The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Channarong Bumrapraksa, 2023-06-15 13:13:49

background-8

background-8

พระพุทธบาทเขาลูกช้างกับความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทที่กดประทับ ลงบนพื้นหิน ในเขตเมืองเพชรบุรียังมีรอยพระพุทธบาทอีกหนึ่งรอย ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง ประวัติกันมากนัก นั่นคือรอยพระพุทธบาทเขาลูกช้าง ส�ำหรับเขาลูกช้างนั้นเป็น เขาหินปูนขนาดย่อม ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรีทางตอนกลางของลุ่มน�้ำ ปัจจุบันอยู่ในเขต บ้านเขาลูกช้าง ต�ำบลท่าไม้รวก อ�ำเภอท่ายาง ตามประวัติกล่าวว่า พรานป่าเป็นผู้พบ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เสด็จทอดพระเนตร เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ปรากฏหลักฐานอยู่ในจดหมายเหตุพระราชกิจ รายวันของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนิราศเขาลูกช้างของ นายต่วน ผู้ใต้บังคับบัญชาของพระเพชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (เทียน บุนนาค) รับหน้าที่เป็นนายกองคุมเลก ท�ำทางและที่ตั้งพลับพลาบริเวณท่ากบชี ซึ่งเป็นท่าน�้ำแม่น�้ำเพชรบุรีที่จะขึ้นไปยัง เขาลูกช้างในการเตรียมการรับเสด็จฯ ในปีเดียวกันนั้นเอง ลักษณะของพระพุทธบาทเขาลูกช้างเป็นรอยพระพุทธบาทที่สลักลึกลงไปใน ภูเขาหินธรรมชาติ เป็นรอยพระบาทเบื้องขวา ทางส้นพระบาทแคบและลึกกว่าทางปลาย พระบาท ซึ่งมีรอยหยักเป็นนิ้วพระบาท ท�ำให้คล้ายรอยเท้าจริง อาจเป็นการตัดแปลง รอยหินธรรมชาติให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับพระพุทธบาทสระบุรี พระบาทเขาลูกช้าง อยู่บนเขาหินปูนขนาดย่อม ริมแม่น�้ำเพชรบุรีตอนกลาง 100 พื้นภูมิเพชรบุรี


หากจะก�ำหนดอายุจากลักษณะทางศิลปกรรมรอยพระพุทธบาทบนเขาลูกช้างนั้น กระท�ำได้ยาก เนื่องจากมิได้มีลวดลายมงคลใด ๆ บนรอยพระบาท แต่กล่าวกันว่า รอยพระพุทธบาทที่ท�ำเหมือนรอยเท้าธรรมชาตินั้นเป็นงานรุ่นแรก ๆ ถ้าพิจารณาถึง ความแพร่หลายของคติการบูชารอยพระพุทธบาทที่เป็นการกดประทับลงบนพื้นหิน ธรรมชาติแบบที่ไม่อาจเคลื่อนที่ไปไหนได้ มีขึ้นภายหลังการค้นพบรอยพระพุทธบาท บนไหล่เขาในเมืองสระบุรี ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม หลังจากนั้นพระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท สืบต่อมาจนถึง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย ในยุคนั้นเชื่อว่าการไปนมัสการพระพุทธบาทนั้นได้บุญแรง จึงนิยมเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท จึงอาจกล่าวได้ว่ารอยพระพุทธบาทเขาลูกช้าง นี้สร้างขึ้นภายหลังสมัยพระเจ้าทรงธรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากคติการบูชา รอยพระบาทแบบประทับบนภูเขาหิน จากความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จฯ มาประทับ รอยพระบาทไว้แพร่หลายมากขึ้น แต่ในยุคนั้นการเดินทางไปสระบุรีต้องใช้ระยะเวลา เดินทางหลายวัน การเดินทางไม่สะดวกสบาย ผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้า โดยอาจเป็นบุคคล ส�ำคัญผู้ใดผู้หนึ่งในเมืองเพชรบุรีได้สร้างรอยพระพุทธบาทบนเขาในป่าเมืองเพชรบุรี เพื่อให้ชาวเพชรบุรีเดินทางไปนมัสการแทนการเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาขึ้นของชุมชนริมแม่น�้ำเพชรบุรีที่สัมพันธ์กับการค้าของป่า สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทเขาลูกช้าง เป็นแบบรอยลึก ในพื้นหินธรรมชาติ ภูมิสถาน 101


รอยพระพุทธบาทจ�ำลองในเมืองเพชรบุรี ส�ำหรับรอยพระพุทธบาทจ�ำลองที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาในฐานะเป็นปูชนียวัตถุ แทนองค์พระพุทธเจ้ามีความส�ำคัญเช่นเดียวกับการบูชาพระพุทธรูปที่เป็นสัญลักษณ์ แทนองค์พระพุทธเจ้า รอยพระพุทธบาทรูปแบบนี้เป็นแบบที่สร้างขึ้นบนวัสดุต่าง ๆ สามารถเคลื่อนย้ายได้และน�ำไปประดิษฐานเพื่อการสักการบูชาตามที่ต่าง ๆ เช่น ภายในวิหาร หรือมณฑป ในเมืองเพชรบุรีพบรอยพระพุทธบาทแบบนี้ที่ก�ำหนดอายุ อยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พบอยู่ในถ�้ำหลวงบนเขาหลวง ถ�้ำหลวงนี้เป็นศาสนสถาน เก่าแก่มาแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ นอกจากนี้ยังมีรอยพระพุทธบาทจ�ำลอง บนศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม ท�ำด้วยโลหะ มีลวดลายมงคล ๑๐๘ แบบศิลปกรรมสมัยอยุธยา จากพุทธศิลป์อันหลากหลายดังกล่าวแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าคติการนับถือพระบาท ในเมืองเพชรมีที่มาจากทั้งสองคัมภีร์ คือ คัมภีร์มหาวงศ์และอรรถกาปุณโณวาทสูตร แสดงให้เห็นถึงความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา และสามารถถ่ายทอด ออกมาเป็นงานพุทธศิลป์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ความรู้ จากคัมภีร์พุทธศาสนาให้พุทธศาสนิกชนรับรู้ผ่านงานศิลปกรรม ด้วยแรงศรัทธาที่ยืนยาว มาจวบจนปัจจุบัน หากแต่พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังมิได้ตระหนักถึงความหมายที่แฝงไว้ ทั้งยังปล่อยปละละเลยให้เสื่อมสภาพและสูญหายไป รอยพระพุทธบาท ในถ�้ำหลวง เขาหลวง เมืองเพชรบุรี 102 พื้นภูมิเพชรบุรี


พระนอนใหญ่ในเมืองเพชรบุรี พระนอนใหญ่เชิงเขาสมน (วัดพระพุทธไสยาสน์) บริเวณเชิงเขาสมน (เขาวัง) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภายในวัดมี พระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ในวิหาร ไม่ปรากฏประวัติแน่ชัดว่า ใครเป็นผู้สร้างและสร้างตั้งแต่ครั้งใด แต่กล่าวกันว่ามีมาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้งสร้างเมือง เชื่อกันว่าเดิมสร้างไว้กลางแจ้ง หลักฐานทางด้านเอกสาร ที่กล่าวถึงพระนอนองค์นี้ ที่เก่าที่สุดเป็นเอกสารซึ่งแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้แก่ นิราศเมืองเพชร ของสุนทรภู่ ในจดหมายเหตุระยะทางไปมณฑลราชบุรี ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ก็มีการกล่าวถึงวัดพระนอน ต่อมาในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อคราว เสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ฉบับที่ ๕ ทรงกล่าวถึงผนังว่า ช�ำรุดมากแสดงว่าผนังวิหารเป็นของเก่าที่สร้างมานานแล้ว ในบันทึกระยะทางสมเด็จพระมหาสมณะ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ ในมณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๕๘ ตอนที่ ๕ เสด็จเมืองเพชรบุรี มีข้อความกล่าวถึงวัดพระนอนว่า “วัดพระนอน ตั้งอยู่เชิงเขามหาสวรรค์อีกด้านหนึ่ง แต่วิหารพระนอนอยู่บน ไหล่เขา พระนอนยาวประมาณ ๑ เส้น งามพอใช้ ทั้งพระนอนทั้งวิหารเป็น ของเก่าของเมืองนี้ ดูเหมือนจะได้รับปฏิสังขรณ์มาบ้างในปูนหลัง ในเวลานี้ วิหารช�ำรุดมาก ถ้าทิ้งไว้พังลงมาทับพระนอนช�ำรุดไป จักน่าเสียดายมาก ครั้นจะปฏิสังขรณ์ขึ้น จักเป็นมูลค่าเป็นอันมาก อยู่ในระหว่างทรงพระด�ำริ...” ๕ ในสมุดราชบุรี พ.ศ. ๒๔๖๘ ก็กล่าวถึงพระนอนเช่นเดียวกันและขยาย ความให้เห็นถึงความศรัทธาของคนเมืองเพชรว่า “ถึงเวลาตรุษสงกรานต์ มีฝูงชน มาแต่ทิศานุทิศไปเที่ยวนมัสการพระพุทธรูป และเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ที่วัดนี้ มีงานปิดทองพระและมีมหรศพสมโภชด้วย บรรดาผู้ที่ไปเที่ยวแลนมัสการพระ ตามถ�้ำเขาหลวง, เขาวัง, แล้วเดินเลยมาเที่ยวและนมัสการพระ ดูการมหรศพ ที่วัดนี้ด้วยความสนุกสนานครึกครื้นทุกปี” ๖ ๕ กรมการศาสนา. (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เล่ม ๒ . ระยะทางสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ ในมณฑลราชบุรี พ.ศ. ๒๔๕๘), หน้า ๓๑๒. ๖ สยามรัฐพิพิธภัณฑ์. สมุดราชบุรี พ.ศ. ๒๔๖๘ (พระนคร : โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย, ๒๔๖๘), หน้า ๑๘๒ – ๑๘๓. ภูมิสถาน 103


พระนอนเชิงเขาสมน มีขนาดใหญ่ เชื่อว่าเดิมสร้างไว้กลางแจ้ง 104 พื้นภูมิเพชรบุรี


องค์พระพุทธไสยาสน์ ในปัจจุบันเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง ยาว ประมาณ ๔๓ เมตร ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูงประมาณ ๑ เมตร ส่วนหลังอิงอยู่กับ หินภูเขาด้านหลังซึ่งใช้เป็นส่วนหนึ่งของผนังวิหาร องค์พระพุทธรูปและพระพักตร์ผินไปทาง ทิศใต้ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันตก มีพระเขนยรูปกลม ๓ ชั้น ซ้อนกันรองรับพระเศียร ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ข้างของพระพุทธไสยาสน์ปิดทองตัดเส้นสีแดงเป็นลายมงคลร้อยแปด ในการบูรณะองค์พระนอนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พบอุโมงค์ภายในองค์พระ มีโบราณวัตถุอยู่ เป็นจ�ำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปท�ำจากวัสดุต่าง ๆ ได้แก่ ส�ำริด ดินเผา ปูนปั้น หินทราย และไม้บุเงิน เป็นพระพุทธรูปแบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย บางส่วนเป็นพระพุทธรูป แบบศิลปะทวารวดีและอู่ทอง การพบอุโมงค์ในองค์พระพุทธไสยาสน์นี้ นับว่าเป็นหลักฐาน ส�ำคัญเกี่ยวกับเทคนิคการก่อสร้างพระนอนขนาดใหญ่ ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้พบการท�ำพระพุทธรูปนอนมาตั้งแต่ใน สมัยทวารวดี พระนอนในสมัยนี้นักวิชาการสันนิษฐานว่าผู้สร้างประสงค์จะให้หมายถึง พระพุทธองค์ขณะเสด็จดับขันธปรินิพพานมักจะสร้างไว้ภายในถ�้ำ บนเพิงผา ซึ่งเป็นการ สอดคล้องกับพุทธประวัติที่พระพุทธองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในป่า บางส่วนมี องค์ประกอบที่แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นพระพุทธประวัติตอนเสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่น ภาพปูนปั้นเป็นภาพต้นไม้ ภาพเทพชุมนุม เป็นต้น มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นพระนอนในอาคาร หลังจากพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนประเทศไทยหลัง พุทธศตวรรษที่ ๑๘ พบว่ามีการสร้างพระพุทธรูปนอนในพระอาราม เช่น ในวัดในดินแดน ล้านนา วัดโบราณในเมืองสุโขทัยและก�ำแพงเพชร การสร้างพระพุทธรูปนอนในพระอาราม แนวคิดหลักน่าจะหมายถึงพระพุทธองค์ในขณะทรงพระส�ำราญพระอิริยาบถในพระอาราม แห่งหนึ่ง ๆ มากกว่า และหลายวัดที่มีพระพุทธรูปนอน สร้างพระพุทธรูปนอนหันพระเศียร ไปทางทิศใต้อันเป็นทิศตรงข้ามกับทิศเหนือที่ทรงหันพระเศียรไปขณะปรินิพพาน จึงเป็น การแสดงชัดเจนที่จะสื่อความหมายพระพุทธองค์ขณะประทับเป็นประธานในพระอาราม การท�ำพระพุทธรูปนอนในพระอารามยังคงท�ำสืบมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ พระนอนที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและมีขนาดใหญ่ อาทิ พระนอนจักรสีห์ วัดพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัย วัดนี้มีประวัติว่าสร้างใน สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา พระนอนวัดขุนอินทรประมูล อ�ำเภอ โพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ประวัติจากต�ำนานสิงหนวัติว่าพระยาเลอไทยกษัตริย์แห่ง กรุงสุโขทัยทรงสร้าง ต่อมากลายเป็นวัดร้าง ได้รับการบูรณะใหม่ โดยขุนอินนายบ้านชาว บางพลับในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก อ�ำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ประวัติว่ามีความเก่าแก่คู่กันมากับวัด มีขนาดใหญ่โตและงดงามมาก สร้างก่อนรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จ มาประชุมพลก่อนเสด็จไปรบกับพระมหาอุปราชา ได้เสด็จมาทรงสักการะพระพุทธไสยาสน์ ก่อน เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ เดิมองค์พระพุทธไสยาสน์และพระวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น�้ำน้อย ที่ตั้งนั้น ภูมิสถาน 105


