แทน
3) พระราชบัญญัตกิ ารรกั ษาความมั่นคงภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551
เร่ิมประกาศใชใ้ นพืน้ ท่จี ังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นตน้ มา โดยเร่ิมแรกตง้ั แต่
วันท่ี 1 ธันวาคม 2552 ประกาศใช้เฉพาะพ้ืนที่ 4 อ�ำ เภอของจงั หวดั สงขลา ได้แก่ อ�ำ เภอเทพา
อ�ำ เภอจะนะ อ�ำ เภอนาทวี และอ�ำ เภอสะบา้ ยอ้ ย ตอ่ มาไดม้ กี ารขยายพน้ื ทป่ี ระกาศใชเ้ พมิ่ เตมิ ใน

10 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ใี ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

เขตอ�ำ เภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ในปี พ.ศ. 2554 และปัจจุบนั ได้มกี ารขยายพ้นื ท่ีประกาศใช้
เพม่ิ เตมิ ในอกี 7 อ�ำ เภอ ไดแ้ ก่ อ�ำ เภอไมแ้ กน่ อ�ำ เภอแมล่ าน จงั หวดั ปตั ตานี อ�ำ เภอเบตง อ�ำ เภอ
กาบัง จังหวัดยะลา อำ�เภอแว้ง อำ�เภอสุคิริน อำ�เภอศรีสาคร และอำ�เภอสุไหงโกลก จังหวัด
นราธวิ าส ดงั นนั้ จงึ สรปุ วา่ ณ ปจั จบุ นั (มกราคม 2565) ในพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ ไดม้ กี าร
ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 รวมทั้งสนิ้ 12 อำ�เภอ
ไดแ้ ก่ อำ�เภอเทพา อ�ำ เภอจะนะ อำ�เภอนาทวี อ�ำ เภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา อ�ำ เภอไมแ้ กน่
อำ�เภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำ�เภอเบตง อำ�เภอกาบงั จงั หวดั ยะลา อ�ำ เภอแว้ง อำ�เภอสุคริ ิน
อ�ำ เภอศรีสาคร และอำ�เภอสไุ หงโกลก จงั หวดั นราธิวาส

ภาพที ่ 4 ภาพตวั อย่างพ้ืนทแี่ ละระยะเวลาท่ีประกาศใช้และยกเลกิ กฎหมายความมั่นคง
3 ฉบับ

(ข้อมูล ณ วนั ท่ี 21 ธนั วาคม 2564)

4) พระราชบัญญตั ิการบรหิ ารราชการจงั หวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553
เน่ืองจากค�ำ นยิ ามของค�ำ วา่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัตกิ าร
บรหิ ารราชการจังหวดั ชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 หมายถงึ จงั หวัดนราธวิ าส จังหวดั ปัตตานี
จงั หวดั ยะลา จงั หวดั สตลู และจงั หวดั สงขลา โดยไมม่ กี ารยกเวน้ อ�ำ เภอใดอ�ำ เภอหนงึ่ ดงั นน้ั พน้ื ท่ี
ประกาศใช้พระราชบญั ญัติการบริหารราชการจังหวดั ชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 จึงครอบคลุม
ทั้งหมด 57 อ�ำ เภอใน 5 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ แตอ่ ย่างไรกต็ าม ตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.
ดังกลา่ ว กำ�หนดไวว้ ่า “ในกรณีจ�ำ เป็นเพอ่ื ประโยชนใ์ นการแก้ไขปัญหาจังหวดั ชายแดนภาคใต้
ศอ.บต. โดยความเหน็ ชอบของ กพต. อาจก�ำ หนดให้เขตพ้ืนทใี่ ดในจงั หวดั ชายแดนภาคใตเ้ ป็น

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 11

เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจและกำ�หนดกรอบแนวทางการบรหิ าร และการพัฒนาในเขตพ้นื ทีน่ ้นั
ได”้ ดว้ ยเหตนุ ี้ แมว้ า่ ภายใตค้ �ำ นยิ ามตามพระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารราชการจงั หวดั ชายแดนภาค
ใต้ พ.ศ. 2553 จะครอบคลุมในทุกอ�ำ เภอทงั้ 5 จงั หวัด แต่กรอบการบรหิ ารและการพัฒนาใน
ลักษณะ “พื้นทพี่ ิเศษ” ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงถกู จ�ำ กดั ไวเ้ พียง 3 จงั หวดั ได้แก่ จังหวัดปัตตานี
จังหวัดยะลา จังหวัดนราธวิ าส และ 4 อ�ำ เภอ คอื อ�ำ เภอเทพา อำ�เภอจะนะ อำ�เภอนาทวี และ
อ�ำ เภอสะบา้ ยอ้ ย จงั หวดั สงขลาเท่านั้น
5) พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี
นราธิวาส ยะลา และสตลู พ.ศ. 2489 มผี ลบังคับใชต้ ้งั แต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นตน้ มาจนถึง
ปัจจบุ ัน โดยมีพื้นทีก่ ารใช้ครอบคลมุ เฉพาะจงั หวัดปัตตานี จังหวดั นราธวิ าส จังหวดั ยะลา และ
จังหวัดสตูล รวม 4 จังหวัดเท่าน้ัน แต่อยู่ภายใต้เขตอำ�นาจศาลจังหวัดปัตตานี ศาลจังหวัด
นราธิวาส ศาลจงั หวัดยะลา ศาลจงั หวดั เบตง และศาลจังหวัดสตูล ซึง่ มดี ะโต๊ะยตุ ธิ รรมประจ�ำ
อยู่ทง้ั 5 ศาลดังกลา่ วตามทบี่ ญั ญัติไวใ้ นกฎหมาย

ภาพที่ 5 สรุปการกำ�หนดพืน้ ทกี่ ารบงั คับใช้กฎหมายพิเศษท้ัง 5 ฉบบั ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้
4. สาระส�ำ คญั ของกฎหมายพิเศษแต่ละฉบบั
ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วไว้ต้งั แตต่ น้ แล้ววา่ กฎหมายพเิ ศษท่ีใช้เฉพาะในพ้ืนท่จี งั หวัดชายแดนภาค
ใต้ มีจ�ำ นวนทงั้ สิน้ 5 ฉบบั แบง่ เป็น กฎหมายพเิ ศษด้านความมั่นคง 3 ฉบับ ไดแ้ ก่ พระราช
บญั ญตั กิ ฎอยั การศกึ พ.ศ. 2457 พระราชก�ำ หนดการบรหิ ารสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ. 2548 และ
พระราชบัญญตั กิ ารรกั ษาความม่ันคงภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551 และเปน็ กฎหมายพิเศษ
ด้านการบริหารและการพัฒนาพ้ืนที่พิเศษ 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติการบริหารราชการ

12 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขต
จงั หวดั ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตลู พ.ศ. 2489
ซ่ึงเราได้เข้าใจเงื่อนไขของการประกาศใช้ รวมท้ังเขตพ้ืนท่ีการใช้ของกฎหมายแต่ละ
ฉบับ พอสงั เขปแล้ว ตอ่ ไปนี้ จะสรปุ สาระสำ�คญั ของกฎหมายแตล่ ะฉบับ โดยจะมงุ่ เนน้ ใหเ้ ห็น
เฉพาะเน้ือหา ตลอดจนวิธีการเลือกนำ�กฎหมายแต่ละฉบับที่อาจใช้ทับซ้อนกันในบางพ้ืนที่
มาใชใ้ หเ้ หมาะสม สอดคลอ้ งตามเจตนารมณ์ และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ การแกไ้ ขปญั หาจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ อันเปน็ ปญั หาในพืน้ ท่ีพเิ ศษของชาตติ ่อไป

กฎอยั การศึก พรก.ฉกุ เฉิน ป.วิ.อาญา
จนท.ทหาร เจา้ พนักงาน
พงส.
ระงับ/ยับยง้ั ระงับ/ยบั ย้งั ป้องกนั /ปราบปราม
สบื สวน/สอบสวน
กักตวั หรอื ควบคุมตวั จับกุม/ดำเนินคดี

ปล่อยตวั ปล่อยตวั ลงโทษ

กฎอยั การศึก พ.ร.บ.ความมนั่ คง ป.ว.ิ อาญา
จนท.ทหาร กอ.รมน
ระงับ/ยับย้งั พงส.
ระงบั /ยับยง้ั ป้องกัน/ปราบปราม
กกั ตวั มาตรา 21 สืบสวน/สอบสวน
ปล่อยตัว จบั กุม/ดำเนนิ คดี

ลงโทษ

ภาพท ่ี 6 ขอ้ เปรียบเทียบการใช้กฎหมายพเิ ศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 13

1) พระราชบัญญตั ิกฎอยั การศึก พ.ศ. 2457
สรุปสาระส�ำ คัญทีค่ วรทราบ
ทีต่ ้องเรียกวา่ กฎอัยการศกึ เพราะเหตวุ า่ กฎหมายน้ีจะประกาศใชไ้ ด้แต่เฉพาะเวลามี
สงครามหรอื การจลาจล หรอื มคี วามจ�ำ เปน็ ทจ่ี ะรกั ษาความเรยี บรอ้ ย ใหป้ ราศจากภยั เจตนารมณ์
ของการมกี ฎหมายเรอ่ื งกฎอยั การศกึ เพอื่ ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื หรอื มาตรการทางกฎหมายในการทจ่ี ะ
รองรับอำ�นาจของเจ้าหน้าท่ีฝ่ายทหาร ท่ีจะรักษาความม่ันคงของประเทศชาติ เมื่อยามคับขัน
และจำ�เป็นที่ไม่อาจใช้หน่วยงานของฝ่ายพลเรือน กฎอัยการศึกจึงถือเป็นกฎหมายในยามศึก
สงคราม โดยเป็นระบบกฎหมายพิเศษที่มีไว้ใช้ในยามที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติและมีความ
จำ�เปน็ ต้องจำ�กัดสิทธเิ สรีภาพของประชาชนลงไปบ้างทงั้ นเ้ี พอื่ ความมัน่ คงของราชอาณาจกั ร
กฎอัยการศึก ถือเป็นกฎหมายการรักษาความมั่นคงท่ีมีระดับความเข้มข้นของการ
ใช้อำ�นาจสูงสุด จะถูกนำ�มาใช้เมื่อมีเหตุจำ�เป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยจากภัยท่ีมาท้ังจาก
ภายนอกหรอื ภายในประเทศ เชน่ เม่ือมีสงคราม หรือการจลาจลเกดิ ข้นึ ซึ่งในเขตทปี่ ระกาศใช้
กฎอัยการศกึ นี้ เจา้ หนา้ ท่ีฝ่ายทหารจะใช้อำ�นาจเหนือฝา่ ยพลเรือน ในการระงับ ปราบปราม
หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย ดังนั้นการใช้กฎอัยการศึกในการรักษาความสงบเรียบร้อย
ภายในประเทศ ซึ่งไม่ใช่ภาวะสงครามหรือจลาจลจึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเท่าที่จำ�เป็น
โดยปจั จบุ ันในพนื้ ที่จงั หวัดชายแดนภาคใต้ กองอ�ำ นวยการรกั ษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้
น�ำ มาตราสำ�คัญ ๆ ของ พ.ร.บ. กฎอัยการศึกฯ มาใช้เพียง 2 มาตรา ได้แก่
มาตรา 9 (1) ใหอ้ ำ�นาจแกเ่ จ้าหนา้ ทีท่ หาร ในการตรวจคน้ ส่งิ ทตี่ อ้ งเกณฑ์ หรือต้อง
ห้าม หรอื ต้องยึด หรือตอ้ งเขา้ อาศยั หรือมไี วใ้ นครอบครองโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย มีอำ�นาจ
ตรวจคน้ ตัวบุคคล ยานพาหนะ เคหะสถาน ส่ิงปลูกสรา้ ง หรอื ทใ่ี ด ๆ และไม่ว่าเวลาใด ๆ
มาตรา 15 ทวิ ในกรณีเจา้ หนา้ ทท่ี หารมเี หตุอนั ควรสงสัยว่า บุคคลใดจะเป็นราชศัตรู
หรือไดฝ้ า่ ฝืนตอ่ บทบญั ญตั ิของ พ.ร.บ. น้ี หรอื ตอ่ ค�ำ ส่ังของเจ้าหนา้ ทีท่ หาร ใหเ้ จ้าหน้าท่ีทหาร
มอี ำ�นาจ “กกั ตวั ” บคุ คลนนั้ ไว้ เพื่อสอบถามหรอื ตามความจ�ำ เปน็ ของทางราชการทหารได้ไม่
เกนิ 7 วนั
ความเสียหาย ซึง่ อาจบงั เกดิ ข้ึนจากการใช้อ�ำ นาจของเจา้ หน้าทฝี่ า่ ยทหารในการตรวจ
คน้ การเกณฑ์ การห้าม การยดึ การเข้าอาศยั การทำ�ลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ การขับไล่
การกกั ตวั บคุ คลเพอ่ื การสอบถาม หรอื ตามความจ�ำ เปน็ ของทางราชการทหาร บคุ คลหรอื บรษิ ทั
ใด ๆ จะรอ้ งขอคา่ เสยี หายหรอื คา่ ปรบั อยา่ งใด อยา่ งหนงึ่ จากเจา้ หนา้ ทฝี่ า่ ยทหารไมไ่ ดเ้ ลย หาก
เจา้ หนา้ ทฝ่ี า่ ยทหารไดป้ ฏบิ ตั แิ ละด�ำ เนนิ การดว้ ยความสจุ รติ ไมเ่ กนิ สมควรแกเ่ หตุ ไมเ่ กนิ แกก่ รณี
จ�ำ เป็น ทงั้ นเี้ พ่ือปอ้ งกัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ใหด้ ำ�รงคงอยใู่ นความเจรญิ ร่งุ เรอื ง
เปน็ อิสรภาพและสงบเรียบร้อยปราศจากราชศตั รูภายนอกและภายในประเทศ

