The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sophia.psu, 2022-11-01 00:03:15

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

กฎหมายที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยสรุป ปัญหาและข้อจำ�กัดในกระบวนการยุติธรรม คือ การปฏิบัติตามบทบัญญัติ
ของกฎหมายที่ไม่อาจเลือกปฏิบัติได้ แต่การปฏิบัติท่ีเหมือนกัน กับคนท่ีมีสถานะแตกต่าง
กนั เชน่ คนรวยกับคนจน ผูม้ ีความรู้กบั คนท่ไี ม่มคี วามรู้ คนทีม่ ีประสบการณ์มากกับคนที่ไมม่ ี
ประสบการณเ์ ลย สิง่ เหลา่ น้ี คือความแตกต่างทีช่ ดั เจนของความไดเ้ ปรยี บและความเสียเปรยี บ
หรือความด้อยโอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย ซึ่ง
เป็นปัญหาเดียวกันท่ัวประเทศ ดังน้ัน ความหมายของกระบวนการยุติธรรมในความรู้สึกของ
ประชาชนผดู้ อ้ ยโอกาส กค็ อื ความยตุ ธิ รรมตามตวั บทกฎหมาย แตไ่ มใ่ ชค่ วามเปน็ ธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ
ปญั หาการบงั คับใชก้ ฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจากเราได้ขอ้ สรุป และทำ�ความเข้าใจท่มี า และสาเหตุของปัญหาจงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ วา่ แทจ้ รงิ แลว้ ไมใ่ ชป่ ญั หาเพยี งเรอ่ื งของศาสนา ประวตั ศิ าสตร์ ชาตพิ นั ธุ์ หรอื ปญั หาทาง
เศรษฐกจิ สงั คม การเมอื งเทา่ นน้ั แตป่ ญั หาส�ำ คญั และเปน็ แกนกลางซงึ่ เปน็ ตวั กระตนุ้ ปญั หาคอื
การปฏิบัติจากรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐในแง่ของกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่
ขาดประสทิ ธภิ าพและเลอื กปฏบิ ตั ิ ซง่ึ น�ำ เอาปญั หาองคป์ ระกอบอนื่ มารวมตวั กนั เปรยี บเสมอื น
เชอื้ เพลงิ อยา่ งดใี นการทที่ �ำ ใหไ้ ฟสามารถลกุ โชนขนึ้ และเผาไหมท้ �ำ ลายทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งไดโ้ ดยงา่ ย
ในขณะเดยี วกนั เราไดเ้ รยี นรปู้ ญั หา และขอ้ จ�ำ กดั ในกระบวนการยตุ ธิ รรม ซง่ึ กค็ อื การปฏบิ ตั ติ าม
บทบัญญัติของกฎหมายท่ีไม่อาจเลือกปฏิบัติได้ แต่ การปฏิบัติที่เหมือนกัน กับคนท่ีมีสถานะ
แตกต่างกนั คอื ความแตกตา่ งทช่ี ดั เจนของความได้เปรยี บและความเสียเปรียบ หรือความด้อย
โอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกัน
ทว่ั ประเทศ ประกอบกบั การท�ำ ความเขา้ ใจความหมายของกระบวนการยตุ ธิ รรมในแงข่ องความ
รสู้ กึ ของประชาชนผดู้ อ้ ยโอกาส กค็ อื ความยตุ ธิ รรมตามตวั บทกฎหมาย แตไ่ มใ่ ชค่ วามเปน็ ธรรม
ทีแ่ ทจ้ รงิ ลำ�ดับถดั จากน้ี เราจึงต้องมาทำ�ความเข้าใจประเด็นส�ำ คญั อีกประเด็นหนึง่ คือ ปญั หา
การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ มคี วามแตกตา่ งอยา่ งไร
กบั ปญั หาในพนื้ ทอี่ นื่ และ ท�ำ ไมปญั หาการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมในจงั หวดั
ชายแดนภาคใต้ จึงถูกหยิบยกมาเป็นเคร่ืองมือหรือข้ออ้างในการสร้างความขัดแย้งและความ
รนุ แรง มากกว่าพนื้ ที่อ่นื
จากรายงานการศึกษาเร่อื ง การด�ำ เนนิ กระบวนการยตุ ิธรรมใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาค
ใต:้ ปัญหาและแนวทางแก้ไข ฉบับสมบรู ณ์ (จุฑารัตน์ เอ้อื อ�ำ นวยและคณะ, 2549) ได้ บทสรุป
เกย่ี วกบั ปญั หาและสาเหตขุ องความรนุ แรงในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะปญั หาการด�ำ เนนิ
กระบวนการยตุ ธิ รรมในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 2 ประการ ดังน้ี

42 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ีใช้ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้

1) ปัญหาพ้ืนฐานอันเกิดจากการดำ�เนินกระบวนการยตุ ิธรรมของไทย
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประสบปัญหาท่ีเกิดจากการดำ�เนินกระบวนการยุติธรรม
ขาดประสทิ ธภิ าพในการท�ำ งานใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั นติ ธิ รรม ไมแ่ ตกตา่ งจากปญั หาทจี่ งั หวดั อนื่ ๆ
ไดแ้ ก่ การอมุ้ การฆา่ ตดั ตอนทไ่ี มร่ ตู้ วั ผกู้ ระท�ำ ผดิ การรดี พยานหลกั ฐานจากตวั ผกู้ ระท�ำ ผดิ การ
ไม่คืนของกลาง การไม่ได้รับความช่วยเหลือในการประกันตัวในกรณียากจน ฯลฯ ซึ่งเป็นการ
กระท�ำ บางอยา่ งทกี่ ระบวนการยตุ ธิ รรมไมค่ วรกระท�ำ ตอ่ ประชาชน แตไ่ ดก้ ระท�ำ ลงไปแลว้ และ
ปัญหาที่สร้างขึ้นกับผลกระทบท่ีเกิดตามมามีระดับความถี่และรุนแรงอยู่ในข้ันวิกฤติ เน่ืองจาก
เหตุปัจจัยต่าง ๆ ดงั น้ี
1. ปัญหาโครงสร้างการดำ�เนินกระบวนการยุติธรรม เป็นปัญหาพื้นฐานด้ังเดิมของ
กระบวนการยตุ ธิ รรมแบบปฏปิ กั ษ์ (Adversary System) ปจั จบุ นั ทถี่ กู ออกแบบมาใหม้ ลี กั ษณะ
ถ่วงดุล ตรวจสอบ คานอ�ำ นาจซึง่ กันและกัน ขณะเดียวกนั ลกั ษณะดงั กล่าวในตัวเองกอ่ ใหเ้ กดิ
ภาพรวมที่ขาดเอกภาพ ขาดความต่อเนื่องเชื่อมโยง มีความเป็นระบบราชการและแบบแผน
พิธกี ารที่ไม่อาจด�ำ เนินกระบวนการขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ประกอบกบั การเขา้ ถึง และ
ใชบ้ รกิ ารของกระบวนการยตุ ธิ รรมตอ้ งผา่ นผรู้ กู้ ฎหมาย ใชท้ นุ ทรพั ยใ์ นการตอ่ สคู้ ดี และใชพ้ ยาน
หลกั ฐานทเี่ ปน็ บคุ คลหรอื วตั ถสุ งิ่ ของในการพสิ จู นค์ วามถกู ผดิ ตามกฎหมาย โดยมคี นกลางเปน็ ผู้
วินิจฉยั ชขี้ าด และในทางปฏบิ ัติขาดการประสานงานกระบวนการยตุ ิธรรมทัง้ ในระดับนโยบาย
และระดับภูมิภาคเพ่ือกำ�หนดทิศทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเชิงรุกแบบบูรณาการท่ีเหมาะสม
กบั สถานการณ์ได้อยา่ งทันต่อเหตุการณ์
2. ปญั หาการขาดการน�ำ เทคโนโลยี และวธิ กี ารทางนติ วิ ทิ ยาศาสตรม์ าใช้ เปน็ ปญั หาพน้ื
ฐานของกระบวนการยตุ ธิ รรมอกี ประการหนงึ่ ทย่ี งั มกี ารพฒั นาวธิ กี ารทางนติ วิ ทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ มา
ช่วยสนับสนุนการแสวงหาพยานหลักฐานไม่ทันต่อการนำ�มาใช้งาน ทำ�ให้เจ้าหน้าท่ีมุ่งแสวงหา

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายที่ใช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 43

พยานหลกั ฐานจากพยานบคุ คลหรอื รดี เอาจากผตู้ อ้ งสงสยั ดว้ ยวธิ กี ารทลี่ ะเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพ และ
ไมเ่ ป็นไปตามหลกั นติ ิธรรม หรอื ยอมล่วงละเมิดหลักนติ ธิ รรม

2) ปญั หาขาดประสทิ ธภิ าพในการใหบ้ รกิ ารพนื้ ฐานดา้ นความยุตธิ รรมตามหลกั นิตธิ รรมแก่
ประชาชนในจงั หวัดชายแดนภาคใต้
ประเดน็ ปญั หานสี้ บื เนอ่ื งจากการน�ำ กระบวนการยตุ ธิ รรมทมี่ ปี ญั หาพน้ื ฐานอยแู่ ลว้ มา
ใช้กับบรบิ ททางสงั คม-วฒั นธรรม และสถานการณท์ ่มี เี งอื่ นไขความขดั แย้งรุนแรงใน 3 จังหวดั
ชายแดนภาคใต้ ทำ�ให้เกิดวิกฤติศรัทธาต่อการดำ�เนนิ กระบวนการยุติธรรม ขาดความเชื่อมัน่ ใน
ระบบการบังคับใชก้ ฎหมายและกลไกการด�ำ เนนิ งานของรฐั บางส่วนเรยี กร้องหาความยตุ ิธรรม
แก่ญาติพี่น้องโดยวิธีการแก้แค้นกันเอง ดังนั้น การดำ�เนินกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นไป
ตามหลักนิติธรรม และความล่าช้าของการดำ�เนินกระบวนการยุติธรรมโดยตัวเองจึงเป็นเงื่อน
ปมปัญหาสำ�คัญที่เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาและทำ�ให้เกิดวิกฤติการณ์ท่ีเรียกว่า “ภาวะไร้
ระเบยี บ” ตามมา โดยมอี งค์ประกอบอนั เป็นปัจจัยสนบั สนนุ ดงั นี้
1. นโยบายและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติขาดความรู้ความเข้าใจในวิถีวัฒนธรรมมุสลิม เจ้า
หนา้ ทีร่ ัฐทม่ี าจากต่างพน้ื ท่ี ตา่ งวฒั นธรรม มีปญั หาในการส่ือสารกบั คนในพืน้ ท่ี คดิ วา่ ไม่ใช่พวก
เรา มอี คติ ประกอบกบั ขาดการชที้ ศิ ทางทเี่ หมาะสมจากนโยบายทางอาญาเชงิ รกุ แบบบรู ณาการ

44 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

ที่มาจากการประสานงานกระบวนการยุติธรรมระดับนโยบายและระดับภูมิภาค จึงก่อให้เกิด
ความรนุ แรงขน้ึ ทง้ั โดยเจตนาและโดยประมาท ซงึ่ เมอ่ื เจา้ หนา้ ทก่ี ระท�ำ ผดิ พลาดไป กลบั ไมม่ กี าร
ลงโทษใหเ้ ปน็ ที่ประจกั ษ์ ขณะทีบ่ างรายได้รับรางวลั เช่น กรณที นายสมชาย นีละไพจติ ร และ
กรณตี ากใบ ส่งผลให้เกิดเงื่อนไขความไม่ไวว้ างใจซ�้ำ แลว้ ซำ้�อกี

2. คุณลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมและชาติพันธ์ุของชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ มีความผูกพันโยงยึดกันด้วยข้อผูกมัดทางศาสนาและวิถีวัฒนธรรมหลายชั่ว
อายุคน ซึ่งเป็นความเช่ือและความสัมพันธ์ท่ีสมาชิกต้องเข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นพันธะสัญญา
ผกู มดั ท่ีมตี ่อชุมชน จงึ มีลักษณะเปน็ เครือขา่ ยชมุ ชนทม่ี อี ารมณ์ ความรู้สกึ ร่วม และพร้อมทีจ่ ะ
แสดงพฤตกิ รรมหมู่ เพราะทุกคนมสี ่วนรว่ มเปน็ เจา้ ของและเช่อื ม่ันตอ่ การรวมพลงั ดังนั้น เมือ่
การดำ�เนินกระบวนการยุติธรรมบางข้ันตอนได้ลงมือกระทำ�การบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามหลัก
นิติธรรมด้วยวิธีการที่รุนแรง ขาดเมตตาธรรม และไม่เหมาะสมต่อหลักศาสนาของผู้ต้องสงสัย

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 45

คนใดคนหนง่ึ ยอ่ มท�ำ ใหพ้ น่ี อ้ งและเครอื ขา่ ยหลอมรวมรว่ มมอื กนั ตอบโตต้ อ่ ตา้ น และไมใ่ หค้ วาม
รว่ มมอื กบั เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั อนั เปน็ การแสดงกลไกในการปอ้ งกนั ตนเองของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ์ ปพรอ้ ม ๆ
กัน ยิ่งกว่าน้ัน การปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อโต๊ะครู ซึ่งเป็นผู้ท่ีได้รับการเคารพนับถือ และเป็น
“ตัวคูณ” ท่สี �ำ คญั ย่อมส่งผลกระทบในทางเสยี หายตามมาอย่างมาก

3. การใช้พยานบุคคล และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ปัญหาการไม่สามารถหาตัว
ผู้กระทำ�ผิดได้ หรือหากได้ตัวผู้ต้องสงสัยก็ไม่สามารถนำ�ไปสู่กระบวนการลงโทษให้เกิดข้ึนได้
เนื่องจากมคี วามพยายามในการแสวงหาพยานหลักฐานจากพยานบุคคลในพื้นที่ โดยไมใ่ ชห้ ลัก
ฐานทางนิติวทิ ยาศาสตร์สนับสนุน ซง่ึ กระท�ำ ได้ยาก เน่ืองจากไม่ได้รบั ความร่วมมือจากคนส่วน
ใหญท่ อ่ี าจเปน็ พนั ธมติ รของผตู้ อ้ งสงสยั ทไ่ี ดร้ บั การปฏบิ ตั อิ ยา่ งไมเ่ ปน็ ธรรม ซงึ่ เปน็ เงอื่ นไขทเ่ี กดิ
จากการด�ำ เนนิ กระบวนการยตุ ธิ รรมบางขนั้ ตอนสร้างไว้ และแม้ชาวบา้ นจะไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ผ้กู อ่
ความไม่สงบบางกลุ่ม แต่รัฐก็ไม่ได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีไว้กับชุมชนท่ีจะก่อให้เกิดความรู้สึกไว้
วางใจและมน่ั คงปลอดภยั เพียงพอตอ่ การก้าวออกมาเป็นพยานหรอื ชเี้ บาะแสให้ ทำ�ใหค้ ดีที่เขา้
สชู่ ้นั การพิจารณาของศาลขาดพยานหลักฐานทม่ี นี �้ำ หนัก และยกฟอ้ งในเวลาตอ่ มา
4. กฎหมาย การดำ�เนนิ กระบวนการยตุ ธิ รรมตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความ
อาญาอยา่ งเครง่ ครดั และยตุ ธิ รรมมคี วามเหมาะสมเพยี งพอแลว้ ประชาชนใน 3 จงั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ ไม่ต้องการกฎอัยการศึก (ทนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นหนึ่งในผู้นำ�การต่อสู้เรื่องให้

46 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายท่ีใชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

ยกเลกิ กฎอยั การศกึ ) หรือพระราชก�ำ หนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉินฯ เพยี งแต่
ให้เจา้ หนา้ ทด่ี ำ�เนินการถกู ตอ้ ง เหมาะสมตามหลักนิติธรรม และไมส่ รา้ งเงื่อนไขใด ๆ เพมิ่ เติม
ขึ้นอีก ความเข้มแข็งของชุมชนและความไว้วางใจรัฐจะช่วยให้การดำ�เนินกระบวนการยุติธรรม
มีประสิทธิภาพในการหาตัวผู้กระทำ�ผิดมาลงโทษได้ โดยอาจใช้กระบวนการยุติธรรมทางเลือก
หลายรูปแบบมารว่ มสนบั สนุน
บทสรุปปญั หาและจุดออ่ นในกระบวนการยตุ ิธรรมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
โดยสรปุ ภาพรวมของปัญหาและจุดออ่ นในกระบวนการยุติธรรม จชต. มีท้ังหมด 7 ประการ คือ
1. ปัญหาเกี่ยวกับระบบบริหารงานยุติธรรม เช่น การขาดเป้าหมายและทิศทางการ
พฒั นากระบวนการยตุ ธิ รรมในภาพรวม การไมส่ ามารถก�ำ หนดนโยบายทางอาญาและน�ำ นโยบาย
ไปปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผล การขาดความรว่ มมอื ขาดระบบการบรหิ ารจดั การทด่ี ี และปญั หาโครงสรา้ ง
หน่วยงานในกระบวนการยตุ ธิ รรม เป็นตน้
2. ปัญหาเกี่ยวกับระบบการดำ�เนินคดีอาญา เช่น การนำ�คดีเข้าสู่ระบบยุติธรรมมาก
เกินไป การขาดการจัดการอย่างเหมาะสมกับการกระทำ�ความผิดแต่ละระดับ ขาดระบบการ
ตรวจสอบ ตรวจคน้ และจบั กมุ ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ รวมท้ังการใช้อำ�นาจในการควบคุมผตู้ ้องสงสัย
ไดน้ านเกนิ สมควร ระบบการสงั่ คดขี องอยั การตอ้ งปรบั ปรงุ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ทางกฎหมาย
ในคดอี าญายงั ขาดประสทิ ธิภาพและไมเ่ พยี งพอ การด�ำ เนินคดีลา่ ชา้ สง่ ผลต่อประสิทธิภาพใน
การอำ�นวยความยุติธรรม เปน็ ตน้
3. ปัญหาเก่ียวกบั ระบบการปฏิบัติตอ่ ผูก้ ระท�ำ ผดิ เช่น การละเลยหรือมองขา้ มความ
สำ�คัญของการแกไ้ ขฟ้นื ฟูผู้กระทำ�ผดิ ระบบการลงโทษยังไม่ได้ค�ำ นึงถึงภูมิหลงั ของผ้กู ระท�ำ ผิด
อย่างจรงิ จัง เปน็ ต้น
4. ปัญหาท่ีเกิดจากการปฏิบัติโดยไม่ชอบธรรมจากบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง
เปน็ การละเมิดสิทธิเสรภี าพของประชาชน เชน่ การคุกคามสทิ ธิของผู้ถกู กลา่ วหา การละเลยไม่
คุม้ ครองสิทธผิ ู้เสยี หายและพยานเท่าทค่ี วร การเลือกปฏิบัติ การใชด้ ลุ พนิ ิจทไี่ มเ่ ทยี่ งธรรม การ
ฉ้อราษฎรบ์ งั หลวง การท�ำ งานที่ลา่ ชา้ เป็นตน้
5. กระบวนการยุติธรรมขาดการมีส่วนร่วมและสนับสนุนจากประชาชน เนื่องจาก
ประชาชนมองว่าไม่ใช่ธุระของตน และผลักภาระของการรักษาความสงบปลอดภัยให้แก่เจ้า
หน้าที่ เพราะเขา้ ใจวา่ ตนไมม่ หี น้าทแี่ ละปล่อยใหเ้ ป็นภาระของกระบวนการยุตธิ รรม เจา้ หน้าท่ี
จงึ รบั ภาระหนกั ทงั้ ๆ ทม่ี จี �ำ นวนและความสามารถจ�ำ กดั ประชาชนและเจา้ หนา้ ทจ่ี งึ หา่ งเหนิ กนั
6. กระบวนการยตุ ธิ รรมขาดองค์ความรู้ และศกั ยภาพในการพัฒนา เช่น การพฒั นา
องคค์ วามรูแ้ ละเทคโนโลยี ดา้ นการข่าว การสบื สวนสอบสวน และด้านนติ วิ ิทยาศาสตร์ เป็นต้น

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 47

7. บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมขาดจิตสำ�นึกและขาดทัศนคติที่ดีในการให้บริการ
ดา้ นความยุติธรรมแกป่ ระชาชน
ดงั ทก่ี ลา่ วมาทงั้ หมดขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ มใิ ช่
เปน็ เพยี งปญั หาอาชญากรรมธรรมดา ทเ่ี กดิ จากความขดั แยง้ เรอ่ื งใดเรอ่ื งหนงึ่ โดยเฉพาะ แตเ่ ปน็
ปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ จากหลากหลายสาเหตผุ สมผสาน และเกย่ี วพนั กนั มายาวนานมาก ทงั้ ในเรอื่ งของ
ประวตั ศิ าสตร์ ชาติพนั ธ์ุ ศาสนา การศกึ ษา สงั คม การเมือง วัฒนธรรม สิง่ แวดลอ้ ม อัตลกั ษณ์
กลมุ่ ผลประโยชน์ สภาวะเศรษฐกจิ จนในทสี่ ดุ กลายเปน็ ความรสู้ กึ ฝงั ลกึ ถงึ ความไมเ่ ปน็ ธรรมใน
สงั คมหรอื การถูกเลอื กปฏิบัติ ที่ถกู ตอกย�ำ้ ผ่านการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย และกระบวนการยุตธิ รรม
ทเี่ ขา้ ถงึ ยากส�ำ หรบั ผยู้ ากจนและคนทไ่ี มร่ กู้ ฎหมาย รวมทงั้ เงอื่ นไขอนั เปน็ ทมี่ าแหง่ ความขดั แยง้
รนุ แรงโดยตรงซง่ึ เกดิ จากการกระท�ำ ของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั บางคนหรอื การถกู ละเมดิ สทิ ธิ เสรภี าพ
การถูกกดข่ขี ม่ เหง ดหู มิ่นเหยยี ดหยามจากความลุแก่อำ�นาจของขา้ ราชการ และความไม่รู้ หรือ
ไม่เขา้ ใจในประเพณี วฒั นธรรม และความเช่ือตามหลกั ศาสนาอิสลาม จนกระทัง่ เม่อื ปัญหาทุก
อยา่ งสง่ั สม หมกั หมมมาเปน็ เวลานาน เงอื่ นไขแหง่ ความเจบ็ ช�้ำ ของชาวบา้ นถกู ตอกย�้ำ ซ�้ำ แลว้ ซ�้ำ
เลา่ จงึ กลายเปน็ ความโกรธแคน้ และน�ำ ไปสกู่ ารรวมกลมุ่ รวมตวั กนั กอ่ เหตอุ าชญากรรมรนุ แรง
และเมอ่ื มกี ลุ่มหน่งึ ท่กี ล้าก่อเหตุ ประกอบกบั คนสว่ นใหญ่ในพื้นท่ี แมไ้ มใ่ ช่เปน็ ผูก้ ระทำ�เอง แต่
รสู้ กึ วา่ สาสมกบั ทตี่ นเองหรอื พวกพอ้ งเคยถกู กระท�ำ จงึ วางเฉยกบั เจา้ หนา้ ทเ่ี สมอื นหนงึ่ การไมร่ ู้
ไมเ่ หน็ และไมใ่ ห้ความรว่ มมือ หรือแมก้ ระท่งั อาจช่วยเหลอื ปกปดิ ข้อมูลให้กับคนรา้ ยด้วย
“.... กระบวนการยตุ ธิ รรม หวั ใจของการสรา้ งสนั ตภิ าพ แตว่ นั นปี้ ระชาชนไมเ่ ชอื่ มนั่ และ
ไมแ่ น่ใจทีจ่ ะพ่ึงพา....”

