Work Instruction 256 48 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล อาการ และอาการแสดงของผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง อาการไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะมากขึ้น อาการเป็น ๆ หาย ๆ อย่างน้อยปีละ 3 เดือน และต่อเนื่องไม่น้อย กว่า2 ปี ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกายมาก ต่อมาจะเหนื่อยแม้เมื่อออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย ฟัง ปอดจะได้ยินเสี่ยงรองไค (Rhonch) หรือเสียงวี้ด (Wheeze) ทั้งขณะหายใจเข้าและหายใจออกส่งผลทำให้ผู้ที่ เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีอาการหายใจลำบากเกิดขึ้น ผลกระทบของโรคปอดอุดกั้น 1.ผลกระทบด้านร่างกาย ทำให้ผู้ที่เป็นมีอาการหายใจลำบากเกิดขึ้น ส่งผลทำให้ความสามารถในการปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ได้ลดน้อยลง กิจกรรมทางกายถูกจำกัด มีอาการอ่อนเพลีย ไม่สามารถใช้แรง หรือออกกำลังได้ ตามปกติ และแบบแผนการนอนหลับ จากการที่ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นการยึดหยุ่นของปอด และหลอดลมเสีย ความสมดุล ทำให้ผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเกิดภาวะหายใจลำบาก 2. ผลกระทบทางด้านจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอาจทำให้ผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเกิดภาวะ วิตกกังวล ซึมเศร้า ความรู้สึก การมีคุณค่าในตนเองลดลง สิ้นหวัง กลัว ไม่สุขสบาย คับซ้องใจ เป็นสิ่งที่ ก่อให้เกิดความเครียดเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเนื่องจากต้องเจ็บป่วย ตลอดเวลา เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ และไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่หรือทำกิจกรรมต่าง ๆเพื่อที่จะดูแล ตนเองได้ จึงทำให้ต้องพึ่งพิงผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา 3.ผลกระทบทางด้านสังคม และเศรษฐกิจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มี อาการเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่าย ในการรักษามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น ค่ายา ค่า ออกซิเจน ค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ประกอบกับผู้ป่วยไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพได้ตามปกติความสามารถ ในการทำงานได้น้อยลง ต้องออกจากงานทำให้มีรายได้ลดน้อยลง จึงต้องพึ่งพาครอบครัวมากขึ้น เกิดภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำในครอบครัว ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อสังคมได้
Work Instruction 256 49 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล ภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่สำคัญ 1. การติดเชื้อ เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้อาการกำเริบผู้ป่วยที่มีไใข้มีน้ำมูก ไอ หรือมีเสมหะเปลี่ยน สีอาจเกิดจากเชื้อไวรัส เนื่องจากไข้หวัด หลอดลมอักเสบ และปอดบวมจากเชื้อ Streptococuspneumoniae หรือ Hemophilus influenza 2. ภาวะหัวใจวาย ในผู้ป่วย COPD ที่มีการอุดกั้นของหลอดลมอย่างเรื้อรังจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าที่การแลกเปลี่ยนก๊าชภายในปอดไม่ สมบูรณ์ ผู้ป่วย COPD มักจะมีการติดเชื้อของทางเดิน หายใจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด Acute exacerbation bronchitis ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะ หายใจวายเฉียบพลัน 3. Cor -pul monale โรคหัวใจข้างขวาล้มเหลวเนื่องจากโรคของเนื้อปอดและ ulmonary vascular bed เมื่อ pulmonary vascular bed อุดตันจะเกิดความดัน ในปอดสูงขึ้น (pulmonary hypertension)ทำให้เลือดมาที่เนื้อปอดไมใด้จึงเกิด hypoxiaอันตรายที่อาจพบได้มักขึ้นอยู่กับ ขนาดของลม และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะทำให้ภาวะ hypoxemia เลวลง 4. Spontaneous pneumothorax การมีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด พบได้ไม่มากนักในผู้ป่วย COPD พอง ในเนื้อเยื่อของปอดมีถุงโป่ง(bullae) แทรกอยู่ซึ่งเป็นอุบัติการณ์ในการเกิด spontaneous 5. Glant bullar การมี bullar ขนาดใหญ่มักพบในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของหลอดลมเรื้อรังและ ถุง ลมโปง pneumothorax เมื่อ bullae ขนาดใหญ่จะเบียดเนื้อเยื่อของปอดทำให้พื้นที่ในการ แลกเปลี่ยนก๊าซลดลง การรักษา 1. การให้ออกซิเจนแบบควบคุม ( controlled oxygen therapy ) ปรับอัตราการไหลของ ออกซิเจน เพื่อให้ได้ SaO2 หรือSpO2 90-92 %
Work Instruction 256 50 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 2. ยาขยายหลอดลม ใช้ B2- agonist หรือ B2 - agonist ร่วมกับ anticholinergic โดยใช้ meted dose inhaler ผ่านทาง spacer 4-6 puff หรือให้ผ่านทาง nebulizer ถ้าไม่ดีขึ้นสามารถให้ซ้ำได้ทุก 20 นาทีในชั่วโมงแรก หรือจนเกิดผลข้างเคียงคือ หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ corticosteroid ให้ในรูป ของยาฉีด dexamethasone 5- 10 mg หรือ hydrocortisoneขนาด 100-200 mg เข้าหลอดเลือด ดำทุก 6 ชม. หรือรับประทานยา prednisolone 30 mg และเมื่อดีขึ้นแล้วจึง เปลี่ยนเป็น prednisolone รับประทาน 30 -40 mg ต่อวัน จนครบเวลา 10 -14 วัน 3. antibiotic โดยยาที่เลือกใช้ควรออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง เช่น beta-lactam/ beta - lactamase inhibitor, cephalosporin หรือ fluoroquinolone ที่ครอบคลุมเชื้อ streptococcus ได้ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่มีภาวะการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลัน (Chronic Obstructive PulmonaryDisease with Acute Exacerbation) ความหมายของโรค ภาวะอาการกำเริบของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบเฉียบพลัน หรือ Chronic Obstructive PulmonaryDisease with Acute Exacerbation หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการไอมากขึ้น มีเสมหะเพิ่ม เปลี่ยนสี ได้รับยาขยายหลอดลมและยา Steroid อย่างเร่งด่วน สาเหตุปัจจัยเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง - การสูบบุหรี่ ทั้งจากผู้สูบเองโดยตรง หรือได้รับควันบุหรี่จากคนรอบข้าง - มลภาวะ และสารพิษต่างๆ - การติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจ
Work Instruction 256 51 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล การรักษา 1. การให้ออกซิเจนเพื่อให้ใด้ SaO2 หรือ SpO2 88-92% 2. การให้ยาขยายหลอดลม Beradual 1 NB nebulizer ทุก15 นาที 3 ครั้ง หรือจนเกิดผลข้างเคียง คือ หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ 3. corticosteroid ให้ในรูปของยาฉีด dexamethasone 5- 10 mg หรือ hydrocortisoneขนาด 100- 200mg เข้าหลอดเลือดดำทุก 6 ชม. หรือรับประทานยา prednisolone 30 mg และเมื่อดีขึ้นแล้วจึง เปลี่ยนเป็นprednisolone รับประทาน 30 -40 mg ต่อวัน จนครบเวลา 10 -14 วัน 4. antibiotic โดยยาที่เลือกใช้ควรออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง เช่น beta-lactam/ beta - lactamase inhilbitor, cephalosporin หรือ fluoroquinolone ที่ครอบคลุมเชื้อ streptococcus ได้ กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ที่มารับการรักษาในหอ ผู้ป่วยอายุรกรรม บุคลากรที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แนวทางปฏิบัติ 1. พยาบาลวิชาชีพมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้การ พยาบาลผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสม 2. ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย
Work Instruction 256 52 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เกณฑ์การประเมิน 1. พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติตามแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มากกว่าร้อยละ 80 2. ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 80 แนวทางการปฏิบัติการพยาบาล มีการใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย การประเมิน การวินิจฉัยทางการ พยาบาล การ วางแผน การปฏิบัติการพยาบาลและการประเมินผลในการให้การพยาบาลที่ครอบคลุมองค์รวมทั้ง 4 ด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม จิตวิญญาณ โดยบูรณาการกับข้อมูลสนับสนุนและข้อมูลประเมินภาวะและ/หรือ แบบแผนสุขภาพ เพื่อกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและการนำแนวคิด D-METHOD ในการวางแผน จำหน่าย การให้คำแนะนำเพื่อนำความรู้ ไปดูแลตนเอง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย 1. การให้ความรู้กับผู้ป่วย โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของโรค การใช้ยาชนิดต่างๆ อาการ ข้างเคียงของการใช้ยา เทคนิคการพ่นยา และการให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจเกี่ยวโรคอย่างละเอียดจะ ทำให้ผู้ป่วยลดความกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษามากขึ้น 2. กายภาพบำบัด การสอนการไอเพื่อขับเสมทะ การฝึกการหายใจที่ถูกวิธี (pursed-lip breathing) และการผ่อนคลาย ก็จะช่วยลดอาการหอบเหนื่อยได้ 3. การออกกำลังกาย จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เช่น การเดิน เป็นต้น 4. การให้การสนับสนุนทางด้านสังคมและจิตใจ การให้กำลังใจผู้ป่วยจากบุคคลในครอบครัว แพทย์ พยาบาล ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
Work Instruction 256 53 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีภาวะการกำเริบของโรคแบบเฉียบพลัน(Chronic Obstructive Pulmonary Disease with Acute Exacerbation) 1. ประเมินภาวการณ์หายใจลำบาก 2. ดูแลให้ออกซิเจนเพื่อให้ได้ SaO2 หรือSpO2 88-92 % 3. จัดท่านอนศีรษะสูง 45 องศาเพื่อให้กระบังสมลคต่ำลงปอดขยายตัวได้เต็มที่ ทำให้หายใจได้ สะดวกเพิ่มขึ้น 4. ดูแลให้ยาขยายหลอดลม Beradual 1 NB nebulizer ทุก15 นาที 3 ครั้ง และเฝ้าระวัง ผลข้างเคียงของยาคือ หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ 5. ดูแลให้ corticosteroid ให้ในรูปของยาฉีต dexamethasone 5- 10 mg หรือ hydrocortisone ขนาด 100-200 mg เข้าหลอดเลือดดำทุก ตามแผนการรักษา 6. ดูแลให้ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic) ตามแผนการรักษา การติดตามประเมินผล 1. นิเทศติดตามโดยพยาบาลผู้รับผิดชอบของหอผู้ป่วย/หน่วยงาน 2. นิเทศติดตามกำกับตัวชี้วัดโดยหัวหน้าหอ และรายงานหัวหน้างาน ทุก 1 เดือน เอกสารที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) 1. คู่มือในการรักษาผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 2. แนวทางการรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 3. แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ประกาศ ณ วันที่ … เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2566 ........................................................... (นางสาวเพ็ญศรี รักษ์วงค์) หัวหน้าพยาบาล
Work Instruction 256 54 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม เอกสารวิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เรื่อง : การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว เอกสารหมายเลข : WI-NUR-D แก้ไขครั้งที่ : 2 วันที่มีผลบังคับใช้ :15 ธันวาคม 2566 จำนวนหน้า : 14 หน้า ผู้จัดทำ ผู้รับผิดชอบ ผู้ทบทวน ผู้อนุมัติ คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการ พยาบาล ลงชื่อ ............................................... (............................) หัวหน้าพยาบาล วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566