14 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

การคน้ ตาม พ.ร.บ.กฎอยั การศึกฯ คอื การทเ่ี จ้าหนา้ ท่ที หาร ได้ใช้อ�ำ นาจหนา้ ทท่ี ่ีมีอยู่
ตามกฎหมาย ในการตรวจสอบหรอื คน้ หาหรอื ยดึ สงิ่ ของ ซง่ึ จะใชเ้ ปน็ พยานหลกั ฐานได้ หรอื เพอ่ื
พบและช่วยบุคคลที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเพ่ือพบบุคคลท่ีมีหมาย
จบั เพื่อน�ำ มาดำ�เนินการตามกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ทหาร จะค้นตัวบุคคลได้ ต่อเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลน้ันมีสิ่งของใน
ความครอบครอง เพื่อจะใช้ในการกระท�ำ ความผิด หรือซึ่งไดม้ าโดยการกระทำ�ความผิด หรือซ่ึง
มไี ว้เป็นความผดิ หรอื เพ่ือยดึ สิง่ ของตา่ ง ๆ ท่ีอาจใช้เปน็ พยานหลกั ฐานเอาผิดกับผู้ต้องหาได้
การประกาศใชก้ ฎอัยการศกึ และการเลกิ ใช้กฎอัยการศึก
กฎอยั การศกึ มลี กั ษณะแตกตา่ งจากกฎหมายอนื่ แมจ้ ะมผี ลบงั คบั ใชเ้ ปน็ กฎหมายเพราะ
ไดต้ ราเปน็ พระราชบญั ญตั กิ ฎอยั การศกึ ซง่ึ ใชบ้ งั คบั มาเปน็ เวลานานแลว้ แตก่ ารทจ่ี ะใชก้ ฎหมาย
หรอื มาตรการตา่ ง ๆ ตามทพ่ี ระราชบัญญัติได้กำ�หนดไว้จะตอ้ งอย่ใู นบงั คับเง่ือนไขคือ ตอ้ งให้ผู้
มอี �ำ นาจประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ กอ่ น (โดยจะก�ำ หนดเปน็ เขตพน้ื ทหี่ รอื จะทวั่ ราชอาณาจกั รแลว้
แต่ดลุ พนิ จิ ของผูม้ อี �ำ นาจที่จะประกาศ)
ผูม้ ีอ�ำ นาจประกาศกฎอยั การศกึ
1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชอำ�นาจตามมาตรา 2 แห่ง พระราช
บญั ญตั กิ ฎอยั การศกึ และรฐั ธรรมนญู สว่ นการประกาศตอ้ งท�ำ เปน็ ประกาศพระบรมราชโองการ
2) ผ้บู งั คับบัญชาทหาร ตามท่ีก�ำ หนดไว้ในมาตรา 4 ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ได้แก่
- ผบู้ ังคับบัญชาทหาร ซงึ่ มีก�ำ ลงั ทหารอยใู่ นบังคับไมน่ อ้ ยกว่าหนง่ึ กองพนั
- ผู้บังคับบัญชาทหารในปอ้ มหรอื ท่ีมัน่ อยา่ งใด ๆ ของทหาร
(ตามข้อ 2 กฎหมายให้มีอำ�นาจประกาศใช้กฎอัยการศึกได้เฉพาะแต่ในเขต
อำ�นาจหนา้ ทเี่ ทา่ น้ันแล้วตอ้ งรบี รายงานให้รฐั บาลทราบโดยเร็วท่สี ุด)
2) พระราชกำ�หนดการบรหิ ารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
สรปุ สาระสำ�คัญที่ควรทราบ
“....นิยามของสถานการณ์ฉุกเฉิน หมายถึง สถานการณ์อันกระทบหรือ
อาจกระทบตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน หรอื เปน็ ภยั ตอ่ ความมน่ั คงของรฐั หรอื อาจ
ท�ำ ให้ประเทศหรอื สว่ นใดส่วนหนงึ่ ของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขนั หรอื มกี ารกระทำ�ความ
ผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา การรบหรือการสงคราม ซึ่งจ�ำ เป็น
ตอ้ งมมี าตรการเร่งด่วนเพอื่ รักษาไว้ซง่ึ การปกครองระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ...........”

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 15

พระราชกำ�หนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือที่เรียกกัน
สน้ั ๆ วา่ พรก.ฉุกเฉนิ ฯ เปน็ กฎหมายท่ปี ระกาศใช้ เม่อื ปรากฏวา่ มสี ถานการณก์ ารก่อการร้าย
การใช้ก�ำ ลงั ประทษุ รา้ ยต่อชวี ิต ร่างกาย หรอื ทรัพยส์ นิ หรอื มีเหตุอันควรเชือ่ ไดว้ ่า มกี ารกระท�ำ
ท่ีมีความรุนแรงกระทบต่อความม่ันคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือ
บุคคล และมีความจำ�เป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดย
นายกรฐั มนตรจี ะประกาศใชก้ ำ�ลังเจ้าหนา้ ที่ฝา่ ยปกครอง หรอื ต�ำ รวจ หรือทหารรว่ มกันป้องกนั
แก้ไข ปราบปราม ระงบั ยบั ยัง้ ฟื้นฟู ชว่ ยเหลอื ประชาชน
มาตราสำ�คัญ
มาตรา 11 (1) ใหอ้ �ำ นาจจบั กมุ และควบคมุ ตวั บคุ คลทส่ี งสยั วา่ จะเปน็ ผรู้ ว่ มกระท�ำ การ
ให้เกิดสถานการณฉ์ กุ เฉิน หรอื เปน็ ผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผ้สู นบั สนนุ หรอื ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระ
ท�ำ ให้เกิดสถานการณฉ์ กุ เฉนิ เทา่ ท่มี ีเหตจุ ำ�เปน็ เพ่ือปอ้ งกนั มใิ ห้บุคคลนน้ั กระทำ�การหรือรว่ ม
มือกระทำ�การใด ๆ อันจะท�ำ ใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์ร้ายแรง หรอื เพ่อื ให้เกดิ ความร่วมมอื ในการระงบั
เหตกุ ารณฯ์
มาตรา 12 ใหพ้ นักงานเจา้ หนา้ ที่ ร้องขอตอ่ ศาลท่มี เี ขตอ�ำ นาจหรือศาลอาญา เมือ่ ได้
รับอนุญาต มอี ำ�นาจจับกมุ และควบคมุ ตัวไดไ้ มเ่ กนิ 7 วัน และจะปฏบิ ัติตอ่ บุคคลน้ันในลกั ษณะ
เปน็ ผกู้ ระท�ำ ผดิ มไิ ด้ หากมคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งควบคมุ ตอ่ ใหร้ อ้ งขอตอ่ ศาลเพอ่ื ขยายระยะเวลาการ
ควบคมุ ตอ่ ไดอ้ กี คราวละ 7 วนั แตร่ วมระยะเวลาควบคมุ ทงั้ หมดตอ้ งไมเ่ กนิ กวา่ 30 วนั เมอื่ ครบ
ก�ำ หนด หากต้องการควบคุมต่อให้ด�ำ เนนิ การตาม ป.วอิ าญา
พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ ตามพระราชก�ำ หนดน้ี ไม่ตอ้ งรับผดิ ท้งั ทางแพง่ ทางอาญาหรอื ทาง
วนิ ยั หากเปน็ การกระท�ำ ทสี่ จุ ริต ไม่เลอื กปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรอื ไม่เกนิ กวา่ กรณี
จำ�เป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วย
ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี
การเร่ิมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดปัตตานี และจงั หวดั ยะลา ตง้ั แต่ วันท่ี 20 กรกฎาคม 2548 โดยที่ปรากฎวา่ ได้มีกลุ่ม
บคุ คลกอ่ ความไมส่ งบและกอ่ การรา้ ยขน้ึ ในเขตทอ้ งทจี่ งั หวดั นราธวิ าส จงั หวดั ปตั ตานี และจงั หวดั
ยะลา โดยใชก้ �ำ ลงั ประทษุ รา้ ยท�ำ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกช่ วี ติ รา่ งกาย ทรพั ยส์ นิ และสทิ ธเิ สรภี าพ
ของประชาชนผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ บคุ ลากรทางศาสนาทง้ั พทุ ธและมสุ ลมิ ตลอดจนเจา้ หนา้ ทฝี่ า่ ยบา้ นเมอื ง

16 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทีใ่ ช้ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้

อยา่ งตอ่ เนอื่ ง และทวคี วามรนุ แรงขนึ้ เปน็ ล�ำ ดบั อนั เปน็ การกระทบตอ่ ความมน่ั คงของรฐั ความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สนิ ทั้งของรัฐและบคุ คล รวมท้ังกระทบอย่างรา้ ยแรงตอ่ การใชส้ ิทธิ
เสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธ์ิตามรัฐธรรมนูญ จึงมีความจำ�เป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาดัง
กล่าวใหย้ ตุ ไิ ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพและทันทว่ งที
อาศัยอ�ำ นาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 11 วรรคหนงึ่ แหง่ พระราช
ก�ำ หนดการบรหิ ารราชการในสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ.2548 นายกรฐั มนตรโี ดยความเหน็ ชอบของ
คณะรัฐมนตรี ตามการเสนอแนะของคณะกรรมการบรหิ ารสถานการณ์ฉกุ เฉนิ จงึ ใหป้ ระกาศ
สถานการณฉ์ ุกเฉนิ ที่มคี วามร้ายแรงในเขตทอ้ งที่ทกุ อ�ำ เภอของจังหวดั นราธวิ าส จงั หวัดปัตตานี
และจังหวัดสงขลา
นอกจากน้ี เหตุที่ต้องประกาศใช้พระราชกำ�หนดการบริหารราชการในสถานการณ์
ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทับซ้อนข้ึนมาในพื้นที่และห้วงเวลาเดียวกันกับการประกาศใช้กฎอัยการ
ศึก เน่ืองจากต้ังแต่การประกาศใช้กฎอัยการศึก ที่มอบอำ�นาจในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา
อย่างเบด็ เสรจ็ ใหก้ บั ฝ่ายทหาร ซง่ึ ถูกสงั คมหลายฝา่ ยมองวา่ ส่งผลกระทบตอ่ สทิ ธเิ สรภี าพของ
ประชาชนในพน้ื ทคี่ อ่ นขา้ งมาก จนน�ำ ไปสกู่ ารทบทวนนโยบายรฐั จงึ พยายามหามาตรการในการ
ควบคุมสถานการณ์และจัดการความรุนแรงที่เกิดข้ึนให้ลดลงหรือหมดไปรวมท้ังค้นหาสาเหตุ
ของการเกดิ ความรนุ แรง เคร่ืองมือทถ่ี ูกน�ำ มาใช้ในการจดั การสถานการณด์ งั กล่าวคือ พรก.การ
บรหิ ารราชการในสถานการณฉ์ ุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมีฐานคตทิ ่เี ช่ือวา่ อ�ำ นาจของพรก.จะสง่ ผล
ดีต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นท่ีสามารถรับรู้โครงสร้างของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ตัดวงจร หาคนร้าย
และไดข้ อ้ มลู ขา่ วสารทถ่ี กู ตอ้ งเทยี่ งตรง อนั จะน�ำ ไปสกู่ ารควบคมุ สถานการณต์ ามเจตนารมณข์ อง
กฎหมายรวมทงั้ เปน็ การคนื อ�ำ นาจการบรหิ ารจดั การปญั หาจากฝา่ ยทหารกลบั ไปสฝู่ า่ ยพลเรอื น
3) พระราชบญั ญตั กิ ารรกั ษาความมัน่ คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
สรุปสาระสำ�คัญท่คี วรทราบ
เจตนารมณ์ ของการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราช
อาณาจักร พ.ศ. 2551 เนื่องจากเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาค
ใต้ มีแนวโน้มการเกิดเหตุลดความรุนแรงลงจากเดิม ไปอยู่ในระดับท่ีรัฐสามารถควบคุมได้ใน
ระดับหน่ึง กฎหมายท่ีบังคับใช้อยู่ในพ้ืนท่ีจึงอาจมีความไม่เหมาะสม ดังน้ัน เพื่อให้สามารถ
ป้องกันและระงบั ภยั ทีเ่ กดิ ขนึ้ ได้อยา่ งทนั ทว่ งที และก�ำ หนดใหม้ มี าตรการและกลไกควบคมุ การ
ใชอ้ �ำ นาจ เปน็ การเฉพาะตามระดบั ความรนุ แรงของสถานการณแ์ ละแกไ้ ขสถานการณไ์ ดอ้ ยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพและเปน็ เอกภาพ