3. ยทุ ธศาสตร์การพัฒนากระบวนการยตุ ิธรรมจังหวดั ชายแดนภาคใต้
จากสภาพการณ์และขอ้ เท็จจริงของปญั หาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทไี่ ดเ้ กดิ พฒั นาการ

48 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทใี่ ช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ของความขัดแยง้ นำ�ไปส่คู วามรนุ แรง อย่างตอ่ เนอื่ ง และเปน็ ปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีรฐั และ
ทุกภาคสว่ นของสังคมพยายามหาแนวทางปรับเปล่ียนนโยบาย ตลอดจนวธิ ีปฏิบตั ติ า่ ง ๆ เพอื่
คลี่คลายสถานการณ์และสร้างความสมานฉันท์ให้กลับคืนสู่สังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก
ครง้ั หน่งึ แต่การพยายามดังกล่าวกลบั พบว่ายงั มเี งอ่ื นไขสำ�คญั ท่ีทำ�ให้เหตุการณ์ความรนุ แรงยัง
บานปลายอยู่ นน่ั คอื “อปุ สรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุตธิ รรม” ประกอบกับสภาพข้อเทจ็
จริงท่ีปรากฏแก่สังคมไทยร่วมสมัยระหว่างช่วงเวลา พ.ศ.2545-2549 พบว่า การดำ�เนินงาน
ของกระบวนการยตุ ธิ รรมในบางข้นั ตอน กลบั กลายเปน็ ผู้ก่อปัญหาเสียเอง ซง่ึ ส่งผลกระทบอัน
เปน็ การ สรา้ งเงอื่ นไขความไมไ่ วว้ างใจ ใหเ้ กดิ ขน้ึ แกป่ ระชาชนชาวไทยในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ในวงกวา้ ง
นอกจากน้ี การดำ�เนินกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาท้ังที่
เกดิ จากผลกระทบของนโยบายอาญา ผบู้ งั คับใชก้ ฎหมาย การบงั คับใชก้ ฎหมาย ความสัมพนั ธ์
ระหว่างกฎหมายกบั ประชาชน รวมทั้งกระบวนการยตุ ิธรรมโดยตัวเองก็มแี บบแผน กลไก และ
ขั้นตอนการดำ�เนินการท่ีใช้ระยะเวลายาวนาน จนดูเหมือนการปฏิเสธความยุติธรรม กลับย่ิง
เปน็ ตวั เรง่ ในการสร้างเงอื่ นไขความไมไ่ วว้ างใจใหเ้ กิดข้นึ ในสถานการณท์ ต่ี อ้ งการกลไกทมี่ ีความ
เหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพในการจดั การมากกวา่ สถานการณป์ กติ ดว้ ยเหตนุ ี้ การก�ำ หนดแผน
ยทุ ธศาสตรเ์ พอื่ พฒั นากระบวนการยตุ ธิ รรมในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เพอ่ื รองรบั การด�ำ เนนิ งาน
ของหนว่ ยงานในกระบวนการยตุ ธิ รรม ตามนโยบายของรฐั บาล จงึ มคี วามจ�ำ เปน็ อยา่ งยงิ่ ส�ำ หรบั
เปน็ กรอบทศิ ทางการด�ำ เนนิ งานกระบวนการยตุ ธิ รรมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ เปน็ ไปตามหลกั นติ ธิ รรม
และแนวปฏบิ ัติสากล โดยมีรายละเอียดของแผนยทุ ธศาสตร์ ดังน้ี
ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การพฒั นาการอ�ำ นวยความยุตธิ รรมบนพืน้ ฐานหลักนิติธรรม
เป็นการ เปล่ียนกระบวนทัศน์ บุคลากรและการพัฒนาระบบการบริหาร เพ่ือให้เป็น
องคก์ รราชการแนวใหมบ่ นพนื้ ฐานหลกั นติ ธิ รรม การพฒั นาระบบกลไกการอ�ำ นวยความยตุ ธิ รรม
ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ทใ่ี ห้ความส�ำ คัญกบั หลกั ธรรมาภิบาล นำ�การบริหารจัดการสมัยใหม่
และวิทยาการ เทคโนโลย ี นวัตกรรมในกระบวนการยตุ ธิ รรมมาปรบั ใช้ เสรมิ สร้างขวัญก�ำ ลัง
ใจของผู้ปฏิบัติงานและปลูกจิตสำ�นึกรักความยุติธรรม และจิตอาสาของบุคลากรกระบวนการ
ยุตธิ รรม โดยค�ำ นงึ ถึงหลกั สทิ ธเิ สรภี าพ หลกั สิทธิมนษุ ยชน หลักสิทธิชุมชน
ยุทธศาสตรท์ ่ี 2 การเสรมิ สรา้ งยุติธรรมชุมชนและยุตธิ รรมทางเลือกให้เข้มแขง็
เปน็ การประมวลความขดั แยง้ ทกุ มติ ใิ นพน้ื ท่ี ก�ำ หนดแนวทางหรอื รปู แบบการแกไ้ ขและ
ลดข้อขัดแย้งด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ประชาสังคม เสริมพลังชุมชน

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายท่ีใช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 49

และให้ความสำ�คัญกับบทบาทของผู้นำ�ท้องท่ี (กำ�นัน/ผู้ใหญ่บ้าน) ท้องถิ่น และผู้นำ�ศาสนาให้
มีความร่วมมอื รว่ มใจเป็นหน่งึ เดียว ในการจดั การปญั หาความขดั แยง้ ของชมุ ชน พัฒนาและส่ง
เสริมการน�ำ มาตรการใหม่ ๆ มาปรบั ใชใ้ นการสร้างความสมานฉนั ทใ์ นระดับบคุ คล ชมุ ชนและ
สงั คม ให้ความรู้ ความเข้าใจ เรอื่ งยตุ ธิ รรมชุมชนแก่เยาวชน ประชาชน ชมุ ชนในวงกวา้ ง สรา้ ง
เสริมกลไกการจัดการความรู้และการแลกเปล่ียนเรียนรู้และขยายเครือข่ายยุติธรรมชุมชนใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้ บนพ้ืนฐานหลักศาสนาและหลักวิชาการท่ีตระหนักในความแตกต่าง
หลากหลายของชุมชน พร้อมทั้งเสริมสร้างปัจจัยสนับสนุน ประสานงาน ติดตามประเมินผล
การปฏิบัติงานยตุ ธิ รรมชมุ ชนของชุมชน องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน จัดตง้ั และวางกลไกการ
ประสานความรว่ มมอื ในรปู สมชั ชายตุ ธิ รรมชมุ ชน เพอ่ื การบรู ณาการการท�ำ งานของภาครฐั และ
ภาคเอกชนใหเ้ ปน็ ทนุ ทางสงั คมในพนื้ ท่ี สรา้ งพลงั การท�ำ งาน เพอื่ การสรา้ งความมนั่ คงปลอดภยั
และสมานฉันทใ์ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 3 การพฒั นาระบบและแนวทางปฏบิ ตั ติ อ่ ผกู้ ระท�ำ ผดิ ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
ทบทวน กฎหมาย กฎ ระเบียบ แนวปฏิบัติต่อผู้กระทำ�ผิดทางอาญา ในพ้ืนท่ี
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้ังแต่ก่อน/ระหว่างและหลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จัดตั้งศูนย์
นิติวิทยาศาสตร์และวิทยาการสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ พัฒนาระบบการจำ�แนกข้อมูล
เก่ียวกับผู้ก่อความไม่สงบ ผู้กระทำ�ผิดทางอาญาและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำ�ผิดในพื้นที่ โดย
ให้ความสำ�คญั กบั เดก็ เยาวชนในพ้นื ทจี่ ังหวดั ชายแดนภาคใต้
ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 4 การพฒั นาระบบการฟื้นฟู แกไ้ ข เยยี วยา ผ้ไู ด้รบั ผลกระทบจากสถานการณ์
จังหวัดชายแดนภาคใต้
มงุ่ เน้นทบทวนระบบการฟ้ืนฟู แก้ไข เยียวยา ท่ีใชอ้ ยถู่ งึ ขอ้ จ�ำ กดั และข้อบกพรอ่ งจาก
การปฏบิ ตั งิ านในพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดนภาคใต้ พฒั นา ก�ำ หนดแนวทางและวางระบบใหส้ อดคลอ้ ง
กบั ปญั หาในพน้ื ที่ ลดความซ�ำ้ ซอ้ นและปญั หาทกี่ อ่ เกดิ ความรสู้ กึ ทไี่ มเ่ ปน็ ธรรม ท�ำ ใหผ้ ไู้ ดร้ บั ความ
เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบและครอบครัวเข้าถึงได้ง่าย สะดวกรวดเร็วและเสมอภาคโดยไม่
เลือกปฏิบัติ
ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 5 การส่งเสรมิ การประชาสัมพันธ์เชิงรุกด้านการอำ�นวยความยุติธรรม
เพ่ือให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครอบคลุมครบถ้วน ตรงต่อความจริง
และทันต่อสถานการณ์ ซ่ึงจะท�ำ ใหภ้ าพลักษณ์ของกระบวนการยตุ ิธรรมดขี น้ึ ในทกุ มิติ

50 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายที่ใช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

บทท่ี 3
กระบวนการยุติธรรมทางเลอื ก
หลังจากท่ีเราได้เรียนรู้เรื่องกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม รวมท้ังปัญหาอันเป็น
ที่มาของความขัดแย้ง จนนำ�ไปสู่ความรุนแรง ขยายบานปลายและยืดเยื้อมานาน ทำ�ให้มี
ผูบ้ าดเจบ็ พิการ เสียชวี ติ ตลอดจนมีผลกระทบทางเศรษฐกจิ สังคม การเมือง ทม่ี ีคนจ�ำ นวน
มากเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งและไดร้ บั ความเสยี หาย โดยทร่ี ฐั บาลและหนว่ ยงานภาครฐั ภาคประชาสงั คม
และประชาชนในพนื้ ทจ่ี งั หวดั ภาคใตพ้ ยายามหาวธิ กี ารตา่ ง ๆ ทเี่ หมาะสมเพอ่ื มาชว่ ยแกไ้ ขปญั หา
วกิ ฤตกิ ารณด์ งั กลา่ วดว้ ยสนั ตวิ ธิ ี ดงั นน้ั หนว่ ยนจี้ งึ เปน็ หนว่ ยพเิ ศษทอี่ ยากใหท้ กุ คนไดเ้ รยี นรแู้ ละ
ทำ�ความเข้าใจเครื่องมือ หรือวิธีการอย่างหน่ึงที่เชื่อว่า จะสามารถนำ�มาเสริมการแก้ไขปัญหา
จังหวัดชายแดนภาคใต้ไดเ้ ปน็ อย่างดี และทส่ี �ำ คัญท่ีสุด เป็นวธิ กี ารท่ีทุกคน ทุกฝา่ ยสามารถน�ำ
มาใช้ หรอื เขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในไดใ้ นทกุ ขน้ั ตอน จงึ เรยี กวา่ “กระบวนการยตุ ธิ รรมชมุ ชน” ซงึ่ เปน็
กระบวนการยตุ ธิ รรมส�ำ หรบั ประชาชน ทนี่ �ำ เอาหลกั การมสี ว่ นรว่ มของสมาชกิ ในชมุ ชน หลกั การ
ศาสนา และวถิ ปี ฏบิ ตั ทิ ส่ี อดคลอ้ งกบั ประเพณี วฒั นธรรม ความเชอ่ื ตา่ ง ๆ มาใชเ้ พอื่ แกไ้ ขปญั หา
ความขัดแย้ง นอกเหนอื จากกระบวนการยตุ ธิ รรมตามกฎหมายปกติ โดยมีองคค์ วามรูเ้ ร่อื งของ
“กระบวนการยตุ ธิ รรมเชิงสมานฉันท”์ มาเป็นส่วนประกอบกับมาตรการพิเศษ เชน่ การอบรม
แทนการฟอ้ ง โครงการพาคนกลับบา้ น เปน็ ตน้ ซ่งึ ทั้งหมดทก่ี ล่าวมานั้น ในภาพรวมเราเรียกว่า
“กระบวนการยตุ ิธรรมทางเลือก” นั่นเอง
1. ทำ�ความเข้าใจความหมายและความแตกต่างของคำ�ว่า ยุติธรรมทางเลือก
ยุตธิ รรมชมุ ชน และยุติธรรมเชิงสมานฉนั ท์
ยุติธรรมทางเลอื ก
ยุติธรรมทางเลือก (Alternative Dispute Resolutions หรือ ADRs) หมายถึง
การเปดิ โอกาส ใหห้ นว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ ง รวมทงั้ ประชาชน และชมุ ชน ไดร้ ว่ มมอื กนั เพอื่ สรา้ งความ
เปน็ ธรรมในสังคม โดยการมีสว่ นร่วมในการก�ำ หนดแนวทาง หลักเกณฑ์ กลไก วธิ ีการ และรว่ ม
ปฏิบัติ ในการป้องกัน-ควบคุมอาชญากรรม จัดระเบียบชุมชน การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
การแกไ้ ขปญั หาเดก็ -เยาวชนกระท�ำ ผดิ และการกระท�ำ ผดิ กฎหมายในระดบั ทไ่ี มซ่ บั ซอ้ นรนุ แรง
การเยียวยาและเสริมพลังการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำ�ผิดในชุมชน ควบคู่ไปกับการร่วมมือหรือ
ส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ทั้งน้ี เพ่ือบรรลุผลลัพธ์สุดท้ายร่วมกัน คือ
ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของประชาชน ความสงบสขุ และสมานฉนั ทข์ องสงั คม และ
ความมนั่ คงของประเทศชาติ โดยครอบคลมุ ถงึ การปรบั เปลยี่ นวธิ คี ดิ -ปฏบิ ตั ติ อ่ การขยาย-พฒั นา

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 51

ชอ่ งทาง หนั เหคดจี ากกระบวนการยตุ ธิ รรมหลกั การก�ำ หนดมาตรการเสรมิ ทเ่ี หมาะสมกบั เด็ก-
เยาวชนกระทำ�ผดิ กลมุ่ เสีย่ ง และเดก็ ด้อยโอกาส การขยายเครือข่าย-พันธมิตรงานยุติธรรม

ยุติธรรมทางเลอื ก : เน้นกระบวนการยตุ ธิ รรมเชิงสมานฉันท์และสนั ติวธิ ใี นวิถชี มุ ชน
โดยผ่านกลไกกรรมการหมูบ่ า้ น

ยตุ ิธรรมทางเลอื ก : สง่ เสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวงั สงั คมและปอ้ งกัน
ตนเอง (Social Awareness)

ยุติธรรมชุมชน
ยตุ ิธรรมชมุ ชน (Community Justice) หมายถึง กระบวนการยตุ ิธรรมทางเลือกทใ่ี ช้
เปน็ ยทุ ธศาสตรแ์ ละยทุ ธวธิ สี ง่ เสรมิ สนบั สนนุ หรอื กระตนุ้ ใหป้ ระชาชนในชมุ ชนเขา้ มสี ว่ นรว่ มหรอื
เปน็ หุน้ ส่วนในการป้องกนั ควบคมุ จดั การความขดั แย้งในชมุ ชน รวมทัง้ การดูแลเยียวยาความ
เสยี หายหรอื ความรนุ แรงทเ่ี กดิ จากอาชญากรรมหรอื การกระท�ำ ผดิ ตลอดจนคนื คนดกี ลบั สชู่ มุ ชน
ดว้ ยการฟนื้ ฟรู ะบบยตุ ธิ รรมเชงิ จารตี และ/หรอื พฒั นาระบบยตุ ธิ รรมชมุ ชน โดยมเี ปา้ หมายเพอ่ื ให้
ประชาชนรูส้ กึ ม่ันคงปลอดภัยและเข้าถึงความยตุ ิธรรม และเพอื่ ให้ชมุ ชนมศี ักยภาพและความ
สมานฉันท์ และมีกลไกการทำ�งานตามระบบยุติธรรมชุมชนท่ีเชื่อมโยงกับระบบยุติธรรมหลัก
ผ่านการประสานงานของหน่วยงานยุติธรรมจงั หวัดได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ

แนวคิดยตุ ิธรรมชุมชน
การเปิดพืน้ ทข่ี องชุมชนในการอ�ำ นวยความยตุ ธิ รรมโดยชมุ ชน เปน็ กระบวนการยตุ ธิ รรม
ทางเลือกและการจดั การความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์ เตมิ เต็มช่องวา่ งทขี่ าดหายไปใน

กระบวนการยตุ ธิ รรม
“อาชญากรรมทง้ั ปวงเกดิ จากชมุ ชนฉนั ใด ความยตุ ธิ รรมทง้ั ปวงยอ่ มเกดิ จากชมุ ชนฉนั นน้ั ”
ยตุ ิธรรมเชงิ สมานฉันท์
ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) หรือ การจัดการความขัดแย้งเชิง

52 รายวิชาที่ 6 กฎหมายท่ใี ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้

สมานฉนั ท์ หมายถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลอื กทม่ี งุ่ ฟน้ื ฟสู มั พนั ธภาพระหวา่ งคกู่ รณภี ายหลงั
จากท่ีความขัดแย้งได้ทำ�ลายสัมพันธภาพของท้ังสองฝ่ายไป โดยเน้นการเยียวยาความเสียหาย
แก่เหย่ืออาชญากรรม เรียกรอ้ งความส�ำ นกึ รบั ผดิ ชอบจากผกู้ ระท�ำ ผิด และเปิดโอกาสให้ชุมชน
มีส่วนร่วมในการประสานจัดการประชุมปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาและฟ้ืนฟูสัมพันธภาพ
ทำ�ให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมได้กลับคืนสู่สภาพท่ีดี อันเป็นการสร้างความ
สมานฉันท์ในสังคมเป็นเป้าหมายสุดท้าย ท้ังน้ีในการจัดการความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์อาจใช้
รปู แบบตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การไกลเ่ กลยี่ (Dispute Resolution) การประชมุ ฟน้ื ฟสู มั พนั ธภาพ (Victim-
offender Mediation) การประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน (Family and Community
Group Conference) และวธิ ีการเชิงจารีตหรือวธิ ีการของทอ้ งถ่นิ รปู แบบตา่ ง ๆ รวมท้ังคณะ
กรรมการชมุ ชน (Reparation Board) หรือคณะกรรมการของหนว่ ยงานใด ๆ ทจี่ ดั ตัง้ ข้ึน

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 53

เครอื ขา่ ยยุตธิ รรมชมุ ชน (Community Justice Network) หมายถงึ กลไกเชิงระบบ
และโครงสร้างหน้าท่ีในการรักษาดุลยภาพด้านความยุติธรรมของชุมชนที่ประชาชนรวมตัวกัน
รว่ มกนั สรา้ งและพฒั นากจิ กรรมทผ่ี กู โยงความสมั พนั ธด์ า้ นงานยตุ ธิ รรมและความเปน็ ธรรมทาง
สงั คมขน้ึ ภายใตก้ ารกระตนุ้ ของหนว่ ยงานในกระบวนการยุตธิ รรม ซงึ่ ปรากฏในรปู ของกจิ กรรม
ต่าง ๆ เกี่ยวกับการอำ�นวยความยุติธรรม รวมทั้งการจัดการกับอาชญากรรมและการกระทำ�
ผิดท่ีมลี กั ษณะของการปอ้ งกัน ควบคุม จดั ระเบียบชมุ ชน ใหค้ วามรู้ ค้มุ ครองสิทธิเสรีภาพของ
พลเมือง จัดการหรือยุติความขัดแย้งด้วยวิธีการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท โดยรูปแบบตาม
จารีตประเพณี รปู แบบของกล่มุ ชาติพันธุ์ รปู แบบตามขนบธรรมเนยี มของทอ้ งถิ่น หรอื รปู แบบ
ตา่ ง ๆ แบบของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉนั ท์ท่ีมกี ารพัฒนาระบบรว่ มสมัยขนึ้ ตลอดจน
เยยี วยาสมานฉนั ท์ความรุนแรงอันเกดิ จากอาชญากรรมและรบั ผกู้ ระท�ำ ผดิ กลบั คนื สชู่ มุ ชน
ระบบงานยุติธรรมชุมชน (Community Justice System) หมายถึง กระบวนการ
บรหิ ารและการด�ำ เนนิ กจิ กรรมทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั งานยตุ ธิ รรมชมุ ชนและยตุ ธิ รรมทางเลอื กทง้ั ระบบ
ซ่ึงประกอบด้วยการศึกษาองค์ความรู้ การกำ�หนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และกลไกการดำ�เนิน
งาน เช่น ขนั้ ตอน วิธกี ารในการสรรหา การพัฒนา การรกั ษาไว้ และการมอบหมายภารกิจให้
เครือข่ายยตุ ธิ รรมชุมชนดำ�เนินการ เปน็ ต้น

54 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้

2. ยตุ ิธรรมชมุ ชนเป็นรูปแบบที่สำ�คัญในการสง่ เสรมิ การมีสว่ นร่วมในกระบวนการยุติธรรม
กรอบแนวคดิ ยตุ ธิ รรมชมุ ชน
จุฑารตั น์ เอือ้ อ�ำ นวย และคณะ (2550) ได้ท�ำ การศึกษาเรือ่ ง “ยตุ ิธรรมชุมชน: การเปิด
พ้นื ทข่ี องชมุ ชนในการอำ�นวยความยตุ ิธรรม” และไดน้ �ำ เสนอกรอบแนวคดิ ยตุ ธิ รรมชุมชนไว้ใน
ประเดน็ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1) ยตุ ธิ รรมชมุ ชนกบั การเปิดพ้นื ทขี่ องชุมชนในการอำ�นวยความเป็นธรรม
ความหมายของค�ำ ว่า “ชุมชน” ในยุคสมยั ปจั จุบนั มีลกั ษณะทีเ่ ล่อื นไหลไปจากการผกู
ตดิ กบั พ้ืนท่ที างภูมศิ าสตร์เชน่ ท่ีเคยเขา้ ใจกันมา โดยความหมายของ “ชุมชน” ในท่ีน้ี หมายถงึ
การผกู โยงความสมั พนั ธท์ างสงั คมบนพนื้ ทใี่ ด ๆ กต็ าม รวมทง้ั บนคลน่ื ความถ่ี และไซเบอรส์ เปซ
ทง้ั หลายทเี่ กดิ ขน้ึ ใหมต่ ามมติ คิ วามสมั พนั ธเ์ ชงิ เครอื ขา่ ยของสรรพสงิ่ ในโลกทจี่ ะไดร้ บั การคน้ พบ
ต่อ ๆ ไปในอนาคต
ดงั นัน้ เม่อื นำ� “ความยุตธิ รรม” มาผกู ไว้กบั “ชุมชน” แห่งอนาคตอันใกลท้ ี่มีลกั ษณะ
เปน็ “เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธท์ างสงั คมไรพ้ รมแดนและพนื้ ท”่ี ยอ่ มท�ำ ใหร้ ปู แบบการอ�ำ นวยความ
ยุติธรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมท่ี “มีรูปแบบทางการเพียงแบบเดียว” ไปสู่การอำ�นวยความ
ยุติธรรมที่ “ไม่มรี ปู แบบตายตวั ” หรืออกี นยั หนงึ่ มีรูปแบบทย่ี ืดหย่นุ ไปตามลักษณะเฉพาะแหง่
ความสมั พนั ธ์ของมนุษย์ในสงั คมแตล่ ะชุดความสมั พันธ์ เชน่ เดยี วกันท่ผี ปู้ ระสานความยุตธิ รรม
ก็จำ�เป็นต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิมท่ีใช้ “คนกลางมืออาชีพ” ต้ังรับคดีความอยู่ใจกลางเมือง
สู่บุคคลท่ีสามซึ่งเป็น “ใครก็ได้ซ่ึงไม่ใช่คู่กรณี” ที่เกาะเก่ียวคุณลักษณะสำ�คัญร่วมกัน คือ
มีจิตสำ�นึกความยุติธรรมและมีทักษะการจัดการความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์ รุกคืบฟ้ืนฟู
สมั พันธภาพทีถ่ ูกทำ�ลายของคู่กรณดี ้วยกันและกับชุมชนที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านหรือทุกหนแหง่ ทเี่ ปน็
“ชมุ ชน” ซง่ึ กค็ อื พน้ื ทท่ี มี่ เี ครอื ขา่ ยความสมั พนั ธท์ างสงั คมผกู พนั กนั อยู่ ดว้ ยเหตนุ ี้ การเปดิ พนื้ ท่ี
ของชุมชนในการอำ�นวยความยุติธรรมด้วย “ยุติธรรมชุมชน” จึงเป็นการเปิดพื้นที่การอำ�นวย
ความยุติธรรมแก่บรรดากลุ่มความสัมพันธ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายแบบไร้
พรมแดน โดยไมจ่ ำ�กัดอยู่เฉพาะชุมชนตามแนวคดิ พ้ืนทท่ี างภูมิศาสตรเ์ ทา่ นัน้
2) ยตุ ิธรรมชมุ ชนกับการจดั การความขัดแยง้ เชงิ สมานฉนั ท์
ภารกิจหลักท่ีสำ�คัญอีกประการหนึ่งที่ชุมชนสามารถอำ�นวยความยุติธรรมแก่สมาชิก
ในชุมชนด้วยกันเองได้เป็นอย่างดี คือ กระบวนการของการจัดการความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์
(Restorative Justice) ซึ่งหมายถึง การทำ�ให้ความขัดแย้งที่เกดิ ขน้ึ ในชมุ ชนยตุ ลิ งหรือบรรเทา
ความรุนแรงลงด้วยการประสานงาน การดำ�เนินการเอง หรือส่งต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง โดย

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 55

คนในชุมชนเป็นผู้ดำ�เนินการตามรูปแบบ วิธีการเชิงสมานฉันท์ หรือวิธีการท่ีไม่ใช้ความรุนแรง
หรือสันติวิธี
กจิ กรรมเกยี่ วกบั การจดั การความขดั แยง้ เชงิ สมานฉนั ท์ ไดแ้ ก่ กระบวนการหรอื วธิ กี าร
ทป่ี ระชาชนมีส่วนร่วมในการจดั การความขดั แยง้ ทเี่ กดิ ข้นึ ระหวา่ ง
1) บคุ คลดว้ ยกัน
2) บุคคลกับระเบียบกฎเกณฑ์ของชมุ ชน
3) บุคคลหรือระเบยี บกฎเกณฑ์ หรือกฎหมายของรัฐ
4) ชดุ ระเบียบกฎเกณฑ์ของชุมชนกับระเบียบกฎเกณฑ์ของรฐั โดยใชร้ ปู แบบ
ตา่ ง ๆ ในการจดั การความขดั แยง้ ไดแ้ ก่ การไกลเ่ กลยี่ (Dispute Resolution) การประชมุ ฟนื้ ฟู
สัมพนั ธภาพ (Victim-offender Mediation) การประชุมกลมุ่ ครอบครัวและชุมชน (Family
and Community Group Conference) และวิธีการเชงิ จารีตหรือวิธกี ารของท้องถ่นิ รปู แบบ
ต่าง ๆ เชน่ สภาผเู้ ฒา่ เจ้าโคตร แกบ่ ้าน เกลอ มูซาวาเราะฮ เปน็ ต้น
3) ยตุ ิธรรมชมุ ชนกบั การเตมิ เตม็ ชอ่ งวา่ งท่ขี าดหายไปของกระบวนการยตุ ิธรรม
ระบบยตุ ธิ รรมทขี่ าดการหยงั่ ลกึ ถงึ รากฐานชมุ ชน จะท�ำ ใหก้ ารควบคมุ อาชญากรรมทกุ
รูปแบบกระทำ�ได้ยาก การท่ีระบบยุติธรรมไม่ให้ความสำ�คัญกับชุมชน หรือชุมชนเข้าถึงระบบ
ยุติธรรมได้ยากน้ัน วิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากปัญหาและผลกระทบท่ีเกิดจากช่องว่างของบทบาท
และหน้าทีใ่ นการป้องกนั อาชญากรรมระหวา่ งรฐั กบั ชมุ ชน
การที่รัฐเข้มแข็งข้ึน และชุมชน รวมทั้งประชาสังคมอ่อนแอลงน้ัน มีข้อสรุปจากการ
สัมมนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาทของประชาสังคมกับกระบวนการยุติธรรม จัดโดยคณะ
กรรมการนโยบายสงั คมแหง่ ชาตแิ ละสถาบนั กฎหมายอาญา เมอื่ วนั ที่ 29 พฤษภาคม 2543 ระบุ
ว่า อาจเน่ืองมาจากความสัมพันธ์ในเชิงเผด็จการอำ�นาจนิยมที่แยกกระบวนการยุติธรรมออก
จากประชาสังคม โดยประชาสังคมมีหน้าที่สนองรับส่ิงท่ีกระบวนการยุติธรรมให้มาเท่านั้น ซ่ึง
ปรากฏการณท์ างสงั คมนไี้ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาและผลกระทบตามมา คอื ประชาชนมบี ทบาทในการ
รักษาความสงบและปลอดภยั ในสังคมนอ้ ยลง หรอื ไม่มเี ลยและรสู้ กึ วา่ ไม่ใชธ่ รุ ะของตน หากแต่
เปน็ ของเจา้ หนา้ ทบี่ า้ นเมอื งโดยเฉพาะต�ำ รวจ จงึ ผลกั ภาระในการรกั ษาความสงบและปลอดภยั
ไปให้เจา้ หนา้ ที่ เช่น ต�ำ รวจและฝา่ ยปกครอง คดคี วามบางประเภทเป็นเรอ่ื งทส่ี ามารถไกล่เกลย่ี
ประนอมข้อพิพาทกันได้ในชุมชน กลับไม่มีใครจัดการเพราะไม่ได้รับมอบหมาย และเข้าใจว่า
ไมใ่ ชห่ นา้ ทขี่ องตน ผลกั ภาระไปใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมเปน็ ผดู้ �ำ เนนิ การชข้ี าด เสยี เงนิ ทอง เสยี
เวลา ทงั้ ของรฐั และประชาชนเปน็ จ�ำ นวนมาก ผลทต่ี ามมาคอื เจา้ หนา้ ทตี่ อ้ งรบั ภาระหนกั ทง้ั ๆ
ท่ีจำ�นวนและความสามารถจำ�กัด การทำ�งานของเจ้าหน้าท่ีจึงไม่ได้ผลสมความต้องการท้ังของ