เป็นคุ้งน�้ำ น�้ำจึงเซาะตลิ่งพังลงไปจนใกล้ถึงองค์พระ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้า ท้ายสระ) จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระพุทธไสยาสน์ให้ลึกเข้ามาจากฝั่ง แล้วสร้างพระวิหาร ส�ำหรับพระพุทธไสยาสน์ จะเห็นได้ว่าพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทยส่วนใหญ่มีประวัติ ว่าสร้างในสมัยสุโขทัยและได้รับการบูรณะในสมัยอยุธยา สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แสดง ให้เห็นถึงความเลื่อมใสในการสร้างบุญบารมีในช่วงเวลาดังกล่าว ที่นิยมสร้างหรือบูรณะ พระนอนขนาดใหญ่ ดังนั้นพระนอนที่วัดพระนอนเมืองเพชรบุรีนี้ อาจสร้างหรือได้รับ การบูรณะในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยก็เป็นได้ ในลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพที่ทรงมีถึงสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ฉบับหนึ่ง ทรงกล่าวว่า “พระนอนของเก่านั้น หม่อมฉันได้เคย สังเกตที่เป็นชิ้นโบราณจริง พระกรขวาท�ำทอดศอกออกไปข้างหน้าตามแบบอินเดีย สังเกต เห็นพระนอนที่ถ�้ำเมืองยะลานี้องค์ ๑ พระนอนจักรสีห์องค์ ๑ เห็นจะมีองค์อื่นอีกแต่เวลานี้ นึกไม่ออก พระนอนรุ่นหลังมาท�ำศอกตรงมาจากพระเศียร เช่น พระนอนวัดป่าโมกข์ พระนอนวัดพระเชตุพน เห็นจะเป็นด้วยพระนอนชั้นเดิมท�ำนอนกลางแจ้ง มาชั้นหลังท�ำวิหาร พร้อมกับองค์พระทอดศอกไปข้างหน้ากีดเสา” ๗ ส�ำหรับพระพุทธไสยาสน์ เมืองเพชรบุรี องค์นี้ ท�ำทอดศอกไปข้างหน้าตามแบบเก่า องค์พระพุทธไสยาสน์ เชิงเขาสมนนั้นคงมีมาก่อนการสร้างวัด เนื่องจากหลักฐาน ที่ปรากฏในวัดส่อเค้าว่าวัดนั้นน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น หลักเสมารอบ อุโบสถ เป็นต้น พระนอนในถ�้ำเมืองเพชรบุรี นอกจากพระนอนองค์ใหญ่ ที่เชิงเขากลางเมืองเพชรบุรีแล้ว ในเขตเมืองเพชรบุรี พบว่ามีความนิยมสร้างพระนอนประดิษฐานไว้ในถ�้ำหลายแห่ง เช่น ถ�้ำเขาย้อยในเขตอ�ำเภอ เขาย้อย ถ�้ำหลวง ถ�้ำพระพุทธไสยาสน์ในเขาหลวง ถ�้ำในเขาสมน ถ�้ำบนเขาบันไดอิฐ ในเขต อ�ำเภอเมือง ถ�้ำเขาทะโมน ในอ�ำเภอบ้านลาด ถ�้ำพระเขานาขวางในเขตอ�ำเภอชะอ�ำ เป็นต้น ถ�้ำเขาย้อย ปัจจุบันตั้งอยู่ใน ต�ำบลเขาย้อย อ�ำเภอเขาย้อย ภายในประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ปูนปั้น ความยาวประมาณ ๑๖ เมตร จึงเรียกถ�้ำแห่งนี้ว่า “ถ�้ำพระนอน” หรือ “ถ�้ำพระพุทธไสยาสน์” ตามผนังถ�้ำมีพระพุทธรูปปางสมาธิและปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่หลายองค์ รวมทั้งรอยพระพุทธบาทจ�ำลอง ทางทิศตะวันตกมีถ�้ำอีกแห่ง อยู่คู่กันเรียกกันว่า “ถ�้ำอู่ทอง” ตามผนังถ�้ำประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งจ�ำนวน หลายองค์ ปูชนียวัตถุในถ�้ำต่าง ๆ บนเขาย้อยนี้ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ๗ สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จ (แพร่พิทยา, ๒๕๑๘). หน้า ๔๖๔. 106 พื้นภูมิเพชรบุรี


ถ้าพิจารณาจากพระพุทธรูปในถ�้ำล้วนเป็นพระพุทธรูปที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ได้มีการบูรณะเรื่อยมา จึงสันนิษฐานว่าพระนอนในถ�้ำเขาย้อยนี้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา แต่ในรับการบูรณะในชั้นหลังเช่นเดียวกันกล่าวกันว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เมื่อครั้งผนวชและจ�ำพรรษาอยู่วัดราชาธิวาส พระองค์ได้เสด็จธุดงค์มาประทับ แรมทรงเจริญสมณธรรมอยู่ในถ�้ำเขาย้อยนี้ ๘ ถ�้ำหลวง เขาหลวงเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี ปัจจุบัน อยู่ในเขต ต�ำบลธงไชย อ�ำเภอเมืองฯ จุดสูงสุดของเขาหลวงชาวบ้านเรียกว่า ยอดมอ มีเจดีย์เก่าตั้งอยู่ ในเขาหลวงนี้มีถ�้ำหลายถ�้ำ ถ�้ำขนาดใหญ่กลางเขา เรียกว่า ถ�้ำหลวง มีความงดงามทางธรรมชาติและปูชนียวัตถุสถานต่าง ๆ แต่ไม่ทราบประวัติแน่ชัดว่าสร้างขึ้น เมื่อใด บางสิ่งมีลักษณะว่ามีมานานแล้ว เป็นต้นว่า เจดีย์แปดเหลี่ยม มีรูปแบบศิลปะลวดลาย ปูนปั้นประดับองค์เจดีย์ที่นักวิชาการเชื่อว่าเป็นแบบอยุธยาหรือเก่ากว่านั้น นอกจากนี้ พระพักตร์พระพุทธรูปบางองค์ภายในถ�้ำก็เป็นแบบที่เก่ากว่าสมัยอยุธยา ส�ำหรับพระพุทธรูป จ�ำนวนมากที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ปฏิสังขรณ์และสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ที่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอุทิศเป็นพระราชกุศลถวายพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ บ้าง เป็น การส่วนพระองค์บ้าง รวมทั้งให้พระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายฝ่ายในสร้างบ้าง ทางเข้าเดิม นั้นอยู่บนเขาเรียกว่า บันไดนาค บันไดมีลายกนกแบบของเก่า เดิมมีประตูชาวบ้านเรียกประตู พระพิมพ์ พ้นบันไดถ�้ำเป็นถ�้ำชั้นนอก มีพระพุทธรูปเก่าสามองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ๘ สยามรัฐพิพิธภัณฑ์. สมุดราชบุรี พ.ศ. ๒๔๖๘. หน้า ๑๘๐. พระนอนในถ�้ำเขาหลวง เป็นของที่มีมาแต่เดิม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ภูมิสถาน 107


เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ มีจารึกแจ้งประวัติไว้ด้วย ถัดเข้าไปจึงเป็นถ�้ำหลวง บริเวณผนังถ�้ำด้านทิศตะวันตกมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางไสยาสน์ยาว ๑๔ เมตร (มีประวัติว่า ซ่อมมาหลายครั้งแล้ว) ในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่บรรยายว่าสภาพช�ำรุดบริเวณพระทรวง และพระเพลา แสดงว่าเป็นของเก่ามีอยู่แต่ดั้งเดิม นอกจากพระนอนแล้วในถ�้ำหลวงยังมี รอยพระพุทธบาทศิลปะอยุธยาด้วย ในเขาหลวงยังมีถ�้ำอีกถ�้ำหนึ่งเรียกว่า ถ�้ำพระพุทธไสยาสน์ อยู่ทางทิศใต้ของถ�้ำหลวง ปัจจุบันอยู่ในเขตวัดถ�้ำแกลบ (บุญทวี) ภายในถ�้ำมีพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ แต่คงมีการปฏิสังขรณ์แล้ว พระพักตร์ค่อนข้างกว้างและแบน มีพระเขนยเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนาดเล็กรองท่อนพระกรอยู่ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปนั่งอยู่หลายองค์ รวมทั้งชิ้นส่วน พระพุทธรูปหินทรายแดงจ�ำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปอยู่ในถ�้ำอีก ๒ ถ�้ำ คือ ถ�้ำสาลิกาและถ�้ำเจ็ดแท่น แสดงให้เห็นว่าเขาหลวงนี้เป็นพุทธสถานที่ส�ำคัญอีกแห่งหนึ่ง ในเมืองเพชรบุรี ถ�้ำในวัดเขาบันไดอิฐ เขาบันไดอิฐตั้งทางฝั่งตะวันตกแม่น�้ำเพชรบุรี ถัดจากเขาวัง ไปทางทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของวัดเขาบันไดอิฐ บนเขามีถ�้ำหลายถ�้ำ เช่น ถ�้ำประทุน ถ�้ำช้างเผือก ถ�้ำหว้า ถ�้ำตับเต่า เป็นต้น ถ�้ำประทุนเป็นถ�้ำขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันออก ของเขาบันไดอิฐ ภายในถ�้ำมีพระพุทธรูปโบราณอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ถ�้ำตอนในสุดประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนยาว ๘ เมตร เดิมมีเพดานเหนือองค์พระพุทธไสยาสน์ เป็นแผงไม้มีจิตรกรรมเป็นภาพเขียนลายทองลวดลายดวงดาราบนพื้นรักแดง ลวดลายวิจิตร งดงามฝีมือช่างชั้นครู ศิลปะอยุธยา พระนอนในถ�้ำวัดเขาบันไดอิฐ 108 พื้นภูมิเพชรบุรี


ถ�้ำบนเขาสมน (เขาวัง) หลังวัดมหาสมณาราม บนเขาสมน (เขาวัง) มีถ�้ำชื่อ ถ�้ำพระพุทธโฆษาจารย์ ในถ�้ำมีพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูป ปูนปั้นขนาดเล็ก ถ�้ำพระเขานาขวาง ตั้งอยู่ที่เขานาขวางในเขตบ้านนายาง ต�ำบลนายาง อ�ำเภอชะอ�ำ ภายในถ�้ำด้านในสุดมีแท่นประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ความยาวประมาณ ๗.๕๐ เมตร ลักษณะเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน พระกรรณ ๒ ข้างท�ำด้วยไม้ หันพระเศียรไปทาง ทิศตะวันตก ลักษณะของพระพุทธรูป ส่วนองค์พระค่อนข้างเล็ก พระพักตร์ค่อนข้างยาว พระเศียรมีพระเขนยทรงกลมรองรับอยู่ พระนอนในถ�้ำพระเขานาขวาง ศิลปะอยุธยา บริเวณนี้มีชุมชน สมัยอยุธยาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภูมิสถาน 109


๙ สยามรัฐพิพิธภัณฑ์. สมุดราชบุรี. หน้า ๑๘๑. ถ�้ำบนเขาทะโมน เขาทะโมน เป็นเขาหินปูนอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของตัวเมือง เพชรบุรี ปัจจุบันอยู่ในเขตต�ำบลท่าเสน อ�ำเภอบ้านลาด ในหนังสือสมุดราชบุรี (พ.ศ. ๒๔๖๘) ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาทะโมน ไว้ว่า “ ... เขาทะโมนมีวัดที่เขา ๑ วัด มีถ�้ำอยู่ ๓ ถ�้ำ เรียกว่า ถ�้ำพระยาแกรก ถ�้ำผอด (หรือถ�้ำอัดลม) ถ�้ำยาและถ�้ำอื่น ๆ อีก เมื่อถึงเวลาหน้า เทศกาลมีราษฎรไปนมัสการทุก ๆ ปี ..มีต�ำนานถ�้ำ ๓ ถ�้ำ ๆ นี้กล่าวกันว่า คือ (๑) ถ�้ำพระยาแกรก ในถ�้ำมีพระพุทธรูปหลายองค์และมีของเก่าต่าง ๆ กลางถ�้ำชั้นบนยอดเขามีพระพุทธบาท จ�ำลอง.....” ๙ ในปัจจุบันพบว่าถ�้ำตอนกลางของเขาทะโมน มีเศียรพระพุทธรูปก่อด้วยอิฐ ฉาบปูนขนาดใหญ่ ความสูงประมาณ ๓ เมตร กล่าวกันว่าเป็นเศียรของพระพุทธรูปไสยาสน์ แต่ไม่พบองค์พระพุทธรูปมีเพียงเศษอิฐกระจายอยู่ทั่วไปตามพื้นถ�้ำ จากหลักฐานต่าง ๆ ที่พบภายในถ�้ำเขาทะโมนสันนิษฐานได้ว่าปูชนียสถานต่าง ๆ ภายในถ�้ำน่าจะสร้างมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น และได้รับการบูรณะซ่อมแซมต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ จากข้อมูลข้างต้นจากทางเหนือตัวเมืองเพชร เริ่มแต่เขาย้อยลงมาใกล้ตัวเมือง ที่เขาหลวง เขาสมน เขาบันไดอิฐ เลยลงไปทางใต้ห่างตัวเมืองออกไปที่เขาทะโมน จนถึงเขานาขวาง บนเส้นทางคมนาคมโบราณ เขาเหล่านี้เป็นเขาหินปูนแบบเขาโดด ขนาดย่อม มีโพรงถ�้ำที่ปากถ�้ำอยู่ไม่สูงจากพื้นดินมากนัก คนโบราณได้เปลี่ยนโพรงถ�้ำ เหล่านี้ให้เป็นพุทธสถาน ด้วยการประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนหนึ่งเป็นพระพุทธรูป จ�ำหลักจากหินทรายสีแดง ที่ส�ำคัญคือการประดิษฐานพระนอนในถ�้ำ การประดิษฐาน พระพุทธรูปในท่านอนในถ�้ำนั้นพบมาตั้งแต่สมัยทวารวดี แต่เป็นการจ�ำหลักบนผนังถ�้ำ เช่น พระพุทธรูปปางปรินิพพานในถ�้ำฝาโถและถ�้ำจามในเทือกเขางู ในเขตอ�ำเภอ เมืองราชบุรี ซึ่งสันนิษฐานว่าผู้สร้างประสงค์จะให้หมายถึงพระพุทธองค์ขณะเสด็จ ดับขันธปรินิพพานมักจะสร้างไว้ภายในถ�้ำ บนเพิงผา ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับพุทธประวัติ ที่พระพุทธองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในป่า การพบพระนอนในถ�้ำแทบทุกเขา ในเมืองเพชรสะท้อนความนิยมการท�ำพระพุทธรูปตอนเสด็จปรินิพานมากกว่าการท�ำ พระพุทธรูปนอนในพระอาราม ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ ถ�้ำพระเขานาขวาง ด้วยเบื้องหน้า องค์พระพุทธรูปมีภาพพระสาวกเรียงรายอยู่ด้วย ถัดลงไปในภาคใต้ก็พบพระนอน ประดิษฐานในถ�้ำศิลปกรรมในสมัยอยุธยาเช่นเดียวกัน อาทิ พระนอนวัดถ�้ำคูหา จังหวัด สุราษฎร์ธานี พระนอนวัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา 110 พื้นภูมิเพชรบุรี