Work Instruction 256 55 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล นโยบาย กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีนโยบายให้บริการพยาบาลตาม Service plan ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวที่มีคุณภาพ ถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวตามมาตรฐาน 2.เพื่อเป็นแนวทางพยาบาลการดูแลโรคหัวใจล้มเหลวตามมาตรฐาน คำจำกัดความ ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure) เป็นกลุ่มอาการทางคลินิกที่เป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำหน้าที่ในการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย โดยพยาธิสภาพส่งผลต่อปริมาณเลือด ที่ออกจากหัวใจลดลง สาเหตุเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจสูงถึงร้อยละ 45 ของผู้ป่วย พบอายุโดยเฉลี่ยของ ผู้ป่วยอยู่ที่ 65 ปีโดยภาวะหัวใจล้มเหลวส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของหัวใจ การหายใจ ลำบาก จึงพบว่าผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวต้องกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใน 30 วัน ร้อยละ 13.8 ซึ่ง เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ปัจจุบันมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำมาเป็นมาตรฐานในการ รักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่ 1) การตรวจประเมิน Echocardiogram 2) การประเมินอาการรุนแรง ของโรคกับกิจวัตรประจำวัน 3) การ ให้ยาตามอาการ เช่น ยาขับปัสสาวะเพื่อลดบวม 4) การใช้ยา กลุ่ม ACEI หรือ ARB และยากลุ่ม Beta block และยากลุ่ม Spironolactone ในผู้ป่วย ที่left ventricular ejection fraction: LVEF < 40% 5) ควบคุมรักษาโรคและปัจจัยเสี่ยง เช่น การให้ยาโรคความดันโลหิตสูง ทำการถ่าง ขยายหลอดเลือด หัวใจ (PCI) ในผู้ป่วยที่หลอดเลือดหัวใจตีบ
Work Instruction 256 56 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 6) นัดตรวจติดตามอาการแนะนำการดูแล ตนเองที่เหมาะสมที่บ้าน การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว พยาบาลมีบทบาทสำคัญในดูแลผู้ป่วยที่ต้อง อาศัยความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ พยาธิสรีรวิทยา อาการ อาการแสดง ตลอดจนแนวทางการรักษา เพื่อรวบรวมข้อมูล นำไปสู่การประเมินภาวะสุขภาพองผู้ป่วย เพื่อการดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤติลด หรือป้องกัน ภาวะแทรกซ้อน และหากพ้นจากภาวะวิกฤติแล้วนั้น บทบาทของการเป็นผู้ให้ความรู้เพื่อการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม ป้องกันการ กลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซ้ำ และทำให้ผู้ป่วยหายกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว อย่างปลอดภัย และ สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมหรือใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันได้มากที่สุด สาเหตุของการเกิดโรค สาเหตุจากความผิดปกติของหัวใจหลายชนิด ตั้งแต่ - ความผิดปกติแต่กำเนิด (congenital heart disease) เช่น ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว (atrial septal defect หรือ ventricular septal defect) - ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) เช่น ลิ้นหัวใจ ตีบ หรือ ลิ้นหัวใจรั่ว - ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (myocardial disease) เช่น หัวใจ ห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง (left ventricular systolic dysfunction) หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนา (hypertrophic cardiomyopathy) - ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ (constrictive pericarditis) - ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) เช่น myocardial ischemia induced heart failure เนื่องจากการรักษาในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจากสาเหตุต่าง ๆ มีความ แตกต่างกันเช่น การผ่าตัด แก้ไขใน กรณีที่เกิดจากลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว ดังนั้นการวินิจฉัยถึงสาเหตุของหัวใจล้มเหลวจึงมีความจำเป็นใน บทความนี้จะเน้นถึงภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจเช่น กล้ามเนื้อหัวใจ ตาย เฉียบพลัน (acute myocardial infarction) หรือเกิด แบบช้าและเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ (chronic progressive course) เช่น กล้ามเนื้อ หัวใจผิดปกติจากโรคทางพันธุกรรม โรคลิ้นหัวใจรั่วที่ทำ ให้หัวใจมีขนาด ใหญ่ขึ้น จาก การมีปริมาณเลือดในหัวใจมากเกินไป (hemodynamic load) เป็นระยะ เวลานานทำให้การ ทำงานของหัวใจ ลดลง ร่างกายจะมีกระบวนการที่พยายาม รักษาปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายเรียกว่า compensatory mechanism โดย มีการกระตุ้นระบบประสาทและฮอร์โมน (neurohormonal system) โดยระบบที่สำคัญ
Work Instruction 256 57 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล คือระบบประสาทซิมพาเธติค (sympathetic system) และระบบ renin angiotensin aldosterone system โดยในระยะแรกจะช่วยรักษาระดับ ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ จากการเพิ่มปริมาณ พลาสมา (plasma volume) เพิ่มการบีบตัวของหัวใจและเพิ่มระดับความดันโลหิตจากการหดตัวของหลอด เลือด (vasoconstriction) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยไม่มีอาการหัวใจล้มเหลว แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดภาวะหัวใจ โตและ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจนถึง ระดับโมเลกุล (cardiac remodeling) ทำให้การทำงานของหัวใจ ลดลง อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลว ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ภาวะหัวใจล้มเหลวมักจะเกิดในระยะสุดท้ายของโรคหัวใจ ทั้งเป็นโรคแทรกซ้อน จากโรคอื่น โดยภาวะ หัวใจล้มเหลวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ 1. โรคความดันโลหิตสูง 2. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก 3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างเต็มที่ 4. กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่อาจเกิดจากแอลกอฮอล์และสารเสพติด 5. ความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด 6. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากนี้ภาวะหัวใจล้มเหลวยังมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้ 1. รับประทานยาที่ทำให้เกิดการกดการทำงานของหัวใจ 2. รับประทานอาหารเค็มในปริมาณมากเกินไป 3. สูบบุหรี่เป็นประจำ 4. ขาดการออกกำลังกาย และพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการและอาการแสดง หัวใจล้มเหลว หัวใจล้มเหลวทำ ให้เกิดอาการหรืออาการแสดงที่เกิดจาก การ ที่เลือด ออกจากหัวใจไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือเกิดจากการคั่งของเลือด ในหัวใจห้อง ซ้าย และปอด เรียกว่า pulmonary venous congestion ทำ ให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้หรือ
Work Instruction 256 58 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เกิดจากการคั่งของเลือดในหัวใจ ห้องขวา ทำ ให้หลอดเลือดดำ ที่คอโป่ง ตับโต จุกแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่ และ บวม อาการที่พบบ่อย ได้แก่ 1.อาการเหนื่อย (dyspnea) เป็นอาการสำคัญของผู้ป่วยภาวะหัวใจ ล้มเหลว โดยอาการเหนื่อย จากภาวะหัวใจ ล้มเหลวอาจมีลักษณะ ดังนี้ 1.1 อาการเหนื่อยขณะที่ออกแรง (dyspnea on exertion) - อาการเหนื่อย หายใจไม่ สะดวกขณะนอน ราบ (orthopnea) เนื่องจากในท่านอน ของเหลวจากบริเวณท้อง และขาทั้ง 2 ข้าง ไหลกลับเข้าในทรวงอก เพิ่มขึ้น และกระบังลมยกสูงขึ้น ทำให้ความ ดันในปอดสูงขึ้น การแลกเปลี่ยน แก๊สในถุงลมผิดปกติ ทำให้รู้สึก เหนื่อยในขณะนอน ราบ บางครั้งผู้ป่วยจะไอขณะ นอนราบด้วย 1.2 อาการหายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจาก อาการหายใจไม่ สะดวก (paroxysmal nocturnal dyspnea, PND) PND เป็นอาการที่ค่อนข้าง จำเพาะสำหรับภาวะหัวใจล้มเหลว 2.อาการบวมในบริเวณที่เป็นระยางส่วนล่างของร่างกาย (dependent part) เช่นเท้า ขา เป็น ลักษณะบวม กด บุ๋ม 3.อ่อนเพลีย (fatigue) เนื่องจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดลง ทำ ให้สมรรถภาพของร่างกาย ลดลง 4.แน่นท้อง ท้องอืด เนื่องจากตับโต จากเลือดคั่งในตับ (hepatic congestion) มีน้ำ ในช่องท้อง (ascites) อาจ พบอาการคลื่นไส้เบื่ออาหารร่วมด้วย อาการแสดงที่ตรวจพบบ่อย ได้แก่ 1. หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia) หายใจเร็ว (tachypnea) 2. เส้นเลือดดำ ที่คอโป่งพอง (jugular vein distention) หัวใจโต โดยตรวจพบว่ามีapex beat หรือ Point of Maximum Impulse (PMI) ในผู้ป่วยที่มีหัวใจ โตขึ้น จะเลื่อนไปทางรักแร้และลงล่าง คลำ พบหัวใจห้องล่างซ้าย (left ventricular heaving) หรือ หัวใจห้อง ล่างขวา (right ventricular heaving) ได้
Work Instruction 256 59 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 3. เสียงหัวใจผิดปกติโดยอาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop หรือ cardiac murmur บ่งชี้ถึงความ ผิดปกติของหัวใจ เช่น การตรวจพบ diastolic rumbling murmur ที่ยอดหัวใจ (apex) บ่งชี้ถึง ภาวะลิ้นหัวใจ ไมตรัลตีบ (mitral stenosis) ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของหัวใจล้มเหลว 4. เสียงปอดผิดปกติ (lung crepitation) จากการที่มีเลือดคั่งในปอด (pulmonary congestion) ใน ผู้ป่วยบางรายอาจมีเสียง wheezing เนื่องจากมีการหดตัวของหลอดลม (bronchospasm) เมื่อมี เลือดคั่งใน ปอดที่ เรียกว่า cardiac wheezing ในผู้ป่วยบางรายอาจตรวจพบเสียงหายใจลดลง จากการมีน้ำ ในเยื่อหุ้ม ปอด (pleural effusion) 5. ตับโต (hepatomegaly) หรือน้ำในช่องท้อง (ascites) 6. บวมกดบุ๋ม (pitting edema) การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย 1. ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray) เป็นการตรวจเพื่อยืนยัน ภาวะเลือดคั่งในปอด (pulmonary congestion) ภาวะที่มีความผิดปกติของ หัวใจและตรวจหาความผิดปกตที่อาจบ่งชี้ถึงโรคปอดที่เป็น สาเหตุ ของอาการเหนื่อยโดยลักษณะที่ตรวจพบในภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่ Cardiomegaly โดยมีอัตราส่วนระหว่างหัวใจและช่องอก (Cardio-thoracic ratio) มากกว่า 0.5 แต่ ในกรณีที่ เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute Heart failure) ขนาดของหัวใจอาจไม่โตก็ได้ - Pulmonary venous congestion โดยในภาวะความดันในปอดสูงเล็กน้อย (mild pulmonary venous hypertension) อาจไม่ เห็นการเปลี่ยนแปลงจากภาพถ่ายรังสีทรวงอก ในภาวะความดันในปอดสูง ปานกลาง (moderate pulmonary venous hypertension) จะพบลักษณะ cephalization of pulmonary vasculature คือ หลอดเลือดใน ปอดจะมีการเพิ่มปริมาณหลอด เลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณปอดด้านบน (upper lobe) มากกว่าปอดด้านล่าง (lower lobe) ซึ่งตรงข้ามกับภาวะปกติ บางครั้งเรียกว่า redistribution และในภาวะ ความดันในปอดสูงมาก (severe pulmonary venous hypertension) จะมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่น้ำ ท่วมเยื่อหุ้มช่องปอด (interstitial pulmonary edema) จะพบว่ามีKerley’s B lines หรือมีน้ำในเยื่อหุ้ม ปอด (Pleural effusion) ซึ่ง พบในปอดข้างขวาพบบ่อยกว่าปอดข้างซ้าย และเมื่อรุนแรงขึ้นจะพบน้ำท่วมถุง ลม (alveolar pulmonary edema) ซึ่งเห็นเป็นลักษณะทึบแสงเป็นหย่อม ๆ (patchy opacity)
Work Instruction 256 60 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล กระจายอยู่ ทั่วไปบริเวณภายในปอด (inner lung zone) มากกว่าภายนอกปอด (outer lung zone) ให้ ลักษณะเหมือน ปีกค้างคาวหรือปีกผีเสื้อ (bat’s wing or butterfly appearance) รูปแสดง Chest X-ray ที่พบ Cardiomegaly รูป แสดง Chest X-ray ที่พบ Pulmonary congestion in Heart failure 2.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography):สามารถบอกว่ามีความผิด ปกติของหัวใจ เช่น หัวใจโต (chamber enlargement) การมีกล้ามเนื้อหัวใจตายจาก pathological Q wave หัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น atrial fibrillation ซึ่ง อาจเป็นสาเหตุของหัวใจล้มเหลว
