The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์พื้นฐาน ม.4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 61100143122, 2022-10-19 11:58:11

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์พื้นฐาน ม.4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์พื้นฐาน ม.4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3

แผนการจดั การเรยี นรู้

วชิ าฟสิ ิกสพ์ นื้ ฐาน ว30101
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เรือ่ ง แรงและกฎการเคล่อื นท่ี
ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นอุดรพิทยานกุ ลู

นายสุรวฒุ ิ สงศรี
รหัสนกั ศกึ ษา 61100143122
นักศกึ ษาฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู สาขาวิชาวิทยาศาสตร์

การฝกึ ปฏิบตั ิการสอนในสถานศกึ ษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)

คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

แผนการจัดการเรียนรู้

วิชาฟิสิกส์ ว30101
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรือ่ ง แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ี
ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนอดุ รพิทยานกุ ูล

นายสรุ วฒุ ิ สงศรี
รหัสนักศึกษา 61100143122
นักศกึ ษาฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู สาขาวิชาวิทยาศาสตร์

การฝกึ ปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศึกษา 1
รหัสวิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565

คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาฟสิ กิ สพ์ น้ื ฐาน รหสั วชิ า ว30101 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 เลม่ 1 นี้ จัดทำ
ขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียนบรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
2560) ผู้จัดทำได้ศึกษาสาระการเรียนรู้ เทคนิค วิธีการสอน การวัดและประเมินผล มาจัดทำแผนการจัด
การเรยี นรใู้ นครงั้ นี้

แผนการจัดการเรยี นรใู้ นเลม่ 1 นี้ ประกอบไปดว้ ย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551
(ฉบับปรบั ปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ คำอธบิ ายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวชิ า กำหนดการสอน
รายวิชา แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง แรงและกฎการเคลื่อนท่ี เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ได้เตม็ ศักยภาพอย่างแทจ้ ริง

ข้าพเจา้ หวังเปน็ อย่างย่ิงว่าแผนการจัดการเรยี นรู้ฉบับนี้ จะสามารถนำไปใชป้ ระกอบการจัดการเรียน
การสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์ นำไปสูก่ ารพฒั นาทถี่ กู ตอ้ งและเกดิ ผลแกผ่ ้เู รยี นเปน็ อยา่ งดี

สรุ วุฒิ สงศรี
20 ตลุ าคม 2565

สารบญั ข

เร่ือง หน้า
คำนำ ก
สารบญั ข
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) ค
ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ค

กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จ
ทำไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์ จ
เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์ ฉ
เรียนรูอ้ ะไรในวิทยาศาสตร์ ฉ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ซ
คณุ ภาพผู้เรียนเมอ่ื จบชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ฎ
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน ฏ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์สำคัญของผู้เรยี น ฐ
ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ธ
คำอธิบายรายวิชา น
โครงสรา้ งรายวชิ า ป
ตารางวิเคราะหห์ ลักสตู ร ผ
แผนการประเมินผลการเรยี นรู้ ฝ
การวเิ คราะห์หน่วยการเรยี นรู้ ภ
โครงสร้างกำหนดการสอน
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรื่อง แรงและกฎการเคลอื่ นที่ 1
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10 เรอ่ื ง แรง 15
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 11 เรือ่ ง การหาแรงลัพธ์ 27
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 12 เรื่อง มวล แรง และกฎการเคลื่อนท่ี 44
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 13 เรอ่ื ง แรงเสยี ดทาน 57
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 14 เรื่อง แรงดึงดูดระหวา่ งมวล 71
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 15 เรือ่ ง การประยุกต์ใชก้ ฎการเคลอื่ นท่ี



หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ได้กล่าวถึงความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิสัยทัศน์การเรียนรู้คุณภาพ
ผเู้ รยี น สาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลางไว้ ดังนี้

ความสำคญั ของกลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.

2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 น้ี ได้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ 3
วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา
สาระเคมี สาระฟิสิกส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของ
เนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้น้ัน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ
วางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มี ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 สำหรับกลุม่ สาระ การเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ได้กำหนดตวั ช้วี ัด
และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ท่ีผเู้ รียนจำเปน็ ต้องเรยี นเป็นพ้นื ฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้น้ีไปใช้ในการ
ดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพทีต่ ้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเน้ือหาแต่ละ
สาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี
สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนพฒั นาความคิด ทั้งความคดิ เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คดิ วเิ คราะห์วิจารณ์ มีทักษะ
ที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์
ความรดู้ ้วยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใชข้ อ้ มูล
หลากหลายและประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการ
เรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้
เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียน การสอน ตลอดจนการวัดและ
ประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ีจัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุง
เพื่อใหม้ ีความสอดคล้องและเช่อื มโยงกนั ภายในสาระการเรยี นรู้เดียวกนั และระหว่างสาระการเรยี นรู้ในกลุ่ม



สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย
นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการ
ต่าง ๆ และทัดเทียมกบั นานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สรปุ เปน็ แผนภาพได้ ดังน้ี



ทำไมตอ้ งเรียนวทิ ยำศำสตร์

วทิ ยำศำสตรม์ บี ทบำทสำคัญย่ิงในสงั คมโลกปัจจุบันและอนำคต เพรำะวิทยำศำสตร์ เกี่ยวขอ้ งกับ ทุก
คนทง้ั ในชีวติ ประจำวันและกำรงำนอำชีพต่ำง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครือ่ งมอื เคร่ืองใช้และผลผลิต ตำ่ ง ๆ
ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยควำมสะดวกในชีวิตและกำรทำงำน เหล่ำนี้ล้วนเป็นผลของควำมรู้ วิทยำศำสตร์
ผสมผสำนกบั ควำมคิดสร้ำงสรรค์และศำสตร์อื่น วทิ ยำศำสตรช์ ว่ ยให้มนุษย์ได้พัฒนำวิธีคิด ทั้งควำมคิดเป็น
เหตุเป็นผล คิดสร้ำงสรรค์ คิดวิเครำะห์ วิจำรณ์ มีทักษะสำคัญในกำรค้นคว้ำหำควำมรู้ มีควำมสำมำรถใน
กำรแก้ปัญหำอยำ่ งเป็นระบบ สำมำรถตัดสินใจโดยใช้ข้อมลู ท่ีหลำกหลำยและมีประจักษ์ พยำนท่ีตรวจสอบ
ได้ วทิ ยำศำสตร์เป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ซง่ึ เปน็ สงั คมแห่งกำรเรยี นรู้ (Knowledge-based society)
ดังนั้นทุกคนจงึ จำเป็นต้องได้รับกำรพัฒนำให้รู้วทิ ยำศำสตร์ เพื่อที่จะมี ควำมรู้ควำมเข้ำใจในธรรมชำติและ
เทคโนโลยที ีม่ นุษย์สรำ้ งสรรคข์ ึน้ สำมำรถนำควำมรูไ้ ปใชอ้ ยำ่ ง มีเหตผุ ล สร้ำงสรรค์ และมีคุณธรรม

เป้าหมายของวิทยาศาสตร์

ในการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ม่งุ เน้นใหผ้ ู้เรียนได้ค้นพบความร้ดู ้วยตนเองมากท่ีสุดเพื่อให้ได้ทั้ง
กระบวนการและความรจู้ ากวธิ ีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นำผลทไี่ ดม้ าจัดระบบเป็น
หลกั การ แนวคดิ และองค์ความร้กู ารจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์จึงมีเปา้ หมายทีส่ ำคัญ ดงั น้ี

1. เพ่ือให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎแี ละกฎท่เี ปน็ พืน้ ฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์
2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษาวิชา
วิทยาศาสตร์
3. เพ่ือใหม้ ีทักษะที่สำคญั ในการศึกษาคน้ คว้าและคดิ คน้ ทางเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ
สภาพแวดล้อมในเชงิ ท่ีมีอิทธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กนั และกนั
5. เพือ่ นำความรู้ความเข้าใจ ในวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคมและ
การดำรงชวี ติ
6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ
ทกั ษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตดั สินใจ
7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรค์



เรียนรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรม์ ุ่งหวังใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ทเี่ นน้ การเช่ือมโยงความรู้
กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา
ความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการ
ลงมือปฏบิ ัติจริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับชน้ั โดยกำหนดสาระสำคญั ดงั น้ี

❖ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตการดำรงชีวติ
ของมนุษย์และสัตวก์ ารดำรงชวี ิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ
ของส่ิงมชี วี ิต

❖ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนท่ี
พลังงาน และคลนื่

❖ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกีย่ วกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ
สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลม
ฟา้ อากาศ และผลตอ่ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม

❖ เทคโนโลยี
● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มี

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์
อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และสง่ิ แวดล้อม

● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็น
ขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสอ่ื สาร ในการแกป้ ญั หาท่พี บในชีวติ จรงิ ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้

สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ
สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สงิ่ แวดลอ้ มรวมทงั้ นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์



มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและ
ออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์
กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร
พนั ธกุ รรม การเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมที่มผี ลต่อสิ่งมชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการ
ของสิ่งมชี ีวิต รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ
สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ
สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคลือ่ นท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวัตถุรวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ี
เกีย่ วขอ้ งกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ
กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง
ผลตอ่ สิง่ มชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสงั คมที่มีการเปลีย่ นแปลง
อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง
เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสิ่งแวดล้อม



มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหา
ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ร้เู ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม

คุณภาพผู้เรียน

จบชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
❖ เขา้ ใจการลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนษุ ย์ ภูมิคุ้มกัน

ใน รา่ งกายมนุษยแ์ ละความผิดปกติของระบบภูมคิ ุ้มกัน การใช้ประโยชนจ์ ากสารต่าง ๆ ที่พชื สรา้ งข้ึน การ
ถ่ายทอดลกัษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการที่ทำให้เกิดความหลากหลาย
ของสิง่ มีชวี ิต ความสำคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอตอ่ มนุษย์ ส่ิงมชี ีวิต และส่ิงแวดลอ้ ม

❖ เขา้ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลง
แทนที่ใน ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการ
อนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดล้อม

❖ เข้าใจชนิดของอนุภาคสำคญั ท่ีเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติ บางประการ
ของ ธาตุการ จดั เรยี งธาตุในตารางธาตุ ชนดิ ของแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาคและสมบัติ ตา่ ง ๆ ของสารที่
มีความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนีย่ ว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกริ ิยาเคมีปจั จัย
ที่มผี ลตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี และการเขียนสมการเคมี

❖ เขา้ ใจปริมาณท่ีเก่ยี วกับการเคล่ือนท่ี ความสมั พันธร์ ะหวา่ งแรง มวลและความเร่ง ผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ ระหว่าง
สนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟา้ และแรงภายในนวิ เคลยี ส

❖ เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงาน
ทดแทน เป็นพลงั งานไฟฟา้ เทคโนโลยีด้านพลงั งาน การสะทอ้ น การหักเห การเลย้ี วเบน และการรวมคลื่น
การได้ยินปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และประโยชน์ของคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟา้

❖ เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนทีข่ องแผน่
ธรณีที่สัมพันธ์กับการเกดิ ลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ระเบิด สึนามิ
ผลกระทบแนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ัตติ นให้ปลอดภยั

❖ เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ที่มีต่อ
การหมนุ เวยี นของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลทมี่ ีต่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์
ของการหมุนเวียนของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหนา้ ในมหาสมทุ ร และผลต่อลักษณะลม



ฟ้าอากาศ สง่ิ มชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ปัจจัยตา่ ง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก และแนว
ปฏิบัติเพื่อลดกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมทั้งการแปลความหมาย
สญั ลกั ษณ์ลมฟา้ อากาศทีส่ ำคญั จากแผนท่ีอากาศ และข้อมลู สารสนเทศ