๑๐ อ้างจาก www.watbowon.com๑๑ ดูใน บุญมี พิบูลย์สมบัติ. วัดพระรูป (เพชรบุรี: เพชรภูมิการพิมพ์, ๒๕๔๐), หน้า ๑๕๔. พระพุทธปฏิมาล�้ำค่าในเมืองเพชรบุรี ในเมืองเพชรบุรีมีพระพุทธรูปโบราณ หล่อจากโลหะขนาดใหญ่ ทั้งที่เป็น พระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธรูปประจ�ำวัด พบอยู่เป็นจ�ำนวนมาก พระพุทธรูป ส่วนใหญ่มีความล�้ำค่าในแง่งานพุทธศิลป์ และสะท้อนพลังศรัทธาของผู้สร้าง อาทิ พระสุวรรณเขต หรือพระโต วัดสระตะพาน หรือพระศรีสรรเพชญ์สัตตพันพาน วัดสัตตพันพาน ของชาวเมืองเพชร เดิมเป็นพระประธานในอุโบสถวัดสระตะพาน วัดร้างอยู่ในเมืองเพชรบุรีทางฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำเพชรบุรี มีประวัติว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานเป็น พระประธานองค์แรก ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๐ – ๒๓๗๔ นายอ่อน เจตนาแจ่ม ผู้รักษาพระอุโบสถเล่าว่า เคยได้ยินสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตรัสกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า “พระโตองค์นี้ ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า “หลวงพ่อเพชร ๆ” ชื่อท่านมีอยู่แล้วว่า “พระสุวรรณเขต” ไม่เรียก เมื่อเชิญมา รื้อออกเป็นท่อน ๆ ตามรอยประสานเดิม อัญเชิญลงแพ มาคุมเข้าเป็นองค์เดิมอีก ลักษณะที่คุมเข้าใหม่ เป็นฝีมือของช่างกรุงเทพฯ โดยมาก แต่ยังพอสังเกตได้ว่าเดิมเป็นลักษณะพระขอม พระศกของพระพุทธรูปนี้ เดิมโตอย่างของพระพุทธชินสีห์ พระยาช�ำนิหัตถการ นายช่างกรมพระราชวังบวรฯ เลาะออกเสีย ท�ำพระศกของพระโตนี้ใหม่ด้วยดินเผาให้เล็ก ตามที่เห็นว่างามในเวลานั้น ประดับเข้าที่แล้วลงรักปิดทอง๑๐ ส่วนต�ำนานการสร้างพระนั้น เล่ากันสืบมาว่าหล่อขึ้นโดยใช้โลหะส่วนหนึ่งท�ำจากพานทองเหลืองมาหลอมจ�ำนวน เจ็ดพันลูก จึงเรียกว่า วัดสัตตพันพาน แต่บางครั้งเรียกว่า วัดสัตตพาน๑๑ พุทธลักษณะ ของพระพุทธรูปองค์นี้ ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ศิลปะก่อนอยุธยา หล่อด้วย โลหะ ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง ๒ วา ๑ ศอก ๑ คืบ ๙ นิ้ว วัดสระตะพานเป็นวัดโบราณตั้งอยู่กลางเมืองเพชรบุรีทางฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำ เพชรบุรี ในกลุ่มวัดส�ำคัญ เช่น วัดวัง วัดพระยาเสด็จ วัดวิหารเขียนเป็นต้น วัดสระตะพาน มีพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลักเสมาของพระอุโบสถหลังนี้มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน เป็น เสมาจ�ำหลักจากหินทรายสีชมพู ลักษณะทางศิลปกรรมเก่ากว่าศิลปะอยุธยา รูปแบบ คล้ายกับเสมาที่พบในเมืองพระนคร ราชอาณาจักรกัมพูชา จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธรูป ประธานในพระอุโบสถคงสร้างขึ้นในคราวเดียวกัน นั่นคือ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ซึ่งเมืองเพชรบุรีเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ภูมิสถาน 111


พระสุวรรณเขตหรือพระศรีสรรเพชญ์สัตตพันพาน หรือพระโต พระประธานวัดสระตะพาน พระรองพระประธาน ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ พระพุทธรูปในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ พระพุทธรูป องค์รองพระประธานในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เป็นพระพุทธรูป ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา ส�ำริด หน้าตักกว้าง ๔ ศอกเศษ ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาพระพุทธรูปส�ำริด ที่ประดิษฐานอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี พระพุทธรูปจากวัดกุฎีสงฆ์ (ร้าง) มีประวัติว่า สมเด็จ เจ้าฟ้ามงกุฎขณะทรงผนวชอยู่ เสด็จจาริกมาเมืองเพชรและ ทรงพบพระพุทธรูปองค์นี้ที่วัดร้างชื่อวัดกุฎีสงฆ์ หรือ เรียกว่า ศาลาลอย ตั้งอยู่นอกก�ำแพงเมือง ต�ำบลช่องสะแก ซึ่งทางน�้ำเก่า ผ่านตรงนั้น จึงตรัสถามชาวบ้านว่า ที่วัดไหนมีโบสถ์ใหญ่เพิ่ง สร้างใหม่บ้าง มีผู้ทูลว่า วัดพระทรงสร้างโบสถ์ใหม่ใหญ่งามดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้นักโทษถอดพระส�ำริดองค์นี้ มาประดิษฐานใน อุโบสถวัดพระทรง พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปประทับขัด สมาธิราบปางมารวิชัย ส�ำริด ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๔ ศอก ถอดได้เป็นส่วน ๆ ๑๒ ศิลปะอยุธยาสมัยต้นราวต้นพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ พระประธานวัดกุฏีสงฆ์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ วัดพระทรง ๑๒ อ้างจาก สมบูรณ์ แก่นตะเคียนและคณะ. สมุดเพชรบุรี 2525 . (กรุงเทพ ฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, 2525), หน้า ๒๐๒ – ๒๐๓. 112 พื้นภูมิเพชรบุรี


พระพุทธรูปจากวัดหัวสนาม ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ด้านหลังพระประธาน ในอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย ส�ำริด หน้าตักกว้างเกือบ ๓ ศอก (๑๔๐ เซนติเมตร) พระบาทขวามีนิ้วพระบาท ๖ นิ้ว ส่วนพระเศียรถูกโจรกรรมไป พระพุทธรูปในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร จากเมืองเพชรบุรี พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เม็ดพระศกขมวดเป็นหนามขนุน ศิลปะอยุธยาสมัยต้น ส�ำริด หน้าตักกว้าง ๒ ศอกเศษ พระประธานในอุโบสถวัดสระบัว ประทับขัดสมาธิราบปางสมาธิ ศิลปะอยุธยา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ส�ำริด หน้าตักกว้าง ๒ ศอกเศษ พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ในวิหารวัดพระนอน พระพุทธรูปในวิหารเล็ก วัดพระนอน (วัดพระพุทธไสยาสน์) เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรง เครื่องใหญ่ มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาก เครื่องทรงของพระพุทธรูปทั้งสององค์ ปั้นด้วยรัก และลงรักปิดทองประดับกระจก หลังจากที่หล่อพระพุทธรูปพร้อมกับจีวรขึ้นมาแล้ว เป็นที่น่าเสียดายว่าทับทรวงของพระพุทธรูปในพระวิหารวัดพระนอนนี้ได้ช�ำรุดหักหายไป แล้ว พระพุทธรูปรูปแบบดังกล่าวที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันส่วนมากสร้างขึ้นในช่วงครึ่ง หลังของพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ๑๓ ๑๓ พิริยะ ไกรฤกษ์, ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา ๑, หน้า ๓๐๒. พระพุทธรูปจากเมืองเพชรบุรี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระระเบียง วัดเบญจมบพิตร พระประธานวัดสระบัว พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ในวิหารวัดพระนอน ภูมิสถาน 113


๑๔ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชหัตถเลขา เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปีระกา พ.ศ. ๒๔๕๒, หน้า ๓๐.๑๕ อ้างจากสมบูรณ์ แก่นตะเคียนและคณะ. สมุดเพชรบุรี 2525. (กรุงเทพ ฯ : เรือนแก้วการพิมพ์ 2525), หน้า ๑๙๙.๑๖ พิริยะ ไกรฤกษ์. ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา ๑ หนังสืออิเลคทรอนิกส์ หน้า ๔๐๓ จาก www.laksanathai.com/ ebook1.aspx ๑๗พิริยะ ไกรฤกษ์. ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา ๑ หนังสืออิเลคทรอนิกส์ หน้า ๓๐๒ จาก www.laksanathai.com/ ebook1.aspx พระประธานวัดโพธาราม เป็นพระพุทธรูปที่งดงาม อีกองค์หนึ่ง พระประธานวัดโพธาราม เป็นพระพุทธรูปส�ำริด สีนาค หน้าตักกว้าง ๑.๕๐ เมตร ปางมารวิชัย พุทธลักษณะ งดงามมาก พระพักตร์รูปไข่ มีไรพระศก พระกรรณแบบ กลีบบัว พระพุทธรูปองค์นี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงไว้ว่า “..แล้วไปดูพระพุทธรูปซึ่งเป็น พระประธานวัดโพธาราม เป็นพระเก่างามเลื่องลืออยู่ วัดนี้ เป็นวัดที่มารดาเจ้าพระยาภาณุวงศ์ปฏิสังขรณ์ อยู่ใกล้กันกับ วัดใหญ่..” ๑๔ ส�ำหรับที่มานั้น พระครูนิเทศธรรมาราม วัดพลับพลาชัยท่านกล่าวว่า เล่ากันมาว่าพระพุทธรูปองค์นี้ ย้ายมาจากวัดโพธิ์ ใกล้กับวัดท่าไชยศิริ ๑๕ พระประธานวัดท่าไชยศิริพระประธานในอุโบสถ วัดท่าไชยศิริ เป็นพระพุทธรูปส�ำริดสูง ๒๗๕ เซนติเมตร แบบพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย จัดอยู่ในกลุ่มที่เก่าสุด ของพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยอยุธยาเท่าที่ปรากฏ ๑๖ องค์พระพุทธรูปประทับยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัย พระกรซ้ายทอดลงขนานกับ พระวรกายปลายพระหัตถ์ชี้ลงด้านล่าง ครองจีวรห่มคลุม พระอังสา ขอบจีวรด้านข้างทอดขนานกับพระเพลาและ พระชงฆ์ ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดประคด หน้านางสบง มีกรอบเป็นเส้นคู่ อุณหิสแต่งด้วยลายประค�ำและประจ�ำยาม ขอบบนเป็นกลีบบัว คล้ายกับอุณหิสของเศียรพระโพธิสัตว์ สัมฤทธิ์ ๑ ในจ�ำนวนพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ ชาติ ซึ่งสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๑ นอกจากนั้นแล้วมงกุฎที่ตกแต่งด้วยกระจัง ยอดเป็น ลูกแก้ว ยังปรากฏบนเศียรพระโพธิสัตว์ที่หล่อขึ้นพร้อม กันอีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้จึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วง ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระประธานวัดท่าไชยศิริ ๑๗ 114 พื้นภูมิเพชรบุรี


๑๘ ดูรายละเอียดใน กรมศิลปากร. วัดเบญจมบพิตร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร พระพุทธรูปส�ำคัญ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. (กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗), ๒๕๕๑.) หน้า ๑๕๔ – ๑๗๓. ๑๙ จากพระราชด�ำรัสที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพผู้รับสนองแนวพระราชด�ำริ ทรงแสดง ไว้ในปาฐกถาแก่สมาชิกสยามสมาคม ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เรื่องพระพุทธรูปต่างๆ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ อ้างจาก กรมศิลปากร วัดเบญจมบพิตร และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร พระพุทธรูปส�ำคัญ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. หน้า ๖. กลุ่มพระพุทธรูปยืนในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร จากเมืองเพชรบุรี ๑๘ พระพุทธรูปที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ อัญเชิญ จากเมืองเพชรบุรีไปประดิษฐานในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร ตามพระราชด�ำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามประวัติกล่าวว่ามีจ�ำนวน ๙ องค์ มี ๗ องค์ เป็นพระพุทธรูปส�ำริดประทับยืนส่วนใหญ่สูง ๒ เมตรเศษ มีพุทธลักษณะงดงาม ตามแนวพระราชด�ำริในการรวบรวมบรรดาพระพุทธรูปโบราณต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในประเทศ มาตั้งแสดง เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนา และพุทธศิลปะ ในสยามประเทศ ดังนั้นพระพุทธรูปที่น�ำมาประดิษฐานนั้นจะต้องเป็นพระพุทธรูปที่แล้ว ด้วยฝีมือช่างอย่างเอกที่น่าชม ๑๙ ตัวอย่างคือ - พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ปางประทานอภัย ในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร (เลขทะเบียน ๓๘๕/๒๕๓๕) เป็นพระพุทธรูปส�ำริดสูง ๑๙๒ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูป ประทับยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัย พระกรซ้ายทอดลง ขนานกับพระวรกายปลายพระหัตถ์ชี้ลงด้านล่าง มีพระเมาลีซ้อนกัน ๓ ชั้น ทรงอุณหิส และกรองศอที่ตกแต่งด้วยลายประจ�ำยาม และลายกลีบบัว ห้อยทับทรวง สวมพาหุรัด และทองพระกร ขอบสบง ด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ตกแต่งด้วยลายประจ�ำยาม และผ้าจีบหน้านางลายรักร้อยกลีบบัว ใกล้เคียงกับลายเขมร ศิลปะอยุธยาสมัยต้น ราวครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๔๒๒/๒๕๓๕) เป็น พระพุทธรูปส�ำริดสูง ๒๑๘ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสอง ขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัย มีพระเมาลีซ้อนกัน ๔ ชั้น ทรงอุณหิสและ กรองศอที่ตกแต่งด้วยลายประจ�ำยาม ห้อยทับทรวง สวมพาหุรัดและทองพระกร รัดประคดขนาดใหญ่คาดทับผ้าจีบหน้านาง ส่วนฐานพระพุทธรูปเป็นบัวหงายซ้อน อยู่เหนือชั้นหน้ากระดานเท้าสิงห์ ๘ เหลี่ยม ศิลปะอยุธยาสมัยกลางราวครึ่งหลัง พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ภูมิสถาน 115


พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ปางประทานอภัย ในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร (เลขทะเบียน ๓๘๕/๒๕๓๕) พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๔๒๒/๒๕๓๕) พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๙๓/๒๕๓๕) พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๘๓/๒๕๓๕) พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภัย พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๔๑๐/๒๕๓๕) 116 พื้นภูมิเพชรบุรี


- พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๙๓/๒๕๓๕) เป็นพระพุทธรูปส�ำริดสูง ๒๐๓ เซนติเมตร องค์พระพุทธ รูปประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นระดับพระอุระ แสดงปาง ประทานอภัย มีพระเมาลีซ้อนกัน ๔ ชั้น ทรงอุณหิสลายดอกไม้ ศิลปะ อยุธยาสมัยกลางราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๘๓/๒๕๓๕) เป็นพระพุทธรูปส�ำริด สูง ๒๐๑ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัย มีพระเมาลีซ้อนกัน ๔ ชั้น ทรงอุณหิส ลายดอกไม้ ศิลปะอยุธยาสมัยกลางราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ พระพุทธรูปองค์นี้เดิมอยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม - พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย เป็นพระพุทธรูป ส�ำริด องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นระดับ พระอุระ แสดงปางประทานอภัย มีพระเมาลีซ้อนกัน ๔ ชั้น ทรงอุณหิส ลายดอกไม้ ส่วนฐานพระพุทธรูปเป็นฐานบัทม์ มีกลีบบัว ๘ กลีบ ประดับอยู่ตามทิศ ฐานบัทม์นี้ซ้อนอยู่เหนือฐาน ๘ เหลี่ยม อีกชั้นหนึ่ง ศิลปะอยุธยาสมัยกลางราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๔๑๐/๒๕๓๕) เป็นพระพุทธรูปส�ำริดสูง ๒๔๓ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูป ประทับยืน ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัย พระกรซ้ายทอดลงขนานกับพระวรกาย ปลายพระหัตถ์ชี้ลงด้านล่าง มีพระเมาลีซ้อนกัน ๓ ชั้น ทรงอุณหิสลายดอกไม้ ศิลปะอยุธยา สมัยกลางราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ พระพุทธรูปองค์นี้เดิมอยู่ที่ วัดใหญ่สุวรรณาราม - พระพุทธรูปปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๘๙/๒๕๓๕) เป็นพระพุทธรูปส�ำริดสูง ๒๑๔ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นระดับพระอุระ แสดงปางประทานอภัยศิลปะ อยุธยาสมัยกลางราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระพุทธรูป ปางประทานอภัย (เลขทะเบียน ๓๘๙/๒๕๓๕) ภูมิสถาน 117


พระพุทธรูปดังกล่าวข้างต้นนอกจากความงามทางพุทธศิลป์ที่สะท้อนความ รุ่งเรืองทางงานศิลปกรรมแล้ว ยังเป็นเครื่องสะท้อนของความเจริญก้าวหน้าในด้าน เทคโนโลยีการหล่อโลหะ รวมทั้งความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่งด้วย อย่างที่ ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ อาณาจักรอยุธยาได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ส�ำคัญ มีการติดต่อค้าขายกับ หลายประเทศ เพราะครอบครองเมืองท่าชายฝั่งทะเลด้านอ่าวเบงกอล เช่น ตะนาวศรี ตรัง ไทรบุรี (รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย) ซึ่งท�ำการค้ากับพ่อค้าชาวอินเดียจากคุชราต และเบงกอล ส่วนด้านอ่าวไทย ได้แก่ เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ปัตตานี สายบุรี กลันตัน และตรังกานู นั้น ท�ำการค้ากับพวกพ่อค้าชาวจีน โดยที่อยุธยาเป็นศูนย์รวมสินค้าจ�ำพวก ของป่า และเป็นคนกลางในการน�ำสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียไปจีน และสินค้าจากจีน ไปยังภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้นแล้ว อยุธยายังหล่อปืนใหญ่ขนาดเล็ก โดยรับเอาเทคโนโลยีจากจีน ซึ่งเทคโนโลยีการหล่อโลหะในดินแดนสยามประเทศมีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีการหล่อโลหะดังกล่าวคงได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก ในเมืองเพชรบุรีนี้ท�ำให้สามารถหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงาม เป็นจ�ำนวนมากประดิษฐานไว้ตามวัดต่าง ๆ เพื่อสักการบูชา ระลึกถึงพระคุณของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากพระพุทธรูปหล่อจากโลหะแล้วในเมืองเพชรบุรียังมีพระพุทธรูป ขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ในวัดที่มีประวัติว่าเป็นวัดเก่า บางวัดถูกทิ้งร้างไป บางวัด ก็อยู่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน พระพุทธรูปเหล่านี้ได้ถูกปฏิสังขรณ์หลายครั้งท�ำให้พุทธ ลักษณะเปลี่ยนแปลงไป บางองค์ก็ยังมีเค้าเดิม มีทั้งพระพุทธรูปปูนปั้นและพระพุทธรูป ที่จ�ำหลักจากหินทรายแดง อย่างไรก็ตามจากขนาดของพระพุทธรูปเหล่านี้ก็ยังสะท้อน พลังศรัทธา สะท้อนความรุ่งเรืองทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้เป็น อย่างดี ตัวอย่างพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในเมืองเพชรบุรี เช่น พระประธานใน อุโบสถวัดนาค (หน้าตัก ๘ ศอกเศษ) วัดใหม่ร้าง (หน้า ๘ ศอก) พระพุทธรูปในวิหารน้อย วัดมหาธาตุ (หน้าตัก ๗ ศอก) วัดเกษ (หรือวัดเกตุ หน้าตัก ๗ ศอก) วัดเลา (หน้าตัก ๖ ศอก) วัดป่าแก้ว (หน้าตัก ๖ ศอก) วัดวิหารน้อย (หน้าตัก ๕ ศอก ๑๔ นิ้ว) วัดปีบ (หน้าตัก ๕ ศอก) วัดโคกหม้อ (หน้าตัก ๔ ศอกคืบ) พระประธานวัดวิหารเปลี่ยว ก็มีเค้าว่า เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ส่วนพระพุทธรูปปูนปั้นที่ยังคงเค้าเดิม ก�ำหนดอายุได้ว่า เป็นศิลปะอยุธยา ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย (หน้าตัก ๔ ศอกเศษ) พระประธานวัดเกาะ ประทับ ขัดสมาธิราบปางสมาธิ พระประธานในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เป็นพระพุทธรูป ประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัยทรงเครื่องใหญ่ (หน้าตักกว้าง ๗ ศอกเศษ) เป็นต้น 118 พื้นภูมิเพชรบุรี


พระพุทธรูปในวิหารน้อยวัดมหาธาตุ มีประวัติว่าย้ายมาจากวิหารทางทิศเหนือ พระประธานในอุโบสถ วัดเกาะ พระประธานในอุโบสถ วัดใหญ่สุวรรณาราม พระประธานในพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ ภูมิสถาน 119


ส�ำหรับพระพุทธรูปหินทรายแดงขนาดใหญ่ ตัวอย่าง เช่น พระพุทธรูปจากวัดนกร้าง ใกล้วัดพระรูป ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถวัดมหาธาตุ เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนพระประธานจากวัดกุฎีทอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ปัจจุบันอยู่ในปราสาท ประธานของวัดก�ำแพงแลง มีพระอัครสาวกจ�ำหลักจาก หินทรายแดงอีก ๒ องค์ด้วย จะเห็นได้ว่าพระประธาน ของวัดโบราณสมัยอยุธยา ในเมืองเพชรบุรี พระอัครสาวก ทั้งสององค์มักท�ำเป็นรูปยืน นอกจากวัดกุฎีทองแล้ว ยังพบที่วัดอุทัย วัดลาดและวัดท่าน�้ำ (ร้าง) ซึ่งจ�ำหลัก จากหินทรายแดงเช่นเดียวกัน ส่วนที่วัดปีบก็เป็น พระสาวกยืน แต่ถูกซ่อมแปลงจนเปลี่ยนสภาพไป ที่วัดพลับพลาชัยก็เป็นสาวกยืน ส่วนวัดสระบัวมีประวัติว่า มีพระสาวกส�ำริดยืน แต่ถูกโจรกรรมไปแล้ว พระประธานวัดกุฎีทอง ปัจจุบันอยู่ในปราสาทประธาน วัดก�ำแพงแลง 120 พื้นภูมิเพชรบุรี


พระพุทธรูปจากวัดนกร้าง ประดิษฐาน อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถวัดมหาธาตุ พระสาวกวัดกุฎีทอง เป็นรูปยืน ภูมิสถาน 121


หลักเสมาในเมืองเพชรบุรี ศิลปกรรมหลายแขนง ภายในวัดของเมืองเพชร มี รูปแบบศิลปกรรมหลายยุคหลายสมัย เปลี่ยนแปลงไปตาม พัฒนาการของบ้านเมือง หรือความนิยมในแต่ละช่วงเวลา แต่มีสิ่งหนึ่งในวัดที่จะเป็นหลักฐานแสดงถึงความเป็นมา ของแต่ละวัดได้ บางครั้งพบว่าแม้อุโบสถจะได้รับการบูรณะ จนเปลี่ยนสภาพเดิมไป สิ่งหนึ่งที่ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง ไปบ้างตามความนิยม แต่ยังคงเป็นหลักฐานได้ดีอย่างหนึ่ง คือ หลักเสมา อย่างไรก็ตามบางครั้งก็พบว่าวัดรุ่นหลัง น�ำหลักเสมาของวัดร้างในบริเวณใกล้เคียงมาเป็นเสมา ของวัดที่สร้างภายหลัง ส�ำหรับในเมืองเพชรบุรีนั้นพบเสมา หลากหลายรูปแบบ เป็นเครื่องสะท้อนความนิยมใน แต่ละยุคสมัย การติดต่อสัมพันธ์กันของผู้คน พัฒนาการ ทางศิลปกรรมที่แพร่หลายถึงกันตามเมืองต่าง ๆ ใน ราชอาณาจักรอยุธยา แต่ก็ยังพบว่ามีเสมารูปแบบพิเศษ ที่แตกต่างออกไปจากเสมารูปแบบมาตรฐานที่นิยมกันอยู่ หลักเสมาชิ้นหนึ่งไม่ทราบที่มา ปัจจุบันวางไว้ หน้าอุโบสถวัดโพพระใน มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวเสมา ทรวดทรงคล้ายอาคารทรงปราสาท ส่วนยอดเสมาคล้าย ซุ้มบันแถลง ส่วนบนสุดโค้งเป็นลอนคล้ายหลังคาอาคาร จ�ำหลักจากหินทรายสีแดง ขนาดใหญ่และหนา จึงสลัก ลวดลายด้านข้างมากกว่าด้านกว้าง ลายประดับเป็นชุดลาย คล้ายลวดลายประดับชั้นเรือนธาตุปราสาทหินหรือเจดีย์ ทรงปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่น ลายคล้ายเฟื่องอุบะ ลายกรุยเชิง เป็นต้น ลายตรงกลางท้องเสมาเป็นลายดอกไม้ ๗ กลีบ ในกรอบลายขดม้วน การท�ำยอดเสมาหยักนั้นพบใน หลักเสมาเขมร ตัวอย่างจากวัดร้างทางด้านใต้ของปราสาท บายน เมืองพระนคร กัมพูชา๒๐ ๒๐ ดูใน. พิทยา บุนนาค. เสมา สีมา หลักสีมาในประเทศไทย สมัยอยุธยาช่วงหลังเสียกรุงครั้งแรก ถึงครั้งหลัง และกรุงธนบุรี.(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ส�ำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.) หน้า ๓๐๒. เสมาอยู่ที่วัดโพพระใน ด้านหลังเสมาแบบวัดสระตะพาน สลักลวดลายจางกว่าด้านหน้า 122 พื้นภูมิเพชรบุรี


เสมาแบบวัดสระตะพาน เป็นแบบปักลงดิน เสมาจากวัดสระตะพาน มีประวัติชัดเจนว่าย้ายไปจากวัดนี้ น�ำไปตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร จ�ำนวน ๒ หลัก เมื่อตรวจสอบดูพบว่า เสมารูปแบบดังกล่าว ปัจจุบันพบจ�ำนวน ๑๓ หลัก อยู่ในอ�ำเภอเมืองเพชรบุรีจ�ำนวน ๑๑ หลัก ได้แก่ วัดใหม่ร้าง (ในวัดสนามพราหมณ์) จ�ำนวน ๕ หลัก วัดเพชรพลี จ�ำนวน ๒ หลัก วัดก�ำแพงแลง จ�ำนวน ๒ หลัก วัดเหล่านี้ตั้งอยู่ ใกล้กับวัดสระตะพาน ส่วนอีก ๒ หลัก อยู่ที่วัดพลับพลาชัย ซึ่งตั้งอยู่ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเพชรบุรี เสมาแบบดังกล่าว ท�ำจาก หินทรายสีชมพูและสีแดง มีขนาดใหญ่ แต่ละหลักมีขนาด ใกล้เคียงกัน ส่วนที่ใช้ปักลงดินนั้นค่อนข้างยาวโดยยาวเกือบเท่ากับ ตัวเสมา วัดขนาดเฉพาะตัวเสมา กว้าง ๖๐ - ๖๕ เซนติเมตร ยาว ๘๔ - ๑๑๐ เซนติเมตร และหนา ๑๘ - ๒๖ เซนติเมตร สลักลาย ทั้งสองหน้าที่ส่วนโคนและส่วนยอดเป็นลายคล้ายกันแต่กลับข้างกัน ลายด้านหน้าจะสลักคมชัดกว่า รูปแบบศิลปกรรมของหลักเสมา กลุ่มนี้น่าจะมีมาก่อนศิลปะอยุธยา เปรียบเทียบกับกลุ่มเสมาจาก พระนครหลวง กัมพูชา มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่เสมา แบบวัดสระตะพานไม่มีหัวจุก มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่งว่า หากหลักเสมาวัดสระตะพาน เป็นหลักเสมาปักคู่ แสดงว่ายังมี หลักเสมาหายไปบางส่วน แต่หากว่าปักหลักเสมาเดี่ยว ก็แสดง ว่ามีวัดอื่นอีกที่ปักหลักเสมารูปแบบเดียวกันเสมาวัดสระตะพาน และเป็นวัดร่วมสมัยกัน เสมาวัดพระรูป เป็นเสมาจ�ำหลักจากหินทรายสีชมพู ขนาดใหญ่ ไม่สลักลวดลาย ด้านหน้ามีเส้นสันกลางนูน จากยอด ลงมาสู่ฐาน หลักเสมาเหล่านี้หนามาก ด้านข้างมีเส้นนูนจากยอด ลงมาสู่ฐานเช่นเดียวกัน เสมาทั้งหมดนี้มีรูปร่างและลักษณะ เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความหนา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหนามาก อาจเป็นไปได้ว่าน�ำมาจากวัดร้างในบริเวณใกล้เคียง เสมาวัดพระรูป มีลักษณะคล้ายกับเสมาจากวัดร้าง ปัจจุบันใช้เป็นเสมาเอก วัดเก้าห้องรัตนาราม พระนครศรีอยุธยา เรียกหลักเสมาแบบนี้ว่า หลักเสมาสายสกุลอยุธยาแบบที่ ๑ ๒๑ ส่วนในเมืองเพชรบุรี นอกจากวัดพระรูปแล้วยังมีเสมาอุโบสถวัดไทรทอง และพบอีก ๑ ชิ้นที่วัดอัมพวัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นเสมาของวัดใด ๒๑ ดูรายละเอียดใน พิทยา บุนนาค. สีมา หลักสีมาในประเทศไทย สมัยอยุธยาช่วงหลังเสียกรุงครั้งแรก ถึงครั้งหลัง และกรุงธนบุรี. หน้า ๔๘. เสมาวัดพระรูปขนาดใหญ่และหนา ด้านหน้ามีเส้นสันกลางนูน จากยอดลงมาสู่ฐาน ภูมิสถาน 123


