The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Channarong Bumrapraksa, 2023-06-15 13:13:49

background-8

background-8

นอกจากวัดในพุทธศาสนาแล้วใกล้กันนี้ยังเป็นเขตเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ โดยมีเสาชิงช้าเป็นเครื่องยืนยันอยู่บริเวณหน้าวัดเพชรพลี เป็นสถานที่ที่มีการประกอบ พิธีส�ำคัญในเมืองเพชรบุรีสมัยโบราณ บริเวณพื้นที่ที่ต่อจากเสาชิงช้าออกไป เคยมีโบราณ สถานก่ออิฐ ชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์พราหมณ์ ปัจจุบันถูกรื้อท�ำลายไปแล้ว นอกจากนี้ ในบริเวณแถบนี้เคยมีผู้ขุดพบชิ้นส่วนประติมากรรมหินหลายชิ้น เป็นชิ้นส่วนเทวรูป ในนิราศเมืองเพชร ของสุนทรภู่ ที่ประพันธ์ตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีข้อความที่แสดง ให้เห็นว่าย่านนี้ เป็นย่านอยู่อาศัยของพราหมณ์ในเมืองเพชรบุรีแต่เดิม ที่ตกทอดมา ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยมีศาสนสถานตั้งอยู่เป็นกลุ่ม เช่น เทวสถาน เสาชิงช้า โบสถ์พราหมณ์ ชื่อบ้านนามเมืองที่บ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู ได้แก่ บ้านนารายณ์ ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมสมัยรัชกาลที่ ๕ และชื่อต�ำบลบ้านนารายณ์ ยังใช้สืบต่อมาอีก ๑๖ จากโบราณวัตถุสถานที่ยังหลงเหลืออยู่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญของชุมชน บริเวณในเขตแนวก�ำแพงเมือง โดยเฉพาะบริเวณศูนย์กลางเมือง แม้ว่าหลักฐานส่วนใหญ่ จะบ่งบอกว่าเป็นสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่หลักฐานบางส่วนก็มีรูปแบบของศิลปะที่เก่าไป กว่าสมัยอยุธยา เป็นต้นว่า พระพุทธรูปและหลักเสมาวัดสระตะพาน ส่วนหลักฐาน ที่ส�ำคัญเป็นเครื่องยืนยันว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความส�ำคัญสืบต่อมาเป็นเวลานานก็คือ ปราสาทศิลาแลง ที่ล้อมรอบด้วยก�ำแพงศิลาแลง รวมทั้งรูปเคารพพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรที่พบล้วนมีอิทธิพลศิลปะเขมรแบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ยิ่งไปกว่านั้นยังพบธรรมจักร ศิลปะแบบทวารวดีที่วัดค้างคาวร้าง (อยู่ใกล้วัดเพชรพลี) จึงกล่าวได้ว่าทางฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำเพชรบุรี บริเวณวัดก�ำแพงแลง วัดเพชรพลี ในปัจจุบันและบริเวณโดยรอบ เป็นชุมชนโบราณที่พัฒนาสืบเนื่องมาโดยตลอด อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยทวารวดี สืบต่อมาถึงช่วงที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ตลอดมาจนสมัยกรุงศรีอยุธยา และน่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองเพชรบุรีมาก่อนสมัยอยุธยา รวมทั้งเป็นที่ตั้งของเมืองเพชรบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย เนื่องจากเดิมมีร่องรอย ของก�ำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันออกเหลืออยู่ให้เห็นเป็นหลักฐาน โบราณสถาน ที่กล่าวข้างต้นบริเวณวัดเพชรพลี วัดก�ำแพงแลง ล้วนอยู่ในก�ำแพงเมืองทั้งสิ้น ส�ำหรับ ๑๖ วิทยาลัยครูเพชรบุรี.ประชุมนิราศเมืองเพชรบุรี, นิราศเขาลูกช้าง. (เพชรบุรี : ๒๕๒๖) หน้า ๓๕ และในระวางแผนที่ ที่ดินเก่าเขียนต�ำแหน่งบ้านนารายณ์อยู่บริเวณริมแม่น�้ำเพชรบุรีตรงข้ามกับวัดพลับพลาไชยและวัดมหาธาตุ และชื่อ ต�ำบลบ้านนารายณ์ 50 พื้นภูมิเพชรบุรี


ก�ำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกนี้เดิมยังมีหลักฐานให้เห็นบริเวณ บ้านหัวป้อม๑๗ เหลือเป็นเนินดินสูงราว ๔ - ๕ เมตร๑๘ ก�ำแพงเมือง ด้านทิศตะวันออกวางตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ไปบรรจบกับก�ำแพง เมืองด้านทิศเหนือ ซึ่งตรงไปทางทิศตะวันตกทางแม่น�้ำเพชรบุรี สิ้นสุดตรงที่เรียกว่า ท่าเกวียน ซึ่งบริเวณนี้เดิมเรียกว่า บ้าน ก�ำแพงหัก๑๙ ก�ำแพงด้านเมืองทิศตะวันออกนี้ไปบรรจบกับก�ำแพง เมืองด้านทิศใต้ใกล้กับวัดวิหารน้อยริมคลองวัดเกาะ ก�ำแพงเมือง ด้านทิศใต้ คือ ถนนท่าหินในปัจจุบัน มีคลองวัดเกาะเป็นแนวคูเมือง ส่วนก�ำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกสันนิษฐานว่าเลียบแม่น�้ำ โดยใช้ หลักฐานว่ามีศาลเจ้าประตูเมืองอยู่ ๒๐ ชิ้นส่วนเทวรูปหิน พบบริเวณที่ตั้งโบสถ์พราหมณ์ หน้าวัดเพชรพลี ๑๗ บริเวณใกล้กับสถานสงเคราะห์กุ่มสะแก๑๘ เนินก�ำแพงนี้ ชาวบ้านเรียกว่า ถนนสูงหรือก�ำแพงสูง ภายหลังไฟไหม้ตลาดเพชรบุรีครั้งใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ ชาวบ้านและเทศบาลขุดดินบนก�ำแพงเมืองไปใช้จนหมดสภาพ อ้างจากบุญมี พิบูลย์สมบัติ (เพชรบุรี : ๒๕๔๘) หน้า ๔๓๑๙ บริเวณตรงข้ามกับจวนผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน ที่เรียกว่า ท่าเกวียน เพราะบริเวณนี้เป็นท่าที่เกวียน ลงข้ามแม่น�้ำ (สัมภาษณ์ บุญมี พิบูลย์สมบัติ)๒๐ ถนนพานิชเจริญ บริเวณใกล้สะพานท่าสงฆ์ ภูมิสถาน 51


ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงพระยาละแวกเข้าตี ประตูบางจาน ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ประตูนี้ อยู่ในก�ำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก ตัวก�ำแพงน่าจะเป็นก�ำแพง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นก�ำแพงก่ออิฐ แต่อาจเป็นของเดิม ที่มีมาก่อนหน้านี้ ด้วยตัวเมืองที่มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั้นเป็น รูปแบบเมืองหลังเมืองแบบทวารวดี มักพบว่าเป็นเมืองที่ได้ อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรลงมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น และยังมี ศาสนสถานส�ำคัญของเมืองที่มีอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรปรากฏอยู่ เป็นหลักฐานดังกล่าวมาแล้ว ไม่เพียงแต่ภายในเขตก�ำแพงเมือง ทางฝั่งตะวันออกของ แม่น�้ำเพชรบุรีนี้ ยังปรากฏร่องรอยของการเป็นชุมชนส�ำคัญมาแต่ สมัยโบราณ พบหลักฐานทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยและวัดวาอาราม อยู่อย่างหนาแน่น เช่น บริเวณใกล้กับก�ำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ มีวัดศาลาลอยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในแนวเดียวกับ วัดไตรโลกซึ่งอยู่ในเมือง เดิมพบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายแดง จ�ำนวนมาก วัดกุฎีสงฆ์อยู่ติดกับวัดศาลาลอย พบพระพระพุทธรูป ส�ำริดปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น หน้าตักกว้าง ๔ ศอก พระภิกษุสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔) โปรดเกล้าฯ ให้ถอด มาประดิษฐานเป็นพระรองพระประธานในอุโบสถวัดพระทรง๒๑ วัดกุ่ม ตั้งอยู่ชิดก�ำแพงเมืองทางด้านเหนือ บริเวณที่เรียกว่า วัดพระรูป เป็นวัดเก่าแก่ วัดหนึ่งนอกเมือง ทางด้านทิศตะวันออก ๒๑ สมบูรณ์ แก่นตะเคียนและคณะ. สมุดเพชรบุรี ๒๕๒๕. (กรุงเทพ ฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๕), หน้า ๒๐๒ – ๒๐๓. เจดีย์ทรงกลม ในวัดใหม่เจริญธรรม มีการบูรณะใหม่แล้วแต่ยังคงลักษะเดิม มีบัลลังก์แปดเหลี่ยมแบบเจดีย์ สมัยอยุธยา 52 พื้นภูมิเพชรบุรี


หัวป้อม ถัดขึ้นไปตามล�ำน�้ำเพชรบุรี ทางปลายน�้ำมีวัดชมพูพน สิ่งก่อสร้างต่างถูกปฏิสังขรณ์ ไปแล้ว เหลือเพียงเสมาหินทรายแดงศิลปะอยุธยาเป็นหลักฐาน ทางด้านทิศตะวันออกใกล้ กับก�ำแพงเมืองมี วัดโคกหม้อ (หลักฐานที่เหลือมีพระประธานและเจดีย์) ถัดออกไปมี วัดพระรูป ซึ่งอยู่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน วัดโตนดหลาย วัดนก-วัดยาง หลักฐานที่เหลือ คือ ฐานศาสนสถาน ยอดเจดีย์ พระพุทธรูปหินทรายแดงขนาดใหญ่ วัดท่าเรือ วัดไผ่ วัดเสือข้าม ถัดออกไปในหมู่บ้านบางจาน มีวัดชีสาม วัดนางเม้ย วัดโลกาใน วัดโลกานอก วัดใหม่เจริญธรรม เดิมเป็นวัดร้าง มีเจดีย์ทรงกลมและเสมาศิลปะอยุธยา วัดโพไทร วัดปากน�้ำบางจาน ยังคงเป็นวัดที่สืบต่อมา หลักฐานความเก่าแก่ คือ เสมาหินทรายแดง ศิลปะอยุธยา ของอุโบสถไม้แบบโบสถ์น�้ำเค็ม ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีวัดวิหารเปลี่ยว มีฐานอุโบสถ ชิ้นส่วนพระประธาน ปูนปั้นขนาดใหญ่ วัดทุ่งลม มีฐานสิ่งก่อสร้างและเจดีย์ทรงกลม วัดตุ่มควาย ถัดไปแถบ บ้านบ่อพราหมณ์ใกล้วัดเพรียงพบร่องรอยชุมชนขนาดใหญ่ มีบ่อน�้ำเชื่อกันว่าเป็นบ่อน�้ำ โบราณอยู่นอกหมู่บ้าน ส่วนวัดเพรียงเป็นวัดที่อยู่สืบต่อมา มีพระอุโบสถ เสมาศิลปะอยุธยา ตอนปลาย ส่วนทางใต้เมืองถัดคลองวัดเกาะลงมาตามแนวแม่น�้ำเพชรบุรี มีวัดจันทร์ วัดเกษ วัดเลา หลักฐานเหลือเพียงพระประธานปูนปั้นขนาดใหญ่ทั้งสองวัด และยังมีวัดกก วัดเสมาสามชั้น (พื้นที่วัดปัจจุบันคือวิทยาลัยเทคนิคเพชรบุรี) วัดธงเขียว เป็นต้น หย่อมบ้านหรือชุมชนเก่าแก่รอบนอกเมืองเพชรบุรีทางทิศตะวันออกใกล้ชายฝั่งทะเล ในปัจจุบัน นอกจากบ้านบางจานแล้ว ยังมีบ้านโพพระ บ้านนาพรม เรียงจากเหนือลงใต้ เกือบอยู่ในแนวเดียวกัน หย่อมบ้านเหล่านี้มีวัดในหมู่บ้าน เป็นวัดเก่าแก่สืบเนื่องมาในปัจจุบัน เช่น วัดโพพระนอก วัดโพพระใน มีเสมาศิลปะอยุธยาตอนปลาย วัดนาพรม มีเสมาหินทราย แดง จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถเขียนตามแบบประเพณีนิยมสมัยอยุธยา เป็นหลักฐาน แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาอันยาวนานของชุมชน จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดนาพรม เขียนภาพอดีตพุทธแบบประเพณีนิยม สมัยอยุธยา ภูมิสถาน 53


พื้นที่เมืองฝั่งตะวันตกแม่น�้ำเพชรบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีเขาโดดอยู่ เป็นระยะ เช่น เขาสมน เขาบันไดอิฐ เขากิ่ว เขาพนมขวด เขาหลวง เป็นต้น พื้นที่ทางฝั่ง ตะวันตกนี้มีศาสนสถานส�ำคัญ ได้แก่ วัดมหาธาตุหรือวัดหน้าพระธาตุ พระมหาธาตุเมืองเพชรบุรีวัดมหาธาตุเมืองเพชรบุรี เดิมเรียกกันหลายชื่อ เช่น วัดหน้าพระธาตุ วัดพระธาตุ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า สร้างขึ้นมาเมื่อใด ทั้งยังมีการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์หลายครั้งหลายสมัย ภายในวัดมี องค์พระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งหักพังลงมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วมีการปฏิสังขรณ์ ขึ้นใหม่บนฐานเดิม ส่วนศาสนสถานอื่น ๆ มีลักษณะสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมสมัย กรุงศรีอยุธยา แสดงว่าวัดนี้คงได้รับการบูรณะเรื่อยมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา การบูรณะครั้ง ล่าสุด พบโบราณวัตถุ เช่น เครื่องถ้วยจีนเป็นเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์สุ้งเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๙ ยังมีหลักฐานในวัดนี้ที่เก่าไปกว่าสมัยอยุธยา เช่น หลักเสมาสลักลวดลายมีอิทธิพลศิลปะเขมรโบราณ จึงกล่าวได้ว่าวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี นี้ อาจมีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่หากพิจารณาจากลักษณะผังของวัด ที่มีเจดีย์ทรง ปรางค์เป็นประธานของวัด ล้อมรอบด้วยระเบียงคด และมีวิหารหลวงตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ ทางด้านทิศตะวันออก ท้ายจระน�ำของวิหารสร้างล�้ำเข้าไปในระเบียงคด เป็นแผนผังของวัด ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตัวอย่างเช่น วัดพุทไธสวรรค์ วัดพระราม วัดราชบูรณะ ในพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ในช่วงเวลาดังกล่าว คติการใช้เจดีย์ทรงปรางค์เป็นประธาน ของวัดก�ำลังได้รับความนิยมสูงสุด จึงอาจเป็นไปได้ว่าการสถาปนาพระมหาธาตุเป็นหลัก ของวัดนั้นมีขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตามธรรมเนียมการมีวัดมหาธาตุเป็นวัดส�ำคัญ ของเมือง เหมือนกับเมืองเก่าแก่หลายเมือง เช่น เมืองสุโขทัย ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก สุพรรณบุรี ราชบุรี สรรค์บุรี สิงห์บุรี เป็นต้น โดยสร้างขึ้นในบริเวณ ที่มีศาสนสถานเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ต�ำแหน่งที่ตั้งของมหาธาตุนี้อยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรีทางฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่คนละฟากกับ เมืองในสมัยที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทวัดก�ำแพงแลง หากว่า วัดมหาธาตุได้สถาปนาขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น บ้านเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ก็คงมีความส�ำคัญโดยอาจเป็นศูนย์กลางของเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว ภายในวัดมหาธาตุ นั้นมีหลักฐานความสืบเนื่องมาโดยตลอด เช่น วิหารขนาดเล็กทางด้านใต้ของพระวิหารหลวง เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย หลักฐานที่แสดงถึงความเจริญเป็นบ้านเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ก็มิได้ด้อยไปกว่าฝั่งตะวันออก ด้วยมีวัดวาอารามต่าง ๆ ตั้งอยู่มากมายริมแม่น�้ำ นอกจาก วัดมหาธาตุแล้วยังมีวัดส�ำคัญ ๆ อีกหลายวัดที่มีร่องรอยว่ามีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและมีหลายวัดที่ร้างไปแล้ว เช่น วัดพลับพลาชัย อยู่ทาง ทิศเหนือของวัดมหาธาตุแต่เป็นทางปลายน�้ำ ส่วนตอนเหนือน�้ำมีวัดดอนไก่เตี้ย วัดอัมพวัน 54 พื้นภูมิเพชรบุรี