❖ เขา้ ใจการกำเนิดและการเปล่ยี นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อณุ หภมู ิของเอกภพหลักฐาน
ที่ สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของ ดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์
ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของ
ดาวฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของ ดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะ
การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ลักษณะของดาวเคราะห์ ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุ
สุริยะและผลที่มตี อ่ โลก รวมทง้ั การสำรวจอวกาศและการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ

❖ ระบปญั หา ตั้งคำถามทจ่ี ะสำรวจตรวจสอบ โดยมีการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัว
แปร ต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก ตรวจสอบ
สมมตฐิ านที่เปน็ ไปได้

❖ ต้งั คำถามหรอื กำหนดปัญหาท่อี ยบู่ นพนื้ ฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวิทยาศาสตร์ท่ี
แสดงให้เห็นถงึ การใชค้ วามคดิ ระดับสูงทสี่ ามารถสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาคน้ ควา้ ได้อย่างครอบคลุมและ
เชื่อถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะพบ เพื่อนำ ไปสู่การสำรวจตรวจสอบ
ออกแบบวธิ ีการสำรวจตรวจสอบตามสมมตฐิ านท่ีกำหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มหี ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เลือก
วัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวธิ ีการในการสำรวจตรวจสอบอย่างถกู ต้อง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และบันทึก
ผลการสำรวจตรวจสอบอยา่ งเป็นระบบ

❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุป เพื่อตรวจสอบ
กับ สมมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสำรวจตรวจสอบจัดกระทำข้อมูล และนำเสนอ
ข้อมูลด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัด
แสดงหรอื ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือให้ผอู้ น่ื เข้าใจโดยมหี ลักฐานอา้ งอิงหรือมีทฤษฎรี องรบั

❖ แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มน่ั รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะ หาความรู้
โดย ใช้เครื่องมือและวิธีการท่ีให้ไดผ้ ลถูกต้อง เชื่อถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ ทางวิทยาศาสตร์
อาจมกี ารเปล่ยี นแปลงได้

❖ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคำตอบ หรือแก้ปัญหาได้
ทำงาน ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผล
ของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม และ
ยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผ้อู ืน่



❖ เข้าใจความสมั พันธ์ของความรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ ี่มผี ลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ประเภทต่าง ๆ
และการพัฒนาเทคโนโลยที ่ีสง่ ผลให้มีการคดิ ค้นความรทู้ างวิทยาศาสตรท์ ี่ก้าวหนา้ ผลของเทคโนโลยีตอ่ ชีวติ
สังคม และสงิ่ แวดลอ้ ม

❖ ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ใช้ใน
ชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นการดำรงชีวติ และการประกอบ
อาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจาก ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการ
พัฒนาเทคโนโลยที ท่ี ันสมยั ศึกษาหาความรูเ้ พม่ิ เตมิ ทำโครงงานหรือ สรา้ งช้นิ งานตามความสนใจ

❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดลอ้ มของทอ้ งถ่นิ

❖ วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีที่ซั บซ้อน การ
เปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ
คณิตศาสตร์วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต
สังคม เศรษฐกจิ และสง่ิ แวดลอ้ ม ประยกุ ต์ใช้ความรู้ ทกั ษะ ทรัพยากรเพอื่ ออกแบบ สรา้ งหรอื พฒั นาผลงาน
สำหรับแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยใน
การออกแบบและนำเสนอผลงาน เลอื กใช้วัสดุ อปุ กรณ์ และ เครื่องมอื ได้อยา่ งถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย
รวมทั้งคำนึงถึงทรัพย์สินทางปญั ญา

❖ ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เพื่อรวบรวมข้อมูลในชีวิตจริงจากแหล่งต่าง ๆ และความรู้จากศาสตร์อื่น มาประยุกต์ใช้ สร้างความรู้ใหม่
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม และใช้อย่าง
ปลอดภยั มจี รยิ ธรรม



สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช
2560) มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้

1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
และประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและ
ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง
ตลอดจน การเลอื กใชว้ ธิ กี ารสือ่ สาร ทมี่ ีประสิทธภิ าพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มตี ่อตนเองและสงั คม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพ่ือการตดั สินใจเก่ยี วกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์
และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน
และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ
ส่ิงแวดล้อม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
การดำเนินชีวติ ประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองการทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมไม่พึงประสงคท์ ี่สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การ
ทำงาน การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม



คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี
ความสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก มี 8 ประการ ได้แก่

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซ่อื สตั ย์สจุ ริต
3. มวี นิ ัย
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งม่นั ในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มจี ติ สาธารณะ



ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4

สาระฟิสิกส์

1. เขา้ ใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลอ่ื นที่แนวตรง แรงและกฎการ

เคลื่อนท่ีของนิวตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสียดทานสมดุลกล ของวตั ถุ งานและกฎการอนรุ ักษ์

พลงั งานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ ักษ์ โมเมนตัม การเคลอ่ื นท่ีแนวโคง้ รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ

ม.4 1. สืบค้น และอธิบายการค้นหา • ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับ สสาร

ความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความ พลังงาน อันตรกิริยาระหว่างสสารกับ พลังงาน และแรงพื้นฐาน

เป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของ ในธรรมชาติ

หลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ที่ • การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การ

มีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ ทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการสร้าง

และการพฒั นาเทคโนโลยี แบบจำลองทางความคิดเพื่อสรุป เป็นทฤษฎีหลักการหรือกฎ

ความรู้เหล่านี้ สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ

หรือทำนายสง่ิ ทอี่ าจจะเกดิ ขึ้นในอนาคต

• ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการ และแนวคิด

ทางฟิสิกส์เป็นพน้ื ฐานในการแสวงหา ความรใู้ หมเ่ พิม่ เติม รวมถึง

การพฒั นาและความ ก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยกี ็มสี ่วนในการคน้ หา

ความร้ใู หม่ทางวิทยาศาสตร์ดว้ ย

2. วัด และรายงานผลการวัด • ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลองซึ่งเกี่ยวข้องกับ

ปริมาณทางฟิสิกส์ ได้ถูกต้อง กระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขและ

เหมาะสม โดยนำ ความคลาด หน่วยวัด

เคลื่อน ในการวัดมาพิจารณาใน • ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ ต่าง ๆ โดยตรง

การนำเสนอผล รวมทั้ง แสดงผล หรือทางอ้อม หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์คือ

การทดลองในรูปของ กร าฟ ระบบหน่วย ระหวา่ งชาติเรียกย่อว่า ระบบเอสไอ

วิเคราะห์ และแปลความหมาย • ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มากๆ นิยม

จากกราฟเสน้ ตรง เขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้คำนำหน้า

หน่วยของระบบเอสไอ การเขยี นโดยใช้สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น

การเขียน เพอื่ แสดงจำนวนเลขนยั สำคญั ท่ีถกู ต้อง



ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ

• การทดลองทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการวัดปริมาณต่าง ๆ

การบันทึกปริมาณที่ได้จากการวัดด้วยจำนวน

เลขนัยสำคัญที่เหมาะสม และค่าความคลาดเคลื่อน

การวิเคราะห์และการแปลความหมายจากกราฟ เช่น

การหาความชันจากกราฟเส้นตรง จุดตัดแกน พื้นที่ใต้

กราฟ เปน็ ต้น

• การวัดปริมาณต่าง ๆจะมีความคลาดเคลื่อนเสมอขึ้นอยู่

กับเครือ่ งมือ วิธกี ารวดั และประสบการณ์ ของผู้วัด ซ่ึงค่า

ความคลาดเคลื่อนสามารถแสดง ในการรายงานผลทั้งใน

รปู แบบตัวเลขและกราฟ

• การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งที่

ต้องการวัด เช่นการวดั ความยาวของวัตถุ ที่ต้องการความ

ละเอียดสูง อาจใช้เวอร์เนียร์ แคลลิเปิร์ส หรือ

ไมโครมิเตอร์

• ฟิสิกส์อาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา

คน้ คว้า และการส่ือสาร

3. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ • ปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ได้แก่ตำแหน่ง

ระหว่าง ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง โดยความเร็ว และ

และความเร่ง ของการเคลื่อนที่ของวัตถุ ความเร่งมีทั้งค่าเฉลี่ยและค่าขณะหนึ่งซึ่งคิด ในช่วงเวลา

ในแนวตรงที่มีความเร่ง คงตัวจากกราฟ สั้น ๆ สำหรับปริมาณต่าง ๆ ท่ี เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่

และสมการ รวมทั้งทดลองหาค่า แนวตรงด้วยความเรง่ คงตัวมีความสัมพนั ธต์ ามสมการ

ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำนวณ v = uu++vat
ปริมาณ ต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้อง ∆x = ( +212)att2
∆x = ut

v2 = u2 + 2a∆x



ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ

• การอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเขียน อยู่ใน

รูปกราฟตำแหน่งกับเวลา กราฟความเร็ว กับเวลา หรือ

กราฟความเร่งกับเวลา ความชัน ของเส้นกราฟตำแหน่ง

กับเวลาเป็นความเร็ว ความชันของเส้นกราฟความเร็วกับ

เวลาเป็น ความเร่ง และพื้นที่ใต้เส้นกราฟความเร็วกับ

เวลา เป็นการกระจัด ในกรณีที่ผู้สังเกตมีความเร็ว

ความเร็วของวัตถุที่สังเกตได้เป็นความเร็วที่เทียบกับผู้

สังเกต

• การตกแบบเสรเี ปน็ ตัวอยา่ งหนึ่งของการเคล่อื นที่ในหน่ึง

มติ ิทมี่ คี วามเรง่ เทา่ กับความเร่งโนม้ ถว่ งของโลก

4. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธ์ • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงมีทั้งขนาดและทิศทาง กรณี

ของแรงสอง แรงทีท่ ำมมุ ตอ่ กนั ทีม่ ีแรงหลาย ๆ แรง กระทำต่อวตั ถุสามารถ หาแรงลัพธ์ท่ี

กระทำต่อวัตถุโดยใช้วิธีเขียน เวกเตอร์ของแรงแบบหาง

ต่อหัว วิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยม ด้านขนานของแรงและวิธี

คำนวณ

5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อ • สมบัติของวัตถุที่ต้านการเปลี่ยนสภาพการ เคลื่อนที่

วัตถุอิสระ ทดลอง และอธิบายกฎ เรียกว่า ความเฉื่อย มวลเป็นปริมาณ ที่บอกให้ทราบว่า

การเคลื่อนที่ของนิวตัน และการใช้กฎ วัตถใุ ดมีความเฉอ่ื ยมากหรือนอ้ ย

การเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพ • การหาแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุสามารถเขียนเป็น

การเคลื่อนที่ของวัตถุรวมทั้งคำนวณ แผนภาพของแรงท่กี ระทำต่อวัตถอุ สิ ระได้

ปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง • กรณีที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ วัตถุจะ ไม่เปลี่ยน

สภาพการเคลื่อนที่ซึ่งเป็นไปตามกฎ การเคลื่อนที่ข้อที่

หน่ึงของนิวตัน

• กรณที ่มี ีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลัพธ์ ท่ีกระทำต่อ

วัตถุไม่เป็นศูนย์วัตถุจะมีความเร่ง โดยความเร่งมีทิศทาง

เดียวกับแรงลัพธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างแรงลัพธ์มวลและ

ความเรง่ เขยี นแทนไดด้ ้วยสมการ

n

∑ ⃑Fi =ma⃑

i=1

ตามกฎการเคลื่อนทีข่ อ้ ทีส่ องของนวิ ตัน



ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม

• เมื่อวัตถุสองก้อนออกแรงกระทำต่อกัน แรงระหว่าง

วัตถุทั้งสองจะมีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้าม และ

กระทำต่อวัตถุคนละก้อน เรียกว่า แรงคู่ กิริยา-ปฏิกิริยา

ซึ่งเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ ข้อที่สามของนิวตัน และ