เสมาวัดท่าไชยศิริ เป็นเสมาหินทรายแดงปักคู่ ลักษณะคล้าย กับหลักเสมาวัดพระบรมธาตุไชยา ที่เดิมเป็นเสมาแบบมีสัน แกนกลางจากยอดมาสู่ฐาน แล้วถูกสลักลายทับลงไปบนของเดิม เป็นหลักเสมาสายสกุลอยุธยา เช่นเดียวกัน แต่เสมาวัดท่าไชยศิริ ไม่แน่ชัดว่าสลักลวดลายหรือไม่ เนื่องจากอยู่ในสภาพสึกกร่อน แต่มีแนวโน้มว่าจะไม่มีลวดลาย ซึ่งวัดท่าไชยศิรินี้ยังมีเจดีย์ทรงกลม บัลลังก์เป็นรูปแปดเหลี่ยมแบบศิลปะอยุธยาด้วย เสมาสายสกุลอยุธยาแบบที่ไม่มีลวดลาย มีเพียงการท�ำสัน แกนกลางจากยอดลงมาสู่ฐานนั้น ภายหลังมีการสลักลวดลาย ทับลงไป เรียกเสมาลักษณะนี้ว่า หลักเสมาสายสกุลอยุธยา รุ่นแปลงรูป ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นประมาณรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เป็นต้นไป๒๒ ในเมืองเพชรบุรีพบเสมาลักษณะดังกล่าวที่วัดสิงห์ ซึ่งเดิมตั้งอยู่ริมแม่น�้ำเพชรบุรีฝั่งตะวันตก ในเขตบ้านปืนที่พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีพระราชด�ำริให้สร้าง พระราชวัง จึงมีการท�ำผาติกรรมไปสร้างใหม่ที่วัดแกลบ ซึ่งอยู่ทาง ด้านปลายน�้ำทางทิศเหนือของตัวเมืองเพชรบุรี แต่ยังตรวจสอบ ไม่พบว่าน�ำเสมาเดิมมาจากวัดสิงห์หรือไม่ หรือเป็นเสมาของ วัดแกลบเดิม เสมาแบบวัดสิงห์นี้ยังพบอีก ๑ ชิ้น แต่ไม่ทราบที่มา ปัจจุบันอยู่ที่วัดอัมพวัน ที่ตั้งอยู่ทางใต้น�้ำของวัดสิงห์เดิม เสมาใน กลุ่มนี้ยังพบอีกจ�ำนวนหนึ่ง ไม่ทราบที่มา ปัจจุบันอยู่ที่วัดมหาธาตุ ส่วนเสมาอุโบสถวัดวิหารโบสถ์ มีขนาดใหญ่และหนา สลักลาย ด้านเดียว อาจจะเป็นเสมากลุ่มนี้ด้วย เสมาแบบที่มีการตกแต่งลวดลายด้วยลายเส้นที่ท�ำให้เกิด ลวดลายคล้ายหยดน�้ำกลับหัว ขึ้นบนแต่ละซีกของหลักเสมา มีการจ�ำหลักลวดลายบริเวณสามเหลี่ยมทรงจอมแหที่โคน ส่วนยอดและที่ฐานหน้ากระดาน เสมาแบบนี้เป็นการจงใจท�ำ ลวดลายประดับโดยตรงมิได้เป็นการน�ำเสมาเก่ามาดัดแปลง จึงเรียกว่า เสมาสายสกุลอยุธยาแบบมาตรฐาน สันนิษฐานว่า เริ่มขึ้นหลังรัชกาลสมเด็จพระชัยราชาธิราช ๒๓ เสมาลักษณะดังกล่าว พบแพร่หลายอยู่ในวัดในเมืองเพชร เช่น เสมาวัดชมพูพน เสมาที่ วัดสิงห์บางหลัก ส่วนชานเมือง เช่น เสมาวัดใหม่เจริญธรรม ๒๒ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๕๖ – ๕๗.๒๓ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๑๒ – ๑๑๓. เสมารอบอุโบสถวัดสิงห์ปัจจุบัน เสมาวัดชมพูพน 124 พื้นภูมิเพชรบุรี


๒๔ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๘๐.๒๕ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๑๘ – ๒๑๙.๒๖ ปากใต้หมายถึง หัวเมืองที่อยู่ใต้กรุงศรีอยุธยารอบปากอ่าวไทย เช่น เมืองนนทบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสาครบุรี เมืองสมุทรสงคราม เมืองนครชัยศรี เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี ๒๗ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๒๘๗ – ๒๘๙. เสมาแบบนี้ต่อมาได้มีรูปแบบที่ต่างออกไปอีก โดยส่วนบนค่อนข้างใหญ่ เอวค่อนข้างคอด เรียกว่า เสมาสายสกุลอยุธยาช่วงหลังแบบหัวโต ในเมืองเพชรบุรี มีเสมาวัดนาค เสมาวัดปีบ เสมาวัดโตนดหลวง หลักเสมาสายสกุลอยุธยาแบบมาตรฐานช่วงหลังยังมีอีกแบบหนึ่ง โดยการน�ำลายตาบทับทรวงมาประดับตรงกลางหลักเสมาโดยเฉพาะเสมาเอก เช่น ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ก�ำหนดอายุราวรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ๒๔ หลักเสมาแบบที่มีลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่ง ที่เส้นด้านบนโก่งขึ้น เรียกว่า หลักเสมา สายโก่งคิ้ว ๒๕ ในระยะหลังท�ำแบบหัวตัดด้านข้างขนาบด้วยเหงา ในเมืองเพชรบุรี พบที่ วัดกุฏิ (ท่าแร้ง) แบบที่ขนาบด้วยเดือยพบที่วัดไผ่ล้อม กลุ่มเสมาจ�ำหลักจากหินทรายแดง มีขนาดเล็ก แกะสลัก ๒ หน้า มีตัวเหงา ที่โคนด้านข้าง แบบที่ น ณ ปากน�้ำเรียกว่า เสมาแบบอัมพวา หรือพิทยา บุนนาค เรียกว่า เสมาปากใต้๒๖ เสมากลุ่มนี้ก�ำหนดอายุได้ว่าเริ่มท�ำขึ้นในราวต้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ หรือก่อนหน้านั้น จึงมักเรียกว่า เสมาแบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย เสมาแบบนี้พบกระจุก ตัวอยู่ในหัวเมืองปากใต้และพบเป็นจ�ำนวนมาก เสมากลุ่มนี้ได้มีการพัฒนาอย่างล�ำพัง และ เป็นอิสระจากหลักเสมาในแถบอยุธยา ๒๗ รูปแบบของเสมาแบบนี้ไม่ค่อยมีความเปลี่ยนแปลง นอกจากเสมาในระยะหลัง ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันเพียงลวดลายที่สลักไว้บนหลักเสมา มีทั้งแบบที่สลักลายซับซ้อนจนถึงลายแบบเรียบง่าย เช่น ลายดอกไม้สี่กลีบ การตกแต่ง นิยมทารักตาบด้วยทองทั้งแผ่นตามความนิยมร่วมสมัย ในเมืองเพชรบุรีมีวัดเป็นจ�ำนวนมาก ที่ใช้เสมาแบบนี้ ทางฝั่งตะวันออกแม่น�้ำเพชรบุรี มีวัดเพชรพลี วัดบันไดทอง วัดเพรียง วัดโพพระใน วัดโพธิ์ทัยมณี (วัดโพไทร) ฝั่งตะวันตกมี วัดสระบัว วัดข่อย วัดพระนอน วัดชีสระอินทร์ วัดอัมพวัน วัดแก่นเหล็ก วัดคงคาราม ชานเมืองโดยรอบ เช่น วัดกุฏิ (บางเค็ม น่าจะเป็นรุ่นต้น ๆ เพราะขนาดค่อนข้างใหญ่และหนา สลักลวดลายประณีต) วัดโพธิ์ (บางเค็ม) วัดในกลาง วัดสมุทรคาม วัดสมุทรโคดม วัดพิกุลแก้ว วัดโรงเข้ วัดศาลาหมูสี วัดศาลาเขื่อน วัดดอนหว้า วัดท่าคอย วัดกระจิวร้าง ยังมีเสมาแบบรุ่นหลัง จากแบบนี้อีก จะมีรูปทรงที่ชะลูดขึ้น อกเสมาผายออกเกินแนวเหงา เอวคอดกิ่ว ในเมือง เพชร มีเสมาวัดจันทราวาส เสมาวัดหนองควง เสมาวัดห้วยโรง เป็นต้น ภูมิสถาน 125


มีหลักเสมาหลักหนึ่ง ไม่ทราบที่มา ปัจจุบันอยู่ที่วัดเพชร พลีสลักลายหน้าเดียว และด้านข้างที่มีสันนูนด้านหน้าสลักลวดลาย แบบเสมาสายสกุลอยุธยาแบบมาตรฐาน แต่ทรวดทรงและ ขนาดซึ่งค่อนข้างใหญ่ (สูงประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตร) คล้ายกับ หลักเสมาวัดหลุมดิน ราชบุรี ซึ่งเป็นเสมาแบบที่มาสลักลวดลาย เพิ่มภายหลัง นอกจากนี้ยังมีการจ�ำหลักลายบนยอดเสมาอยู่ ในกรอบสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดคล้ายกันด้วย เป็นแบบอิทธิพล หลักเสมาสายเขมรสกุลพระนครหลวง ๒๘ นอกจากหลักเสมารูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในเมืองเพชรบุรียังพบเสมาที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากกลุ่ม เสมาสายสกุลอยุธยาที่แพร่หลายอยู่ เช่น เสมาจากวัดกาจับ เป็น เสมาแบบเรียบไม่มีการสลักลายใด ๆ แต่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่ใช้ ปักลงดินยาวเท่ากับตัวเสมา เสมาวัดมหาธาตุ เป็นเสมาปักคู่ สลักลายหน้าเดียว ส่วนขอบด้านข้างสลักลวดลายเต็มพื้นที่ เสมาวัดมหาธาตุนี้ยังมีข้อกังขาอยู่ว่าเป็นศิลปะในช่วงเวลาใด หากพิจารณาจากวัสดุ ขนาดและรูปทรงนั้นเป็นแบบเดียวกับ หลักเสมาสายสกุลอยุธยาแบบที่ ๑ แต่รูปบุคคลและลวดลาย เช่น ลายหน้ากาลคายช่อผักกูด ลายบุคคลถือก้านช่อลายผักกูด ลายสิงห์เกี่ยวลายขดม้วนแบบผักกูด พิจารณาจากลวดลายแล้ว คล้ายลวดลายที่ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมร ส่วนยอดท�ำเป็นจุก แบบหลักเสมากลุ่มที่ได้รับอิทธิพลหลักเสมาสายสกุลเขมร พระนครหลวง เสมาวัดเขาบันไดอิฐมีรูปแบบผสมระหว่างหลักเสมา สายสกุลอยุธยาแบบมาตรฐานกับหลักเสมาสายโก่งคิ้ว เสมา วัดอุทัย มีรูปแบบคล้ายหลักเสมาสายสกุลอยุธยาแบบมาตรฐาน แต่มียอดที่แหลมกว่า เอวก็คอดกิ่วมากกว่า ฐานหน้ากระดาน กว้างกว่า ลวดลายที่ประดับบริเวณนี้ก็ต่างออกไป เสมา วัดปากน�้ำบางจาน เป็นแบบเอวคอด ยอดแหลม หน้ากระดาน กว้าง คล้ายกับเสมาวัดอุทัย ต่างกันตรงที่วัดปากน�้ำบางจานมีเดือย ขนาบที่โคน ส่วนเสมาวัดลาด เอวคอดกิ่วมาก หน้ากระดานกว้าง ที่พิเศษคือท�ำลวดลายตัวเหงาที่ริมหน้ากระดานทั้งสองด้าน เสมาประธานวัดสระบัว เป็นเสมาแบบปากใต้ แต่ตกแต่งพิเศษ เป็นรูปประติมากรรม แล้วลงรัก ปิดทอง ประดับกระจกสี ๒๘ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๑๓. 126 พื้นภูมิเพชรบุรี


เสมาวัดกาจับมีขนาดใหญ่ และหนา เสมาวัดมหาธาตุสลักลายบุคคล ถือก้านช่อลายผักกูดคล้ายลาย แบบเขมร ภูมิสถาน 127