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 17

นยิ าม “การรกั ษาความมนั่ คงภายในราชอาณาจกั ร” หมายความวา่ การด�ำ เนนิ การเพอื่
ปอ้ งกัน ควบคมุ แก้ไข และฟน้ื ฟูสถานการณใ์ ด ที่เป็นภยั หรอื อาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลหรือ
กลุ่มบุคคลท่ีก่อใหเ้ กิดความไม่สงบสขุ ทำ�ลาย หรอื ทำ�ความเสียหายตอ่ ชวี ติ ร่างกาย ทรพั ย์สนิ
ของประชาชนหรอื ของรฐั ใหก้ ลบั สสู่ ภาวะปกตเิ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชนหรอื
ความมั่นคงของรัฐ
ใหจ้ ดั ตงั้ กองอ�ำ นวยการรกั ษาความมน่ั คงในราชอาณาจกั ร เรยี กโดยยอ่ วา่ “กอ.รมน.”
ขึ้นในสำ�นักนายกรัฐมนตรี มีอำ�นาจหน้าท่ีและรับผิดชอบเก่ียวกับการรักษาความม่ันคงภายใน
ราชอาณาจักร ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการและมีฐานะเป็นผู้อำ�นวยการรักษาความมั่นคง
ภายในราชอาณาจกั ร เรียกโดยยอ่ วา่ “ผอ.รมน.” เปน็ ผบู้ ังคบั บัญชาขา้ ราชการ พนักงาน และ
ลกู จา้ งใน กอ.รมน. และรับผดิ ชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน. โดยมผี ูบ้ ัญชาการทหาร
บกเป็นรองผ้อู ำ�นวยการรักษาความม่ันคงภายในราชอาณาจักร
อ�ำ นาจหน้าทีข่ อง กอ.รมน. ไดแ้ ก่
1) ตดิ ตามตรวจสอบ และประเมนิ แนวโน้มของสถานการณ์ทอ่ี าจก่อให้เกิดภยั คุกคาม
ดา้ นความมนั่ คงในราชอาณาจักรและรายงานคณะรัฐมนตรีเพอ่ื พจิ ารณาดำ�เนนิ การต่อไป
2) อ�ำ นวยการในการรกั ษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร ในการน้ี ใหม้ อี �ำ นาจหนา้ ท่ี
เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานและดำ�เนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความ
เหน็ ชอบแลว้ ให้หนว่ ยงานรฐั ปฏิบัตติ ามแผนและแนวทางนั้น
บทบญั ญัตทิ ่สี ำ�คัญ
มาตรา 15 ในกรณีท่ีปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความม่ันคงในราชอาณาจักรแต่
ยังไม่มีความจำ�เปน็ ต้องประกาศสถานการณฉ์ ุกเฉนิ ตามกฎหมายว่าดว้ ยการบรหิ ารราชการใน
สถานการณฉ์ ุกเฉนิ และเหตุการณน์ นั้ มแี นวโน้มว่าจะมอี ย่ตู อ่ ไปเปน็ เวลานาน ท้ังอยใู่ นอำ�นาจ
หน้าท่ีความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานรัฐหลายหน่วย คณะรัฐมนตรีจะมีมติ
มอบหมายให้ กอ.รมน. เปน็ ผรู้ บั ผิดชอบในการปอ้ งกัน ปราบปราม ระงบั ยับยั้ง และแก้ไขหรอื
บรรเทาเหตกุ ารณท์ กี่ ระทบตอ่ ความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั รนน้ั ภายในพนื้ ทแี่ ละระยะเวลาท่ี
กำ�หนด ท้ังนี้ใหป้ ระกาศใหท้ ราบโดยท่ัวไป
(บทบญั ญตั นิ ้รี ะบุชัดว่า ในพนื้ ท่ีเดียวกนั และหว้ งเวลาเดียวกัน จะไม่สามารถประกาศ
ใช้ พรก.ฉุกเฉนิ ฯ ทับซ้อนกับ พ.ร.บ.การรักษาความมัน่ คงฯ ได้)
มาตรา 16 ในการด�ำ เนนิ การตามทไี่ ดร้ บั มอบหมายตามมาตรา 15 ให้ กอ.รมน. มอี �ำ นาจ

18 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ใี ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

หน้าที่ดังตอ่ ไปน้ีด้วย
(1) ปอ้ งกนั ปราบปราม ระงบั ยบั ยง้ั และแกไ้ ขหรอื บรรเทาเหตกุ ารณท์ ก่ี ระทบตอ่ ความ
มั่นคงในราชอาณาจักรตามทไี่ ด้รับมอบหมายตามมาตรา 15 ....”
มาตรา 20 ในการใช้อ�ำ นาจของ กอ.รมน. ตามมาตรา 16 (1) ถา้ ก่อให้เกิดความเสีย
หายแกป่ ระชาชนผสู้ ุจริต ให้ กอ.รมน.จดั ให้ผ้นู นั้ ไดร้ บั การชดเชยค่าเสียหาย ตามควรแก่กรณี
ตามหลกั เกณฑแ์ ละเงอ่ื นไขตามทีค่ ณะรัฐมนตรกี �ำ หนด
มาตรา 21 บทบัญญัติว่าด้วยการอบรมแทนการฟ้อง สำ�หรับผู้กระทำ�การอันหลงผิด
หรอื รูเ้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ มาตรการสำ�หรบั รองรับทางออกจากความขัดแย้ง โดยสนั ตวิ ธิ ี
มาตรา 21 ภายในพน้ื ทท่ี ค่ี ณะรฐั มนตรมี มี ตใิ ห้ กอ.รมน. ด�ำ เนนิ การตามมาตรา 15 หาก
ปรากฏว่าผู้ใดต้องหาว่าได้กระทำ�ความผิดอันมีผลกระทบต่อความม่ันคงภายในราชอาณาจักร
ตามทค่ี ณะรฐั มนตรกี �ำ หนด แตก่ ลบั ใจเขา้ มอบตวั ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี หรอื เปน็ กรณที พ่ี นกั งาน
สอบสวนได้ดำ�เนินการสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าผู้น้ันได้กระทำ�ไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึง
การณ์ และการเปิดโอกาสให้ผู้น้ันกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราช
อาณาจักร ในการนี้ให้พนกั งานสอบสวนสง่ สำ�นวนการสอบสวนของผตู้ ้องหานั้นพร้อมทง้ั ความ
เห็นของพนักงานสอบสวนไปใหผ้ ู้อ�ำ นวยการ
ในกรณีผู้อำ�นวยการเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวนให้ส่งสำ�นวนพร้อม
ความเห็นของผ้อู ำ�นวยการใหพ้ นักงานอัยการเพ่อื ย่นื ค�ำ ร้องตอ่ ศาล หากเหน็ สมควรศาลอาจสง่ั
ใหส้ ่งผตู้ ้องหาน้ันใหผ้ อู้ �ำ นวยการเพื่อเขา้ รบั การอบรม ณ สถานทท่ี ี่กำ�หนด เปน็ เวลาไม่เกินหก
เดือน และปฏิบตั ติ ามเงอื่ นไขอ่ืนทีศ่ าลก�ำ หนดด้วยกไ็ ด้
การดำ�เนินการตามวรรคสอง ให้ศาลส่ังได้ต่อเม่ือผู้ต้องหานั้นยินยอมเข้ารับการอบรม
และปฏิบตั ิตามเงอ่ื นไขดังกล่าว
เมอ่ื ผูต้ อ้ งหาไดเ้ ขา้ รับการอบรม และปฏบิ ัตติ ามเง่อื นไขทศี่ าลกำ�หนดดังกลา่ ว สิทธนิ �ำ
คดีอาญามาฟอ้ งผูต้ ้องหานน้ั เป็นอันระงบั ไป
ขัน้ ตอนและเง่ือนไขในการดำ�เนนิ การตาม มาตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.ความมน่ั คงฯ
1. เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดต้องหาว่าได้กระทำ�ความผิดอันมีผลกระทบต่อความม่ันคง
ภายในราชอาณาจักร ตามที่ ครม.กำ�หนด แต่ผู้นั้นกลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี
หรือพนักงานสอบสวนได้ดำ�เนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่า บุคคลน้ันได้กระทำ�ไปเพราะหลง
ผดิ หรอื รู้เทา่ ไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้บุคคลน้นั กลบั ตวั จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการรกั ษา
ความมนั่ คงภายในราชอาณาจกั ร ใหพ้ นกั งานสอบสวนสง่ ส�ำ นวนรายงานการสอบสวนและความ

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายท่ใี ช ใ้ นจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 19

เหน็ ไปให้ ผอ.รมน.ภาค 4
2. หาก ผอ.รมน.ภาค 4 เหน็ ดว้ ยกบั ความเหน็ ของพนกั งานสอบสวน ตรงกบั เงอ่ื นไขขา้ ง
ตน้ ครบถว้ น จะจดั ท�ำ บนั ทกึ ส�ำ นวนพรอ้ มความเหน็ ไปยงั พนกั งานอยั การ เพอื่ ยนื่ ค�ำ รอ้ งตอ่ ศาล
3. หากผู้ต้องหายินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเง่ือนไขอ่ืน ๆ และศาลเห็น
สมควร ศาลจะสง่ั ให้สง่ ผตู้ อ้ งหานน้ั ให้ ผอ.รมน.ภาค 4 เพ่ือเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไมเ่ กินหก
เดือน รวมท้ังปฏิบัตติ ามเง่อื นไขอ่ืน ๆ ที่ศาลกำ�หนด
4. เมอื่ ผู้ต้องหาไดเ้ ข้ารับการอบรม รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ทีศ่ าลกำ�หนดเสร็จ
สนิ้ แล้ว สิทธินำ�คดอี าญามาฟอ้ งผู้ตอ้ งหาเป็นอนั ระงับไป
กรอบแนวคิดหรือเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการดำ�เนินการให้โอกาส
“อบรมแทนการฟ้อง” สำ�หรับใช้กับผู้กระทำ�ความผิดในคดีอันเก่ียวกับความม่ันคง ตาม
บทบัญญัตมิ าตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.การรกั ษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ดงั นี้
ประการแรก หลักคดิ สำ�คญั ภายใต้บทบญั ญตั มิ าตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.การรกั ษาความ
ม่ันคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 คือการนำ�เอา “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
(Restorative Justice)” มาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาเพอ่ื เป็นทางออกไปสกู่ ารคลค่ี ลายและสลาย
โครงสร้างของกระบวนการต่อสู้ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีใช้ความรุนแรงต่อสู้กับรัฐ โดยเป้า
หมายสงู สดุ ของการด�ำ เนนิ การดงั กลา่ วคอื ทกุ ฝา่ ยในสงั คมไดม้ โี อกาสกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม
อย่างสงบ และย่ังยืน
หลักการของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) หมายถึง
กระบวนการยุติธรรมทางเลือกสำ�หรับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชน ที่ถูกมาใช้เฉพาะ
กรณผี ูก้ ระทำ�ความผดิ ทีก่ ระทำ�การใด ๆ อนั เปน็ เหตใุ ห้เกดิ ความเสียหายตอ่ ผู้อนื่ โดย “หลงผดิ
หรือรเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ”์ และเม่ือพบวา่ ผู้กระทำ�ความผดิ รูส้ ำ�นกึ กลับใจ และตระหนกั ร้ถู งึ ความ
เสียหายอันเกิดจากการกระทำ�ผิดของตนเอง ประกอบกับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นบุคคลในชุมชนท่ีผู้
ตอ้ งหาหรอื ผกู้ ระท�ำ ความผดิ จะตอ้ งกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม ไดม้ กี ารสอื่ สาร สรา้ งความเขา้ ใจ
โดยความรว่ มมอื ของสมาชกิ ในชมุ ชน จนน�ำ ไปสกู่ ารคลค่ี ลายความโกรธแคน้ และใหอ้ ภยั ตอ่ กนั
แลว้ จากนนั้ จะตอ้ งมกี ารปรกึ ษาหารอื เรอื่ งกระบวนการเยยี วยาทง้ั ดา้ นกายภาพและดา้ นจติ ใจแก่
ผเู้ สยี หาย ตลอดจนการเยยี วยาทางสงั คม และรว่ มกนั วางแผนในชมุ ชนเพอื่ ใหท้ กุ ฝา่ ยไดส้ ามารถ
อยรู่ ว่ มกันไดอ้ ย่างปกตสิ ขุ เป็นประเดน็ ส�ำ คัญ
ประการทสี่ อง บทบญั ญตั มิ าตรา 21 แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารรกั ษาความมนั่ คงแหง่ ราช
อาณาจกั ร พ.ศ. 2551 ไดก้ ำ�หนด องคป์ ระกอบในการพิจารณาผตู้ ้องหาทจ่ี ะเข้าสกู่ ระบวนการ
อบรมแทนการฟอ้ งไว้ 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่

20 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายทใ่ี ช้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้