เกิดข้ึนได้ทง้ั กรณีทว่ี ตั ถุ ท้ังสองสมั ผัสกนั หรอื ไม่สัมผัสกันก็

ได้

6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผล • แรงดึงดูดระหว่างมวลเป็นแรงที่มวลสองก้อนดึงดูด

ของ สนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนัก ซึ่งกันและกัน ด้วยแรงขนาดเท่ากันแต่ทิศทางตรงข้าม

รวมทั้งคำนวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง และเป็นไปตามกฎความโน้มถ่วงสากล เขียนแทนได้ด้วย
m1m2
สมการ FG=G R2

• รอบโลกมีสนามโน้มถ่วงทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็น

แรงดงึ ดดู ของโลกทีก่ ระทำต่อวตั ถุ ทำใหว้ ัตถุมนี ้ำหนัก

7. วิเคราะห์อธิบาย และคำนวณแรง • แรงที่เกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสระหว่างวัตถุสองก้อน ในทิศ

เสียดทาน ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่ ทางตรงข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่หรือ แนวโน้มที่จะ

หนึ่ง ๆ ในกรณีที่วัตถุ หยุดนิ่งและวัตถุ เคลื่อนที่ของวัตถุ เรียกว่า แรงเสียดทาน แรงเสียดทาน

เคลื่อนที่ รวมทั้งทดลองหาสัมประสิทธ์ิ ระหว่างผิวสัมผัสคู่หนึ่งๆ ขึ้นกับสัมประสิทธิ์ความเสียด

ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของ ทานและ แรงปฏิกริ ิยาต้งั ฉากระหวา่ งผวิ สมั ผัสคนู่ นั้ ๆ

วัตถุคู่หนึ่ง ๆ และนำความรู้เรื่องแรง • ขณะออกแรงพยายามแต่วัตถุยังคงอยู่นิ่ง แรงเสียดทาน

เสียดทานไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีขนาดเท่ากับแรงพยายามที่กระทำต่อ วัตถุนั้น และแรง

เสียดทานมีค่ามากที่สุดเมื่อวัตถุ เริ่มเคลื่อนที่ เรียกแรง

เสียดทานนี้ว่า แรงเสียดทานสถิต แรงเสียดทานที่กระทำ

ต่อวัตถุ ขณะกำลังเคลื่อนที่ เรียกว่า แรงเสียดทานจลน์

โดยแรงเสียดทานที่เกิดระหว่างผิวสมั ผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ

คำนวณไดจ้ ากสมการ

fs≤μsN
fk≤μkN
• การเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคลื่อนที่ของ

วตั ถซุ ง่ึ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน



ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม

8. อธิบายสมดุลกลของวัตถุโมเมนต์และ • สมดุลกลเป็นสภาพทีว่ ัตถุรักษาสภาพการเคล่ือนที่ ให้คง

ผลรวม ของโมเมนต์ที่มีต่อการหมุน แรง เดิมคือหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัวหรือหมุน

คู่ควบและผล ของแรงคูค่ วบที่มีต่อสมดุล ดว้ ยความเรว็ เชงิ มุมคงตัว

ของวัตถุ เขียน แผนภาพของแรงท่ี • วตั ถจุ ะสมดุลตอ่ การเลอื่ นท่คี อื หยุดนงิ่ หรือ เคลื่อนทด่ี ้วย

กระทำต่อวัตถุอิสระเมื่อวัตถุ อยู่ใน ความเรว็ คงตวั เม่อื แรงลพั ธท์ ี่กระทำ ต่อวตั ถเุ ป็นศนู ย์เขียน

สมดุลกล และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่ แทนไดด้ ว้ ยสมการ n

เกี่ยวข้อง รวมทั้งทดลองและอธิบาย ∑ F⃑i = 0
สมดลุ ของแรงสามแรง

i=1

• วัตถุจะสมดุลต่อการหมุนคือไม่หมุนหรือหมุนด้วย

ความเร็วเชิงมุมคงตัวเมื่อผลรวมของโมเมนต์ที่ กระทำต่อ

วตั ถุเปน็ ศูนย์เขียนแทนได้ด้วยสมการ

n

∑ Mi = 0

i=1

โดยโมเมนต์คำนวณได้จากสมการ M=Fl

• เมื่อมีแรงคู่ควบกระทำต่อวัตถุ แรงลัพธ์จะเท่ากับศูนย์

ทำใหว้ ัตถุสมดุลต่อการเคล่อื นที่ แต่ไม่สมดลุ ต่อการหมุน

• การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระ

สามารถนำมาพิจารณาแรงลัพธ์และผลรวมของโมเมนต์ท่ี

กระทำตอ่ วตั ถเุ ม่ือวตั ถอุ ยู่ในสมดุลกล

9. สังเกต และอธบิ ายสภาพการเคลื่อนที่ • เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุที่วางอยู่บนพื้นที่ไม่มีแรง

ของวัตถุ เมื่อแรงที่กระทำต่อวัตถุผ่าน เสียดทานในแนวระดับ ถ้าแนวแรงนั้นกระทำผ่าน

ศูนย์กลางมวลของวัตถุ และผลของศูนย์ ศูนย์กลางมวลของวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนทีแ่ บบเคลื่อนท่โี ดย

ถว่ งทมี่ ตี ่อเสถยี รภาพของวตั ถุ ไม่หมุน

• วัตถุท่ีอยู่ในสนามโน้มถ่วงสม่ำเสมอ ศูนย์กลางมวลและ

ศูนย์ถ่วงอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกัน ศูนย์ถ่วงของวัตถุมีผลต่อ

เสถียรภาพของวัตถุ



ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม

10. วิเคราะห์ และคำนวณงานของแรง • งานของแรงที่กระทำต่อวัตถุหาได้จากผลคูณของขนาด

คงตัวจากสมการและพื้นที่ใต้กราฟ ของแรงและขนาดของการกระจัดกับโคไซน์ของ

ความสัมพันธ์ระหว่างแรงกับตำแหน่ง มุมระหวา่ งแรงกับการกระจดั ตามสมการ

รวมทั้งอธิบายและคำนวณกำลังเฉลีย่ W=FΔx cos θ หรือหางานได้จากพื้นที่ใต้กราฟระหว่าง

แรงในแนวการเคล่ือนทีก่ ับตำแหน่ง โดยแรงที่กระทำอาจ

เป็นแรงคงตัว หรอื ไมค่ งตวั ก็ได้

• งานที่ทำได้ในหนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า กำลังเฉลี่ย
w
ดงั สมการ Pav= Δt

11. อธิบายและคำนวณพลังงานจลน์ • พลงั งานเปน็ ความสามารถในการทำงาน

พลังงานศักย์ พลังงานกล ทดลองหา • พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่

ความสัมพันธ์ระหว่างงานกับพลังงาน คำนวณไดจ้ ากสมการ = 1 2
จลน์ ความสัมพันธ์ระหว่างงานกับ 2
• พลังงานศักย์เป็นพลังงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหรือ
พลังงานศักย์โน้มถ่วง ความสัมพันธ์ รูปร่างของวัตถุ แบ่งออกเป็นพลังงานศักย์โน้มถ่วง
ระหว่างขนาดของแรงที่ใช้ดึงสปริงกับ คำนวณได้จากสมการ
ระยะที่สปริงยืดออกและความสัมพันธ์
ระหว่างงานกับพลังงานศักย์ยืดหยุ่น Ep=mgh และพลังงานศกั ย์ยดื หยนุ่ คำนวณไดจ้ ากสมการ
รวมทั้งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างงาน 1
ของแรงลัพธ์และพลังงานจลน์ และ EPs = 2 kx2

• พลังงานกลเป็นผลรวมของพลังงานจลน์และพลังงาน

คำนวณงานท่เี กดิ ข้นึ จากแรงลพั ธ์ ศกั ยต์ ามสมการ E=Ek+Ep

• แรงที่ทำให้เกิดงานโดยงานของแรงนั้นไม่ขึ้นกับเส้นทาง

การเคลื่อนที่ เช่น แรงโน้มถ่วงและแรงสปริงเรียกว่า แรง

อนุรกั ษ์

• งานและพลังงานมีความสัมพนั ธ์กันโดยงานของแรงลัพธ์

เท่ากับพลังงานจลน์ของวัตถุที่เปลี่ยนไป ตามทฤษฎีบท

งาน-พลงั งานจลน์ เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ W=ΔEk



ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ

12. อธิบายกฎการอนุรักษ์พลังงานกล • ถ้างานที่เกิดขึ้นกับวัตถุเป็นงานเนื่องจากแรงอนุรักษ์

รวมทั้งวิเคราะห์ และคำนวณปริมาณ เทา่ น้นั พลงั งานกลของวัตถจุ ะคงตวั ซง่ึ

ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกำรเคลื่อนที่ของ เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โดยที่พลังงานศักย์

วัตถุในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้กฎ อาจเปลย่ี นเปน็ พลังงานจลน์

การอนุรกั ษพ์ ลังงานกล • กฎการอนุรักษ์พลังงานกลใช้วิเคราะห์การเคลื่อนที่

ต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ติดสปริงการเคลื่อนที่

ภายใต้สนามโน้มถว่ งของโลก

13. อธิบายการทำงาน ประสิทธิภาพ • การทำงานของเครื่องกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน รอก พื้น

และการได้เปรียบเชิงกลของเครื่องกล เอียง ลม่ิ สกรู และ ล้อกบั เพลา ใช้หลักของงานและสมดุล

อย่างง่ายบางชนิด โดยใช้ความรู้เรื่อง กลประกอบการพิจารณาประสิทธิภาพและการได้เปรียบ

งานและสมดุลกลรวมทั้งคำนวณ เชิงกลของเครื่องกลอย่างง่ายประสิทธิภาพคำนวณได้

ประสทิ ธภิ าพและการไดเ้ ปรยี บเชิงกล จากสมการ Effciency= Wout ×100%
Win
การได้เปรียบเชิงกลคำนวณไดจ้ ากสมการ Fout sin
M.A.= Fin = sout

14. อธิบาย และคำนวณโมเมนตัมของ • วัตถทุ ่เี คล่อื นทจี่ ะมีโมเมนตัมซ่ึงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์มีค่า

วัตถุ และการดลจากสมการและพื้นที่ใต้ เท่ากับผลคูณระหว่างมวลและความเร็วของวัตถุ ดัง

กราฟ ความสัมพันธ์ระหว่างแรงลัพธ์กับ สมการ P⃑=mv⃑

เวลา รวมทั้งอธิบายความสัมพันธ์ • เมอ่ื มแี รงลัพธ์กระทำต่อวัตถุจะทำให้โม-เมนตัมของวัตถุ

ระหว่างแรงดลกบั โมเมนตัม เปลี่ยนไป โดยแรงลัพธ์เท่ากับอัตราการเปลี่ยนโมเมนตัม

ของวตั ถุ

• แรงลัพธท์ ก่ี ระทำตอ่ วตั ถุในเวลาสนั้ ๆ เรียกว่า

แรงดล โดยผลคณู ของแรงดลกบั เวลา เรยี กวา่

การดล ตามสมการ ⃑I=(∑in F⃑i)Δt ซึ่งการดลอาจหาได้
จากพนื้ ทีใ่ ต้กราฟระหว่างแรงดลกับเวลา

15. ทดลอง อธิบายและคำนวณปริมาณ • ในการชนกันของวัตถุและการดีดตวั ออกจากกันของวัตถุ

ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการชนของวัตถุในหน่ึง ในหนึ่งมิติ เมื่อไม่มีแรงภายนอกมากระทำโมเมนตัมของ

มิติทั้งแบบยืดหยุ่น ไม่ยืดหยุ่น และการ ระบบมีคา่ คงตวั ซงึ่ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั

ดีดตัวแยกจากกันในหนึ่งมิติซึ่งเป็นไป • ในการชนกันของวัตถุ พลังงานจลน์ของระบบอาจคงตัว