พื้นที่เมืองฝั่งตะวันตกแม่น�้ำเพชรบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีเขาโดดอยู่ เป็นระยะ เช่น เขาสมน เขาบันไดอิฐ เขากิ่ว เขาพนมขวด เขาหลวง เป็นต้น พื้นที่ทางฝั่ง ตะวันตกนี้มีศาสนสถานส�ำคัญ ได้แก่ วัดมหาธาตุหรือวัดหน้าพระธาตุ พระมหาธาตุเมืองเพชรบุรีวัดมหาธาตุเมืองเพชรบุรี เดิมเรียกกันหลายชื่อ เช่น วัดหน้าพระธาตุ วัดพระธาตุ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า สร้างขึ้นมาเมื่อใด ทั้งยังมีการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์หลายครั้งหลายสมัย ภายในวัดมี องค์พระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งหักพังลงมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วมีการปฏิสังขรณ์ ขึ้นใหม่บนฐานเดิม ส่วนศาสนสถานอื่น ๆ มีลักษณะสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมสมัย กรุงศรีอยุธยา แสดงว่าวัดนี้คงได้รับการบูรณะเรื่อยมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา การบูรณะครั้ง ล่าสุด พบโบราณวัตถุ เช่น เครื่องถ้วยจีนเป็นเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์สุ้งเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๙ ยังมีหลักฐานในวัดนี้ที่เก่าไปกว่าสมัยอยุธยา เช่น หลักเสมาสลักลวดลายมีอิทธิพลศิลปะเขมรโบราณ จึงกล่าวได้ว่าวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี นี้ อาจมีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่หากพิจารณาจากลักษณะผังของวัด ที่มีเจดีย์ทรง ปรางค์เป็นประธานของวัด ล้อมรอบด้วยระเบียงคด และมีวิหารหลวงตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ ทางด้านทิศตะวันออก ท้ายจระน�ำของวิหารสร้างล�้ำเข้าไปในระเบียงคด เป็นแผนผังของวัด ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตัวอย่างเช่น วัดพุทไธสวรรค์ วัดพระราม วัดราชบูรณะ ในพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ในช่วงเวลาดังกล่าว คติการใช้เจดีย์ทรงปรางค์เป็นประธาน ของวัดก�ำลังได้รับความนิยมสูงสุด จึงอาจเป็นไปได้ว่าการสถาปนาพระมหาธาตุเป็นหลัก ของวัดนั้นมีขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตามธรรมเนียมการมีวัดมหาธาตุเป็นวัดส�ำคัญ ของเมือง เหมือนกับเมืองเก่าแก่หลายเมือง เช่น เมืองสุโขทัย ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก สุพรรณบุรี ราชบุรี สรรค์บุรี สิงห์บุรี เป็นต้น โดยสร้างขึ้นในบริเวณ ที่มีศาสนสถานเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ต�ำแหน่งที่ตั้งของมหาธาตุนี้อยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรีทางฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่คนละฟากกับ เมืองในสมัยที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทวัดก�ำแพงแลง หากว่า วัดมหาธาตุได้สถาปนาขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น บ้านเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ก็คงมีความส�ำคัญโดยอาจเป็นศูนย์กลางของเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว ภายในวัดมหาธาตุ นั้นมีหลักฐานความสืบเนื่องมาโดยตลอด เช่น วิหารขนาดเล็กทางด้านใต้ของพระวิหารหลวง เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย หลักฐานที่แสดงถึงความเจริญเป็นบ้านเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ก็มิได้ด้อยไปกว่าฝั่งตะวันออก ด้วยมีวัดวาอารามต่าง ๆ ตั้งอยู่มากมายริมแม่น�้ำ นอกจาก วัดมหาธาตุแล้วยังมีวัดส�ำคัญ ๆ อีกหลายวัดที่มีร่องรอยว่ามีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและมีหลายวัดที่ร้างไปแล้ว เช่น วัดพลับพลาชัย อยู่ทาง ทิศเหนือของวัดมหาธาตุแต่เป็นทางปลายน�้ำ ส่วนตอนเหนือน�้ำมีวัดดอนไก่เตี้ย วัดอัมพวัน วิหารน้อยวัดมหาธาตุ ภาพจากหนังสือ Buddhist Temples of Thailand. An Architectonic Introduction. เจดีย์ภายในวัดมหาธาตุ ภาพจากหนังสือ Buddhist Stupa (Phra Chedi) Architecture of Thailand (หรืออ�ำพวัน มีเสมาหินทรายแดงศิลปะอยุธยาตอนปลาย) วัดชีปะขาว (วัดชีผ้าขาว,วัดชีประขาว) วัดสิงห์ ๒๒ หากพิจารณาตามสภาพ ภูมิศาสตร์จะเห็นได้ว่านอกจากวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรีแล้ว ยังมีล�ำน�้ำสาขาอีกหลายสายคู่ขนานหรือเชื่อมต่อกับแม่น�้ำเพชรบุรี ที่มีการตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดประจ�ำหย่อมบ้าน หลายวัดเป็นวัด โบราณแต่ได้รับการปฏิสังขรณ์จนเปลี่ยนสภาพไป บางวัดยังพอเหลือ หลักฐานที่พอบ่งชี้ได้ว่าเป็นวัดเก่าแก่อาทิ คลองจากวัดคงคาราม ไปออกแม่น�้ำเพชรตรงท่าบ้านหม้อ คลองตอนนี้เรียกคลองบ้านหม้อ มีวัดยางตั้งอยู่ริมคลองสายนี้ ล�ำคลองที่ไหลผ่านจากวัดคงคาราม ไปทางทิศตะวันตก ไปทางวัดเขาบันไดอิฐ เรียกคลองวัดคงคา และ จากคลองวัดคงคามีล�ำคลองเชื่อมต่อไปทางเหนือ เรียกว่า คลองกระแชง ไปบรรจบกับแม่น�้ำเพชรบุรีตรงคลองที่เรียกว่า คลองต้นประดู่ ซึ่งเป็นล�ำคลองอีกสายหนึ่งที่แยกจากแม่น�้ำเพชรบุรีตรงไปทาง ทิศตะวันตก ผ่านเลียบเขาสมน (เขาวัง) ทางด้านทิศเหนือ วัดที่ตั้ง อยู่ริมคลองกระแชง มีวัดโคก วัดกุฎีดาว วัดแก่นเหล็ก วัดชีสระอินทร์ (มีเสมาหินทรายแดงแบบอยุธยาตอนปลาย) ๒๒ วัดสิงห์ มีการท�ำผาติกรรม เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างพระราชวังบ้านปืน รวมกับพื้นที่วัดร้างคือวัดชีปะขาว ซึ่งอยู่ ในเขตพระราชวังด้านเหนือ ส่วนวัดสิงห์อยู่ทางด้านใต้พระราชวัง วัดสิงห์ย้ายไปสร้างใหม่ในพื้นที่วัดแกลบ ซึ่งอยู่ ทางด้านปลายน�้ำทางทิศเหนือของตัวเมืองเพชรบุรี เสมาที่วัดสิงห์ในปัจจุบันเป็นเสมาหินทรายแดงศิลปะอยุธยา ยังตรวจสอบไม่พบว่าน�ำมาจากวัดสิงห์เดิมหรือไม่ ภาพอุโบสถวัดชีปะขาว ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภาพจากหนังสือ Buddhist Stupa (Phra Chedi) Architecture of Thailand ภูมิสถาน 55


ดังที่กล่าวข้างต้นว่าทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี มีภูเขาหินปูนขนาดใหญ่อยู่เป็นหย่อม ๆ เช่น เขาสมน (เขาที่ตั้ง พระนครคีรี) เขาบันไดอิฐ เขาพนมขวด เขาหลวง เป็นต้น บนเขา หินปูนเหล่านี้ มีถ�้ำอยู่หลายถ�้ำในเขาแต่ละลูก ภายในถ�้ำมีร่องรอย ศาสนสถานเก่าแก่ รวมทั้งบริเวณไหล่เขาและพื้นที่เชิงเขา ล้วนมี วัดวาอารามอยู่รายรอบ เป็นเครื่องยืนยันถึงการเป็นบ้านเป็น เมืองในพื้นที่แถบฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี เขาสมน เป็นเขาขนาดเล็ก สูงประมาณ ๙๕ เมตร มีเนื้อที่ ประมาณ ๖๐๐ ไร่ อยู่ห่างจากแม่น�้ำเพชรบุรีประมาณ ๘๐๐ เมตร บริเวณไหล่เขาทางด้านทิศตะวันออก มีวัดเก่าชื่อวัดเขาสมน เป็นวัดดั้งเดิมมีมาก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครคีรีและโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ วัดนี้ แล้วพระราชทานนามว่าวัดมหาสมณาราม หลักฐานที่เป็น ของคู่มากับวัดเดิมคือ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ยาวประมาณ ๓ วา ๓ ศอก ๑ คืบ สร้างด้วยอิฐถือปูน ประดิษฐานอยู่ในถ�้ำ เรียกว่า ถ�้ำพระพุทธโฆษาจารย์ บริเวณไหล่เขาสมนทางด้านทิศตะวันตกเดิมมีวัดอินทคีรี ตั้งอยู่ และมีเจดีย์ของวัดนี้ตั้งอยู่บนยอดกลางของเขาสมน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ ทางเดินไปวัดนี้และให้ก่อหุ้มองค์พระเจดีย์เดิมให้ใหญ่ขึ้น พระราชทานนามว่า “พระธาตุจอมเพชร” พระนอนในถ�้ำบนไหล่เขา ด้านทิศตะวันออกของเขาสมน ปัจจุบันอยู่ด้านหลัง วัดมหาสมณาราม อุโบสถวัดสระบัว ภาพจากหนังสือ Buddhist Temples of Thailand. An Architectonic Introduction 56 พื้นภูมิเพชรบุรี


พื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกของสมน เป็นที่ตั้งของวัดโบราณหลายวัด เช่น วัดข่อย มีเสมาหินทรายแดงศิลปะอยุธยาตอนปลาย วัดสระบัว หลักฐานส�ำคัญ คือ พระอุโบสถ พระประธานและเสมาหินทรายศิลปะอยุธยาตอนปลาย รวมถึงงานปูนปั้นประดับฐานเสมา วัดพระนอน มีพระนอนตั้งอยู่บนไหล่เขา สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนสมัย อยุธยา และมีการสร้างวัดในสมัยอยุธยาตอนปลาย วัดป่าแก้ว วัดส�ำคัญอีกวัดหนึ่ง เดิมมี สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จ�ำนวนมาก ปัจจุบันเหลือเพียงพระประธานในพระอุโบสถศิลปะอยุธยา ที่มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง๒๓ พระเจดีย์องค์หนึ่งภายในวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุ ภายหลังมีผู้ขุดได้และเมื่อมีการบูรณะพระปรางค์วัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ พระสุวรรณมุนี (ชิต) ได้น�ำพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งบรรจุไว้ในองค์ปรางค์ ๒๔ นอกจากนี้ ยังมีศาลาการเปรียญที่ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่วัดลาด ส�ำหรับชื่อวัดป่าแก้วนี้มีความหมาย เชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ดังข้อสันนิษฐานของบุญมี พิบูลย์สมบัติ ว่าชื่อ ป่าแก้ว ใช้เป็นชื่อต่อท้ายของคณะสงฆ์ที่ถือแบบอย่างวันรัตนวงศ์ ซึ่งไทยรับแบบอย่างจากลังกา วันรัตนวงศ์มีสมเด็จพระวันรัตเป็นประมุขเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในสมัย กรุงศรีอยุธยา พระรามาธิบดีที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นให้เป็นที่อยู่ของพระสังฆราช ฝ่ายวิปัสสนา ชื่อ วัดพระยาไทยคณะป่าแก้ว คณะสงฆ์ที่ถือแบบอย่างวันรัตนวงศ์นี้ ต่อมาได้ แพร่หลายออกไป เช่น ในภาคใต้มีวัดที่มีค�ำว่า ป่าแก้ว ต่อท้ายอยู่ เช่น วัดเขียนคณะป่าแก้ว วัดสะทิงพระคณะป่าแก้ว เป็นต้น ส่วนวัดป่าแก้วที่เพชรบุรีนี้ ไม่ทราบว่าเดิมมีชื่ออย่างไร ๒๓ พื้นที่วัดป่าแก้วรวมกับพื้นที่วัดร้างอื่น ๆ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนพรหมานุสรณ์๒๔ พระเทพสุวรรณมุนี (สีลภูสิต ภิกขุ บุญรวม มีอารีย์) จังหวัดเพชรบุรี, มูลนิธิ. พระอารามหลวง จังหวัดเพชรบุรี (กรุงเทพฯ : บริษัท แวลลู พริ้นติ้ง จ�ำกัด, ๒๕๔๒), หน้า ๒๔. ศาลาของวัดป่าแก้ว กล่าวกันว่าย้ายไปไว้ที่ วัดลาด ภายหลังมี การก่อสร้างเพิ่มเติมท�ำให้ รูปทรงเปลี่ยนแปลงไป ภูมิสถาน 57


แต่เมื่อถือปฏิบัติตามแบบอย่างวันรัตนวงศ์ ซึ่งสถานที่ตั้งวัดก็เหมาะแก่การบ�ำเพ็ญวิปัสสนา กรรมฐานด้วยเป็นพื้นที่ที่มีภูเขา และป่าไม้ ทั้งตั้งอยู่ชานเมือง ในชั้นแรกชื่อป่าแก้วคงเป็น เพียงชื่อต่อท้ายชื่อวัด ต่อมาคงเหลือแต่ชื่อป่าแก้วที่ต่อท้ายเท่านั้น นอกจากวัดป่าแก้ว แล้วยังมีวัดร้างอีกหลายวัดตั้งอยู่ใกล้กับวัดป่าแก้ว เช่น วัดโคกมะกรูด วัดช้างน้อย วัดช้าง ใหญ่ เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความส�ำคัญไม่น้อย ซึ่งโดยสภาพแล้วเป็นพื้นที่ ที่มีภูเขา คือ เขาสมน (เขาวัง) และเขาบันไดอิฐ มีสภาพที่ร่มรื่นไปด้วยป่าไม้ มีความสงบ ร่มเย็นเขตนี้จึงเป็นเขตวัดฝ่ายวิปัสสนาก็เป็นได้ ๒๕ เขาบันไดอิฐ อยู่ถัดเขาสมนไปทางทิศตะวันตก ระยะทางไม่ไกลกันนัก เขาบันไดอิฐ สูงประมาณ ๑๒๑ เมตร มีวัดเขาบันไดอิฐตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาทางด้านทิศใต้ เป็นวัดโบราณ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กลุ่มศาสนสถานส�ำคัญ มีอุโบสถ วิหารและเจดีย์ สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมฝีมือช่างชั้นสูงโดยเฉพาะงานปูนปั้น บนเขาบันไดอิฐมีถ�้ำประดิษฐาน พระพุทธรูปอยู่หลายถ�้ำ เช่น ถ�้ำประทุนเป็นถ�้ำขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันออกของ เขาบันไดอิฐ ภายในถ�้ำมีพระพุทธรูปโบราณอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ถ�้ำตอนในสุดประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ บริเวณไหล่เขาบันไดอิฐทางด้านทิศตะวันออก มีถ�้ำเรียกกันว่า “ถ�้ำหว้า” ภายในถ�้ำ ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นเรียงกัน ๓ องค์ องค์กลางเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ศาสนวัตถุที่พบบริเวณใกล้ปากถ�้ำ เช่น ชิ้นส่วนกระเบื้องมุงหลังคา และกระเบื้องเชิงชาย ลวดลายปูนปั้นประดับเจดีย์ ท�ำให้สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนี้เป็นวัด ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ส่วนบริเวณด้านทิศตะวันตกของเขาบันไดอิฐ แถบไร่ส้มยังมีวัดร้างอยู่อีก เช่น วัดปรือ เป็นต้น พระพุทธรูปโบราณภายในถ�้ำหว้า ตั้งอยู่ไหล่เขา ด้านตะวันออก ของเขาบันไดอิฐ ๒๕ ดูรายละเอียดใน บุญมี พิบูลย์สมบัติ ประวัติวัดป่าแก้ว ใน ๑๐๐ ปี พรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี. หน้า ๑๕๐ – ๑๕๕. 58 พื้นภูมิเพชรบุรี


เขาหลวง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสมน (เขาวัง) เขาหลวง สูง ๙๒ เมตร บนยอดเขามีเจดีย์โบราณตั้งอยู่ ๑ องค์ บนเขาหลวง มีถ�้ำหลายถ�้ำ เช่น ถ�้ำหลวงตั้งอยู่ตรงกลางเขา เป็นถ�้ำขนาดใหญ่ ภายในถ�้ำมีปูชนียสถานเก่าแก่หลายอย่าง เช่น พระนอน พระพุทธรูป เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม รอยพระพุทธบาทจ�ำลอง สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาหรือ ก่อนหน้านั้น ในเขาหลวงยังมีถ�้ำอีกถ�้ำหนึ่งเรียกว่า ถ�้ำพระพุทธไสยาสน์ อยู่ทางทิศใต้ของถ�้ำหลวง ปัจจุบันอยู่ในเขตวัดถ�้ำแกลบ (บุญทวี) ภายในถ�้ำมีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปนั่งอยู่หลายองค์ รวมทั้งชิ้นส่วนพระพุทธรูป หินทรายแดงจ�ำนวนหนึ่ง นอกจากถ�้ำหลวงและถ�้ำพระพุทธไสยาสน์ แล้วยังมีพระพุทธรูปอยู่ในถ�้ำอีก ๒ ถ�้ำ คือ ถ�้ำสาลิกาและ ถ�้ำเจ็ดแท่น แสดงให้เห็นว่าเขาหลวงนี้เป็นพุทธสถานที่ส�ำคัญ อีกแห่งหนึ่งในเมืองเพชรบุรี สภาพภายในถ�้ำหลวง ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (ที่มา : หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ กรมศิลปากร) ภูมิสถาน 59