Work Instruction 256 61 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 3.การตรวจเลือด 1. Complete blood count (CBC) : เพื่อตรวจหาภาวะซีด ซึ่งอาจทำให้มีอาการเหนื่อย และอาจ เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ภาวะหัวใจล้มเหลวแย่ลง 2. การทำงานของไต (Renal function) : การตรวจ BUN, creatinine เพื่อประเมินการทำงานของ ไต ซึ่งการทำ งานของไตที่ลดลงอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน และมีอาการและอาการแสดงเหมือน ภาวะหัวใจล้มเหลวและอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ภาวะหัวใจล้มเหลวแย่ลง ระดับ natriuretic peptides ในกระแสเลือด (serum natriuretic peptides): สาร natriuretic peptides เป็นสาร ที่หลั่งออกจากหัวใจเมื่อเกิด wall stress โดยมีผลทำ ให้เกิดการขยายตัวของ หลอดเลือด (vasodilatation) ลดแรงต้านทานที่หลอดเลือดส่วนปลาย (peripheral vascular resistance) ยับยั้ง การทำงานของระบบซิมพาเธติค (sympathetic activity) และการขับน้ำและเกลือออกจาก ร่างกาย โดยลดการดูดกลับที่ไตซึ่งเป็นกลไกการชดเชย (compensatory mechanism) อย่าง หนึ่ง โดย natriuretic peptides ที่สำคัญ คือ A-type natriuretic peptides (ANP) และ Btype natriuretic peptides (BNP) แต่ ที่ตรวจในทางคลินิก คือ BNP และ NT-pro BNP (Nterminal pro BNP) ซึ่งเป็น active และ inactive component ของ BNP ตามลำดับ การศึกษา ในผู้ป่วยที่มาตรวจที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการเหนื่อย พบว่าการใช้ ระดับ BNP มีประโยชน์ในการแยก ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหนื่อยจากหัวใจล้มเหลวออกจากผู้ป่วยที่มีอาการ เหนื่อยจากสาเหตุอื่น เช่น โรคปอด โดยระดับ BNP หรือ NT-pro BNP จะมีระดับสูงขึ้นในผู้ป่วยที่มีอาการ หอบเหนื่อยจาก หัวใจล้มเหลว ในขณะที่ระดับจะปกติในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะหัวใจล้มเหลว อย่างไรก็ตามระดับ natriuretic peptides อาจเพิ่มสูงขึ้นได้จากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น ภาวะไตวาย ที่มีน้ำเกิน การติดเชื้อในกระแสเลือด จึงถือว่าเป็นการตรวจ ที่มีความไวสูง (negative predictive value สูง) แต่ความจำเพาะต่ำเหมาะสำหรับใช้วินิจฉัยแยกภาวะหัวใจล้มเหลวออกไปในกรณีที่ ระดับ natriuretic peptides อยู่ใน เกณฑ์ปกติแต่ถ้าระดับสูงต้องหาภาวะอื่นร่วมด้วย
Work Instruction 256 62 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 3. การตรวจการทำงานของตับ (Liver function test): ผู้ป่วยภาวะ หัวใจล้มเหลวอาจมีการทำงาน ของตับผิดปกติเนื่องจากมีการคั่งของเลือดในตับ (hepatic congestion) และผู้ป่วยตับแข็ง (cirrhosis) อาจมี อาการบวม และเหนื่อยง่าย 4. การทำงานของต่อมไทรอยด์ (Thyroid function test): ในกรณีที่มีอาการบ่งชี้เช่น หัวใจเต้น เร็ว ต่อมไทรอยด์โต มือสั่น น้ำ หนักลด เนื่องจากภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์(hyperthyroid) หรือการทำงานของต่อม ไทรอยด์น้อย (hypothyroid) อาจเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจทำงาน ผิดปกติและอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวมีอาการมากขึ้น 5. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (echocardiography): มีความสำคัญในการวินิจฉัย ว่ามีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของ หัวใจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว และบอกถึงสาเหตุของหัวใจ ล้มเหลว ประเมินความรุนแรงของความผิดปกติเพื่อเป็นแนวทางใน การรักษา อาการ สำหรับในกลุ่มที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจสามารถแยกว่าเป็นกลุ่มที่ กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลง (left ventricular systolic dysfunction) หรือ กลุ่มที่กล้ามเนื้อ หัวใจบีบตัวปกติแต่การคลายตัวผิดปกติ(heart failure with preserved ejection fraction หรือ diastolic heart failure) ข้อจำกัดของการตรวจ คลื่น เสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ คือ สามารถตรวจได้เฉพาะบาง โรงพยาบาล จึงเป็นการตรวจในกรณีที่คิดถึงภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่ใช่ การตรวจ เพื่อการคัดกรองโรค (screening test) อย่างไรก็ตาม อาการ อาการแสดง และผลการตรวจที่กล่าวมาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปริมาณ สารน้ำ ในร่างกายของผู้ป่วย หากยังให้การวินิจฉัยได้ไม่ชัดเจน สามารถส่งตรวจระดับ BNP หรือ NT-proBNP เพื่อช่วย ให้วินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลวได้แม่นยําขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะ HFpEF แต่มีบางภาวะที่ ทำให้ค่า เหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้แม้ไม่ใช่ภาวะหัวใจล้มเหลว การวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลวการวินิจฉัยภาวะ หัวใจ ล้มเหลวใช่เพียงข้อมูลอาการ และอาการแสดงทางคลินิกเท่านั้น โดยไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัยที่ใช้ทั่วไป ส่วน การ ส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่งเลือดตรวจทางพยาธิวิทยาคลินิก การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ (diagnostic imaging)
Work Instruction 256 63 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เพียงเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย แยกโรคอื่น สืบหาสาเหตุที่แท้จริงของภาวะหัวใจล้มเหลว ว่ามีลักษณะเฉพาะ อย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนการรักษาในระยะยาวการวินิจฉัยอาศัยข้อมูลสำคัญคือ การที่ ผู้ป่วยมีอาการ และอาการแสดงบ่งบอกภาวะหัวใจล้มเหลว อย่างไรก็ตามอาการและอาการแสดงทั้งหมดนี้ สามารถพบได้ในโรค หรือภาวะอื่น ไม่ได้เป็นอาการที่จําเพาะต่อภาวะหัวใจล้มเหลวเพียงอย่างเดียว รูป แสดงแนวทางการวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว (ที่มา: https://www.thaicnf.org/heart-failure/)
Work Instruction 256 64 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล รูป แสดงแนวทางการรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเรื้อรังชนิด HFrEF (ที่มา: https://www.thaicnf.org/heart-failure/) กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว (HF) ที่มารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม บุคลากรที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ในหอผู้ป่วยอายุรกรรม
Work Instruction 256 65 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แนวทางปฏิบัติ 1. พยาบาลวิชาชีพมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้การพยาบาล ผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสม 2. ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวระยะเฉียบพลัน สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย เกณฑ์การประเมิน 1.พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติตามแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวมากกว่าร้อยละ 80 2.ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 80 แนวทางการปฏิบัติการพยาบาล มีการใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย การประเมิน การวินิจฉัยทางการ พยาบาล การวางแผน การปฏิบัติการพยาบาลและการประเมินผลในการให้การพยาบาลที่ครอบคลุมองค์รวมทั้ง 4 ด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม จิตวิญญาณ โดยบูรณาการกับข้อมูลสนับสนุนและข้อมูลประเมินภาวะและ/หรือแบบแผน สุขภาพ เพื่อกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและการนำแนวคิด D-METHOD ในการวางแผนจำหน่าย การให้ คำแนะนำเพื่อนำความรู้ ไปดูแลตนเอง แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1. ระยะวิกฤต : เน้นการเฝ้าระวังภาวะวิกฤตเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing Diagnosis) เสี่ยงต่อพร่อง O2 และ try wean ไม่สำเร็จ เนื่องจากพื้นที่ในการแลกเปลี่ยน gas ลดลง ร่วมกับ ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง เป้าหมายทางการพยาบาล (Nursing Outcome) ไม่เกิดภาวะพร่อง O2, ได้รับ O2 เพียงพอ, wean สำเร็จ off ET – tube ได้
Work Instruction 256 66 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล กิจกรรมการพยาบาล (Nursing Intervention) 1. ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน สังเกต อาการ cyanosis สัญญาณชีพ โดยเฉพาะลักษณะการหายใจ O2 sat ทุก 2-4 hr. monitor EKG และประเมินอาการ เจ็บแน่น หน้าอก ใจสั่น 2. จัดท่านอน 30-45 องศา ดูแลให้พักผ่อนเพียงพอลดการใช้ออกซิเจนดูแลให้ได้รับ O2 ตามแผนการ รักษา 1) ให้ข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับการฝึกหายใจ และสอนการหายใจ ขณะ wean 2) VAP Bundle 3. ฟังเสียงหายใจและเสียงปอด 4. ดูแลให้ได้รับยา Lasix 40 mg v q 8 hr. ตามแผนการรักษา ประเมิน urine output 5. จำกัดน้ำน้อยกว่า 1 L/D 6. ติดตามผลการตรวจ Chest X-ray เป็นระยะๆ 2. ระยะกึ่งวิกฤต : เน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing Diagnosis) มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากการได้รับยาในกลุ่ม anticoagulant และ Antiplatelet เป้าหมายทางการพยาบาล (Nursing Outcome) ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาในกลุ่ม anticoagulant และ Antiplatelet ได้แก่ Bleeding, Hematoma เป็นต้น กิจกรรมการพยาบาล (Nursing Intervention) 1. ประเมินระดับความรู้สึกตัวโดยใช้Glasgow Coma ประเมิน Bleedวัดสัญญาณชีพ 2. ก่อนให้ยา Enoxaparin ควรประเมินความเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา และ ตรวจสอบขนาดของยาให้ถูกต้อง คือ Enoxaparin 0.4 ml sc OD
Work Instruction 256 67 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล ขั้นตอนในการฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนังตำแหน่งที่เหมาะสมในการ ฉีดยาคือ บริเวณหน้าท้องเนื่องจากดูด ซึมยาได้ดี ลดการเกิดจ้ำเลือด ได้เนื่องจากมีหลอดเลือดน้อย และลดความรู้สึกปวดได้เนื่องจากมี เส้นประสาทรับความรู้สึกน้อย ควรฉีดห่างจากสะดือ ประมาณ 2 นิ้ว ไม่ฉีดซ้ำตำแหน่งเดิม ประคบ เย็นก่อนและหลังฉีดยา ประมาณ 5 นาที เพื่อลดการเกิดก้อนเลือด ดึงผิวหนังขึ้นและแทงเข็มฉีดยาให้ เข็มทำมุม 90 องศากับผิวหนัง ก่อนดันยารอให้ฟองอากาศลอย ขึ้นมาอยู่บนสุด เริ่มดันยาโดยใช้ เวลานาน 30 วินาที เมื่อยาหมดให้ ดันฟองอากาศในกระบอกฉีดยาให้หมด แล้วดันเข็มให้สุดจนดัง "แก๊ก"จึงถอนเข็มออกแล้วปล่อยมือข้างที่ดึงผิวหนังผู้ป่วยเป็นลำดับ สุดท้าย กดเพื่อห้ามเลือด ไม่นวด/ คลึงหลังฉีดยา หลังจากนั้น ประเมินระดับความปวดหลังฉีดยา และสังเกตการเกิดจ้ำเลือดหรือ ก้อน เลือดตำแหน่งที่ฉีดยา 3. บันทึกลักษะและตำแหน่งจ้ำเลือดหรือก้อนเลือดเป็นรูปภาพตาม เข็มนาฬิกา และ แบบประเมินความ ปวดแบบ Numeric scale ระยะหลังให้ยา ควรติดตามผลการรักษาและประเมินการเกิด ภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด 4. ดูแลให้ได้รับ ASA (81) 1 tab O OD pc, Plavix (75) 1 tab O pc ซึ่งเป็นยากลุ่ม Antiplatelet Drug 5. สังเกตภาวะเลือดออกทั้งภายนอกและภายในร่างกาย รวมทั้ง ประเมินอาการแสดงที่เกิดจากภาวะ เลือดออก เช่น ความดันโลหิต ต่ำ ชีพจรเร็วขึ้น ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงลดลง ติดตามผลตรวจ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น เกร็ดเลือด Hb, Hct, PT, PTT, aPTT, INR, Cr และอัตราการกรองของไต 3. ระยะเปลี่ยนผ่าน และ/หรือระยะจำหน่าย : เน้นการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย และการฝึกทักษะญาติผู้ดูแลหลักให้ พร้อมก่อนจำหน่าย เป้าหมายทางการพยาบาล (Nursing Outcome) ผู้ป่วยมีความพร้อม ความเข้าใจในการดูแลตนเองเพื่อ ป้องกัน ภาวะน้ำเกิน และการ Re-admit ได้เมื่อกลับบ้าน