56 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทีใ่ ช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ประชาชนและของเจา้ หนา้ ทเ่ี อง และเมอื่ ความรสู้ กึ เชน่ นน้ั เกดิ ขนึ้ และประชาชนกบั เจา้ หนา้ ทก่ี ็
หา่ งเหนิ กนั และกนั ความหา่ งเหนิ ท�ำ ใหฝ้ า่ ยเจา้ หนา้ ทขี่ าดผคู้ วบคมุ ดแู ล และเมอ่ื เผชญิ กบั ความ
เยา้ ยวนรูปแบบต่าง ๆ เจา้ หนา้ ท่ี ซ่ึงโดยหลักการและกำ�เนิดเป็นผู้ทคี่ วรจะให้บริการประชาชน
กห็ นั ไปสนองความเยา้ ยวนนนั้ ยง่ิ หา่ งประชาชนออกไปเทา่ ใด โอกาสทจ่ี ะกลายเปน็ ทรราชหรอื
ทจุ รติ หรือทง้ั สองอย่างกย็ ิง่ มมี ากขน้ึ เทา่ นั้น
4) ยตุ ธิ รรมชมุ ชนกบั การแกไ้ ข ปอ้ งกนั ปญั หาอาชญากรรมในชมุ ชนโดยกระบวนการ
ชุมชน
ภารกิจและเป้าหมายหลักของยุติธรรมชุมชนประการหน่ึงท่ีชุมชนจะสามารถอำ�นวย
ความยตุ ธิ รรมแกก่ ันและกันได้ คอื การป้องกนั ควบคุมอาชญากรรม และการกระท�ำ ความผิด
(Crime Control and Crime Prevention) หมายถงึ การกระทำ�เชิงรกุ ใด ๆ อันเปน็ การระงับ
ยบั ยง้ั หรอื ชะลอเวลา หรอื สถานการณม์ ใิ หน้ �ำ ไปสกู่ ารเกดิ อาชญากรรม และการกระท�ำ ผดิ ดว้ ย
การควบคุม จัดระเบียบชุมชน เล็งเห็นผล และทำ�การป้องกันก่อนเกิดปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้นกับ
บคุ คล เวลา และสถานท่ี ทง้ั ที่เป็นกลุ่มเสีย่ งในการกระท�ำ ผดิ และกลุ่มเสยี่ งในการตกเปน็ เหยือ่
อาชญากรรม เชน่ บคุ คล ได้แก่ กลมุ่ วัยรนุ่ ชาย วยั รนุ่ หญิง เวลา ได้แก่ ยามวิกาล ร่งุ สาง สถาน
ท่ี ได้แก่ ตกึ ร้าง ซอยเปล่ยี ว เป็นต้น
กจิ กรรมการป้องกนั ควบคมุ อาชญากรรม และการกระทำ�ผดิ ได้แก่ กจิ กรรมต่าง ๆ ท่ี
มลี กั ษณะของการป้องกัน ควบคมุ จดั ระเบียบชมุ ชน และให้ความรูเ้ กีย่ วกบั อาชญากรรม และ
การกระทำ�ผิดกฎหมายของเด็กและเยาวชน การกระทำ�ผิดระเบียบชุมชน การคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพของประชาชนพลเมือง ฯลฯ ทั้งที่เป็นกิจกรรมเชิงจารีต กิจกรรมยุติธรรมของท้องถิ่น
และกิจกรรมของเครือข่ายยุติธรรมชุมชนที่พัฒนาข้ึน โดยเน้นการใช้กลยุทธ์การควบคุมทาง
สังคมแบบไมเ่ ป็นทางการเปน็ หลัก

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 57

3. การอบรมแทนการฟ้อง คือยุติธรรมทางเลือก และเป็นมาตรการพิเศษใน
กระบวนการยุตธิ รรม จชต. เพอ่ื แกไ้ ขปญั หาความขัดแยง้ เชิงสันตวิ ิธี
กระบวนการคิด เจตนารมณ์ และวัตถุประสงค์ท่ีแท้จริงของการดำ�เนินการให้โอกาส
“อบรมแทนการฟ้อง” สำ�หรับใช้กับผู้กระทำ�ความผิดในคดีอันเกี่ยวกับความม่ันคง ตาม
บทบัญญัติมาตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.การรกั ษาความมัน่ คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ดังน้ี
ประการแรก หลักคิดส�ำ คัญภายใตบ้ ทบัญญัติมาตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.การรักษาความ
มั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 คือการนำ�เอา “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
(Restorative Justice)” มาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาเพอื่ เปน็ ทางออกไปสู่การคล่คี ลาย และสลาย
โครงสร้างของกระบวนการต่อสู้ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้ความรุนแรงต่อสู้กับรัฐ โดยเป้า
หมายสงู สดุ ของการด�ำ เนนิ การดงั กลา่ วคอื ทกุ ฝา่ ยในสงั คมไดม้ โี อกาสกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม
อยา่ งสงบ และย่ังยนื
หลักการของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) หมายถึง
กระบวนการยุติธรรมทางเลือกสำ�หรับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชน ที่ถูกมาใช้เฉพาะ
กรณผี ู้กระท�ำ ความผิดท่กี ระทำ�การใด ๆ อันเป็นเหตใุ หเ้ กิดความเสียหายต่อผ้อู นื่ โดย “หลงผดิ
หรือร้เู ทา่ ไม่ถงึ การณ”์ และเมื่อพบวา่ ผูก้ ระท�ำ ความผิดรู้สำ�นึก กลบั ใจ และตระหนกั รู้ถงึ ความ
เสียหายอันเกิดจากการกระทำ�ผิดของตนเอง ประกอบกับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นบุคคลในชุมชนท่ีผู้
ตอ้ งหาหรอื ผกู้ ระท�ำ ความผดิ จะตอ้ งกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม ไดม้ กี ารสอ่ื สาร สรา้ งความเขา้ ใจ
โดยความรว่ มมอื ของสมาชกิ ในชมุ ชน จนน�ำ ไปสกู่ ารคลค่ี ลายความโกรธแคน้ และใหอ้ ภยั ตอ่ กนั
แลว้ จากนน้ั จะตอ้ งมกี ารปรกึ ษาหารอื เรอ่ื งกระบวนการเยยี วยาทงั้ ดา้ นกายภาพและดา้ นจติ ใจแก่
ผเู้ สยี หาย ตลอดจนการเยยี วยาทางสงั คม และรว่ มกนั วางแผนในชมุ ชนเพอื่ ใหท้ กุ ฝา่ ยไดส้ ามารถ
อยู่ร่วมกันไดอ้ ยา่ งปกติสุขเปน็ ประเดน็ ส�ำ คัญ
ประการทสี่ อง บทบญั ญตั มิ าตรา 21 แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารรกั ษาความมนั่ คงแหง่ ราช
อาณาจกั ร พ.ศ. 2551 ไดก้ ำ�หนดองคป์ ระกอบในการพิจารณาผู้ตอ้ งหาท่ีจะเขา้ สกู่ ระบวนการ
อบรมแทนการฟอ้ งไว้ 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1) ผตู้ อ้ งหาตอ้ งกระท�ำ ความผดิ ใน “คดอี าญาอนั มผี ลกระทบตอ่ ความมน่ั คง” ตามฐาน
ความผดิ ทคี่ ณะรฐั มนตรปี ระกาศเทา่ นนั้ ซงึ่ หมายถงึ วา่ ไมใ่ ชใ่ ครกไ็ ดท้ ก่ี ระท�ำ ความผดิ แลว้ จะได้
รบั โอกาสอบรมแทนการฟอ้ งตามมาตรา 21 ดงั กล่าว เพราะผกู้ ระท�ำ ผิดในคดอี าญาทั่วไป ย่อม
ต่างกันท่ีกระบวนการคิด และเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการกระทำ� คดีอาญาทั่วไปผู้กระทำ�
ความผดิ จะมเี จตนากระท�ำ การเพอื่ ผลประโยชนข์ องตวั เองเปน็ หลกั เชน่ การแกแ้ คน้ การแสวงหา

58 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้

ประโยชน์จากทรัพย์สิน หรือการมุ่งทำ�ลายชีวิตร่างกายผู้อ่ืนเพ่ือตอบสนองอารมณ์และความ
ตอ้ งการของตวั เอง แตใ่ นกรณผี กู้ ระท�ำ ความผดิ ในคดคี วามมน่ั คง จชต. นน้ั พบวา่ ผกู้ ระท�ำ ความ
ผดิ ทีห่ ลงผิดนนั้ กระท�ำ การใด ๆ ลงไปเพราะเข้าใจวา่ เปน็ การกระท�ำ ที่ถูกต้องตามหลักศาสนา
(การญีฮาด) หรือกระทำ�เพือ่ ปกปอ้ งชาติ และแผ่นดนิ เกิดของตนเอง เจตนาจึงไมใ่ ชก่ ระทำ�เพ่อื
ตนเอง แตเ่ ป็นการม่งุ กระท�ำ เพ่ือผอู้ ่ืนและส่วนรวม ทัง้ นี้ อาจเป็นเพราะบคุ คลเหล่านัน้ ถกู ปลกู
ฝังแนวคิด และให้ข้อมูลหรือหลักการทางศาสนาท่ีผิดมาต้ังแต่เป็นเด็ก โดยไม่มีโอกาส หรือมี
บุคคลใดที่มีเจตนาดีไปปรับเปลี่ยนความคิดเขาในขณะนั้น ซึ่งหลักฐานท่ีช้ีชัดในกรณีนี้เราจะ
พบวา่ ผู้กระท�ำ ความผิดในคดคี วามมั่นคงทุกคนจะเป็นคนยากจน เคร่งศาสนา และอย่ใู นพนื้ ที่
ห่างไกล ไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวทางอ่ืนเลย นอกจากครูผู้สอนศาสนาหรืออุสตาชบางคน
ผมู้ เี จตนาบดิ เบอื นแนวคดิ และใชศ้ าสนาเปน็ เครอื่ งมอื สรา้ งคนเพอื่ เปน็ “เครอื่ งจกั รมนษุ ย”์ ไวส้ ง่ั
ใชใ้ หก้ ระท�ำ ในสง่ิ ทช่ี วั่ รา้ ยแทนตน สว่ นผลประโยชนต์ นเองจะเปน็ ผคู้ อยเกบ็ เกย่ี วในภายหลงั ดงั
น้ัน ผ้หู ลงผิดจงึ เป็นเพียงเครอ่ื งมือของคนบางคนหลอกใช้เทา่ น้นั
2) ผตู้ อ้ งหาตอ้ งกลบั ใจเขา้ มอบตวั นนั่ คอื การแสดงเจตนาอยา่ งชดั แจง้ วา่ ตอ้ งการยตุ กิ าร
ต่อสู้ดว้ ยความรุนแรง (ไม่ก่อเหตรุ า้ ยอีก) หรือพนกั งานสอบสวนพบว่าผู้ตอ้ งหากระท�ำ ความผิด
เพราะหลงผิด หรอื รเู้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ และ
3) การทีจ่ ะให้โอกาสแก่ผู้ตอ้ งหาคนใดนั้น จะต้องคำ�นึงถงึ “ประโยชน์ต่อความมัน่ คง”
เป็นหลัก กล่าวคือ การที่ผู้ต้องหาคนน้ัน จะได้รับโอกาสใช้มาตรการอบรมแทนการฟ้องตาม
มาตรา 21 นน้ั ผลทจ่ี ะเกิดตามมาจะต้องเป็นประโยชนต์ ่อการแกไ้ ขปญั หาความม่นั คงของชาติ
เทา่ นน้ั เชน่ ผตู้ อ้ งหาตอ้ งใหค้ วามรว่ มมอื ในการใหข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั แนวคดิ และวธิ กี ารตอ่ สอู้ นั เปน็
“ทมี่ า” ของการหลงผดิ หรอื การใหข้ อ้ มลู อนั เป็นประโยชน์ต่อการกำ�หนดนโยบายในการแก้ไข
ปญั หาทถ่ี กู ตอ้ งแกร่ ฐั รวมทงั้ การไดร้ บั โอกาสของผตู้ อ้ งหานน้ั จะเปน็ ตวั อยา่ งใหบ้ คุ คลอนื่ ทหี่ ลง
ผดิ และถกู หลอกใชไ้ ดห้ นั กลบั มาทบทวน แลว้ กลบั ตวั กลบั ใจ เลกิ คดิ ตอ่ สกู้ บั รฐั ดว้ ย อนั เปน็ การสง่
สญั ญาณการแกไ้ ขปญั หาระยะยาวในแนวทางการสรา้ งความสมานฉนั ทแ์ ละสรา้ งสภาวะแวดลอ้ ม
ที่เอ้อื ตอ่ การพดู คยุ ดว้ ยอกี ชอ่ งทางหนึ่ง
ประการทสี่ าม บคุ คลผทู้ จี่ ะไดร้ บั โอกาสจากมาตรา 21 แหง่ พ.ร.บ.การรกั ษาความมน่ั คง
ภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551 นนั้ ไม่ใช่เรือ่ งง่าย และไมใ่ ช่วา่ ผ้ตู อ้ งหาคนใดกส็ ามารถไดร้ บั
โอกาสน้ันได้เสมอไป เพราะการท่ีจะพิจารณาว่าผู้ใดหลงผิด ผู้ใดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือผู้ใดจะ
ให้โอกาสแล้วเปน็ ประโยชน์กับการแกไ้ ขปัญหาความม่ันคงในภาพรวมได้จริงหรอื ไมเ่ พียงใดนนั้
จะตอ้ งผา่ นการกลน่ั กรองอยา่ งรอบคอบ รอบดา้ นในหลายมติ เิ พอ่ื ปอ้ งกนั อาชญากรตวั จรงิ หรอื

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 59

อาชญากรโดยสนั ดานมาฟอกตวั หรอื แอบแฝงเขา้ มาใชป้ ระโยชนจ์ ากมาตรการดงั กลา่ ว โดยขน้ั
ตอนแรกตอ้ งผา่ นการพจิ ารณาจากพนกั งานสอบสวนเจา้ ของส�ำ นวนกอ่ น จากนนั้ จงึ ใหพ้ นกั งาน
สอบสวนส่งสำ�นวนพร้อมความเห็นให้ผู้อำ�นวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่ง
ตามกฎหมายคอื นายกรฐั มนตรี จากนน้ั หากผอู้ �ำ นวยการรกั ษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร
เห็นชอบตามที่พนักงานสอบสวนเสนอความเห็นมาแล้ว จะต้องส่งสำ�นวนพร้อมความเห็นให้
พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำ�ร้องต่อศาล ซึ่งศาลจะพิจารณาอีกชั้นหนึ่งว่าเห็นสมควรที่จะให้
ผตู้ อ้ งหาเขา้ รบั การอบรมแทนการฟอ้ งหรอื ไม่ และทส่ี �ำ คญั ในชนั้ การพจิ ารณาของศาลนี้ ศาลจะ
ให้ความสำ�คญั กบั ความเหน็ ของผู้เสยี หาย หรอื ผู้ทไ่ี ด้รับผลกระทบจากการกระท�ำ ของผตู้ ้องหา
เปน็ อยา่ งมาก เพราะในท่สี ุดแล้ว เมือ่ ผ่านกระบวนอบรมแทนการฟ้องซง่ึ อบรมไมเ่ กินหกเดอื น
นน้ั ผตู้ อ้ งหาและผเู้ สยี หายอาจจะตอ้ งกลบั มาอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมเดยี วกนั การใหอ้ ภยั การเขา้ ใจ
และเห็นใจซึง่ กนั และกันจึงเป็นสงิ่ สำ�คัญท่สี ุด
4. ยุตธิ รรมทางเลือกในชมุ ชนอสิ ลามหรือสนั ตวิ ธิ ใี นวิถมี ุสลมิ
ชมุ ชนมสุ ลิม: จากศรทั ธาสูก่ ารรวมตวั
พนื้ ฐานการรวมตวั ของชมุ ชนมสุ ลมิ เกดิ ขนึ้ มาดว้ ยค�ำ สอนของศาสนาอสิ ลามเปน็ ส�ำ คญั
ดงั นน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ ชมุ ชนมสุ ลมิ เกดิ ขน้ึ มาจากการทผี่ ซู้ ง่ึ ยอมรบั วา่ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) คอื พระผเู้ ปน็ เจา้
และศาสนทตู มฮู มั มดั (ศอลฯ) เปน็ บา่ วของพระองค์ มารวมตวั กนั บนพนื้ ฐานของการยอมจ�ำ นน
การออ่ นน้อม และการเช่อื ฟงั คำ�สัง่ ของพระผเู้ ปน็ เจา้ โดยเชอ่ื ว่าการเช่ือฟังอลั ลอฮฺ (ซ.บ.) จะนำ�
มาซึง่ สันติภาพของจิตใจ และจะขยายสันตภิ าพไปส่ดู า้ นอื่น ๆ ของชวี ิตต่อไป
เปา้ หมายสำ�คญั ของการขบั เคลื่อนชุมชนมสุ ลิมกค็ ือการสร้างชุมชนตกั วา (การยำ�เกรง
ตอ่ อลั ลอฮ)ฺ ขน้ึ มา โดยสมาชกิ ในชมุ ชนทกุ คนจ�ำ เปน็ ทจี่ ะตอ้ งเรยี นรบู้ ทบญั ญตั พิ นื้ ฐานทางศาสนา
(ฟรั ดอู ยั น)์ ซง่ึ ถอื เปน็ หนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบในระดบั บคุ คลทแ่ี ตล่ ะคนจะตอ้ งปฏบิ ตั ิ หลงั จากการ
เรยี นรภู้ าคฟรั ดอู ยั นแ์ ลว้ สงั คมมสุ ลมิ จะตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบในระดบั สงั คมในการผลติ บคุ ลากร
ในสาขาตา่ ง ๆ ทม่ี คี วามจ�ำ เปน็ ใหเ้ พยี งพอ (ฟรั ดกู ฟิ ายะฮ) ในการรบั ใชส้ งั คมหรอื ชมุ ชนตอ่ ไป ซงึ่
ถอื เปน็ ภาระหนา้ ทขี่ องทกุ คนทจี่ ะตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมและชมุ ชน โดยมกี รอบก�ำ หนดวถิ ชี วี ติ
ชุมชนมุสลิมทีม่ าจากค�ำ สอนของศาสนาเปน็ สำ�คญั
กรอบก�ำ หนดวิถชี ีวติ ชมุ ชนมสุ ลมิ
วิถีชีวติ มุสลิมถูกกำ�หนดโดยพ้นื ฐานความเชอ่ื ทางศาสนาเป็นสำ�คญั ในทกุ ชมุ ชนมุสลิม
จะมกี ระบวนการเสริมสรา้ งความเข้มแขง็ ของชมุ ชนโดยมกี รอบก�ำ หนดวิถชี ีวติ ชมุ ชนท่ีส�ำ คัญ 2
ประการ ได้แก่ หลกั ศรทั ธา และหลักปฏบิ ัติ

60 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทใี่ ช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

หลักศรัทธา 6 ประการ ที่มสุ ลิมตอ้ งเขา้ ใจเชอ่ื ม่ันและศรทั ธามดี งั น้ี
1. ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) อสิ ลามถือวา่ ในสากลจกั รวาลทั้ง
หลายมีพระเจา้ ที่เที่ยงแทเ้ พยี งองคเ์ ดยี วเปน็ ผู้สรา้ งสากลจักรวาลและเปน็ ผบู้ ริหารควบคุม
2. ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮฺของพระองค์ มลาอีกะฮฺ คือ ผู้ทำ�หน้าท่ีเป็นสื่อกลาง
ระหวา่ งพระผเู้ ปน็ เจา้ กบั ศาสนทตู ทง้ั หลายเพอ่ื จะไดใ้ หศ้ าสนทตู ดงั กลา่ วไดเ้ ขา้ ถงึ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.)
คอื อ�ำ นาจแห่งความดีส่วนอำ�นาจแหง่ ความช่ัวน้นั คอื ชยั ฏอน หรอื ซาตาน หรอื มาร
3. ศรทั ธาในบรรดาคมั ภรี ท์ งั้ หลายของพระองค์ มสุ ลมิ ตอ้ งเชอ่ื ถอื ตน้ ฉบบั เดมิ ของคมั ภรี ์
ทง้ั หลายทุก ๆ เลม่ ในอดีต รวมทง้ั อัล-กรุ อานดว้ ย ทง้ั น้ีโดยมเี ง่อื นไขวา่ คัมภรี ์เหลา่ นั้นต้องเปน็
วะฮยี ์ (ได้รบั การดลใจ) มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และตอ้ งมเี นอื้ หาสาระตรงกับอัลกรุ อาน อิสลาม
ถือว่าคัมภีร์ท่ีสมบูรณ์ที่สุดและเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือคัมภีร์อัลกุรอาน ประกาศใช้ต่อมวลมนุษย์
ชาตทิ ัง้ หลายเพื่อใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมและความสันตสิ ขุ ในสังคม
4. ศรทั ธาในบรรดานบี (ศาสนทตู ) ทง้ั หลาย มสุ ลมิ ตอ้ งยอมรบั นบั ถอื ศาสนทตู ทง้ั หลาย
ที่มาเทศนาก่อน ศาสนทตู มูฮัมมัด (ศอ็ ลฯ) ให้เกยี รตยิ กยอ่ งบรรดาศาสนทูตเหล่าน้นั อยา่ งเทา่
เทยี มกนั หมด โดยศาสนทตู มฮู มั มดั (ศอ็ ลฯ) เปน็ ศาสนทตู สดุ ทา้ ยของโลกทมี่ ารบั ภารกจิ ตอ่ จาก
ศาสนทตู กอ่ น ๆ ทเี่ ชิญชวนมนษุ ย์ให้รูจ้ กั พระเจา้ และด�ำ เนินชีวติ ตามค�ำ สอนของพระองค์
5. ศรัทธาในวันสดุ ท้ายและการเกิดใหมใ่ นวนั ปรโลก อสิ ลามถอื วา่ โลกที่เราอาศัยอยู่น้ี
เป็นเพยี งวัตถุธาตุช้ินหน่งึ ซึ่งต้องมกี ารแตกสลายเหมือน ๆ กับวตั ถหุ รอื ส่ิงอ่ืน ๆ และโลกจะตอ้ ง
ถึงจุดจบ เมื่อโลกแตกสลายแลว้ ทกุ ส่งิ ทุกอย่างก็ดับสน้ิ นอกจากอลั ลอฮฺ (ซ.บ.) เท่านั้นท่ียงั ดำ�รง
อยู่ และมนุษย์ทั้งหลายก็จะฟืน้ คืนชพี อีกครัง้ หนง่ึ เพอ่ื รบั ผลตอบแทนตามทีเ่ ขาไดก้ ระท�ำ ไวเ้ มอ่ื
คร้ังที่เขายังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำ�หนดว่าเขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์หรือ
นรก
6. ศรัทธาในกฎกำ�หนดสภาวะของพระองค์ คือต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายใน
สากลจกั รวาลนี้ล้วนเกิดขึน้ มาและดำ�เนนิ ไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทง้ั สนิ้ เช่น ไฟมี
คณุ สมบัตริ ้อน น�ำ้ ไหลลงจากทส่ี งู ลงส่ทู ต่ี �ำ่ ทุกชวี ิตต้องตาย นคี่ อื กฎก�ำ หนดสภาวะของอัลลอฮฺ
(ซ.บ.) หมายความว่ากฎธรรมชาติทั้งหลายน้ันอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างและควบคุมมัน ส่วนการ
กำ�หนดสภาวะในหลักจริยธรรมความดี-ความช่ัวนั้นพระองค์จะเป็นผู้กำ�หนดว่าอะไรคือความดี
และอะไรคือความชวั่ บนพ้ืนฐานของหลกั ชารอี ะฮฺ (หลักกฎหมายอิสลาม)
ความศรัทธาท้ัง 6 ประการท่ีกล่าวมาข้างต้นเป็นหลักการสำ�คัญพ้ืนฐานของอิสลามที่
มุสลิมจะต้องมีอยู่ประจำ�ใจ แต่ความศรัทธาเพียงอย่างเดียวน้ันยังไม่เป็นการเพียงพอเพราะใน
อสิ ลามความศรทั ธาทแ่ี ทจ้ รงิ จะตอ้ งแสดงผลของมนั ออกมาใหเ้ หน็ เปน็ การปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำ
วัน และเพ่อื ให้แนใ่ จว่าคนท่ีมีความศรัทธาในหลกั การ 6 ประการดงั กล่าวยงั คงยืนยนั ในความ

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 61

ศรัทธานั้นอย่างม่ันคง อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงวางภารกิจสำ�คัญให้เขาต้องปฏิบัติ 5 ประการหรือที่
เรียกกนั วา่ หลกั การปฏิบตั ิ 5 ประการ นนั่ คือ
1. การกลา่ วค�ำ ปฏิญาณตนว่า “ลาอลิ าฮะอิลลัลลอฮฺ มหู มั มะดุรรอซลู ลุ ลอฮฺ” ซง่ึ แปล
วา่ “ไมม่ ีพระเจา้ อนื่ ใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮมั มดั เปน็ ศาสนทตู ของอัลลอฮฺ” เป็น ถอ้ ยคำ�ที่
ผยู้ อมรบั อสิ ลามทกุ คนจะตอ้ งกลา่ วออกมา เปน็ การยนื ยนั ดว้ ยวาจาวา่ ตวั เองมคี วามศรทั ธาดงั ท่ี
กล่าวมาขา้ งตน้ และพรอ้ มที่จะปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ิและเงอ่ื นไขตา่ ง ๆ ทอี่ ัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไดท้ รง
กำ�หนดไว้ในคมั ภีร์อลั กุรอานและคำ�สอนของท่านศาสนทตู มูฮัมมัด (ศ็อลฯ)
2. การนมาซหรือละหมาด (หรือในภาษาอาหรบั เรยี กว่า “เศาะลาฮฺ”) การนมาซ คอื
การแสดงความเคารพสักการะและการแสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ซึ่งจะกระทำ�วัน
ละ 5 เวลา คือ ตอนรุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวนั คลอ้ ย ตอนดวงอาทิตย์ตกดนิ และยามค�่ำ คืน
โดยในการนมาซทกุ ครง้ั มสุ ลมิ ทกุ คนจะตอ้ งหนั หนา้ ไปทางกะอบะฮซฺ ง่ึ อยใู่ นนครมกั กะฮปฺ ระเทศ
ซาอุดิอาระเบีย และหน้าท่ีในการนมาซนี้เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนต้ังแต่เร่ิมมีความรู้สึกทาง
เพศ (สำ�หรับผู้ชาย) และเร่ิมมีประจำ�เดือน (สำ�หรับผู้หญิง) ซ่ึงเป็นวัยที่อิสลามถือว่าบรรลุ
ศาสนภาวะแลว้ คัมภีรก์ ุรอานยงั ระบไุ วอ้ ย่างชดั เจนวา่ “...แทจ้ ริงการนมาซจะยบั ยงั้ จากความ
ชัว่ ชา้ และความลามก...” (อลั กุรอาน 29: 45) ทงั้ น้เี นอื่ งจากคนท่ีนมาซนั้นจะเป็นคนท่รี ำ�ลึกถงึ
อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) และเช่ือวา่ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเห็นการกระทำ�ของเขาทัง้ ในทลี่ บั และในทีเ่ ปดิ เผย
ดงั น้ันความเกรงกลวั อนั น้ีจะชว่ ยยบั ย้ังเขามใิ หป้ ฏบิ ัตคิ วามช่ัว ซง่ึ นอกจากนใี้ นทกุ วนั ศุกร์มสุ ลมิ
จะตอ้ งรว่ มกนั ละหมาดวนั ศกุ รซ์ งึ่ เปน็ วนั ละหมาดใหญป่ ระจ�ำ สปั ดาหท์ มี่ สั ยดิ เพอื่ รบั ฟงั คตุ บะฮฺ
(การเทศนาธรรม) ตกั เตอื นใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นอยใู่ นครรลองครองธรรมและทบทวนพฤตกิ รรม
ของตนเองทผี่ า่ นมาในรอบสปั ดาหว์ า่ บกพรอ่ งต้องแกไ้ ขอยา่ งไร รวมทัง้ วางแผนการดำ�เนินชวี ิต
ในสปั ดาหต์ อ่ ไป นอกจากนยี้ งั เปน็ การปรกึ ษาหารอื แจง้ ขา่ วสารความเคลอ่ื นไหวทเี่ กดิ ขนึ้ ในสงั คม
ให้สมาชิกในชมุ ชนรบั ฟงั ด้วย
3. การถือศลี อดในเดอื นรอมฎอน การถือศีลอดในอสิ ลาม คือการงดเว้นจากการกิน
การดมื่ การเสพสงิ่ ตา่ ง ๆ การมคี วามสมั พนั ธท์ างเพศฉนั สามภี รรยา ตลอดจนการอดกลน้ั อารมณ์
ใฝ่ต่ำ�ทั้งหลายและการนินทาว่าร้ายผู้อื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ข้ึนจนถึงดวงอาทิตย์ตก ซ่ึงมุสลิมท่ี
บรรลุศาสนภาวะและมสี ุขภาพร่างกายแขง็ แรงมีหน้าท่ตี อ้ งปฏบิ ัตเิ ป็นเวลา 29-30 วัน ในเดอื น
รอมฎอนซ่งึ เป็นเดอื นทเ่ี กา้ ตามปฏิทนิ อสิ ลาม
การถือศีลอดเป็นการฝึกให้ผู้ถือศีลอดซื่อสัตย์ต่อตัวเองและพระเจ้า อีกท้ังเป็นการ
แสดงออกถึงความเสมอภาคกันระหว่างบรรดาผู้ศรัทธาด้วย เพราะในเดือนถือศีลอด มุสลิมผู้
ศรัทธาไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดต่างต้องงดจากการกินดื่มเหมือนกันหมด ยกเว้นคนชราที่ร่างกาย
ออ่ นแอ ผปู้ ว่ ยทแี่ พทยว์ นิ จิ ฉยั วา่ การถอื ศลี อดจะเปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกาย กรรมกรทท่ี �ำ งานหนกั