ระหว่างเขาสมนกับเขาหลวงยังมีเขาพนมขวด ซึ่งเป็น เขาหินปูนลูกโดดขนาดเล็ก บนยอดเขามีเจดีย์เก่า ถูกฟ้าผ่าช�ำรุด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมใหม่ โดยสร้างเสริมให้ใหญ่กว่าของเดิม เป็นเจดีย์แบบทรงกลมหรือทรง ระฆัง ซึ่งเป็นแบบที่นิยมมากในสมัยรัชกาลที่ ๔ การบูรณะ ในครั้งนั้น ได้มีการคงรูปแบบของเจดีย์องค์เดิมไว้บางส่วน คือ บัลลังก์แปดเหลี่ยมแบบเจดีย์ในสมัยอยุธยา บริเวณเชิงเขาทางด้านทิศตะวันออกของเขาหลวง มี วัดวิหารโบสถ์ เป็นวัดโบราณอีกวัดหนึ่ง เดิมมีฐานอุโบสถเก่า มีหลักฐานที่เป็นเครื่องยืนยันความเก่าแก่ คือ เสมาหินทรายแดง ขนาดใหญ่ ส่วนร่องรอยชุมชนสมัยอยุธยาที่เหลือหลักฐานอยู่ ได้แก่ โคกแครง ตั้งอยู่ใกล้กับเขาหลวงทางด้านทิศเหนือ พบ หลักฐานสิ่งของเครื่องใช้ก�ำหนดอายุอยู่ในสมัยอยุธยาเป็นอย่างต�่ำ หลักฐานดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงร่องรอยชุมชนบริเวณ เขาหลวง ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งของชุมชนชานเมืองเพชรบุรี พัฒนาการของเมืองเพชรบุรีหากดูจากหลักฐานทางด้าน โบราณสถาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศาสนสถาน ด้วยเหตุที่สร้างด้วย ถาวรวัตถุและได้รับการท�ำนุบ�ำรุงมาโดยตลอด ท�ำให้อยู่สืบมาจน ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าวัดรุ่นแรก ๆ ในสมัยก่อนอยุธยาและอยุธยา ตอนต้น ทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำนั้นร้างมานานแล้ว เหลือเพียงบางวัดที่เป็นวัดส�ำคัญ เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม หรือ เป็นวัดร้างแล้วได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (สมัย รัชกาลที่ ๓ – ๕) เช่น วัดอุทัย วัดโพธารามและวัดที่สร้างหรือบูรณะ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น วัดเพชรพลี เป็นต้น ส่วนทางฝั่ง ตะวันตกริมแม่น�้ำมีวัดส�ำคัญ เช่น วัดมหาธาตุ วัดพลับ เป็นวัดรุ่นแรก ๆ รวมถึงบริเวณเขาสมน เขาบันไดอิฐ เขาหลวง ล้วนมีศาสนสถาน ส�ำคัญมีอายุเก่ากว่าวัดที่บูรณะหรือสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย ที่เพิ่มจ�ำนวนมากขึ้น เช่น วัดข่อย วัดสระบัว วัดพระนอน วัดชีสระอินทร์ วัดอัมพวัน เป็นต้น การที่มีการสร้างวัดเพิ่มขึ้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสอดคล้องกับความรุ่งเรืองทาง เศรษฐกิจ ที่เป็นผลมาจากการค้าทางทะเล ซึ่งเมืองเพชรบุรีเป็น เมืองท่าส�ำคัญเมืองหนึ่งในราชอาณาจักรดังกล่าวแล้วข้างต้น เขาพนมขวดในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) 60 พื้นภูมิเพชรบุรี


ชุมชนเก่าแก่ทางฟากตะวันตกของเมือง จากต�ำนานเมืองเพชรบุรี ฉบับพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) กล่าวถึงที่ตั้งเมืองเพชรบุรีว่า “ตัวเมืองนั้น ท่านว่าตั้งอยู่ด้านเขามหาสวรรค์และเขาบันไดอิฐ เขากิ่ว แม่น�้ำเดิม ต้นอยู่เขาแด่นต่อแดนแล้วไหลผ่านแยกมาหลายสาย ผ่านมาทาง วัดโพกรุและบ้านหาด โรงเข้ ยังมีล�ำบึงยาวลึกน�้ำค้างปี แล้วมาทาง วัดกุ่ม ออกบ้านไร่ใหญ่ไปบ้านช่องแคตกทุ่งพุ่งมาเหมืองทองหลาง ลงทุ่งป่าอ้อ (ยังมีล�ำธาร) เข้าทางเวียงคอยลัดไปบ้านบางจาน บางครกเขาตะเคราออกบางกบูนลงทะเล สายหนึ่งมีสาขาแยกจาก วัดห้วยข้องบ้านธาน บ้านใหม่ วัดโพเรียง สะพานไกร วัดดอนหว้า บ้านดอนพุดซา วัดหัวตะพาน วังตะโก วัดนพคุณ (นพขุน) มาลง ที่บางจากและมีล�ำน�้ำไปทางวัดใหม่บ้านนา วัดหนองปลาไหล บ้านไผ่บ้านน้อยเลยไปรวมบางกบูน แม่น�้ำสายวังตะโกนั้นมีที่แยก มาแต่เวียงคอย ออกบ้านสะพานยี่หนแล้วผ่านเมืองมาทางเขากิ่ว ออกวัดคงคาราม วัดโคกแยกพุ่งไปบ้านหม้อ ออกท่าช่องไปทาง ตะวันออกสายหนึ่ง ยังมีอีกแยกหนึ่งมาจากวัดกุฎีดาวผ่านไปหลัง วัดแก่นเหล็กมาหลังวัดพลับพลาไชยลงที่ศาลเจ้าคลองกระแชง พุ่งไปท่าเกวียนออกหน้าวัดใหญ่แยกไปบ้านท่าเรือท่าแร้งไปลง ทะเลที่บ้านตากแดดดอนขาดไปลงทะเลที่บ้านปากทะเลสายหนึ่ง” เมื่อตรวจสอบกับแผนที่ของกรมแผนที่ ส�ำรวจเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ – ๒๔๕๓ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ และจากการส�ำรวจในพื้นที่ พบว่าพื้นที่รอบนอกเมืองทางด้านทิศตะวันตกและตะวันตก เฉียงใต้ เป็นพื้นที่ทางเหนือน�้ำของเมืองเพชรบุรี มีร่องรอยชุมชน เก่าแก่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรี หรือล�ำน�้ำที่ส�ำคัญ เช่น คลองท่าช้างหรือคลองโพธิ์กรุ ที่ไหลผ่าน โพธิ์กรุ ท่าช้าง โรงเข้ วังบัว เวียงคอย ไปสมทบกับคลองบางจาก ไหลขึ้นเหนือไปแล้ว แยกเป็นสองสายแถบบ้านโพลอย - บ้านสามเรือน ไหลขึ้นเหนือ ไปสมทบกับคลองน�้ำเชี่ยว คลองบางสามแพรก คลองบางตะบูน สามารถออกอ่าวบางตะบูนเลียบฝั่งไปเข้าแม่น�้ำสายอื่น เช่น แม่กลอง ท่าจีน เจ้าพระยาได้ อีกสายแยกไปคลองสวนทุ่ง สมทบ กับแม่น�้ำเพชรบุรีตรงวัดปากคลอง ออกไปอ่าวบ้านแหลมได้ ทางต้นน�้ำของคลองโพธิ์กรุ มีล�ำน�้ำสายสั้น ๆ อีกหลายสาย เจดีย์แดง เจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ เจดีย์ทรงกลมศิลปะอยุธยา วัดกลาง อ�ำเภอบ้านลาด ภูมิสถาน 61


เชื่อมต่อกันได้ เช่น ล�ำห้วยที่ไหลผ่านบ้านหาด ตัวอย่างวัดที่เป็น ศูนย์กลางของชุมชน ที่เหลือหลักฐานโบราณวัตถุสถาน บางวัด เป็นวัดร้าง บางวัดยังคงสืบเนื่องมาในปัจจุบัน กลุ่มที่ตั้งอยู่ริม แม่น�้ำเพชรบุรี เช่น วัดศาลาเขื่อน วัดท่าศาลา วัดลาดศรัทธาราม (วัดศาลาหมูสี) วัดมะกอก วัดป่าแป้น วัดหาดทราย วัดเหนือ (ร้าง) วัดกลาง (ร้าง) วัดท่าไชยศิริ (วัดท่าชัยหรือวัดใต้) วัดโพธาวาส วัดท่าไม้รวก เจดีย์แดง วัดเสลาธง วัดท่าขวิด วัดต้นมะม่วง กลุ่มที่อยู่ริมคลองท่าช้าง เช่น วัดโพธิ์กรุ วัดท่าช้าง (ร้าง) วัดเขาน้อย วัดหนองกาทอง วัดโรงเข้ วัดวังบัว วัดโพธิ์เรียง (วัดโพเรียง) วัดดอนกอก (วัดดอนมะกอก) วัดหว้า (วัดดอนหว้า)๒๖ กลุ่มที่ อยู่ห่างแม่น�้ำเพชร เช่น วัดถ�้ำรงค์ ๒๗ ตั้งอยู่ริมห้วยอ่างหิน ซึ่งเป็น ล�ำน�้ำเก่า วัดเขาทะโมน อยู่ห่างล�ำน�้ำมากที่สุด แต่ตั้งอยู่ใกล้กับ เส้นทางคมนาคมทางบก มีทางน�้ำเชื่อมต่อกับทางน�้ำใหญ่ได้ พระพุทธรูปภายในถ�้ำรงค์ อ�ำเภอบ้านลาด ๒๖ ถัดทางทิศตะวันตกของแถบนี้ สภาพพื้นที่ราบมีเทือกเขาอยู่ทางทิศตะวันตก มีห้วยทางช้างเป็นแหล่งน�้ำส�ำคัญ ทางฝั่งตะวันตกของล�ำห้วย ในเขตต�ำบลบ้านทาน พบหลักฐานชุมชนทวารวดี เช่น โบราณสถานบ้านหนองพระ เขาพระนอก แหล่งโบราณคดีบ้านไร่ห้วย เป็นต้น ๒๗ ในแผนที่ของกรมแผนส�ำรวจ พ.ศ. ๒๔๕๒-๒๔๕๓ จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ เรียก วัดถ�้ำโรง บริเวณนี้มีร่องรอยชุมชน ที่เก่ากว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา 62 พื้นภูมิเพชรบุรี


ศิลปะสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่เป็นหลักฐานแสดงถึงความยาวนานของชุมชน เช่น เจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยา ที่วัดกลางร้าง พระประธานในอุโบสถวัดท่าไชยศิริ พระพุทธรูปหินทรายและปูนปั้นในถ�้ำรงค์ วิหารและพระพุทธรูปในวิหาร ศิลปะอยุธยา ในวัดโรงเข้ จิตรกรรมของเดิมศิลปะอยุธยาในอุโบสถวัดโพธิ์กรุ เป็นต้น ส�ำหรับหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าคลองบางจากเป็นเส้นทางคมนาคมมาตั้งแต่ สมัยโบราณเห็นได้จากการพบเครื่องถ้วยชามหลากหลายรูปแบบจากหลายแหล่งผลิต ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านสามเรือน ที่ตั้งอยู่ริมคลองบางจาก เช่น หม้อดินเผาก้นกลม แบบที่ใช้ในครัวเรือน ไหทรงปากแตรผลิตจากแหล่งเตาเมืองศรีสัชชนาลัย อายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ชามเคลือบสีเขียวไข่กา สีน�้ำทะเล จากแหล่ง เตาเมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จานเคลือบสีเขียวไข่กา แบบเครื่องสังคโลก เขียนลายดอกไม้ใต้เคลือบ จากแหล่งเตาเมืองศรีสัชชนาลัย จังหวัด สุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ เครื่องถ้วยจีน เช่น ไหทรงสูง แบบภาชนะ ใส่ดินปะสิวหรือส�ำหรับใส่ปรอท ผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาเฉวียนโจว (Quanzhou) อายุราว พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ ไหสี่หูเคลือบสีน�้ำตาล แบบที่เรียกว่า “ไหลูซอน” (Luzon jars) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่จีนใช้ใส่ใบชาส่งออกไปค้าขาย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ ถ้วยลายคราม สมัยราชวงศ์ชิง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ – ๒๔ วิหารวัดโรงเข้ (ก่อนการบูรณะ) สถาปัตยกรรม สมัยอยุธยาตอนปลาย ภูมิสถาน 63


เพชรบุรีในฐานะเมืองท่าและชุมทางในเส้นทางการค้าโพ้นทะเล ในช่วงเวลาที่ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในช่วงต้น เมืองเพชรบุรี ถูกผนวกเข้าในอาณาจักรด้วย จากหลักฐานในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดให้ช�ำระขึ้น มีความตอนหนึ่งว่า สมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระราชโองการสั่งว่า บรรดาข้าราชการ ณ หัวเมืองปากใต้ ฝ่ายเหนือทั้งปวงให้ถือศักดินาตามพระราชบัญญัติ หัวเมือง และมีข้อความตามพระราชบัญญัติหัวเมืองบัญญัติไว้ว่า “...ออกพระศรีสุรินทฤๅไชย เมืองเพชญบุรีย ขึ้นประแดง เสนาฎขวา...” ๒๘ มีฐานะเป็นเมืองจัตวา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางและตอนปลายเมืองและชุมชนในแถบนี้ยิ่งมี ความส�ำคัญมากขึ้นทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจของพระนครศรีอยุธยา ในพระราช พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่าในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) โปรดให้ขุดคลองโคกขาม โดยใช้เลกหัวเมืองนนทบุรี เมืองธนบุรี เมืองนครชัยศรี เมืองสาครบุรี เมืองสมุทรสงคราม เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี และเมืองสมุทรปราการ จากพระราชพงศาวดาร จะเห็นได้ว่าเมืองหลายเมืองในแถบตอนใต้ของลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา เมืองเหล่านี้ถือเป็นหัวเมืองปากใต้ เห็นได้จากในรัชกาลต่อมา คือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) ได้โปรดให้ขุดคลองมหาไชยที่ค้างจากรัชกาลก่อน โดยให้เกณฑ์คนหัวเมือง ปากใต้ ๘ หัวเมืองเป็นแรงงาน โดยไม่ได้กล่าวว่าแปดหัวเมืองนั้นคือเมืองอะไรบ้าง แต่ พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศกล่าวความตอนนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “เกณฑ์ไพร่พล เมืองให้ขุด เมืองนนทบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสาครบุรี เมืองสมุทรสงคราม เมืองเพชรบุรี เมืองนครชัยศรี ๘ เมือง” จะเห็นได้ว่า หัวเมืองปากใต้ที่กล่าวถึงนี้คือ หัวเมืองที่อยู่ทางใต้รอบปากอ่าวไทย๒๙ คือบริเวณแถบตอนใต้ของลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยานั่นเอง เมืองเพชรบุรีในสมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานเกี่ยวข้องอยู่กับประวัติศาสตร์ของ บ้านเมืองในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด ในแง่ของเศรษฐกิจ เมืองเพชรบุรีได้พัฒนาต่อเนื่อง มาจนนับได้ว่าเป็นเมืองส�ำคัญเมืองหนึ่ง ด้วยเหตุที่เป็นเมืองชุมทาง เชื่อมต่อระหว่าง บ้านเมืองในลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยากับหัวเมืองปักษ์ใต้ชายทะเล และเป็นเมืองท่าส�ำคัญที่ เรือสินค้าต่าง ๆ จะต้องแวะจอดพักก่อนจะเข้าไปเมืองหลวง หรือจะล่องไปทางหัวเมือง ฝ่ายใต้ หรือการเดินทางทางบกเข้าไปยังเมืองมะริดเมืองท่าส�ำคัญทางฝั่งตะวันตก เมืองเมาะล�ำเลิงและหัวเมืองมอญ เส้นทางที่มีเพชรบุรีเป็นเมืองผ่านนี้คงเป็นทางหลักที่ใช้ กันมาแต่โบราณ เนื่องจากปรากฏหลักฐานในเอกสารจีน ที่กล่าวถึงเส้นทางข้ามคาบสมุทร ๒๘ กรมศิลปากร. เรื่องกฎหมายตราสามดวง, (กรุงเทพ ฯ : อุดมศึกษา, ๒๕๒๑) หน้า ๑๗๖๒๙ นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี, (กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม,๒๕๓๐), หน้า ๒๔ – ๒๕. 64 พื้นภูมิเพชรบุรี


๓๐ ศิลปากร,กรม. จารึกสมัยสุโขทัย. (กรุงเทพ ฯ : ๒๕๒๖),หน้า ๑๘๘.๓๑ อ้างจาก สุนนท์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา. ชุมชนและสถาปัตยกรรมเพชรบุรี. หน้าจั่วปีที่ ๑๑ ปีการศึกษา ๒๕๓๔ : วารสารวิชาการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๕), หน้า ๓๘. ๓๒ อ้างจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์. ศรีรามเทพนคร : รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๒๗), หน้า ๘๘. ๓๓ เรื่องเดียวกัน หน้า ๘๘๓๔ บาทหลวง เดอ ชัวซีย์ เป็นผู้ช่วยทูตมาในคณะของเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่ง ฝรั่งเศส ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ ๓๕ เดอ ชัวซีย์. จดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยามในปี ค.ศ. ๑๖๘๕ และ ๑๖๘๖ แปลโดย สันท์ ท.โกมลบุตร (กรุงเทพ ฯ : ก้าวหน้า, ๒๕๑๖), หน้า ๕๕๒. มลายู ทางตอนเหนือที่เริ่มต้นจากมะริด ตะนาวศรี แล้วข้ามทิวเขาตะนาวศรีมายังฝั่ง ตะวันออก เพื่อเดินทางไปยังส่วนอื่น ๆ ของภูมิภาคนี้ เส้นทางนี้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชุมชน ในแถบเพชรบุรีโดยตรง อาจมีการใช้กันมากขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒ ดังจะเห็นได้ จากมีชุมชนรายทางมาตั้งแต่สมัยทวารวดี หลักฐานส�ำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คือ ข้อความใน ศิลาจารึกวัดเขากบ สมัยสุโขทัย ก�ำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ กล่าวถึง การแสวงหาพระธาตุจนถึงเมืองอินเดียและลังกา สันนิษฐานว่าผู้ที่เดินทางไปคือ พระศรีศรัทธาราชจุฬามุณี พระเถระชาวสุโขทัย ขากลับได้เดินทางมาขึ้นบกที่ตะนาวศรี แล้วตัดข้ามมาเพชรบุรี ย้อนขึ้นไปยังราชบุรีและอโยธยา ดังข้อความนี้ “…โสด ผสมสิบข้าว ข้ามมาลุตะนาวศรี เพื่อเลือกเอาฝูงคนดี …. สิงหลทีป รอดพระพุทธศรีอารยไมตรี เพชรบุรี ราชบุรีน … ส อโยธยา ศรีรามเทพนคร …” ๓๐ แสดงให้เห็นเส้นทางคมนาคมที่ติดต่อกับ ภายนอกและเส้นทางภายในสมัยอาณาจักรสุโขทัยและช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นมีหลักฐานบันทึกการเดินทางของชาวต่างชาติหลายฉบับที่แสดงถึง เส้นทางเหล่านี้ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างเส้นทางทางบกแล้วเพชรบุรียังเป็น เมืองท่าด้วย Tome Pires ชาวโปรตุเกสที่เดินทางไปยังอินเดียและมะละกา ในปี พ.ศ. ๒๐๕๔ และได้ท�ำบันทึกเกี่ยวกับเมืองท่าส�ำคัญที่มีบทบาททางการค้าระหว่างโลกตะวันออกและ ตะวันตกเอาไว้ โดยกล่าวถึงเมืองเพชรบุรี (Peperim, Pepory) ว่าเป็นเมืองท่าที่ส�ำคัญ เมืองหนึ่งในเขตฝั่งตะวันออก แล้วยังเป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครองเยี่ยงกษัตริย์และ ยังมีส�ำเภาส่งไปค้าขายยังภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย๓๑ และยังกล่าวถึงเส้นทางการเดินเรือ ผ่านมายังเมืองท่าต่าง ๆ ตามชายทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมลายู เช่น เมืองสายบุรี ปัตตานี นครศรีธรรมราช เกาะแห่งหนึ่งในอ่าวบ้านดอน บางสะพาน เกาะกูด เพชรบุรี บางปลาสร้อย๓๒ เมืองท่าเหล่านี้ท�ำการค้าขายกับ กัมพูชา จามปา เวียดนาม และหมู่เกาะ ต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีการค้ากับมะละกา๓๓ หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ชี้ชัดว่า ในสมัยอยุธยา เพชรบุรีเป็นเมืองท่าเมืองหนึ่ง คือบันทึกของบาทหลวง เดอ ชัวซีย์ ๓๔ กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีว่า เป็นเมืองท่าส่งข้าวและผ้าฝ้ายเป็นสินค้า๓๕ เช่นเดียวกับ ภูมิสถาน 65


ในประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม ของนายฟรังซัวร์ อังรี ตุรแปง กล่าวว่า เมืองเพชรบุรี (Pipli) เป็นท่าเรือติดทะเล ค้าข้าว ผ้าและฝ้ายมาก๓๖ หลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง ที่กล่าวถึงเส้นทางจากเมืองท่าทางด้านทะเลอันดามัน มาสู่กรุงศรีอยุธยา และเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน ได้แก่ จดหมายเหตุการเดินทางของพระสังฆราชแห่ง เบริธ ที่เดินทางเข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๕ กล่าวถึงการเดินทางผ่านเข้ามายังเมืองตะนาวศรี เมืองมะริด เมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี และเข้าทางปากน�้ำเจ้าพระยา เพื่อเดินทาง ต่อไปยังพระนครศรีอยุธยา มีการบรรยายถึงเมืองต่าง ๆ ที่เดินทางผ่าน และได้กล่าวถึง เมืองเพชรบุรีไว้ว่า “จากเมืองปราณบุรี เรามาถึงเมืองเพชรบุรี (Pipili) เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม โดยใช้เวลาเดินทาง ๕ วัน เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่และมีก�ำแพงเมืองก่ออิฐ …” ๓๗ ในหนังสือชื่อ Siamese White เขียนโดย Moris Collis โดยอาศัยหลักฐานจาก เอกสารเก่า และเทียบเคียงกับสมัยของผู้เขียนก็เป็นการเดินทางผ่านช่องสิงขรมาเช่นเดียวกัน เป็นการเดินทางของแซมวลไวท์ ไปเมืองมะริดเพื่อจะมายังกรุงศรีอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๒๒๐ ผ่านมาทางเมืองทวาย ตะนาวศรี ผ่านมาทางช่องสิงขร มายังเมืองกุย เมืองปราณ เพชรบุรี จากข้อความตอนหนึ่งในหนังสือกล่าวว่า “ตรงที่ถนนผ่านด่านสิงขรมาบรรจบกับ ถนนสายใหญ่ที่แล่นเลียบฝั่งนั้น ภูมิประเทศเป็นที่น่าอยู่และมีการเพาะปลูกทั่ว ๆ ไป ถนนสายนั้นจะน�ำไปสู่เมืองรูปจตุรัสเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง เรียกว่าเมืองกุย จากเมืองกุยก็ถึง เมืองปราณ ซึ่งเป็นเมืองท่าตรงปากแม่น�้ำสายหนึ่ง และในที่สุดก็ถึงเมืองพลิบพลี (เพชรบุรี) เป็นเมืองใหญ่ที่มีก�ำแพงก่อด้วยอิฐ จากเมืองปราณถึงเมืองเพชรบุรี นักเดินทางอาจลงเรือ ขนาดใหญ่ ตัดออกจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือของอ่าวสยาม ภายในสองวันก็จะบรรลุถึง ปากน�้ำเจ้าพระยา” ๓๘ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากแผนที่โบราณแสดงเส้นทางและเมืองชายทะเลบริเวณอ่าว สยามและระยะทาง ในสมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเมือง “ศรีอายุทธยา ท่าจีน แม่กลอง ราชบุรี เพชบุรี ปราน กุย” ๓๙ ซึ่งเป็นเส้นทางที่รับรู้กันอย่างดีของนักเดินทางที่ใช้ เป็นข้อมูลในการจัดท�ำแผนที่นี้ ๓๖ ตุรแปง, ฟรังซัวร์ อังรี. ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม : Histore du Royaume de Siam, tome premier โดย ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง ; ปอล ซาเวียร์ แปลเป็นภาษาไทย (กรุงเทพฯ : เอดิสัน เพรส โพรดักส์, ๒๕๓๙). หน้า ๑๖. ๓๗ เดอร์ บูรช์, ฌอง. จดหมายเหตุการเดินทางของสังฆราชเบริธ ประมุขมิสซังสู่อาณาจักรโคชินจีน แปลจาก ReLation du Voyage de monseigneur ๑ ’ eveque de Beryte vicaire Apostolique au Royaume de la Cochine @ C. par Jean de Bourges โดย ประทุมรัตน์ วงศ์ดนตรี, กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, (กรุงเทพฯ : หัตถศิลป์, ๒๕๓๐) หน้า ๔๔ ๓๘ คอลลิส, มอริส. แซมวลไวท์แห่งกรุงสยาม. เจริญ ไชยชนะ แปลจาก Siamese White. ๒๕๐๗ หน้า ๗๗-๗๘๓๙ กรมศิลปากร. สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี เล่ม ๑. (กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๔๒) หน้า ๑๖๔. 66 พื้นภูมิเพชรบุรี


ส�ำหรับภาพของเมืองเพชรบุรีในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏชัดขึ้นในจดหมายเหตุของมองสิเออร์เซเบเรต์ ราชทูต ฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช ที่กล่าวถึงการเดินทางเพื่อไปลงเรือที่ เมืองมะริด โดยใน พ.ศ. ๒๒๓๐ มองสิเออร์เซเบเรต์ ล่องเรือ จากลพบุรีผ่านกรุงศรีอยุธยา บางกอก ท่าจีน แม่กลอง เข้ามาตาม ล�ำน�้ำเพชรบุรี ขึ้นถึงเมืองแล้วเดินทางบกไปทางชะอ�ำ เมืองปราณ เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดในที่สุด ระหว่างการเดินทาง มองซิเออร์เซเบเรต์ได้บันทึกเหตุการณ์ รวมทั้งบรรยายภาพ บ้านเมืองต่าง ๆ ที่เดินทางผ่านไป ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเมือง เพชรบุรี มีดังนี้ “…ครั้นเรือข้าพเจ้าได้เข้าล�ำน�้ำเพชรบุรี ก็ได้พบผู้ว่าราชการ เมืองเพชรบุรี…. และผู้ว่าราชการเมืองได้นั่งเรือออกน�ำหน้าเรือ พวกเรา และได้โยงเรือพวกเรา ๓ ล�ำขึ้นไปจนถึงเมืองเพชรบุรี ซึ่งอยู่ห่างปากน�้ำประมาณ ๘ ไมล์ ในแถวปากแม่น�้ำเพชรบุรีนี้ เป็นที่เปล่าเปลี่ยวไม่มีผู้คนอยู่เลย แต่เมื่อขึ้นไปตามล�ำน�้ำได้สัก ๒ ไมล์ ภูมิประเทศดูดีขึ้น ทั้งสองข้างแม่น�้ำเป็นทุ่งนาซึ่งราษฎร พลเมืองมาท�ำนาหว่านเพาะข้าว บางแห่งก็เป็นทุ่งซึ่งเต็มไปด้วยโค กระบือซึ่งเจ้าของพามาเลี้ยง …..หนทางจากแม่กลองมาเพชรบุรีเป็นระยะทางประมาณ ๑๒ ไมล์ เมืองเพชรบุรีนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ในประเทศสยามและเดิม ๆ มาพระเจ้าแผ่นดินสยามก็เคยมาประทับอยู่ในเมืองนี้เสมอ ๆ เมือง นี้มีก�ำแพงก่อด้วยอิฐล้อมรอบ และมีหอรบหลายแห่ง แต่ก�ำแพง นั้นช�ำรุดหักพังลงมากแล้วยังเหลือดีอยู่แถบเดียวเท่านั้น บ้านเรือน ในเมืองนี้ไม่งดงามเลย เพราะเป็นเรือนปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งสิ้นสิ่งที่ งามมีแต่วัดวารามเท่านั้น และวัดในเมืองนี้ก็มีเป็นอันมาก…” ๔๐ จากเอกสารดังกล่าวแม้จะเป็นการมองด้วยสายตาของ คนต่างชาติก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าเพชรบุรีเป็นเมืองที่ส�ำคัญ พระมหากษัตริย์เสด็จมาประทับเสมอ เป็นบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีการสร้างวัดเป็นจ�ำนวนมาก แผนที่โบราณแสดงเมือง ชายทะเลในสมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา ๔๐ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๙ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔๘ - ๕๐) จดหมายเหตุของมองสิเออร์เซเบเรต์. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๑๑), หน้า๑๘๓ – ๑๘๕. ภูมิสถาน 67


ชุมชนลุ่มแม่น�้ำเพชรบุรีตอนกลางกับการค้าของป่า พื้นที่ตอนกลางของลุ่มแม่น�้ำเพชรบุรี ในเขตอ�ำเภอแก่งกระจานและท่ายาง พบร่องรอยชุมชนก�ำหนดอายุได้อยู่ในสมัยอยุธยาเป็นอย่างต�่ำ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น�้ำเพชรบุรี ทั้งฝั่งขวาและฝั่งซ้าย ส่วนใหญ่เป็นเนินดินขนาดใหญ่ พบสิ่งของเครื่องใช้ ส่วนใหญ่ เป็นเครื่องถ้วยชามทับถมอย่างหนาแน่น ตัวอย่างเช่น แหล่งโบราณคดีวังฆ้อง บ้านสองพี่น้อง อ�ำเภอแก่งกระจาน แหล่งนี้นอกจากพบร่องรอยชุมชนทวารวดีแล้ว ยังพบชิ้นส่วนเครื่องลายครามของจีนที่นิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คงเป็น แหล่งที่อยู่สืบเนื่องมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย ถัดลงมาคือแหล่งโบราณคดีบ้านไร่หลวง แหล่งโบราณคดีบ้านหนองเตียน แหล่งโบราณคดีวังหมกมอญ บ้านห้วยทะวาย ต�ำบลท่าไม้รวก แหล่งโบราณคดีบ้านคอละออม ต�ำบลท่าแลง อ�ำเภอท่ายาง ภาพของชุมชนในช่วงเวลาดังกล่าวเห็นได้จากบ้านคอละออม ซึ่งเดิมมีเนินดิน หลายเนินตั้งอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม บนพื้นที่ราบทางฝั่งทิศใต้ของแม่น�้ำเพชรบุรี เดิมมีเนื้อที่ แต่ละเนินไม่ต�่ำกว่า ๓ ไร่ บนเนินดินพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผา มีทั้งที่ผลิตจากแหล่งเตา ในประเทศไทย และแหล่งเตาภายนอกประเทศ ภาชนะที่ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศ พบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดิน ลักษณะเป็นหม้อก้นกลมแบบที่เรียกว่าหม้อทะนน ตกแต่งด้วยการประทับลาย ด้วยไม้แกะลาย เป็นลวดลายประดิษฐ์ เช่น ลายรูปสามเหลี่ยม ขนาดเล็กเรียงต่อกันแบบฟันปลา ลายรูปสามเหลี่ยมเรียงเป็นรูปวงกลม คล้ายฟันเฟือง หรือดวงอาทิตย์ ลายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซ้อนกัน เป็นต้น ชิ้นส่วนของฝาภาชนะแบบ ที่เรียกว่า ฝาละมี ภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง ที่พบเป็นชิ้นส่วนของไห อ่าง ขนาดค่อนข้างใหญ่ บางชิ้นพบมีการตกแต่งด้วยการกดประทับบริเวณไหล่ภาชนะ สภาพพื้นที่ริมแม่น�้ำเพชรบุรี บริเวณบ้านห้วยทะวาย (วังหมกมอญ) ที่พบร่องรอย ชุมชนสมัยอยุธยา 68 พื้นภูมิเพชรบุรี


เนินดินท้ายหมู่บ้านบ้านคอละออม พบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยชามหนาแน่น แสดงให้เห็นว่าเป็นชุมชนใหญ่ชุมชนหนึ่ง ริมแม่น�้ำเพชรบุรี ส�ำหรับเครื่องเคลือบที่ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศ พบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยที่ผลิตจากแหล่งเตาเมืองสุโขทัยและ จากแหล่งเตาเมืองศรีสัชนาลัย อายุราวกลางพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ส่วนเครื่องเคลือบที่ผลิต จากแหล่งเตาภายนอก พบเครื่องถ้วยจีน เป็นชิ้นส่วนเครื่อง ลายคราม ถ้วยเคลือบสีเขียวมะกอก ชิ้นส่วนเครื่องถ้วย เวียดนามเมื่อพิจารณาจากรูปแบบของภาชนะดินเผาที่พบ ส่วนใหญ่เป็นประเภทที่ใช้ในครัวเรือน เช่น หม้อ ไห ถ้วย ชาม นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนกระดูกสัตว์และเปลือกหอย ที่เป็นของเหลือทิ้งจากการน�ำมาบริโภค และจากความหนา แน่นของโบราณวัตถุที่พบกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง ท�ำให้สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยขนาด ใหญ่ ก�ำหนดอายุจากหลักฐานประเภทเครื่องถ้วยได้ว่าอยู่ ในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หากพิจารณาจากสภาพพื้นที่ทางตอนต้นและ ตอนกลางของแม่น�้ำเพชรบุรี เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ไปด้วยพืชพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นแหล่งสินค้า ของป่าที่ส�ำคัญ จึงเป็นไปได้ว่า การเจริญขึ้นของชุมชน แถบริมฝั่งแม่น�้ำเพชรบุรีแถบนี้ มีความสัมพันธ์กับการค้า ของป่า ซึ่งเป็นสินค้าส�ำคัญอย่างหนึ่งของราชอาณาจักร ศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยใช้ล�ำน�้ำเพชรบุรี เป็นเส้นทางล�ำเลียง ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยชาม บนผิวดิน บนเนินดิน บ้านคอละออม แม่น�้ำเพชรบุรีทางต้นน�้ำ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ที่มา : หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ นายจุลทรรศน์ พยาฆรานนท์ ผู้อ่าน) ภูมิสถาน 69


ชะอ�ำเมืองชุมทาง การใช้เส้นทางคมนาคมที่ผ่านชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลชะอ�ำ รวมถึงชุมชนในลุ่มแม่น�้ำ เพชรบุรีตอนล่างในสมัยทวารวดี ยังคงใช้เรื่อยมาในสมัยหลังเห็นได้จากข้อความในศิลาจารึก สมัยสุโขทัย ได้แก่ศิลาจารึกวัดเขากบ ที่กล่าวถึงการแสวงหาพระธาตุจนถึงเมืองอินเดียและ ลังกา ท�ำให้เห็นเส้นทางจากเมืองท่าตะนาวศรี ตัดข้ามมาเพชรบุรี ย้อนขึ้นไปยังราชบุรี และอโยธยา แสดงให้เห็นเส้นทางคมนาคมในสมัยนั้น คือจากเมืองตะนาวศรีมายัง เมืองเพชรบุรี จะต้องผ่านพื้นที่ชายฝั่งทะเลเพชรบุรีบริเวณอ�ำเภอชะอ�ำในปัจจุบัน ซึ่ง ชื่อชะอ�ำก็ได้ปรากฏเป็นบ้านเมืองที่อยู่ในเส้นทางคมนาคมโบราณ เห็นได้จากจดหมายเหตุ ของมองสิเออร์เซเบเรต์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่กล่าวถึงการเดินทาง เพื่อไปลงเรือที่เมืองมะริด โดยในปี พ.ศ. ๒๒๓๐ มองสิเออร์เซเบเรต์ ล่องเรือจากลพบุรีผ่านกรุงศรีอยุธยา บางกอก ท่าจีน แม่กลอง เข้ามาตามล�ำน�้ำเพชรบุรี ขึ้นถึงเมืองแล้วเดินทางบกไปทางชะอ�ำ เมืองปราณ เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดในที่สุด ระหว่างการเดินทาง มองซิเออร์เซเบเรต์ได้บันทึก เหตุการณ์ รวมทั้งบรรยายภาพบ้านเมืองต่าง ๆ ที่เดินทางผ่านไป ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ ชายฝั่งทะเลเพชรบุรี มีดังนี้ “ณ วันที่ ๒๑ เดือนธันวาคม เวลาเช้ามืด ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางเพื่อไปพักแรมที่จาม (Chaam) (คือชะอ�ำ) ...... ทางที่เดินผ่านมาในวันนี้เป็นภูมิประเทศงดงามมาก พ้นไปได้สัก ๒ ไมล์ ก็ได้มาถึงบ้านแห่ง ๑ ซึ่งเรียกกันว่า ปอนตาเดซารา ซึ่งไทยเรียกว่าบัวขาว (Boa Kao) ..... เมื่อพระอาทิตย์ตกข้าพเจ้าได้มาถึงต�ำบลจาม (ชะอ�ำ) ซึ่งเป็นหนทางห่างจาก เขานาขวาง และเขานายาง 70 พื้นภูมิเพชรบุรี