Work Instruction 256 68 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยโดยใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลคำพูด สุภาพเหมาะสมสั้นและง่ายต่อการเข้าใจ อธิบายข้อสงสัยและ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบาย ความรู้สึกที่ไม่สบายใจ และซักถามข้อสงสัยต่างๆ 2. ประเมินความรู้ของผู้ป่วยและญาติในการดูแลตนเอง จาก การซักถาม 3. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะน้ำเกิน น้ำท่วมปอด 4. ให้คำแนะนำการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ให้คำแนะนำในการจัดการ กับภาวะน้ำเกินได้อย่าง เหมาะสม โดยใช้การจัดการภาวะน้ำเกินด้วยตนเองในผู้ป่วย ภาวะหัวใจล้มเหลว ของคุณไวยพร พรมวงค์ และคุณจรูญศรี มีหนองหว้า, 2562 โดยการสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีความสามารถ ใน การจัดการตนเองเกี่ยวกับ 1) การจำกัดอาหารที่มีโซเดียมสูง 2) การติดตามอาการน้ำเกินด้วยตนเอง 3) การรักษา สมดุลน้ำ ดังนี้ 4.1. การจำกัดอาหารที่มีโซเดียมสูง โดยต้องรับประทาน อาหารที่มีโซเดียมต่ำ หรือจำกัดอาหารรสเค็ม เพื่อป้องกัน การเกิดภาวะน้ำเกิน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ รับประทานอาหาร หลีกเลี่ยง อาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น น้ำพริกต่าง ๆ ของหมักดองทุกชนิด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊ก ถ้วย โจ๊ก ซอง อาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซุปก้อน หรือ อาหารที่ใส่ผงชูรส ซอส หรือเครื่องปรุงรส การ รับประทาน อาหารเค็มจะทำให้มีอาการบวม น้ำท่วมปอด และเหนื่อยได้ และผู้ป่วยควรได้รับโซเดียม ไม่เกิน 2,000 mg/day จึง ควรอ่านฉลากดูปริมาณโซเดียมที่เป็นส่วนประกอบก่อน ทำอาหารทุกครั้ง 4.2. การติดตามอาการน้ำเกินด้วยตนเอง โดยการสังเกต อาการที่เกิดจากน้ำเกิน เช่น เหนื่อยมากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น กิโลกรัมใน 2 วัน นอนราบไม่ได้ ลุกมานั่งหอบตอนกลางคืน ปัสสาวะออกน้ำ บวมกด บุ๋มตรงหน้าแข้ง หรือมีความดัน โลหิตสูงขึ้น เป็นต้น 4.3. การรักษาสมดุลน้ำ คือการติดตามน้ำเกินด้วยตนเอง โดย การประเมินบวมตามส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย จำกัดน้ำอย่าง เคร่งครัด ผู้ป่วยอาจกระหายน้ำบ่อยโดยเฉพาะหน้าร้อน จึง ควรตวงน้ำดื่มทุก วัน และการรับประทานยาขับปัสสาวะ ตามที่แพทย์สั่ง 5. แนะนำแหล่งประโยชน์ หรือแหล่งช่วยเหลือเมื่อมีอาการ ฉุกเฉิน เช่น 1669
Work Instruction 256 69 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล การติดตามประเมินผล 1. นิเทศติดตามโดยพยาบาลผู้รับผิดชอบของหอผู้ป่วย/หน่วยงาน 2. นิเทศติดตามกำกับตัวชี้วัดโดยหัวหน้าหอ และรายงานหัวหน้างาน ทุก 1 เดือน เอกสารอ้างอิง กรองกาญจน์ ชูทิพย์. (2560). สรีรวิทยาระบบหัวใจร่วมหลอดเลือดกับการประยุกต์ใช้ทางเภสัชวิทยา Cardiovascular Physiology and Pharmacological Applications. พิษณุโลก : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จรัญ สายะสถิต. (บรรณาธิการ). (2563). การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ Cardiac critical care nursing. พิษณุโลก : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร ธนวัฒน์ สุทธิวาทนฤพุฒิ. (2565). การดูแลผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเรื้อรังโดยการจัดตั้งคลินิกหัวใจล้มเหลวใน โรงพยาบาลทั่วไปบ้านโป่ง. วารสารแพทย์เขต 4-5. 41(1), 645-656. ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน. (2555). พิมพ์ครั้งที่ 5. ภาวะฉุกเฉินระบบหัวใจและหลอดเลือด CARDIAC EMERGENCIES. กรุงเทพฯ : สาขาวิชาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์และศูนย์โรคหัวใจสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผ่องพรรณ อรุณแสง. (2555). พิมพ์ครั้งที่ 9. การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด. ขอนแก่น : โรงพิมพ์ คลังนานาวิทยา เพ็ญจันทร์ แสนประสาน และ จารุกัญญ์ พริกบุญจันทร์. (บรรณาธิการ). (2560). การพยาบาลโรคหัวใจและ หลอดเลือดหัวใจ.กรุงเทพฯ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร วรุณ เพ็ชรัตน์, รัชนี นามจันทรา, วารินทร์ บินโฮเซ็น, พรวลี ปรปักษ์ขาม (2560). ผลของโปรแกรมการจัดการ ตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง และการกลับเข้ารักษาซ้ำในโรงพยาบาลของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว หลังผ่าตัดลิ้นหัวใจ. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก. 28(2), 38-51.
Work Instruction 256 70 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล วีรวรรณ อุชายภิชาติ. (2559). พิมพ์ครั้งที่ 2. เภสัชบำบัดในโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด Pharmacotherapy in Cardiovascular Diseases. ขอนแก่น : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2563). แนวเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน พ.ศ.2563. สมุทรปราการ: เนคสเตป ดีไซน์ สุมาลีสามัคคานนทการ, สุภาภรณ์ ด้วงแพง, และวัลภา คุณทรงเกียรติ. (2560). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ปฏิบัติหน้าที่ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก. 28(2). 68-81. อาภรณ์ ดีนาน. (2563). โรคหลอดเลือดหัวใจ:การส่งเสริมการจัดการตนเองและคุณภาพชีวิต. ชลบุรี: ชลบุรี การพิมพ์ เอกสารที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) 1. คู่มือในการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว 2. แนวทางการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว 3. แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ประกาศ ณ วันที่.......เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2566 ........................................................... (นางสาวเพ็ญศรี รักษ์วงค์) หัวหน้าพยาบาล
Work Instruction 256 71 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม เอกสารวิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เรื่อง : การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค เอกสารหมายเลข : WI-NUR-D แก้ไขครั้งที่ : 2 วันที่มีผลบังคับใช้ :15 ธันวาคม 2566 จำนวนหน้า : 9 หน้า ผู้จัดทำ ผู้รับผิดชอบ ผู้ทบทวน ผู้อนุมัติ คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการ พยาบาล ลงชื่อ ............................................... (............................) หัวหน้าพยาบาล วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566
Work Instruction 256 72 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล นโยบาย กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีนโยบายให้บริการพยาบาลตาม Service plan ในผู้ป่วยวัณโรค ที่มีคุณภาพ ถูกต้อง ตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัย วัตถุประสงค์ 1.เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย โรควัณโรคสำหรับพยาบาลวิชาชีพ 2.เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแล ตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ป่วยปลอดภัยไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อน หรือ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ คำจำกัดความ ผู้ป่วยวัณโรค หมายถึง ผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis โดยวัณโรคเกิดได้ในทุก อวัยวะของ ร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอด (ร้อยละ 80) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ง่าย วัณโรคนอกปอดอาจพบได้ ในอวัยวะ อื่น ๆ ได้แก่ เยื่อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อ ช่องท้อง ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบ สืบพันธุ์ ระบบประสาท เป็นต้น วัณโรคเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ (airborne transmission) โดยเมื่อผู้ป่วยวัณโรคปอด หลอดลม หรือกล่องเสียง ไอ จาม พูดดังๆ ตะโกน หัวเราะหรือร้องเพลง ทำให้เกิด ละอองฝอย (droplet nuclei) ฟุ้งกระจายออกมา ละอองฝอยที่มีขนาดเล็ก 1 - 5 ไมโครเมตร จะลอยและ กระจายอยู่ในอากาศ ซึ่งผู้อื่นสูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไป อนุภาคขนาดเล็ก ๆ จะเข้าไปสู่ถุงลม ในปอดและ เกิดการติดเชื้อ ผู้สัมผัสวัณโรคร่วมบ้าน (household contact) หมายถึง บุคคล ที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วย ถ้านอน ห้องเดียวกัน (household intimate) มีโอกาสรับ และติดเชื้อสูงมากกว่าผู้ที่อาศัยในบ้านเดียวกันแต่นอนแยก ห้อง (household regular) ไม่นับรวมญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่คนละบ้านแต่ไปมาหาสู่เป็นครั้งคราว และนับ ระยะเวลา ที่อยู่ร่วมกับผู้ป่วยกี่วันก็ได้ในช่วงระหว่าง 3 เดือนที่ผ่านมา
Work Instruction 256 73 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล ผู้สัมผัสใกล้ชิด (close contact) หมายถึง บุคคลที่ไม่ใช่ผู้อาศัยร่วมบ้าน แต่อยู่ร่วมกันในพื้นที่เฉพาะอาทิ เช่น ทำงานที่เดียวกันในช่วงเวลานาน โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา เฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง หรือ 120 ชั่วโมง ใน 1 เดือน และนับระยะเวลาที่อยู่ร่วมกับผู้ป่วย กี่วันก็ได้ในช่วงระหว่าง 3 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยวัณโรค (Mycobacterium tuberculosis) ที่มารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม บุคลากรที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แนวทางปฏิบัติ 1.พยาบาลวิชาชีพมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยวัณโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้การพยาบาลผู้ป่วยได้ถูกต้อง เหมาะสม 2.ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย เกณฑ์การประเมิน 1.พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติตามแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค มากกว่าร้อยละ 80 2.ผู้ป่วยวัณโรค ได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 80 แนวทางการปฏิบัติการพยาบาล 1. ระยะรับใหม่ เน้นการเฝ้าระวังภาวะวิกฤตเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมเครื่องมือต่าง ๆให้พร้อมใช้ดังนี้ 1.1 พยาบาลหัวหน้าเวรรับข้อมูลจาก OPD ER หรือ Ward เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย ผลตรวจ AFB การ ดื้อวัณโรค อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตัว เพื่อเตรียมสถานที่หรือห้องแยกโรคให้เหมาะสมกับผู้ป่วยและให้การดูแล ต่อเนื่อง
Work Instruction 256 74 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 1.2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะแพร่กระจายเชื้อวัณโรค ให้ผู้ป่วยสวม Surgical mask หรือมีแผลเปิดที่พบเชื้อวัณโรคให้ปิดแผลให้เรียบร้อยก่อนเคลื่อนย้าย สำหรับเจ้าหน้าที่ให้สวม mask N95 ตลอดเวลาระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังหอผู้ป่วยปลายทาง 1.3 พยาบาลหัวหน้าเวรวางแผนรับผู้ป่วยโดยการแจ้งทีมพยาบาลและพยาบาลผู้รับผิดชอบ อุปกรณ์ การแพทย์ ออกซิเจน infusion pump และอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย และเตรียม ห้อง Negative pressure โดยเปิดระบบก่อนรับผู้ป่วย 30 นาที ตรวจสอบแรงดันห้องให้ได้มาตรฐาน ก่อนรับ ผู้ป่วย ถ้าไม่สามารถจัดหาห้องแยกให้ผู้ป่วยได้ ควรจัดให้ผู้ป่วยพักรักษาที่เตียงที่อยู่ริมหน้าต่าง ที่เป็นทางออก ของทิศทางลม หรือบริเวณที่มีพัดลมดูดอากาศออกไปสู่ภายนอก 1.4 เมื่อผู้ป่วยถูกนำส่งมาถึงหอผู้ป่วย พยาบาลและทีมพยาบาล ใส่ N95 mask ก่อนร่วมรับผู้ป่วยลงเตียง ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ วัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อประเมินและติดตามการติด เชื้อ ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ฟังปอดและเสียงเสมหะ ประเมินด้านจิตใจ แจ้งแพทย์รับทราบเพื่อร่วม ประเมินผู้ป่วยและสั่งแผนการรักษา 1.5พยาบาลเจ้าของไข้ซักประวัติและเมินสมรรถนะแรกรับรวมทั้งประเมินอาการและอาการแสดง เบื้องต้นทันที และติดตามอาการเปลี่ยนแปลงทีมีความรุนแรงทันที เช่น อาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เจ็บ แปลบบริเวณหน้าอก ไอเป็นเลือด เพื่อวางแผนการพยาบาลและแจ้งแพทย์เพื่อให้การรักษาทันท่วงที (กรณีไม่ สามารถ ซักประวัติผู้ป่วยได้ครบถ้วน ณ วันที่รับใหม่ ให้ติดตามญาติเพื่อซักประวัติเพิ่มเติมภายใน 24–48 ชม.) 1.6 ให้การพยาบาลตามแผนการรักษาและแผนการพยาบาล เช่น การเจาะเลือด การส่งตรวจทาง ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ การให้ยาและสารน้ำ 1.7 ให้ข้อมูลแก่ญาติและผู้ป่วยเป็นระยะถึงแผนการรักษาและให้กำลังใจ ไม่อนุญาตให้เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเข้าเยี่ยมโดยไม่จำเป็น 1.8 คัดกรองผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน และส่งผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคเสมหะพบเชื้อ เพื่อซักประวัติและตรวจ Xray โดยให้ถือ แบบฟอร์มการตรวจผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค (ICF4) ไปยื่นที่ คลินิกวัณโรค ชั้น 1 อาคารผู้ป่วยนอก และอำนวยการ ในวันเวลาราชการ