ตามกฎการอนุรักษโ์ มเมนตมั หรือไม่คงตัวก็ได้ การชนที่พลังงานจลน์ของระบบคงตัว

เป็นการชนแบบยดื หยุ่น



ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ

16. อธิบาย วิเคราะห์ และคำนวณ • การเคลื่อนที่แนวโค้งพาราโบลาภายใต้สนามโน้มถ่วง

ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ โดยไม่คิดแรงต้านของอากาศเป็นการเคลื่อนที่แบบ

เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ และทดลอง โพรเจกไทล์ วัตถุมีการเปลี่ยนตำแหน่งในแนวดิ่งและแนว

การเคลือ่ นท่แี บบโพรเจกไทล์ ระดับพร้อมกันและเป็นอิสระต่อกัน สำหรับการเคลื่อนที่

ในแนวดิ่งเป็นการเคลื่อนที่ที่มีแรงโน้มถ่วงกระทำจึงมี

ความเร็วไม่คงตัว ปริมาณต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ตาม

สมการ

∆∆yyv==yu=(yuut+yy+2+21avyayt)yt2t
vy2=uy2+2ay∆y

ส่วนการเคลื่อนที่ในแนวระดับไม่มีแรงกระทำจึงมี

ความเร็วคงตัว ตำแหน่ง ความเร็ว และเวลา

มคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ ∆x=uxt
17. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ • วัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือส่วนของวงกลม เรียกว่า

ระหว่างแรงสู่ศูนย์กลาง รัศมีของการ วัตถุนั้นมีการเคลื่อนที่แบบวงกลม ซึ่งมีแรงลัพธ์ที่กระทำ

เคลื่อนที่ อัตราเร็วเชิงเส้น อัตราเร็ว กับวัตถุในทิศเข้าสู่ศูนย์กลาง เรียกว่า แรงสู่ศูนย์กลาง ทำ

เชงิ มุม และมวลของวตั ถุ ในการเคลอื่ นที่ ให้เกิดความเร่งสู่ศูนย์กลางที่มีขนาดสัมพันธ์กับรัศมีของ

แบบวงกลมในระนาบระดับ รวมทั้ง การเคลื่อนที่และอัตราเร็วเชิงเส้นของวัตถุ ซึ่งแรงสู่

คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ ศูนย์กลางคำนวณได้จากสมการ Fc= mv2
ประยุกต์ใช้ความรู้การเคลื่อนที่แบบ r
• นอกจากนี้การเคลื่อนที่แบบวงกลมยังสามารถอธิบายได้
วงกลม ในการอธิบายการโคจรของ ด้วยอัตราเร็วเชงิ มุม ซ่งึ มคี วามสมั พนั ธก์ ับอัตราเร็วเชิงเส้น
ดาวเทียม
ตามสมการ v=ωr และแรงส่ศู ูนย์กลางมคี วามสัมพันธ์กับ

อัตราเร็วเชงิ มุมตามสมการ Fc=mω2r
• ดาวเทยี มท่ีโคจรในแนววงกลมรอบโลกมีแรงดึงดูดท่ีโลก

กระทำต่อดาวเทียมเป็นแรงสู่ศูนย์กลางดาวเทียมที่มีวง

โคจรค้างฟ้าในระนาบของเส้นศูนย์สูตรมีคาบการโคจร

เท่ากับคาบการหมุนรอบตัวเองของโลกหรือมีอัตราเร็ว

เชงิ มมุ เท่ากบั อตั ราเร็วเชงิ มุมของตำแหน่งบนพืน้ โลก



คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ

กลมุ่ สำระกำรเรยี นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี รำยวชิ ำ ฟสิ กิ ส์พนื้ ฐำน รหสั วชิ ำ ว30101

ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี 4 ภำคเรยี นท่ี 1 ปีกำรศกึ ษำ 2565 จำนวนเวลำเรยี น 60 ชว่ั โมง

จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ เวลำเรยี น 3 ชวั่ โมง/สปั ดำห์

ศึกษำกำรค้นหำควำมรู้ทำงฟสิ กิ ส์ ประวัติควำมเป็นมำ รวมทั้งพัฒนำกำรของหลกั กำรและแนวคิด

ทำงฟิสิกส์ที่มีผลต่อกำรแสวงหำควำมรู้ใหม่และเทคโนโลยี กำรวัดและกำรรำยงำนผลกำรวัด ปริมำณทำง

ฟสิ ิกส์ หลกั กำรของกลศำสตรใ์ นเร่ืองกำรเคลื่อนที่ของวัตถใุ นแนวตรง แรง กำรหำแรงลัพธ์ ของแรงสองแรง

ที่ทำมุมต่อกัน กำรเขียนแผนภำพวัตถุอิสระ กฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎควำมโน้มถ่วงสำกล แรงเสียด

ทำนระหว่ำงผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีที่วัตถุหยุดนิ่งและวัตถุเคลื่อนท่ี โดยใช้ กระบวนกำรทำง

วิทยำศำสตร์ กำรสืบเสำะหำควำมรู้ กำรสืบค้นข้อมูล กำรสังเกต วิเครำะห์ เปรียบเทียบ อธิบำย อภิปรำย

และสรปุ เพอื่ ใหเ้ กดิ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ มคี วำมสำมำรถในกำรตดั สนิ ใจ มที ักษะปฏบิ ัตกิ ำรทำงวิทยำศำสตร์

รวมทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในด้ำนกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ ด้ำนกำรคิด และกำรแก้ปัญหำ ด้ำน

กำรสื่อสำร สำมำรถสื่อสำรสิ่งที่เรียนรู้และนำควำมรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยำศำสตร์ จริยธรรม

คุณธรรม และคำ่ นิยมทเ่ี หมำะสม

ผลกำรเรยี นรู้

1. สืบค้น และอธิบำยกำรค้นหำควำมรู้ทำงฟิสิกส์ ประวัติควำมเป็นมำ รวมทั้งกำรพัฒนำกำรของ

หลกั กำรและแนวคดิ ทำงฟสิ ิกสท์ ม่ี ผี ลต่อกำรแสวงหำควำมรู้ใหมแ่ ละกำรพัฒนำเทคโนโลยี

2. วัด และรำยงำนผลกำรวัดปริมำณทำงฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมำะสม โดยนำควำมคลำดเคลื่อนใน

กำร วัดมำพิจำรณำในกำรนำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลกำรทดลองในรูปของกรำฟ วิเครำะห์และแปล

ควำมหมำยจำกกรำฟเสน้ ตรง

3. ทดลอง และอธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตำแหน่ง กำรกระจัด ควำมเร็ว และควำมเรง่ ของ กำร

เคลื่อนที่ของวตั ถใุ นแนวตรงท่ีมคี วำมเร่งคงตวั จำกกรำฟและสมกำร รวมทั้งทดลองหำค่ำ ควำมเร่งโน้มถ่วง

ของโลก และคำนวณปรมิ ำณตำ่ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง

4. อธบิ ำยแรง รวมทั้ง ทดลองและอธิบำยกำรหำแรงลัพธข์ องแรงสองแรงทีท่ ำมมุ ต่อกนั

5. เขียนแผนภำพวัตถุอิสระ ทดลองและอธิบำยกฎกำรเคลื่อนที่ของนิวต้นและกำรใช้กฎกำร

เคลอ่ื นท่ี ของนิวต้นกบั สภำพกำรเคล่อื นทขี่ องวัตถุ รวมทงั้ คำนวณปริมำณตำ่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง

6. อธิบำยกฎควำมโนม้ ถว่ งสำกลและผลของสนำมโน้มถว่ งทท่ี ำใหว้ ัตถุมีน้ำหนัก รวมท้ังคำนวณ

7. วิเครำะห์ อธิบำย และคำนวณแรงเสียดทำนระหว่ำงผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีที่วัตถุ

ปริมำณต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หยุดนิ่งและวัตถุเคลื่อนที่ รวมท้ังทดลองหำสัมประสิทธิ์ควำมเสียดทำนระหว่ำง

ผวิ สัมผัสของวตั ถุ คหู่ นึง่ ๆ และนำควำมรู้เร่อื งแรงเสียดทำนไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั



โครงสรำ้ งรำยวชิ ำ

รำยวชิ ำฟสิ กิ ส์พน้ื ฐำน รหสั วชิ ำ ว30101 กลุม่ สำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปีที่ 4 ภำคเรยี นที่ 1 เวลำเรยี น 60 ชวั่ โมง/ภำคเรยี น จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ

ลำดบั ชื่อหน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ/ความคดิ เวลา นำ้ หนัก
ท่ี เรียนรู้
รวบยอด (ชวั่ โมง) คะแนน

1 ธรรมชาตแิ ละ 1. สืบค้น และอธบิ ายการคน้ หา ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการ 9 11

พัฒนาการทาง ความรูท้ างฟิสกิ ส์ ประวัตคิ วาม ทางฟสิ ิกส์

ฟิสิกส์ เปน็ มา รวมท้งั การพฒั นาการของ - ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์

หลักการและแนวคิดทางฟิสกิ ส์ทีม่ ี - ปริมาณทางฟสิ ิกสแ์ ละ

ผลตอ่ การแสวงหาความรู้ใหม่และ หนว่ ย

การพัฒนาเทคโนโลยี - การทดลองในวิชา

2. วัด และรายงานผลการวัด ฟสิ กิ ส์

ปรมิ าณทางฟสิ กิ ส์ไดถ้ ูกต้อง - ความไม่แน่นอนในการ

เหมาะสม โดยนำความ วัด

คลาดเคล่อื นในการ วัดมาพิจารณา - เลขนัยสำคญั

ในการนำเสนอผล รวมทงั้ แสดงผล - การบนั ทกึ ผลการ

การทดลองในรปู ของกราฟ คำนวณ

วเิ คราะห์และแปล ความหมายจาก - การวิเคราะห์ผลการ

กราฟเส้นตรง ทดลอง

2 การเคลื่อนที่ 3. ทดลอง และอธิบาย การเคล่อื นที่แนวตรง 21 14

แนวตรง ความสมั พันธร์ ะหว่างตำแหน่ง การ - ตำแหนง่ ระยะทางและ

กระจดั ความเรว็ และความเร่งของ การกระจดั

การเคลือ่ นทีข่ องวตั ถใุ นแนวตรงทม่ี ี - อัตราเร็ว ความเร็ว

ความเร่งคงตัวจากกราฟและ - ความเรง่

สมการ รวมทง้ั ทดลองหาคา่ - สมการสำหรับ

ความเร่งโน้มถ่วงของโลก และ คำนวณหาปริมาณต่าง ๆ

คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้อง - กราฟของการเคลอ่ื นท่ี

แนวตรง

- สมการการเคล่ือนทใ่ี น

แนวด่งิ อยา่ งเสรี

สอบกลางภาค 3 20



ลำดับ ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั /ความคดิ เวลา น้ำหนัก
ที่ เรียนรู้ รวบยอด (ชว่ั โมง) คะแนน

3 แรงและกฎการ 4. อธิบำยแรง รวมทั้ง ทดลองและ แรงและกำรเคลอ่ื นที่ 24 25

เคลอื่ นที่ อธิบำยกำรหำแรงลัพธ์ของแรงสอง - แรง 3 30
60 100
แรงท่ีทำมมุ ตอ่ กัน - กำรหำแรงลพั ธข์ องแรง

สองแรงที่กระทำมุมตอ่
5. เขยี นแผนภำพวัตถุอิสระ ทดลอง กนั
และอธิบำยกฎกำรเคลื่อนที่ของนิ - แรงบำงชนิดท่ีควรรู้

วต้นและกำรใช้กฎกำรเคลื่อนท่ี - กำรแตกแรง

ของนิวต้นกับสภำพกำรเคลื่อนที่ - กฎกำรเคลอ่ื นที่ของนิว

ของวัตถุ รวมทั้ง คำนวณปริมำณ ตนั

ตำ่ ง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง - มวลและน้ำหนกั

6. อธิบำยกฎควำมโน้มถ่วงสำกล - กฎแรงดึงดูดระกว่ำง
และผลของสนำมโน้มถ่วงที่ทำให้ มวลของนวิ ตนั
- ควำมเร่งเนือ่ งจำกแรง
วัตถุมนี ้ำหนกั รวมทั้งคำนวณ
โน้มถว่ ง