1) ผู้ต้องหาตอ้ งกระทำ�ความผดิ ใน “คดีอาญาอนั มีผลกระทบต่อความมน่ั คง” ตาม
ฐานความผิดที่คณะรฐั มนตรีประกาศเท่านน้ั ซ่งึ หมายถึงวา่ ไม่ใช่ใครกไ็ ดท้ ี่กระทำ�ความผิดแล้ว
จะได้รบั โอกาสอบรมแทนการฟอ้ งตามมาตรา 21 ดงั กล่าว เพราะผ้กู ระท�ำ ผดิ ในคดีอาญาทั่วไป
ย่อมต่างกนั ที่กระบวนการคดิ และเจตนารมณ์ท่ีแทจ้ ริงของการกระท�ำ คดีอาญาท่วั ไปผ้กู ระทำ�
ความผดิ จะมเี จตนากระท�ำ การเพอ่ื ผลประโยชนข์ องตวั เองเปน็ หลกั เชน่ การแกแ้ คน้ การแสวงหา
ประโยชน์จากทรัพย์สิน หรือการมุ่งทำ�ลายชีวิตร่างกายผู้อื่นเพื่อตอบสนองอารมณ์ และความ
ตอ้ งการของตวั เอง แตใ่ นกรณผี กู้ ระท�ำ ความผดิ ในคดคี วามมนั่ คง จชต.นน้ั พบวา่ ผกู้ ระท�ำ ความ
ผิดทห่ี ลงผดิ นัน้ กระท�ำ การใด ๆ ลงไปเพราะเข้าใจวา่ เป็นการกระท�ำ ทถ่ี ูกตอ้ งตามหลักศาสนา
(การญิฮาด) หรอื กระท�ำ เพอื่ ปกป้องชาติ และแผ่นดินเกดิ ของตนเอง เจตนาจงึ ไม่ใชก่ ระทำ�เพอ่ื
ตนเอง แตเ่ ป็นการมุง่ กระท�ำ เพอื่ ผู้อืน่ และส่วนรวม ท้ังนี้ อาจเปน็ เพราะบคุ คลเหล่านนั้ ถูกปลกู
ฝังแนวคิด และให้ข้อมูลหรือหลักการทางศาสนาท่ีผิดมาต้ังแต่เป็นเด็ก โดยไม่มีโอกาส หรือมี
บุคคลใดที่มีเจตนาดีไปปรับเปลี่ยนความคิดเขาในขณะนั้น ซึ่งหลักฐานท่ีช้ีชัดในกรณีนี้เราจะ
พบวา่ ผ้กู ระทำ�ความผดิ ในคดีความมัน่ คงทุกคนจะเป็นคนยากจน เคร่งศาสนา และอยูใ่ นพืน้ ท่ี
หา่ งไกล ไมม่ ีโอกาสได้รับขอ้ มลู ขา่ วทางอ่นื เลย นอกจากครผู ้สู อนศาสนาหรอื อุสตาชบางคนผู้มี
เจตนาบดิ เบอื นแนวคดิ และใชศ้ าสนาเปน็ เครอื่ งมอื ไวส้ งั่ ใชใ้ หก้ ระท�ำ ในสง่ิ ทช่ี ว่ั รา้ ยแทนตน สว่ น
ผลประโยชนต์ นเองจะเปน็ ผคู้ อยเกบ็ เกยี่ วในภายหลงั ดงั นน้ั ผหู้ ลงผดิ จงึ เปน็ เพยี งเครอื่ งมอื ของ
คนบางคนหลอกใชเ้ ทา่ น้ัน
2) ผู้ต้องหาตอ้ ง กลบั ใจเข้ามอบตัว นัน่ คอื การแสดงเจตนาอยา่ งชัดแจ้งวา่ ตอ้ งการยุติ
การตอ่ สดู้ ว้ ยความรนุ แรง (ไมก่ อ่ เหตรุ า้ ยอกี ) หรอื พนกั งานสอบสวนพบวา่ ผตู้ อ้ งหากระท�ำ ความ
ผิดเพราะหลงผดิ หรือรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์ และ
3) การท่ีจะให้โอกาสแก่ผู้ต้องหาคนใดน้ัน จะต้องคำ�นึงถึง “ประโยชน์ต่อความ
มน่ั คง” เปน็ หลกั กลา่ วคอื การทผ่ี ตู้ อ้ งหาคนนนั้ จะไดร้ บั โอกาสใชม้ าตรการอบรมแทนการฟอ้ ง
ตามมาตรา 21 นัน้ ผลทีจ่ ะเกดิ ตามมาจะต้องเป็นประโยชนต์ อ่ การแก้ไขปญั หาความมั่นคงของ
ชาตเิ ทา่ นน้ั เชน่ ผตู้ อ้ งหาตอ้ งใหค้ วามรว่ มมอื ในการใหข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั แนวคดิ และวธิ กี ารตอ่ สอู้ นั
เป็น “ทมี่ า” ของการหลงผิด หรอื การใหข้ อ้ มลู อนั เปน็ ประโยชน์ตอ่ การกำ�หนดนโยบายในการ
แกไ้ ขปัญหาทีถ่ ูกตอ้ งแกร่ ฐั รวมทั้งการได้รบั โอกาสของผูต้ ้องหานั้น จะเปน็ ตัวอยา่ งให้บคุ คลอื่น
ที่หลงผิดและถูกหลอกใช้ได้หันกลับมาทบทวน แล้วกลับตัวกลับใจ เลิกคิดต่อสู้กับรัฐด้วย อัน
เป็นการส่งสัญญาณการแก้ไขปัญหาระยะยาวในแนวทางการสร้างความสมานฉันท์และสร้าง
สภาวะแวดล้อมที่เอ้ือตอ่ การพดู คุยดว้ ยอกี ชอ่ งทางหนงึ่
ประการทสี่ าม บคุ คลผทู้ จ่ี ะไดร้ บั โอกาสจากมาตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.การรกั ษาความมนั่ คง
ภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551 นนั้ ไม่ใชเ่ รื่องงา่ ย และไมใ่ ชว่ า่ ผู้ต้องหาคนใดก็สามารถได้รบั

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 21

โอกาสน้นั ได้เสมอไป เพราะการท่จี ะพิจารณาว่า ผใู้ ดหลงผิด ผ้ใู ดรูเ้ ท่าไมถ่ งึ การณ์ หรอื ผใู้ ดจะ
ใหโ้ อกาสแลว้ เปน็ ประโยชนก์ บั การแกไ้ ขปญั หาความมน่ั คงในภาพรวม ไดจ้ รงิ หรอื ไมเ่ พยี งใดนน้ั
จะตอ้ งผา่ นการกลน่ั กรองอยา่ งรอบคอบ รอบดา้ นในหลายมติ ิ เพอ่ื ปอ้ งกนั อาชญากรตวั จรงิ หรอื
อาชญากรโดยสนั ดานมาฟอกตวั หรอื แอบแฝงเขา้ มาใชป้ ระโยชนจ์ ากมาตรการดงั กลา่ ว โดยขน้ั
ตอนแรกตอ้ งผา่ นการพจิ ารณาจากพนกั งานสอบสวนเจา้ ของส�ำ นวนกอ่ น จากนน้ั จงึ ใหพ้ นกั งาน
สอบสวนส่งสำ�นวนพร้อมความเห็นให้ผู้อำ�นวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซ่ึง
ตามกฎหมายคอื นายกรฐั มนตรี จากนนั้ หากผอู้ �ำ นวยการรกั ษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร
เห็นชอบตามท่ีพนักงานสอบสวนเสนอความเห็นมาแล้ว จะต้องส่งสำ�นวนพร้อมความเห็นให้
พนักงานอัยการพิจารณาย่ืนคำ�ร้องต่อศาล ซ่ึงศาลจะพิจารณาอีกชั้นหน่ึงว่าเห็นสมควรท่ีจะให้
ผตู้ อ้ งหาเขา้ รบั การอบรมแทนการฟอ้ งหรอื ไม่ และทสี่ �ำ คญั ในชนั้ การพจิ ารณาของศาลน้ี ศาลจะ
ใหค้ วามสำ�คัญกับความเห็นของผูเ้ สยี หาย หรอื ผู้ท่ีไดร้ บั ผลกระทบจากการกระท�ำ ของผตู้ ้องหา
เป็นอย่างมาก เพราะในท่ีสุดแล้ว เม่อื ผา่ นกระบวนอบรมแทนการฟ้องซงึ่ อบรมไมเ่ กนิ หกเดอื น
นน้ั ผตู้ อ้ งหาและผเู้ สยี หายอาจจะตอ้ งกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมเดยี วกนั การใหอ้ ภยั การเขา้ ใจ
และเห็นใจซ่งึ กันและกันจึงเป็นสิ่งสำ�คญั ทส่ี ุด

ภาพที ่ 7 ขนั้ ตอนการดำ�เนนิ การตามมาตรา 21

22 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายท่ีใช้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้

4. พระราชบญั ญตั กิ ารบรหิ ารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553
สาระส�ำ คญั ท่ีควรรู้
ประการแรก กฎหมายฉบบั นีถ้ กู เรียกวา่ พ.ร.บ.ศอ.บต. เพราะมีบทบัญญัติอันเป็นต้น
ก�ำ เนดิ ศอ.บต. หรอื ศนู ยอ์ �ำ นวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ “องคก์ รกลาง”
ในการบริหารราชการท้ังหลายทง้ั ปวงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 5 จังหวดั ได้แก่ จังหวัด
นราธวิ าส จังหวดั ปตั ตานี จังหวัดยะลา จงั หวดั สตลู และจังหวัดสงขลา (ทกุ อ�ำ เภอ) โดยใหม้ ี
อ�ำ นาจหน้าที่ 16 ขอ้ ดังตอ่ ไปนี้
มาตรา 8 ใหม้ ี ศนู ยอ์ ํานวยการบรหิ ารจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เรยี กโดยยอ่ วา่ “ศอ.บต.”
เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะที่ไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง มีฐานะ
เปน็ นติ บิ คุ คล และอยใู่ นบงั คบั บญั ชาของนายกรฐั มนตรี มอี ํานาจหนา้ ทป่ี ฏบิ ตั กิ ารตามพระราช
บัญญัตินี้ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
มาตรา 9 ให้ ศอ.บต. มี อํานาจหนา้ ที่ ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ดังตอ่ ไปนี้
(1) จดั ทํายทุ ธศาสตรด์ า้ นการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายการ
บริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนา
จงั หวดั ชายแดนภาคใตพ้ ิจารณาให้ความเหน็ ก่อนเสนอ กพต. ใหค้ วามเห็นชอบ
(2) จัดทําแผนปฏิบัติการ ที่จะดําเนินการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปตาม
ยทุ ธศาสตรด์ า้ นการพัฒนาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
(3) เสนอแนะและบูรณาการแผนงาน และโครงการในด้านการพัฒนาของกระทรวง
ทบวง กรม และหน่วยงานอ่ืนของรฐั ท่ดี ําเนินการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ใหเ้ ป็นไปตามแผน
ปฏบิ ัตกิ ารตาม (2)
(4) ดําเนินการตามแผนงานและโครงการต่อเน่ืองจากแผนงานและโครงการท่ีหน่วย
งานของรัฐไม่อาจดําเนินการต่อไปได้ ซ่ึงหากไม่ดําเนินการจะส่งผลเสียต่อการแก้ไขปัญหาตาม
ยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาจังหวดั ชายแดนภาคใต้
(5) กํากบั เรง่ รดั และตดิ ตามการปฏบิ ตั ขิ องหนว่ ยงานของรฐั ฝา่ ยพลเรอื นใหเ้ ปน็ ไปตาม
แผนปฏบิ ตั กิ ารตาม (2)
(6) คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและอํานวยความเปน็ ธรรมแกป่ ระชาชน โดยการรบั เรอ่ื งราว
รอ้ งทกุ ข์ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และประสานการปฏบิ ตั กิ บั หนว่ ยงานของรฐั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง รวมทง้ั ตรวจ
สอบ และแก้ไขปญั หาพฤติกรรมทไ่ี ม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 23

(7) ให้ความช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับความเสียหายและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ
กระทําของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั อนั สบื เนอ่ื งมาจากเหตกุ ารณค์ วามไมส่ งบในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ตามระเบยี บที่ กพต. กําหนด ท้งั นี้ ไมต่ ดั สิทธิประโยชน์ทีผ่ ู้น้นั ได้รับตามกฎหมายอ่นื
(8) เสนอแนะมาตรการสรา้ งขวญั และกําลงั ใจสําหรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในจงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ ตอ่ คณะรัฐมนตรี
(9) เสนอแนะหรือแนะนําต่อหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับลักษณะอันพึงประสงค์ของเจ้า
หน้าที่ของรัฐซึ่งจะสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าท่ีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งดําเนินการให้ มีการ
พัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนซ่ึงปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบูรณาการ
การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องหนว่ ยงานของรฐั ฝา่ ยพลเรอื นเพอ่ื ใหป้ ฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและ
สอดคลอ้ งกบั สภาพทางสงั คม เศรษฐกจิ และวิถชี วี ติ ของประชาชน
(10) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้
(11) ส่งเสริม สนับสนุน อํานวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาแก่คนไทยในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ทเี่ ดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
(12) ส่งเสริมและสนบั สนนุ การจดั การการศกึ ษาในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
(13) ประชาสัมพันธน์ โยบาย และการดําเนนิ งานของ ศอ.บต. และรฐั บาล รวมทง้ั เผย
แพร่ศิลปวัฒนธรรม จารตี ประเพณี ภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ เพ่ือสรา้ งความเข้าใจอันดแี ก่คนไทยทั้ง
ใน และต่างประเทศ
(14) รว่ มมอื กบั สว่ นราชการทเี่ กยี่ วขอ้ งในการเสรมิ สรา้ งความสมั พนั ธ์ ความเขา้ ใจอนั ดี
และประสานงานในโครงการ ความรว่ มมอื ความชว่ ยเหลอื และการแกไ้ ขปัญหาในพ้ืนท่ีจังหวัด
ชายแดนภาคใต้กับต่างประเทศ ท้ังน้ี ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาล หรือมติคณะรัฐมนตรี
รวมทงั้ แนวทาง หรอื นโยบายท่กี ระทรวงการตา่ งประเทศไดก้ ําหนดไว้
(15) สง่ เสรมิ แนวคดิ ดา้ นพหวุ ฒั นธรรมในฐานะทเ่ี ปน็ สว่ นสําคญั ของวฒั นธรรมแหง่ ชาติ
รวมถึงการลดการผูกขาดทางวัฒนธรรมหรือการขจัดการเลือกปฏิบัติทางวัฒนธรรมโดยไม่เป็น
ธรรมต่อบุคคล ทั้งน้ี เท่าทไ่ี ม่ขดั ต่อบทบญั ญตั แิ หง่ รฐั ธรรมนูญและกฎหมาย
(16) ปฏบิ ตั ิการอ่นื ตามที่กฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจหนา้ ท่ีของ ศอ.บต. หรอื ตามท่ี
คณะรฐั มนตรีหรอื นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา 14 ใหม้ ีเลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มฐี านะเทยี บ
เทา่ ปลดั กระทรวง รบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ อง ศอ.บต. และเปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาขา้ ราชการ
พนกั งาน และลกู จา้ งซง่ึ ปฏบิ ตั งิ านใน ศอ.บต. ขนึ้ ตรงตอ่ นายกรฐั มนตรี โดยจะใหม้ รี องเลขาธกิ าร