Work Instruction 256 75 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 2.ระยะต่อเนื่อง เน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยให้พร้อมก่อนจำหน่าย 2.1ประเมินอาการและอาการแสดงในระบบต่าง ๆ ต่อเนื่องทุกเวร ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบ ไหลเวียนเลือด รวมทั้งความสุขสบายและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความปวด การแพ้ยาวัณโรค การ นอนหลับพักผ่อนความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับการเกิดอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ต่างๆ 2.2ประเมินสัญญาณชีพและติดตามอย่างต่อเนื่องตามการจำแนกประเภทผู้ป่วย รายงานแพทย์เมื่อพบ อาการผิดปกติ ได้แก่ ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยหายใจ พักผ่อนไม่ได้ O2 saturation < 95 % ไอมาก ไอเป็น เลือดสดปริมาณมาก ทีมพยาบาลตรวจเยี่ยม และเฝ้าประเมินอาการผู้ป่วยเป็นระยะอย่างใกล้ชิด 2.3การวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรคโดยผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและการสนับสนุนด้านสังคม มีแนวทางปฏิบัติดังนี้ 1) ประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยวัณโรคซึ่งมักมีปัญหาซับซ้อน หลายมิติ ต้องมีทีมสหสาขาวิชาชีพอื่น ๆ ร่วมให้การดูแลในเชิงลึก และเป็นองค์รวม (holistic care) ทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักโภชนาการ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และอื่น ๆ บทบาทของทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยวัณโรค - แพทย์ผู้ให้การรักษาอธิบายการป่วยเป็นวัณโรคมีความรุนแรงระดับใด ระยะเวลาของการรักษา การรับประทานยาจะมีพี่เลี้ยงดูแลทุกรายและแพทย์ควรให้คำแนะนำและส่งต่อผู้ป่วยทุกราย เพื่อรับการตรวจ ติดเชื้อเอชไอวี - พยาบาลคลินิกวัณโรค/พยาบาลประจำหอผู้ป่วย ประเมินสุขภาพปัญหาเบื้องต้น ให้สุขศึกษา ผู้ป่วย ทุกรายในการปฏิบัติตัวส่งต่อไปยังพี่เลี้ยงเพื่อดูแลการรับประทานต่อเนื่องและการนัดตรวจและแจ้งผล การรักษาให้ผู้ป่วยทราบเป็นระยะตามแผนการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจต่อการรักษาและหายได้ - เภสัชกรบริหารจัดการยาเป็น daily package ให้ทั้งหมดหรือทำเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องและ สะดวก ต่อการรับประทานต่อมื้อสอบถามประวัติการแพ้ยาและยาที่ใช้ประจำติดตามอาการไม่พึงประสงค์ จาก การใช้ยา ในกรณีที่ใช้ยาใหม่ให้เฝ้าระวังและติดตามเชิงรุกด้านความปลอดภัยของยา (aDSM) อธิบายผลจากการ รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการดื้อยา แนะนำพี่เลี้ยง ผู้ป่วยและญาติ เกี่ยวกับการเก็บรักษายาที่ ถูกต้อง
Work Instruction 256 76 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล - นักโภชนาการประเมินภาวะโภชนาการ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านโภชนาการ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน การรักษาให้ผู้ป่วยวัณโรคให้ดีขึ้น - นักสังคมสงเคราะห์ประเมินความต้องการด้านเศรษฐกิจของผู้ป่วย สนับสนุน หรือให้คำแนะนำ และหาหนทางการคุ้มครองทางสังคม (social protection) ที่เหมาะสม - นักจิตวิทยา มักทำหน้าที่เป็นผู้ให้การปรึกษาแก่ผู้ป่วย และการบำบัดทางจิต เพื่อลด ความเครียด ความกังวลใจ ของผู้ป่วย รวมถึงการลดการตีตรา 2) การดูแลรักษา โดยอาศัยหลักการดูแล 7 ด้าน (7 Aspects of care ) ได้แก่ - การประเมินผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Assessment) - การจัดการกับอาการรบกวนต่าง ๆ (Symptom Distress Management) - การดูแลความปลอดภัย (Provision for Patient Safety) - การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการ รักษาพยาบาล (Prevention of Complication) - การให้การดูแลต่อเนื่อง (Continuing of care ) - การสนับสนุนการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย/ ผู้ใช้บริการ และครอบครัว (Facilitation of Patient & Family Self Care) - การสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการ (Enhancement of Patient Satisfaction) 3) คัดกรองและประเมินภาวะโภชนาการ ถ้ามีปัญหา พิจารณาส่งปรึกษานักโภชนาการ โดย คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการขององค์การอนามัยโลก ได้กำหนดหลักพิจารณา5ข้อเพื่อนำไปประยุกต์ และกำหนดเป็นข้อแนะนำของแต่ละประเทศ ได้แก่ - ผู้ป่วยวัณโรคทุกรายควรได้รับการประเมินภาวะโภชนาการตามอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ในขั้นตอน การวินิจฉัยวัณโรคก่อนเริ่มการรักษา - การซักประวัติการรับประทานอาหาร ลักษณะทางคลินิก และตรวจชีวเคมีของเลือด เช่น serum albumin CBC ประเมินภาวะขาดสารอาหารและโลหิตจาง เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการให้การ ปรึกษาซึ่ง ดำเนินควบคู่ไปกับการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วย
Work Instruction 256 77 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล - ผู้ป่วยควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับวัณโรค ป้องกันภาวะน้ำหนักลดลงมากกว่าปกติ วิตามินที่ช่วยเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันของ ร่างกายได้แก่ A,C,D,E,B6 และ folic acid สารเกลือแร่ ได้แก่ สังกะสีทองแดง ซีเลเนียม และธาตุเหล็ก - สนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยด้านอื่น ๆ เช่น อาหาร เบี้ยยังชีพ เป็นต้น -ให้คำแนะนำหรือตรวจรักษาโรคและภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อเอชไอวี เบาหวาน โรคปอด อุดกั้นเรื้อรัง การสูบบุหรี่ ที่มีผลต่อภาวะโภชนาการของผู้ป่วยวัณโรค ผู้ป่วยวัณโรคควรได้รับการประเมินภาวะ โภชนาการเป็นรายบุคคล ให้การปรึกษาและสนับสนุน ช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ที่เหมาะสมตามภาวะโภชนาการ ของผู้ป่วยแต่ละราย 4) สอบถามปัญหาเศรษฐานะ ค่าครองชีพ ขาดผู้ดูหลัก และให้การช่วยเหลือสนับสนุน เชื่อมโยงกับการ คุ้มครอง ทางสังคม (social protection) และให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม ถ้ามีปัญหาพิจารณาส่งปรึกษานัก สังคมสงเคราะห์เชื่อมโยงกับหน่วยงานในชุมชน เช่น พมจ. อบต. กาชาดจังหวัด มูลนิธิอนุเคราะห์ผู้ป่วยวัณโรค เป็นต้น เพื่อสนับสนุนงบประมาณ จัดหาพี่เลี้ยงกำกับการรับประทานยาและช่วยเหลือด้านอื่นๆ ต่อไป ผู้ป่วยวัณ โรคที่ติดเชื้อดื้อยา MDR/XDR-TB ให้ส่งนักสังคมสงเคราะห์ทุกรายเพื่อพิจารณาออกเยี่ยมบ้าน 5) การติดตามผู้ป่วยเชิงรุกอย่างต่อเนื่องจนรักษาครบ โดยการส่งต่อศูนย์ดูแลต่อเนื่อง (PCU) เพื่อ ประสานไปยังหน่วยบริการสุขภาพใกล้บ้าน เพื่อพิจารณารูปแบบการดูแลการรับประทานยาโดยการสังเกตตรง (directly observe treatment; DOT) การติดตามกำกับการรับประทานยาต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยกลืนยา ครบ ทุกมื้อ ครบทุกเม็ด ครบทุกขนาน ให้กำลังใจ สอบถามอาการข้างเคียง หรืออาการแพ้ยา แนะนำการปฏิบัติตน ตลอดจนให้กำลังใจผู้ป่วยรับประทานยา ครบตามกำหนดการรักษา ประสานเจ้าหน้าที่ รพ.สต. กลุ่มอาสาสมัคร หรือชมรมผู้ป่วยในชุมชน เพื่อสนับสนุนผู้ป่วย โดยจะส่งต่อในผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ทุกราย หรือ ผู้ป่วยรายเก่าที่ มี DPS > 20 คะแนน 6) ให้การดูแลรักษาแบบผสมผสานวัณโรคและโรคร่วมอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อ เอชไอวี เบาหวาน อนามัย แม่และเด็ก การดูแลสุขภาพปอด หรือการดูแลสุขภาพจิต เป็นต้น
Work Instruction 256 78 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 7) การดูแลรักษาแบบประคับประคอง ในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคนั้น ผู้ป่วยบางรายตอบสนองต่อการรักษาดี ทำให้ผลการรักษาประสบ ความสำเร็จ แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะ MDR/XDR-TB จำนวนหนึ่งที่ผลการรักษาไม่ดี อาจเป็นเพราะว่า ตรวจพบวัณโรคดื้อยาหลายขนานรุนแรงมากจนไม่มีโอกาสเลือกใช้ยาที่มีอยู่ได้ หรือผู้ป่วยทนต่อฤทธิ์ข้างเคียง ของยาไม่ได้ จนแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่าหากรักษาต่อไปน่าจะเป็นผลเสียต่อผู้ป่วยมากกว่าผลดีจึงพิจารณา หยุดการรักษาด้วยยาต้านวัณโรคแล้วเลือกการรักษาแบบประคับประคองแทน อย่างไรก็ดีการเลือกแนวทาง ใน การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด (quality of life) เป็นหลักสำคัญในการพิจารณา เพื่อการ ตัดสินใจ ขั้นตอนต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติมีดังนี้ 1. ประเมินว่าผู้ป่วยที่กำลังรักษาจะล้มเหลวหรือไม่ ลักษณะทางคลินิกที่แสดงว่าไม่สามารถรักษา ได้แล้ว ได้แก่ - มีผลการรักษาที่ล้มเหลว เช่น ผลเสมหะยังเป็นบวกหรือกลับมาเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่า จะ ให้ยาที่ครบถ้วนทั้งขนาดและระยะเวลาที่กำหนด หรือมีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง และไม่สามารถแก้ไข และให้ยาสูตรเดิมต่อไปได้ - มีพยาธิสภาพขนาดใหญ่ (extensive lesion) ในปอดทั้งสองข้าง และไม่สามารถผ่าตัดได้ - ตรวจพบเชื้อดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก จนไม่สามารถหายาอื่น ๆอย่างน้อย 2 ขนาน เพิ่มเติมใหม่ เพื่อรักษาให้หายได้ - มีอาการทางคลินิกรุนแรง เช่น น้ำหนักลดมาก และมีปัญหาการหายใจ (respiratory insufficiency) 2. พิจารณาหยุดการรักษา เมื่อ - ผู้ป่วยไม่ยินยอมรับการรักษาต่อ - มีโอกาสน้อยที่จะรักษาให้สำเร็จ (negligible chance of success) แม้ว่าผู้ป่วยต้องการ รักษาต่อ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยที่ขาดยาหลายๆครั้ง ผู้ป่วยล้มเหลวต่อการรักษาหรือเชื้อดื้อยาหลายขนานรุนแรงมาก และผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรค
Work Instruction 256 79 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 3. วางแผนการรักษาร่วมกันเมื่อพิจารณาตัดสินใจหยุดการรักษาต้องให้การปรึกษา(counseling) อธิบาย เจรจากับผู้ป่วยและญาติให้เข้าใจ และร่วมตัดสินใจวางแผนการดูแลผู้ป่วยวัณโรค แบบประคับประคอง ต่อไป 4. ให้การดูแลแบบประคับประคอง ใช้กระบวนการดูแลรักษาโดยผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และการ สนับสนุนทางสังคม โดยทีมผู้ให้การรักษาที่เป็นสหสาขาวิชาชีพ แนวทางการดูแลรักษาแบบประคับประคอง เช่นการรักษาอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ให้ออกซิเจน ยาแก้ไอ การรักษาอาการเจ็บปวด และอาการ อื่น ๆ เช่น ยาแก้ปวด - การให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในครอบครัวและชุมชนเช่น การสวม หน้ากากอนามัยทั้งภายในบ้านและเมื่อไปทำธุระนอกบ้าน การแยกห้องนอน การไม่อยู่ใกล้ชิด กับเด็กเล็ก - การแก้ไขภาวะทุพโภชนาการ ให้อาหารและสารอาหารที่เพียงพอ - การเยี่ยมบ้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การปรึกษาและสนับสนุนผู้ป่วย - การแก้ไขภาวะทางจิต เช่น ให้ยารักษาอาการซึมเศร้า - การรับเข้าโรงพยาบาลเมื่อมีข้อบ่งชี้ - การดูแลทั่ว ๆ ไป เช่นการดูแลสุขภาพช่องปาก (oral cares) และการป้องกันโรค หรือ ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น แผลกดทับ กล้ามเนื้อลีบ (disused atrophy) เป็นต้น 2.4 ลงบันทึกแผนการพยาบาล ปัญหาทางการพยาบาล กิจกรรมการพยาบาล รวมทั้งประเมินผลการ พยาบาลในบันทึกการพยาบาล และส่งต่อปัญหาทางการพยาบาลต่อเนื่องทุกเวร ทุกวัน 3. ระยะจำหน่าย 3.1 ฝึกทักษะญาติและผู้ดูแลผู้ป่วยในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย ตรวจสอบการรับประทานยาของผู้ป่วย 3.2 เตรียมความพร้อม สภาพแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับการดูแลผู้ป่วย