ปอนตาเซราประมาณ ๗ ไมล์ หมู่บ้านนี้หามีก�ำแพงหรือรั้วกั้นอย่างใดไม่ และบ้านเรือน ก็ได้ปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งสิ้น ...... ก่อนที่จะถึงบ้านจาม (ชะอ�ำ) นี้ มีภูเขาหินสูงและชันมาก แต่เป็นเขาเล็กไม่ใหญ่เท่าไรนัก ตั้งอยู่กลางทุ่งอันไม่มีคนอยู่เลย ที่กลางเขานี้มีวัดอยู่ ๑ วัด ซึ่งมีผู้ขุดเขาส�ำหรับสร้างวัดและมีบันไดหินขึ้นไปจนถึงวัด พระสงฆ์ได้ไปสร้างกุฏิ อยู่ในหุบเขาซึ่งตั้งวัดเหมือนกัน บนเขานี้มีพระเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูนขาวหลายเจดีย์ ซึ่งเท่ากับเป็นเครื่องประดับของวัดเหมือนกัน……” ตามเอกสารดังกล่าวกล่าวถึงชื่อบ้าน ที่ออกมาจากเมืองเพชรบุรี ๒ ไมล์ และห่างจากจาม (ชะอ�ำ) ตรวจสอบจากแผนที่เก่า พ.ศ. ๒๔๗๒ ชื่อที่เกี่ยวข้องกับบัว มีบ้านหนองบัว (ปัจจุบันอยู่ในเขตต�ำบลหนองจอก อ�ำเภอท่ายาง) ซึ่งอยู่ห่างจากชะอ�ำ ระยะใกล้เคียงกับที่กล่าวไว้ในจดหมายเหตุ แต่ระยะ ที่อยู่ห่างจากเมืองเพชรบุรีไม่สอดคล้องกัน โดยบ้านหนองบัวอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ส่วนวัดที่อยู่ก่อนถึงบ้านชะอ�ำนั้น จากค�ำบรรยายในจดหมายเหตุ จากต�ำแหน่งที่ตั้งและลักษณะภูมิประเทศ สันนิษฐานว่า เป็นเขานายางและเขานาขวาง แต่หลักฐานบางประการยังไม่สอดคล้องกันนัก ส่วนหลักฐานที่เหลืออยู่แสดงถึงการเป็น ศาสนสถานบริเวณเขาแห่งนี้ คือ ถ�้ำพระเขานาขวาง ภายในถ�้ำประดิษฐานพระนอนศิลปะ อยุธยา ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ไม่พบหลักฐาน โดยเฉพาะเจดีย์ ส่วนบนเขาจอมปราสาท ที่อยู่ถัดลงมาพบร่องรอยเจดีย์บนยอดเขา แต่อิฐที่พบมีขนาดและเทคนิคการท�ำแบบอิฐ ที่ใช้ก่อสร้างศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดี อย่างไรก็ตามบริเวณใกล้เคียงกับเขานายาง และเขานาขวางก็พบร่องรอยศาสนสถานและชุมชนในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ตามเส้นทาง คมนาคมสมัยอยุธยา ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านเพชรบูรณ์ ในเขตต�ำบลหนองศาลา อ�ำเภอชะอ�ำ ซึ่งใกล้ชายฝั่งทะเล พบร่องรอยชุมชนที่อยู่อาศัยและที่ฝังศพ ในต�ำบล นายาง ที่บ้านนายาง พบหลักฐานการอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น สันนิษฐานว่าเป็น แหล่งชุมชนสมัยอยุธยาขนาดใหญ่ นาเตาอิฐ พบร่องรอยศาสนสถานในสมัยอยุธยา ส่วนที่บ้านดอนพบร่องรอยชุมชนโบราณสมัยอยุธยาเช่นเดียวกัน ถัดลงมาในต�ำบลชะอ�ำ ที่บ้านบ่อปะโคน พบร่องรอยชุมชนและศาสนสถานในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ใกล้ชายฝั่ง ทะเล ชุมชนเหล่านี้น่าจะพัฒนาขึ้นมารองรับการค้าที่ขยายตัวขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีหลักฐานในพระราชพงศาวดารที่สะท้อนให้เห็นถึงความส�ำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้ กล่าวคือ เมื่อพุทธศักราช ๒๑๓๔ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี โดยเสด็จทางสถลมารค ไปประทับแรมที่เขาสามร้อยยอดเป็นเวลา ๑๔ วัน เพื่อทรงเบ็ด และเสด็จประทับแรม ณ ต�ำหนักต�ำบลโตนดหลวง ๑๒ วัน แล้วจึงเสด็จเข้าเมืองเพชรบุรี ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๒๔๖ รัชสมัยพระเจ้าเสือ พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีโดยประทับที่ต�ำบล โตนดหลวงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าบ้านโตนดหลวง เป็นชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นชุมชนที่อยู่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ภูมิสถาน 71


พระนอน ในถ�้ำพระเขานาขวาง ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยชาม พบหนาแน่นบริเวณ บ้านนายาง 72 พื้นภูมิเพชรบุรี


ในปัจจุบันยังเหลือหลักฐานยืนยันว่าบ้านโตนดหลวง มีความเป็นมามาอย่างยาวนาน คือ วัดโตนดหลวง เห็นได้ จากฐานอุโบสถหลังเก่าที่มีลักษณะแอ่นโค้งแบบท้องส�ำเภา อันเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่นิยมท�ำในสมัยอยุธยา ตอนปลาย นอกจากนี้เสมาของอุโบสถหลังนี้ยังเป็นเสมา จ�ำหลักจากหินทรายสีแดง ศิลปะอยุธยา จึงนับได้ว่า วัดโตลดหลวงเป็นศูนย์กลางของชุมชนแถบนี้มาตั้งแต่อดีต จวบจนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการพบเครื่อง ประดับม้า หม้อ ไห ในพื้นที่ต�ำบลบางเก่าด้วย ซึ่งในสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลายและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เส้นทางคมนาคมโบราณสายนี้ ยังเป็นเส้นทางเดินทัพใน สงครามระหว่างราชอาณาจักรสยามกับพม่าด้วย และยังมี อีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของบ้านเมือง คือ ภูมินาม หรือชื่อบ้านนามเมืองที่แฝงนัยของบ้านเมือง ชุมชนแถบนี้ เช่น บางเก่า บ้านท่า เป็นต้น เขานางพันธุรัต จุดสังเกต ของนักเดินทางทั้งทางบก และทางทะเล เสมาอุโบสถวัดโตนดหลวง ภูมิสถาน 73


บ้านแหลม-บ้านบางตะบูน-ปากประตูเมืองเพชรบุรี “สรรพเครื่องสินค้าปากใต้บันทุกเรือปากกว้างสิบศอกสามวามาทอดสมอขาย อยู่ที่ตรงปากคลองคูจาม”......... “เรือปากใต้กว้าง ๖ ศอก ๗ ศอกชาวบ้านยี่สาร บ้านแหลม เมืองเพชรบุรี แลบ้านบางตะบูนและบ้านบางทะลุ บันทุกกะปิน�้ำปลาปูเคม ปลากุเราปลากระพงปลากระเบนย่างมาจอดเรือขาย แถววัดเจ้าพระนางเชิง”๔๑ ข้อความจากค�ำให้การขุนหลวงหาวัด บรรยายตลาดค้าขายรอบพระนครศรีอยุธยา บ้านยี่สาร บ้านแหลม เมืองเพชรบุรี บ้านบางตะบูน และบ้านบางทะลุ ชื่อที่รู้จักกัน เป็นอย่างดีในสมัยอยุธยา ชุมชนเหล่านี้ตั้งอยู่ปากคลองบางตะบูน ปากแม่น�้ำเพชรบุรี ซึ่งมีสภาพเป็นอ่าวเรียกว่า อ่าวบางตะบูนและอ่าวบ้านแหลม จากบริเวณนี้สามารถ เดินทางเลียบชายฝั่งไปเข้าปากแม่น�้ำสายอื่น ๆ เพื่อไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น แม่น�้ำ เจ้าพระยา ไปยังกรุงศรีอยุธยาและเมืองอื่น ๆ แม่น�้ำท่าจีน ไปเมืองนครชัยศรี สุพรรณบุรี แม่น�้ำแม่กลองไปยังเมืองราชบุรี กาญจนบุรี เป็นต้น ในทางกลับกันก็เป็นเส้นทางให้ ผู้คนจากพื้นที่ต่าง ๆ เดินทางเข้าสู่เมืองเพชรบุรีได้เช่นกัน และยังเป็นทางเชื่อมต่อกับ เส้นทางข้ามคาบสมุทรทางบกอีกด้วยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงกล่าวได้ว่าสาเหตุหนึ่ง ที่เมืองเพชรบุรีพัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองส�ำคัญเมืองหนึ่งมาโดยตลอด จนถึงสมัย กรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ เนื่องจากตั้งอยู่ในเส้นทางคมนาคมทางบก และทางน�้ำ คือเป็นชุมทางและเมืองท่าทางทะเลที่ส�ำคัญ ทั้งยังเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพราะพื้นที่ติดทะเลและเทือกเขา ท�ำให้เป็นแหล่ง ผลิตอาหารที่ส�ำคัญโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากทะเล ดังจะเห็นได้จากความทรงจ�ำของคน สมัยกรุงศรีอยุธยาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าอาหารพิเศษที่ปรุงมาจากทรัพยากรทางทะเล จากเมืองเพชรบุรีนั้นมีบทบาทส�ำคัญต่อการบริโภคของผู้คนในพระนครศรีอยุธยา และ น่าจะเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลอาหารแห้งเป็นสินค้าส่งออกที่ส�ำคัญในยุคนั้นด้วย ดูจากในรายการสินค้าสมัยอยุธยาสินค้าที่ส่งไปยังมะละกา และเกาะชวา ส่วนหนึ่งเป็น สินค้าประเภทอาหาร อันได้แก่ ข้าว เกลือ รวมทั้งปลาเค็ม๔๒ ร่องรอยความเป็นมาของพื้นที่บริเวณปากอ่าวบางตะบูน อ่าวบ้านแหลม และ บริเวณชายฝั่งทะเลเมืองเพชรบุรี เห็นได้จากชื่อบ้านนามเมือง เช่น ทางทิศใต้ของปาก อ่าวบางตะบูนมีชื่อ ดอนบ้านเก่า หรือที่เป็นรูปธรรม เช่น แหล่งโบราณคดีโคกบ้านเก่า บ้านบางหอ ต�ำบลบางครก อ�ำเภอบ้านแหลม ๔๑ แถลงงานประวัติศาสตร์เอกสารโบราณคดี ปี ๓ เล่ม ๑ มกราคม. ค�ำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสาร จากหอหลวง, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ส�ำนักท�ำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๒) หน้า ๕๖ - ๕๘๔๒ อ้างจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์, (ศิลปวัฒนธรรม : ๒๕๒๗) หน้า ๙๐ 74 พื้นภูมิเพชรบุรี


บริเวณดังกล่าวเป็นเนินดินขนาดใหญ่เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่เศษ ตั้งอยู่ใกล้คลองบางหอ ที่เชื่อมต่อกับคลองโพธิ์โดด คลองบางด้วนและคลองบางครก บริเวณกลางเนินเป็นพื้นที่ โล่งเตียน พบกองเปลือกหอยแครงปะปนกับชิ้นส่วนภาชนะดินเผาหนาแน่นเป็นแห่ง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๓ แห่ง ภาชนะดินเผาที่พบเป็นจ�ำนวนมาก ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพช�ำรุดและแตกเป็น ชิ้นส่วน พบทั้งภาชนะเนื้อดิน เนื้อแกร่ง เครื่องลายครามจีน ประเภทกระปุกเคลือบขาว รูปแบบ ที่พบมีทั้งภาชนะขนาดเล็ก ประเภทกระปุก ถ้วย ชาม ครก หม้อคะนน ฝาภาชนะ ไปถึงภาชนะ ขนาดใหญ่ พวกอ่าง ไห โอ่ง เตาเชิงกราน เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบตุ๊กตาดินเผาขนาดเล็ก เป็นชิ้นส่วนของตุ๊กตารูปคน มีส่วนหัวและล�ำตัว แบบที่พบทั่วไปในแหล่งโบราณคดีสมัยอยุธยา นอกจากนี้ยังพบตุ๊กตาเคลือบรูปสัตว์ขนาดเล็ก รูปเสือ กระต่าย เป็นต้น หอยเบี้ยพบเป็นปริมาณ มาก บางตัวมีตะกั่วหยอดไว้ในตัว เงินพดด้วง เงินอีแปะจีน เต้าปูนส�ำริด เส้นตะกั่ว ก้อนโลหะ ชิ้นส่วนอิฐ โบราณวัตถุเหล่านี้พบปะปนอยู่กับกระดูกคนและสัตว์ กระดูกคนส่วนใหญ่พบเป็น ฟัน กระดูกสัตว์ส่วนใหญ่เป็นกระดูกสันหลังปลามีหลายขนาด ในบริเวณนี้ยังพบท่อนซุง ขนาดใหญ่อีก ๗ ท่อน อยู่ริมคลองบางหอ จากหลักฐานต่าง ๆ ที่พบ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ ในชีวิตประจ�ำวัน ท�ำให้สันนิษฐานได้ว่าเนินดินนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชายทะเล อยู่ในช่วงสมัย อยุธยา มีการใช้ทรัพยากรจากทะเล มีการติดต่อกับชุมชนอื่นร่วมสมัยเนื่องจากพบเครื่อง ถ้วยชามจากจีนที่เป็นสินค้าส�ำคัญที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในสมัยอยุธยา ตัวอย่างของโคกบ้าน เก่า เป็นภาพสะท้อนหมู่บ้านชายทะเลแถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านแหลม บางตะบูน บางทะลุ เป็น แหล่งผลิตอาหารทะเลที่ส�ำคัญมาแต่ครั้งโบราณ และบ้านเมืองแถบนี้มีความเจริญมั่งคั่งใน ระดับหนึ่ง กองเปลือกหอยทะเล ในบริเวณโคกบ้านเก่า พบร่องรอยของชุมชนโบราณ ขนาดใหญ่ชุมชนหนึ่ง ภูมิสถาน 75


อุโบสถและเสมา วัดดอนบ้านใหม่ สิ่งก่อสร้างที่หลงเหลืออยู่ที่เป็นหลักฐานของความรุ่งเรือง ในอดีตที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ศาลาการเปรียญ วัดในกลาง เป็น อาคารไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ รูปแบบคล้ายกับศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม ส่วนชุมชนที่อยู่ชายฝั่งทะเลบางชุมชนตั้งอยู่ ปากคลองสายส�ำคัญ เช่น บ้านบางขุนไทร บ้านดอนผิงแดด บ้านบางทะลุ มีวัดไทรทอง มีเสมาศิลปะอยุธยา วัดดอนแตง เป็น วัดร้าง พบฐานอุโบสถ กระเบื้องมุงหลังคาดินเผาแบบกระเบื้อง กาบกล้วย วัดดอนบ้านใหม่ เดิมเป็นวัดร้าง มีอุโบสถทรงฐานแอ่นโค้ง แบบอยุธยาตอนปลาย วัดบางทะลุ มีเสมาศิลปะอยุธยาตอนปลาย วัดสมุทรโคดม พบเสมาศิลปะอยุธยาตอนปลายเก็บอยู่ในบริเวณ วัด เป็นหลักฐานยืนยันความเก่าแก่ของหย่อมบ้านเหล่านี้ ถัดเข้ามาด้านในตามล�ำน�้ำเพชรบุรีก็มีหลักฐานชุมชนโบราณ เช่น วัดกุฏิ (บ้านกุ่มนอก ต�ำบลท่าแร้ง) มีศิลปะสถาปัตยกรรม หลายอย่างที่เก่าแก่ถึงสมัยอยุธยา เช่น บานประตูไม้แกะสลักของ อุโบสถหลังเก่า หลักเสมาหินทราย คัมภีร์ใบลานโบราณและ สมุดไทยด�ำไทยขาว เป็นต้น ศาลาการเปรียญวัดในกลาง บานประตูอุโบสถวัดกุฏิ 76 พื้นภูมิเพชรบุรี