24 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ตามจํานวน ทน่ี ายกรฐั มนตรกี ําหนดเปน็ ผชู้ ว่ ยสงั่ และปฏบิ ตั งิ านตามทเี่ ลขาธกิ ารมอบหมายกไ็ ด้
ใหเ้ ลขาธิการและรองเลขาธิการเป็นขา้ ราชการพลเรือนสามญั
ประการท่ี 2 ทม่ี าของ กพต.หรอื ทเี่ รยี กวา่ “ครม.จชต.” มอี �ำ นาจหนา้ ทก่ี �ำ หนดนโยบาย
และยทุ ธศาสตร์ ตลอดจนเห็นชอบแผนงาน โครงการ และงบประมาณดา้ นการพัฒนาจงั หวัด
ชายแดนภาคใตท้ ้งั หมด โดยมเี ลขาธกิ าร ศอ.บต. เป็นเลขานุการ
มาตรา 6 ใหม้ คี ณะกรรมการยุทธศาสตร์ดา้ นการพฒั นาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียก
โดยย่อว่า “กพต.” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีคนหน่ึงซึ่ง
นายกรฐั มนตรมี อบหมาย เปน็ รองประธาน รฐั มนตรปี ระจําสํานกั นายกรฐั มนตรคี นหนง่ึ ซง่ึ นายก
รฐั มนตรมี อบหมาย รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหม รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการคลงั รฐั มนตรี
ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา รัฐมนตรี
วา่ การกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทย รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงแรงงาน รฐั มนตรี
ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
สาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
คนหนงึ่ ซึ่งรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย เลขาธกิ ารคณะกรรมการพฒั นาการ
เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ เลขาธกิ ารสภาความมน่ั คงแหง่ ชาติ ผอู้ ํานวยการสํานกั งบประมาณ
เลขาธิการกองอํานวยการรกั ษาความมัน่ คงภายในราชอาณาจกั ร ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั ในจังหวดั
ชายแดนภาคใต้ ประธานสภาทปี่ รึกษาการบรหิ ารและการพฒั นาจังหวดั ชายแดนภาคใต้ และผู้
แทนภาคประชาชนในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ จงั หวดั ละหนงึ่ คน ซงึ่ ไดร้ บั การคดั เลอื กโดยสภาที่
ปรึกษาการบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เป็นกรรมการ
ใหเ้ ลขาธกิ ารเปน็ กรรมการและเลขานกุ าร และรองเลขาธกิ ารคนหนงึ่ ซง่ึ เลขาธกิ ารมอบ
หมาย เป็นกรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร
มาตรา 7 ให้ กพต. มีอํานาจหน้าที่ ดงั ต่อไปน้ี
(1) พิจารณาให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่
ศอ.บต. เสนอ
(2) พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการ และการจัดต้ังงบประมาณเพื่อ

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใี่ ช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 25

สนับสนนุ การพฒั นาจังหวดั ชายแดนภาคใต้
(3) พิจารณาให้ความเห็นชอบในการกําหนดเขตพัฒนาพิเศษและกรอบแนวทางการ
บรหิ าร และการพัฒนาเขตพฒั นาพเิ ศษที่ ศอ.บต. เสนอ
(4) พิจารณาเสนอแนะหน่วยงานของรัฐให้จัดทําแผนพัฒนา แผนงาน และโครงการ
พรอ้ มด้วยงบประมาณในเขตจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
(5) กํากบั เรง่ รดั ตดิ ตาม แกไ้ ขกฎระเบยี บ และลดขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ เพอ่ื ใหก้ าร
พฒั นาจังหวัดชายแดนภาคใตเ้ ปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ และประสทิ ธผิ ล
(6) เสนอแนะแนวทางการแกไ้ ขปัญหาและอุปสรรคในเขตจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ต่อ
คณะรฐั มนตรี
(7) แตง่ ตงั้ คณะอนกุ รรมการหรอื คณะทํางานเพอ่ื ชว่ ยเหลอื หรอื ปฏบิ ตั งิ านไดต้ ามความ
เหมาะสม
(8) ปฏบิ ตั กิ ารอน่ื ตามทก่ี ฎหมายกําหนดใหเ้ ปน็ อํานาจหนา้ ทขี่ อง กพต. หรอื ตามที่ คณะ
รัฐมนตรหี รือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ประการที่ 3 บทบัญญัติอันเป็นที่มาของ “สภาที่ปรึกษา” ซึ่งเป็นองค์การการมีส่วน
รว่ มภาคประชาชน
มาตรา 19 ใหม้ สี ภาทป่ี รกึ ษาการบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ประกอบ
ด้วย สมาชกิ สภาท่ปี รึกษาการบริหารและการพฒั นาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ในจงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ ซึง่ เป็นผู้ทรงคณุ วฒุ ทิ ีน่ ายกรฐั มนตรีแต่งตง้ั จํานวนไมเ่ กินสสี่ ิบเก้าคนดังตอ่ ไปน้ี
(1) ผแู้ ทนองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นจงั หวัดละหนึ่งคน
(2) ผแู้ ทนกํานนั และผ้ใู หญบ่ า้ นจงั หวดั ละหนึ่งคน
(3) ผแู้ ทนกรรมการอสิ ลามประจ�ำ จงั หวดั และอหิ มา่ มประจํามสั ยดิ จงั หวดั ละหนงึ่ คน ผู้
แทนเจา้ อาวาสในพระพุทธศาสนาจงั หวัดละหนึ่งคน และผแู้ ทนศาสนาอ่นื จํานวนหนง่ึ คน
(4) ผู้แทนผู้ซ่ึงมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสังคมภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือวิถีชีวิต
ของประชาชนในพืน้ ทจ่ี งั หวัดละหนง่ึ คน
(5) ผู้แทนผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
จงั หวดั ละหนงึ่ คน ผแู้ ทนสถาบนั ศกึ ษาปอเนาะตามระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ ารวา่ ดว้ ยสถาบนั
ศกึ ษาปอเนาะ จํานวนหน่ึงคน และผูแ้ ทนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาจํานวนหนงึ่ คน
(6) ผูแ้ ทนกลุ่มสตรีจังหวัดละหนงึ่ คน
(7) ผู้แทนหอการค้าจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดซึ่งมีความรู้ ความเข้าใจเป็น
อย่างดี ในด้านเศรษฐกิจ พาณชิ ย์ อุตสาหกรรม แรงงาน หรือเกษตรกรรมจังหวัดละหน่งึ คน

26 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายทใี่ ช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

(8) ผูแ้ ทนสอ่ื มวลชนในกิจการหนังสือพิมพ์ กจิ การกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์
จํานวนหนึ่งคน
(9) ผทู้ รงคณุ วฒุ อิ น่ื ซงึ่ มใิ ชข่ า้ ราชการหรอื ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในหนว่ ยงานของรฐั จํานวนไมเ่ กนิ
หา้ คน
การแต่งตง้ั สมาชิกตาม (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) และ (8) ให้แต่งตง้ั จากบุคคล ซง่ึ ได้
มาจากการเลอื กกนั เองหรอื ในแตล่ ะกลมุ่ อาจเลอื กบคุ คลอน่ื ทเี่ หน็ สมควรเพอ่ื เสนอแตง่ ตง้ั เปน็ ผู้
แทนสมาชิกในประเภทของตนได้
มาตรา 23 สภาท่ีปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอํานาจ
หนา้ ที่ ดังตอ่ ไปน้ี
(1) ให้ความเห็นในนโยบายการบริหาร และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ท่ีสํา
นกั งานสภาความมนั่ คงแหง่ ชาตจิ ดั ทํา หรอื ปรบั ปรงุ เพอ่ื เสนอสภาความมนั่ คงแหง่ ชาตพิ จิ ารณา
(2) ใหค้ ําปรกึ ษา เสนอแนะ รว่ มมือ และประสานงานกบั ศอ.บต. ในการปฏิบัตกิ าร
ตามพระราชบญั ญตั ิ
(3) ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติน้ีของ ศอ.บต. แล้ว
รายงานตอ่ เลขาธกิ ารและนายกรัฐมนตรเี พอื่ ทราบ
(4) ให้ความเห็นในเร่ืองท่ีนายกรัฐมนตรี หรือเลขาธิการเห็นว่าสมควรได้รับฟังความ
คิดเห็นของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประกอบการ
พจิ ารณาในการบรหิ ารการพฒั นา และการแก้ไขปญั หาในจงั หวัดชายแดนภาคใต้
(5) แสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ มูลขา่ วสาร หรอื ขอ้ คิดเห็นจากแหลง่ ต่าง ๆ เพ่อื ใชป้ ระกอบ
การดําเนนิ งานตามอํานาจหนา้ ที่
(6) เสนอความเห็นต่อเลขาธิการเพื่อประกอบการพิจารณาในการส่ังให้เจ้าหน้าที่ของ
รัฐฝา่ ยพลเรอื นออกไปจากจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ตามมาตรา 12 และหากมกี รณีฉกุ เฉินหรอื
มีเหตุจําเป็นเร่งด่วน ประธานสภาท่ีปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
จะเสนอความเห็นไปก่อนก็ได้ แล้วรายงานให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัด
ชายแดนภาคใตท้ ราบโดยเรว็
(7) พจิ ารณาเรอื่ งรอ้ งเรยี นของประชาชนทเี่ กย่ี วกบั ปญั หาความไมเ่ ปน็ ธรรม หรอื ไดร้ บั
ความเดอื ดรอ้ นอนั เนอ่ื งมาจากการปฏบิ ตั หิ รอื ละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยมชิ อบ หรอื การละเลย
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ เพ่ือการน้ีอาจเชิญเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีเกี่ยวข้องมาให้
ขอ้ เทจ็ จริง หรือแสดงความคดิ เห็นหรือให้จัดสง่ เอกสารหรือขอ้ มูลเพื่อประกอบการพจิ ารณาได้
ตามความจําเปน็
(8) แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทํางานเพ่ือช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานได้ตามความ

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 27

เหมาะสม
(9) ออกระเบียบเกี่ยวกับการประชุมและระเบียบอื่นท่ีจําเป็นในการปฏิบัติงานตาม
อํานาจหนา้ ท่ี
ประการที่ 4 บทบัญญัตอิ นั เป็นท่มี าของยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ซึ่งทุกหนว่ ยงานราชการต้องน�ำ ไปปฏิบตั ิ
มาตรา 4 ใหส้ ํานกั งานสภาความมนั่ คงแหง่ ชาติ จดั ทํานโยบายการบรหิ ารและการพฒั นา
จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เสนอตอ่ สภาความมน่ั คงแหง่ ชาตแิ ละคณะรฐั มนตรเี พอ่ื พจิ ารณาใหค้ วาม
เห็นชอบ
นโยบายการบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตท้ คี่ ณะรฐั มนตรใี หค้ วามเหน็
ชอบตามวรรคหนงึ่ แลว้ ใหค้ ณะรฐั มนตรนี ําเสนอตอ่ รฐั สภาเพอ่ื ทราบ แลว้ ใหห้ นว่ ยงานของรฐั ใช้
เปน็ กรอบแนวทางในการปฏิบตั ิอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง
ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพ่ือพิจารณาทบทวนและ
ปรบั ปรงุ นโยบาย การบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตท้ กุ รอบระยะเวลาสามปหี รอื
ในกรณที ่มี ีความจําเปน็ คณะรัฐมนตรีจะกําหนดระยะเวลาให้เร็วกวา่ น้นั กไ็ ด้
นโยบายการบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตต้ ามวรรคหนง่ึ อยา่ งนอ้ ยตอ้ ง
มีสาระสําคัญครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาและด้านความม่ันคงและเพื่อให้ได้นโยบายท่ีมาจาก
ความต้องการและสอดคลอ้ งกบั วิถชี วี ิตของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม อตั ลักษณ์ ชาตพิ ันธุ์
และประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ในพน้ื ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ และแนวนโยบายพน้ื ฐานแหง่ รฐั ในการ
จดั ทํานโยบายตามวรรคหนง่ึ และการทบทวนและปรบั ปรุงตามวรรคสาม ตอ้ งนําความคิดเหน็
ของประชาชน ทุกภาคส่วนไปใชใ้ นการจดั ทําการทบทวนและปรบั ปรงุ ดว้ ย
นโยบายการบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตต้ ามวรรคสี่ ทสี่ ํานกั งานสภา
ความมน่ั คงแหง่ ชาติจดั ทําหรอื ปรบั ปรงุ ต้องให้สภาท่ปี รกึ ษาการบรหิ ารและการพฒั นาจังหวดั
ชายแดนภาคใต้พิจารณาให้ความเห็น และสภาความม่ันคงแห่งชาติต้องนําความเห็นดังกล่าว
มาประกอบการพิจารณาจดั ทํา หรอื ปรับปรงุ ด้วย
มาตรา 9 ให้ ศอ.บต. มอี ํานาจหน้าที่ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ดังต่อไปน้ี
(1) จัดทํายุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับนโยบาย
การบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ โดยใหส้ ภาทปี่ รกึ ษาการบรหิ ารและการพฒั นา
จงั หวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาใหค้ วามเห็นก่อนเสนอ กพต. ให้ความเหน็ ชอบ
ประการที่ 5 บทบญั ญตั ิอันเป็นทมี่ าของระเบียบเยยี วยาผถู้ กู กระท�ำ จากเจ้าหนา้ ท่รี ัฐ
มาตรา 9 ให้ ศอ.บต. มอี ํานาจหน้าที่ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ดังต่อไปนี้

28 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายทใ่ี ช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