Work Instruction 256 80 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 3.3 ส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยให้กับศูนย์ดูแลต่อเนื่อง ศูนย์รับส่งต่อ เพื่อประสานงานกับหน่วยบริการพื้นที่ในการ ติดตามการดูแลรักษาพยาบาลและให้การดูแลต่อเนื่องตามปัญหาที่พบ 3.4 ให้ความรู้การดูแลผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน ตามหลัก D-METHOD (ตามเอกสารแนบ) 3.5 ให้ความรู้การดูแลผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน ทบทวนความรู้ สอนซ้ำ เรื่องโรค การรับประทานยา อาการ ข้างเคียงของยา การปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 3.6 กรณีที่ผู้ป่วยผล AFB positive เริ่มยายังไม่ถึง 2 เดือน หรือผลAFB ยัง positive อยู่และผู้ป่วยวัณ โรคดื้อยา(MDR TB /Pre XDR TB) ให้นัดตรวจที่ คลินิกวัณโรคและโรคอุบัติใหม่ รหัส 0121 (สามารถนัดตาม ชื่อแพทย์เจ้าของไข้ได้เลย ทางคลินิกวัณโรคและโรคอุบัติใหม่ จะรับผิดชอบติดตามแพทย์เองวันนัด) 3.7 ผู้ป่วยวัณโรคที่เสมหะเป็นลบ (AFB negative) หรือผู้ป่วยวัณโรคนอกปอด ให้นัดเข้าห้องตรวจอายุ รกรรมตามตารางแพทย์ที่นัดตรวจ 3.8 แนะนำสถานบริการใกล้บ้านและการมาตรวจตามนัด 3.9 หลังจำหน่ายผู้ป่วยวัณโรค ให้ถ่ายรูป ใบสรุป Summary Discharge ,Order Discharge,วันนัด ติดตามอาการ และยากลับบ้าน ส่งใน กลุ่ม LINE TB co มหาราชฯ (มีตัวแทนแต่ละวอร์ดอยู่ในกลุ่มLINE)เพื่อ ขึ้นทะเบียนผู้ป่วยวัณโรค และติดตามผู้ป่วยหลังจำหน่ายกลับบ้าน 3.10 หลังผู้ป่วยกลับบ้าน ดูแลเช็ดเตียงทำความสาดสิ่งแวดล้อมด้วย 0.5% โซเดียมไฮโปรคลอไรด์ ทิ้งไว้ นาน 30 นาที – 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อยก่อนรับผู้ป่วย Case ต่อไป การติดตามประเมินผล 1. นิเทศติดตามโดยพยาบาลผู้รับผิดชอบของหอผู้ป่วย/หน่วยงาน 2. นิเทศติดตามกำกับตัวชี้วัดโดยหัวหน้าหอ และรายงานหัวหน้างาน ทุก 1 เดือน
Work Instruction 256 81 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เอกสารอ้างอิง กองวัณโรค กรมควบคุมโรค. (2564). แนวทางการควบคุมวัณโรคประเทศไทย พ.ศ. 2564 (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์. กองวัณโรค กรมควบคุมโรค. (2564). คู่มือผู้ประเมินคุณภาพโรงพยาบาลด้านการดูแลรักษาวัณโรค พ.ศ. 2564 (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค. (2561). การคัดกรองเพื่อค้นหาวัณโรคและวัณโรคดื้อยา (Systematic screening for active TB and drug-resistant TB) พ.ศ.2561 (พิมพ์ครั้งที่2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา.(2561). คู่มือการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุผล(พิมพ์ครั้งที่1). นครราชสีมา: โรงโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา. เอกสารที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) 1. คู่มือในการรักษาผู้ป่วยวัณโรค 2. แนวทางการรักษาวัณโรค 3. แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยวัณโรค ประกาศ ณ วันที่ … เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2566 ........................................................... (นางสาวเพ็ญศรี รักษ์วงค์) หัวหน้าพยาบาล
Work Instruction 256 82 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม เอกสารวิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เรื่อง : การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์. เอกสารหมายเลข : WI-NUR-D แก้ไขครั้งที่ : 2 วันที่มีผลบังคับใช้ :15 ธันวาคม 2566 จำนวนหน้า : 5 หน้า ผู้จัดทำ ผู้รับผิดชอบ ผู้ทบทวน ผู้อนุมัติ คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการ พยาบาล ลงชื่อ ............................................... (............................) หัวหน้าพยาบาล วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566
Work Instruction 256 83 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล นโยบาย กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีนโยบายให้บริการพยาบาลตาม Service plan ในผู้ป่วยติดเชื่อเอชไอวีและโรคเอดส์ ที่มีคุณภาพ ถูกต้อง ตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ป่วยได้รับการ ดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมและปลอดภัย วัตถุประสงค์ 1.เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ สำหรับพยาบาลวิชาชชีพ 2.เพื่อให้ผู้ป่วยติดได้รับการดูแลตามมาตรฐานวิชาชีพ ไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อนหรือเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ คำจำกัดความ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี: HIV (human immune deficiency virus) หมายถึง ผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อเอช ไอวี ในร่างกาย เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดซีดี 4 (CD4 : Cluster of Differentiation 4) ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัส ผู้ป่วยโรคเอดส์ : AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndromes) หมายถึง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอช ไอวีระยะสุดท้าย ที่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อเอชไอวีถูกทำลายอย่างรุนแรง ระดับ CD4 จำนวนต่ำกว่า 200 cells/mm3 ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดลง มีโอกาสเกิดติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น วัณโรค ปอด บวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ รวมทั้งมะเร็งบางชนิด จนนำไปสู่การเสียชีวิต อาการ มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวด เมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต อาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่อง ปาก กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ที่มารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม
Work Instruction 256 84 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล บุคลากรที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แนวทางปฏิบัติ 1.พยาบาลวิชาชีพมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้ การพยาบาลผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสม 2.ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย เกณฑ์การประเมิน 1.พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติตามแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์มากกว่าร้อย ละ 80 2.ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 80 แนวทางการปฏิบัติการพยาบาล 1. ระยะรับใหม่ เน้นการเฝ้าระวังภาวะวิกฤตเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมเครื่องมือต่าง ๆ ให้พร้อมใช้ดังนี้ 1.1 พยาบาลหัวหน้าเวรรับข้อมูลจาก OPD ER หรือ Ward เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย ผลตรวจ HIV , ค่า CD4 รวมถึง ค่า HIV VL ประวัติการดื้อยาต้านไวรัส อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตัว เพื่อเตรียมสถานที่หรือห้องแยกโรค ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยและให้การดูแลต่อเนื่อง 1.2 พยาบาลหัวหน้าเวรวางแผนรับผู้ป่วยโดยการแจ้งทีมพยาบาลและพยาบาลผู้รับผิดชอบ อุปกรณ์ การแพทย์ ออกซิเจน infusion pump และอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
Work Instruction 256 85 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 1.3 เมื่อผู้ป่วยถูกนำส่งมาถึงหอผู้ป่วย พยาบาลและทีมพยาบาล ดูแลผู้ป่วยลงเตียง ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ วัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อประเมินและติดตามการติดเชื้อ ประเมินด้าน จิตใจ แจ้งแพทย์รับทราบเพื่อร่วมประเมินผู้ป่วยและสั่งแผนการรักษา 1.4 พยาบาลเจ้าของไข้ซักประวัติและเมินสมรรถนะแรกรับ รวมทั้งประเมินอาการและอาการแสดง เบื้องต้นทันที และติดตามอาการเปลี่ยนแปลงที่มีความรุนแรงทันที เช่น มีไข้ อาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก รอยโรคตามร่างกาย เป็นต้น (กรณีไม่สามารถ ซักประวัติผู้ป่วยได้ครบถ้วน ณ วันที่รับใหม่ ให้ติดตามญาติเพื่อ ซักประวัติเพิ่มเติมภายใน 24 – 48 ชม.) 1.5 ให้การพยาบาลตามแผนการรักษาและแผนการพยาบาล เช่น การเจาะเลือด การส่งตรวจทาง ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ การให้ยาและสารน้ำ 1.6 ให้ข้อมูลแก่ญาติและผู้ป่วยเกี่ยวกับอาคารสถานที่ กฎระเบียบ การปฏิบัติตัว สิทธิ์การรักษา เวลา เยี่ยมรวมถึงแผนการรักษาและให้กำลังใจเป็นระยะ (กรณีผู้ป่วยผู้ป่วยรายใหม่ หรือไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับทราบ เรื่องการเจ็บป่วยของตนเอง ให้สิทธิที่จะปฏิเสธหรือรับการดูแล ช่วยปกปิดในส่วนที่ไม่ควรเปิดเผย รักษา ความลับ เพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจ) 1.7 หัวหน้าเวรประสานงานห้องให้คำปรึกษาเพี่อขึ้นทะเบียนผู้ป่วยรายใหม่และติดตามการรักษา ต่อเนื่องในผู้ป่วยรายเก่า (เลข NAP) 2.ระยะต่อเนื่อง เน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยให้พร้อมก่อนจำหน่าย 2.1 ประเมินอาการและอาการแสดงในระบบต่าง ๆ ต่อเนื่องทุกเวร ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบ ไหลเวียนเลือด เป็นต้น ระดับการรู้สติ เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรค รวมทั้งความสุขสบายและ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ความเสี่ยงการเกิดอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ 2.2 ประเมินสัญญาณชีพและติดตามอย่างต่อเนื่องตามการจำแนกประเภทผู้ป่วย รายงานแพทย์เมื่อพบ อาการผิดปกติ 2.3 ประเมินปัญหา สภาพจิตใจผู้ป่วย เฝ้าระวังเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องทุก วันทุกเวร
Work Instruction 256 86 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 2.4 การวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและการสนับสนุนด้าน ประสานกับทีมสห สาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ดำเนินการตามหลัก D-METHOD model D - Diagnosis: ความรู้เรื่องโรค M - Medication: ความรู้เรื่องยา E - Environment & Economic: สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ T - Treatment: เข้าใจเป้าหมายการรักษา สังเกตอาการตนเอง H - Health: ส่งเสริมฟื้นฟูป้องกัน O - Outpatient Referral: มาตรวจตามนัด D - Diet: เลือกอาหารเหมาะสม บทบาทของทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วย ดังนี้ - แพทย์ผู้ให้การรักษาอธิบายอาการป่วยติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ มีความรุนแรงระดับใด แนว ทางการรักษาอย่างต่อเนื่องและระยะเวลาของการรักษา การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอและ แพทย์ควรให้คำแนะนำและส่งต่อผู้ป่วยทุกราย เพื่อรับการตรวจเชื้อฉวยโอกาสที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยติด เชื้อเอชไอวีและเอดส์ - พยาบาลคลินิกให้คำปรึกษา/พยาบาลประจำหอผู้ป่วย ประเมินสุขภาพปัญหาเบื้องต้น ให้สุข ศึกษาผู้ป่วย ทุกรายในการปฏิบัติตัว การรับประทานต่อเนื่องและการนัดตรวจ แจ้งการรักษาให้ผู้ป่วยทราบเป็น ระยะตามแผนการรักษา - เภสัชกร สอบถามประวัติการแพ้ยาและยาที่ใช้ประจำติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ใน กรณีที่ใช้ยาใหม่ให้เฝ้าระวังและติดตามเชิงรุกด้านความปลอดภัยของยา อธิบายวิธีการรับประทานยาอย่างเนื่อง และตรงต่อเวลา อธิบายผลจากการรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการดื้อยา - นักสังคมสงเคราะห์(ในรายที่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องการรักษาอย่างต่อเนื่อง ขาดผู้ดูแล) ประสานสังคมสงเคราะห์ช่วยประเมินความต้องการด้านเศรษฐกิจของผู้ป่วย สนับสนุน หรือให้คำแนะนำและหา หนทางการคุ้มครองทางสังคม (social protection) ที่เหมาะสม