7. วิเครำะห์ อธิบำย และคำนวณ - แรงเสียดทำน

แรงเสียดทำนระหว่ำงผวิ สมั ผัสของ - กำรนำกฎกำรเคล่ือนท่ี

วตั ถุคู่หน่งึ ๆ ในกรณที ี่วัตถุ ของนิวตนั ไปใช้

ปรมิ ำณตำ่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง หยุดนง่ิ

และวัตถุเคลื่อนที่ รวมทัง้ ทดลองหำ

สมั ประสิทธ์ิควำมเสียดทำนระหวำ่ ง

ผวิ สัมผัสของวตั ถุ คู่หน่งึ ๆ และนำ

ควำมรู้เร่อื งแรงเสียดทำนไปใช้ใน

ชวี ิตประจำวัน

สอบกลางภาค

รวม



ตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปีการศกึ ษา 2565

รหสั วิชา ว30101 ฟิสกิ ส์พ้ืนฐาน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 1

เวลา 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ เวลา 60 ช่ัวโมง

สาระหลัก หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้

ลำดบั ท่ี ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้

สาระฟิสกิ ส์ 1 ธรรมชาติและ ผลการเรียนรู้ ข้อ 1

พัฒนาการทางฟิสิกส์ ผลการเรียนรู้ ขอ้ 2

2 การเคลื่อนทีแ่ นวตรง ผลการเรียนรู้ ขอ้ 3

3 แรงและการเคล่ือนท่ี ผลการเรียนรู้ ข้อ 4

ผลการเรียนรู้ ข้อ 5

ผลการเรยี นรู้ ขอ้ 6

ผลการเรยี นรู้ ขอ้ 7



แผนการประเมินผลการเรียนรู้

อัตราสว่ นคะแนน
กอ่ นสอบกลางกลางภาค : สอบกลางภาค: กอ่ นสอบปลายภาค : สอบปลายภาค
25 : 20 : 25 : 30

แผนการประเมินผลการเรียนรแู้ ละการมอบหมายภาระงาน

1. กอ่ นสอบกลางภาค 25 คะแนน

1.1 สอบเก็บคะแนน 10 คะแนน

1.2 สมดุ และใบกจิ กรรมวชิ าฟิสิกส์ 5 คะแนน

1.3 แบบฝกึ หัดวิชาฟิสกิ ส์ 5 คะแนน

1.4 ประเมนิ จากคุณลักษณะและจติ พิสัย 5 คะแนน

2. ประเมนิ จากการสอบกลางภาค 20 คะแนน

3. กอ่ นสอบปลายภาค 25 คะแนน

3.1 สอบเกบ็ คะแนน 10 คะแนน

3.2 สมุดและใบกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ 5 คะแนน

3.3 แบบฝึกหัดวิชาวิทยาศาสตร์ 5 คะแนน

3.4 ประเมินจากคุณลักษณะและจิตพสิ ยั 5 คะแนน

4. ประเมินจากการสอบปลายภาค 30 คะแนน

การประเมนิ จากคุณลกั ษณะและจิตพสิ ัย 1 คะแนน
ตรงตอ่ เวลา 1 คะแนน
ความรบั ผดิ ชอบ 1 คะแนน
ซ่ือสัตย์ 1 คะแนน
ความสนใจและความตั้งใจในการเรียน 1 คะแนน
การมสี ่วนรว่ มในการเรียนและการทำงาน



วเิ คราะหห์ นว่ ยการเรียนรู้
รายวชิ า ฟสิ ิกส์พื้นฐาน รหัสวชิ า ว30101 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรื่อง ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสกิ ส์

จำนวน 9 ชว่ั โมง

สาระการเรยี นรู้ สาระสำคญั จุดประสงค์การเรียนรู้
หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี 1ธรรมชำติ
และพฒั นำกำรทำงฟสิ ิกส์ ฟิสิกส์เป็นวิทยำศำสตร์แขนงหนึ่ง 1. อธิบำยเกี่ยวกับธรรมชำติ
- ธรรมชำตขิ องฟสิ ิกส์
- ปรมิ ำณทำงฟิสกิ ส์และหนว่ ย ที่ศึกษำเกี่ยวกบั สสำร พลังงำน อันตร ของวิชำฟิสิกส์ปริมำณกำยภำพ
- กำรทดลองในวิชำฟสิ กิ ส์
- ควำมไมแ่ น่นอนในกำรวดั กิริยำระหว่ำงสสำรกับพลังงำน และ และหนว่ ยในระบบเอสไอ
- เลขนัยสำคญั
- กำรบนั ทึกผลกำรคำนวณ แรงพ้นื ฐำนในธรรมชำติ 2. อธบิ ำยควำมสำคญั ของ
- กำรวิเครำะห์ผลกำรทดลอง
กำรค้นคว้ำหำควำมรู้ทำงฟิสิกส์ กำรทดลองกำรวดั ปรมิ ำณ

ไดม้ ำจำกกำรสังเกต กำรทดลอง และ กำยภำพต่ำง ๆ และกำรบนั ทึก

เก็บรวบรวมข้อมูลมำวิเครำะห์ หรือ ผลกำรวัด

จำกกำรสร้ำงแบบจำลองทำงควำมคิด

เพื่อสรุป เป็นทฤษฎี หลักกำรหรือกฎ

ควำมรู้เหล่ำนี้ สำมำรถนำไปใช้อธิบำย

ปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติ หรือทำนำยส่ิง

ทอี่ ำจจะเกดิ ขนึ้ ในอนำคต

ประวัตคิ วำมเปน็ มำและ

พัฒนำกำรของหลักกำร และแนวคดิ

ทำงฟสิ ิกส์เป็นพน้ื ฐำนในกำรแสวงหำ

ควำมรใู้ หม่เพม่ิ เติม รวมถึงกำรพัฒนำ

และควำมกำ้ วหน้ำทำงเทคโนโลยีกม็ ี

ส่วนในกำรค้นหำควำมรู้ใหม่ทำง

วิทยำศำสตร์



วเิ ครำะหห์ นว่ ยกำรเรยี นรู้
รำยวชิ ำ ฟสิ กิ สพ์ ้นื ฐาน รหสั วชิ า ว30101 ชั้นมธั ยมศกึ ษำปที ่ี 4

หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง กำรเคลอ่ื นทแี่ นวตรง
จำนวน 21 ชวั่ โมง

สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคญั จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้

หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 2 กำร ปริมำณที่เกี่ยวกับกำรเคลื่อนท่ี 3. อธิบำยเกี่ยวกับกำรเคลื่อนที่

เคลอ่ื นทแี่ นวตรง ได้แก่ ตำแหน่ง กำรกระจัด ควำมเร็ว แนวตรงและปริมำณทเี่ ก่ียวขอ้ ง

- ตำแหน่ง ระยะทางและการ และควำมเร่ง โดยควำมเร็ว และ 4. อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหวำ่ ง

กระจดั ควำมเร่งมีทั้งค่ำเฉลี่ยและค่ำขณะหนึ่ง กำรกระจัด ควำมเร็วและ

- อัตราเร็ว ความเร็ว ซึ่งคิด ในช่วงเวลำสั้น ๆ ส ำหรับ ควำมเร่งของกำรเคลื่อนที่ของ

- ความเร่ง ปริมำณต่ำง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับ วัตถุในแนวตรงที่มีควำมเร่ง

- สมการสำหรบั คำนวณหา กำรเคลื่อนที่แนวตรงด้วยควำมเร่ง คงตัว

ปรมิ าณตา่ ง ๆ คงตวั มคี วำมสมั พนั ธต์ ำมสมกำร

- กราฟของการเคล่ือนทีแ่ นว ∆∆xxv===u(utu+++2v21a)tatt2
ตรง v2 = u2 + 2a∆x
- สมการการเคล่ือนทใ่ี นแนวดิง่ กำรอธิบำยกำรเคลื่อนที่ของวัตถุ
อย่างเสรี

สำมำรถเขียน อยู่ในรูปกรำฟตำแหน่ง

กับเวลำ กรำฟควำมเร็ว กับเวลำ หรือ

กรำฟควำมเร่งกับเวลำ ควำมชัน ของ

เส้นกรำฟต ำแหน่งกับเวลำเป็น

ควำมเร็ว ควำมชันของเส้นกรำฟ

ควำมเร็วกับเวลำเป็น ควำมเร่ง และ

พื้นที่ใต้เส้นกรำฟควำมเร็วกับเวลำ

เป็นกำรกระจัด ในกรณีที่ผู้สังเกตมี

ควำมเร็ว ควำมเร็วของวัตถุที่สังเกตได้

เป็นควำมเร็วทีเ่ ทยี บกับผู้สงั เกต



วเิ ครำะหห์ นว่ ยกำรเรยี นรู้
รำยวชิ ำ ฟิสิกสพ์ น้ื ฐาน รหสั วิชา ว30101 ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 4

หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง แรงและกฎกำรเคลอื่ นที่
จำนวน 24 ชว่ั โมง

สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคญั จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้

หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงและ แรงเป็นปริมำณเวกเตอร์จึงมีท้ัง 5. อธิบำยแรงและหำแรงลัพธ์

กำรเคลอื่ นที่ ขนำดและทศิ ทำง กรณีทม่ี แี รงหลำย ๆ ของแรงหลำยแรง

- แรง แรง กระทำต่อวัตถุสำมำรถ หำแรง 6. อธิบำยกฎกำรเคลื่อนที่ของ

- กำรหำแรงลพั ธข์ องแรงสอง ลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุโดยใช้วิธีเขียน นิวตันและใช้กฎกำรเคลื่อนที่

แรงท่ีกระทำมุมต่อกนั เวกเตอร์ของแรงแบบหำงต่อหัว วิธี ของนิวตันอธิบำยกำรเคลื่อนที่

- แรงบำงชนดิ ท่คี วรรู้ สร้ำงรูปสี่เหลี่ยม ด้ำนขนำนของแรง ของวตั ถุ

- กำรแตกแรง และวธิ ีคำนวณ 7. อธิบำยกฎแรงดึงดูดระหว่ำง

- กฎกำรเคล่ือนท่ีของนิวตัน สมบัติของวัตถุที่ต้ำนกำรเปลี่ยน มวล

- มวลและนำ้ หนัก สภำพกำรเคลอื่ นท่ี เรียกวำ่ ควำมเฉ่อื ย 8. อธบิ ำยแรงเสียดทำนระหว่ำง
- กฎแรงดงึ ดูดระกว่ำงมวลของ มวลเปน็ ปริมำณ ทบ่ี อกให้ทรำบวำ่ วัตถุ ผิวสมั ผัสของวัตถุคหู่ นึ่ง
ใดมีควำมเฉื่อยมำกหรอื นอ้ ย
นวิ ตนั กำรหำแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ
- ควำมเรง่ เน่ืองจำกแรงโนม้ ถ่วง สำมำรถเขียนเป็น แผนภำพของแรงที่
- แรงเสยี ดทำน
กระทำต่อวัตถุอิสระได้

- กำรนำกฎกำรเคล่ือนที่ของนวิ กรณีที่ไม่มีแรงภำยนอกมำกระทำ

ตนั ไปใช้ วัตถุจะ ไม่เปลี่ยนสภำพกำรเคลื่อนท่ี

ซึ่งเป็นไปตำมกฎ กำรเคลื่อนที่ข้อที่

หน่งึ ของนิวตัน



กำหนดกำรสอน
โรงเรยี นอดุ รพิทยำนกุ ลู

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30101 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
ภาคเรยี นที่ 1 ครูผสู้ อน นายสรุ วุฒิ สงศรี เวลา 60 ชม. จำนวน 20 สปั ดาห์