(7) ให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ท่ีได้รับผลกระทบจากการก
ระทําของเจ้าหน้าท่ีของรัฐอันสืบเน่ืองมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ตามระเบยี บท่ี กพต. กําหนด ทั้งนี้ ไม่ตดั สิทธิประโยชนท์ ี่ผ้นู ั้นไดร้ บั ตามกฎหมายอ่ืน
ประการที่ 6 บทบญั ญัตอิ นั เปน็ ที่มาของ “ขน้ั พเิ ศษ” ศอ.บต.
มาตรา 15 ใหเ้ ลขาธกิ ารมอี าํ นาจอนมุ ตั ใิ หเ้ ลอ่ื นเงนิ เดอื นประจาํ ปเี ปน็ กรณพี เิ ศษสาํ หรบั
เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ฝา่ ยพลเรอื นซง่ึ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ นอกเหนอื จากการอนมุ ตั ิ
ของผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าท่ีของรัฐดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์และเง่ือนไขท่ีคณะรัฐมนตรี
กําหนด
ประการท่ี 7 ขา้ ราชการหรอื เจา้ หน้าที่รัฐทีม่ ี “พฤติการณ์ไมเ่ หมาะสม” อาจถูกค�ำ สง่ั
ศอ.บต.ให้ออกนอกพนื้ ที่ จชต.ภายใน 7 วัน
มาตรา 12 ในกรณที ขี่ อ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏแกเ่ ลขาธกิ ารหรอื โดยการเสนอของสภาทป่ี รกึ ษา
การบรหิ ารและการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตว้ า่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ฝา่ ยพลเรอื นผใู้ ดมพี ฤตกิ รรม
ไม่เหมาะสมจนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือความไม่สงบ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือกระทําการอันอาจเป็นภัยต่อความม่ันคงของรัฐหรือความสงบ
เรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ให้เลขาธิการมีอํานาจสั่งให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้น้ันออก
จากพน้ื ทจ่ี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ และใหแ้ จง้ หนว่ ยงานของรฐั ทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั สงั กดั ทราบ
พร้อมด้วยเหตุผล
เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ซง่ึ ไดร้ บั คําสงั่ ใหอ้ อกจากพน้ื ทตี่ ามวรรคหนงึ่ ใหไ้ ปรายงานตวั ยงั หนว่ ย
งานของรัฐท่ีตนสังกดั ภายในระยะเวลาที่กําหนด แตต่ ้องไม่เกินเจด็ วันนับแตว่ นั ที่รับทราบคําส่ัง
ในการนี้ ใหห้ นว่ ยงานของรฐั เจ้าสังกดั ดังกลา่ วดําเนนิ การออกคําสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผนู้ ั้นพ้น
จากตําแหน่งหน้าท่ีหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าท่ีในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว และในกรณี
ทม่ี มี ลู ความผิดทางวนิ ัยใหผ้ ู้บงั คับบัญชาซง่ึ มีอํานาจส่ังบรรจุของเจ้าหนา้ ที่ของรัฐผ้นู น้ั พิจารณา
ดําเนนิ การตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการนนั้ ตอ่ ไป และเมอื่ ดําเนนิ การไดผ้ ลประการใดแลว้ ใหแ้ จง้ ให้
เลขาธกิ ารทราบภายในสบิ หา้ วนั นบั แตว่ นั ทไี่ ดม้ คี ําสงั่ ลงโทษทางวนิ ยั หรอื วนั ทไี่ ดม้ คี ําวนิ จิ ฉยั วา่
ไมม่ คี วามผดิ ทางวินยั
เจา้ หน้าท่ขี องรฐั ซึง่ ไดร้ บั คําสง่ั ให้ออกจากพน้ื ท่ตี ามวรรคหนึ่ง มสี ทิ ธิอทุ ธรณ์คําสงั่ ของ
เลขาธิการต่อนายกรัฐมนตรี ซึง่ ตอ้ งกระทําภายในสามสบิ วนั นบั แต่วันท่ีรับทราบคําสัง่
การสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐออกจากพื้นท่ีและการกลับเข้ามาดํารงตําแหน่งหน้าที่หรือ
ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 29

เง่อื นไข และระยะเวลา ท่ี กพต. ประกาศกําหนด
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซ่ึงไม่ใช่เจ้าหน้าท่ีของรัฐฝ่ายพลเรือนหรือซึ่งเป็นผู้บริหาร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้ใดมีพฤติกรรมหรือกระทําการตามวรรคหน่ึง ให้เลขาธิการส่ง
รายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้มีอํานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ังของเจ้าหน้าท่ี
ของรฐั ผนู้ นั้ หรอื ผทู้ มี่ อี ํานาจหนา้ ทกี่ ํากบั ดแู ล แลว้ แตก่ รณี เพอื่ พจิ ารณาดําเนนิ การตามกฎหมาย
วา่ ดว้ ยการน้นั ภายในสามวนั นับแต่วนั ทไี่ ดร้ ับรายงาน
5. พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส
ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489
สาระส�ำ คัญของกฎหมายทผ่ี ู้ปฏบิ ัติงานใน จชต. ต้องเขา้ ใจ
ประการแรก กฎหมายดังกล่าวมีสถานะเป็นพระราชบัญญัติ เทียบเท่ากฎหมายแพ่ง
และอาญา ประกาศใชม้ าต้ังแต่ วนั ท่ี 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 บทนำ�ของกฎหมายกำ�หนด
ขอบเขต พน้ื ทก่ี ารใชเ้ พยี ง 4 จงั หวดั ชายแดนภาคใตเ้ ทา่ นนั้ จ�ำ กดั ประเภทคดเี ฉพาะคดแี พง่ เกยี่ ว
กบั ครอบครวั และมรดก ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั คดอี าญา และอนญุ าตใหใ้ ชเ้ ฉพาะคคู่ วามทนี่ บั ถอื ศาสนา
อสิ ลามทง้ั สองฝ่าย ไมผ่ ูกพันคูก่ รณีทไี่ มไ่ ดน้ ับถือศาสนาอิสลาม
“...โดยทเ่ี ปน็ การสมควรใหใ้ ชก้ ฎหมายอสิ ลามในการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าด คดแี พง่ เกยี่ วดว้ ย
เรอื่ งครอบครัวและมรดกอสิ ลาม ศาสนกิ ของศาลช้ันตน้ ในจังหวดั ปตั ตานี นราธิวาส ยะลา
และสตลู ซง่ึ อสิ ลามศาสนกิ เปน็ ทง้ั โจทกจ์ �ำ เลยหรอื เปน็ ผเู้ สนอค�ำ ขอในคดที ไี่ มม่ ขี อ้ พพิ าท....”
ประการที่ 2 กฎหมายฉบบั นบ้ี ัญญัติใหก้ รณีคู่ความหรอื ค่พู ิพาทหรอื เจ้ามรดกท่ีนับถือ
ศาสนาอิสลาม เป็นผู้เสนอคำ�ขอในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท การวินิจฉัยช้ีขาด ให้ใช้หลักกฎหมาย
อสิ ลามว่าดว้ ยครอบครวั และมรดก แทนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“มาตรา 3 ในการวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดคดแี พง่ เกย่ี วดว้ ยเรอื่ งครอบครวั และมรดกอสิ ลามศาสนกิ
ของศาลชนั้ ตน้ ในจงั หวดั ปตั ตานี นราธวิ าส ยะลา และสตลู ซง่ึ อสิ ลามศาสนกิ เปน็ ทงั้ โจทกจ์ �ำ เลย
หรือเป็นผู้เสนอคำ�ขอในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก
บังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการน้ัน เว้นแต่บทบัญญัติ
วา่ ดว้ ยอายุความมรดก ท้งั นี้ ไมว่ ่ามูลคดเี กิดข้ึนกอ่ นหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตนิ ”้ี
ประการที่ 3 กระบวนการพิจารณาคดีในศาลช้ันต้น กำ�หนดให้มีดะโต๊ะยุติธรรม ซ่ึง
หมายถงึ ผพู้ พิ ากษาผมู้ คี วามรคู้ วามเชย่ี วชาญดา้ นกฎหมายอสิ ลาม 1 นาย นง่ั พจิ ารณาคดี พรอ้ ม
กบั ผูพ้ ิพากษาปกติ 2 นาย ทำ�หนา้ ทว่ี ินิจฉัยขอ้ เทจ็ จริงในคดี โดยจ�ำ กัดอำ�นาจหนา้ ท่ใี ห้ดะโต๊ะ

30 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

ยตุ ธิ รรมวินจิ ฉยั ชี้ขาดเฉพาะข้อกฎหมายอสิ ลามเทา่ นนั้ และกฎหมายฉบบั นี้ ไม่มีบทบญั ญตั ิวา่
ด้วยการอุทธรณ์ หรือฎกี า
“มาตรา 4 การพิจารณาคดใี นศาลชน้ั ต้นตามความในมาตรา 3 ให้ดะโต๊ะยตุ ิธรรมหนึ่ง
นาย นงั่ พจิ ารณา “พรอ้ มดว้ ยผพู้ พิ ากษา” ใหด้ ะโตะ๊ ยตุ ธิ รรมมอี �ำ นาจหนา้ ทใี่ นการวนิ จิ ฉยั ชขี้ าด
ข้อกฎหมายอสิ ลาม และลงลายมือชอื่ ในค�ำ พพิ ากษาทพ่ี ิพากษาตามคำ�วินิจฉยั ช้ีขาดนั้นด้วย ค�ำ
วินิจฉยั ชี้ขาดของดะโต๊ะยตุ ธิ รรมในขอ้ กฎหมายอสิ ลาม ให้เปน็ อันเด็ดขาด ในคดนี ัน้ ...”
ประการท่ี 4 กฎหมายฉบับนีไ้ ม่มบี ทบญั ญตั ิใด ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั หลกั กฎหมายอิสลาม
โดยตรง แต่เป็นกฎหมายท่ีออกมารับรองกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล ให้สามารถนำ�หลัก
กฎหมายอสิ ลามมาใชไ้ ดต้ ามเง่อื นไขขา้ งตน้ ดังจะเห็นไดว้ ่า กฎหมายมีเพยี ง 7 มาตรา เนื้อหา
สาระส�ำ คญั ปรากฎตามมาตรา 3 และมาตรา 4 ส่วนมาตรา 1 คอื ช่ือพระราชบญั ญัติ มาตรา 2
ก�ำ หนดวนั ใชบ้ งั คบั มาตรา วา่ ดว้ ยการคดั คา้ นผพู้ พิ ากษา มาตรา 6 วา่ ดว้ ยวธิ ปี ฎบิ ตั กิ รณคี ดคี า้ ง
เกา่ ในศาล และมาตรา 7 ก�ำ หนดให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงยุติธรรม เปน็ ผูร้ กั ษาการตามพระ
ราชบัญญตั นิ ้ี
สำ�หรับที่มา เหตุผล และความจำ�เป็นในการประกาศใช้กฎหมายอิสลามในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ รายละเอยี ดปรากฎในบทท่ี 4 ของคูม่ ือน้ี

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใี่ ช ใ้ นจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 31

บทท่ี 2
กระบวนการยุตธิ รรมกบั ปญั หาการใชก้ ฎหมายในจังหวดั ชายแดนภาคใต้
เพอื่ ทจ่ี ะท�ำ ความเขา้ ใจวา่ ปญั หาจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการ
ยตุ ธิ รรมอยา่ งไร เราจ�ำ เปน็ ตอ้ งทบทวนประเดน็ อนั เปน็ ทม่ี าและสาเหตทุ แ่ี ทจ้ รงิ ของปญั หาจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ กับความหมายในภาพรวมของกระบวนการยุติธรรมกอ่ น
1. กระบวนการยุติธรรม กับที่มาและสาเหตขุ องปญั หาจงั หวัดชายแดนภาคใต้

ภาพที่ 8 ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งปญั หากระบวนการยุตธิ รรมกบั ทีม่ าและสาเหตุของปญั หา
จังหวดั ชายแดนภาคใต้

จากการวเิ คราะห์ ทมี่ าและสาเหตุ ของปัญหาทส่ี ำ�คัญประการหน่งึ ซงึ่ นำ�ไปสู่ความขดั
แยง้ ระหว่างชาวไทยมุสลิมในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ กบั รฐั หรอื เจ้าหนา้ ทร่ี ฐั ทเ่ี กดิ ขึน้ อย่างต่อ
เนื่องว่า เกิดจากเอกลักษณ์ ความสำ�นึกทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ทำ�ให้มอง
รัฐไทยหรือเจ้าหน้าท่ขี องรัฐในทางลบ และพยายามทจี่ ะต่อต้าน ประกอบกบั เจ้าหนา้ ที่รัฐที่ไป
ปกครองไม่เข้าใจภาษา ศาสนาและวัฒนธรรมท้องถ่นิ ทำ�ใหย้ ่งิ เกิดความไม่เข้าใจ และความไม่
ไวว้ างใจตอ่ กนั มากย่งิ ข้ึน จนนำ�ไปสู่ความขดั แย้งรุนแรงในที่สดุ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั การวเิ คราะห์
ปัญหาสถานการณค์ วามรนุ แรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ ดร.พรี ะพงษ์ มานะกจิ (เอกสาร
โรเนยี ว: พฤษภาคม 2550) สรปุ วา่ ปญั หา จชต. นน้ั ปจั จยั หลกั มไิ ดเ้ ปน็ ปญั หามติ เิ ศรษฐกจิ สงั คม

32 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ีใชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