เพชรบุรีเมืองยุทธศาสตร์ นอกจากความส�ำคัญทางด้านเศรษฐกิจแล้ว เมืองเพชรบุรียังมีความส�ำคัญทางด้าน การเมือง เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ส�ำคัญ เพราะชัยภูมิที่สามารถใช้เป็นที่ตั้งฐาน บัญชาการรบได้ทั้งทางบกและทางน�้ำ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างบ้านเมืองในลุ่มเจ้าพระยา และหัวเมืองปักษ์ใต้ดังกล่าวข้างต้น ท�ำให้สามารถควบคุมเส้นทางระหว่างหัวเมืองทางเหนือหัวเมืองทางใต้ได้ ประกอบกับเมืองเพชรบุรีมีพื้นที่ราบลุ่มกว้างขวาง อุดมสมบูรณ์ สามารถ ใช้ท�ำนาสะสมเสบียงเลี้ยงกองทัพได้ เพชรบุรีจึงเป็นเมืองหน้าด่านที่ส�ำคัญที่ข้าศึกยกผ่าน เข้าไปตีกรุงศรีอยุธยาเสมอทั้งทางบกและทางทะเล ในการเดินทางของบาทหลวงตาชารด์ ได้บันทึกถึงเมืองเพชรบุรี ว่าเป็นเมืองยุทธศาสตร์ ว่าหากเกิดความยุ่งยากขึ้น พวกฝรั่งเศส จะสามารถเข้ายึดเมืองเพชรบุรี ซึ่งในบริเวณเมืองเพชรบุรีมีข้าวอย่างอุดมสมบูรณ์ กับวัว และสัตว์พาหนะอื่น ๆ ทุกชนิด๔๓ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้อยู่ในเส้นทางทัพโดยตรง เมืองเพชรบุรีก็เข้าร่วมกับการสงครามอยู่เนือง ๆ ในการเกณฑ์ไพร่พลเข้าร่วมรบ ปรากฏ หลักฐานอยู่ในเอกสารต่าง ๆ เช่น ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระยาละแวก ยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง พระยาเพชรบุรีมีส่วนส�ำคัญในการศึกทุกครั้ง โดยเฉพาะใน พ.ศ. ๒๑๐๓ และ พ.ศ. ๒๑๐๕ เมืองเพชรบุรีถูกโจมตีโดยตรงและถูกตีแตก ในครั้งหลังสุด ทุ่งนาเมืองเพชรบุรี ๔๓ ศิลปากร, กรม. การเดินทางของบาทหลวงตาชารด์ เล่ม ๑ - ๓ ฉบับลายมือเขียนที่คัดมาจากต่างประเทศ. (กรุงเทพฯ : ศิวพร, ๒๕๒๑) หน้า ๑๒๖ ภูมิสถาน 77


๔๔ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒ จ.ศ. ๑๑๗๑ – ๑๑๗๓ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ คุรุสภา, ๒๕๑๓) หน้า ๓๐. ในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น อยู่ในช่วงของ การฟื้นฟูบ้านเมือง แม้เมืองเพชรบุรีจะได้รับผลจากการเสีย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ไม่มากนัก แต่ส่งผลให้บทบาทการเป็นที่มั่น ในการรบถูกลดลงและความส�ำคัญในการเป็นเมืองผ่านตาม เส้นทางการค้าสู่เมืองมะริดก็ยุติลง ท�ำให้เพชรบุรีเป็นเพียง เมืองหน้าด่านทางตอนใต้และเมืองเชื่อมต่อระหว่างพระนครกับ หัวเมืองทางใต้ แต่ความส�ำคัญในด้านการสะสมก�ำลังคนยังด�ำเนิน อย่างต่อเนื่อง และความส�ำคัญของเมืองเพชรบุรีในทางยุทธศาสตร์ อีกประการหนึ่ง ที่ยังไม่เสื่อมไป คือ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ อันเป็นที่มาของเสบียงอาหารในกองทัพ เห็นได้จากเมื่อครั้งศึก อเติงวุ่น พ.ศ. ๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้กองทัพเรือล�ำเลียงจากเมืองท่าจีนและเมือง แม่กลองไปรับเอาข้าวจากเมืองเพชรบุรี ไปส่งกองทัพพระยา จ่าแสนยากรซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองบางนางรม๔๔ ทุ่งนาเมืองเพชรในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) 78 พื้นภูมิเพชรบุรี


๔๕ ชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช๔๖ นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช) แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร (พระนคร : ก้าวหน้า. ๒๕๐๖) หน้า ๕๓ เพชรบุรี เมืองพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากความส�ำคัญทางด้านเศรษฐกิจในฐานะที่เป็นเมืองท่าค้าขายและ การเป็นเมืองที่มีความส�ำคัญในแง่ยุทธศาสตร์แล้ว ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เป็น เมืองชายทะเล มีภูมิประเทศที่สวยงาม ท�ำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อน จึงเป็น ที่สนพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ ดังมีข้อความปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดาร กล่าวคือ เมื่อพุทธศักราช ๒๑๓๔ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี โดยเสด็จทางสถลมารคไปประทับแรม ที่เขาสามร้อยยอดเพื่อทรงเบ็ด และเสด็จประทับแรม ณ ต�ำหนักต�ำบลโตนดหลวง แล้วจึงเสด็จเข้าเมืองเพชรบุรี ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๒๔๖ รัชสมัยพระเจ้าเสือ พระองค์ ได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีโดยประทับที่ต�ำบลโตนดหลวงและเขาสามร้อยยอดเช่นกัน ความส�ำคัญของเมืองเพชรบุรีในเรื่องนี้แม้ในเอกสารของชาวต่างชาติก็กล่าวถึงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น นิโกลาส์ แชรแวส๔๕ ได้กล่าวไว้ใน ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมือง แห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ในบทที่ว่าด้วย เมืองบางกอกและเมืองท่าอื่น ๆ กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีดังนี้ “เมืองพิบพลี (Piply : เพชรบุรี) … อยู่ไกลจากปากน�้ำเพียง ๑๐ หรือ ๑๒ ลี้ เท่านั้น เป็นเมืองเก่ามาก กล่าวกันว่าเคยเป็นเมืองที่งดงาม และมีพระเจ้าแผ่นดินหลายองค์ทรงโปรดประทับ แปรพระราชฐานยิ่งกว่าที่เมืองอื่น ๆ” ๔๖ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ก็ได้เห็นความส�ำคัญ ของเมืองเพชรบุรีนี้ โดยเฉพาะการใช้เป็นสถานที่ประทับแรม เริ่มต้นจากพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครคีรี เป็นที่ประทับ แปรพระราชฐาน ท�ำให้เมืองเพชรบุรีเปิดรับสิ่งใหม่จากภายนอก จนกลายเป็นหัวเมือง แรก ๆ ที่มีลักษณะบางประการเป็นแบบตะวันตกและเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ การปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองเพชรบุรีทั้งด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้เมืองเพชรบุรีมีความส�ำคัญในฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศอีก ประการหนึ่งด้วย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จ พระราชด�ำเนินประพาสเมืองเพชรบุรีหลายครั้ง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระราชวังอีกแห่งหนึ่ง ณ ต�ำบลบ้านปืน ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ภูมิสถาน 79


การที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงเลือกสร้าง พระราชวังที่เมืองเพชรบุรีนั้น ด้วยเหตุที่ว่าเมืองเพชรบุรีนั้น อากาศดี คือ อากาศแห้งไม่อับชื้น เชื่อกันในสมัยนั้นว่า ดีต่อสุขภาพ และมีน�้ำดี คือน�้ำในแม่น�้ำเพชรบุรี ซึ่งถือกันว่า เป็นแม่น�้ำที่มีรสดีที่สุดในราชอาณาจักร ถึงกับต้องบรรจุ ภาชนะส่งเข้าไปเป็นน�้ำเสวยในพระนครเป็นประจ�ำ นอกจาก นั้นแล้วเมืองเพชรบุรี ยังมีเขามีถ�้ำสามารถใช้เป็นสถานที่ ท่องเที่ยว ส�ำหรับรองรับราชอาคันตุกะจากยุโรป และชนชั้นสูง ของสยามซึ่งนิยมการไปเที่ยวแบบฝรั่งได้เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อเปิดการเดินรถไฟสายใต้ ท�ำให้การเดินทาง มาเยือนเมืองเพชรบุรีสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อหัวหิน เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นเมืองตากอากาศนั้น พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการและคหบดีกลุ่มหนึ่ง ได้เล็งเห็นถึงความไม่มีเสรี การขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการครอบครองที่ดิน ในหัวหิน จึงร่วมกันออกส�ำรวจหาพื้นที่ใหม่ในการสร้าง สถานที่พักตากอากาศ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๔๖๒ ได้พบว่าบริเวณชายทะเลชะอ�ำมีความเหมาะสม จึงได้ร่วมกัน จับจองถากถางปรับแต่งพื้นที่บริเวณชายทะเล มีเป้าหมาย ที่จะร่วมกันสร้างชะอ�ำให้เป็นแหล่งที่พักตากอากาศที่ สมบูรณ์แบบ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ หัวหน้าคณะกรรมการวางแผนและด�ำเนินการ สร้างสรรค์ชายทะเลชะอ�ำ ทรงตั้งพื้นที่บริเวณนี้ว่า “สหคามชะอ�ำ” ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นมีความเชื่อกัน อย่างแพร่หลายว่าอากาศชายทะเลจะบรรเทาอาการป่วยได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เพื่อใช้เป็นที่ประทับ รักษาพระองค์ที่ชายหาดชะอ�ำ บรรดาเจ้านายและขุนนาง ก็พากันมาจับจองที่ดินชายทะเลในบริเวณใกล้ ๆ กัน เพื่อ สร้างที่พักตากอากาศเพิ่มขึ้นเรียงรายบนชายหาด นับตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ป่า เขา ถ�้ำ หาดทราย ชายทะเล ตลอดจน วัดวาอารามของเมืองเพชรบุรี ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมสูงมาจนถึงปัจจุบัน๔๗ แม่น�้ำเพชรบุรีช่วงไหลผ่านตัวเมืองเพชรบุรี (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) เรือนปลุกปรีดี ริมหาดชะอ�ำ ๔๗ ศรัณย์ ทองปาน. เมืองประวัติศาสตร์ นครวัฒนธรรม : เพชรบุรี (กรุงเทพฯ : สารคดี, ๒๕๓๗) หน้า ๕๒ 80 พื้นภูมิเพชรบุรี


เพชรบุรีในกระแสความเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการเปิดประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีผลกระทบ ท�ำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อเมืองเพชรบุรีในหลาย ๆ ด้าน มีการเปลี่ยนทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ค่านิยมต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สืบเนื่องต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดระเบียบ การปกครองหัวเมืองใหม่ จึงมีการก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น มีการปรับปรุงการคมนาคม สร้างถนนและการเดินรถไฟ ท�ำให้เมืองเพชรเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ มากมาย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครคีรี ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนโดยถือเอาพระนครคีรีเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อตัดถนนไปยังส่วน ต่าง ๆ ของเมือง นอกจากนั้นยังให้สร้างสะพานข้ามล�ำน�้ำเพชร เรียกว่าสะพานช้าง ถนนที่สร้างในสมัยนี้มี ถนนราชวิถี (จากเชิงเขาไปถึงท่าน�้ำ) ถนนจากเชิงเขามหาสวรรค์ไป เขาหลวง ถนนจากเชิงสะพานช้างไปถึงเขาบันไดอิฐ ถนนขวางถนนราชวิถีถึงถนนบันไดอิฐ นับเป็นการวางรูปแบบโครงสร้างถนนโดยใช้โครงสร้างเมืองแบบตาราง นอกจากนั้น ยังทรงให้สร้างตึกแถวริมถนนตลาดเมืองเพชรบุรี ๒ แถว ในรัชกาลต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงด�ำริจะสร้าง ที่ประทับใหม่ที่บ้านปืน ในการเตรียมการสร้างพระราชวังใหม่นั้น ได้ทรงเตรียมเรื่องเส้นทาง สะพานช้างในอดีต (ที่มา : หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ) ภูมิสถาน 81


คมนาคมด้วย โดยทรงให้ตัดถนนหลายสายในตัวเมืองเพชรบุรี เช่น ถนนราชด�ำเนิน ถนนราชด�ำริ ถนนด�ำรงรักษ์ และถนนบริพัตร เพื่ออ�ำนวยความสะดวกเวลาที่พระองค์เสด็จฯ และให้ประชาชนได้ใช้สัญจรไปมาด้วย ถนนราชด�ำเนิน เริ่มตั้งแต่ทางรถไฟเหนือสถานีรถไฟ มาจนถึงวงกลมมุมพระราชวังบ้านปืน ถนนด�ำรงรักษ์ เริ่มตั้งแต่ถนนราชด�ำเนินลงไปถึงแม่น�้ำ เหนือพระราชวังบ้านปืน ถนนราชด�ำริ เริ่มตั้งแต่ถนนราชด�ำเนิน ไปจนกระทั่งสะพาน อุรุพงษ์ช่วงหนึ่ง ตั้งแต่สะพานอุรุพงษ์ไปจนถึงสถานีช่วงหนึ่ง ถนนบริพัตร เริ่มตั้งแต่ ถนนราชด�ำริไปบรรจบถนนวัดป้อม การปรับปรุงเมืองโดยการน�ำถนนแบบตารางมาใช้ท�ำให้รูปแบบการใช้ที่ดินของเมือง มีระเบียบมากขึ้น ลักษณะอาคารบ้านเรือนไทยเดิมที่ผูกพันทางน�้ำ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มาเป็นอาคารบ้านเรือนริมถนน อาคารร้านค้าเริ่มสร้างเรียงรายไปตามถนนสายต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือย่านการค้าซึ่งแต่เดิมมีตลาดใหญ่อยู่ปากคลอง เมื่อ มีการสร้างถนนท�ำให้ตลาดริมถนนแพร่หลายมากขึ้น เมืองได้ย้ายมาจากชุมชนริมแม่น�้ำ เพชรบุรีขึ้นมาทางตะวันตกของแม่น�้ำตามแนวถนนราชวิถี มีการสร้างอาคารเรือนแถวไม้ สร้างขึ้นใหม่ตามแนวถนนหน้าวัดมหาธาตุ ทางฝั่งตะวันออกมีการขยายตัวของชุมชนริมถนน เช่น ที่หน้าวัดเกาะ เป็นต้น ภาพของเมืองเพชรบุรีในช่วงดังกล่าวเห็นได้จากพระวิจารณ์ของสมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เมื่อทรงด�ำรงต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมือง พ.ศ. ๒๔๔๑ ว่า “...เวลาเช้าเดินไปตามถนนริมน�้ำฝั่งตะวันตก มีบ้านเรือนราษฎรมาก แต่ไม่เปนตลาดยี่สานใหญ่โตอย่างฝั่งตะวันออก คงยุติได้ว่าท�ำเล บ้านเรือนเมืองเพ็ชรบุรีตั้งหนาแน่นอยู่ริมน�้ำทั้งสองฝั่ง แต่ฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่ง ตะวันตก...” ๔๘ ส่วนสถานที่ราชการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำ “...ไปตรวจดูศาลากลางซึ่งตั้งอยู่ริมน�้ำ ตรงน่าจวนผู้ว่าราชการเมือง ศาลากลางนี้ท�ำเปนตึก ๒ ชั้นอย่างโบราณ ใหญ่ ๑ หลัง เล็ก ๒ หลัง แต่เพราะช�ำรุดไม่ได้ซ่อมแซม จึงไม่ได้ใช้เปนศาลากลาง ... แต่ที่ว่าการเมือง ต้องจัดตั้งที่อื่น เพราะตรงนี้อยู่หลังตลาดคับแคบจอแจนัก...” บางส่วนใช้อาคารเดิมของ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ “... ท�ำเนียบสมเด็จเจ้าพระยา ท�ำเนียบที่นี้มีเป็น ๔ หมู่ ว่าเดิมเปน ท�ำเนียบกรมหลวงวงษา หมู่ ๑ กรมหมื่นวิศณุนารถ หมู่ ๑ สมเด็จเจ้าพระยา หมู่ ๑ เจ้าพระยาทิพากรวงษ์หมู่ ๑ หมู่ท�ำเนียบสมเด็จเจ้าพระยา ใช้เปนโรงทหาร ใช้เปน โรงโทระเลขอีกหมู่ ๑ ว่างเปล่าอยู่ ๒ หมู่...” ๔๙ ๔๘ จดหมายเหตุระยะทางเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมืองใน ร.ศ. ๑๑๗,๑๑๙ (กรุงเทพฯ : ข่าว ทหารอากาศ, ๒๕๑๕) หน้า ๔๙ ๔๙ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๔๕. 82 พื้นภูมิเพชรบุรี


ร่องรอยความเป็นบ้านเป็นเมืองของเมืองเพชรบุรีในช่วงที่ได้รับกระแสความ เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงให้มีความศิวิไลซ์ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของศิลปกรรมนั้นนอกจาก พระราชวังที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น แล้ว ยังมีอาคารศาสนสถาน สถานที่ราชการ บ้านเรือน ที่มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม ศาสนสถาน มีการผสมผสานศิลปะไทย จีน และตะวันตกเข้าด้วยกัน ที่เห็นชัดเจน คือ หอระฆังของหลายวัดในเมืองเพชรบุรี เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดมหาสมณาราม วัดท่าคอย นอกจากนี้ยังมีกุฏิสงฆ์แบบเรือนปั้นหยาแฝดที่วัดสนามพราหมณ์ เป็นต้น สถานที่ราชการ อาคารสถานที่ราชการที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ นั้น ไม่เหลือหลักฐานให้เห็นมากนัก แต่หลักฐานจากภาพถ่ายเก่าท�ำให้เห็นว่ามีอาคารแบบ อิทธิพลตะวันตกหลายแห่งในเมืองเพชรบุรี เช่น ศาลจังหวัดเพชรบุรี (พ.ศ. ๒๔๕๑) ตั้งอยู่ บนถนนราชวิถี มีลักษณะคล้ายกับอาคารศาลมณฑลราชบุรีที่สร้างในราวปลายรัชกาลที่ ๕ เช่นเดียวกัน ซึ่งมีรูปแบบคล้ายโบสถ์คลาสสิคแบบฟื้นฟูเรอเนสซองส์ อาคารสถานที่ราชการ ที่สร้างในราวปลายรัชกาลที่ ๕ ถึงต้นรัชกาลที่ ๖ มักสร้างอย่างเรียบง่าย เน้นประโยชน์การ ใช้สอยเป็นหลัก อาคารที่สร้างในช่วงเวลาดังกล่าวในเมืองเพชรบุรี ที่เป็นอาคารก่ออิฐ ฉาบปูนชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว เช่น ศาลาว่าการเมืองเพชรบุรี กลุ่มอาคารในกรมทหารราบที่ ๑๒ ๕๐ ได้แก่ อาคารที่ท�ำการกรมทหารราบที่ ๑๒ โรงพยาบาล และคลัง หอทะเบียนที่ดินเมืองเพชรบุรี สร้างเสร็จ พ.ศ. ๒๔๕๔ มีหลังคาเป็นทรงจั่ว ศาลจังหวัดเพชรบุรี ที่มีลักษณะคล้ายอาคาร ศาลมณฑลราชบุรี (ที่มา : หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ) ๕๐ กรมทหารราบที่ ๑๒ จังหวัดเพชรบุรี ปัจจุบันคือ กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ค่าย เพชรบุรีราชสิรินธร จ.เพชรบุรี ภูมิสถาน 83