สปั ดำห์ เนอ้ื หำทสี่ อน จำนวน หมำยเหตุ
ที่ ชว่ั โมง
ปฐมนเิ ทศ

- แนะนำตัว ทำควำมรู้จักกบั นักเรียน 1

บทท่ี 1 ธรรมชำติและพัฒนำกำรทำงฟิสิกส์ 2
1.1 ธรรมชำตขิ องฟิสกิ ส์

1 1.1.1 กำรคน้ หำควำมรทู้ ำงฟสิ ิกส์
1.1.2 พฒั นำกำรของหลักกำรและแนวคิดทำง

ฟิสิกส์
1.1.3 ผลของพฒั นำกำรทำงฟิสิกสท์ ่มี ตี ่อกำร

แสวงหำควำมรู้ใหมแ่ ละกำรพัฒนำเทคโนโลยี

1.2 กำรวดั และกำรบันทกึ ผลกำรวัดปริมำณทำง

ฟิสิกส์

1.2.1 ระบบหน่วยระหวำ่ งชำติ 1

2 1.2.2 สญั กรณว์ ิทยำศำสตร์

1.2.3 ควำมไม่แน่นอนในกำรวดั 2
1.2.4 เลขนยั สำคญั
1.2.5 กำรบันทึกผลกำรคำนวณ



1.3 กำรทดลองทำงฟสิ กิ ส์

3 1.3.1 กำรรำยงำนควำมคลำดเคลื่อน 3

1.3.2 กำรวเิ ครำะหผ์ ลกำรทดลอง

บทท่ี 2 กำรเคล่ือนที่แนวตรง

4 2.1 ตำแหน่ง 1

2.2 กำรกระจัดและระยะทำง 2

2.3 อตั รำเรว็ และควำมเรว็

5 2.3.1 อตั รำเรว็ เฉล่ยี และควำมเรว็ เฉลย่ี 3

2.3.2 อัตรำเร็วขณะหนึ่งและควำมเรว็ ขณะหน่งึ

2.4 ควำมเร่ง

6 2.4.1 ควำมเร่งเฉลย่ี 3

2.4.2 ควำมเรง่ ขณะหนง่ึ

2.5 กรำฟของกำรเคลื่อนทแี่ นวตรง

2.5.1 กรำฟระหวำ่ งตำแหนง่ กบั เวลำ

7 2.5.2 กรำฟระหวำ่ งควำมเร็วกับเวลำ 3

และกรำฟระหว่ำงควำมเรง่ กับเวลำ

2.6 สมกำรสำหรบั กำรเคล่ือนท่ีแนวตรง 3
8 2.6.1 กำรเคลอ่ื นท่ีดว้ ยควำมเร็วคงตวั 3
3
2.6.2 กำรเคล่อื นทด่ี ว้ ยควำมเร่งคงตัว
9 2.7 กำรตกแบบเสรี 2
10 - สอบกลำงภำคเรียนท่ี 1 ปีกำรศึกษำ 2565

บทที่ 3 แรงและกฎกำรเคลอื่ นที่
3.1 แรง
3.1.1 ลักษณะของแรง

11 3.1.2 แผนภำพวัตถอุ ิสระ
3.1.3 แรงบำงชนดิ ที่ควรรู้



3.2 กำรหำแรงลัพธ์

11 3.2.1 กำรหำแรงลพั ธโ์ ดยวิธเี ขียนเวกเตอรข์ อง 1

แรง

3.2.1 กำรหำแรงลัพธ์โดยวธิ ีเขยี นเวกเตอรข์ อง 1

แรง

12

3.2.2 กำรหำขนำดทิศทำงของแรงลพั ธ์โดยกำร 2

คำนวณ

3.3 มวล แรง และกฎกำรเคล่ือนที่

13 3.3.1 มวลและควำมเฉื่อย 3

14 3.3.2 กฎกำรเคลอ่ื นท่ีของนวิ ตัน 3

15 3.3.2 กฎกำรเคลือ่ นทข่ี องนวิ ตัน 3

16 3.4 แรงเสียดทำน 3

3.4 แรงเสียดทำน 2

17 3.5 แรงดึงดูดระหว่ำงมวล 1

3.5.1 กฎควำมโนม้ ถ่วงสำกล

18 3.5.2 สนำมโน้มถว่ ง แรงโนม้ ถ่วงและนำ้ หนัก 2
3.6 กำรประยุกตใ์ ชก้ ฎกำรเคลื่อนท่ี 1

19 3.6 กำรประยุกต์ใชก้ ฎกำรเคลอ่ื นที่ 3

20 - สอบปลำยภำคเรยี นที่ 1 ปกี ำรศกึ ษำ 2565 3

รวม 60

1

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 10

กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4
รายวชิ า ฟสิ กิ ส์พ้นื ฐาน รหัสวชิ า ว30101
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ี เวลา 24 ชัว่ โมง
เร่อื ง แรง เวลา 3 ชั่วโมง
ภาคเรียนที่ 1/2565
ครผู ู้สอน นายสรุ วฒุ ิ สงศรี

1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตวั ชี้วัด
สาระฟสิ กิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎ

การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกล ของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์
พลงั งานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ กั ษ์ โมเมนตัม การเคลอ่ื นท่ีแนวโคง้ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรียนรู้
4. อธบิ ายแรงและผลของแรงลัพธท์ ี่มตี อ่ การเคล่ือนทข่ี องวัตถุ รวมท้ังทดลองหาแรงลพั ธข์ องแรง

สองแรงทที่ ำ มมุ ต่อกัน

2. สาระสำคัญ
แรง เป็นปริมาณเวกเตอร์ซึ่งประกอบด้วยขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็นนิวตัน ลักษณะของแรง

ประกอบด้วย ผถู้ ูกกระทำ ผกู้ ระทำและทิศทาง
แผนภาพของวตั ถุอสิ ระ เปน็ วิธีการหน่งึ ทจ่ี ะทำให้การบรรยายแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุเป็นไปอย่างชัดเจน

การเขียนแผนภาพวตั ถอุ ิสระจะเป็นการนำเอาวตั ถอุ อกมาเขียนโดยไมน่ ำสงิ่ แวดล้อมมาเขยี น

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายความหมายของแรงได้
2) อธิบายและเขียนแผนภาพวัตถุอิสระใน กรณตี ่าง ๆ ได้
3) อธิบายความหมายเก่ยี วกับนำ้ หนกั แรงสปรงิ แรงดงึ เชือก แรงแนวฉาก และ แรงเสียทาน

ได้
3.2 ดา้ นดา้ นทักษะกระบวนการ(P)
1) เขียนแผนภาพวัตถอุ สิ ระในกรณตี ่าง ๆ ได้

2

3.3 ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1) มีความสนใจใฝร่ ทู้ างดา้ นวิทยาศาสตร์

3.4 ทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skill)
- การสังเกต การวดั การคำนวณ และการลงความเห็นจากข้อมลู

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความหมายของแรง
แรง (force) คือ ปริมาณที่มีท้ังขนาดและทิศทาง แรงจึงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ สำหรับหน่วย

ของแรงตามระบบเอสไอ คอื นวิ ตัน (N)
4.2 ลกั ษณะของแรง
1) แรงต้องมผี ้ถู ูกกระทำ (object) หรือวัตถุทีถ่ กู กระทำ ซ่ึงอาจจะเปน็ คนหรือสิง่ ของ เชน่

แรงที่เราผลักเกา้ อ้ี ผถู้ กู กระทำคือ เก้าอี้
2) แรงตอ้ งมีผู้กระทำ (agent of force) เชน่ ผ้อู อกแรงผลักเก้าอี้ คือเรา
3) แรงต้องมที ิศทาง (direction) เชน่ แรงผลักเก้าอี้จะมีทิศไปด้านหน้า

4.3 การเขยี นแผนภาพวตั ถอุ ิสระ (free-body diagram)
การเขียนแผนภาพวัตถุอิสระจะเป็นการนำเอาวัตถุที่เป็นระบบออกมาเขียนโดยไม่นำ

สิ่งแวดล้อมมาเขียนด้วย ทำให้ทราบว่า เรากำลังพิจารณาวัตถุก้อนใดอยู่ แล้วจึงเขียนแรงทุกแรงที่กระทำต่อ
วัตถุ โดยไมเ่ ขียนแรงอย่างอนื่ ทไ่ี มก่ ระทำต่อวัตถุ

4.4 แรงชนดิ ต่าง ๆ ท่คี วรรู้
- นำ้ หนักของวตั ถุ (weight) คือแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ มีขนาดขึ้นอยู่กบั มวลของวัตถุ และมีทิศ

เข้าหาศูนยก์ ลางโลก
- แรงสปริง (spring force) เปน็ แรงท่สี ปรงิ พยายามต้านกับแรงที่มากระทำ ต่อสปรงิ มขี นาด

ข้นึ กบั ความยาวของสปริงทเี่ ปลยี่ นไป มีทศิ ทางท่ที ำ ใหส้ ปรงิ กลบั สู่รปู ร่างเดมิ
- แรงดึง (tension force) เชน่ แรงดึงเชือก เป็นแรงทเ่ี ชือกดงึ วตั ถุ มีทศิ ออกจากวตั ถุ
- แรงแนวฉาก (normal force) เป็นแรงกระทำ ระหว่างผิววตั ถสุ องก้อนที่สัมผสั กนั มีทิศต้ัง

ฉากกบั แนวผิวสัมผสั
- แรงเสียดทาน (frictional force) เป็นแรงกระทำ ระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน

พยายามตา้ นการเคลือ่ นท่รี ะหวา่ งวตั ถุ มที ศิ ในแนวผิวสัมผสั

5. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
5.1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
5.1.1 ครูแจ้งจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ให้นักเรยี นทราบ

3

5.1.2 ครูให้นักเรียนลองผลักประตู ผลักโต๊ะ และสังเกต พร้อมกับถามนักเรียน เพื่อให้
นกั เรียนแสดงความคดิ เหน็ โดยใช้คำถามต่อไปนี้

- นักเรียนสังเกตเห็นอะไร (แนวคำตอบ โตะ๊ เคลื่อนที่, ประตเู ปดิ ออก)
- นกั เรยี นคดิ ว่าสิ่งนั้นเคลอ่ื นทไี่ ดเ้ พราะอะไร (แนวคำตอบ เพราะออกแรงผลัก)
- นกั เรยี นคิดว่าแรงคืออะไร (แนวคำตอบ ส่งิ ท่ีทำใหว้ ัตถเุ คล่ือนท่ีได)้
5.1.3 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับแรง และความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยน
สภาพการเคลื่อนท่ีของวัตถุกับแรงที่กระทำตอ่ วัตถุ รวมถึงความเป็นมาของความเข้าใจเกี่ยวกับแรงตั้งแต่สมยั
อาริสโตเตลิ ตามรายละเอียดในหนังสอื เรยี น

5.2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration)j
5.2.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั สถานการณต์ ่อไปน้ี
- แรงจากผู้โยนกระทำต่อลูกโบว์ลิ่งอยู่หรือไม่ขณะลูกโบว์ลิ่งกำลังกลิ้งไปบนราง

หลังจากหลดุ จากมอื ผู้โยนแล้ว (แนวคำตอบ ไม่มี เนื่องจากมือไม่ไดส้ ัมผัสหรือออกแรงกระทำต่อลูกโบว์ลงิ่
ที่เห็นลูกโบว์ลิ่งเคลื่อนที่ก็เพราะว่าแรงที่เราโยนลูกโบว์ลิ่งในตอนแรกส่งผลให้ลูกโบว์ลิ่ งเกิดการเคลื่อนที่
หรอื เปลย่ี นสภาพการเคลื่อนที่)