Work Instruction 256 87 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล - นักจิตวิทยา ให้การปรึกษาแก่ผู้ป่วย และการบำบัดทางจิต เพื่อลดความเครียด ความกังวลใจ ของ ผู้ป่วย รวมถึงการลดการตีตรา 2.5 ประเมินปัญหา ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล โดยเน้นการพยาบาลแบบองค์รวม บันทึกการพยาบาล ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สอดคล้องกับแผนการรักษาของแพทย์อย่างต่อเนื่องทุกเวร ตามมาตรฐานการบันทึกการ พยาบาล (WI-NUR-73) 3. ระยะจำหน่าย 3.1 เตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนการจำหน่าย โดยทบทวนความรู้การดูแลตนเองก่อนกลับบ้าน (สอนสุข ศึกษา) ดำเนินการตามหลัก D-METHOD model พร้อมทั้งเน้นย้ำผู้ป่วยเรื่องการรับประทานอย่างอย่าง ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ให้ตรงเวลา เน้นย้ำการมาตรวจตามนัดและจัดเตรียมใบนัดและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ พร้อมก่อนจำหน่าย 3.2 ส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยให้กับศูนย์ดูแลต่อเนื่อง ศูนย์รับส่งต่อ (ในรายที่มีการติดเชื้อฉวยโอกาส) เพื่อ ประสานงานกับหน่วยบริการพื้นที่ในการติดตามการดูแลรักษาพยาบาลและให้การดูแลต่อเนื่องตามปัญหาที่พบ 3.3 ตรวจสอบยาเดิม/ยาใหม่/ส่งปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้ได้รับยาที่ถูกต้องและได้รับคำแนะนำเรื่องการใช้ ยาจากเภสัชกรโดยตรง 3.4 ให้ข้อมูลช่องทางติดต่อสื่อสาร หากมีข้อสงสัยหลังจำหน่ายผู้ป่วย สามารถโทรติดต่อสอบถามคลินิก ปรึกษา รพ.มหาราชนครราชสีมาได้ที่ เบอร์โทร 044-232238 และ สายด่วนปรึกษาเอดส์ 1663 หรือสอบถาม พยาบาลเฉพาะทางได้ที่เบอร์ 044-235213, 044-235313, 044-235413 การติดตามประเมินผล 1. นิเทศติดตามโดยพยาบาลผู้รับผิดชอบของหอผู้ป่วย/หน่วยงาน 2. นิเทศติดตามกำกับตัวชี้วัดโดยหัวหน้าหอ และรายงานหัวหน้างาน ทุก 1 เดือน
Work Instruction 256 88 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เอกสารอ้างอิง กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ผลการดำเนินงานการดูแล รักษาผู้ติดเชื้อ. [ออนไลน์] 2564 [อ้างเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564]. จาก https://hivhub.ddc.moph.go.th/index.php. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค. (2565). แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการ ติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี 2564/2565 (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ ดีไซน์. สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค. แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการ ติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทย พ.ศ.2560. นนทบุรี: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2560 ละม่อม ไชยสิริ. (2564). การพยาบาลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อฉวยโอกาส Nursing Care for People Living with HIV/AIDS Infected with Opportunistic Infections.กลุ่มการ พยาบาล โรงพยาบาลชุมแพ. จาก https://www.cphos.go.th.
Work Instruction 256 89 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล เอกสารที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) 1. คู่มือในการรักษาผู้ป่วยการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์.เฉียบพลัน 2. แนวทางการรักษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ 3. แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์. ประกาศ ณ วันที่ … เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2566 ........................................................... (นางสาวเพ็ญศรี รักษ์วงค์) หัวหน้าพยาบาล
Work Instruction 256 90 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม เอกสารวิธีปฏิบัติงาน WORK INSTRUCTION โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เรื่อง : การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อcovid-19 เอกสารหมายเลข : WI-NUR-D แก้ไขครั้งที่ : 2 วันที่มีผลบังคับใช้ :15 ธันวาคม 2566 จำนวนหน้า : 11 หน้า ผู้จัดทำ ผู้รับผิดชอบ ผู้ทบทวน ผู้อนุมัติ คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล คณะกรรมการทบทวน WI กลุ่มภารกิจด้านการ พยาบาล ลงชื่อ ............................................... (............................) หัวหน้าพยาบาล วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566 วันที่ 15 ธันวาคม 2566
Work Instruction 256 91 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล นโยบาย กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีนโยบายให้บริการพยาบาลตาม Service plan ในผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีคุณภาพ ถูกต้อง ตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ป่วยได้รับ การดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมและปลอดภัย วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้บุคลากรในทีมสุขภาพมีแนวทางในการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 2. เพื่อเป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ตามมาตรฐานได้รับการ วางแผนจำหน่ายและดูแลต่อเนื่องได้เหมาะสม คำจำกัดความ โรคโควิด 19 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ Coronavirus disease 2019 (COVID-19) โรค ติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ ซึ่งมีชื่อทางการว่า SARS-CoV-2 (Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus) สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านละอองน้ำมูกและน้ำลายโดยการไอ หรือจามของผู้ป่วย หากมีการจับสิ่งของที่มีละอองเหล่านี้ติดอยู่ก็สามารถติดเชื้อได้ โดยระยะฟักตัวของเชื้อไวรัส อยู่ระหว่าง 2-14 วัน โดยอาการทั่วไปของโรคโควิด 19 พี่พบมากที่สุดคือ ไข้ ไอ ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น และ อ่อนเพลีย อาการที่พบน้อยกว่าแต่อาจมีผลต่อผู้ป่วยบางรายคือ ปวดเมื่อย ปวดหัว คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ท้องเสีย ตาแดง หรือผื่นตามผิวหนัง หรือสีผิวเปลี่ยนตามนิ้วมือนิ้วเท้า และภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของการติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่ ภาวะหายใจลำบาก (Acute respiratory distress syndrome; ARDS) หัว ใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ช็อก (Shock) ไตบาดเจ็บเฉียบพลัน (Acute kidney injury) หัวใจบาดเจ็บ เฉียบพลัน (Acute cardiac injury) และตับเสียหน้าที่ (Liver dysfunction) กลุ่มผู้ป่วยที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม
Work Instruction 256 92 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล บุคลากรที่ใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้แนวทางปฏิบัติ 3. พยาบาลวิชาชีพมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และ ให้การพยาบาลผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสม 4. ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับพยาบาลวิชาชีพที่ ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย เกณฑ์การประเมิน 2. พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติตามแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มากกว่าร้อยละ 80 3. ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากกว่าร้อยละ 80 แนวทางการปฏิบัติการพยาบาล 1. ระยะรับใหม่ เน้นการเฝ้าระวังภาวะวิกฤตเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมเครื่องมือต่าง ๆให้พร้อมใช้ดังนี้ 1.1 พยาบาลหัวหน้าเวรรับข้อมูลจาก OPD (ARI Clinic) ER หรือ Ward เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตัว เพื่อเตรียมสถานที่หรือห้องแยกโรคให้เหมาะสมกับผู้ป่วยและให้การดูแลต่อเนื่อง 1.2 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.2.1. ในกรณีที่ผู้ป่วยมาจากOPD(ARI Clinic) ให้ผู้ป่วยสวม Surgical mask สำหรับเจ้าหน้าที่ให้ สวมชุด PPE เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยรถส่วนกลางโรงพยาบาล 1.2.2. ในกรณีที่ผู้ป่วยมาจากER หรือ Ward ให้ผู้ป่วยสวม Surgical mask สำหรับเจ้าหน้าที่ให้ สวมชุด PPE เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วย Capsule negative pressure 1.2.3. ในกรณีที่ผู้ป่วย Refer มาจากโรงพยาบาลอื่น จะประสานข้อมูลผ่านศูนย์ Refer โดยมี แพทย์รับ Consult ให้ Refer มาได้ ทางศูนย์ Refer ประสานแจ้งหอผู้ป่วยรับทราบ โรงพยาบาลปลายทาง จะ ประสานข้อมูลผู้ป่วยผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อเตรียมทีมและอุปกรณ์ต่างๆเพื่อเตรียมรับผู้ป่วย โดยไม่ต้องผ่าน
Work Instruction 256 93 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล หน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาราช ส่วนเอกสาร Admin ศูนย์ Refer ตามเอามาให้ และแจ้งจุด Checkpoint ให้หอผู้ป่วยทราบเมื่อผู้ป่วยใกล้มาถึง เคลื่อนย้ายโดยผู้ป่วยสวม Surgical mask (ในกรณีผู้ป่วย ไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ) สำหรับเจ้าหน้าที่ให้สวมชุด Full PPE เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วย Capsule negative pressure 1.3 พยาบาลหัวหน้าเวรวางแผนรับผู้ป่วยโดยการแจ้งทีมพยาบาลและพยาบาลผู้รับผิดชอบ อุปกรณ์ การแพทย์ ออกซิเจน infusion pump และอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย และ เตรียมห้อง Negative pressure โดยเปิดระบบก่อนรับผู้ป่วย 30 นาที ตรวจสอบแรงดันห้องให้ได้มาตรฐาน ก่อนรับผู้ป่วย บุคลากรการแพทย์ที่ร่วมรักษา ให้การพยาบาลโดยใช้หลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ Droplet & Contact Precaution โดยสวมชุด Full PPE 1.4 เมื่อผู้ป่วยถูกนำส่งมาถึงหอผู้ป่วย พยาบาลและทีมรับผู้ป่วยลงเตียง ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความ รู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ วัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อประเมินและติดตามการติดเชื้อ ประเมินภาวะพร่อง ออกซิเจน ฟังปอดและเสียงเสมหะ ประเมินด้านจิตใจ แจ้งแพทย์รับทราบเพื่อร่วมประเมินผู้ป่วยและสั่งแผนการ รักษา 1.5 พยาบาลเจ้าของไข้ซักประวัติและประเมินสมรรถนะแรกรับรวมทั้งประเมินอาการและอาการแสดง เบื้องต้นทันที และติดตามอาการเปลี่ยนแปลงทีมีความรุนแรงทันที เช่น อาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เจ็บ แปลบบริเวณหน้าอก และปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง เช่น อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ โรคไตเรื้อรัง(stage 3 ขึ้นไป) โรคหัวใจและหลอดเลือด (NYHA functional class 2 ขึ้นไป รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI ≥30 กก./ตร.ม.) ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ใน ระหว่างได้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิหรือ corticosteroid equivalent to prednisolone 15 มก./วัน นาน 15 วัน ขึ้นไป) เพื่อวางแผนการพยาบาลและแจ้งแพทย์เพื่อให้การรักษาทันท่วงที (กรณีไม่สามารถ ซักประวัติ ผู้ป่วยได้ครบถ้วน ณ วันที่รับใหม่ ให้ติดตามญาติเพื่อซักประวัติเพิ่มเติมภายใน 24 – 48 ชม.)