128 พื้นภูมิเพชรบุรี


รูปแบบเสมาที่พบในเมืองเพชรบุรี ๑. อยู่ที่วัดโพพระใน อ.เมือง ๒. เสมาวัดสัตตพันพาน อ.เมือง ๓. เสมาวัดมหาธาตุ ๔. อยู่ที่วัดอัมพวัน อ.เมือง ๕. เสมาวัดสิงห์ อ.เมือง ๖. เสมาวัดสิงห์ อ.เมือง ๗. เสมาวัดเกาะ อ.เมือง ๘. อยู่ที่วัดเพชรพลี อ.เมือง ๙. เสมาวัดใหญ่สุวรรณาราม ๑๐. เสมาวัดปีบ (ร้าง) อ.เมือง ๑๑. เสมาวัดไตรโลก อ.เมือง ๑๒. เสมาวัดกุฏิ (ท่าแร้ง) ๑๓. เสมาวัดสระบัว อ.เมือง ๑๔. เสมาวัดโพธิ์ (บางเค็ม) ๑๕. เสมาวัดจันทราวาส อ.เมือง ๑๖. เสมาวัดเขาบันไดอิฐ ๑๗. เสมาวัดท่าไชยศิริ อ.บ้านลาด ๑๘. อยู่ที่วัดมหาธาตุ อ.เมือง ๑๙. เสมาวัดชมพูพน อ.เมือง ๒๐. เสมาวัดใหม่เจริญธรรม ๒๑. เสมาวัดไผ่ล้อม (ร้าง) อ.เมือง ๒๒. เสมาวัดกุฏิ (บางเค็ม) ๒๓. เสมาวัดอุทัย อ.เมือง ๒๔. เสมาวัดปากน�้ำบางจาน ๒๕. เสมาวัดลาด อ.เมือง ๒๔ ๒๕ ๑๘ ๑๒ ๖ ๒๓ ๑๗ ๑๑ ๕ ๒๑ ๑๖ ๑๐ ๔ ๒๑ ๑๕ ๙ ๓ ๑๙ ๒๐ ๑๓ ๑๔ ๗ ๘ ๑ ๒ ภูมิสถาน 129


อุโบสถและวิหารที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกในเมืองเพชรบุรี ๒๙ อิทธิพลสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบตะวันตก ได้เข้ามาในดินแดน สยามพร้อมกับการชาวตะวันตกที่เข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนา ความรู้และเทคโนโลยี การก่อสร้าง มีผลในการพัฒนาอาคารสถาปัตยกรรมไทย ในการก่อสร้างอาคารเครื่องก่อ ในวัด อันได้แก่ อุโบสถวิหารและวิหารที่นิยมอยู่ในลพบุรีและพระนครศรีอยุธยาได้พัฒนา และแพร่หลายอย่างมากหลังสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วัดในเมืองเพชรบุรี มีการก่อสร้างอาคารที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกอยู่มากมายหลายรูปแบบ แบบที่พัฒนามาจากอาคารไทยประเพณี เช่น พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ที่มีรูปแบบ อาคารไทยประเพณี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาได้รับ การปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าเสือและสมัยต่อ ๆ มา รูปแบบและผังของอาคาร จึงเปลี่ยนไป อาคารที่พัฒนามาจากอาคารไทยประเพณีนั้น มีทั้งแบบที่มีมุขเด็จ/มุขโถง และทรงแบบคฤห์ที่มีเนื้อที่ใช้สอยภายในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวอย่างอาคารในเมืองเพชร แบบที่มีมุขเด็ข/มุขโถง เช่น อุโบสถและวิหารวัดเกาะ ส่วนแบบทรงคฤห์ เช่น อุโบสถและ วิหารวัดเขาบันไดอิฐ อุโบสถวัดไผ่ล้อม อุโบสถวัดสระบัว นอกจากนี้ยังมีอุโบสถวัดท่าคอย อุโบสถวัดโรงเข้ ที่น่าจะสร้างขึ้นภายหลังกลุ่มแรก ๒๙ ดูรายละเอียดในจุมพล เพิ่มแสงสุวรรณ. พระอุโบสถและพระวิหารที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกสมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๑๕๙ – ๒๓๑๐) (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ภาควิชาศิลปะ สถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๕.) อุโบสถวัดเกาะ 130 พื้นภูมิเพชรบุรี


อุโบสถวัดสระบัว อุโบสถวัดท่าคอย อาคารที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการติดต่อ การเรียนรู้เทคโนโลยีที่ เข้ามากับการติดต่อค้าขายในสมัยอยุธยา ที่ช่างไทยรวมถึง ช่างเมืองเพชรได้น�ำมาปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมประเพณี ของสังคมสยาม มีการพัฒนารูปแบบและเทคนิคการ ก่อสร้างจนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะขึ้นในช่วงยุคสมัยอยุธยา ตอนปลาย และมีความหลากหลายในเรื่องรูปแบบตาม ความเหมาะสมของก�ำลังทรัพย์ ความนิยม ความสามารถ และการสร้างสรรค์ของช่าง อาคารเหล่านี้จึงมีคุณค่า ทางด้านการใช้สอยในการพระศาสนาและสุนทรียศาสตร์ ทั้งบางแห่งยังเป็นที่รวมของศิลปกรรมหลากหลายแขนง ที่สรรค์สร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา อยู่ด�ำรงมาให้คนรุ่นหลัง ได้เรียนรู้ไม่จบสิ้น อุโบสถวัดโรงเข้ อุโบสถวัดโพธาวาส สถาปัตยกรรม สมัยอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันไม่เหลือหลักฐานให้เห็นแล้ว ภูมิสถาน 131


อุโบสถวัดสนามพราหมณ์ เสนาสนะที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงกระแสความเปลี่ยนแปลงหรือยุครับอิทธิพลตะวันตกนั้นมีเจ้านายและขุนนาง ได้บูรณปฎิสังขรณ์วัดหลายวัดในเมืองเพชรบุรี แต่อาคารหลักส่วนใหญ่ ทั้งอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ ยังคงรักษารูปแบบประเพณีไว้ เว้นแต่วัดส�ำคัญที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ ได้แก่ วัดมหาสมณาราม มีลักษณะพิเศษที่ อุโบสถเป็นแบบพระราชนิยม พบหลักฐานบางวัดเท่านั้นที่ช่างได้น�ำเอาศิลปะตะวันตกมา ผสมผสานบ้างในส่วนของการตกแต่ง เช่น อุโบสถวัดสนามพราหมณ์ ใช้ช่องวงโค้งระหว่าง เสารับปีกนก และหน้าบันตกแต่งด้วยลายปูนปั้นอย่างเทศ ส่วนที่เป็นอาคารแบบอิทธิพล ตะวันตกเห็นได้จาก กุฏิสงฆ์วัดสนามพราหมณ์ ที่เป็นอาคารตึกแฝด ๒ ชั้น เป็นอาคาร เครื่องก่อ หลังคาทรงปั้นหยามุงสังกะสี ชายคาตกแต่งด้วยไม้ฉลุแบบขนมปังขิง บานประตู หน้าต่าง ท�ำเป็นบานเกล็ดไม้ เหนือประตูตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลาย เหนือบานหน้าต่าง ปั้นปูนเป็นบัวหงาย เสาอิงด้านนอกอาคารตกแต่งด้วยการชักร่อง หัวเสาเป็นแบบตะวันตก ด้านหน้าเป็นระเบียงตกแต่งด้วยลูกกรงไม้ฉลุ มีชายคายื่นออกมาคลุมระเบียง ส่วนบันได ทางขึ้นอยู่ทางด้านข้างอาคารทั้งสองด้าน หอระฆังอย่างเทศในเมืองเพชร ในเมืองเพชรบุรีนั้นพบว่ามีความนิยมสร้างหอระฆังที่แตกต่างไปจากแบบ สถาปัตยกรรมแบบประเพณี เป็นหอระฆังที่เป็นลักษณะผสมผสานของหลายอิทธิพล หรือที่เรียกว่า “ตึกอย่างเทศ” หรือ “ทรงอย่างเทศ” ซึ่งพบมากในสังคมสยามราวรัชกาล ที่ ๓ และ ๔ ทั้งยังคงสืบเนื่องมาในสมัยหลังด้วย องค์ประกอบโดยรวมของหอระฆังดังกล่าว นั้นมีทั้งอิทธิพลศิลปะจีน และศิลปกรรมแบบตะวันตก การตกแต่งที่แสดงให้เห็นอิทธิพล 132 พื้นภูมิเพชรบุรี


แบบตะวันตก เช่น การท�ำเสาติดผนังมุมอาคาร บางครั้งท�ำเป็นร่องยาวลงมาตลอดแนวเสา ท�ำซุ้มโค้งเรียงกันโดยมีคิ้วคาดอยู่ตอนบนระหว่างซุ้ม การตกแต่งหอระฆังประเภทนี้ที่นิยมกัน อย่างมาก คือ การท�ำปูนปั้นเป็นลายพันธุ์พฤกษาที่ตกแต่งเหนือด้านบนของซุ้ม รูปแบบหอระฆังอย่างเทศในเมืองเพชรมีความหลากหลาย แตกต่างกันในรายละเอียด และการตกแต่ง ทั้งหมดเป็นอาคารเครื่องก่อ อาจแบ่งตามรูปแบบได้ดังนี้ กลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้น รูปทรงสูงสอบขึ้นไปเล็กน้อย มีระเบียงแคบอยู่ชั้นบน สามารถเดินวนได้รอบ หลังคาทรงกรวยสี่เหลี่ยมคล้ายกระโจม อาจเรียกได้ว่าหลังคายอด เกี้ยวแบบจีน อาคารกลุ่มนี้ส่วนฐานก่อทึบเป็นฐานบัวบ้าง ฐานสิงห์บ้าง มีบันไดเตี้ย ๆ ด้านนอกอาคาร ชั้นล่างก่อพนักเตี้ย ๆ เป็นระเบียงแคบ ๆ มีช่องทางเข้า-ออกทั้งสี่ด้าน ตรงกับช่องซุ้มคูหาโค้งที่ตัวอาคาร ๓ ด้าน ส่วนด้านหลังเป็นซุ้มหลอก ภายในตัวอาคาร มีบันได ชั้นบนตัวอาคารทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกับชั้นล่างแต่ขนาดลดหลั่นลงไป แต่ผนัง ทั้งสี่ด้านก่อเป็นซุ้มโค้งโปร่ง มีระเบียงแคบ ๆ สามารถเดินวนได้รอบ พนักระเบียงเจาะช่อง ตรงกับซุ้มโค้งทั้งสี่ด้าน หลังคาก่อเป็นทรงกรวยสี่เหลี่ยมคล้ายกระโจม เซาะเป็นร่องยาว เรียงต่อกันเป็นลอนเลียนแบบเครื่องกระเบื้อง ส่วนยอดท�ำเป็นรูปคล้ายดอกบัวหรือ เครื่องถ้วยชาม พนักระเบียงของหอระฆังกลุ่มนี้ มีทั้งก่อทึบ หรือประดับด้วยกระเบื้อง ปรุเคลือบ และมักมีพุ่มปูนปั้นประดับบริเวณมุมพนักระเบียง ผนังอาคารนิยมตกแต่งด้วย ลายปูนปั้นเป็นลายดอกไม้ ใบไม้อย่างเทศ หรือปูนปั้นรูปคล้ายแถบผ้าม่านโค้งประดับลาย พันธุ์พฤกษา หอระฆังที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ หอระฆังวัดยาง หอระฆังวัดลาด และหอระฆัง วัดท่าคอย ส่วนหอระฆังวัดโคก อาจเป็นอาคารที่พัฒนามาจากอาคารกลุ่มนี้ ที่มีการเจาะช่อง ซุ้มเป็นซุ้มโค้งปลายแหลม กุฏิสงฆ์วัดสนามพราหมณ์ ภูมิสถาน 133


หอระฆังวัดยาง หอระฆังวัดท่าคอย หอระฆังวัดลาด หอระฆังวัดโคก 134 พื้นภูมิเพชรบุรี


หอระฆังวัดยาง มีกระเบื้องปรุเคลือบ ตกแต่งที่พนักระเบียง ลวดลายปูนปั้น ตกแต่งหอระฆัง วัดลาด ภูมิสถาน 135


กลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้นทรงสูง หลังคาทรงมณฑป อาคารกลุ่มนี้ส่วนฐาน ก่อทึบเป็นฐานบัว มีบันไดเตี้ย ๆ ด้านนอกอาคาร ชั้นล่างก่อพนักเตี้ย ๆ เป็นระเบียง แคบ ๆ ตัวอาคารชั้นล่างทรงสี่เหลี่ยม ท�ำซุ้มหลอกเป็นซุ้มโค้งมีเสาอิง มีหัวเสาคล้าย แบบไอโอนิค ภายในตัวอาคารมีบันได ชั้นบนตัวอาคารทรงสี่เหลี่ยม ลดขนาดเล็ก กว่าชั้นล่าง ผนังทั้งสี่ด้านก่อเป็นซุ้มโค้งโปร่ง มีระเบียงแคบ ๆ สามารถเดินวนได้รอบ พนักระเบียงเจาะช่องตรงกับซุ้มโค้งทั้งสี่ด้าน พนักระเบียงของหอระฆังกลุ่มนี้ จะเจาะ ช่องทรงลูกฟัก ตัวแทนของหอระฆังกลุ่มนี้ที่มีการตกแต่งเป็นพิเศษ คือ หอระฆัง วัดใหญ่สุวรรณาราม อาคารชั้นล่างก่อทึบ มีซุ้มหลอกเป็นซุ้มโค้ง มีเสาอิงหัวเสาเป็น ปูนปั้นคล้ายใบอาแคนธัส หลังคาก่อเป็นทรงมณฑป มีบันแถลงซ้อนลดชั้นขึ้นไป ชั้นล่าง สุดมีครุฑประจ�ำมุม พนักระเบียงมีพุ่มปูนปั้นประดับ อาคารชั้นบนมีเสาติดผนังมุมอาคาร ลายบัวหัวเสาเป็นบัวแวง รอบซุ้มแต่งด้วยลายปูนปั้นเป็นลายดอกไม้ ใบไม้อย่างเทศ ส่วนหอระฆังวัดบันไดทอง ตัวอาคารชั้นล่างก่อทึบเป็นทรงสี่เหลี่ยม ก่อเสาลอยตัว และซุ้มโค้ง ล้อมผนังด้านใน มีบันไดอยู่ด้านในอาคาร หลังคาลดชั้นประดับปูนปั้น ลายพันธุ์พฤกษาแบบจีน ส่วนยอดเป็นทรงปราสาท หอระฆังหลังนี้เป็นแบบผสมผสาน ศิลปะไทย ตะวันตกและจีน นอกจากสองหลังนี้แล้วยังมีหอระฆังที่อาจจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น หอระฆังวัดพลับพลาชัย หอระฆังวัดโพพระใน หอระฆังวัดใหญ่สุวรรณาราม หอระฆังวัดบันไดทอง หอระฆังวัดพลับพลาชัย 136 พื้นภูมิเพชรบุรี


กลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้นทรงสูง มีบันไดอยู่ด้านนอกอาคาร กลุ่มนี้คล้ายกับ กลุ่มวัดยาง ต่างกันที่การท�ำบันได และรูปทรงของซุ้มที่ท�ำเป็นซุ้มโค้งปลายแหลม ส่วนของหลังคามีทั้งหลังคาแบบยอดเกี้ยวอย่างจีน และหลังคาทรงปราสาทหรือ ทรงมณฑป ตัวอย่าง คือ หอระฆังวัดโพธิ์กรุ และหอระฆังวัดวังบัว กลุ่มอาคารแปดเหลี่ยมสองชั้นทรงสูง หลังคาทรงโดม ชั้นล่างกั้นพนัก ระเบียงเตี้ย ๆ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบปรุสีเขียว ตัวหอระฆังชั้นนอกก่อเป็นเสาลอยตัว รองรับวงโค้ง ล้อมผนังด้านในที่มีบันได ชั้นบนท�ำรับกับชั้นล่าง แต่ลดขนาดลง ท�ำพนัก ระเบียงเตี้ย ๆ ประดับกระเบื้องปรุเคลือบสีเขียว แบบเดียวกับชั้นล่าง ท�ำให้มีระเบียง แคบ ๆ สามารถเดินได้โดยรอบ ตัวหอระฆังก่อเป็นเสาลอยรับช่องวงโค้ง หลังคา เป็นเครื่องก่อทรงโดมแปดเหลี่ยม ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น อาคารลักษณะดังกล่าวนี้ คือ หอระฆังและหอกลองวัดพระทรง หอระฆังวัดโพธิ์กรุ หอระฆังวัดวังบัว ภูมิสถาน 137


หอระฆัง และหอกลอง วัดพระทรง ยังมีหอระฆังทรงอย่างเทศอีกหลายแห่งที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างออกไปในรายละเอียดจากลุ่มอาคารข้างต้น เช่น หอระฆัง วัดมหาสมณาราม เป็นอาคารที่เหลี่ยมสองชั้น รูปทรงสูงสอบ ขึ้นไปเล็กน้อย คล้ายกับอาคารกลุ่มวัดยาง แต่ต่างกันที่หอระฆัง วัดมหาสมนาราม ไม่มีระเบียงทั้งชั้นบนและชั้นล่าง หอระฆัง วัดโพธาราม เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยม ฐานล่างก่อทึบตัน มีบันไดอยู่นอกอาคาร ตัวหอระฆัง เจาะช่องโค้งมีเสารองรับช่อง วงโค้ง หลังคาเป็นโดมแปดเหลี่ยม หอระฆังวัดจันทราวาสเป็น อาคารสองชั้นทรงกลม ชั้นล่างท�ำเป็นช่องรูปโค้งมีเสารองรับ ด้านในก่อทึบ มีบันไดอยู่ด้านในอาคาร ชั้นบนเป็นทรงกลม ลักษณะเดียวกับชั้นล่าง แต่ลดขนาดลงมีระเบียงแคบ ๆ เดินได้ โดยรอบ พนักระเบียงตกแต่งด้วยลูกกรงเตี้ย ๆ หลังคาเป็นโดมกลม ซ้อนชั้น ท�ำเป็นลอนเลียนแบบเครื่องกระเบื้อง หากมองถึงพัฒนาการของหอระฆังอย่างเทศในเมือง เพชรบุรีนั้น ถ้าจุดเริ่มจากกลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้นมี ระเบียงแคบอยู่ชั้นบนสามารถเดินวนได้รอบ หลังคาทรงกรวย สี่เหลี่ยมคล้ายกระโจม อาจเรียกได้ว่าหลังคายอดเกี้ยวแบบจีน หอระฆังวัดมหาสมณาราม 138 พื้นภูมิเพชรบุรี


หอระฆังวัดโพธาราม หอระฆังวัดจันทราวาส ในกลุ่มวัดยางที่คล้ายกับหอระฆังวัดเทพธิดารามและวัดราชนัดดา ซึ่งรูปแบบหอระฆังดังกล่าว พบได้ทั่วไปตามวัดที่สร้างหรือ บูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถัดมาคงเป็นอาคารทรง สี่เหลี่ยมสองชั้นแบบไม่มีระเบียงของวัดมหาสมณาราม ซึ่งมี ประวัติว่าบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นการสืบทอดปรับปรุง ตัดทอนรายละเอียดของอาคารกลุ่มหลังคาทรงกระโจม ส่วน กลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้นทรงสูง หลังคาทรงมณฑป คงเริ่ม หลังการก่อสร้างพระนครคีรี อาจเป็นช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มี การน�ำเอาช่องวงโค้งมาใช้กับอาคารหลักของพุทธสถานเห็นได้จาก อุโบสถวัดศรีสุริยวงศ์ จังหวัดราชบุรี ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ กลุ่มนี้บางวัดเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยกับ สถาปัตยกรรมตะวันตก ไม่มีอิทธิพลจีน เห็นได้จากหอระฆัง วัดใหญ่ (ตามประวัติมีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ในสมัย รัชกาลที่ ๕) และหอระฆังวัดพลับพลาชัย แต่พบส่วนเครื่องบน มีอิทธิพลศิลปะจีนที่หอระฆังวัดบันไดทอง (มีประวัติบูรณะเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙) ส่วนกลุ่มอาคารสี่เหลี่ยมสองชั้นทรงสูง มีบันได อยู่ด้านนอกอาคาร คล้ายกันอย่างมากกับกลุ่มหอระฆังที่นิยม ในสมัยรัชกาลที่ ๓ อาจเป็นอาคารที่พัฒนามาจากกลุ่มนี้ กลุ่ม อาคารทรงแปดเหลี่ยมคงสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะทั้ง วัดโพธารามและวัดพระทรงมีประวัติว่าบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่วนหอระฆังทรงกลมของวัดจันทราวาสชวนให้นึกถึงหอชัชวาล เวียงชัยหรือกระโจมแก้วบนพระนครคีรี มรดกทางพุทธศิลป์ในเมืองเพชรบุรี ที่หยิบยกมากล่าว ถึงข้างต้นนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมรดกทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ยังมีมรดกทางพุทธศิลป์อีกหลาย แขนงที่ยังมีอยู่สุดคณานับในวัดวาอารามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงาน จิตรกรรมล�้ำค่าบอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา สะท้อนความเชื่อ ในสังคม งานแกะไม้ปิดทองประดับกระจกของธรรมาสน์ มณฑป หรือแม้แต่ศาลาการเปรียญเครื่องไม้ สกุลช่างเมืองเพชร เหล่านี้ล้วนมีความส�ำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ในแง่ของเครื่อง สะท้อนศรัทธาของคนเมืองเพชรที่มีต่อพระพุทธศาสนา ที่ยังคง สืบสานมาจวบจนปัจจุบัน ภูมิสถาน 139


พระอุโบสถวัดคงคาราม ในปัจจุบัน พระมหากรุณาธิคุณแห่งราชจักรีวงศ์ต่อเมืองเพชรบุรี สองรัชกาลแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บ้านเมืองยังมีการศึกสงคราม ความสนใจของ ผู้ปกครองต่อเมืองเพชรบุรี ยังคงเป็นเมืองที่ต้อง สนับสนุนผู้คนและเสบียงในการป้องกันพระนคร ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงท�ำนุบ�ำรุงพระศาสนา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างและบูรณะ ปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามเป็นอย่างมาก ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารช่วยกันท�ำนุบ�ำรุงวัดวาอาราม เป็นการโดยเสด็จพระราชกุศล ในท�ำเนียบ พระอารามหลวงมีชื่อวัดคงคาราม เมืองเพชรบุรี เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์ แต่ไม่พบหลักฐานว่าพระองค์ เสด็จพระราชด�ำเนินมาเมืองเพชรบุรี จึงเป็นไป ได้ว่ามีผู้รับสนองพระบรมราชโองการปฏิสังขรณ์ วัดคงคารามแทนพระองค์ ถัดจากนั้นมา พระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ถึงสามพระองค์ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินมายังเมืองเพชรบุรี และได้ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังในเมืองเพชรบุรี ทั้งสามรัชกาล รวมทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้บูรณะวัดส�ำคัญหลายวัดในเมืองเพชรบุรี 140 พื้นภูมิเพชรบุรี


พระราชวังในเมืองเพชรบุรี พระนครคีรี : พระนครเขา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ขณะที่ทรงผนวช พระองค์เคยเสด็จ เมืองเพชรบุรีหลายครั้ง เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระราชวังบนเขาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเพชรบุรี โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๐๑ และใน พ.ศ. ๒๔๐๒ เริ่มก่อศิลาพระฤกษ์พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์เป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ การก่อสร้างนั้นโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสิ่งก่อสร้างทั้งสามยอดเขา ที่เดิมเรียกว่า เขามหาสมณะ แต่ชาวบ้านเรียกว่าเขาสมน ต่อมารัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามใหม่ว่า เขามหาสวรรค์ ยอดกลาง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหม่ทับองค์เดิม ซึ่งชำรุดมาก แล้วบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ พระราชทานนามว่า พระธาตุจอมเพชร ยอดเขาทางด้านทิศตะวัน ออก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ศิลา พระวิหาร พระปรางค์ หอระฆัง และศาลา และยอดเขาทางด้านทิศตะวันตก ก่อสร้างพระราชวังใช้เป็นที่ประทับ ประกอบไปด้วย หมู่พระที่นั่งและอาคารต่าง ๆ ที่รัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามไว้คล้องจองกัน เช่น พระที่นั่ง เพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรค์ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาเมืองเพชรบุรีและประทับที่พระนครคีรี หลายครั้ง เช่น พ.ศ. ๒๔๐๓ เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินวัดสำ คัญในเมืองเพชรบุรี เช่น วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดมหาสมณาราม ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินนั้นประทับ บนพระนครคีรี นอกจากนั้นยังทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอื่นด้วย เช่น การบำเพ็ญพระราชกุศล ฉลองหอศาสตราคม (หอพิมานเพชรมเหศวร์) บนพระนครคีรี พ.ศ. ๒๔๐๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร และทรงบรรจุพระธาตุในองค์พระสุทธเสลเจดีย์ บนเขามหาสวรรค์ ให้มีการสมโภช สามวันสี่คืน พระนครคีรี ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เรียกว่าพระนครเขา (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ภูมิสถาน 141


พุทธสถานและพระธาตุจอมเพชร บนพระนครคีรี (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) หมู่พระที่นั่งบนยอดเขา ทางด้านทิศตะวันตก พ.ศ. ๒๔๐๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธี โสกันต์พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ คือพระเจ้าลูกเธอพระองค์ เจ้าพักตร์พิมลพรรณ และพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ามัณยาภาธร ที่พระนครคีรี งานโสกันต์ครั้งนี้ จัดเป็นงานโสกันต์ที่ยิ่งใหญ่ใน หัวเมือง นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เมืองเพชรบุรีเป็นสถาน ที่ต้อนรับทูตและชาวต่างประเทศที่ได้เดินทางมาเจริญพระราช ไมตรีกับสยาม และมาเที่ยวชมความงดงามตามธรรมชาติและ วัฒนธรรม โดยเฉพาะที่พระนครคีรี เช่นใน พ.ศ. ๒๔๐๔ กษัตริย์แห่ง ประเทศปรัสเซีย แต่งตั้งให้เคานต์ ฟรีดิชอัลเบรกต์ซูยู เลนเบอร์ก (Count of Eulenburg) เป็นราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ภายหลังเสร็จภารกิจ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวง วงศาธิราชสนิทจัดเรือแจวเรือพายให้ราชทูตมาเที่ยวเมือง เพชรบุรี ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า คัคณางค์ยุคล เสด็จไปเมืองเพชรบุรีกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขา ถึงพระองค์เจ้าคัคณางค์ยุคล เพื่อทรงแจ้งให้ทราบว่า ราชทูต ปรัสเซียจะมาเที่ยวและพักผ่อนที่เมืองเพชรบุรีขอให้ต้อนรับ อย่างดี พ.ศ. ๒๔๐๖ กษัตริย์เนเทอร์แลนด์ทรงให้ยิปิเจมัตเซล (Commander J.C. Massel) เชิญพระราชสาส์นมาเจริญพระราช ไมตรี ได้เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๖ เมื่อเสร็จภารกิจก่อนเดินทางกลับ ราชทูตและคณะได้ขอไปเที่ยว เมืองเพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พาแขกเมืองไปเที่ยวเมืองเพชรบุรีด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๗ โปรดฯ ให้ประกอบพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระนครคีรีด้วย โดยส่งข้าหลวงออกไปเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่นั่ง เพชรภูมิไพโรจน์ และได้กระทำสืบต่อมาจนสิ้นรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จเมืองเพชรบุรีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวนอกจากจะเสด็จฯ มาประทับที่พระนครคีรีแล้วยังเสด็จ พระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจ หลายอย่าง เช่น ในเทศกาลถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าพระกฐิน พื้นที่โดยรอบเขาพนมขวดเป็นพื้นที่นา (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) 142 พื้นภูมิเพชรบุรี