- เมื่อเราใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ แล้วเรารูส้ กึ เจ็บฝ่ามือเป็นเพราะเหตุใด (แนวคำตอบ เม่ือ
เราออกแรงตบโต๊ะแล้วรู้สึกเจ็บมือ เป็นเพราะวา่ แรงทีโ่ ต๊ะตบมือเราคืน เราจะสังเกตเห็นว่าแรงกระทำเป็น
ค่เู สมอ โดยเปล่ยี นกนั เปน็ ผู้กระทำและผูถ้ ูกกระทำ)

5.2.2 ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับลักษณะของแรงว่าจะต้องมีผู้กระทำ
ผถู้ ูกกระทำ และมีทศิ โดยใชล้ กู ศรแทนแรง

1) แรงต้องมีผู้ถูกกระทำ (object) หรือวัตถุที่ถูกกระทำ ซึ่งอาจจะเป็นคนหรือ
สง่ิ ของ เชน่ แรงที่เราผลกั เก้าอี้ ผูถ้ ูกกระทำคือ เกา้ อ้ี

2) แรงตอ้ งมีผ้กู ระทำ (agent of force) เช่น ผูอ้ อกแรงผลักเก้าอ้ี คอื เรา
3) แรงตอ้ งมีทศิ ทาง (direction) เช่น แรงผลักเก้าอี้จะมที ศิ ไปด้านหน้า
5.2.3 ครูนำภาพชายคนหนึ่งดันกล่อง A ที่ติดกับกล่อง B ไปบนพื้นระดับลื่นมาให้นักเรียน
และใหน้ กั เรียนระบุวา่ มแี รงอะไรกระทำต่อกล่องบ้าง

- มีแรงอะไรกระทำ ต่อกล่อง A บ้าง (แนวคำตอบ แรงผลัก แรงที่กล่อง B ดัน
กล่อง A แรงทีพ่ นื้ ดันกลอ่ ง A และ น้ำ หนกั ของกล่อง A)

4

- มแี รงอะไรกระทำ ต่อกล่อง B บา้ ง (แนวคำตอบ แรงทก่ี ลอ่ ง A ดันกล่อง B แรง
ทพี่ น้ื ดนั กลอ่ ง B และ นำ้ หนักของกลอ่ ง B)

5.2.4 ครูเพิ่มเตมิ ความรูเ้ ก่ียวกบั ข้นั ตอนการเขียนแผนภาพวตั ถุอสิ ระ ดงั ต่อไปนี้
1) วาดรูปวตั ถุใหม่ โดยวาดเฉพาะรูปวตั ถทุ ี่เป็นระบบที่พจิ ารณา ไมว่ าดส่ิงอื่นอีก
2) เขียนเวกเตอร์แรงแสดงแรงลัพธ์ทุกแรงที่กระทำต่อวัตถุ โดยลากเวกเตอร์ของ

แรงออกจากวตั ถุไมว่ า่ จะเปน็ แรงผลัก หรอื แรงดึง เขยี นสัญลักษณก์ ำกับเวกเตอรแ์ รงของแตล่ ะแรงด้วย
3) เขียนเวกเตอร์แรง แสดงแรงไม่สัมผัส ซึ่งในบทนี้จะมีเพียงแรงเดียวคือแรงที่โลก

ดงึ ดูดวัตถแุ ละเขยี นสัญลกั ษณ์ ⃑⃑⃑ กำกับดว้ ย

ข้ันท่ี 1 วาดรูปวัตถอุ อกมาเดย่ี ว ขน้ั ที่ 2 เขียนแรงสัมผัสเพม่ิ ขน้ั ท่ี 3 เขียนแรงไมส่ มั ผสั เพ่ิม

⃑ ⃑

⃑⃑⃑

5.3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
5.3.1 ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเก่ียวกับการเขยี นแผนภาพอสิ ระในสถานการณ์ต่างๆ

สถานการณ์ รูปแสดงสถานการณ์ แผนภาพอสิ ระ

แมวตวั หน่ึงยนื บนเครือ่ ง
ช่งั ทวี่ างอยู่ในลิฟต์ท่ี
กำลังเคลอื่ นทขี่ น้ึ

สัญลกั ษณ์
__ ⃑_ __ แทน __แ__รง_เ_ค_ร_่อื _ง_ช_ั่ง_ด_นั _แ_ม_ว____
__ ⃑⃑_⃑ __ แทน __แ_ร_ง_ท_่โี_ล_ก_ด_ึง_ด_ดู_แ_ม__ว____

5

(แผนภาพอิสระกล่อง B)

ชายคนหนึง่ ดนั กล่อง A สญั ลักษณ์
ทีต่ ิดกบั กล่อง B ไปบน __ ⃑_ __ แทน __แ_ร_ง_ท_ี่พ__น้ื _ด_ัน_ก_ล_่อ_ง__B____
พ้นื ระดับล่นื __ ⃑⃑_⃑ __ แทน ___แ_ร_ง_ท_ีโ่ ล__ก_ด_งึ _ด_ูด_ก_ล_อ่ _ง___
__ ___ แทน __แ_ร_ง_ท_่ีก_ล_อ่ _ง__A_ด__ัน_ก_ล_่อ_ง_B_
ขณะชา้ งเตะลกู บอล
(ลกู บอลสัมผัสพนื้ ) สัญลักษณ์
__ ⃑_ __ แทน __แ__รง_ท_ี่พ__ืน้ _ด_ัน_ล_ูก_บ__อ_ล____
ขณะหลังชา้ งเตะลูกบอล __ ⃑⃑_⃑ __ แทน ___แ_ร_ง_ท_โี่ ล__ก_ด_ึง_ด_ดู _ล_ูก_บ_อ_ล__
(ลูกบอลลอยในอากาศ) __ _ __ แทน __แ_ร_ง_ท_ชี่_้า_ง_เ_ต_ะ_ล_ูก_บ_อ_ล____

สญั ลักษณ์
__ ⃑⃑_⃑ __ แทน ___แ_ร_ง_ท_โ่ี _ล_ก_ด_ึง_ด_ูด_ล_กู _บ_อ_ล__
5.3.2 ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ เก่ยี วกับแรง ลกั ษณะของแรงและการเขยี นแผนภาพอสิ ระ

5.4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
5.4.1 ครเู พิ่มเตมิ เก่ียวกบั แรงท่ีควรรู้ ดังนี้
- น้ำหนกั (weight) คือแรงที่โลกดึงดูดวตั ถุ มขี นาดข้นึ อยู่กบั มวลของวัตถุ และมีทิศ

เข้าสูศ่ ูนย์กลางโลก แทนด้วยสญั ลกั ษณ์ ⃑⃑⃑

6

- แรงสปรงิ (spring force) เป็นแรงทส่ี ปรงิ พยายามต้านกบั แรงที่มากระทำต่อสปริง
มีขนาดขึน้ กับความยาวของสปริงทเ่ี ปลยี่ นไป มที ิศทที่ ำให้สปริงกลับสรู่ ปู ร่างเดิม

- แรงดึง (tension force) เช่น แรงดึงเชือก เป็นแรงที่เชือกดึงวัตถุ มีทิศออกจาก
วตั ถุ

- แรงแนวฉาก (normal force) เป็นแรงกระทำระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน
มีทศิ ตง้ั ฉากกับแนวผิวสมั ผัส แทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ ⃑

7

- แรงเสียดทาน (frictional force) เปน็ แรงกระทำระหวา่ งผวิ วัตถสุ องกอ้ นทีส่ ัมผัส
กนั พยายามตา้ นการเคลือ่ นทรี่ ะหว่างวตั ถุ มที ศิ ในแนวผิวสัมผัส

5.5 ข้นั ประเมิน (Evaluation)
5.5.1 ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงาน เร่ือง แรง
5.5.2 ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงาน

รายบคุ คล

8

6. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
6.1 หนังสือเรียนรายวชิ าฟสิ กิ ส์เพ่ิมเตมิ ม. 4 เล่ม 1 สสวท.
6.2 ใบความรู้ เร่อื ง แรง และใบงาน เร่อื ง แรง

7. กระบวนการวัดและประเมนิ ผล

จุดประสงค์ เคร่ืองมือ วิธกี ารวดั เกณฑ์การตัดสิน
ดา้ นความรู้ (K) ใบงาน
1) อธิบายความหมายของแรงได้ ตรวจคำตอบจาก ผา่ นเกณฑ์อย่าง
2) อธิบายและเขยี นแผนภาพวัตถอุ ิสระใน กรณี ใบงาน ใบงาน นอ้ ยรอ้ ยละ 70
ตา่ ง ๆ ได้ แบบประเมนิ
3) อธิบายความหมายเกยี่ วกับนำ้ หนกั แรงสปริง พฤติกรรม ตรวจคำตอบจาก ผ่านเกณฑ์อย่าง
แรงดงึ เชือก แรงแนวฉาก และ แรงเสียทานได้ ใบงาน นอ้ ยร้อยละ 70
ด้านด้านทกั ษะกระบวนการ(P) ผา่ นเกณฑ์อยา่ ง
1) เขียนแผนภาพวตั ถอุ สิ ระในกรณีตา่ ง ๆ ได้
สงั เกตพฤตกิ รรม น้อยรอ้ ยละ 70
ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1) มีความสนใจใฝ่รู้ทางดา้ นวิทยาศาสตร์

9

บันทึกผลหลังสอน

ผลการจัดการเรยี นการสอน
K : นกั เรียนใหค้ วามหมายของแรงได้
P : นักเรียนเขียนแผนภาพวัตถุอิสระในกรณีต่างๆได้
A : นักเรยี นออกมาทำกจิ กรรมหนา้ ช้นั เรยี น ตง้ั ใจทำงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเป็นอย่างดี

ปญั หาและอปุ สรรค/ข้อบกพร่องที่พบ
นักเรยี นเอาการบ้านคาบทแี่ ล้วมาทำใหห้ ้องเพราะว่าถึงวนั กำหนดสง่ งาน

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางการแก้ไข
พดู คยุ กบั นักเรียนเกยี่ วกับความรบั ผดิ ชอบ ครตู ัง้ ใจสอนเต็มที่ ก็อยากใหน้ ักเรยี นเตม็ ที่กับการเรียนในหอ้ งดว้ ย

10

ความคิดเหน็ ของครพู ี่เลีย้ ง

ความคดิ เห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์

11

แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4/9

คำชี้แจง : ครผู สู้ อนประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนโดยให้คะแนนตามเกณฑท์ ่ีกำหนด