62 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

ในเหมอื งแร่ หญงิ มคี รรภ์ แตม่ เี งอื่ นไขวา่ จะตอ้ งบรจิ าคอาหารทต่ี วั เองกนิ เปน็ ประจ�ำ หนง่ึ มอื้ ให้
แก่ผ้ยู ากจนเปน็ การทดแทนในแตล่ ะวันที่มไิ ด้ถือศีลอด
4. การจา่ ยซะกาต คือ การจา่ ยทรัพย์สนิ ในอัตราที่ศาสนาก�ำ หนดไว้จ�ำ นวนหนึง่ จาก
ทรัพย์สินท่ีสะสมไว้เม่ือครบกำ�หนดเวลา โดยจะต้องจ่ายทรัพย์สินนี้ให้แก่คนท่ีมีสิทธ์ิได้รับ 8
จำ�พวกตามทคี่ ัมภีร์อัลกุรอานไดก้ �ำ หนดไว้ อนั ไดแ้ ก่ 1) คนยากจน 2) คนทีอ่ ัตคดั ขดั สน 3) คน
ที่มีหัวใจโน้มมาสู่อสิ ลาม 4) ผบู้ รหิ ารการจดั เกบ็ และจา่ ยซะกาต 5) ไถท่ าส 6) ผ้มู ีหน้สี นิ ลน้ พ้น
ตัว 7) คนพลัดถ่นิ หลงทาง และ 8) ใชใ้ นหนทางของอลั ลอฮฺ
วตั ถปุ ระสงคท์ อี่ สิ ลามก�ำ หนดใหม้ สุ ลมิ จา่ ยซะกาตกค็ อื เพอ่ื เปน็ การยนื ยนั ถงึ ความศรทั ธา
และซักฟอกทรัพย์สินและจิตใจของผู้จ่ายให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็เพ่ือเป็นการ
สรา้ งความเจรญิ ใหแ้ กส่ งั คมอกี ด้วย
ดังน้ัน การจ่ายซะกาตนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาแล้ว ยังเป็นการ
แสดงความเคารพภักดีตอ่ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) โดยผ่านทางการชว่ ยเหลอื สงั คม
5. การท�ำ ฮจั ญ์ คอื การเดนิ ทางไปปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทนี่ ครมกั กะฮฺ ประเทศซาอดุ อิ าระเบยี
ในเดอื นซลุ ฮจิ ญะฮซฺ ง่ึ ถอื เปน็ เดอื นสดุ ทา้ ยในปฏทิ นิ อสิ ลามตามวนั เวลาและสถานทที่ ถ่ี กู ก�ำ หนด
ไว้ หลกั การขอ้ นถ้ี อื เป็นหนา้ ที่สำ�หรับมสุ ลมิ ทั้งชายหญงิ ทกุ คนทมี่ ีความสามารถในดา้ นร่างกาย
ทรพั ย์สินและเส้นทางการเดนิ ทางมีความปลอดภัย
การทำ�ฮัจญ์ นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพภักดีและยืนยันในความศรัทธาต่อ
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว ยงั สอนมนุษยท์ ุกคนใหร้ สู้ ำ�นึกวา่ ในสายตาของอลั ลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว มนษุ ย์
ทกุ คนเทา่ เทยี มกนั เพราะในการทำ�ฮจั ญ์ ผู้ท�ำ ฮัจญท์ กุ คนไมว่ า่ จะมาจากชนช้นั เผา่ พนั ธุ์ ภาษา
หรือจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าสีขาวเพียงสองช้ินเหมือนกัน
หมดทกุ คน จะตอ้ งปฏบิ ตั พิ ธิ กี ารต่าง ๆ เหมือนกันหมดและทุกคนต่างก็ประกาศความยงิ่ ใหญ่
ของอลั ลอฮฺ (ซ.บ.) เหมือนกนั หมด
ผูน้ ำ�กบั ความจำ�เปน็ สำ�หรับชุมชนมุสลิม
สำ�หรับความจำ�เป็นของผู้นำ�กับชุมชนมุสลิมนั้นได้มีบทบัญญัติทางศาสนาว่าเมื่อมีการ
รวมตวั หรอื เดนิ ทางตั้งแต่ 3 คนขึน้ ไปจำ�เป็นทีจ่ ะตอ้ งมีการเลือกผู้น�ำ ขน้ึ มา 1 คน เพือ่ เปน็ ผู้นำ�
ในภารกิจนั้น ๆ หรือเมื่อมุสลิมมีการรวมตัวกันเป็นชุมชนก็จะมีการพิจารณาค้นหาบุคคลข้ึน
มาเป็นผู้นำ�เฉพาะภายในชุมชนมุสลิม ท้ังน้ีก็เพื่อให้มีผู้นำ�พาชุมชนมุสลิมไปสู่ความดีงาม และ
สร้างสรรคป์ ระโยชน์ คอยดแู ลปกป้องอันตรายหรือความหวาดระแวงใด ๆ ทอี่ าจมขี น้ึ ได้ และ
เพอ่ื เปน็ ตวั แทนเขา้ รว่ มประสานงานกบั รฐั ในกจิ การทว่ั ไป และทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั หลกั การของอสิ ลาม
ที่ส�ำ คัญถอื เปน็ การตอบสนองบญั ชาของพระผูเ้ ป็นเจา้ ด้วย

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายท่ใี ช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 63

ผนู้ �ำ ในทศั นะอสิ ลามนบั วา่ มคี วามส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ เขาจะตอ้ งเปน็ ผมู้ คี ณุ ธรรมอยใู่ นระดบั
สงู กวา่ คนทวั่ ไป แตม่ ไิ ดห้ มายความวา่ เปน็ ผสู้ ละโลกยี ์ “ผนู้ �ำ ทแ่ี ทจ้ รงิ คอื ผรู้ บั ใชป้ ระชาชน” เปน็
ผมู้ คี วามย�ำ เกรงตอ่ พระผเู้ ปน็ เจา้ ใชอ้ �ำ นาจในการปกครองตามทกี่ ฎหมายอสิ ลามก�ำ หนด ดงั นนั้
ผนู้ �ำ จงึ ตอ้ งมคี วามซอื่ สตั ยส์ จุ รติ เขม้ แขง้ กลา้ หาญตอ่ พฤตกิ รรมทจ่ี ะขดั ตอ่ ศลี ธรรม การไดม้ าของ
ผ้นู �ำ ก็ต้องผา่ นกระบวนการกล่นั กรองอย่างดี มิใชใ่ ชเ้ สยี งขา้ งมากอย่างขาดเหตุผลทางคณุ ธรรม
การคัดเลือกหรือสรรหาผู้นำ�ของอิสลาม จะต้องพิจารณาผู้มีคุณสมบัติดีพร้อม โดย
เฉพาะความเข้าใจในหลักการของอิสลาม อันได้แก่ ความรู้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ท้ังความเข้าใจ
และการอา่ นท่ีถกู ตอ้ งความเข้าใจในหลักค�ำ สอน และวิถชี วิ ิตของศาสนทูตมูฮมั มดั (ศ็อลฯ) แล้ว
จึงมองที่จรยิ ธรรม บุคลิกภาพภายนอกซ่ึงคนทัว่ ไปรู้ หลกั การอิสลามโดยแท้ ไมใ่ ชเ่ สียงขา้ งมาก
หรอื เดด็ ขาดแบบเผดจ็ การ แตจ่ ะเปน็ ไปไดท้ ง้ั สองแบบ ถา้ วธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ ท�ำ ใหไ้ ดผ้ นู้ �ำ ทมี่ คี ณุ สมบตั ิ
อยใู่ นบทบญั ญตั ขิ องอสิ ลามมากทส่ี ดุ การเปน็ ผนู้ �ำ มใิ ชด่ ว้ ยเหตผุ ลของการสบื ทอดรชั ทายาทและ
ความร�ำ่ รวย ทา่ นอหี มา่ มกรุ ตบู ไี ดก้ ลา่ วถงึ เงอื่ นไขของผนู้ �ำ ไวว้ า่ ตอ้ งเปน็ ผซู้ ง่ึ สามารถทจ่ี ะตดั สนิ
คดีและปัญหาต่าง ๆ ได้ มคี วามรแู้ ละสันทัดในงานบริหารและการปกครอง เปน็ มุสลมิ เสรชี น
เพศชายบรรลนุ ติ ภิ าวะ มคี วามยตุ ธิ รรม มคี วามซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ในการท�ำ งาน ผนู้ �ำ เมอ่ื มกี ารบดิ พลวิ้
กจ็ ะตอ้ งถกู ปลดออกจากต�ำ แหนง่ ผนู้ �ำ จ�ำ เปน็ ตอ้ งลาออกจากต�ำ แหนง่ เมอ่ื ไมส่ ามารถทจี่ ะปฏบิ ตั ิ
หน้าที่
(http://www.Muslimthai.com/contertFront.php?option=content&category=20&id=218)

นอกจากน้ีตำ�แหน่งผู้นำ�และอำ�นาจการปกครองน้ันคือ อามานะฮฺ (ความรับผิดชอบ)
อย่างหนงึ่ ท่กี ลุ่มชนได้มอบความไว้วางใจ มอบภารกิจอนั ทรงเกยี รติใหร้ บั ผิดชอบ ซงึ่ ทา่ นศาสน
ทูตมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้ทรงวจนะแก่ท่านอบีซัรรีน (ร.ด.= รอดียัลลอฮูอันอฮุม หมายความว่า
“ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงโปรดเมตตาเขาด้วย” ซึ่งถือเป็นมารยาทของมุสลิมเม่ือมีการเอ่ยนาม
ของสาวกผ้ใู กล้ชิดกบั ทา่ นศาสนทูตทีจ่ ะตอ้ งกลา่ วคำ�ดังกล่าว) วา่
“อำ�นาจการปกครองน้ันคืออามานะฮฺ (ความรับผิดชอบ) และในวันกิยามะฮฺ (วันสิ้น
โลก) มันจะมีแต่ความอัปยศและความเสียใจ เว้นเสียแต่ผู้ท่ีนำ�มันมาด้วยความชอบธรรมและ
ด�ำ เนนิ การตามภาระที่มอี ย”ู่ (รายงานโดยมสุ ลมิ )
ส�ำ หรบั ผทู้ ด่ี �ำ รงต�ำ แหนง่ ผนู้ �ำ หรอื ผปู้ กครองนน้ั สงิ่ ทพ่ี งึ ขาดเสยี มไิ ดน้ น้ั คอื ความยตุ ธิ รรม
ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ รบั ผดิ ชอบต�ำ แหนง่ หนา้ ที่ ด�ำ เนนิ การใหล้ ลุ ว่ งตามภารกจิ หนา้ ทซ่ี ง่ึ สมาชกิ ได้
มอบความไวว้ างใจให้ โดยปราศจากเป้าหมายเป็นอยา่ งอื่น และโดยไมค่ �ำ นึงเพ่อื พวกพ้อง และ

64 รายวิชาที่ 6 กฎหมายท่ใี ช้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้

ไม่ได้เข้ามารบั ต�ำ แหนง่ เพ่อื หาผลประโยชน์สว่ นตัว พระผูเ้ ปน็ เจ้าไดใ้ ช้ให้มุสลมิ ทกุ คนผกู พนั อยู่
กบั ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ และความยตุ ธิ รรมในการปฏบิ ัติหนา้ ทีต่ ่าง ๆ เพราะทง้ั สองนั้นเปน็ สงิ่ ท่ี
จำ�เปน็ และส�ำ คัญทีส่ ุดในอสิ ลาม
ผนู้ �ำ ทม่ี อี หี มา่ น (ศรทั ธา) เขาจะมจี ติ ส�ำ นกึ ในภาระหนา้ ทที่ ตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบ พฒั นาชมุ ชน
จรรโลงสงั คม ใหม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งในดา้ นตา่ ง ๆ จนกระทงั่ เรอ่ื งการพฒั นาจติ ใจ จติ ส�ำ นกึ ของ
ผคู้ นทเ่ี ขาดแู ลและรบั ผดิ ชอบใหอ้ ยใู่ นครรลองของศาสนา นน้ั คอื ปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ทิ อี่ ลั ลอฮฺ
(ซ.บ.) และศาสนทตู ของพระองคไ์ ดท้ รงบญั ชาใช้ และใหห้ า่ งไกลจากสง่ิ ทพ่ี ระองคท์ รงหา้ ม และ
ผนู้ �ำ จะตอ้ งขจดั สง่ิ ตา่ ง ๆ ทนี่ �ำ พาใหส้ งั คมเสอ่ื มเสยี ไมว่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งของยาเสพตดิ และอบายมขุ
ต่าง ๆ ที่มอี ยูใ่ นสงั คม ถา้ หากผนู้ �ำ ขาดความรบั ผดิ ชอบ บดิ พลวิ้ ในหน้าทีก่ ารงานสังคมย่อมขาด
ความเจรญิ กา้ วหนา้ ซงึ่ พระผเู้ ปน็ เจา้ ไดท้ รงหา้ มและต�ำ หนเิ ขาผนู้ น้ั ดงั โองการ อลั -กรุ อานความ
ว่า
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาท้ังหลาย พวกเจ้าอย่าบิดพลิ้วต่อ อัลลอฮฺและรอซูล และอย่าบิด
พริ้วต่อความไว้วางใจ (ที่ผอู้ ่ืนมอบแก)่ พวกเจา้ ทั้งๆทีพ่ วกเจา้ ก็ร้ดู ี”

(อลั กรุ อาน 8:27)
ผู้นำ�ตามหลักของอิสลามท่ีถูกต้อง จะเป็นท้ังผู้นำ�ทางศาสนกิจและผู้นำ�ในการบริหาร
อยู่ภายในคน ๆ เดยี ว เพ่ือท�ำ หนา้ ทปี่ กครองกลุม่ ชนให้อยู่ดกี นิ ดีมคี ุณธรรมตามหลกั ศาสนา
ดงั นน้ั สงั คมมสุ ลมิ จงึ ใหค้ วามส�ำ คญั และเคารพเชอื่ ฟงั ผนู้ �ำ อยา่ งมาก เพราะเปน็ ตวั แทน
ในการใชห้ ลกั การอสิ ลามทมี่ าจากพระผเู้ ปน็ เจา้ เปน็ กลไกควบคมุ และจดั ระเบยี บสงั คม อกี ทง้ั ยงั
คอยปกปอ้ งการกดขตี่ อ่ พน่ี อ้ งมสุ ลมิ ทอี่ าจเกดิ ขนึ้ จากผมู้ อี คตบิ างกลมุ่ และเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจ
ทางศาสนา เพราะอสิ ลามนนั้ คอื สนั ตภิ าพตามทพ่ี ระผเู้ ปน็ เจา้ วางหลกั การไว้ และการมผี นู้ �ำ ของ
เขา ถือเป็นภารกจิ ทางศาสนาเช่นกนั
สำ�หรับการเคารพและเช่ือฟังผู้นำ�น้ัน ถือเป็นความจำ�เป็นท่ีมุสลิมต้องปฏิบัติตามผู้นำ�
ตราบที่ผู้นำ�ไม่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เน่ืองจากผู้นำ�นอกจากต้องรับผิดชอบผู้อยู่
ใต้ปกครองของตนเองที่ปรากฏเป็นรูปธรรมแล้ว ยังต้องรับผิดต่อความผิดพลาดท่ีอาจเกิดข้ึน
ต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วย นอกจากนี้ผู้นำ�ถือเป็นแกนขับเคลื่อนของสมาชิกของชุมชนโดยมีสภาที่
ปรึกษาชุมชน (ชูรอ) คอยให้คำ�ปรึกษาและคำ�แนะนำ�ต่าง ๆ มีการกำ�หนดกฎกติกาเพ่ือความ
เปน็ เอกภาพในการอยู่รว่ มกันของสมาชิกในชุมชนทีเ่ รยี กว่า “ฮกู ุมฟากัต” (ขอ้ ตกลงรว่ มกันใน
การจัดการชมุ ชน) ซ่งึ ต้งั อยู่บนพ้ืนฐานของหลักการศาสนา และวฒั นธรรมทด่ี งี ามไม่ขัดกับหลกั
การศาสนา

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 65

สภาชูรอ: นิยามความหมาย
สภาชูรอ คือ กลมุ่ บคุ คลทรี่ วมตวั กันในการใหค้ ำ�ปรึกษาแนะนำ�ในกจิ การต่าง ๆ ของ
มสุ ลมิ เพอ่ื หาแนวทางในการด�ำ เนนิ การหรอื ทางเลอื กส�ำ หรบั การด�ำ เนนิ กจิ การตา่ ง ๆ นอกจาก
นย้ี งั ถอื เปน็ สภาทที่ กุ คนจะตอ้ งมารว่ มกนั คดิ และแกป้ ญั หาบนพน้ื ฐานของบทบญั ญตั ทิ างศาสนา
อสิ ลามเปน็ สำ�คัญ ส�ำ หรับสภาชรู อบางชุมชน ใชค้ ำ�ว่าสภามชู าวาเราะฮฺ ซงึ่ คำ�วา่ “ชูรอ” กบั ค�ำ
ว่า “มูชาวาเราะฮฺ” น้นั เป็นค�ำ ภาษาอาหรับท่มี าจากรากศัพท์เดียวกัน แต่ค�ำ วา่ ชูรอมคี วามเปน็
ทางการมากกว่าคำ�ว่ามูชาวาเราะฮฺ แตใ่ นพน้ื ทีส่ ามจังหวดั ชายแดนภาคใต้ นิยมใชค้ ำ�วา่ มูชาวา
เราะฮฺ ซงึ่ การซรู อหรอื การมชู าวาเราะฮนฺ ้นั มเี งื่อนไขดังต่อไปนี้
1. เปน็ สิง่ ทีไ่ มข่ ดั กับหลักการ กิจการทจ่ี ะทำ�การปรึกษาหารอื กันน้ัน จ�ำ เปน็ ตอ้ งไมใ่ ช่
กจิ การทขี่ ดั ตอ่ บทบญั ญตั ขิ องอสิ ลาม เพราะการงานใด ๆ กต็ ามทกี่ ระท�ำ ขน้ึ โดยไมม่ พี นื้ ฐานการ
อนญุ าตจากศาสนาการงานเหลา่ นนั้ กเ็ ปน็ โมฆะตง้ั แตแ่ รก การกระท�ำ เหลา่ นน้ั ไมถ่ กู ตอบรบั หรอื
อาจจะถกู ลงโทษด้วย
2. ต้องการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกรณีที่มีทางเลือกสำ�หรับการแก้ไขปัญหาหรือ
การดำ�เนินกิจการหนง่ึ ๆ ท่ีมีความหลากหลายซึ่งจำ�เป็นท่ีจะต้องเลอื กทางออกส�ำ หรับกจิ กรรม
น้ัน ๆ เพยี งทางเลือกเดยี ว
3. ผ้ใู ห้คำ�ปรึกษามคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั เร่ืองนน้ั คอื ผ้ทู ่จี ะใหค้ ำ�ปรึกษาเกย่ี วกบั
การดำ�เนินกจิ กรรมใด ๆ จะตอ้ งเป็นผทู้ ่มี คี วามรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับเรอื่ งน้ัน ๆ อย่างลึกซ้ึง
4. ผชู้ ขี้ าดตดั สนิ คอื ผนู้ �ำ ผทู้ จี่ ะเปน็ คนตดั สนิ ใจในการเลอื กทางออกส�ำ หรบั การด�ำ เนนิ
กิจการใด ๆ ในขั้นสดุ ทา้ ย คือ ผู้น�ำ
สำ�หรับกลุ่มบุคคลท่ีเป็นคณะกรรมการในสภาชูรอนัน้ สว่ นใหญ่ไดแ้ ก่ อหี ม่าม คอเตบ็
บีหลน่ั คณะกรรมการบริหารมัสยดิ อกี 12 คน รวมท้งั หมด 15 คน ในบางชุมชนอาจจะมีบคุ คล
อื่น ๆ เข้ามาดว้ ย เชน่ กำ�นนั ผูใ้ หญ่บา้ น หรือสมาชกิ อบต. เป็นตน้
ความสำ�คญั ของสภาชรู อต่อวิถชี ุมชนมุสลมิ
บทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้ว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งท่ีบรรดาผู้ศรัทธา
ท้ังหลายจะต้องปรึกษาหารือกันในทุกกิจการของพวกเขา เพราะนี่คือแนวทางหรือแบบอย่าง
ของท่านศาสนทูต และบรรดาซอฮาบะฮฺ (สาวกผู้ใกล้ชดิ ของท่านศาสนทตู ) ซงึ่ พระผู้เปน็ เจา้ ได้
กล่าวในอัลกุรอาน ความวา่

66 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

“...แต่ส่ิงท่ีมอี ยู่ ณ ท่ีอลั ลอฮนฺ ้นั ดกี วา่ และจีรงั กว่า ส�ำ หรบั บรรดาผ้ศู รทั ธาและพวกเขา
มอบหมายไวว้ างใจแดพ่ ระเจา้ ของพวกเขา และบรรดาผทู้ หี่ ลีกเลยี่ งการทำ�บาปใหญ่และการท�ำ
ลามก และเมอ่ื พวกเขาโกรธพวกเขาก็อภัยให้ และบรรดาผตู้ อบรับตอ่ พระเจา้ ของพวกเขา และ
ด�ำ รงละหมาดและกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา...”

(อัลกรุ อาน 42: 36-38)
แต่ด้วยความรัดกุมของศาสนาท่ีไม่ยอมปล่อยให้เกิดความบกพร่องข้ึนต่อแนวทางนี้
อัลลอฮฺ(ซ.บ.) จึงแจ้งให้ทราบเพื่อเป็นแนวทางในการปรึกษาหารือกันว่า แต่ละคนนั้นมีความ
สามารถและศักยภาพไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น เราจึงให้นำ้�หนักในแต่ละคนเท่ากันไม่ได้ ดังที่
พระองค์ทรงกล่าวไวใ้ นอลั กุรอาน ความวา่
“...จงกลา่ วเถดิ (มูฮัมมัด) บรรดาผรู้ ูแ้ ละบรรดาผรู้ ้ไู มเ่ ท่าเทียมกันหรอื ?”

(อลั กุรอาน 39: 9)
เพราะฉะนน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ อสิ ลามใหค้ วามส�ำ คญั ในความรบั ผดิ ชอบของแตล่ ะคนดว้ ยกบั
ความรู้ ความสามารถของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ละเลยที่จะให้ความสนใจต่อทุกคน สำ�หรับความ
ส�ำ คญั ของการชูรอต่อชุมชนมสุ ลมิ นน้ั สามารถสรุปได้ดังตอ่ ไปนี้ (มุฮมั มดั ฮาชริ อติ กลุ ลอฮฺ :
ม.ป.พ.: 8-14, อ้างถึงในมูอัมหมัดรอฟีอี มูซอ)
1. ดา้ นความศรัทธา
ความศรทั ธาของอสิ ลามมหี ลายระดับ ซ่งึ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าววา่ “ลา
อลิ าฮะอลิ อัลลอฮ”ฺ เป็นระดับที่สูงทสี่ ุด และการเอาสิ่งกีดขวางออกจากทางเดนิ เป็นระดบั ทต่ี ำ่�
ทสี่ ดุ ดงั นน้ั ทกุ การงานของผศู้ รทั ธาจงึ ผกู พนั กบั อหี มา่ น (ศรทั ธา) ของเขาและเปน็ ความศรทั ธา
ของมุสลมิ ดว้ ยว่า แนวทางเดยี วที่เขาจะตอ้ งเลอื กคือแนวทางทมี่ าจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และศาสน
ทูตหรือแนวทางท่ีไม่ขัดแย้งกับแนวทางเหล่านั้น ซ่ึงการชูรอถือเป็นการศรัทธาต่อบัญญัติของ
พระผู้เป็นเจ้าทสี่ ะท้อนออกมาใหเ้ หน็ เป็นการปฏิบตั ิ นอกจากน้ี การดอื้ ดงึ ไม่ยอมเชอ่ื ฟงั หรือไม่
ยอมรับแนวทางน้ี ถือเป็นพฤติกรรมท่ีถูกห้ามจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะผลลัพธ์ของพวกเขาคือ
ความหายนะอยา่ งแน่นอน
2. ด้านศกั ดิศ์ รี
ผู้ศรัทธาทุกคนจำ�เป็นต้องภาคภูมิใจและขอบคุณต่อพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใี่ ช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 67

ดงั นน้ั ผศู้ รทั ธาทงั้ หลายตอ้ งเชอื่ มนั่ วา่ ทางออกส�ำ หรบั ทกุ ปญั หาของมนษุ ยค์ อื การกลบั มาสหู่ ลกั
การอันสมบูรณ์ของอิสลามเท่าน้ัน เพราะแนวทางน้ีคือมาตรฐานในการดำ�เนินชีวิตของมนุษย์
อยา่ งแทจ้ ริง ดังท่พี ระผู้เป็นเจา้ ทรงตรัสไวใ้ นอลั กรุ อาน ความวา่
“และในทำ�นองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง (เป็นมาตรฐาน)
เพอ่ื พวกเจา้ จะไดเ้ ปน็ สกั ขพี ยานแกม่ นษุ ยท์ ง้ั หลาย และรอซลู กจ็ ะเปน็ สกั ขพี ยานแกพ่ วกเจา้ ...”