Work Instruction 256 94 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 1.6 ให้การพยาบาลตามแผนการรักษาและแผนการพยาบาล เช่น การเจาะเลือด การส่งตรวจ ทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ การให้ยาและสารน้ำ 1.7 ให้ข้อมูลแก่ญาติและผู้ป่วยเป็นระยะถึงแผนการรักษาและให้กำลังใจ ไม่อนุญาตให้ญาติเข้า เยี่ยมโดยตรง 2.ระยะต่อเนื่อง เน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยให้พร้อมก่อนจำหน่าย 2.1 ประเมินอาการและอาการแสดงในระบบต่าง ๆ ต่อเนื่องทุกเวร ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบ ไหลเวียนเลือด รวมทั้งความสุขสบายและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความปวด การแพ้ยาต้านไวรัสโคโร นา 2019 การนอนหลับพักผ่อน ความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับ การเกิดอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ 2.2 ประเมินสัญญาณชีพและติดตามอย่างต่อเนื่องตามการจำแนกประเภทผู้ป่วย รายงานแพทย์เมื่อพบ อาการผิดปกติ ได้แก่ ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยหายใจ พักผ่อนไม่ได้ O2 saturation < 95 % ไอมาก ทีม พยาบาลตรวจเยี่ยม และเฝ้าประเมินอาการผู้ป่วยเป็นระยะอย่างใกล้ชิด 2.3 การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2.3.1 การจัดให้ผู้ป่วยอยู่ภายในห้อง Negative pressure เตียงผู้ป่วยควรเว้นระยะห่างไม่ต่ำ กว่า 1 เมตร โดยผู้ป่วยสวม Surgical mask ตลอดเวลา 2.3.2 พยาบาลแต่งกายด้วยชุดปกติ ใส่ surgical mask (หน้ากาก N95 กรณีต้องอยู่ใกล้ชิด ผู้ป่วยเป็นเวลานานหรือทำหัตถการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ) อาจพิจารณาใส่ Face shield กรณีผู้ป่วยมีอาการไอมาก ให้สวมใส่เสื้อคลุมกาว์นกันน้ำ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะวิกฤต ที่ใส่เครื่องช่วยหายใจหรือใช้ อุปกรณ์ช่วยหายใจ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการทำหัตถการที่ทำให้เกิดละอองฝอยขึ้นได้ เช่น เครื่องปล่อยออกซิเจน อัตราไหลสูง (high flow nasal oxygen cannula : HFNC) การพ่นยา เป็นต้น จำเป็นต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน ร่างกาย ได้แก่ mask N95 แว่นป้องกันตา face shield หมวกคลุมผม ชุดคลุมปฏิบัติการ ถุงมือ ถุงเท้า พลาสติกกันน้ำ (leg cover) และรองเท้าบู๊ต
Work Instruction 256 95 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล 2.3.3 การล้างมือด้วย 4% chlorhexidine ฟอกมืออย่างน้อย 40-60 วินาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำ สะอาดและเช็ดให้แห้งทุกครั้งก่อนและหลัง ที่ให้การดูแลผู้ป่วยหรือทำหัตถการหรือสัมผัสอุปกรณ์และ สิ่งแวดล้อมในห้องผู้ป่วยและหลังถอดถุงมือ 2.3.4 อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ใช้เฉพาะผู้ป่วย ให้จัดไว้ในห้องแยกของผู้ป่วยเท่านั้น หากมีการปนเปื้อนเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เลือด สิ่งคัดหลั่ง ควรเป็นประเภทใช้แล้วทิ้ง ให้ทิ้งในถุงขยะติดเชื้อมัด ปากถุงให้แน่น แล้วส่งไปทำลายตามขั้นตอนของการทำลายขยะติดเชื้อ ถ้าเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่นำกลับมาใช้ ใหม่ให้แยกใส่ภาชนะที่มีฝาปิดส่งทำความสะอาดและทำให้ปราศจากเชื้อ 2.3.5 การให้ความรู้เรื่องโรค การป้องกันและการแพร่กระจายเชื้ออธิบายให้ผู้ป่วยและญาติ รับทราบถึงความจำเป็นในการแยกกักผู้ป่วย ข้อจำกัด กฎระเบียบต่าง ๆในห้องแยก และภาวะแทรกซ้อนที่ อาจจะเกิดขึ้น 2.3.6 การเยี่ยมผู้ป่วย งดไม่ให้ญาติเยี่ยม แพทย์ให้ข้อมูลของอาการผู้ป่วย ความคืบหน้าของโรค แผนการรักษากับญาติผ่านทางโทรศัพท์ บุคลากรการแพทย์สามารถติดตามอาการผู้ป่วยทางจอมอนิเตอร์ และ กล้องวงจรปิด 2.3.7 การทำความสะอาดห้องแยกโรค ทำความสะอาดห้องวันละครั้ง หรือเมื่อความจำเป็น โดย พื้นห้อง และห้องน้ำ ให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำลาย 0.5% Hypochlorite ส่วนอุกรณ์อย่างอื่น เช่น โต๊ะ ตู้ ข้างเตียง เครื่อง infusion pump ที่นอน เตียง ปรอทวัดไข้ให้เช็ดด้วย 70 % Alcohol 2.4 ให้การพยาบาลอย่างต่อเนื่องตามแผนการพยาบาล ได้แก่ 2.4.1 การพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด-19ที่มีภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome: ARDS)
Work Instruction 256 96 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล การรักษาและการพยาบาล มีดังนี้ 1. การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง เป็นการแก้ไขภาวะที่เป็นสาเหตุ เช่น การให้ยารักษาปอดอักเสบ 2. การรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้สามารถรักษาระดับการแลกเปลี่ยนก๊าซในผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม แก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดแดง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย อาจใช้เพียงการใช้ เครื่องช่วยหายใจที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว หรือใช้แนวทางการรักษาอื่นๆร่วมด้วย 2.1 การใช้เครื่องช่วยหายใจ การดูแลเครื่องช่วยหายใจอย่างเหมาะสม กำจัดน้ำที่กลั่นตัวอยู่ในท่อ circuit ดูแลให้มีการติดตั้ง viral filter กรองอากาศที่ออกจากเครื่องช่วยหายใจ และที่ออกจากตัวผู้ป่วย ใช้ close suction ไม่ควรปลดข้อต่อของอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยผู้ป่วยหายใจ หรือใช้self inflating bag ใน ระหว่างดูดเสมหะการดูแลช่องปากให้สะอาด 2.2 prone position การนอนคว่ำเป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่งที่ใช้ในผู้ป่วย severe ARDS จะทำให้มี การไหลเวียนเลือดไปยังปอดมากขึ้น ลด shunt ในปอด ทำให้ปอดที่มีatelectasisขยายตัว การพยาบาลขณะ prone คือ - ประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด(hemodynamic) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยวัด สัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง - ประเมินการหายใจ โดยสังเกตลักษณะการหายใจ อัตราการหายใจ monitor oxygen satuation - ระมัดระวังการเลื่อนหลุดของสายต่าง ๆ โดยยึดตรึงอุปกรณ์ต่าง ๆที่ใช้รักษาผู้ป่วย ให้อยู่ในตำแหน่งเช่น สายC-line, peripheral line, Endotacheal tube สายให้อาหาร สายสวนปัสสาวะ สาย และท่ออื่นๆ - ป้องกันการกดทับเส้นเลือดจอประสาทตา (retinal vessel) โดยระวังการกดทับเบ้าตาและ ลูกตาในระหว่างจัดท่า - ติดขั้วสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ (electrodes) บริเวณด้านหลัง
Work Instruction 256 97 7 กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ฉบับที่ MED-D แก้ไขครั้งที่...... วันที่เริ่มใช้..................................... เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ทบทวน คณะกรรมการทบทวน WI ผู้จัดทำ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล ผู้อนุมัติหัวหน้าพยาบาล - ใช้หมอนหรือแผ่นซิลิโคนรองบริเวณกระดูกที่นูนหรือบริเวณที่รับน้ำหนัก เช่น หัวเข่า หน้า แข้ง เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เกิดจากการกดทับ และการรองหมอนบริเวณทรวงอก อุ้งเชิงกราน จะช่วยลด แรงดันช่องท้องขณะนอนท่าคว่ำ - จัดแขนให้อยู่ในท่าที่สบาย ไม่ให้ยืดหรือเหยียดมากเกินไป เพื่อลดการบาดเจ็บต่อ เส้นประสาท - พลิกตะแคงข้างผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง และตรวจดูผิวหนังตำแหน่งต่าง ๆที่มีการกดทับทุกครั้งที่ เปลี่ยนท่า เพื่อประเมินการเกิดแผลกดทับ - เมื่อพบอาการผิดปกติ เช่นความดันโลหิตต่ำ ภาวะออกซิเจนแย่ลง ให้รายงานแพทย์ เพื่อ พิจารณาให้หยุดการนอนท่าคว่ำ - ในรายที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องดูแลให้ยาตามแผนการรักษา ได้แก่ ยานอนหลับ (sedative drugs) ยาคลายกล้ามเนื้อ(muscle relaxants) โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เช่น fentanyl, midazolam, cisatracurium - ติดตามผลก๊าซในเลือด ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงรายงานแพทย์ - ให้ข้อมูลแก่ญาติ และผู้ป่วยเป็นระยะ ถึงแผนการรักษา และให้กำลังใจ 2.4.2 การพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีภาวะปอดอักเสบ ผู้ป่วยบางรายจะเกิดภาวะ ปอดอักเสบตามมาภายใน 5-10 วัน ทำให้ปอดทำงานได้น้อยลง อาการแสดง ได้แก่ ไข้ ไอมีเสมหะ หอบ หายใจลำบาก หายใจเร็วมากกว่า 30 ครั้ง/นาที เจ็บหน้าอกขณะหายใจหรือไอ ความเข้มข้นของออกซิเจน ในเลือดน้อยกว่า 93% การรักษาและการพยาบาล มีดังนี้ 1. การให้ยารักษาปอดอักเสบ ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข โดย แนะนำให้ remdesivir โดยเร็วที่สุดเป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก และติดตามอาการของผู้ป่วย อย่างใกล้ชิด ร่วมกับให้ corticosteroid 2. การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น กรณีผู้ป่วยมีไข้ เมื่ออุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส พยาบาลเช็ดตัวระบายความร้อน ถ้าอุณหภูมิร่างกายมากกว่าหรือเท่ากับ 38.5 องศาเซลเซียส