อาคารที่ท�ำการ กรมทหารราบที่ ๑๒ (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ภาพถ่ายเก่า ศาลาว่าการเมืองเพชรบุรี (ที่มา : หอจดหมายเหตุ แห่งชาติ) หอทะเบียนที่ดินเมืองเพชรบุรี 84 พื้นภูมิเพชรบุรี


บ้านพักอาศัย อาคารที่พักอาศัยในเมือง เพชรบุรี ในช่วงการเปลี่ยนแปลงรับอิทธิพล สถาปัตยกรรมตะวันตก มีหลักฐานจากภาพถ่าย เก่าและยังหลงเหลือหลักฐานให้เป็นอยู่บ้าง เช่น เรือนส�ำหรับผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑๒ บ้านเรือนริมแม่น�้ำเพชรบุรี เป็นต้น บ้านพักตากอากาศ ริมชายหาดชะอ�ำ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง หลังคาเครื่องไม้ ทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์ ชั้นบน ด้านหน้ามีมุขยื่นออกทั้งด้านซ้ายและขวา ช่องลม เป็นไม้ฉลุลายตกแต่ง มีหน้าต่างไม้จ�ำนวนมาก ส�ำหรับเปิดรับลมทะเล ด้านหน้ามักมีระเบียง โปร่ง เรือนปั้นหยา ริมฝั่งแม่น�้ำเพชร บ้านวรีรมย์ ริมชายหาดชะอ�ำ ภาพถ่ายเก่าเรือนผู้บังคับการกรม ทหารราบที่ ๑๒ (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ภูมิสถาน 85


เรือนแถวไม้สองชั้น หน้าวัดมหาธาตุ ด้านล่าง มีประตูแบบบานเฟี้ยม มีระเบียงลอยด้านหน้า มรดกสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่หลงเหลืออยู่ในย่านการค้าเดิม ตลาดหน้าวัดมหาธาตุ มีเรือนแถวไม้อยู่หลายชุด หนึ่งในชุดเรือนแถวไม้ที่เก่าสุด ในกลุ่ม เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามหน้าวัดมหาธาตุ ลักษณะเป็น เรือนไม้แบบสองชั้น ปลูกโดยให้พื้นที่ชั้นบนและชั้นล่างซ้อนตรงกันขึ้นไปแบบเต็มเนื้อที่ หลังคาแบบเรือนปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าว ตัวเรือนเป็นเรือนแบบหน่วยเดียวประกอบด้วย ๒ ห้องคูหา ส่วนหน้าใช้เพื่อประกอบการค้า มีประตูเปิด-ปิดแบบเฟี้ยมไม้ ส่วนช่วงหลัง เป็นครัว ห้องน�้ำ ห้องนอน ส่วนชั้นบนใช้เป็นที่พักอาศัยทั้งหมด ด้านหน้าเรือนท�ำเป็น ระเบียงลอย กั้นลูกกรง ตกแต่งเป็นลายขวางไขว้กันแบบข้าวหลามตัด เรือนแถวไม้แบบสองชั้นอีกชุดหนึ่ง ตั้งอยู่บนถนนด�ำเนินเกษมฝั่งตรงข้ามกับ วัดมหาธาตุ ทางทิศเหนือ ลักษณะเป็นชุดเรือนแถวขนาดเล็กแบบหน่วยเดียว มีโครงสร้าง เป็นแบบ ๓ ห้องคูหา ส่วนช่วงหน้าใช้เป็นที่วางสินค้า มีบานประตูเปิด-ปิดแบบเฟี้ยม ส่วนช่วงหลังเป็นครัว พักผ่อน ห้องน�้ำ ส่วนชั้นบนใช้เป็นที่พักอาศัยทั้งหมด มีส่วนของ ระเบียงลอยด้านหน้าแบบแคบ ๆ ยื่นยาวตลอดความกว้างอาคาร รูปทรงอาคารเป็น เรือนแถวหลังคาทรงจั่วแบบเรียบง่าย 86 พื้นภูมิเพชรบุรี


เรือนแถวไม้สองชั้น ตลาดหน้าวัดเกาะ มีหลังคาจั่วผืนใหญ่คลุมและมีระเบียงลอย เรือนแถวไม้สองชั้นชุดเล็ก ๓ คูหา หัวถนนวัดเกาะ ตลาดหน้าวัดเกาะ เป็นตลาดที่มีลักษณะพิเศษ แห่งหนึ่งที่มีการปลูกเรือนแถวไม้เป็นรูปลักษณะยาว ประกอบ ๒ ฟากถนนซึ่งขนานไปกับล�ำแม่น�้ำ ชี้ให้เห็น ว่าการท�ำกิจกรรมค้าขายนั้นไม่ได้เป็นอย่างตลาดสด ทั่วไป แต่เป็นระบบแบบขายปลีกในลักษณะของย่าน การค้าที่อยู่ในเส้นทางผ่าน รูปแบบทางสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่ท�ำเป็นรูปทรงอาคารที่มีหลังคาจั่วโครงใหญ่ ผืนเดียวคลุมทั้งหลัง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะ เฉพาะแบบพื้นถิ่นของช่างพื้นบ้านที่นี่ ตัวอย่างคือ เรือนแถวไม้แบบสองชั้นชุดเล็ก ตั้งอยู่บนหัวถนนจากวัดเกาะ ลักษณะเรือนแถวแบบ ๓ คูหา การใช้งานนั้นจะใช้ช่วงเสาในทางลึกของช่วง ที่ ๑ และ ๒ ส�ำหรับท�ำการค้าขาย ส่วนช่วงสุดท้าย ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนและพื้นที่เอนกประสงค์ ชั้นบน เป็นส่วนที่พักอาศัยทั้งหมด และมีการท�ำระเบียงลอย แบบแคบ ๆ ทางส่วนหน้า ฝาชั้นบนด้านหน้าเป็น เกล็ดไม้ ระบายลมได้ ภูมิสถาน 87


ลายฉลุไม้แบบโปร่งที่ตกแต่งเรือนแถวไม้ ตลาดหน้าวัดเกาะ ลายฉลุไม้ตกแต่งเหนือบานประตู และช่องลมเรือนแถวไม้ ตลาดหน้าวัดเกาะ เรือนแถวชั้นเดียวในตลาดบ้านแหลม อีกชุดหนึ่งเป็นเรือนแถวชุดเล็ก ตั้งอยู่ฝั่ง ตรงข้ามกับตรอกท่าขี้ มีลักษณะเป็นเรือนไม้สองชั้น แบ่งเป็น ๕ ช่วงเสาทางด้านกว้าง แต่กั้นแยกออกจาก กันให้เป็นเพียง ๒ หน่วย คือ แบบ ๓ ห้องคูหากับ ๒ ห้องคูหา มีหลังคาจั่วผืนใหญ่คลุมตลอดเพียง ชุดเดียวตามแบบฉบับเฉพาะของช่างเมืองเพชร รวมทั้งการท�ำระเบียงลอยชั้นบนแบบแคบ ๆ ที่มี กันสาดปีกนกซุกอยู่ด้านล่าง ลักษณะเด่นของเรือนแถวชุดนี้ไม่ได้อยู่ที่ แบบแผนหรือระเบียบของการออกแบบแผนผัง เนื่องจากยังคงแยกส่วนประโยชน์ใช้สอยตามปกติ คือ ด้านล่างใช้เป็นพื้นที่ค้าขาย ในขณะที่ส่วนหลัง เป็นพื้นที่ประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรม ในการด�ำรงชีวิตแต่ละวัน โดยมีบันไดเชื่อมไปสู่ ชั้นบนส�ำหรับใช้เป็นส่วนที่พักอาศัย แต่คุณค่าทาง สถาปัตยกรรมที่ว่านี้ นอกจากจะอยู่ที่แบบแผนในเชิง รูปทรงของสกุลช่างเมืองเพชรแล้ว สิ่งส�ำคัญยิ่ง อีกประการหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่ององค์ประกอบของ อาคาร โดยเฉพาะองค์ประกอบเรื่องการตกแต่งอาคาร ด้วยลายฉลุไม้เหนือบานประตูชั้นบนและช่องลม บนปลายผนังที่มีความวิจิตรประณีตและงดงาม ตามแบบฉบับของกระแสอิทธิพลของเรือนไม้ชนิด มีระบายและลายฉลุแบบโปร่งที่ได้รับมาจากเรือน แบบขนมปังขิง (Ginger Bread) ตลาดบ้านแหลม อ�ำเภอบ้านแหลม มี เรือนแถวค้าขายทั้งแบบเรือนแถวชั้นเดียว และ เรือนแถวสองชั้น เรือนแถวสองชั้นนั้นปลูกสร้าง ขนาบถนนทางเข้าตลาดก่อนข้ามสะพานวิชัยวัฒนะ ริมคลองตลาด เป็นเรือนแถวสองชั้นโครงสร้างอาคาร และผนังเป็นไม้ หลังคาโครงสร้างเป็นทรงปั้นหยา มุงหลังคาด้วยสังกะสีลอน ด้านหน้าอาคารบริเวณ ชั้นสองเคยมีระเบียงประดับด้วยลวดลายฉลุไม้ 88 พื้นภูมิเพชรบุรี


เรือนไม้หลังหนึ่งในตลาดบ้านน้อย มีช่องลมไม้ฉลุลายพันธุ์พฤกษางดงาม ฝาเป็นฝาเฟี้ยมและมีระเบียงสามด้าน ตลาดบ้านน้อย อ�ำเภอเขาย้อย อาคารร้านค้า ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ชั้นบน ใช้เป็นที่พักอาศัย บางหลังมีระเบียงพักผ่อนยื่นออกมา ด้านหน้าของตัวเรือน ชั้นล่างนิยมท�ำเป็นบานเฟี้ยมไม้ ซึ่งเปิดได้ตลอดช่วงเสาเพื่อเปิดเป็นหน้าร้านประกอบ กิจการค้าขายและรับแขก ส่วนเรือนที่อยู่อาศัยเป็น เรือนไทยและเรือนปั้นหยา ด้วยเหตุที่คนส่วนใหญ่ ที่อยู่ในตลาดบ้านน้อยเป็นคนเชื้อสายจีน จึงมีงาน สถาปัตยกรรมที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นลักษณะเด่น เห็นได้ชัดจากการเปิดด้านข้างทาง ด้านยาวของเรือนเป็นหน้าบ้าน เพื่อใช้เป็นหน้าร้าน ประกอบกิจการค้า การนิยมใช้ฝาเฟี้ยมที่พัฒนามาจาก ฝาหน้าถังอย่างมาก เรือนบางหลังมีการตกแต่งด้วย สัญลักษณ์มงคลแบบจีนทั้งหลัง ภาพสะท้อนร่องรอยความรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็น แหล่งชุมชนเก่าแก่ มรดกทางศิลปวัฒนธรรมแขนง ต่าง ๆ ที่หลงเหลืออยู่นี้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ ในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เมืองเพชรบุรี เป็น เครื่องยืนยันให้เห็นถึงความส�ำคัญของเมืองนี้ได้เป็น อย่างดี ส่วนข้อสรุปที่ให้ภาพเมืองเพชรบุรีเด่นชัดที่สุด เห็นได้จากรายงานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ในคราวเสด็จตรวจราชการ หัวเมือง (มณฑลกรุงเก่า มณฑลนครไชยศรี มณฑล ราชบุรี ใน ร.ศ. ๑๑๗ (พ.ศ. ๒๔๔๑) “...รวบรวมเนื้อ เห็นในส่วนเมืองเพ็ชรบุรีที่ได้ไปตรวจในคราวนี้ เห็นว่าจะหาเมืองใดในพระราชอาณาเขตรที่ดีกว่า เมืองเพ็ชรบุรีนี้ จะหาได้ด้วยยาก เปนเมืองที่ ภูมิล�ำเนาดี ที่น�้ำที่ดินอุดมด้วยทรัพย์ ซึ่งจะเกิด สิ่งสินค้าต่าง ๆ แลผู้คนก็บริบูรณ์...” เรือนไม้สองชั้นหลังคาทรงปั้นหยา ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายยา ในตลาดบ้านน้อย ภูมิสถาน 89


มรดกพุทธศิลป์ถิ่นเมืองเพชร : แรงศรัทธาที่ยืนยาว วัดใหญ่สุวรรณารามแหล่งรวมมรดกพุทธศิลป์ วัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของเมืองเพชร อยู่ในกลุ่มวัด ภายในเมืองบริเวณศูนย์กลางเมือง มีวัดวัง ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ใกล้กับเขตพระราชวัง ประกอบกับชื่อบ้านนามเมืองบริเวณนี้ที่เรียกว่า ต�ำบลหน้าพระลาน วัดนี้แต่เดิม เรียกกันว่า “วัดน้อยปากใต้ วัดน้อยปักษ์ใต้ หรือ วัดนอกปากใต้ ” ส่วนสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “วัดใหญ่” คงเป็นเพราะมีบริเวณกว้างขวางใหญ่โต เชื่อกันว่าพระสุวรรณมุนี (ทอง) ได้มา ปฏิสังขรณ์วัดนี้ แล้วคงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ ตามสมณศักดิ์ว่า วัดสุวรรณาราม แต่ชาวบ้าน ยังคงเรียกวัดใหญ่อยู่จึงเรียกรวมกันว่า “วัดใหญ่สุวรรณาราม” หลักฐานโบราณสถาน และโบราณวัตถุในวัดแสดงถึงความเก่าแก่ที่น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยก วัดใหญ่สุวรรณารามขึ้นเป็นพระอารามหลวง และเสด็จทอดพระเนตรหลายครั้ง พร้อมทั้งพระราชทานเงินส�ำหรับการปฏิสังขรณ์วัดด้วย แสดงถึงความส�ำคัญของ วัดใหญ่สุวรรณารามที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด วัดใหญ่สุวรรณารามนั้น เป็นแหล่งรวมศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมสมัยโบราณโดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงคุณค่าทางด้านสุนทรียศาสตร์ อาทิ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หรือ แม้แต่ถานหรือส้วมพระ พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ถือเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง และคงได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อมาอีกในสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในมีภาพจิตรกรรม ฝาผนัง ภาพพุทธประวัติและเทพชุมนุม เสาและเพดานมีการตกแต่งด้วยลายทองบนพื้น แดงอย่างวิจิตร โดยเฉพาะภาพทวารบาลหลังบานประตูกลาง ส�ำหรับจิตรกรรม เทพชุมนุมในพระอุโบสถวัดใหญ่ ถือเป็นฝีมือช่างชั้นครู “ถึงฝีมือช่างหลวงทุกวันนี้ ก็ยากที่จะท�ำให้เข้ากันกับของเดิมได้... .ไม่มีฝีมือแห่งใดในกรุงเทพฯ เหมือนเลย” ๑ ผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจในการถ่ายทอดคติความเชื่อเดิม ทั้งยังมีวิหารคดล้อมรอบ พระอุโบสถที่ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างชั้นครูในเมืองเพชร แม้แต่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงโปรด ๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(พระราชหัตถเลขา เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปีระกา พ.ศ. ๒๔๕๒), หน้า ๒๕. 90 พื้นภูมิเพชรบุรี


วัดใหญ่สุวรรณารามแหล่งรวมมรดกพุทธศิลป์ วัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของเมืองเพชร อยู่ในกลุ่มวัด ภายในเมืองบริเวณศูนย์กลางเมือง มีวัดวัง ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ใกล้กับเขตพระราชวัง ประกอบกับชื่อบ้านนามเมืองบริเวณนี้ที่เรียกว่า ต�ำบลหน้าพระลาน วัดนี้แต่เดิม เรียกกันว่า “วัดน้อยปากใต้ วัดน้อยปักษ์ใต้ หรือ วัดนอกปากใต้ ” ส่วนสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “วัดใหญ่” คงเป็นเพราะมีบริเวณกว้างขวางใหญ่โต เชื่อกันว่าพระสุวรรณมุนี (ทอง) ได้มา ปฏิสังขรณ์วัดนี้ แล้วคงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ ตามสมณศักดิ์ว่า วัดสุวรรณาราม แต่ชาวบ้าน ยังคงเรียกวัดใหญ่อยู่จึงเรียกรวมกันว่า “วัดใหญ่สุวรรณาราม” หลักฐานโบราณสถาน และโบราณวัตถุในวัดแสดงถึงความเก่าแก่ที่น่าจะมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยก วัดใหญ่สุวรรณารามขึ้นเป็นพระอารามหลวง และเสด็จทอดพระเนตรหลายครั้ง พร้อมทั้งพระราชทานเงินส�ำหรับการปฏิสังขรณ์วัดด้วย แสดงถึงความส�ำคัญของ วัดใหญ่สุวรรณารามที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด วัดใหญ่สุวรรณารามนั้น เป็นแหล่งรวมศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมสมัยโบราณโดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงคุณค่าทางด้านสุนทรียศาสตร์ อาทิ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หรือ แม้แต่ถานหรือส้วมพระ พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ถือเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง และคงได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อมาอีกในสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในมีภาพจิตรกรรม ฝาผนัง ภาพพุทธประวัติและเทพชุมนุม เสาและเพดานมีการตกแต่งด้วยลายทองบนพื้น แดงอย่างวิจิตร โดยเฉพาะภาพทวารบาลหลังบานประตูกลาง ส�ำหรับจิตรกรรม เทพชุมนุมในพระอุโบสถวัดใหญ่ ถือเป็นฝีมือช่างชั้นครู “ถึงฝีมือช่างหลวงทุกวันนี้ ก็ยากที่จะท�ำให้เข้ากันกับของเดิมได้... .ไม่มีฝีมือแห่งใดในกรุงเทพฯ เหมือนเลย” ๑ ผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจในการถ่ายทอดคติความเชื่อเดิม ทั้งยังมีวิหารคดล้อมรอบ พระอุโบสถที่ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างชั้นครูในเมืองเพชร แม้แต่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงโปรด พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม และวิหารคดฝีมือช่างชั้นครูเมืองเพชร จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ภูมิสถาน 91