(อลั กุรอาน 2: 143)
เพราะฉะนน้ั การน�ำ ระบบชรู อมาใชถ้ อื เปน็ ความภมู ใิ นศกั ดศิ์ รหี รอื เกยี รตทิ พ่ี ระผเู้ ปน็ เจา้
ทรงยกยอ่ งไว้ ซง่ึ สง่ิ ใดทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การวางมาตรฐานแนวทางหรอื วางระบอบในการด�ำ เนนิ ชวี ติ
จะตอ้ งมาจากแนวทางของอิสลาม หรือเป็นส่ิงท่สี อดคล้องกับอิสลามเท่านั้น
3. ด้านผลลัพธแ์ ห่งความเป็นจรงิ ในปจั จบุ ัน
สำ�หรับในด้านผลลัพธ์ความเป็นจริงในปัจจุบันเราได้ประจักษ์แล้วจากการเลือกสรรผู้
ท่ีจะท�ำ หนา้ ทีใ่ ห้กับสังคมของเราในปจั จบุ นั เชน่ การคัดสรรตัวแทนของประชาชน 3 ฝ่าย คอื
ฝ่ายนิติบญั ญัติ ฝา่ ยบรหิ าร และฝ่ายตุลาการ
ฝา่ ยนิตบิ ัญญัตหิ รือรัฐสภามาจากการเลอื กต้งั ของประชาชน
ฝา่ ยบรหิ ารหรือรัฐมนตรกี ม็ าจากการเลอื กตงั้ เชน่ เดยี วกัน
สว่ นฝา่ ยตุลาการนนั้ มาจากการคดั เลือกตามข้ันตอนอย่างละเอียดรัดกมุ ทสี่ ดุ
ผลท่ีสะทอ้ นออกมาของอ�ำ นาจทง้ั 3 ฝ่ายแบบน้เี ป็นท่ียอมรับวา่ ฝ่ายที่มีข้อครหานอ้ ย
ทสี่ ดุ หรอื แทบจะไมม่ เี ลยกค็ อื ฝา่ ยตลุ าการ และฝา่ ยทม่ี ขี อ้ ครหามากทส่ี ดุ ในเรอ่ื งความไมซ่ อื่ สตั ย์
กค็ อื ฝา่ ยบรหิ ารและฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ สงิ่ เหลา่ นตี้ อ้ งการชใี้ หเ้ ราเหน็ วา่ การเลอื กสรรทมี่ กี ารปรกึ ษา
หารือ มีวิธกี ารขั้นตอนและผ้ทู ีม่ คี วามเหมาะสมเปน็ ผูส้ รรหานนั้ เกดิ ผลเช่นไร
4. ด้านผลการตอบแทน
เป็นความเช่ือมั่นของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าแนวทางแห่งศาสนาน้ีคือแนวทางท่ี
สมบรู ณ์ บรรดาผศู้ รทั ธาจะตอ้ งเขา้ มามสี ว่ นในการเออ้ื อ�ำ นวยหรอื ชว่ ยเหลอื ในการน�ำ บทบญั ญตั ิ
ของศาสนามาใชใ้ นสงั คมซง่ึ การน�ำ ระบบชรู อมาใชถ้ อื เปน็ การรกั ษาหรอื ฟนื้ ฟบู ทบญั ญตั ขิ องพระ
ผูเ้ ป็นเจ้า ซ่งึ ศาสนทูตมูฮมั หมัด (ศอ็ ลฯ) ไดแ้ นะน�ำ วา่

68 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ใี ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

“...ผใู้ ดฟน้ื ฟแู นวทางในอสิ ลามไว้ เปน็ แนวทางทดี่ ี เขาจะไดร้ บั ผลตอบแทนในฐานะเปน็
ผฟู้ นื้ ฟแู นวทางนน้ั และจะไดร้ บั ผลตอบแทนของผปู้ ฏบิ ตั ติ ามในภายหลงั ดว้ ย โดยทผ่ี ลตอบแทน
ของผู้ (เอาเยยี่ งอยา่ ง) นัน้ ไม่ไดบ้ กพร่องเลยแมแ้ ตน่ อ้ ย และผูใ้ ดวางแนวทางท่ไี ม่ดไี วใ้ นอิสลาม
เขาจะตอ้ งรบั บาปในฐานะเปน็ ผฟู้ นื้ ฟแู นวทางนน้ั และจะตอ้ งรบั บาปของผปู้ ฏบิ ตั ติ ามในภายหลงั
ด้วย โดยทีบ่ าปของผู้ปฏิบตั ติ ามนน้ั (เอาเยยี่ งอย่าง) นนั้ ไมไ่ ด้ลดหย่อนลงแม้แตน่ อ้ ย” (รายงาน
จากอบอี ัมร บนั ทกึ โดยอหิ มา่ มมุสลิม, อ้างถึงในมอู มั หมอั รอฟีอี มซู อ)
5. มัสยดิ ในฐานะศูนย์กลางการจดั การความขดั แยง้ ในชมุ ชนมสุ ลมิ
“มสั ยดิ ” ถอื เปน็ สถาบนั หนง่ึ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลส�ำ คญั ตอ่ ชวี ติ ของมสุ ลมิ เปน็ สถาบนั ทอ่ี ยคู่ วบคู่
ชุมชนมุสลิมและสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนและอีกมิติหนึ่งท่ีสามารถมองเห็นอย่าง
แจม่ ชดั คอื มสั ยดิ เปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ วฒั นธรรมอสิ ลาม เปน็ เอกลกั ษณแ์ หง่ ความเปน็ เอกภาพของ
พระผู้เป็นเจ้า เปน็ ศนู ยร์ วมของศรัทธา-มอุ ฺมนิ ในเชิงลักษณะของความเสมอภาค เสรภี าพและ
ภราดรภาพ ท่ปี ราศจากความแตกตา่ งกนั ระหว่างชนช้นั วรรณะ เชื้อชาติ ภาษา และชาตพิ นั ธุ์
ของมนษุ ย์ ยง่ิ กวา่ นนั้ มสั ยดิ ยงั เปน็ สถาบนั ในการเปลยี่ นแปลงโฉมหนา้ ทางสงั คม และพฤตกิ รรม
ของศรัทธาชนมุสลิม ให้มุ่งตรงต่อเอกภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้าโดยส้ินเชิง นอกจากมัสยิดจะเป็น
สถานที่ประกอบอบิ าดะฮตฺ ่ออลั ลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว ยงั เป็นสถานศกึ ษาอบรมวชิ าความรู้ จรยิ ธรรม
การประกอบอาชพี ศนู ย์สารสนเทศ และการปลกู ฝังทัศนคติ ความรักประเทศชาติอกี ด้วย
มสั ยดิ เปรยี บเสมอื นเปน็ บา้ นแหง่ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) และมสั ยดิ ยงั เปน็ สถานทช่ี มุ นมุ ของมวล
มลาอกิ ะฮฺ (ซ.บ.) ทร่ี ว่ มกนั ประกอบความภกั ดตี อ่ อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) เชน่ เดยี วกบั มอุ มฺ นิ ทง้ั หลาย และ
เปน็ ทย่ี อมรบั ไดว้ า่ การพ�ำ นกั ในมสั ยดิ (เอยี๊ ะตกิ าฟ) เปน็ ครง้ั คราวหรอื สม�่ำ เสมอนน้ั เปน็ การปลกู ฝงั
ความผูกพันทางจิตใจให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างแนบแน่นและมั่นคง สามารถขัดเกลาจิตใจให้
บริสุทธ์ผุดผ่อง และเสริมสร้างให้มุสลิมมีสมาธิแข็งแกร่ง และสุขภาพจิตท่ีดีอย่างน่าอัศจรรย์
มสั ยดิ เปน็ สถานทอี่ นั สงบเงยี บทจี่ ะชว่ ยผอ่ นคลายความเครยี ดทง้ั หลายทง้ั ปวงในสงั คม การสรา้ ง
จติ สมาธสิ เู่ ปา้ หมายทเ่ี ดน่ ชดั คอื อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) พระผเู้ ปน็ เจา้ และวางตนอยใู่ นกรอบของอสิ ลาม
นั้น ล้วนเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อเอกภาพแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง
สถานภาพและบทบาทของมัสยิดตามทัศนะของอสิ ลาม
จะเหน็ ไดว้ า่ มสั ยดิ เปน็ สถาบนั และศนู ยก์ ลางการบรหิ ารจดั การชมุ ชน โดยบทบาทของ
มสั ยดิ นอกจากจะเปน็ สถานทป่ี ฏบิ ตั ศิ าสนกจิ แลว้ มสั ยดิ ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางการพฒั นาและสง่ เสรมิ
กิจกรรมของชุมชน เป็นศาลสถิตยุติธรรมเพ่ือพิจารณาไกล่เกลี่ยคดีความข้ันต้นในชุมชน เป็น
สถานท่ปี ระชมุ ปรึกษาปญั หาและทางออกในเรอ่ื งราวดา้ นต่าง ๆ ของชุมชนทเี่ รียกวา่ “มชู าวา
เราะฮ”ฺ ซงึ่ การมชู าวาเราะฮนฺ จ้ี ะมขี น้ึ เมอื่ เกดิ กรณปี ญั หาตา่ ง ๆ หรอื การปรกึ ษาหารอื ในประเดน็

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายทีใ่ ช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 69

สาธารณะที่เกดิ ขึ้นโดยมผี ู้นำ�ชุมชนเปน็ องคป์ ระกอบหลกั ของวง นอกจากนี้ มัสยิดยงั เป็นสถาน
ทจ่ี ดั กจิ กรรมงานบญุ งานกศุ ลทงั้ การเรม่ิ ตน้ ชวี ติ ครอบครวั คอื การแตง่ งาน กจิ กรรมในวถิ ชี มุ ชน
ตา่ ง ๆ ตลอดจนเม่อื ถงึ วาระสดุ ท้ายของชวี ิต สถานท่แี หง่ น้ีจะเปน็ ทส่ี ดุ ทา้ ยท่ีเขา (ศพ) จะไดร้ บั
การละหมาดขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าก่อนที่ร่างจะถูกฝังในกูโบร (สุสาน) ที่ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ ๆ
กับมัสยดิ
6. โครงสร้างทางสงั คมของชุมชนมสุ ลิม
บรรจง นะแส (2547; อ้างในมฮู ัมหมัดรอฟอี ี มูซอ) ไดว้ เิ คราะห์โครงสรา้ งของชมุ ชน
มุสลิมว่ามีความเชื่อมโยงอ้างอิงอยู่บนพ้ืนฐานหลักคำ�สอนของศาสนาอิสลามอย่างแนบแน่น
ชุมชนมี อีหม่าม คอเต็บ บิหล่ันและคณะกรรมการมัสยิดจำ�นวนหน่ึงที่มีบทบาทในการดูแล
ปกปอ้ งชุมชน การเกดิ ขึน้ ของรปู แบบการเมอื งการปกครองตามพระราชบัญญตั ปิ กครองทอ้ งท่ี
พระราชบญั ญตั กิ ารปกครองทอ้ งถน่ิ หรอื การปกครองสว่ นภมู ภิ าค ไดส้ รา้ งกลไกใหมเ่ ขา้ มาสอด
แทรกทับซอ้ นองค์กรหรอื กลไกดง้ั เดมิ ของชุมชน ผูใ้ หญบ่ า้ น กำ�นนั คณะกรรมการหมู่บา้ นเปน็
สง่ิ แปลกใหมท่ เ่ี กดิ ขนึ้ และพฒั นามาตง้ั แตม่ กี ารจดั ระบบบรหิ ารราชการโดยละเลยทจ่ี ะหยบิ ยก
ศกั ยภาพอนั เปน็ โครงสรา้ งดง้ั เดมิ ชองชมุ ชนขนึ้ มาพจิ ารณาหนนุ เสรมิ ความแปลกแยกทบั ซอ้ น กอ่
ให้เกิดความไร้เอกภาพในชมุ ชน เปน็ ความขัดแย้งทีส่ รา้ งความออ่ นแอใหเ้ กิดขึน้ ในชุมชนมสุ ลมิ
มาอยา่ งยาวนาน
ชมุ ชนดง้ั เดมิ ในสงั คมไทยสว่ นใหญส่ ามารถปรบั ตวั ปรบั บทบาทกลไกหรอื องคก์ รภายใน
ชมุ ชนใหส้ นทิ แนบแนน่ เปน็ เนอื้ เดยี วกนั กบั โครงสรา้ งทถี่ กู ก�ำ หนดมาจากสว่ นกลางทเ่ี รยี กวา่ การ
บริหารราชการสว่ นกลาง สว่ นภูมภิ าค และส่วนท้องถ่ินได้อย่างกลมกลนื แตใ่ นชุมชนมุสลิมหา
เปน็ เชน่ นนั้ ไม่
ชุมชนมุสลิมจัดโครงสร้างการปกครองชุมชน โดยมีคำ�สอนทางศาสนาอิสลามเป็นตัว
ก�ำ หนดโครงสรา้ ง เพราะศาสนาอสิ ลามไมไ่ ดแ้ ยกวถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ ระหวา่ งเรอื่ งทางโลกกบั เรอ่ื ง
ทางธรรมออกจากกนั แตท่ กุ มติ มิ คี วามเชอ่ื มโยงสมั พนั ธก์ นั อยา่ งแนบแนน่ กลายเปน็ วถิ กี ารด�ำ เนนิ
ชีวิต (Way of life) ท่ีมีความเชื่อมโยงสง่ ผลตอ่ กันของการดำ�เนนิ ชีวิตบนโลกนี้ (ดนุ ยา) และโลก
หนา้ (อาคเี ราะฮ)ฺ โดยมผี นู้ �ำ ชมุ ชนทสี่ �ำ คญั คอื อหี มา่ ม ซง่ึ มาจากการแตง่ ตง้ั ของสมาชกิ ในชมุ ชน
นนั้ ๆ โดยอหี มา่ มเปน็ ผทู้ ม่ี คี ณุ สมบัตพิ เิ ศษเฉพาะเหนือคนอ่นื ๆ น่นั คือมคี วามร้คู วามเขา้ ใจใน
คัมภีร์อัลกุรอานและแบบอย่างของท่านศาสนทูต (ซุนนะฮฺ) ตลอดจนสามารถนำ�หลักการของ
ศาสนาอสิ ลามมาประยกุ ต์ใช้ในการปกครองดแู ลสมาชกิ ได้อยา่ งทว่ั ถึง
หลังจากมีการปฏิรูประบบการเมืองการปกครองในสมัยรัชการท่ี 5 เป็นต้นมา ทำ�ให้
กลไกบรหิ ารจดั การรปู แบบใหมก่ อ่ ตวั ขน้ึ มาอยา่ งแปลกแยกในชมุ ชนมสุ ลมิ ในยคุ แรก ๆ ต�ำ แหนง่

70 รายวชิ าท่ี 6 กฎหมายท่ีใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผู้ใหญ่บ้าน กำ�นัน เป็นไปในลักษณะของการหาตัวแทนชุมชนเพื่อประสานงานกับหน่วยงาน
ราชการหากเปรียบชุมชนเป็นประเทศ ผู้ใหญ่บ้านหรือกำ�นัน ก็คือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ
ทชี่ มุ ชนสง่ ไปท�ำ หนา้ ทนี่ อกหมบู่ า้ น อยา่ งไรกต็ ามเมอื่ กลบั มาอยใู่ นชมุ ชนผใู้ หญบ่ า้ นหรอื ก�ำ นนั ก็
ต้องอยู่ภายใต้การดแู ลปกครองของอหี ม่ามซ่งึ เป็นผนู้ �ำ สูงสดุ ของชุมชนนัน้ ๆ เนอ่ื งจากบทบาท
ของอหี มา่ มนน้ั คอื การตอบสนองตอ่ บทบญั ญตั ขิ องพระผเู้ ปน็ เจา้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องอหี มา่ ม
เปน็ การรบั ผดิ ชอบตอ่ พระผเู้ ปน็ เจา้ โดยตรง หากมคี วามบกพรอ่ งในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทกี่ ถ็ อื เปน็ การ
ละเลยหรอื ละเมดิ บทบญั ญตั ทิ างศาสนา ซงึ่ เปน็ เรอื่ งทย่ี งิ่ ใหญเ่ กนิ กวา่ ทจ่ี ะมใี ครทา้ ทายได้ ชมุ ชน
ภายใต้การนำ�ของอีหม่ามจะร่วมกันสร้างข้อตกลงร่วมกันของชุมชนในการห้ามหรือส่งเสริมให้
สมาชิกในชมุ ชนปฏิบตั ติ าม เรยี กกนั วา่ “ฮูกุมฟากัต”
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินข้ึนมาโดยเฉพาะกลไกตำ�แหน่ง
ผ้ใู หญบ่ ้าน กำ�นนั คณะกรรมการหมู่บา้ น ไดส้ รา้ งความอ่อนแอและกดั เซาะองค์กรดงั้ เดมิ ของ
ชมุ ชนมสุ ลมิ ใหอ้ อ่ นแอลง โดยกระบวนการเสรมิ อ�ำ นาจหนา้ ทที่ มี่ งุ่ เนน้ ใหก้ ลไกผใู้ หญบ่ า้ น ก�ำ นนั
เข้าไปเสรมิ อ�ำ นาจกลไกรฐั มากกว่าการปกป้องดูแลชมุ ชน ภาพความขัดแยง้ ระหวา่ งบุคคลร่วม
ชุมชนที่ทำ�หน้าท่ีในชุมชนมุสลิมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ คณะกรรมการมัสยิดกับคณะกรรมการ
หมู่บ้าน ล้วนสร้างร้ิวรอยของความขัดแย้งปรากฏให้เห็นอยู่ท่ัวไป ซึ่งผู้มีส่วนเก่ียวข้องต้องพึง
ระวังหรืออาจต้องมีการทบทวนนโยบายที่เก่ียวข้องเพ่ือสร้างชุมชนเข้มแข็งที่สามารถดูแลตัว
เองไดก้ ลบั คนื มาอกี ครง้ั หน่งึ โดยมภี าครัฐคอยเสรมิ หรือสนับสนนุ ชว่ ยเหลือการดำ�เนินงานของ
ชุมชนให้เป็นไปอยา่ งราบรนื่
7. ฮกู ุมฟากตั กับความผูกพนั ของสมาชิกในชุมชนมสุ ลมิ
ฮกู มุ ฟากตั คอื ขอ้ ก�ำ หนด กตกิ า เพอ่ื ความเปน็ เอกภาพในการอยรู่ ว่ มกนั ของสมาชกิ ใน
ชมุ ชนโดยตัง้ อยูบ่ นพื้นฐานของหลักการศาสนา และวฒั นธรรมทีด่ ีงามซึง่ ไม่ขัดกับหลกั การของ
ศาสนา
ฮูกุมฟากัต เป็นกฎเกณฑ์ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาชูรอแล้ว ฮุกุมฟากัตในชุมชน
มสุ ลมิ แตล่ ะแหง่ อาจจะมรี ายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยแตกตา่ งกนั ไปบา้ ง แตเ่ นอ้ื หาหลกั ทเี่ ปน็ แกนจะมี
ลกั ษณะคลา้ ยกนั โดยค�ำ นงึ ถงึ ขอ้ หา้ มและขอ้ ใชท้ างศาสนาเปน็ ส�ำ คญั เชน่ การก�ำ หนดใหส้ มาชกิ
ในชมุ ชนทกุ คนมาละหมาดรว่ มกนั ทม่ี สั ยดิ การก�ำ หนดบทลงโทษส�ำ หรบั ผทู้ ฝ่ี า่ ฝนื ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ฮกู ุมฟากัต หรอื การหา้ มสมาชกิ ในชมุ ชนยุง่ เกยี่ วกบั อบายมขุ การด่มื สุราของมนึ เมา ซ่งึ เป็นข้อ
หา้ มทางศาสนา เปน็ ต้น
อบี าดะฮฺ: การผูกโยงความสัมพนั ธข์ องสมาชิกในชมุ ชนมสุ ลิมเพื่อป้องกันความขดั แยง้
อบี าดะฮฺ หมายถงึ การแสดงออกถงึ ความนอบน้อม หรือรสู้ ึกใหค้ วามสำ�คัญอยา่ งสูงสุด

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 71

ต่อผู้ทรงถูกเคารพภักดี อีบาดะฮฺเป็นด่ังบันไดท่ีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งท่ีถูกสร้าง
(มคั โลก้ ) กับพระผ้ทู รงสรา้ ง (อัลลอฮฺ) และยังมผี ลอันลึกซ้งึ สู่การปฏบิ ตั ขิ องเราทพ่ี ึงมีตอ่ สิ่งท่ถี กู
สรา้ งตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ อกี ดว้ ย การละหมาด การถอื ศลี อด ทานซะกาต การบ�ำ เพญ็ ฮจั ญ์ ตลอดจน
การปฏิบัติตา่ ง ๆ ทม่ี นษุ ย์กระท�ำ ไปโดยหวงั ความยนิ ดีของอัลลอฮฺ (ซ.บ) และใหค้ วามสำ�คญั ต่อ
บทบญั ญัตขิ องพระองค์ ถือเป็นอีบาดะฮทฺ ั้งส้ิน
อบี าดะฮฺจงึ เปน็ การประกอบคณุ งานความดี โดยมีจดุ มุง่ หมายเพื่อถวายแด่พระผเู้ ป็น
เจา้ ตามรปู แบบทท่ี รงพอพระทยั ซงึ่ อบี าดะฮเฺ ปน็ สง่ิ ทช่ี ว่ ยใหม้ นษุ ยด์ �ำ รงตนอยไู่ ดอ้ ยา่ งมดี ลุ ยภาพ
ระหว่างการพักช่ืนชมในความสวยงามของโลก กับการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิต
มุสลิมเชื่อว่าแม้โลกน้ีจะเป็นเพียงทางผ่านแต่มีผลสำ�คัญอย่างยิ่งยวดต่อการช้ีขาดในโลกหน้า
ดงั นนั้ มสุ ลมิ ผศู้ รทั ธาจงึ ระมดั ระวงั และพยายามอยา่ งสดุ ความสามารถทจ่ี ะใชช้ วี ติ ใหเ้ ปน็ ไปตาม
แนวทางและความพงึ พอพระทยั ของพระผเู้ ปน็ เจา้ เพราะความผดิ พลาดในโลกนถี้ า้ ไมไ่ ดร้ บั การ
อภยั โทษจากพระผเู้ ป็นเจ้าก็ไมม่ โี อกาสทจี่ ะไปแกไ้ ขในโลกหนา้ และไมม่ ีโอกาสทีจ่ ะกลับมาเกิด
ในโลกนี้อกี ครั้งหนง่ึ
การอีบาดะฮใฺ นอิสลามมีพ้นื ฐานมาจากความยดึ มน่ั ศรทั ธาในองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) พระ
ผู้เป็นเจ้า จึงเปรียบดังเสาหลักคำ้�จุนการดำ�รงอัตลักษณ์ของชุมชนมุสลิมมิให้หลอมละลายไป
ในกระแสต่าง ๆ ท่ีถูกจุดขน้ึ เพอ่ื การครอบงำ� เพราะฉะนน้ั ทกุ อิรยิ าบถของการด�ำ เนินชีวิตจึง
เปน็ การอบี าดะฮตฺ อ่ พระผู้เปน็ เจา้ รวมทัง้ การดำ�เนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ในชุมชนมุสลิมด้วย
ความสำ�คัญของอบี าดะฮตฺ อ่ วถิ ีชมุ ชนมุสลิม
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไวใ้ นอัลกุรอานถงึ ความจ�ำ เป็นของการอบี าดะฮความว่า
“และข้ามิได้สร้างญิน (สิ่งท่ีถูกสร้างข้ึนมาจากไฟ มีตัวตนที่เราไม่อาจจะเห็นด้วยตา
ธรรมดา) และมนุษยเ์ พอื่ อน่ื ใดเวน้ แต่เพ่ืออีบาดะฮฺ (เคารพภักด)ี ตอ่ ขา้ ”

(อัลกุรอาน 51: 56)
จะเห็นได้ว่าคัมภีร์อัลกรุอานกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า พระองค์มิได้สร้างญินและ
มนุษย์มาเพื่ออ่ืนใดนอกจากเพ่ือการ “อีบาดะฮฺ” ต่อพระองค์ ดังน้ัน การอีบาดะฮฺของทั้งญิน
และมนษุ ย์จะตอ้ งมไี วเ้ พ่อื อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) แต่เพียงอยา่ งเดยี วเท่านั้น
มสุ ลมิ เชอ่ื อยา่ งมน่ั คงวา่ ความมงุ่ หมายทงั้ หมดของเขาในชวี ติ นี้ คอื การรบั ใชพ้ ระผเู้ ปน็
เจ้า การกระท�ำ ทกุ อยา่ งท่มี ุสลิมท�ำ ลงไป อาจจะเปน็ การแสดงความจงรกั ภกั ดไี ด้มากเทา่ ๆ กับ
การประกอบพิธีทางศาสนาของเขา ตราบที่เจตนาของเขาในการกระทำ�เหล่านั้นเป็นไปเพ่ือ

72 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้

อัลลอฮฺ (ซ.บ.)
ดงั น้ัน จะเหน็ ได้ว่าความสำ�คัญของการอีบาดะฮฺตอ่ วิถชี มุ ชนมสุ ลมิ น้ันถือเป็นการตอบ
สนองพระบัญชาของพระผู้เปน็ เจา้

อบี าดะฮกฺ ับการผกู โยงความสมั พนั ธข์ องสมาชกิ ในชมุ ชน (อลั กุรอาน 49: 10)
“แทจ้ ริงบรรดาผศู้ รทั ธานั้นเป็นพ่ีนอ้ งกัน...”