แตเ่ ปน็ ปญั หาเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ทกี่ ลมุ่ คนใน จชต. มสี �ำ นกึ ในความเปน็ เชอ้ื ชาตแิ ละศาสนา รวม
ถงึ ปญั หาความไรธ้ รรมรฐั ของเจา้ หนา้ ทแี่ ละความลม้ เหลวในการมองเปา้ หมายและกระบวนการ
ของการพฒั นา ...อกี ทง้ั เหตรุ า้ ยทเ่ี กดิ ขน้ึ ในระยะหลงั ๆ มกั มกี ารกอ่ เหตดุ ว้ ยการกระท�ำ ตอ่ เหยอื่
อยา่ งเหย้ี มโหดทส่ี ะทอ้ นถงึ ความรูส้ ึกเกลียดชงั อย่างมีนัยเชิงสัญลักษณ์...
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของจฑุ ารตั น์ เอ้ืออำ�นวยและคณะ (2549:14) พบว่า เง่ือนไข
หลักสำ�คญั ประการหนึ่งจากหลาย ๆ เงือ่ นไขของปัญหาในพนื้ ทจี่ ังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การ
เกิดวิกฤติศรัทธาต่อการดำ�เนินกระบวนการยุติธรรม ประชาชนขาดความเชื่อม่ันในระบบการ
บงั คบั ใชก้ ฎหมายและกลไกการด�ำ เนินงานของรฐั จงึ ทำ�ใหต้ ้องพยายามหาความยตุ ธิ รรมให้กบั
ตนเองและญาตพิ ่นี ้องโดยการแก้แค้น
ตวั อยา่ งของ ความไมเ่ ปน็ ธรรมในสงั คม การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรม
ทเ่ี ปน็ ประเดน็ ปญั หาถกู หยบิ ยกขน้ึ มากลา่ วอา้ งอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั และหลาย
ครง้ั ถกู น�ำ ไปเปน็ เงอ่ื นไขในการขยายผลสคู่ วามรนุ แรงทเ่ี พม่ิ ขนึ้ อาทิ การชมุ นมุ ประทว้ งปดิ ถนน
เพื่อเรียกรอ้ งกดดนั เจ้าหนา้ ทใี่ ห้ปล่อยตวั ผู้ต้องหา การลอบท�ำ รา้ ยเจา้ หนา้ ทดี่ ้วยวิธกี ารรนุ แรง
ต่าง ๆ ตลอดจนการเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าท่ีของรัฐเสมือนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
เป็นตน้ ซึง่ จากรายงานการศกึ ษาการด�ำ เนินกระบวนการยุตธิ รรมใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต:้
ปญั หาและแนวทางแกไ้ ข (ผศ.ดร.จฑุ ารตั น์ เออ้ื อ�ำ นวย, หวั หนา้ คณะผศู้ กึ ษา, กรงุ เทพฯ ส�ำ นกั งาน
เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตร,ี 2549) ไดก้ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณค์ วามรนุ แรงทเี่ กดิ ขน้ึ ใน 3 จงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ ได้กอ่ ให้เกิดความทกุ ข์ยากเดือดรอ้ นแก่ชีวิตผูค้ นจำ�นวนมาก ซงึ่ ตกเปน็ เหยอ่ื ของความ
รุนแรงอันเน่ืองมาจาก “กระบวนการยุติธรรม” ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาท พันธกิจ
และสัญญาประชาคมท่ีให้ไว้แก่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ไม่สามารถรักษาความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สนิ ใหแ้ ก่ผูค้ นในพนื้ ท่ี และทน่ี ่า สะพรงึ กลวั ยงิ่ ไปกวา่ คือ การไรซ้ ง่ึ
ความสามารถในการผดุงความยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรม ดังปรากฎการณ์ที่กลไกบาง
ส่วนของกระบวนการยตุ ธิ รรมกลบั กลายเป็นผกู้ ระท�ำ การละเมิดต่อชวี ิต ร่างกาย และทรัพย์สนิ
ของประชาชนท่ีมีความทุกข์ยากเดือดร้อนเหล่านั้นเสียเอง กรณีตัวอย่าง เช่น การจับกุมนาย
แพทย์แวมาฮาดี แวดาโอะ๊ เมื่อวนั ที่ 10 มถิ ุนายน 2546 โดยนายแพทย์แวมาฮาดี ใหก้ ารวา่ มี
การน�ำ ถุงมาคลมุ หวั แล้วรัดคอ ใช้ไม้ตที ท่ี ้องและหลงั ระหว่างอย่ใู นรถขณะเดนิ ทางไปสอบสวน
กรณีการจับกุมและสอบสวนนายซุลกิฟลี (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 16 ปี โดยไม่เป็นไปตาม
หลักกฎหมาย โดยนายซุลกิฟลีให้การว่าเจ้าหน้าท่ีมีการใช้กำ�ลังตบบริเวณใบหน้าและพยายาม
ข่มขู่โดยเอาปืนมาจ่อท่ีบริเวณศีรษะเพ่ือบังคับให้รับสารภาพ กรณีการลักพาตัวทนายสมชาย
นลี ะไพจติ ร ทนายความมุสลมิ ซงึ่ เปน็ บคุ ลากรในกระบวนการยุตธิ รรมทส่ี �ำ คญั สง่ ผลกระทบตอ่
ภาพลักษณข์ องกระบวนการยตุ ิธรรมในสายตาประชาคมโลก กรณที หารพรานยิงลกู จ้างบรษิ ทั

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายทีใ่ ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 33

ชนิ วรยะลา จำ�กัด เม่อื วนั ท่ี 29 ตุลาคม 2547 ขณะก�ำ ลังปฏิบัตหิ นา้ ทีต่ ามปกติอยทู่ หี่ นองนำ้�
แตก่ ลบั ถกู ใสร่ า้ ยวา่ ผถู้ กู ยงิ บกุ รกุ เขา้ ไปยงิ ทหารพรานในหนว่ ยทตี่ งั้ หรอื กรณเี หตกุ ารณเ์ มอ่ื วนั ที่
28 เมษายน 2547 ซึ่งเปน็ การใชค้ วามรุนแรงในการปอ้ งกนั และปราบปรามอาชญากรรม โดย
วสิ ามญั ฆาตกรรม 107 ผกู้ อ่ การรา้ ยทมี่ สั ยดิ กรอื เซะ และกรณกี ารสลายการชมุ นมุ ทสี่ ถานตี �ำ รวจ
ภธู รอ�ำ เภอตากใบ จงั หวดั นราธวิ าส โดยเปน็ เหตใุ หผ้ ถู้ กู ควบคมุ ตวั เสยี ชวี ติ 79 ศพ ถกู ด�ำ เนนิ คดี
60 ราย และมผี สู้ ญู หายอกี จ�ำ นวนหนง่ึ นอกจากน้ี สภาพของการปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องเจา้ หนา้ ทข่ี อง
รฐั ทดี่ เู หมอื นวา่ จะยงั ขาดความรู้ ขาดความเขา้ ใจ ขาดการเอาใจใสต่ อ่ ภาระ ความรบั ผดิ ชอบ ยงั
คงมกี ารเลอื กปฏบิ ตั ิ มกี ารใชอ้ �ำ นาจเกนิ ขอบเขต และยงั มกี ารละเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน
อยา่ งตอ่ เนือ่ ง อันเปน็ การตอกย้�ำ ความรสู้ ึกท่เี ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ อ�ำ นาจรัฐมากยงิ่ ข้ึน โดยที่สามารถ
สมั ผัสและพสิ จู นข์ ้อเท็จจริงดงั กลา่ วได้จากการท่ปี ระชาชนใน 3 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ยงั คงมี
เรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนเก่ียวกับพฤติการณ์ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ผ่านทาง
ศนู ยด์ ำ�รงธรรม ศูนย์ยตุ ธิ รรมชมุ ชนและช่องทางการรับเรอื่ งราวร้องทกุ ขต์ า่ ง ๆ ซึ่งในจ�ำ นวน
เร่ืองร้องเรียนดังกล่าวส่วนหนึ่งยังคงเป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องกับการใช้อำ�นาจและการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบ การกดข่ีข่มเหง การทำ�ร้ายร่างกายผู้ต้องหา และการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้า
หนา้ ท่รี ฐั โดยไม่คำ�นงึ ถงึ ความเดอื ดรอ้ นล�ำ บากของประชาชน
หากมองจากภาพรวมของปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับเอกสารงานวิจัย
และความเหน็ ของนกั วชิ าการขา้ งตน้ และขอ้ มลู จากสภาทปี่ รกึ ษาศนู ยอ์ �ำ นวยการบรหิ ารจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ (ทม่ี า: เอกสารโรเนียว สนผ.ศอ.บต.2550) ไดว้ ิเคราะหป์ ัญหาจงั หวดั ชายแดน
ภาคใตไ้ ว้ 3 ประเด็นด้วยกนั กลา่ วคอื
1.ปัญหาจริง ได้แก่ ปญั หาการแบง่ แยกดินแดนทีเ่ ปน็ ปมมาจากประวัติศาสตร์ ปญั หา
การไม่ไดร้ ับความเป็นธรรมของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหมายรวมถึง การไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรม
ด้านการเมอื ง การปกครอง เศรษฐกจิ และสังคม ปญั หาอำ�นาจรฐั อ่อนแอ ไม่ได้รับการยอมรับ
และ การไม่ได้รับการเช่ือมั่นในกระบวนการยุติธรรม อันเกิดจากพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมของ
เจ้าหน้าท่รี ัฐบางคนท่ีปฏิบัติตอ่ ประชาชน
2.ปญั หารอง ไดแ้ ก่ ปญั หาดา้ นการจดั การศกึ ษา ปญั หายาเสพตดิ อทิ ธพิ ลทอ้ งถนิ่ ปญั หา
ความยากจน และกระแสโลกาภวิ ัตน์ ซึ่งเปน็ กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกขนานใหญ่ท่สี ่งผล
ตอ่ การเชอ่ื มโยงกลมุ่ ประเทศมสุ ลมิ และองคก์ รอสิ ระภาคเอกชนทวั่ โลกเขา้ ดว้ ยกนั สง่ ผลตอ่ การ
แสดงปฏกิ ริ ยิ าไม่พงึ พอใจในการด�ำ เนนิ การของทางการไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้
3.ปัญหาท่ถี ูกน�ำ มาใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ได้แก่ ปัญหาทีอ่ าจไมใ่ ชส่ าเหตุของการกอ่ ความไม่
สงบทแ่ี ทจ้ รงิ เพยี งแตฝ่ า่ ยกอ่ ความไมส่ งบมกั จะหยบิ ยกมากลา่ วอา้ งเพอ่ื แสวงหาความชอบธรรม
ในการกระทำ�การใด ๆ ทเ่ี ปน็ ปฏิปกั ษ์ต่ออำ�นาจรฐั สรา้ งความแตกแยก บดิ เบอื น ปลกุ ระดม

34 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

ประชาชน และเกดิ ปัญหาความไมเ่ ขา้ ใจกับเจ้าหนา้ ทร่ี ัฐ จนกลายเปน็ การไม่ยอมรบั การปฏบิ ัติ
ตามกฎหมายหรอื ไมย่ อมรบั การปกครองในทสี่ ดุ ซงึ่ ปญั หาดงั กลา่ ว เชน่ เรอื่ งของประวตั ศิ าสตร์
ชาตพิ นั ธ์ุ ศาสนา และเรื่องของ กระบวนการยตุ ธิ รรม

“………ความยตุ ธิ รรมในสงั คม เปน็ พ้นื ฐานของการพัฒนาด้านอ่นื ๆ เพราะ
สงั คมขาดไร้ซงึ่ ความยตุ ธิ รรมแล้ว สังคมกจ็ ะมแี ต่ความบาดหมาง ขาดความ
ไวเ้ น้อื เชือ่ ใจกนั ขาดความรว่ มมอื มีแตค่ วามหวาดระแวงและทำ�รา้ ยกัน ไม่มี
ทางที่จะพฒั นาในด้านอ่นื ใดได้เลย……”

สรปุ ไดว้ า่ ความเปน็ ธรรมในสงั คม คอื สงิ่ ทส่ี �ำ คญั ทส่ี ดุ ของการอยรู่ ว่ มกนั ประเทศทข่ี าด
ความเปน็ ธรรมทางสงั คมจะมสี นั ตสิ ขุ อยไู่ มไ่ ด ้ การสถาปนาความยตุ ธิ รรมใน 3 จงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ เป็นวาระเร่งด่วน ก่อนท่ีจะสร้างสันติภาพในแนวทางสมานฉันท์ และกระบวนการ
ยุติธรรมเป็นกลไกสำ�คัญในการนำ�เอากฎหมายไปบังคับใช้ หากกระบวนการยุติธรรมสามารถ
บงั คบั ใชก้ ฎหมายอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และเปน็ ธรรม กย็ อ่ มมผี ลโดยตรงตอ่ การเสรมิ สรา้ ง
ความเคารพในกฎหมายและหลักนิติธรรม และในทางกลับกัน หากกระบวนการยุติธรรมขาด
ประสิทธิภาพหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็จะทำ�ให้
ประชาชนเกิดความไม่ไวว้ างใจ หวาดระแวง และนำ�ไปสูก่ ารเส่ือมศรทั ธาต่อกฎหมายและหลกั
นติ ธิ รรมในที่สดุ โดยเฉพาะกบั ปญั หาในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ซง่ึ มีมิติของความพเิ ศษในด้าน
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ศาสนา ภาษา และท่ีสำ�คัญคือประวัติศาสตร์ท่ี
สนับสนุนให้ชนรุ่นปัจจุบันได้หวนรำ�ลึกท้ังในแง่ของการเข้าใจถูกและเข้าใจในทางท่ีผิดต่อความ
เป็นรัฐไทยได้ง่าย ซ่ึงเมื่อองค์ประกอบเหล่าน้ีมารวมตัวกัน ผนวกเข้ากับการปฏิบัติจากรัฐใน
แง่ของกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายท่ีขาดประสิทธิภาพและเลือกปฏิบัติ จึง
เปรียบเสมือนการรวมตัวกันอย่างดีของเชื้อเพลิงในการที่ทำ�ให้ไฟสามารถลุกโชนข้ึนและเผา
ไหมท้ ำ�ลายทกุ สง่ิ ทุกอยา่ งไดโ้ ดยงา่ ย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ หากกระบวนการยตุ ธิ รรมและบคุ ลากร
ในกระบวนการยุติธรรมยังไม่ตระหนักและรู้สึกได้ถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมาจากการท่ี
กระบวนการยุตธิ รรมและบคุ ลากรในกระบวนการยุตธิ รรมไปกระท�ำ ในส่งิ ท่ไี ม่ควรกระท�ำ และ
ไมก่ ระทำ�ในสิ่งที่ควรกระท�ำ ซง่ึ เทา่ กับเปน็ การตอกยำ�้ ความบกพร่องของกระบวนการยตุ ธิ รรม
บนความเจ็บปวดและเคยี ดแค้นของประชาชนผดู้ อ้ ยโอกาสในสงั คมน่ันเอง