ศาลาการเปรียญ เป็นตัวอย่างเรือนหลวง รวมฝีมือช่าง หลายแขนงไว้ ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างเขียน ช่างแกะสลัก งานรดน�้ำปิดทอง งานจ�ำหลักไม้ อาคารหลังนี้เป็นเรือนไทย ขนาดใหญ่ หลังคาหัวท้ายยกเป็นมุข เรียกว่า มุขประเจิด หรือมุขทะลุขื่อ ซึ่งเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมไทยสมัย อยุธยา หน้าบันประดับด้วยไม้จ�ำหลักรูปกนกก้านขดช่อหางโต แบบอยุธยาเช่นเดียวกัน ฝาผนังเป็นไม้แบบฝาปะกน ตัวฝา กระดานมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ฝาด้านนอกเดิมเขียนลายทอง มีพรึงเป็นรูปกระจังปฏิญาณขนาดใหญ่ประดับโดยรอบอาคาร ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ ประตูทางเข้าศาลาการเปรียญ ด้านทิศตะวันออกมี ๓ บาน ตั้งอยู่ในกรอบเช็ดหน้าท�ำเป็นรูป ซุ้มเรือนแก้ว เน้นเป็นพิเศษที่ประตูกลางซึ่งบานประตูเป็นไม้ มีการจ�ำหลักลายกนกก้านขดปิดทองตามแบบศิลปะอยุธยา ส่วนทางด้านทิศเหนือมีหน้าต่างรูปแบบพิเศษ ๒ ช่อง โดย ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม ตัวอย่างเรือนหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยา เสาลายรดน�้ำปิดทองลายไม่ซ�้ำกัน ในศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม 92 พื้นภูมิเพชรบุรี


จิตรกรรมบนฝาผนังด้านในศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม สมัยกรุงศรีอยุธยา ถาน (ส้วมพระ) ในวัดใหญ่สุวรรณราม มีกรอบเช็ดหน้าประดับด้วยซุ้มเรือนแก้วปิดทอง ฝาผนังภายในศาลาการเปรียญมีภาพจิตรกรรม เขียนเป็นภาพเทพชุมนุม ทวารบาล และภาพสัตว์ ชนิดต่าง ๆ เสาศาลาการเปรียญเขียนเป็นลาย รดน�้ำแตกต่างกันในแต่ละคู่ งานไม้ของอาคาร หลังนี้นอกจากหน้าบันกับบานประตูจะเป็นงาน แกะสลักไม้ชั้นเลิศแล้ว ยังมีคันทวยขนาดใหญ่ ที่จ�ำหลักอย่างได้สัดส่วนงดงาม เป็นรูปพญานาค ห้อยหัวมารับโครงสร้างทุกช่วงเสา เป็นแบบอย่าง ให้แก่วัดอีกหลายวัดในเมืองเพชรบุรี หอไตร ตั้งอยู่กลางสระน�้ำ ลักษณะเป็น อาคารไม้ทรงไทยชั้นเดียวมีเสาไม้ ๓ เสา ซึ่งเป็น รูปแบบพิเศษ นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่ส�ำคัญ อีกหลายอย่างภายในวัดใหญ่สุวรรณาราม เช่น หมู่กุฏิสงฆ์ ศาลาโถง หอระฆัง หอไตรหลังใหม่ พระปรางค์ เจดีย์ ถาน เป็นต้น ซึ่งมีรูปแบบศิลปกรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ที่มี คุณค่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ส�ำคัญของชาติ โดยเฉพาะหมู่กุฎิสงฆ์มีฝาเรือนไทยแบบต่าง ๆ ให้ศึกษาได้แทบครบทุกแบบ รวมถึงถานหรือ ส้วมส�ำหรับพระภิกษุที่เป็นอาคารทรงไทยย่อส่วน นอกจากศิลปะสถาปัตยกรรมแล้วยังมีงานด้าน ประติมากรรมชั้นครูอีก อาทิ พระประธานใน พระอุโบสถ งานปูนปั้นปิดทองประดับจกฐานชุกชี พระประธาน พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถ เป็นต้น ภูมิสถาน 93


เมืองเพชรในเส้นทางไหว้พระบาทลังกากับคติ การบูชารอยพระพุทธบาทในเมืองเพชร ปูนปั้นวัดไผ่ล้อมเล่าเรื่องพระบาทลังกากับพุทธโฆษะนิทาน ภาพปูนปั้นบนผนังอุโบสถวัดไผ่ล้อม ด้านบนสุดของผนัง เป็นภาพรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ มีเครื่องสูงบูชา มีภาพโขดเขา หน้าผา ศาลาที่พักเรียงรายเป็นระยะ ผู้แสวงบุญต้องเดินทาง อย่างล�ำบาก มีบันไดเป็นสายโซ่ให้ป่ายปีนขึ้นไป เมื่อเปรียบเทียบกับ ภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่ต�ำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทธไธสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา มีภาพพระบาทลังกา เขียนภาพ พระบาทประดิษฐานอยู่บนยอดเขาสูงชัน หนทางที่จะขึ้นไปกันดาร ยากเข็ญ บรรดาภิกษุสงฆ์ต้องป่ายปีนขึ้นบันไดแผ่นไม้ที่สอดไว้ กับห่วงโซ่ บ้างก็ต้องฉุดรั้งกันขึ้นไป และบนเขามีส�ำนักหรือ ที่พ�ำนักของฤาษีชีไพร ผู้แสวงวิเวก ดังนั้นนักวิชาการจึงก�ำหนด อายุงานปูนปั้นวัดไผ่ล้อมนี้ว่าร่วมสมัยกับภาพจิตรกรรมที่ต�ำหนัก พระพุทธโฆษาจารย์ อยู่ในราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๒๓ อุโบสถวัดไผ่ล้อมมีสองตอน ผนังด้านนอกของอาคารเดิม มีภาพประติมากรรมปูนปั้น เรื่องพระบาทลังกาและ พุทธโฆษะนิทาน 94 พื้นภูมิเพชรบุรี


ภาพปูนปั้นผนังวัดไผ่ล้อมนอกจากเรื่องพระบาทลังกา และพุทธโฆษะนิทานแล้วยังมีพุทธประวัติตอนอัฐมหาสถาน และสัตตมหาสถานด้วย ภูมิสถาน 95


การนับถือรอยพระพุทธบาทในสังคมชาวสยามมีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่ยอดเขาสมณกูฏในเกาะลังกา เนื่องจากนับถือกันว่าเป็น ปูชนียสถานที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ด้วยว่าเป็นบริโภคเจดีย์ เนื่องในพระบรมศาสดา มาแต่เดิม คติการนับถือบูชารอยพระพุทธบาทที่เขาสมณกูฏนี้ คงแพร่หลายเข้ามาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เมื่อพุทธศาสนาจากลังกาเผยแผ่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย มีเค้าเงื่อนมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ ดังมีการกล่าวถึงการจ�ำลองรอย พระพุทธบาทจากลังกามาประดิษฐานไว้ในแว่นแคว้น ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย หลายหลัก นอกเหนือการจ�ำลองรอยพระพุทธบาทเขาสมณกูฏมาประดิษฐานไว้ เป็นเจดียสถาน ที่สักการะแห่งบ้านเมืองแล้ว ยังพบว่ามีการแสดงภาพรอย พระพุทธบาทลังกาในงานช่างต่าง ๆ ของไทยด้วย ทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนัง ดังเช่นที่ ต�ำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ภาพเขียนในสมุดข่อย คัมภีร์ ภาพ ลายรดน�้ำ ตลอดจนปูนปั้นประดับอาคารอย่างที่วัดไผ่ล้อมนี้ ต้นแบบหรือที่มาของความรู้ที่ช่างจะใช้ในการเขียน การปั้นรอยพระพุทธบาท ณ เขาสมณกูฏนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากบรรดาพุทธบริษัทที่เคยได้เดินทางไปนมัสการ มาแต่ก่อน ด้วยคงมีการจาริกแสวงบุญไปยังพระบาทลังกาเสมอมิได้ขาด ผู้เดินทาง เหล่านี้คงได้บันทึกจดหมายเหตุระยะทางไว้ และกลายเป็นต้นเค้าที่มาของแผนที่ เกาะลังกา และระยะทางขึ้นไปไหว้พระบาทเขาสมณกูฏ ในสมุดภาพไตรภูมิ ซึ่งคัดลอก ขึ้นใหม่จากต้นฉบับเดิม ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๙ ในภาพ พระพุทธบาทเขาสมณกูฏนี้มีบันไดสายโซ่ พร้อมค�ำบรรยายอยู่ด้วย บันไดสายโซ่นี้ ภาพพระบาทบนยอดเขาสมณกูฏ ในเกาะลังกา บนผนังอุโบสถ วัดไผ่ล้อม 96 พื้นภูมิเพชรบุรี


ยังมีอยู่จริงในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เห็นได้จาก บันทึกจดหมายเหตุสมณสงฆ์ไทยที่เดินทางไป นมัสการพระบาทลังกา บันไดสายโซ่นี้เอง จึงเป็น สิ่งที่ช่างชาวสยามน�ำมาแสดงไว้ เมื่อต้องการจะวาด จะเขียนภาพพระบาทลังกา๒ นอกจากภาพพระบาทลังกาแล้วที่ผนัง อุโบสถวัดไผ่ล้อมนี้ยังมีภาพพระพุทธประวัติชุด อัฐมหาสถานและสัตตมหาสถานร่วมกับเรื่อง พุทธโฆษะนิทาน ส่วนที่ยังเหลืออยู่ชัดเจน เป็น เรื่องในขณะที่พระพุทธโฆษะไปแปลคัมภีร์อยู่ใน ชั้นล่างของโลหะปราสาท ซึ่งท�ำเป็นภาพปราสาท เจ็ดชั้น ชั้นล่างตรงกลางเป็นแท่นฐาน มีบุคคล นั่งอยู่บนพื้นเบื้องล่างสองข้างมีร่องรอยว่าเคย มีภาพบุคคลอยู่ ซึ่งคงได้แก่พระพุทธโฆษะกับ ชายเข็ญใจที่น�ำภัตตาหารไปถวาย๓ การแสดงภาพเรื่องพระพุทธโฆษะนิทาน ร่วมกับฉากเกาะลังกา เช่นที่วัดไผ่ล้อมมีเรื่อง พุทธโฆษะร่วมกับพระพุทธบาทเขาสุมนกูฎนี้ มี ให้เห็นมาแล้วในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา ชื่อ เมืองเพชรบุรีนั้นก็อยู่ในเส้นทางการเดินทางไป นมัสการพระบาท ปรากฏหลักฐานอยู่ในสมุดภาพ ไตรภูมิเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการกล่าวถึงเส้นทาง เมืองรายทางไปยังเมืองลังกา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่การรับรู้เรื่องพระบาทลังกาจะถูกถ่ายทอดออก มาสู่งานประติมากรรมประดับศาสนสถานเพื่อเป็น พุทธบูชา ที่ยังเหลือหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวใน เมืองเพชรบุรี ๒ ศรัณย์ ทองปาน. พระบาทลังกา. (เมืองโบราณ ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๑ ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๔๐.), หน้า ๔๓ – ๕๓.๓ ศรัณย์ ทองปาน. พุทธโฆษะนิทานหรือต�ำนานพระสงฆ์ไทยไปลังกา. (เมืองโบราณ ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๑ มกราคม – มีนาคม ๒๕๔๑), หน้า ๙๘ – ๑๑๔. แผนที่โบราณแสดงเมืองต่าง ๆ ระยะทาง และสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท มีชื่อเมือง เพชบุรี ปรากฏอยู่ด้วย ภูมิสถาน 97


รอยพระพุทธบาทในจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถวัดเกาะ ผนังด้านสกัดด้านตะวันตกหรือด้านหลังพระประธานอุโบสถวัดเกาะบริเวณพื้นที่ เหนือประตูทั้งสองด้านเขียนภาพรอยพระพุทธบาทด้านละรอย ด้านทิศเหนือเขียน รอยพระพุทธบาทบนโขดหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภูเขา ด้านล่างมีอาศรมมีภาพดาบส จ�ำนวนมาก ด้านทิศใต้เขียนภาพรอยพระพุทธบาทอยู่ริมแม่น�้ำ แวดล้อมด้วยสัตว์น�้ำ เป็นจ�ำนวนมาก ในอรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกายอุปริปัณาสก์ แต่งขึ้นเพื่อ อธิบายความพระไตรปิฎกปุณโณวาทสูตร ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพระปุณณะเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ทรงตรัสถามถึงการที่พระปุณณะจะเดินทางไปอยู่เมือง สุนาปรันตะ คัมภีร์อรรถกถาปุณโณวาทสูตรได้อธิบายเพิ่มเติมว่าพระปุณณะเป็น ชาวเมืองสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวก ๔๙๙ รูป ได้เสด็จโดยเรือนยอด ที่พระอินทร์โปรดให้พระวิศวกรรมนิมิตให้จ�ำนวน ๕๐๐ หลัง ไปโปรดชาวเมืองนั้น ในระหว่างนั้น พระพุทธองค์ได้พบกับสัจจพันธดาบส ซึ่งเป็นดาบสมิจฉาทิฐิ ตั้งส�ำนัก อยู่บนเขาสัจจพันคีรี พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมจนสัจจพันธดาบสส�ำเร็จอรหันต์ เข้าบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาในพุทธศาสนา ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จกลับ ได้ทรง ประทับรอยพระพุทธบาทจ�ำนวน ๒ รอย คือ ที่ริมฝั่งแม่น�้ำนัมมทา อันเป็นที่อยู่ของ พญานาค และบนเขาสัจจพันคีรี อันเป็นที่อยู่ของสัจจพันธดาบสและบริวาร จากลักษณะ ของภาพพระพุทธบาทที่ผนังอุโบสถวัดเกาะดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นภาพพระพุทธบาท ที่ริมฝั่งแม่น�้ำนัมมทาและพระพุทธบาทบนเขาสัจจพันคีรีที่เขียนขึ้นตามคติจาก อรรถกาปุณโณวาทสูตร อุโบสถวัดเกาะ เป็นสถาปัตยกรรม สมัยอยุธยาตอนปลาย 98 พื้นภูมิเพชรบุรี


การบูชารอยพระพุทธบาทในดินแดนประเทศไทย ก่อนหน้านี้ มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ได้แก่ รอยพระพุทธบาทคู่ที่โบราณสถานสระมรกต อ�ำเภอ ศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งในสมัยนี้การบูชา รอยพระพุทธบาทไม่แพร่หลายนัก ต่อมาในสมัยสุโขทัย คติการบูชารอยพระพุทธบาทแพร่หลายมากขึ้น ใน ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระพุทธบาทที่ถูกสร้างขึ้น โดยเฉพาะในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย สร้างขึ้น ตามคติการจ�ำลองรอยพระพุทธบาทที่เขาสมณกูฏ บนเกาะลังกา ซึ่งมีที่มาจากคัมภีร์มหาวงศ์ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เมื่อ พุทธศตวรรษที่ ๒๒ การค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี และการสถาปนาให้เป็นพระพุทธบาทที่เขาสัจจพันคีรี แสดงให้เห็นว่า คติจากอรรถกถาปุณโณวาทสูตรได้ แพร่หลายขึ้นในระยะนี้ เป็นคติการบูชารอยพระพุทธบาท ที่เป็นการกดประทับลงบนพื้นหินธรรมชาติแบบที่ ไม่อาจเคลื่อนที่ไปไหนได้ หมายถึงรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จฯ มา ณ สถานที่นั้นและทรง กดประทับรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ที่พระองค์ได้เสด็จไปโปรดได้มีสิ่งสักการบูชาแทน พระองค์ จึงเป็นเหตุท�ำให้คติการนับถือพระพุทธบาท ในดินแดนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเปลี่ยนฐานะของ ดินแดนแถบนี้ให้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จฯ มา และเป็นแหล่งบันดาลใจ ส�ำคัญในการเขียนภาพพระพุทธบาทในจิตรกรรมไทย สมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น จิตรกรรมภาพพระพุทธบาท สองรอยที่วัดเกาะนี้ ๔ ภาพรอยพระพุทธบาทริมแม่น�้ำหมายถึง พระพุทธบาทริมฝั่งแม่น�้ำนัมมทา บนผนังด้านหลังพระประธาน อุโบสถวัดเกาะ ภาพรอยพระพุทธบาทบนโขดหินหมายถึง พระพุทธบาทบนเขาสัจจพันคีรี บนผนังด้านหลังพระประธาน อุโบสถวัดเกาะ ๔ เชษฐ์ ติงสัญชลี. พระพุทธบาทสองรอยในจิตรกรรมที่วัดเกาะแก้วสุทธาราม. (เมืองโบราณ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๔๕), หน้า ๑๑๓ – ๑๑๗. ภูมิสถาน 99


Click to View FlipBook Version