จากโองการของคัมภีร์อัลกุรอานข้างต้นเป็นการตอกย้ำ�ถึงความสัมพันธ์ของสมาชิกใน
ชมุ ชนมสุ ลมิ เพราะฉะนนั้ การอบี าดะฮตฺ า่ ง ๆ จงึ อยบู่ นพน้ื ฐานของความเปน็ พนี่ อ้ งในอสิ ลาม ซง่ึ
กิจกรรมทผี่ ูกโยงความสมั พนั ธ์ของสมาชิกในชมุ ชนมหี ลากหลายกิจกรรมด้วยกัน โดยกจิ กรรม
เหล่านี้มีเป้าหมายเพ่ือความเป็นหน่ึงเดียวของสมาชิกในชุมชน ป้องกันความแตกแยกที่อาจจะ
เกดิ ข้นึ ซึ่งกิจกรรมตา่ ง ๆ หรอื อีบาดะฮทฺ ี่ใช้ในการผกู โยงสมาชกิ ชุมชนน้ันสามารถแบง่ ออกเป็น
3 ประเภทดว้ ยกนั นน่ั คอื อบี าดะฮทฺ ป่ี ฏบิ ตั ติ ามชว่ งวยั แหง่ การด�ำ เนนิ ชวี ติ อบี าดะฮทฺ ปี่ ฏบิ ตั แิ ตล่ ะ
วนั ในรอบสัปดาห์ และอบี าดะฮทฺ ่ปี ฏบิ ัตแิ ตล่ ะเดือนในรอบปตี ามปฏทิ ินอสิ ลามซ่งึ นบั เดือนตาม
จนั ทรคติซง่ึ จะน�ำ เสนอรายละเอียดของอบี าดะฮแฺ ต่ละประเภทตอ่ ไป

1. อีบาดะฮฺทป่ี ฏบิ ัตติ ามชว่ งวยั ของการด�ำ เนนิ ชีวติ
สำ�หรับอีบาดะฮฺที่คนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายพื้นที่ได้ปฏิบัติตามช่วงวัย
ของการด�ำ เนนิ ชวี ติ นน้ั มหี ลายกจิ กรรมดว้ ยกนั คอื การอาซาน (การเชญิ ชวนสกู่ ารละหมาด เพอื่
ประกาศความยงิ่ ใหญข่ องพระผเู้ ปน็ เจา้ ) และอกี อมะฮฺ (การเชญิ ชวนซง่ึ เปน็ สญั ญาณบง่ ชถ้ี งึ การ
เร่มิ ตน้ ของการละหมาด) ใหก้ บั ทารกแรกเกิด การท�ำ อากีเกาะฮฺ โครงการ Pra perkahwinan
(อบรมเพือ่ เตรียมความพรอ้ มก่อนใชช้ ีวติ ค)ู่ คตุ บะฮฺตนุ นิกะฮฺ และกองทุนสงเคราะห์ผู้เสียชวี ติ
โดยกิจกรรมต่าง ๆ เร่ิมต้นต้ังแต่ลมหายใจแรกท่ีได้ลืมตามาดูโลกจนกระท่ังลมหายใจสุดท้าย
ของชวี ติ ซงึ่ รายละเอยี ดของแตล่ ะกิจกรรมนัน้ มีดงั น้ี

การอาซานและอีกอมะฮใฺ หก้ บั ทารกแรกเกิด
การอาซานและอีกอมะฮฺให้กับทารกแรกเกิดถือเป็นอีบาดะฮฺหรือกิจกรรมในการสร้าง
อตั ลกั ษณแ์ ละความผกู พนั ระหวา่ งสมาชกิ ในชมุ ชนมสุ ลมิ นบั ตง้ั แตว่ นิ าทแี รกทที่ ารกคลอดออก
มาจากครรภ์มารดาหลังจากท่ีทารกได้ลืมตาดูโลกและผ่านการทำ�ความสะอาดเป็นท่ีเรียบร้อย
แล้ว ผู้เป็นบิดาจะทำ�หน้าท่ีในการอาซานให้ทารกได้ยินท่ีหูข้างขวาแล้วจะทำ�การอีกอมะฮฺที่หู

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 73

ขา้ งซ้ายของทารก ซง่ึ การอาซานและอกี อมะฮฺนีจ้ ะท�ำ ใหท้ ารกไดร้ บั รถู้ งึ ความยงิ่ ใหญ่เกรียงไกร
ของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากนี้ ยังจะช่วยผลักดันมารร้ายท่ีเฝ้าวนเวียนอยู่รอบตัวทารกให้ออก
ไปอกี ด้วย
การท�ำ อากเี กาะฮฺ
หลงั จากคลอดทารกใหม่ไดค้ รบ 7 วันแลว้ ก็จะมกี ารทำ�อากีเกาะฮฺซึง่ ไดแ้ ก่ การเชอื ด
แพะหรอื แกะเปน็ ทานแกท่ ารกทเ่ี กดิ ใหมใ่ นโอกาสครบรอบ 7 วนั นบั จากวนั คลอด เพอื่ เลยี้ งแก่
เพื่อนบ้านในชมุ ชนพร้อมกับการต้ังช่ือทารก ท้งั นี้ชื่อทนี่ �ำ มาต้งั นั้นต้องเปน็ ชือ่ ที่ดี มีความหมาย
อันเป็นมงคล นอกจากน้ียังต้องมีการโกนผมให้ทารก แล้วนำ�เส้นผมดังกล่าวไปช่ังน้ำ�หนักเพ่ือ
จะได้ตีราคาทองคำ�เท่ากับนำ้�หนักเส้นผมแล้วทำ�การบริจาคทานเป็นเงินแก่คนยากจนต่อไป
กระบวนการท้ังหมดน้ีเสมือนหน่ึงเป็นการประกาศสมาชิกใหม่และมอบหมายให้ชุมชนช่วยกัน
ดแู ล เพราะถอื วา่ เดก็ เปน็ ทรพั ยากรหรือสมบัตทิ ่ชี ุมชนต้องช่วยกันดแู ล
โครงการ Pra Perkahwinan (อบรมเพื่อเตรยี มความพรอ้ มก่อนใช้ชีวติ คู่)
ก่อนท่ีสมาชิกชุมชนในวัยหนุ่มสาวจะเข้าสู่ชีวิตของการแต่งงานทุกคนจะต้องผ่านการ
อบรมในหลกั สตู รขนั้ พนื้ ฐานเก่ยี วกบั การใช้ชวี ิตครอบครัวก่อน โดยเฉพาะฝา่ ยชายท่ตี ้องมีหน้า
ท่ีหลักในการดูแลครอบครัว หลังจากผ่านการอบรมในหลักสูตรน้ีแล้วก็จะมีการออกหนังสือ
รับรองการผ่านหลักสูตร หากบุคคลใดไม่มีหนังสือรับรองดังกล่าว อีหม่ามในแต่ละชุมชนก็จะ
ไมท่ �ำ การแตง่ งานให้กับบุคคลดังกลา่ ว โดยในหลกั สตู รดงั กลา่ วนั้นจะเน้นการเรียนร้ถู งึ บทบาท
ของสามแี ละภรรยาในอิสลาม การเตรยี มความพร้อมก่อนมีบุตร การเลี้ยงดบู ตุ ร เป็นต้น
คตุ บะฮฺตุนนกิ ะฮฺ
การประพฤติผดิ ทางเพศถือเปน็ การกระทำ�ผิดทรี่ ้ายแรงในทศั นะของอิสลาม อสิ ลาม
ถอื วา่ ความตอ้ งการทางเพศเปน็ สอ่ื น�ำ ไปสกู่ ารด�ำ รงเผา่ พนั ธแ์ุ ละเปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ ไ่ี มอ่ าจ
ทัดทานได้ ขณะเดยี วกันก็ไมอ่ าจปล่อยให้ความต้องการนัน้ ได้รบั การตอบสนองอย่างปราศจาก
การควบคมุ การนกิ ะฮหฺ รอื การแตง่ งานจงึ ถอื เปน็ ทางออกทดี่ ที ส่ี ดุ ในการปลดปลอ่ ยความตอ้ งการ
ตามธรรมชาตภิ ายใตก้ รอบกตกิ าอนั ดงี าม เพราะฉะน้นั เมอื่ การแตง่ งานเปน็ สิ่งท่ถี ูกอนุมัตแิ ลว้
การมเี พศสัมพนั ธน์ อกสมรสจึงถือเปน็ ความผิดอันมหนั ตย์ ง่ิ
ชมุ ชนมสุ ลมิ จงึ สง่ เสรมิ ใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนทมี่ คี วามพรอ้ มแลว้ ท�ำ การแตง่ งานใหถ้ กู ตอ้ ง
ตามบทบญั ญตั ขิ องทางศาสนา ซง่ึ องคป์ ระกอบของการแตง่ งานอสิ ลามไดแ้ บง่ ไวเ้ ปน็ 5 ประการ

74 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายท่ใี ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

คือ
1) ค�ำ ผกู มัดและค�ำ ตอบรับ
2) เจา้ บา่ ว
3) เจ้าสาว
4) ผ้ปู กครองฝา่ ยเจา้ สาว
5) พยาน 2 คน
อย่างไรก็ตามเพ่ือเป็นการป้องกันความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันในชีวิตแต่งงาน
ของคบู่ า่ วสาว อสิ ลามจงึ บญั ญตั ใิ หม้ กี ารคตุ บะฮตฺ นุ นกิ ะฮฺ ซงึ่ อหี มา่ ม หรอื ผทู้ �ำ การนกิ ะฮไฺ ดก้ ลา่ ว
เตอื นใจกอ่ นการกลา่ วค�ำ ผกู มดั และค�ำ ตอบรบั โดยเนอื้ หาของคตุ บะฮตฺ นุ นกิ ะฮนฺ นั้ จะครอบคลมุ
การสดุดีเกยี รตคิ ณุ แห่งพระผเู้ ป็นเจ้า การขอพรใหแ้ ก่ศาสนทูตมูฮมั มดั (ศ็อลฯ) และอา่ นบรม
ราชโองการแหง่ พระผเู้ ปน็ เจา้ จากคมั ภรี อ์ ลั กรุ อาน ซงึ่ จะเนน้ การชน้ี �ำ สกู่ ารย�ำ เกรงตอ่ พระผเู้ ปน็
เจ้าจากคมั ภรี ์อัลกรุ อาน และตอกยำ�้ วา่ ชวี ติ ทกุ ชีวติ ลว้ นมที ่ีมาจากแหลง่ เดียวกนั และชีวิตจะไม่
ประสบความสำ�เรจ็ หรอื มคี วามสขุ ได้หากปราศจากการย�ำ เกรงตอ่ พระผูเ้ ปน็ เจา้
นอกจากนี้คุตบะฮฺตุนนิกะฮฺยังมีเนื้อหาที่เป็นการเตือนใจผู้ท่ีเข้าร่วมในพิธีแต่งงานอีก
ด้วย โดยย้ำ�ถึงการสนับสนุนของอิสลามที่ให้คนหนุ่มสาวท่ีมีความพร้อมแล้วทำ�การแต่งงานให้
ถูกต้อง เพราะถอื ว่าการแต่งงานเป็นดงั่ เกราะป้องกนั ส่ิงที่ไมด่ ีงามตา่ ง ๆ ไดห้ ลายทาง และเมื่อ
แต่งงานแล้วก็ให้ใชช้ ีวติ รว่ มกนั ดว้ ยดี
ละหมาดญะมะอะฮฺ: กลไกสรา้ งความกลมเกลยี วของสมาชิกในชุมชน
การละหมาดเป็นส่ิงเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างมุสลิมผู้ศรัทธากับอัลลอฮฺ (ซ.บ.) พระผู้
เป็นเจ้า ในเวลาที่เขาละทิ้งจากสิ่งที่เป็นภาระทั้งหมดในชีวิตประจำ�วัน สำ�รวมใจระลึกถึงพระ
ผู้อภิบาล วงิ วอนขอความชว่ ยเหลอื จากพระองค์ ขอทางน�ำ จากพระองคแ์ ละมานะบากบ่ันที่จะ
เดินไปตามหนทางเท่ียงตรงต่อไป การละหมาดถอื วา่ เป็นการกระท�ำ ทดี่ ที ส่ี ดุ เพราะเปน็ ต้นตอ
ทผ่ี ศู้ รทั ธาอาจเตมิ ความศรทั ธาและตกั วา (ความย�ำ เกรงอลั ลอฮ)ฺ ของเขาใหเ้ ตม็ อกี ครงั้ หนงึ่ รวม
ทัง้ ชำ�ระตวั เขาเองใหส้ ะอาดพ้นจากบาป
การละหมาดเป็นข้อบัญญัติทางศาสนาท่ีมุสลิมจะต้องปฏิบัติในหนึ่งวันจำ�นวน 5
เวลา เร่ิมต้ังแต่ตะวันเร่ิมส่งแสงของวันใหม่จนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า ซึ่งการละหมาดน้ันจะ
มีจุดศูนย์กลางของการร่วมตัวอยู่ที่มัสยิดประจำ�หมู่บ้าน ซ่ึงการละหมาดร่วมกันเป็นหมู่คณะ
(ญะมาอะฮ)ฺ นน้ั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความกลมเกลยี วสมานฉนั ท์ อนั เปน็ ผลจากการไดร้ ว่ มกจิ กรรมเดยี ว
ในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน และจุดมุ่งหมายเด่ียวกัน ซึ่งผลของการละหมาดญะมาอะฮฺ

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทีใ่ ช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 75

จะบ่มเพาะความมีระเบียบวินัย เช่ือฟังและเคารพต่อผู้นำ� นอกจากน้ีบทบัญญัติของศาสนายัง
ระบวุ า่ การละหมาดรว่ มกนั ทม่ี สั ยดิ จะไดร้ บั ผลบญุ มากกวา่ การละหมาดเพยี งล�ำ พงั อกี ดว้ ย จงึ ถอื
เป็นแรงกระต้นุ อยา่ งหนงึ่ ท่จี ะให้สมาชิกในชมุ ชนเขา้ มาร่วมท�ำ การละหมาดร่วมกัน
การละหมาดท่ีมอี ริ ิยาบถเฉพาะตัวและเป็นการปฏบิ ตั ิท่ีเกิดจากอดุ มการณ์ศรัทธา จึง
เป็นเคร่ืองมือสำ�คัญสูงสุดในการดำ�รงอัตลักษณ์แห่งสังคมมุสลิม ดังน้ัน มุสลิมท่ีไม่เอาใจใส่ต่อ
การละหมาดกจ็ ะหม่นิ เหม่อยา่ งยง่ิ ต่อการก้าวขา้ มเสน้ แบง่ ระหวา่ งความเป็นมสุ ลมิ กบั ผูป้ ฏิเสธ

คุตบะฮวฺ ันศกุ ร:์ กลไกในการเข้าถงึ สมาชกิ ในชุมชน
วันศุกร์ถือเป็นวันที่ประเสริฐท่ีสุดในรอบสัปดาห์สำ�หรับมุสลิม เพราะท่านศาสนทูต
มฮู ัมมัด (ศ๊อลฯ) ได้กลา่ วมีความวา่

“วนั ทปี่ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ทดี่ วงอาทติ ยข์ น้ึ คอื วนั ศกุ ร์ ในวนั นน้ั ศาสนทตู อาดมั ถกู สรา้ ง และถกู น�ำ เขา้
สวรรค์และถกู ใหอ้ อกจากสวรรคแ์ ละวนั กิยามะฮฺ (วนั สิ้นโลก) จะไมเ่ กดิ ขึ้นนอกจากในวันศกุ ร์”

(รายงานโดย มสุ ลิม)

เพราะฉะนน้ั ในวนั ศกุ รจ์ งึ มบี ทบญั ญตั เิ ฉพาะทเ่ี กยี่ วกบั การละหมาด นน่ั คอื การละหมาด
ในเวลาบา่ ยของวนั ศกุ ร์ ซง่ึ สมาชกิ ทกุ คนในชมุ ชนมสุ ลมิ จ�ำ เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งเขา้ มารว่ มกนั ละหมาดท่ี
มสั ยิด ถึงแม้วันอน่ื อาจจะไมส่ ะดวกในการเดนิ ทางมา แต่สำ�หรับวนั ศุกรน์ ้ันสมาชกิ ในชมุ ชนทุก
คนท่บี รรลุศาสนภาวะแลว้ จะตอ้ งงดเว้นภารกิจต่าง ๆ ในชว่ งเวลาท่มี ีการละหมาด
การละหมาดในวนั ศกุ รน์ ้ี ถอื เปน็ การรวมตวั ครงั้ ใหญข่ องสมาชกิ ในชมุ ชนประจ�ำ สปั ดาห์
โดยทุกคนจะมารวมตัวกันท่ีมัสยิดเพื่อรับฟังคุตบะฮฺ (การเทศนาธรรม) ตักเตือนให้สมาชิกใน
ชุมชนได้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในครรลองคลองธรรมและทบทวนพฤติกรรมของตนเองท่ีผ่าน
มาในรอบสัปดาห์ว่าบกพร่องต้องแก้ไขอย่างไร รวมท้ังวางแผนการดำ�เนินชีวิตในสัปดาห์ต่อไป
ซึง่ ผูท้ ่ีจะท�ำ หน้าที่กล่าวคตุ บะฮฺในชุมชนมุสลิมโดยทั่วไปได้แก่ อหี มา่ มประจ�ำ มัสยิด
นอกจากนีก้ ารละหมาดวันศกุ รย์ ังถอื เปน็ เวทีสำ�หรบั การปรกึ ษาหารือหรอื แจ้งข่าวสาร
ความเคลอ่ื นไหวท่เี กดิ ขึ้นในสังคมให้สมาชิกในชมุ ชนรับฟงั ดว้ ย ซง่ึ หน่วยงานราชการตา่ ง ๆ มกั
ใชเ้ วลาของการละหมาดวนั ศกุ รเ์ ขา้ มาพบปะเยย่ี มเยยี นประชาชนเปน็ ประจ�ำ เพราะชว่ งเวลาดงั
กลา่ วถือว่าเป็นเวลาทส่ี มาชิกในชมุ ชนมารว่ มตวั กันไดม้ ากท่ีสดุ
ส�ำ หรบั ความส�ำ คญั ของการละหมาดวนั ศกุ รน์ น้ั บทบญั ญตั ขิ องศาสนาไดบ้ ญั ญตั ไิ วอ้ ยา่ ง
ชดั เจนวา่ ถอื เป็นขอ้ บงั คบั ส�ำ หรบั มุสลมิ ทบี่ รรลศุ าสนภาวะทกุ คน ผใู้ ดท่ีละเมดิ หรอื ไมม่ าท�ำ การ

76 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

ละหมาดวนั ศกุ ร์ โดยไมม่ เี หตจุ �ำ เปน็ เกนิ กวา่ 3 ครงั้ ศาสนาถอื วา่ บคุ คลนนั้ หมน่ิ เหมต่ อ่ การด�ำ รง
สถานะความเปน็ มสุ ลมิ ซง่ึ ถอื เปน็ หนา้ ทขี่ องคณะกรรมการมสั ยดิ ทจ่ี ะตอ้ งดแู ลสอดสอ่ งผทู้ ล่ี ะเมดิ
บทบญั ญตั ินีเ้ ปน็ การเฉพาะ โดยในแต่ละชุมชนมสุ ลมิ จะมบี ทลงโทษตอ่ ผูท้ ี่ขาดละหมาดวนั ศุกร์
ที่แตกตา่ งกนั ไป เช่น การไม่ไปรว่ มสงั สรรคก์ ับบุคคลดังกลา่ ว เป็นตน้
ตาดกี า: จุดศนู ยร์ วมส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน
หลังจากที่เด็กและเยาวชนในหมู่บ้านซ่ึงส่วนใหญ่อยู่ในวัยประถมศึกษาเลิกเรียนจาก
โรงเรียนประถมประจำ�หมู่บ้านแล้ว เด็กและเยาวชนเหล่านั้นจะต้องเข้าเรียนตาดีกาเพ่ิมเติม
โดยชุมชนมักจัดการเรียนการสอนในระบบตาดีกาทุกวันหลังละหมาดมักริบตั้งแต่เวลา 18.30
– 20.30 น. ซึง่ จะมกี ารสอนพ้นื ฐานศาสนบญั ญัติ และศกึ ษาคมั ภรี ์อัลกุรอาน ผทู้ ี่ท�ำ หน้าท่ีสอน
เดก็ เหลา่ นก้ี ค็ อื เยาวชนรนุ่ พใี่ นชมุ ชนทมี่ คี วามรเู้ กยี่ วกบั หลกั การของศาสนาทเ่ี รยี กวา่ “อสุ ตาซ”
นอกจากน้ี การเรียนตาดีกา ยังถือเป็นเวทีสำ�หรับการพบปะของเด็กและเยาวชนใน
หม่บู ้านเพอื่ มารว่ มกันท�ำ กจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ เล่นกฬี า หรอื กจิ กรรมนันทนาการอ่นื ๆ เพราะ
ฉะนัน้ ในช่วงเย็นหลงั เลกิ เรยี นเดก็ และเยาวชนในหมบู่ ้าน ซึ่งอาจจะเรยี นตา่ งที่กัน แตก่ จ็ ะมา
พบปะกนั ทต่ี าดีกา โดยพรอ้ มเพรยี งกนั
กีตาบ / อัลกรุ อาน: เวทีสำ�หรับทบทวนความรู้
โดยปกตกิ ารเรยี นการสอนกตี าบ (ต�ำ ราภาษามลาย)ู หรอื อลั กรุ อาน มขี นึ้ เปน็ ประจ�ำ ทกุ
วันชว่ งเวลาเดียวกบั ท่ีมกี ารสอนตาดกี า คือ หลงั ละหมาดมักรบิ ต้งั แตเ่ วลา 18.30 – 20.30 น.
เป็นการสอนเก่ียวกับจริยวัตรของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) และฝึกฝนการอ่านคัมภีร์
อัลกุรอานพร้อมท้ังศึกษาความหมาย สำ�หรับสมาชิกในชุมชนที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งถือเป็นฮูกุมฟากัต
(ข้อตกลงร่วมกันของชุมชน) ที่กำ�หนดว่าสมาชิกจะต้องมาเรียนกีตาบหรืออัลกุรอานอย่างน้อย
สปั ดาห์ละ 1 คร้งั ซ่ึงถือเป็นการเพม่ิ เติมความรูใ้ ห้กบั สมาชกิ ในชมุ ชน อีกท้งั ยังเปน็ การทบทวน
ความรใู้ หก้ บั สมาชกิ ในชมุ ชนไดต้ ระหนกั ถงึ หลกั ค�ำ สอนของศาสนาเพอื่ ใหด้ �ำ รงตนอยใู่ นแนวทาง
การจัดการเรียนการสอนที่ใช้ช่วงเวลาเดียวกับท่ีมีการเรียนของตาดีกาน้ันถือเป็นช่วง
เวลาท่ีเหมาะสมเน่ืองจากผู้ปกครองต้องมาส่งบุตรของตนเรียนตาดีกาอยู่แล้ว และในระหว่าง
ที่รอบุตรท่ีกำ�ลังเรียนรู้ ผู้ปกครองก็สามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์จากการเรียนกีตาบหรือ
อลั กุรอานด้วย
2. อบี าดะฮฺท่ปี ฏบิ ตั แิ ต่ละเดอื นในรอบปีตามปฏิทนิ อิสลาม
อบี าดะฮทฺ ส่ี มาชกิ ชมุ ชนอสิ ลามทว่ั ไปถอื ปฏบิ ตั ใิ นแตล่ ะเดอื นในรอบปตี ามปฏทิ นิ ซงึ่ นบั

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทีใ่ ช ใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 77

เดอื นตามจนั ทรคตนิ น้ั มดี ว้ ยกนั หลายประเภท แตใ่ นบางเดอื นกไ็ มม่ กี จิ กรรมทถี่ อื ปฏบิ ตั ิ ซง่ึ อบี า
ดะฮทฺ ี่ปฏบิ ัติไดแ้ ก่ อาชูรอ เมาลดิ ถือศีลอด ละหมาดตะราเวียะ เอยี ะตกิ าฟ อดี ิลฟิตรี ซากตั ฟิต
เราะฮฺ อิดิลอฏั ฮา และกรบุ าน โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้
อาชรู อ
อาชรู อ คอื วนั ทส่ี บิ ของเดอื นมหุ รั รอม (เดอื นแรกตามปฏทิ นิ อสิ ลาม) ส�ำ หรบั ความส�ำ คญั
ของวันอาชรู อนน้ั ท่านศาสนทตู มฮู ัมมัด (ศอ็ ลฯ) ได้สัง่ กำ�ชับให้ประชาชาติมุสลิมถอื ศีลอดในวนั
อาชรู อเพอื่ รว่ มชโู กร (ขอบคณุ ) ตอ่ เอกองคอ์ ลั ลอฮฺ (ซ.บ.) ทท่ี �ำ ใหศ้ าสนทตู มซู าและบนอี สิ ราเอล
รอดพน้ จากการตามลา่ ของฟริ เอานแ์ ละกองทหาร โดยวธิ กี ารถอื ศลี อดวนั อาชรู อนน้ั อลุ ามาอฺ (ผู้
ร้ทู างศาสนา) ได้วางลำ�ดบั ความประเสรฐิ ของการถอื ศีลอดอาชูรอออกเป็นสามล�ำ ดบั ดงั นี้
1. ถอื ศีลอดต่อเน่อื งกนั สามวัน คอื วันที่ 9 - 11 ของเดอื นมุหรั รอมถือว่าเปน็ ถอื ศีลอด
ทป่ี ระเสรฐิ ท่ีสุด
2. ถือศลี อดติดต่อกันเพียงสองวนั คือวนั ท ี่ 9 - 10 หรือ 10 - 11 ของเดือนมหุ รั รอม
ถือว่าเปน็ การถอื ศีลอดที่มคี วามประเสรฐิ รองลงมา
3. ถอื ศลี อดในวนั อาชรู อหรอื วนั ทส่ี บิ ของเดอื นมหุ รั รอมวนั เดยี วถอื วา่ เปน็ การถอื ศลี อด
ท่ีมีความประเสริฐน้อยทสี่ ุด
การถือศีลอดในวันอาชูรอนั้นเป็นการถือศีลอดด้วยความสมัครใจมิใช่เป็นการบังคับซ่ึง
มสุ ลมิ เชอ่ื วา่ สามารถลบลา้ งบาปส�ำ หรบั หนง่ึ ปที ผ่ี า่ นมา เมอื่ ถงึ เดอื นมหุ รั รอมกจ็ ะมกี ารประกาศ
และเชญิ ชวนใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนทกุ คนถอื ศลี อดกนั วนั อาชรู อ นอกจากนส้ี มาชกิ ในชมุ ชนยงั ไดร้ ว่ ม
กนั ท�ำ ขนมซงึ่ เรยี กกนั วา่ “การกวนอาชรู อ” เปน็ การน�ำ อาหารหลายชนดิ มาผสมรวมกนั ในกระทะ
ใบใหญ่ แล้วน�ำ อาหารทไี่ ดไ้ ปแจกจ่ายใหแ้ กส่ มาชิกในชุมชน และส่วนหน่ึงก็จะเก็บไวส้ ำ�หรบั ละ
ศีลอดในตอนเย็น อย่างไรก็ตามการกวนอาชูรอที่มีการปฏิบัติน้ันไม่ได้เป็นบทบัญญัติของทาง
ศาสนาแต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกในชุมชนเพื่อนำ�อาหารท่ีได้ไปแจกจ่ายระหว่างกัน
เทา่ นน้ั
เมาลิด
เมาลิด เป็นการจัดกิจกรรมข้ึนเพ่ือเป็นการระลึกถึงประวัติของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด
(ศอ็ ลฯ) จดั ขน้ึ ในชว่ งของเดอื นรอบอี ลุ เอาวลั ซง่ึ เปน็ เดอื นเกดิ ของทา่ นศาสนทตู มฮู มั มดั (ศอ็ ลฯ)
โดยจะมกี ารรวบรวมเงนิ จากสมาชกิ ในชมุ ชนทมี่ จี ติ ศรทั ธา แลว้ น�ำ เงนิ ดงั กลา่ วไปซอ้ื อาหารเพอ่ื
เลย้ี งสมาชิกในชมุ ชน และภายในงานจะมกี ารกล่าวสดดุ ที ่านศาสนทูตมฮู มั มดั (ศอ็ ลฯ) และพูด
ถงึ ประวัตโิ ดยสังเขปของท่านนอกจากนจี้ ะมีการบริจาคเงินให้กบั ผู้ทีม่ าร่วมงานอกี ด้วย

78 รายวชิ าที่ 6 กฎหมายทีใ่ ชใ้ นจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