เป็นต้น แต่ที่สำคัญ คือ การฟื้นฟูประเพณีแรกนาของเมือง เพชรบุรี โดยใน พ.ศ. ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ ข้าหลวงไปซื้อนาที่ทุ่งเขาพนมขวด จำนวน ๗๑๔ ไร่ ๒ งาน เพื่อเป็นการส่งเสริมการทำนา ซึ่งในขณะนั้นข้าวเป็นสินค้า ส่งออกที่สำคัญ จากนั้นจึงโปรดฯ ให้การแรกนาของเมือง เพชรบุรีที่เคยมีการแรกนาที่ทุ่งนาวัดแรกมาทำพิธีแรกนาที่ เขาพนมขวด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ เป็นประธานในพิธีแรกนา มีพระยาเพชรบุรีเป็นพระยาแรกนา เป็นประจำทุกปี แต่หลังจาก พ.ศ. ๒๔๐๘ รัชกาลที่ ๔ ไม่ได้ เสด็จฯ ออกมาเป็นประธานในพิธีแรกนา ทรงมอบให้เจ้ากรมนา ออกมาตั้งพิธีแรกนา ทรงโปรดเกล้าฯ กำหนดวัน เวลาและ บุคคลมาประกอบพิธีแรกนาพร้อมด้วยไทยทานของหลวง ถวายพระสงฆ์ พิธีแรกนาที่เพชรบุรีได้ทำสืบต่อมาจนสิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ยุติลง ในคราวเดียวกับที่โปรดฯ ให้สร้างพระนครคีรี รัชกาลที่ ๔ ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานและถนนในเมืองเพชรหลายสาย เช่น ถนนตั้งแต่เชิงเขามหาสวรรค์ลงมาถึงท่าน้ำ พระราชทาน นามว่าถนนราชวิถี โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนตั้งแต่เชิงเขา มหาสวรรค์ไปถึงเขาหลวง ถนนตั้งแต่เชิงสะพานช้างไปถึง เขาบันไดอิฐ ถนนขวางระหว่างถนนราชวิถีกับถนนเขาบันไดอิฐ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกแถวริมถนนตลาดเมืองเพชรบุรี สร้าง ประปาฝังท่อให้ไหลไปลงอ่างที่เชิงเขาสำหรับให้ตักขึ้นไป ใช้บนพระนครคีรี เจ้านายและข้าราชการที่ตามเสด็จสร้างตึก ที่พักไว้ริมแม่น้ำเพชรบุรี โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดมหาสมณาราม และยังโปรดเกล้าฯ ให้ตกแต่งเขาหลวงซึ่งมีพระพุทธรูป โบราณและรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ในถ้ำโดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างบันไดลงไป ปฏิสังขรณ์และสร้างพระพุทธรูปภายใน ถ้ำด้วย รวมถึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะเจดีย์บนเขาพนมขวดด้วย นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยัง มีพระประสงค์ที่จะทราบข้อมูลเมืองเพชรบุรีเกี่ยวกับป่าเขา ระยะทาง นามตำบลบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์แก่การทำนุบำรุง รักษาบ้านเมืองจึงโปรดเกล้าฯ ให้ทำแผนที่เมืองเพชรบุรีตั้งแต่ ปากน้ำบ้านแหลมขึ้นไปตามลำแม่น้ำจนถึงต้นแม่น้ำเพชร สะพานช้างในอดีต (ที่มา : ภาพหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ทุ่งนาทางด้านทิศเหนือของพระนครคีรี (ที่มา : ภาพหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ภูมิสถาน 143


ต้นแบบรูปด้านพระที่นั่ง ในพระราชวังบ้านปืน (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) พระที่นั่งเมื่อสร้างแล้วเสร็จรัชกาลที่ ๖ พระราชทานนามว่า “ศรเพ็ชร์ปราสาท” (ที่มา : ภาพหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) พระราชวังบ้านปืน พระประสงค์ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองเพชรบุรีและ ประทับ ณ พระนครคีรีเสมอ และเพื่อให้การเดินทางไปเพชรบุรี สะดวกยิ่งขึ้นโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึง เมืองเพชรบุรี และเปิดใช้ใน ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ และในปลาย รัชกาลทรงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระนครคีรี เพื่อใช้รับรอง แขกเมือง นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังอีกแห่งหนึ่งที่เมืองเพชรบุรี เรียกว่า พระราชวังบ้านปืน แต่ยังสร้างไม่ทันแล้วเสร็จ พระองค์ก็ เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างต่อจนสำเร็จ พระราชทานนามว่า “พระรามราชนิเวศน์” การสร้างพระรามราชนิเวศน์ยังได้ก่อผลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ใน จังหวัดเพชรบุรีอีกมากมาย เช่น ถนนราชดำเนิน ถนนดำรงรักษ์ ถนนราชวิถี ต้นมะฮอกกานี สะพานอุรุพงษ์ ถนนหาดเจ้าสำราญ เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มิเพียงแต่ จะโปรดประพาสเมืองเพชรบุรีและทรงพระสำราญเท่านั้น แต่พระองค์ยังโปรดเสวยน้ำที่แม่น้ำเพชรบุรีอีกด้วย โดยเฉพาะ กลุ่มอาคารสถานที่ราชการ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) 144 พื้นภูมิเพชรบุรี


กลุ่มอาคารสถานที่ราชการ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) น้ำตรงท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ จนมีตรารับสั่งให้ตักน้ำ ตรงท่าน้ำวัดท่าไชยศิริส่งเข้าไปยังกรุงเทพฯ เพื่อเป็น น้ำสรงและน้ำเสวยเดือนละ ๒ ครั้ง ๆ ละ ๒๐ ตุ่ม นอกจากนี้น้ำในแม่น้ำเพชรบุรียังเป็นน้ำสำหรับเข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาตั้งแต่โบราณด้วย ระหว่างที่ประทับอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ไปทอดพระเนตรสถานที่และวัดวาอารามต่าง ๆ โดย เฉพาะเขาหลวง เสด็จประพาสแทบทุกครั้งที่เสด็จ พระราชดำเนินมาเมืองเพชรบุรี เพื่อทรงนมัสการ พระพุทธรูป ๔ องค์ ที่มีพระนามพระมหากษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งนมัสการ พระพุทธรูปต่าง ๆ ในถ้ำ บูชาพระพุทธรูปที่มีพระนาม สำหรับพระองค์ และประพาสทอดพระเนตรสถานที่ต่าง ๆ บนเขาหลวงนั้น บางคราวทรงปิดทองพระพุทธรูป บางคราวโปรดฯ ให้มีการสดับปกรณ์ในถ้ำหลวง และยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อปฏิสังขรณ์ พระพุทธรูปในถ้ำเขาหลวงด้วย สำหรับสถานที่ ต่าง ๆ ที่เสด็จพระราชดำเนินประพาส เช่น ประพาส บนเขามหาสวรรค์ ถ้ำเพิง ถ้ำพัง เขาพนมขวด วัดมหาสมณาราม วัดกำแพงแลง ถ้ำแกลบ ถ้ำสาลิกา ถ้ำเจ็ดแท่น ถ้ำพระพิมพ์ ถ้ำพระเผือก เขาดอก ถ้ำจีน วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดเกาะ วัดพระพุทธไสยาสน์ เขาบันไดอิฐ วัดท่าหมูสี วัดป่าแป้น ท่าศาลา เขาทะโมน พระบาทเขาลูกช้าง เมื่อทอดพระเนตรเห็นวัดต่าง ๆ ชำรุดทรุดโทรม จึงพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อ ทำนุบำรุงวัดเหล่านั้นด้วย เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดมหาสมณาราม วัดอุทัย เป็นต้น พระพุทธรูปจารึก พระนามพระเจ้าแผ่นดินในถ�้ำหลวง ดุ๊กโยฮัน อัลเบร์ต ผู้ส�ำเร็จราชการ เมืองบรันซวิก ประเทศเยอรมันนี และพระชายา เสด็จประพาสถ�้ำหลวง ภูมิสถาน 145


จากค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญถึงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เสด็จพระราชดำเนิน ไปประทับแรมที่จังหวัดเพชรบุรีหลายครั้ง และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประทับแรม ณ ค่ายหลวง หาดเจ้าสำราญเกือบทุกปี เพื่อประทับรักษาพระอาการปวดตามพระวรกาย ตามที่แพทย์หลวง ประจำพระองค์ทูลแนะนำให้เสด็จในที่มีอากาศแห้งอบอุ่นเช่นชายทะเล จึงโปรดฯ ให้สร้าง พลับพลาที่ประทับแรมขึ้นที่ชายทะเลตำบลบางทะลุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ สร้างเป็นอาคาร ไม้ใต้ถุนสูงหลังคามุงจากฝาขัดแตะหลายหลัง มีที่บรรทม ที่เสด็จลงเสวยพระกระยาหาร และทอดพระเนตรการแสดงมหรสพต่าง ๆ นอกจากอาคารพลับพลาที่ประทับแล้ว ยังมีอาคารสำหรับผู้ตามเสด็จ อาคารเหล่านี้สร้างรวมกันเป็นหมู่บ้านใหญ่เป็นค่ายจึง เรียกว่า ค่ายหลวงบางทะลุ ต่อมาพระราชทานนามใหม่ว่า ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ แต่มีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำจืด การคมนาคมไม่สะดวก มีแมลงวันหัวเขียวชุกชุม เป็นต้น จึงได้โปรดให้จัดสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน บริเวณ ชายหาดตำบลบางควายประกอบด้วยพระที่นั่งใหญ่ ๓ องค์ พระที่นั่งสมุทรพิมาน พระที่นั่งพิศาลสาคร พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เพื่อเป็นที่ประทับแห่งใหม่ และในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ เสด็จพระราชดำเนินประทับแรมที่พระราชนิเวศน์นี้ ซึ่งเป็นการเสด็จ พระราชดำเนินจังหวัดเพชรบุรีเป็นครั้งสุดท้าย ชายทะเลเมืองเพชรในอดีต (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) 146 พื้นภูมิเพชรบุรี


นับได้ว่าเมืองเพชรบุรีได้รับความสน พระราชหฤทัยจากพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการสร้างพระราชวัง ขึ้นถึงสามแห่ง ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ถึง สามพระองค์ อันได้แก่ พระนครคีรี ที่พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น และใช้ต่อเนื่องมาในสมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ การสร้างพระรามราชนิเวศน์เป็นพระประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ซึ่งพระราชวังทั้งสามแห่งนอกจากจะมีความสำคัญ ทางด้านประวัติศาสตร์ ทั้งเป็นพระบรมราชานุ สรณ์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม กล่าวคือ จากลักษณะการก่อสร้าง ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างศิลปะสถาปัตยกรรม ไทย กับศิลปะสถาปัตยกรรมตะวันตก และศิลปะ สถาปัตยกรรมจีน ทำให้พระนครคีรีมีเอกลักษณ์ โดดเด่นเฉพาะตัว เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ที่จัดวางการใช้ประโยชน์พื้นที่บนยอดเขาสามยอด อย่างลงตัว ประกอบด้วยอาคารใหญ่น้อยกว่า ๕๐ หลัง แบ่งเป็นที่ประทับของเจ้านาย ปูชนียสถานทางศาสนา และที่พักของทหาร อาคารส่วนใหญ่เป็นอาคาร พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเมื่อครั้งแรกสร้าง (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ) พระนครคีรี ภูมิสถาน 147


ก่ออิฐฉาบปูนชั้นเดียว ลักษณะของอาคารสำคัญ เช่น กลุ่มพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์สร้างเลียนแบบอาคารแบบ คลาสสิค หลังคาอาคารเป็นแบบจั่วและแบบปั้นหยา มุงด้วย กระเบื้องกาบกล้วย ทับแนวด้วยปูนปั้นแบบจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อดูภาพรวมแล้วถือได้ว่าพระนครคีรีเป็นพระราชวังที่เลียน แบบตะวันตกที่สำคัญและใหญ่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่ทุกวันนี้ ๑ พระรามราชนิเวศน์ เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรม ที่สร้างตามอิทธิพลสถาปัตยกรรมยุโรป นอกจากรูปทรง ภายนอกจะโดดเด่นแล้ว การตกแต่งประดับประดาห้องต่าง ๆ ยังงดงามอย่างยิ่ง พระราชวังแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้ผัง ที่มีปลายด้านทิศตะวันออกเป็นรูปวงกลมเรียงต่อกันเป็นรูป ดอกจิก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผังโบสถ์สมัยโรมาเนสก์ แถบแคว้นไรน์ ของเยอรมัน และมีระเบียงล้อมสนามรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ถอดแบบมาจากผังโบสถ์ยุคโบราณเช่น เดียวกัน เอกลักษณ์ภายนอกของพระราชวังแห่งนี้คือรูปแบบ ของสถาปัตยกรรมแบบบาร์รอคของเยอรมัน เห็นได้จาก พระรามราชนิเวศน์ การตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ สีสดแบบอิทธิพลจุงเก้นสติล ที่พระรามราชนิเวศน์ ๑ สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม สมัยรัชกาลที่ ๔ – พ.ศ. ๒๔๘๐ (กรุงเทพฯ : ๒๕๕๓) หน้า ๕๕ 148 พื้นภูมิเพชรบุรี


หน้าบันรูปโค้งหลายตอน แต่ได้ลดทอนลวดลายให้เรียบง่าย รูปแบบดังกล่าวนั้นคือสถาปัตยกรรม แบบอาร์ตนูโว ในยุโรป หรือที่เรียกว่า จุงเก้นสติล ในเยอรมัน อิทธิพลจุงเก้นสติล ในพระราชวัง แห่งนี้ คือ การตกแต่งที่มาจากสีของวัสดุ เช่น กระเบื้องเคลือบสีสดที่มาแทนที่งานปูนปั้นแบบโบราณ การเขียนลวดลายประดับรูปดอกไม้ใบไม้และภาพเขียนแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ในห้องต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว พระราชวังแห่งนี้ยังสร้างด้วยระบบโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีการก่อสร้าง นับเป็นอาคารสมัยใหม่รุ่นแรกของสยามทั้งแนวคิดและรูปแบบอีกหลังหนึ่ง ๒ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นหมู่อาคารที่สร้างด้วยไม้สัก ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรม แบบตะวันออกและตะวันตก งดงามด้วยการวางผังและการตกแต่งอย่างเรียบง่าย กลุ่มอาคารตั้งเรียงกัน ตามยาวขนานไปกับชายหาดชะอำ แบ่งเป็นอาคาร ๓ กลุ่มใหญ่ต่อเนื่องกัน ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ตั้ง โรงละครใหญ่ ชื่อ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ ถัดมาตรงกลางคือ กลุ่มพระท่ีนั่งสมุทรพิมาน เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและกลุ่มอาคารของข้าราชบริพารฝ่ายหน้า กลุ่มพระที่นั่งทางด้านทิศตะวันออก คือ พระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา และอาคารของข้าราชบริพารฝ่ายใน อาคารที่เป็นที่ประทับประกอบด้วยอาคารเดี่ยว หลายหลังเชื่อมต่อกันด้วยระบียงทางเดิน นอกจากจะเชื่อมต่ออาคารภายในกลุ่มเดียวกันแล้ว ยังเชื่อมต่อ กับอาคารกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ลักษณะของอาคารนั้นสถาปนิกออกแบบให้เป็นอาคารแบบบังกะโลสมัยใหม่ ที่เน้นความสะดวกสบายและการถ่ายเทอากาศที่ดี ก่อสร้างด้วยระบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ชั้นล่าง การตกแต่งภายในเน้นความเรียบง่าย เน้นการแสดงลักษณะของโครงสร้างอาคารและระบบ การก่อสร้างแบบใหม่ ๆ อันเป็นจุดเริ่มต้นของสุนทรียภาพทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามมา๓ ๒ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๓๗๓ เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๓๔ – ๓๓๗ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ภูมิสถาน 149


Click to View FlipBook Version