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 35

2. กระบวนการยตุ ิธรรม ความหมายและขอ้ จำ�กดั อนั เป็นทม่ี าของปัญหา
ความหมายท่วั ไป ของคำ�ว่า “กระบวนการยุตธิ รรม” (Criminal Justice Process)
หมายถงึ กลไกการปฏบิ ัตงิ านของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ท่มี ีลักษณะส่งผลกระทบ
ตอ่ เนื่องเชอ่ื มโยงระหว่างกันและกนั โดยปจั จัยนำ�เขา้ (Input) จากการกระท�ำ ผดิ เข้าสู่ หนว่ ย
งานต�ำ รวจ ผลผลิต (Output) ของหน่วยงานต�ำ รวจจะเปน็ ปจั จัยนำ�เขา้ ของ หนว่ ยงานอยั การ
และผลผลติ ของหนว่ ยงานอยั การ จะเปน็ ปจั จยั น�ำ เขา้ ของ ศาลยตุ ธิ รรม ผลผลติ ของศาลยตุ ธิ รรม
จะเปน็ ปจั จยั น�ำ เขา้ ของ หนว่ ยงานราชทณั ฑ์ และผลผลติ ของราชทณั ฑ์ หากประสบความส�ำ เรจ็
จะเขา้ สูช่ มุ ชน หากเกิดการกระทำ�ผดิ ซ�้ำ ก็จะป้อนกลับส่หู น่วยงานต�ำ รวจ ตอ่ เน่ืองเชื่อมโยง สง่
กระทบตอ่ กันและกัน
แต่หากจะให้ง่ายต่อการทำ�ความเข้าใจถึง ข้อจำ�กัด อันเป็นที่มาของปัญหาใน
กระบวนการยุติธรรม ต้องเข้าใจความหมายที่เป็นลักษณะเฉพาะของการดำ�เนินงานใน
กระบวนการยุตธิ รรม ใน 2 ความหมาย ดงั ต่อไปน้ี ให้ชดั เจนก่อน

ภาพท่ี 9 ขน้ั ตอนและวิธปี ฏบิ ัตติ ่อผู้กระท�ำ ความผิด (ในคดอี าญา)
ตามความหมายนี้ ในเบื้องตน้ ให้เราคดิ ถึงเมื่อมอี าชญากรรมหรือมีการกระทำ�ความผดิ
ทางอาญาในฐานความผดิ ใดฐานความผดิ หนง่ึ เกดิ ขนึ้ นน่ั คอื มี “ผถู้ กู กระท�ำ ” ใหไ้ ดร้ บั ความเสยี
หายทางรา่ งกาย จิตใจ หรอื ทรพั ยส์ ิน ซ่ึงกฎหมายบญั ญัตวิ า่ “ผ้กู ระทำ�” มีความผิดและมอี ตั รา

36 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายที่ใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

โทษตามทกี่ �ำ หนด จงึ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการด�ำ เนนิ งานในกระบวนการยตุ ธิ รรม ตงั้ แตก่ ารสบื สวน
โดยการแสวงหาและรวบรวมพยานหลกั ฐานเพอื่ ระบตุ วั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ หรอื ผตู้ อ้ งสงสยั วา่ เปน็
ผู้กระท�ำ ความผดิ จากนั้นจงึ น�ำ ไปสู่ “การจบั กุม” นำ�ตัวผกู้ ระทำ�ความผิดหรอื ผูต้ อ้ งสงสยั ซึง่ ใน
ชนั้ นี้ยงั อยใู่ นสถานะ “ผู้ต้องหาหรือผถู้ กู กล่าวหา” เข้าสู่ข้ันตอนการ “สอบสวน” เพื่อให้โอกาส
ผ้ตู ้องหาหรือผถู้ ูกกลา่ วแก้ตา่ งหรือแก้ขอ้ กล่าวหาใหก้ ับตนเอง กอ่ นที่จะเขา้ สขู่ ั้นตอนตอ่ ไป คือ
การ “ฟ้องคดี” ต่อศาล ซึ่งในชั้นนี้ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวน้ันจะเปลี่ยนสถานะเป็น “จำ�เลย”
เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล ต่อจากนั้น เม่ือส้ินสุดกระบวนการพิจารณาคดีแล้ว
จึงเป็นการ “พพิ ากษาคดี” เพื่อตัดสินชีข้ าดว่า บคุ คลผ้ถู กู กลา่ วหาหรอื จำ�เลยดังกล่าวนั้น เปน็
ผู้กระทำ�ความผิดจริงหรือไม่ หากกระบวนการพิจารณาคดีในช้ันศาลพิสูจน์ชัดว่า การกระทำ�
ของผูน้ นั้ ไมเ่ ป็นความผดิ หรือผถู้ กู กลา่ วหาหรอื จ�ำ เลยนน้ั ไมไ่ ด้เป็นผกู้ ระท�ำ ความผดิ ศาลจะ
พพิ ากษายกฟอ้ งปลอ่ ยตวั ผนู้ น้ั ไป แตใ่ นทางตรงกนั ขา้ ม หากพยานหลกั ฐานชชี้ ดั วา่ ผถู้ กู กลา่ วหา
หรอื จ�ำ เลยนนั้ เปน็ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ตามฟอ้ ง ศาลกจ็ ะพพิ ากษาลงโทษ ตามอตั ราโทษทกี่ �ำ หนด
ตอ่ ฐานความผิดทก่ี ระทำ�
ในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา โทษทีก่ �ำ หนดไวต้ ามกฎหมายมี 5 ประการ ได้แก่
ประหารชีวิต จำ�คุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ซ่ึงศาลจะพิพากษาลงโทษผู้กระทำ�ผิดด้วย
อัตราโทษใด หนักเบาเพียงใดนั้น ขึ้นกบั บทบญั ญตั ิของกฎหมาย ประกอบกับดุลพนิ ิจของศาล
ในการพจิ ารณาว่า 1) พฤตกิ ารณแ์ ห่งการกระทำ�ความผิด โหดร้ายรุนแรงหรือไม่เพียงใด 2) มีผู้
ไดร้ บั ความเสยี หายหรือรับผลกระทบ มากน้อยแค่ไหน 3) การบรรเทาผลรา้ ยหลงั เกิดเหตุ หรือ
4) การสำ�นกึ ผิด ของผู้กระทำ�ผิดเกิดขนึ้ หรอื ไม่ เปน็ ต้น
อย่างไรก็ตาม การกำ�หนดโทษและวิธีการลงโทษแก่ผู้กระทำ�ความผิดในกระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญาท้ัง 5 ประการดังกล่าวข้างต้น มีเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือแก้
แค้น ทดแทน หรือบรรเทาความเคียดแค้นของฝ่ายผู้เสียหาย อันเป็นการคืนความเป็นธรรม
และป้องกันไม่ให้มีการกระทำ�อันเป็นการแก้แค้นกันเองในภายหลัง 2) เป็นการตัดโอกาสผู้
กระท�ำ ความผิด ไม่ใหก้ ระท�ำ ความผดิ ซ�้ำ เชน่ การจำ�คกุ หรือการประหารชวี ติ 3) เพอ่ื ปอ้ งกัน
อาชญากรรม กล่าวคือการที่ผู้กระทำ�ความผิดได้รับการลงโทษ เพื่อไม่ให้เป็นเย่ียงอย่างและ
เป็นการป้องกันบุคคลอื่นกระทำ�ผิดอีก และ 4) มุ่งเน้นการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำ�ผิด ให้กลับตน
เปน็ คนดีของสังคมในโอกาสตอ่ ไป

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายท่ีใช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 37

ภาพท่ี 10 กระบวนการหรือข้ันตอนของการแสวงหาความจรงิ เพ่ือเขา้ ถงึ “ความยุติธรรม”
ของทกุ ฝา่ ยในสังคม

(ผ้กู ระทำ� ผู้ถกู กระท�ำ สงั คม)
ท้งั หมดน้ี คือความหมายของกระบวนการยตุ ิธรรม ในแงข่ อง “การปฏิบตั ิตอ่ ผูก้ ระทำ�
ความผิด”
เน่ืองจากกระบวนการยตุ ิธรรมตามกฎหมายของประเทศไทย โดยเฉพาะกระบวนการ
ยตุ ธิ รรมทางอาญานน้ั เปน็ กระบวนการยตุ ธิ รรมใน “ระบบกลา่ วหา” กลา่ วคอื เมอื่ มอี าชญากรรม
หรือมีการกระทำ�ความผิดทางอาญาเกิดข้ึน การเริ่มต้นด้วยการสืบสวน สอบสวน และการ
รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเช่ือมโยงบ่งช้ีจนน่าเชื่อว่า บุคคลใดเป็นผู้กระทำ�หรือเก่ียวข้องกับ
การกระท�ำ ความผิด ซึ่งเป็นการ “ตง้ั ข้อสงสัยหรือกล่าวหา” ว่าบคุ คลผนู้ ้นั กระท�ำ หรอื เกี่ยวข้อง
กบั การกระท�ำ ความผิด ตอ่ จากนนั้ จึงเปน็ หน้าท่ีของ “ผู้ถูกกลา่ วหา” ในชั้นสบื สวนสอบสวน
หรือท่ีเรียกว่า “จำ�เลย” ในชั้นพิจารณาคดีของศาลจะต้องแสวงหาความยุติธรรมให้กับตนเอง
โดยการนำ�พยานหลักฐานเข้าสืบหักล้าง เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ�ความ
ผดิ ตามทีถ่ กู กล่าวหา
ดังนั้น ในทุกข้ันตอนของกระบวนการยุติธรรม กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธี
พจิ ารณาความอาญาจึงก�ำ หนด สิทธิของผูต้ ้องหาและจำ�เลย ไว้มากมายหลายประการ เพ่ือให้
โอกาสกับบุคคลซึ่งอาจเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำ�หรือเก่ียวข้อง
กบั การกระท�ำ ความผดิ ไดม้ โี อกาสเขา้ ถงึ ความยตุ ธิ รรมในกระบวนการยตุ ธิ รรม ในขณะเดยี วกนั
ฝ่ายผู้ถูกกระทำ�หรือผู้เสียหายก็ต้องการพิสูจน์ความจริงว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ�ต่อตนเอง เพื่อให้
บคุ คลผ้นู ั้นไดร้ บั การลงโทษอย่างสาสม รวมทั้งการจะไดร้ ับการชดใชเ้ ยียวยาจากผกู้ ระท�ำ ความ

38 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผดิ ตามสมควร ในขณะทสี่ งั คมโดยรวมจะรอการพสิ จู นค์ วามจรงิ อยา่ งตรงไปตรงมา ดว้ ยขนั้ ตอน
ของกระบวนการยตุ ธิ รรมตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ เพื่อให้เกิดความเชื่อม่ันว่าสมาชกิ ในสังคมตอ้ ง
ได้รับการคุ้มครองปอ้ งกันไมใ่ ห้มีใครถกู ละเมดิ สทิ ธิ และหากมีผกู้ ระท�ำ ความผดิ ผู้นน้ั ต้องไดร้ ับ
โทษตามกฎหมาย ค�ำ วา่ “การเขา้ ถงึ ความยตุ ธิ รรม” จงึ เปน็ อกี ความหมายหนงึ่ ของกระบวนการ
ยุตธิ รรมส�ำ หรบั ผู้มีส่วนได้เสียทกุ ฝา่ ยข้างตน้
ตวั อยา่ ง “สทิ ธิพ้ืนฐาน” ในกระบวนการยุตธิ รรมสำ�หรับผู้ต้องหาหรือจ�ำ เลย



รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 39

อยา่ งไรก็ตาม การท่ผี ู้กระท�ำ ความผดิ ได้รับการลงโทษ ถอื เป็นความยุติธรรมอยา่ งหน่ึง
ตามเจตนารมณข์ องกระบวนการยตุ ธิ รรม ซ่ึงเป็นความพึงพอใจของผู้เสียหายและสังคม แตใ่ น
ขณะเดยี วกนั หากมผี บู้ รสิ ทุ ธหิ์ รอื บคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ ทไี่ มไ่ ดเ้ ปน็ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ แตต่ อ้ งตกเปน็
ผตู้ อ้ งหาหรือจำ�เลยในกระบวนการยุตธิ รรม แม้ว่ากฎหมายและขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ในกระบวนการ
ยุติธรรมจะเปิดโอกาสให้บุคคลน้ันสามารถนำ�พยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์หักล้างเพื่อให้ตนเอง
พ้นจากข้อกล่าวหานั้นได้ แต่หากบุคคลผู้น้ันขาดโอกาสหรือด้อยความสามารถในการพิสูจน์
ตนเอง จนไม่สามารถหกั ล้างพยานหลกั ฐานบางอย่างอันน�ำ ไปสขู่ อ้ กล่าวหา และอาจถูกลงโทษ
โดยตนเองไม่ได้เป็นผู้กระท�ำ ความผดิ จริง กรณเี ชน่ น้ี ถือเป็นความ “อยตุ ิธรรม” ในสงั คม ก่อให้
เกิดความรู้สึกคบั แคน้ และไม่เชื่อม่นั ในกระบวนการยตุ ิธรรมอกี ตอ่ ไป
ประเด็นอันเป็นปัญหาหรือข้อจำ�กัดท่ีทำ�ให้ผู้ต้องหาหรือจำ�เลยไม่สามารถ “เข้าถึง”
ความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมได้จริง

40 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 41


Click to View FlipBook Version