การถอื ศลี อด
การถือศีลอดเป็นอีบาดะฮฺท่ีถือปฏิบัติในเดือนรอมฏอนซ่ึงถือเป็นหลักปฏิบัติ 1 ใน 5
ประการที่เป็นข้อบังคับสำ�หรับมุสลิมทุกคนท่ีบรรลุศาสนภาวะแล้ว การถือศีลอดนอกจากการ
อดอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนงดการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ดวงตะวันส่องแสงจนกระทั่งตะวัน
ลบั ขอบฟา้ แลว้ ยงั หมายรวมถงึ การละเวน้ จากการประพฤตใิ นสง่ิ ทไ่ี มด่ ที งั้ หลายอนื่ ดว้ ย เชน่ การ
นินทาวา่ รา้ ยผ้อู ่ืน การทะเลาะววิ าท เปน็ ตน้
การถอื ศลี อดยงั เปน็ เสมอื นการใหก้ ระเพาะอาหารไดพ้ กั ผอ่ น หลงั จากทท่ี �ำ หนา้ ทใี่ นการ
ยอ่ ยอาหารมาเปน็ เวลา 11 เดอื นเตม็ อยา่ งไรกต็ ามวถิ กี ารด�ำ เนนิ ชวี ติ ในชว่ งของการถอื ศลี อดอาจ
จะเปลยี่ นแปลงจากปกติไปบ้าง เชน่ การรับประทานอาหาร มสุ ลิมจะตอ้ งตนื่ ขึ้นมารบั ประทาน
อาหารซหู รู (อาหารม้ือเชา้ ) ในช่วงเวลากอ่ นตะวนั ข้ึนเวลาประมาณ 04.00 นาฬกิ า แตห่ ลงั จาก
ตะวนั ลบั ขอบฟา้ แลว้ กส็ ามารถรบั ประทานอาหารไดต้ ามปกตสิ �ำ หรบั ความรว่ มมอื ของสมาชกิ ใน
ชุมชน ในช่วงของการถอื ศีลอดเดือนรอมฏอนน้ี จะมีการประกอบอาหารคาวและอาหารหวาน
แจกจา่ ยไปยงั เพอ่ื นบา้ นใกลเ้ คยี ง แลว้ น�ำ สว่ นหนงึ่ ไปบรจิ าค ทม่ี สั ยดิ ส�ำ หรบั เปน็ อาหารละศลี อด
ร่วมกนั ของสมาชกิ ในชุมชนทม่ี าทำ�การละหมาดท่ีมสั ยิด
ละหมาดตะราเวยี ะห์
ละหมาดตะราเวยี ะห์เป็นการละหมาดทีก่ �ำ หนดขึ้นเฉพาะในชว่ งเดอื นรอมฏอน นอก
เหนอื จากการละหมาดทท่ี �ำ เปน็ ประจ�ำ วนั ละ 5 เวลาแลว้ สมาชกิ สว่ นใหญใ่ นชมุ ชนทไ่ี มม่ อี ปุ สรรค
ทางด้านสุขภาพก็จะมาร่วมกันละหมาดตะราเวียะห์ท่ีมัสยิด หลังจากที่ได้มีการละศีลอดแล้ว
เวลาของการละหมาดตะราเวยี ะหจ์ ะเรม่ิ ตงั้ แตเ่ วลา 20.00 น. นาฬกิ าไปจนกระทง่ั เวลาประมาณ
21.00 น. ส�ำ หรบั สมาชกิ ในชุมชน ในชว่ งเวลานถี้ ือเปน็ อกี ช่วงเวลาหน่งึ ท่ีจะได้เห็นความพรอ้ ม
เพรยี งกันของสมาชิกในชุมชนทไ่ี ด้มาร่วมกนั ทำ�กจิ กรรมด้วยกนั ภายใต้อดุ มการณห์ รือจติ สำ�นกึ
เดียวกนั นนั่ คอื การหวงั ความโปรดปรานจากพระผเู้ ป็นเจ้า
เอยี ะตกิ าฟ
อสิ มาแอล ลตุ ฟี จะปะกยี า (2548; อา้ งในมฮู มั หมดั รอฟอี ี มซู อ) ไดอ้ ธบิ ายเกยี่ วกบั การ
เอยี ะตกิ าฟวา่ เอยี ะตกิ าฟ หมายถงึ การทบ่ี คุ คลพยายามเกบ็ ตวั อยใู่ นมสั ยดิ อยา่ งสงบตามวธิ กี าร
ที่ได้กำ�หนดไว้โดยมีเป้าหมายสำ�คัญเพื่อปลีกตัวออกจากภารกิจทางโลกและครอบครัวสู่การ
แสวงหาความผ่องแผ้วแห่งจิตวิญญาณ เสริมสร้างพลังและศักยภาพ เพื่อเป็นกลไกที่จะ
เออื้ อ�ำ นวยใหก้ จิ กรรมตา่ ง ๆ ในการด�ำ เนนิ ชวี ติ เปน็ ไปอยา่ งราบรน่ื และดยี งิ่ ขน้ึ และเพอ่ื พยายาม
แสวงหาคืนลัยละตุล-ก็อดร์ (เป็นคืนท่ีมีความประเสริฐกว่า 1,000 เดือน) ผู้ใดท่ีทำ�ความดีใน

รายวิช าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 79

คนื นก้ี จ็ ะไดร้ บั ผลบญุ ทวคี ณู เทา่ กบั การท�ำ ความดี 1,000 เดอื น ซงึ่ คนื ดงั กลา่ วจะอยใู่ นชว่ งของสบิ
วนั สดุ ทา้ ยของเดอื นรอมฏอน และถอื วา่ ค�ำ่ คนื นเ้ี ปน็ ค�ำ่ คนื ทมี่ เี กยี รตแิ ละความประเสรฐิ เนอ่ื งจาก
เปน็ ค�่ำ คืนท่ีอลั กรุ อานถูกประทานลงมา
การเอียะติกาฟ ถือเป็นช่วงเวลาที่มุสลิมใช้เวลากับตัวเอง เพ่ือทบทวนวิถีทางและ
หาความลับแห่งชีวิตของการเป็นมุอฺมิน (ผู้ศรัทธา) ต่อพระผู้เป็นเจ้าในหน่ึงปี การเอียะติกาฟ
ในชว่ งสบิ วนั สดุ ทา้ ยของเดอื นรอมฏอนจงึ เปน็ วงจรของการนอ้ มนอบสมบรู ณแ์ บบทเ่ี ราสามารถ
ทง้ั เขา้ ใกล้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) รำ�ลกึ ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ สำ�นึกในคณุ อันใหญห่ ลวง ขออภัย
โทษจากมวลบาป ท�ำ ให้แผ่นล้ินชมุ่ ด้วยการซเิ กร (ขอบคุณ) และอ่านอลั กรุ อานด�ำ รสั แห่งผเู้ ปน็
เจ้า นึกถงึ ชวี ิตหลังความตาย ซ่ึงจุดหมายทอ่ี าจจะเปน็ สวรรคห์ รอื นรก ผ้ศู รทั ธาทกุ คนเชื่อและ
ยอมรบั อยา่ งมาดมนั่ วา่ อาคเี ราะฮฺ (โลกหนา้ ) คอื สถานทส่ี ดุ ทา้ ยทม่ี นษุ ยต์ อ้ งกลบั ไปหา และเปน็
สถานท่ที ่ีจะคงถาวรตลอดไป
ตรษุ อีดิลฟติ รี
ตรษุ อดี ิลฟติ รี ถอื เป็นสญั ญาณบ่งบอกถึงการสิน้ สุดภารกจิ ในการถอื ศลี อดของบรรดา
มสุ ลมิ ซง่ึ ในวนั ตรษุ อดี ลิ ฟติ รนี น้ั จะมภี ารกจิ หรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทม่ี สุ ลมิ ถอื ปฏบิ ตั กิ นั ในชว่ งเชา้ วนั
อีดิลฟิตรี คือ กลา่ วตักบีร (ประกาศความยง่ิ ใหญข่ องพระผูเ้ ปน็ เจ้า) ซงึ่ หลังจากท่มี กี ารประกาศ
ก�ำ หนดวนั อดี แลว้ กจ็ ะมกี ารกลา่ วตกั บรี ผา่ นเครอ่ื งขยายเสยี งของทางมสั ยดิ จา่ ยซะกาตฟติ เราะฮฺ
ก่อนท่ีจะมีการละหมาด อาบน้ำ�และทำ�ความสะอาดร่างกาย สวมใส่เส้ือผ้าเคร่ืองแต่งกายที่ดี
ที่สุด พร้อมกับใช้นำ้�หอม ยกเว้นบรรดาผู้หญิงซึ่งศาสนาไม่อนุญาตให้ใช้นำ้�หอม แล้วก็จะเดิน
ทางไปยังมัสยดิ พรอ้ มกบั ครอบครวั เพอื่ รอทำ�การละหมาดอดี
เมอ่ื ถงึ เวลาทไ่ี ดก้ �ำ หนดใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนไดร้ บั ทราบแลว้ วา่ จะมกี ารละหมาดอดี ลิ ฟติ รี
ซ่ึงเป็นเวลาในช่วงเช้าประมาณ 08.00 นาฬิกา ก็จะเร่ิมทำ�การละหมาดอีดซึ่งเป็นละหมาดที่
กำ�หนดข้ึนเป็นการเฉพาะหลังจากท่ีได้มีการละหมาดเสร็จแล้ว อีหม่ามก็จะขึ้นทำ�การคุตบะฮฺ
(เทศนาธรรม) ในวาระพเิ ศษนี้ ซง่ึ เนอื้ หาของการคตุ บะฮเฺ ปน็ การสรรเสรญิ พระผเู้ ปน็ เจา้ และขอ
พรใหก้ บั ทา่ นศาสนทตู มฮู มั มดั (ศอ็ ลฯ) และเนน้ ย�ำ้ ใหม้ กี ารขอบคณุ ตอ่ พระผเู้ ปน็ เจา้ ทท่ี รงเมตตา
ใหไ้ ดม้ ชี วี ติ เพอื่ ประกอบคณุ งามความดตี ลอดชว่ งเวลาของการถอื ศลี อด และตกั เตอื นสมาชกิ ใน
ชมุ ชนใหม้ คี วามรกั ความสามคั ครี ะหวา่ งกนั สมาชกิ ในชมุ ชนคนใดทมี่ เี รอ่ื งบาดหมางระหวา่ งกนั
ก็ขอให้ใชโ้ อกาสดีในวนั นขี้ ออภัยซึง่ กันและกัน
หลงั จากฟงั การคตุ บะฮแฺ ลว้ สมาชกิ ในชมุ ชนกจ็ ะจะมกี ารพบปะขออภยั ซงึ่ กนั และกนั ใน
ความผิดทีไ่ ดล้ ว่ งละเมดิ ในช่วงเวลาทีผ่ ่านมา โดยมกี ารสัมผสั มือ อวยพรให้แกก่ ัน ในวนั น้คี ู่กรณี
ท่ีมีความบาดหมางกันก็จะให้อภัยซึ่งกันและกันอย่างบริสุทธ์ิใจ เนื่องจากมีความเช่ือว่าหากไม่

80 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายทใี่ ชใ้ นจังหวัดชายแดนภาคใต้

ให้อภัยกันแล้วความดีท้ังหลายที่ได้กระทำ�ในช่วงท่ีผ่านมาก็จะไม่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้า
จงึ ถอื เป็นเงอื่ นไขหนึง่ ทจี่ ะท�ำ ใหเ้ กดิ ความสมานฉนั ทข์ องสมาชิกในชมุ ชน ซ่ึงบรรยากาศในวันนี้
เปน็ ไปอยา่ งชนื่ มน่ื จากนนั้ กถ็ งึ เวลาทเ่ี ดก็ และเยาวชนรอคอยนน่ั คอื เปน็ เวลาทจี่ ะมบี รจิ าคเงนิ ที่
ไดจ้ ากการรวบรวมจากสมาชกิ ในชมุ ชนใหก้ บั เดก็ และเยาวชนทกุ คน และมกี ารบรจิ าคทรพั ยส์ นิ
ใหก้ บั คนยากไรอ้ กี ดว้ ย เมอื่ เสรจ็ สน้ิ ภารกจิ ทมี่ สั ยดิ แลว้ กจ็ ะมกี ารไปพบปะเยยี่ มเยยี นเพอ่ื นบา้ น
แลว้ นำ�อาหารทไ่ี ด้มกี ารประกอบขึ้นมาเป็นพิเศษในวันนแ้ี จกจ่ายไปยังเพ่อื นบา้ นอยา่ งท่วั ถงึ
ซะกาตฟิตเราะฮ:ฺ สญั ลักษณ์สกู่ ารเอือ้ เฟอ้ื
ซะกาตฟิตเราะฮฺ ถือเป็นการบรจิ าคที่เป็นข้อบงั คับสำ�หรบั มุสลมิ ทจ่ี ะตอ้ งบรจิ าคก่อน
ที่จะทำ�การละหมาดอีดิลฟิตรี โดยสมาชิกในชุมชนที่เป็นสามีหรือผู้ปกครองในแต่ละบ้านจะมี
การจา่ ยซะกาตฟติ เราะฮฺ ส�ำ หรบั ตนเอง ภรรยา บตุ ร ผอู้ ยใู่ ตก้ ารดแู ลและรบั ผดิ ชอบเปน็ ขา้ วสาร
คนละ 4 ลติ ร ให้กบั คนยากจนหรอื ผมู้ ีสิทธไิ ด้รบั ซะกาตตามหลกั การของอสิ ลามทงั้ 8 ประเภท
ได้แก่ 1) คนยากจน 2) คนทอี่ ตั คัดขัดสน 3) คนทม่ี หี ัวใจโนม้ มาส่อู สิ ลาม 4) ผบู้ ริหารการจัดเกบ็
และจ่ายซะกาต 5) ไถท่ าส 6) ผมู้ หี นส้ี ินล้นพ้นตวั 7) คนพลัดถิ่นหลงทาง และ 8) ใช้ในหนทาง
ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) โดยสว่ นใหญ่สมาชิกในชุมชนจะน�ำ ซะกาตดังกลา่ วไปใหอ้ ีหม่ามซ่ึงท�ำ หน้าท่ี
ในการรวบรวมและแจกจา่ ยไปยงั ผมู้ สี ทิ ธไิ ดร้ บั ตอ่ ไปซงึ่ การจา่ ยซะกาตฟติ เราะฮถฺ อื เปน็ สญั ลกั ษณ์
หน่งึ ทบ่ี ง่ บอกถงึ ความเออ้ื เฟอื้ ทส่ี มาชกิ ในชุมชนมีตอ่ กัน
วันอารอฟะฮฺ
สมาชกิ ในชุมชนท่ีไมไ่ ดเ้ ดนิ ทางไปประกอบพธิ ีฮัจญ์ จะพรอ้ มใจกันถือศีลอดในวันที่ 9
ของเดือนซลุ หิจญะฮฺ หรือทเี่ รียกกนั ว่าวนั อารอฟะฮฺ โดยเป็นวันทบ่ี รรดาหจุ ญาจ (ผเู้ ดินทางไป
ประกอบพิธฮี ัจญ์) ตา่ งรวมตวั กนั ณ ทงุ่ อารอฟะฮฺ เพอ่ื การประกอบพธิ ฮี ัจญ์ ซ่งึ ถือวา่ เปน็ วนั ที่
ประเสริฐทีส่ ุดของปี เน่อื งจากเหตผุ ลทหี่ ลากหลาย เช่น
1. เป็นวันท่ีอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไดท้ รงลกุ ะโทษแก่บ่าวของทา่ นจากไฟนรกมากที่สดุ ท่าน
ศาสนทูตมฮู ัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวมีใจความวา่

“ไมม่ ีวนั ใดทีอ่ ลั ลอฮฺได้ทรงลุกะโทษแกบ่ า่ วของทา่ นจากไฟนรกมากกวา่ วันอารอฟะฮฺ”
(บันทกึ โดยมุสลมิ )

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 81

2. การถือศลี อดในวันอารอฟะฮฺลบล้างบาปถงึ สองปี อบเี กาะตาดะฮเฺ ลา่ วา่ ท่านศาสน
ทูตมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) ถกู ถามเกยี่ วกบั การศยิ าม/ถือศีลอดในวนั อารอฟะฮฺ ทา่ นไดต้ อบว่า
“การถือศีลอดในวันนั้น สามารถลบล้างบาปถึงสองปี บาปของหน่ึงปีท่ีผ่านมาและอีกหนึ่งปีที่
จะมาถงึ ”

(บันทกึ โดยมุสลิม)
ส�ำ หรบั การลบล้างบาปนนั้ สามารถตีความหมายได้สองอยา่ ง คอื
1. หมายถงึ การอภัยโทษจากบาปทที่ ำ�มา
2. หมายถึงการยบั ยั้งหรือป้องกันไมใ่ หก้ ระทำ�บาป
3. ด้วยเหตุน้ี บรรดาอุลามอฺ (ผู้รู้ทางศาสนา) จึงมีมติเห็นพ้องกันว่าเป็นซุนนะฮฺ (ส่ง
เสรมิ ให้กระทำ�) ส�ำ หรับผทู้ ี่ไมไ่ ด้ประกอบอบี าดะฮฺฮจั ญใ์ ห้ทำ�การถอื ศลี อดในวนั นี้
4. เป็นวันแห่งการขอดุอาอฺ (ขอพร) ที่ประเสริฐท่ีสุด ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลฯ)
กลา่ วมใี จความวา่

“ดอุ าอฺทีป่ ระเสรฐิ ทีส่ ดุ คือดอุ าอใฺ นวันอารอฟะฮฺ”
(บันทกึ โดยอีหมา่ มมาลิก)

จากความประเสริฐของวันอารอฟะฮฺน้ียังผลให้เป็นแรงจูงใจให้สมาชิกในชุมชนมุสลิม
ร่วมกันถือศีลอดในวันนี้ และยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำ�หรับการต้อนรับวันตรุษอีดิล
อฏั ฮาที่จะมีข้นึ ในวนั ต่อมา
ตรุษอีดิลอัฏฮา
ตรษุ อดี ิลอฏั ฮา ถือเปน็ วันรน่ื เริงอีกวนั หน่งึ สำ�หรับมสุ ลมิ ในวนั นีก้ ็จะมีการะหมาดรว่ ม
กนั ของสมาชกิ ในชมุ ชนอกี ครง้ั หนงึ่ ซง่ึ เปน็ ละหมาดเฉพาะทก่ี �ำ หนดขน้ึ ในวนั ตรษุ อดี ลิ อฏั ฮา และ
จะมกี ารกลา่ วคตุ บะฮหฺ ลงั จากทมี่ กี ารละหมาดเสรจ็ สนิ้ แลว้ คลา้ ยกบั การละหมาดอดี ลิ ฟติ รที ไ่ี ด้
อธิบายไปแล้ว ที่สำ�คัญในวันน้ีจะมีการเชือดสัตว์กุรบานเพื่อแจกจ่ายไปยังสมาชิกในชุมชนอีก
ดว้ ย
กรุ บาน
การเชอื ดสตั วก์ รุ บานนนั้ เปน็ ขอ้ สง่ เสรมิ ใหป้ ฏบิ ตั สิ �ำ หรบั ผทู้ มี่ คี วามสามารถ (มรี ายไดท้ ี่
เพยี งพอ) ทงั้ นี้ เพอื่ หวงั ความโปรดปรานของพระผเู้ ปน็ เจา้ นอกจากนยี้ งั เปน็ อบี าดะฮทฺ มี่ กี ารสง่

82 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายที่ใชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

เสรมิ ให้กระท�ำ โดยท่านศาสนทตู มูฮัมมัด (ศอ็ ลฯ) กล่าวไว้มใี จความวา่
“ผู้ใดที่มีความสามารถในการเชือดกุรบาน แต่เขาไม่กระทำ�ก็จงอย่าเข้าใกล้มุศ็อลลา (สนาม
ละหมาด) ของฉัน”

(บันทกึ โดยอบิ นมุ าญะฮ)ฺ
ส�ำ หรบั ฮกิ มะฮฺ (เหตผุ ลทางปญั ญา) ของการท�ำ กรุ บานนนั้ เชน่ เพอ่ื แสดงถงึ ความใกลช้ ดิ
ตอ่ เอกองคอ์ ลั ลอฮฺ (ซ.บ.) เพอ่ื เปน็ การฟนื้ ฟแู บบฉบบั ของทา่ นศาสนทตู อบิ รอฮมี เพอื่ แสดงออก
ถึงความใจกว้างเอ้ืออาทรต่อบุคคลในครอบครัวและบรรดาผู้ขัดสนในชุมชนเน่ืองโอกาสวันอีด
เพื่อแสดงถึงการขอบคุณต่อความโปรดปรานและริซกี (ปัจจัยยังชีพ) อันเป่ียมล้นของอัลลอฮฺ
(ซ.บ.)
สำ�หรบั เงือ่ นไขของสตั ว์ท่นี ำ�มาท�ำ การกุรบานนั้น ได้แก่
1. อูฐ ทม่ี ีอายคุ รบห้าปบี ริบรู ณ์และย่างเขา้ ปที หี่ ก
2. วัว และแพะ ท่มี ีอายุครบสองปบี รบิ รู ณ์และย่างเขา้ ปีทีส่ าม
3. แกะ ท่มี ีอายคุ รบหน่งึ ปีบริบูรณแ์ ละยา่ งเข้าปที ส่ี อง
โดยทง้ั หมดนนั้ จะตอ้ งไมเ่ ปน็ สตั วท์ พ่ี กิ าร หรอื มตี �ำ หนใิ ด ๆ ทางรา่ งกาย เชน่ ขาหกั เขา
แตก เปน็ โรคเร้ือน ล้ินขาด จมูกแหว่ง หขู าด และขาดว้ น เปน็ ตน้
ญาติพ่นี อ้ งและเพื่อนบา้ น: ความรับผิดชอบทที่ อดทงิ้ มิได้
การใหค้ วามส�ำ คญั กบั ญาตพิ น่ี อ้ งและเพอื่ นบา้ นถอื เปน็ สงิ่ ทม่ี สุ ลมิ พงึ ตระหนกั เนอื่ งจาก
มสุ ลมิ จะนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามและปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนาแตเ่ พยี งผเู้ ดยี วโดยไมส่ นใจตอ่ ผอู้ นื่ ทอ่ี ยู่
รอบขา้ ง ถอื วา่ ยงั ไมเ่ ปน็ การเพยี งพอ จะตอ้ งมคี วามรสู้ กึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ผอู้ นื่ ชกั ชวนและตกั เตอื น
และรกั หว่ งแหนต่อญาติพ่นี อ้ งและเพ่อื นบ้านด้วยซ่ึง
ทา่ นศาสนทตู มฮู มั มัด (ศ็อลฯ) ได้กลา่ วเตือนไว้ว่า
“ผูใ้ ดท่ีนอน (หลบั ไปวนั ๆ) โดยทไี่ มส่ นใจสภาพ (ความเป็นไป) ของมุสลมิ อื่น เขามใิ ช่
อยู่ในกลมุ่ ของคนเหล่านน้ั ” (ฟัตฮีย์ ยะกัน, 2548: 75 – 76)
สำ�หรับชุมชนมุสลิมทั่วไปนั้น มีส่ิงที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำ�คัญกับเพ่ือนบ้าน
ที่อยู่ใกล้เคียงด้วยการคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของกันและกันในชุมชน มีการแบ่งปัน

รายวชิ าท่ี 6 กฎ หมายทใ่ี ช ้ในจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 83

อาหารให้กับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังสะท้อนในเรื่องของการสอดส่องดูแลบุตร
หลานของสมาชิกในชุมชนด้วยการบอกกล่าวกับบิดามารดาหรือผู้ปกครองหากพบเห็นว่าบตุร
หลานของใครมแี นวโนม้ ทจ่ี ะประพฤตติ นไปในทางทเ่ี สอื่ มเสยี ซงึ่ อหี มา่ มจะคอยกระตนุ้ ใหส้ มาชกิ
ในชมุ ชนเลง็ เหน็ ความส�ำ คญั ของญาตพิ นี่ อ้ งและเพอ่ื นบา้ นเปน็ ประจ�ำ ผา่ นการคตุ บะฮวฺ นั ศกุ รห์ รอื
ในชว่ งเวลาทสี่ มาชกิ ในชมุ ชนเขา้ เรยี นกตี าบหรอื คมั ภรี อ์ ลั กรุ อาน นอกจากนว้ี งศาคณาญาติ ใน
หลกั ค�ำ สอนของศาสนาอสิ ลามตอ้ งการใหบ้ คุ คลเหลา่ นม้ี คี วามเหน็ อกเหน็ ใจ มคี วามรว่ มมอื และ
ชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกัน คัมภรี ์กรุ อานก�ำ หนดใหป้ ฏิบตั ติ ่อญาติทใ่ี กล้ชดิ ดว้ ยดไี ว้หลายแหง่ ท่าน
ศาสนทตู ไดเ้ นน้ วา่ การปฏบิ ตั ดิ ตี อ่ ญาตเิ ปน็ คณุ ความดที ส่ี งู สดุ อยา่ งหนงึ่ และอสิ ลามประณามผทู้ ี่
ไมเ่ อาใจใสห่ รอื เพกิ เฉยตอ่ ญาตพิ นี่ อ้ งของตนดว้ ยแตก่ ารใหค้ วามส�ำ คญั กบั ญาตพิ นี่ อ้ งมไิ ดห้ มาย
ถงึ ลกั ษณะของการเหน็ แกพ่ วกพอ้ งจนเสยี ความเปน็ ธรรม การปฏบิ ตั ติ อ่ ญาตจิ �ำ เปน็ ทจี่ ะตอ้ งอยู่
ในกรอบของความยุติธรรมด้วย
นอกจากนใี้ นเรอื่ งของเพอื่ นบา้ น ทา่ นศาสนทตู ไดก้ ลา่ ววา่ ญบิ รลี (ทตู สวรรค)์ ไดเ้ นน้ ถงึ
ความสำ�คัญของเพื่อนบา้ นเหมือนกับจะมีความเข้าใจว่าเพ่ือนบ้านก็มีสิทธิในมรดกของเราด้วย
บคุ คลใดกต็ ามทเี่ พอื่ นบา้ นของเขายงั ไมป่ ลอดภยั จากการกระท�ำ ทไ่ี มด่ ขี องเขา เขาผนู้ นั้ กย็ งั มไิ ด้
เปน็ ผ้ศู รทั ธาในอิสลาม ทา่ นศาสนทูตยังได้กล่าววา่
“บุคคลใดก็ตามที่กินอาหารอย่างอิ่มหนำ�สำ�ราญขณะท่ีเพ่ือนบ้านของเขายังอดโซ
หวิ โหยอยู่เขาผ้นู ัน้ ยงั มไิ ดม้ คี วามศรทั ธาในอิสลาม” (บรรจง บินกาซนั ผแู้ ปล, 2542:49; อ้างใน
มฮู ัมหมดั รอฟอี ี มูซอ)
บทสรปุ
อบี าดะฮใฺ นฐานะกจิ กรรมทผี่ กู โยงความสมั พนั ธข์ องสมาชกิ ในชมุ ชนเพอ่ื ปอ้ งกนั ปญั หา
ความขัดแย้งนั้น จะเห็นได้ว่าต้ังอยู่บนพื้นฐานของหลักคำ�สอนของศาสนาอิสลามเป็นสำ�คัญ
แตล่ ะกจิ กรรมมคี วามเชอ่ื มโยงอยกู่ บั ขอ้ สงั่ ใชห้ รอื สง่ เสรมิ ใหป้ ฏบิ ตั ขิ องศาสนาเนน้ ความสามคั คี
กลมเกลียวของสมาชิกในชุมชน ซ่ึงนอกจากอีบาดะฮฺที่สามารถแบ่งตามช่วงวัยของชีวิต และ
อบี าดะฮทฺ ปี่ ฏบิ ตั แิ ตล่ ะวนั ในรอบปแี ลว้ ยงั มกี ารเนน้ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั เพอ่ื นบา้ นและญาตพิ น่ี อ้ ง
ในฐานะที่เป็นผู้คอยสอดส่องดูแลและคอยเตือนภัยที่อาจเกิดขึ้นในชุมชนอีกด้วย ซ่ึงท้ังหมดท่ี
กล่าวมานนั้ คอื “สันติวธิ ใี นวิถีมสุ ลมิ ” น่ันเอง

84 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

บทท่ี 4
กฎหมายอสิ ลาม
ประเทศไทยมีกฎหมายที่เก่ียวข้องกับศาสนาอิสลาม 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติ
ส่งเสริมกิจการฮจั ญ์ พ.ศ. 2554 พระราชบญั ญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540
และพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอสิ ลามในเขตจังหวัดปตั ตานี นราธวิ าส ยะลา และ
สตูล พ.ศ. 2489 ซ่ึงทั้ง 3 ฉบับเป็นกฎหมายของบ้านเมือง ที่มีบทบัญญัติในทางการบริหาร
การปกครอง และวิธีปฏิบัติทางศาล ที่เก่ียวข้องเฉพาะกับการนำ�เอา “หลักกฎหมายอิสลาม”
บางประการมาใช้ ดังน้ัน จึงไม่อาจเรียกกฎหมายทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวว่าเป็นกฎหมายอิสลาม
ตามที่มผี เู้ ขา้ ใจผิดกนั มาตลอด
คำ�ว่า “กฎหมายอิสลาม” คือหลักการหรือบทบัญญัติที่เก่ียวข้องกับวิถีปฏิบัติและข้อ
หา้ มตา่ ง ๆ ส�ำ หรบั ผนู้ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม ซงึ่ กค็ อื ความเชอื่ และความศรทั ธาวา่ เปน็ ค�ำ สง่ั ใช้ และ
คำ�สั่งห้ามจากพระเจา้ ซ่งึ ผู้นบั ถือและศรทั ธาไมอ่ าจละเลยหลีกเล่ยี งการปฏบิ ตั ิได้
ความเป็นมาของการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทย
กฎหมายอิสลามหรือที่เรียกว่า ชารีอะฮฺ เป็นบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม ซ่ึงมีที่มา
จากคัมภีร์อัลกุรอ่านท่ีพระเจ้าประทานลงมาเป็นโองการผ่านศาสดามูฮัมหมัดและจากคำ�สอน
หรอื แนวทางปฏบิ ตั ขิ องศาสดามฮู มั หมดั ซง่ึ ผใู้ ดกต็ ามทน่ี บั ถอื ศรทั ธาศาสนาอสิ ลามจ�ำ เปน็ อยา่ ง
ยิ่งต้องเชือ่ มน่ั ยอมรับ และปฏบิ ัตติ ามอยา่ งเคร่งครัด เพราะเปน็ กฎหมายที่มาจากพระเจา้ คอื
อลั ลอฮฺ ไมใ่ ช่เป็นกฎหมายทีม่ นุษยค์ นใดคนหน่งึ เขียนขนึ้ มาได้เอง จงึ เปน็ กฎหมายท่ีไม่สามารถ
แกไ้ ข เปลี่ยนแปลงตลอดกาล โดยหลักกฎหมายอสิ ลาม ไดก้ ำ�หนดความสมั พันธ์ระหว่างบุคคล
เอาไวอ้ ยา่ งชดั เจน และกฎหมายอสิ ลามแตกตา่ งกบั หลกั กฎหมายทบี่ ญั ญตั ใิ นประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชยอ์ ย่างมาก หากจะนำ�บทบัญญตั ใิ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยใ์ ชบ้ ังคับ
กไ็ ม่อาจอ�ำ นวยความยตุ ิธรรมได้
ประเทศไทย ไดใ้ ชก้ ฎหมายอสิ ลามเกยี่ วดว้ ยเรอื่ งครอบครวั และมรดก มาตง้ั แตส่ มยั กรงุ
ศรีอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยวิวัฒนาการของการนำ�หลักกฎหมายอิสลามหรือ
หลกั ชารอี ะฮฺมาใช้ในประเทศไทย มดี งั นี้
สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้แบ่งหน่วยงานที่ติดต่อค้าขายกับ
ตา่ งประเทศ เป็น “กรมทา่ ” ซึ่งประกอบดว้ ย 3 กรม ไดแ้ ก่ กรมทา่ กลาง ส�ำ หรับตดิ ต่อกับชาว

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายทใี่ ช ้ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 85

ต่างประเทศทัว่ ไป กรมท่าซ้าย ส�ำ หรบั ติดต่อกับจนี และกรมทา่ ขวา ส�ำ หรบั ตดิ ตอ่ กบั ประเทศ
มุสลิมในตะวันออกกลาง ในกรณีท่ีชาวต่างประเทศทั่วไปเกิดข้อพิพาทกับคนไทย คดีจะถูกนำ�
ขึ้นสู่ศาลท่ากลาง แต่ถ้าคนไทยมีคดีความกับคนจีน ก็ต้องขึ้นศาลกรมท่าซ้าย และถ้าคนไทย
เกดิ คดคี วามกบั ชาวมสุ ลมิ กต็ อ้ งขน้ึ ศาลกรมทา่ ขวา ซงึ่ ใชก้ ฎหมายอสิ ลามบงั คบั สว่ นเจา้ กรมทา่
ขวาในขณะนน้ั คือ พระยาเชคอะฮฺมัดรัตนราชเศรษฐี ซ่งึ ต่อมาไดร้ ับโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั ใหเ้ ปน็
จฬุ าราชมนตรีคนแรกของประเทศไทย
สมยั รัตนโกสนิ ทร์
ขอ้ บังคบั ส�ำ หรับปกครองบริเวณเจด็ หวั เมือง ร.ศ. 120 ซึ่งบริเวณเจด็ หวั เมือง คอื เมอื ง
ปตั ตานี เมืองหนองจกิ เมืองยะหริง่ เมอื งสาย เมอื งยะลอ เมืองรามัน และเมืองระแงะ ขน้ึ อยูใ่ น
มณฑลนครศรธี รรมราช และในปเี ดยี วกนั นเี้ อง หวั เมอื งทงั้ เจด็ ไดเ้ ปลย่ี นแปลงแบบการปกครอง
เป็นมณฑล เรยี กวา่ มณฑลปัตตานี แบ่งการปกครองเปน็ เมอื งใหญ่ ๆ 4 จังหวัด คือ
1) เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก และเมืองยะหริ่ง รวมเป็นจังหวัด เรียกว่า
จังหวดั ปัตตานี
2) เมอื งสาย เปน็ จงั หวัดสายบุรี ต่อมาภายหลงั ยบุ เป็นอำ�เภอ เรียกว่า อ�ำ เภอ
สายบุรี ขึ้นกับจังหวดั ปตั ตานี
3) เมืองยะลอ และเมืองรามนั รวมเปน็ จังหวัดเรยี กวา่ จังหวัดยะลา และ
4) เมอื งระแงะ เปน็ จังหวดั เรียกวา่ จังหวัดนราธวิ าส
สำ�หรับจังหวัดสตูลน้ัน มิได้รวมอยู่ในประกาศข้อบังคับสำ�หรับปกครองบริเวณเจ็ดหัว
เมอื ง ร.ศ. 120 ด้วย ตอ่ มาเม่อื พ.ศ. 2460 มตี ราสารของเสนาบดกี ระทรวงยตุ ิธรรม ไดด้ ำ�เนิน
การตามกระแสพระบรมราชโองการ ใหข้ ยายเขตการใชก้ ฎหมายอสิ ลามไปยงั จงั หวดั สตลู ดว้ ย จน
กระทั่งมกี ารประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ พุทธศกั ราช 2477 และบทบัญญัติ
บรรพ 6 มาตรา 4 ไดก้ �ำ หนดให้ ยกเวน้ ไวว้ า่ ไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ กฎขอ้ บงั คบั ส�ำ หรบั ปกครอง
เจ็ดหัวเมือง ร.ศ. 120 ในส่วนที่เกี่ยวด้วยครอบครัวและมรดก ฉะนั้น ตั้งแต่วันท่ี 1 ตุลาคม
2486 ในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 รฐั บาลในยคุ นน้ั โดย จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ไดป้ ระกาศ
อดุ มการณ์รฐั นิยม และกฎวัฒนธรรม และไดป้ ระกาศยกเลิกขอ้ ยกเวน้ ดงั กลา่ ว เพื่อให้บงั คบั ใช้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ บรรพ 6 ผลจากการนโยบายรัฐนยิ มในยคุ นนั้ จึงก่อให้เกดิ
ความขดั แยง้ ระหวา่ งประชาชนมสุ ลมิ กบั ทางราชการ ทวคี วามรนุ แรงยงิ่ ขน้ึ เมอ่ื สงครามโลกครง้ั
ที่ 2 ส้นิ สดุ ลงในปี พ.ศ. 2488 อังกฤษเริม่ เขา้ มามีบทบาทตอ่ ปัญหาข้อขัดแยง้ ในภมู ิภาคจงั หวัด
ชายแดนภาคใต้มากยิ่งข้ึน โดยผู้นำ�ศาสนาได้เริ่มหันหนา้ เข้าหามหาอำ�นาจ โดยเฉพาะอังกฤษ
เพ่อื หวงั เปน็ ทีพ่ ่งึ ในการต่อรองรัฐบาลไทย เรียกร้องสทิ ธปิ กครองตนเอง เน่ืองจากสถานการณ์
อยู่ในภาวะคับขัน รัฐบาลในขณะน้ัน จึงได้ดำ�เนินนโยบายเป็นการผ่อนปรน เพ่ือแสดงให้

86 รายวิชาที่ 6 กฎหมายทีใ่ ช้ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้

เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนมุสลิม โดยได้ออก
พระราชกฤษฎกี าว่าด้วยการศาสนปู ถัมภ์ฝา่ ยอสิ ลาม พ.ศ. 2488 ซ่ึงมีจุดมงุ่ หมายใหเ้ หน็ วา่ ภาย
ใตร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ประชาชนชาวไทยยอ่ มมเี สรภี าพในการนบั ถอื ศาสนา และ
เพื่อเป็นการยำ้�ถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในอันที่จะมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมุสลิมได้ประกอบ
ศาสนกจิ ตามหลกั ศาสนา ประกอบกบั รฐั บาลเหน็ วา่ หลกั กฎหมายอสิ ลามในเรอื่ งครอบครวั และ
มรดกมีความแตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดกมาก
ดงั นั้น จึงเปน็ การสมควรจะให้ประชาชนเฉพาะท้องถ่นิ ไดใ้ ชห้ ลกั กฎหมายครอบครวั และมรดก
ตามหลกั กฎหมายอสิ ลามได้ จงึ ไดม้ ีพระราชบัญญัตวิ ่าด้วยการใชก้ ฎหมายอิสลามในเขตจงั หวัด
ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ขนึ้
รปู แบบการบงั คบั ใชก้ ฎหมายอสิ ลามวา่ ดว้ ยครอบครวั และมรดกในศาล ตามบทบญั ญตั ิ
แห่ง พ.ร.บ.ว่าดว้ ยการใชก้ ฎหมายอสิ ลามฯ พ.ศ. 2489 ซง่ึ ใชเ้ ฉพาะในพืน้ ท่ี 4 จังหวัดชายแดน
ภาคใต้ ได้แก่ จงั หวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลเท่านน้ั
การด�ำ เนนิ การกระบวนการพจิ ารณาคดคี รอบครวั และมรดก ตามพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ย
การใช้กฎหมายอิสลามในเขตจงั หวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ไดก้ �ำ หนด
วธิ ีการพิจารณาคดีไว้ ดงั นี้
1) การพจิ ารณาคดีในศาลชั้นต้น ต้องมดี ะโต๊ะยตุ ิธรรม 1 นาย นั่งพิจารณาคดีพร้อม
ดว้ ยผพู้ พิ ากษา ส�ำ หรบั องคค์ ณะของผพู้ พิ ากษา ตอ้ งเปน็ ไปตามทกี่ �ำ หนดไวใ้ นพระธรรมนญู ศาล
ยตุ ธิ รรม หากการพิจารณาคดไี ม่มดี ะโตะ๊ ยุติธรรมนงั่ รว่ มด้วย ถอื วา่ การพิจารณาคดีไมช่ อบด้วย
กฎหมาย
2) ดะโตะ๊ ยตุ ธิ รรมมหี นา้ ทใ่ี นการวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดขอ้ กฎหมายอสิ ลาม และลงลายมอื ชอ่ื ใน
ค�ำ พิพากษาดว้ ย คำ�วินจิ ฉัยของดะโต๊ะยุตธิ รรมในข้อกฎหมายอิสลามเปน็ อนั เด็ดขาด กลา่ วคือ
ดะโตะ๊ ยุตธิ รรม มีอ�ำ นาจวนิ จิ ฉยั ชีข้ าดเฉพาะขอ้ กฎหมายอิสลามเท่าน้ัน สว่ นปญั หาข้อเท็จจริง
หรอื ปัญหาข้อกฎหมายอ่ืนเปน็ อำ�นาจของผู้พิพากษา
3) ค�ำ ฟอ้ งหรอื ค�ำ รอ้ ง จะต้องบรรยายให้ปรากฏวา่ คคู่ วามเจา้ มรดก หรอื ผู้ร้องขอเปน็
ผู้นับถือศาสนาอิสลาม และคดีท่ีฟ้องหรือร้องขอนั้นเก่ียวด้วยครอบครัวมรดก ซึ่งต้องบังคับ
ตามกฎหมายอิสลามเมื่อพนักงานรับฟ้องตรวจฟ้องแล้วก็ให้ดะโต๊ะยุติธรรมตรวจฟ้องอีกครั้ง
ถ้าเห็นว่าเป็นคดีที่เก่ียวกับศาสนาอิสลามแล้ว ดะโต๊ะยุติธรรมก็บันทึกท่ีคำ�ฟ้องหรือคำ�ร้องขอ
วา่ “ไดต้ รวจแลว้ ” ต่อไปพนกั งานรบั ฟ้องจะหมายเหตรุ ับฟ้องวา่ “ความศาสนา” แล้วน�ำ เสนอ
ผู้พิพากษาสงั่ คำ�ฟอ้ งหรอื ค�ำ ร้องขอตอ่ ไป
อนึ่ง กฎหมายอิสลามที่ใช้บังคับนี้ไม่ใช้กฎหมายต่างประเทศ ฉะนั้น ในการพิจารณา
คดซี ง่ึ ตอ้ งใชก้ ฎหมายอสิ ลามกเ็ ปน็ หนา้ ทขี่ องดะโตะ๊ ยตุ ธิ รรมทนี่ งั่ พจิ ารณาเปน็ ผนู้ �ำ บทกฎหมาย

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายทีใ่ ช ใ้ นจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ 87

อสิ ลามมาบังคับคดี หาใช่เป็นหนา้ ท่ีของคคู่ วามจะน�ำ สืบไม่ ถือวา่ เปน็ ส่ิงทศี่ าลรับรูเ้ อง
4) มาตรา 4 วรรคสดุ ท้าย แหง่ พระราชบญั ญัตวิ ่าด้วยการใช้กฎหมายอสิ ลามฯ พ.ศ.
2489 กำ�หนดว่า คำ�วินิจฉัยของดะโต๊ะยุติธรรมในกฎหมายอิสลามให้เป็นอันเด็ดขาด ซ่ึงจะ
อทุ ธรณฎ์ กี าไมไ่ ดน้ น้ั หมายความถงึ เฉพาะค�ำ วนิ จิ ฉยั ชขี้ าดขอ้ กฎหมายอสิ ลามเทา่ นน้ั แตถ่ า้ คดี
ข้ึนสู่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในปัญหาข้ออื่นและปัญหาข้ออื่นนั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาไม่
เหน็ พอ้ งดว้ ยกบั ค�ำ วนิ จิ ฉยั ของศาลชนั้ ตน้ เชน่ ศาลชน้ั ตน้ ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ทรพั ยส์ นิ ทพี่ พิ าทเปน็
ของโจทก์ แตศ่ าลอทุ ธรณห์ รอื ศาลฎีกาฟังข้อเทจ็ จรงิ ว่าเปน็ ของจำ�เลยหรือเปน็ ประการอืน่ เช่น
น้ี เมอื่ ศาลอทุ ธรณห์ รอื ศาลฎกี ายอ้ นส�ำ นวนไปใหศ้ าลชน้ั ตน้ พจิ ารณาใหมโ่ ดยถอื ตามขอ้ เทจ็ จรงิ
ที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั เชน่ น้ี ศาลชัน้ ตน้ จะต้องพจิ ารณาใหม่รว่ มกบั ดะโตะ๊ ยตุ ธิ รรม
ตามข้อเทจ็ จรงิ ทศ่ี าลอทุ ธรณห์ รือศาลฎีกาวนิ จิ ฉยั
ส่วนกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาอิสลามอีก 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติการ
บริหารองคก์ รศาสนาอสิ ลาม พ.ศ. 2540 และพระราชบญั ญัตสิ ่งเสริมกจิ การฮัจญ์ พ.ศ. 2554
เปน็ กฎหมายทเ่ี หมอื นกบั กฎหมายทวั่ ไป คอื บงั คบั ใชท้ วั่ ประเทศ รวมทงั้ ในพนื้ ทจี่ งั หวดั ชายแดน
ภาคใต้ด้วย โดยมีสาระสำ�คญั ทค่ี วรทราบ ดังน้ี
พระราชบัญญตั ิการบรหิ ารองค์กรศาสนาอสิ ลาม พ.ศ. 2540
หลักการและเหตุผลการตรากฎหมายมาใช้เป็นการแกไ้ ข ปรบั ปรุงบทบญั ญตั แิ หง่ พระ
ราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม
พ.ศ. 2488 และพระราชกฤษฎกี าว่าดว้ ยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2491 ซง่ึ
ใช้บังคับมาเป็นเวลานานไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน จึงถูกยกเลิก ไปและใช้กฎหมาย
ฉบับน้แี ทน
สาระส�ำ คญั ที่ควรทราบ
1) บทบัญญตั ิอันเป็นทมี่ าของ “จฬุ าราชมนตรี” ในฐานะผนู้ ำ�กิจการศาสนาอิสลามใน
ประเทศไทย
“....มาตรา 6 พระมหากษัตริยท์ รงแต่งตงั้ จุฬาราชมนตรี คนหนึง่ เพื่อเปน็ ผนู้ ํากิจการศาสนา
อสิ ลามในประเทศไทย ใหน้ ายกรฐั มนตรนี ําชอ่ื ผทู้ จี่ ะดํารงตําแหนง่ จฬุ าราชมนตรซี งึ่ ไดร้ บั ความ
เหน็ ชอบ จากกรรมการอิสลามประจําจงั หวดั ทัว่ ประเทศขน้ึ ทูลเกลา้ ฯ เพือ่ ทรงพระกรุณาโปรด
เกลา้ ฯ แต่งต้งั เป็นจฬุ าราชมนตร.ี ..”

88 รายวิชาท่ี 6 กฎหมายทใ่ี ชใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้

2) มัสยิด เป็นนิติบุคคล บริหารโดยคณะกรรมการ และตอ้ งจดทะเบยี นตามเงอื่ นไขท่ี
กฎหมายก�ำ หนด
“....มาตรา 12 การสรา้ ง การจดั ตงั้ การย้าย การรวม การเลิก และการจดทะเบยี น
มัสยดิ ใหเ้ ป็นไปตาม หลกั เกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง การจัดตั้ง การรวม และ
การเลกิ มัสยิด ใหป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
“…. มาตรา 13 ให้มัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ีแล้วมีฐานะเป็น
นิติบุคคล โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิดเป็นผู้แทนของมัสยิดในกิจการท่ีเกี่ยวกับ
บุคคลภายนอก เพื่อการนี้ คณะกรรมการ อสิ ลามประจํามัสยิดอาจมอบหมายให้กรรมการคน
หนง่ึ หรอื หลายคนทําการแทนกไ็ ด.้ .....”
3) คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด
และคณะกรรมการอสิ ลามประจํามสั ยดิ คอื รปู แบบการบรหิ ารองคก์ รในกลมุ่ ของผนู้ บั ถอื ศาสนา
อสิ ลามในแตล่ ะทอ้ งท่ี ซงึ่ สามารถจดั ตง้ั ขน้ึ มาได้ ภายใตเ้ งอ่ื นไขและหลกั เกณฑท์ กี่ ฎหมายก�ำ หนด
กำ�กบั ดูแลโดยกระทรวงมหาดไทย
“....มาตรา 16 ให้มีคณะกรรมการคณะหน่ึงเรียกว่า “คณะกรรมการกลางอิสลาม
แห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย จุฬาราชมนตรีเป็นประธานกรรมการ และกรรมการซึ่ง
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตงั้ จากกรรมการอสิ ลามประจําจงั หวดั ซงึ่ เปน็ ผแู้ ทนคณะกรรมการ
อสิ ลามประจําจังหวดั จงั หวดั ละหนึ่งคน และจากกรรมการอ่นื ซึง่ คัดเลือกโดยจุฬาราชมนตรมี ี
จํานวนหนง่ึ ในสามของจํานวนผูแ้ ทนคณะกรรมการอิสลามประจําจงั หวดั .....”
“.....มาตรา 23 จงั หวดั ใดมรี าษฎรนบั ถือศาสนาอิสลามและมีมัสยิดตามมาตรา 13 ไม่
นอ้ ยกวา่ สามมสั ยดิ ใหค้ ณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง่ ประเทศไทยประกาศใหจ้ งั หวดั นนั้ มคี ณะ
กรรมการอสิ ลามประจําจงั หวดั คณะหนง่ึ ประกอบดว้ ย กรรมการมจี ํานวนไมน่ อ้ ยกวา่ เกา้ คนแต่
ไมเ่ กนิ สามสิบคน
การคัดเลือกกรรมการอิสลามประจําจังหวัด ให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการให้
อหิ มา่ มประจํามสั ยดิ ในจงั หวดั นนั้ เปน็ ผคู้ ดั เลอื ก ทง้ั นต้ี ามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทกี่ ําหนดใน.....”

“.....มาตรา 30 ให้มี คณะกรรมการอิสลามประจํามัสยดิ คณะหนึง่ ประกอบด้วย

รายวชิ าที่ 6 กฎ หมายที่ใช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 89

(1) อหิ ม่าม เปน็ ประธานกรรมการ
(2) คอเต็บ เป็นรองประธานกรรมการ
(3) บิหลนั่ เปน็ รองประธานกรรมการ
(4) กรรมการอน่ื ตามจํานวนทท่ี ป่ี ระชมุ สปั ปรุ ษุ ประจํามสั ยดิ นน้ั กําหนดจํานวน
ไม่น้อยกวา่ หกคนแตไ่ ม่เกนิ สบิ สองคน
ใหส้ ปั ปรุ ษุ ประจํามสั ยดิ ซงึ่ มอี ายตุ งั้ แตส่ บิ หา้ ปบี รบิ รู ณข์ นึ้ ไป ประชมุ กนั คดั เลอื กผดู้ ํารง
ตําแหน่งตามวรรคหนงึ่
ให้คณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิดเลือกกรรมการตาม (4) เป็นเลขานุการหนึ่งคน
นายทะเบียนหนง่ึ คน เหรญั ญกิ หน่งึ คน และตําแหน่งอนื่ ตามความจําเปน็
ใหป้ ระธานกรรมการอสิ ลามประจําจงั หวดั หรอื กรรมการอสิ ลามประจําจงั หวดั ที่ ไดร้ บั
มอบหมายจากประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัดเป็นประธานในที่ประชุมสัปปุรุษประจํา
มัสยิด เพื่อดําเนินการคัดเลือกกรรมการอิสลามประจํามัสยิด แล้วเสนอคณะกรรมการอิสลาม
ประจําจงั หวดั เพ่ือพจิ ารณาแต่งต้ัง ทั้งน้ตี ามระเบยี บทค่ี ณะกรรมการกลางอิสลามแหง่ ประเทศ
ไทยกําหนด.......”
4) บทบาทและอำ�นาจหน้าทห่ี ลกั ของคณะกรรมการแต่ละระดับ มงุ่ เนน้ ให้การดูแลวิถี
ปฏิบัติตามหลักศาสนาแก่สมาชิกผู้นับถือศาสนาอิสลามในชุมชน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและ
การให้ “คำ�แนะน�ำ ปรึกษา” แกห่ น่วยงานทีเ่ ก่ยี วข้อง
“....มาตรา 18 คณะกรรมการกลางอิสลามแหง่ ประเทศไทยมอี ํานาจหนา้ ที่ดงั ต่อไปนี้
(1) ให้คําปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ศกึ ษาธกิ ารในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
(2) ให้คําปรึกษาหรือข้อแนะนําเก่ียวกับศาสนาอิสลามแก่คณะกรรมการอิสลาม
ประจําจงั หวดั และคณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิด
(3) แต่งต้ังคณะอนุกรรมการเพ่ือปฏิบัติงานตามท่ีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง
ประเทศไทยมอบหมาย
(4) ออกระเบยี บเกย่ี วกบั การจดั การทรพั ยส์ นิ และการจดั หาผลประโยชนข์ องส�ำ นกั งาน
คณะกรรมการอิสลามประจ�ำ จงั หวัดและมัสยดิ
(5) ออกระเบยี บวธิ กี ารดําเนนิ งานและควบคมุ ดแู ลการบรหิ ารงานของ คณะกรรมการ
อิสลามประจําจงั หวัดและคณะกรรมการอสิ ลามประจํามสั ยิด

90 รายวิชาที่ 6 กฎหมายที่ใชใ้ นจงั หวัดชายแดนภาคใต้

(6) ปฏบิ ตั หิ นา้ ทเี่ ปน็ คณะกรรมการอสิ ลามประจําจงั หวดั ในจงั หวดั ทไ่ี มม่ คี ณะกรรมการ
อสิ ลามประจําจงั หวดั ในการนคี้ ณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง่ ประเทศไทยจะ มอบหมายใหค้ ณะ
กรรมการอิสลามประจําจังหวัดทใี่ กล้เคยี งปฏบิ ัติหนา้ ที่แทนก็ได้
(7) พิจารณาวินิจฉยั คําร้องคัดคา้ นตามมาตรา 4
(8) จัดทําทะเบียนทรัพย์สิน เอกสารและบัญชีรายรับรายจ่ายของสํานักงานคณะ
กรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทยให้ถกู ต้องตามความเป็นจริง
(9) ออกประกาศและใหค้ ํารบั รองเกย่ี วกบั กจิ การศาสนาอสิ ลาม
(10) สง่ เสริมสนบั สนนุ การจดั กิจกรรมทางศาสนา และการศึกษาศาสนาอิสลาม
(11) ประสานงานกบั หนว่ ยราชการที่เก่ยี วขอ้ งในกิจการท่ีเกยี่ วกับศาสนาอสิ ลาม
(12) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามทก่ี ําหนดไว้ในพระราชบญั ญตั ิน้ี........”
“.......มาตรา 26 ในจังหวัดที่มีคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวดั ใหค้ ณะกรรมการ
มอี ํานาจหนา้ ท่ี ดงั ต่อไปน้ี
(1) ใหค้ ําปรกึ ษาและเสนอความเห็นเก่ยี วกับศาสนาอิสลามตอ่ ผู้วา่ ราชการจังหวัด
(2) กํากับดูแลและตรวจตราการปฏิบัติงานของคณะกรรมการอิสลามประจํามัสยิดใน
จงั หวัดและจังหวดั อื่นตามทคี่ ณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทยมอบหมาย
(3) ประนีประนอมหรือช้ีขาดคําร้องทุกข์ของสัปปุรุษประจํามัสยิด ซ่ึงเห็นว่าไม่ได้รับ
ความเปน็ ธรรมจากคณะกรรมการอสิ ลามประจํามสั ยดิ
(4) กํากับดูแลการคัดเลอื กกรรมการอสิ ลามประจํามัสยิดใหเ้ ป็นไปโดยเรยี บร้อย
(5) พจิ ารณาแต่งต้งั และถอดถอนกรรมการอิสลามประจํามัสยดิ
(6) สอบสวนพจิ ารณาใหก้ รรมการอสิ ลามประจํามสั ยดิ พน้ จากตําแหนง่ ตามมาตรา 40 (4)
(7) ส่ังใหก้ รรมการอสิ ลามประจํามัสยดิ พกั หนา้ ทีร่ ะหว่างถกู สอบสวน
(8) พิจารณาเกย่ี วกบั การจดั ตง้ั การย้าย การรวม และการเลิกมสั ยิด
(9) แตง่ ตง้ั ผรู้ กั ษาการแทนในตําแหนง่ อหิ มา่ ม คอเตบ็ และบหิ ลนั่ เมอ่ื ตําแหนง่ ดงั กลา่ ว
ว่างลง
(10) ออกหนงั สือรบั รองการสมรสและการหย่าตามบัญญัตแิ ห่งศาสนาอสิ ลาม
(11) ประนปี ระนอมขอ้ พพิ าทเกยี่ วกบั เรอื่ งครอบครวั และมรดกตามบญั ญตั แิ หง่ ศาสนา
อสิ ลามเมือ่ ไดร้ บั การรอ้ งขอ
(12) จัดทําทะเบียนทรัพย์สิน เอกสารและบัญชีรายรับ รายจ่าย ของสํานักงานคณะ
กรรมการอิสลามประจําจังหวัดให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นปัจจุบัน และรายงานผลการดําเนินงาน
ฐานะการเงินและทรัพย์สินให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยทราบปีละหนึ่งครั้ง

รายวิช าที่ 6 กฎ หมายท่ใี ช ใ้ นจังหวดั ชายแดนภาคใต้ 91


Click to View FlipBook Version