รายการการประเมิน สรปุ ผลการ
ประเมนิ

เลข ชอื่ -นามสกุล ความร่วม ืมอใน รวม
ที่ ทำ ิกจกรรม คะแนน ผ่าน ไม่

การแสดงความ ิคดเห็นตอบ ผ่าน
คำถาม

การรับฟังความคิดเห็นผู้ ่ือน
ความ ัต้งใจทำงาน

1 นางสาวกฤตธรี า วเิ ชยี รเครอื 2 2 22 8 /

2 เด็กชายกษิกร ถาวรวเิ ชยี ร 2 2 22 8 /

3 นางสาวจรรยมณฑน์ ปัถพี 2 2 22 8 /

4 นายจฑุ าภกั ดี จนั ทคตั 2 2 22 8 /

5 นางสาวชลกมล ดอนจนั ทร์โคตร 2 2 2 2 8 /

6 นายญาณวุฒิ ใหม่วงษ์ 2 2 22 8 /

7 นางสาวณฎั ฐณิชา นภากาศ 2 2 22 8 /

8 นางสาวณฐั ธยาน์ วงตา 2 2 22 8 /

9 เด็กหญิงณัฐรวี ศรีสุนทร 2 2 22 8 /

10 นางสาวดลภคั ชยั รัตน์ 2 2 22 8 /

11 นายธนธรรม คา่ ยใส 2 2 22 8 /

12 นางสาวธนภรณ์ เสยี งใส 2 2 22 8 /

13 เดก็ หญงิ ธวัลรตั น์ ทองธริ าช 2 2 22 8 /

14 นางสาวธาริน หาญณรงค์ 2 2 22 8 /

15 นางสาวนภสร ไชยมงคล 2 2 22 8 /

16 นายนราธร วงษศ์ รวี อ 2 2 22 8 /

17 นายบรุ วชิ ยา รงค์ทอง 2 2 22 8 /

18 นายปฏิภาณ เบย้ี วทุ่งน้อย 2 2 22 8 /

19 เด็กหญงิ ปพิชญา ภกู องไชย 2 2 22 8 /

20 นายพศวตั ศรีขดั เค้า 2 2 22 8 /

21 นางสาวพัชรห์ ทยั จนั ทร์สมคอย 2 12
22 นางสาวพัชราภร บตุ รพรม 2
23 นางสาวพณั ณิตา พรมสมบัติ 2 2 22 8 /
24 นางสาวพนั ธนันธ์ ยาวาปี 2 2 22 8 /
25 นายพรี วิชญ์ ศรี ษะโคตร 2 2 22 8 /
26 เด็กชายพฒุ ิพงศ์ สงวนต้นกัลยา 2 2 22 8 /
27 นางสาวเพชรไพลิน จิว๋ กรา่ ง 2 2 22 8 /
28 เด็กหญงิ เพลงไพเราะ สว่างอารมณ์ 2 2 22 8 /
29 นางสาวฟ้าพราว จันทร์ทะวงษ์ 2 2 22 8 /
30 นางสาวภัทรยี า นัทธี 2 2 22 8 /
31 เด็กชายยศกร ทิพย์โชติ 2 2 22 8 /
32 นางสาวรมติ า ทา้ วพา 2 2 22 8 /
33 นายวงศกร บตุ รแก้ว 2 2 22 8 /
34 นายวชริ วชิ ญ์ ภาโนมยั 2 2 22 8 /
35 เด็กหญงิ วรศิ รา พะรินรมั ย์ 2 2 22 8 /
36 นางสาววรศิ รา สนทนา 2 2 22 8 /
37 นายศุภกร ใจแก้ว 2 2 22 8 /
38 เดก็ ชายศุภโชค เปรมนัส 2 2 22 8 /
39 เด็กชายอชิระ เพราะกระโทก 2 2 22 8 /
40 นายอนุวฒั น์ สดุกา 2 2 22 8 /
41 เดก็ หญิงอรกญั ญาฐ์ วงศเ์ ลศิ 2 2 22 8 /
42 นางสาวอรจิรา ประทมุ ชยั 2 2 22 8 /
43 นายอรรถพร เหวนอก 2 2 22 8 /
44 นางสาวสุวภทั ร เจริญวงศ์ 2 2 22 8 /
45 นายเสฎภมู ิ จริยามา 2 2 22 8 /
2 22 8 /
เกณฑก์ ารให้คะแนน 2 22 8 /
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
สรปุ คะแนนรวม 0 - 7 คะแนน ไม่ผา่ น
คะแนนรวม 8 - 12 คะแนน ผ่าน

13

แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/11

คำชแี้ จง : ครผู สู้ อนประเมนิ พฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนโดยใหค้ ะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด

รายการการประเมิน สรปุ ผลการ
ประเมนิ

เลขที่ ชอื่ -นามสกุล ความร่วม ืมอใน รวม
ทำ ิกจกรรม คะแนน ผ่าน ไม่

การแสดงความ ิคดเห็นตอบ ผ่าน
คำถาม

การรับฟังความคิดเห็นผู้ ่ือน
ความ ัต้งใจทำงาน

1 นางสาวกัลป์ยกร ศภุ วฒุ ณิ ฐั 2 2 22 8 /
2 นางสาวกานต์ วงศ์เพชรชารัต 2 2 22 8 /
4 นายฉัตรนิ ปานะถึก 2 2 22 8 /
5 เด็กหญงิ ชญาภา สงิ คลีประภา 2 2 22 8 /
8 นางสาวดารารตั น์ รม่ วาปี 2 2 22 8 /
9 นายตลุ า วระไวย์ 2 2 22 8 /
10 นายธนดล เหลา่ โพธ์ิ 2 2 22 8 /
11 นางสาวธญั ญรัตน์ ปญั ญาวชิรพงษ์ 2 2 22 8 /
12 นางสาวธิชา โคตรมงคล 2 2 22 8 /
13 นางสาวบญุ ญารกั ษ์ เหลา่ หวา้ น 2 2 22 8 /
14 นางสาวเบ็ญจพร บุญสา 2 2 22 8 /
15 เดก็ ชายปรมนิ ทร์ พรมมาตย์ 2 2 22 8 /
16 นายปรินทร กองสิน 2 2 22 8 /
17 นายปญั ณวิศญ์ ปัญญาทอง 2 2 22 8 /
18 นางสาวปาลิดา กิจขยัน 2 2 22 8 /
19 นางสาวปณุ ณศิ า ชุกะวฒั น์ 2 2 22 8 /
20 เด็กหญิงปณุ ยวรี ์ อปุ ถัมภ์ 2 2 22 8 /
21 นางสาวพลอยทิพย์ รวมธรรม 2 2 22 8 /
22 นายพิชาญเมธ กังวานสุขธำรง 2 2 22 8 /

23 เดก็ หญงิ พรี ดา อัชฌานภาลยั 2 14

24 นายภคพล เงนิ ขาว 2 2 22 8 /
2 22 8 /
25 นางสาวภิญญดา ลายวรรณรัตน์ 2 2 22 8 /
2 22 8 /
26 นางสาวภริ ญั ญา ผาริโน 2 2 22 8 /
2 22 8 /
27 นางสาวมนชนก แกว้ ฝา่ ย 2 2 22 8 /
2 22 8 /
28 นายยุทธภมู ิ นามอตุ วงศ์ 2 2 22 8 /
2 22 8 /
29 เดก็ หญงิ รชาอร ช้างรักษา 2 2 22 8 /
2 22 8 /
30 นายรัตนะเทพ สขุ เกษม 2 2 22 8 /
2 22 8 /
31 เดก็ ชายวรี ชั กรณ์ เอีย่ มสนิ ธร 2 2 22 8 /
2 22 8 /
32 นายเวคิน ทอนฮามแกว้ 2 2 22 8 /
2 22 8 /
33 เด็กหญิงศริ ิกลั ยา ผการตั น์ 2 2 22 8 /
2 22 8 /
34 นายสรรพากร ศรหี ะ 2 2 22 8 /
2 22 8 /
35 นางสาวสุปรยี า หงษี 2 2 22 8 /
2 22 8 /
36 นายอนพัทย์ โสตะราษฎร์ 2 2 22 8 /

37 เด็กชายอนุศิษฎ์ แก้ววันนา 2 ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
38 นางสาวอภิญญา ภูวเดชากุล 2 ให้ 1 คะแนน

40 นายอัครพล วงศก์ าฬสนิ ธุ์ 2

41 นางสาวอัญชิสา ภูชธู รรม 2

42 นายจรี าวัฒน์ ถาวรสนิ พงศ์ 2

43 นายเจษฏาภรณ์ บญุ นอก 2

44 นายจิรันธนิน วงศธ์ รี ะชวลิต 2

45 นางสาวฐานิตา เนตรโสภา 2

46 นางสาวปญั ฐญิ า วลิ าวัน 2

47 นางสาวรสิตา ผา่ นคำ 2

48 นายอันดามัน มพี ยุง 2

เกณฑ์การใหค้ ะแนน

ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมำ่ เสมอ

ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั

ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั

สรุป คะแนนรวม 0 - 7 คะแนน ไม่ผา่ น
คะแนนรวม 8 - 12 คะแนน ผา่ น

15

แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 11

กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
รายวิชา ฟสิ ิกส์พ้ืนฐาน รหสั วชิ า ว30101
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงและกฎการเคลื่อนท่ี เวลา 24 ชว่ั โมง
เรื่อง การหาแรงลพั ธ์ เวลา 3 ชวั่ โมง
ภาคเรียนที่ 1/2565
ครผู ู้สอน นายสรุ วฒุ ิ สงศรี

1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้ีวดั
สาระฟิสิกส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎ

การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกล ของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์
พลงั งานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ กั ษ์ โมเมนตัม การเคลื่อนทแี่ นวโค้ง รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรยี นรู้
4. อธบิ ายแรงและผลของแรงลัพธ์ทีม่ ตี อ่ การเคลอื่ นที่ของวัตถุ รวมท้งั ทดลองหาแรงลัพธข์ องแรง

สองแรงท่ีทำมุมตอ่ กนั

2. สาระสำคัญ
แรงลพั ธ์ เปน็ แรงทเี่ กดิ จากแรงทม่ี ีมากกวา่ หน่ึงแรงกระทำต่อวัตถุชน้ิ หนึ่ง ๆ ผลท่เี กดิ ข้ึนจะเสมือนกับ

ว่า มแี รงเพียงแรงเดียวกระทำกับวตั ถนุ น้ั
โดยการรวมแรงเพื่อหาแรงลัพธ์สามารถทำได้โดยการเขียนเวกเตอร์ของแรงและการคำนวณ และ

สำหรบั กรณีสองแรง สามารถเขียนเวกเตอร์เพ่ือหาแรงลัพธ์ไดส้ องแบบ คอื การเขยี นเวกเตอร์โดยการสร้างรูป
สามเหลี่ยมและการสรา้ งรูปสเ่ี หลี่ยมดา้ นขนาน

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายความหมายของแรงลัพธ์ได้
3.2 ดา้ นด้านทักษะกระบวนการ (P)
1) ทดลองหาแรงลพั ธข์ องแรงสองแรงท่ีทำมุมกนั ได้
2) หาแรงลัพธ์โดยวิธกี ารสรา้ งรูปสามเหลยี่ มและส่ีเหล่ยี มด้านขนานได้
3) หาแรงลพั ธ์โดยใชว้ ิธีการคำนวณได้
3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1) มคี วามสนใจใฝร่ ทู้ างดา้ นวิทยาศาสตร์

16

3.4 ทกั ษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ (Science Process Skill)
- การสังเกต การวัด การคำนวณ และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู

4. สาระการเรยี นรู้

เมื่อมีแรงมากกว่าหนึ่งแรงกระทำต่อวัตถุชิ้นหนึ่ง ๆ ผลที่เกิดขึ้นจะเสมือนว่า มีแรงเพียงแรงเดียว

กระทำตอ่ วัตถุน้นั ซงึ่ แรงดงั กล่าวเรียกว่า แรงลพั ธ์

การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์สามารถหาได้โดยวธิ ีการสร้างรปู โดยเขยี นลกู ศรแทนขนาดและ

ทศิ ทางของแรงตามมาตราส่วนท่ีกำหนดเพ่ือหาแรงลัพธ์สองแบบ คอื การสรา้ งรปู สามเหล่ยี ม (การต่อเวกเตอร์

แบบหางต่อหัว) และการสร้างรูปสี่เหลี่ยมดา้ นขนาน (การต่อเวกเตอร์แบบหางต่อหาง) และการหาขนาดและ

ทศิ ทางของแรงลัพธส์ ามารถหาได้โดยวธิ ีการคำนวณ โดยสามารถหาได้ดังต่อไปนี้

กรณที ี่ 1 แรงย่อยมีทศิ ทางเดียวกนั (ทำมมุ 0 องศา)

ขนาดของแรงลัพธ์ ∑F = F1 + F2 และ tan θ = 0 โดยทศิ ทางของแรงลัพธจ์ ะมีทิศเดียวกบั แรงย่อยที่
มีขนาดมากทส่ี ดุ

กรณีท่ี 2 แรงย่อยมที ิศตรงขา้ มกัน (ทำมมุ 180 องศา)

ขนาดของแรงลัพธ์ ∑F = F1 - F2 และ tan θ = 180๐ โดยทศิ ทางของแรงลพั ธจ์ ะมที ิศเดียวกบั แรง
ยอ่ ยท่มี ีขนาดมากทีส่ ดุ

กรณีที่ 3 แรงย่อยทำมมุ ตง้ั ฉากกัน (90 องศา)

หาขนาดแรงลัพธ์ไดจาก ∑ = √ 12 + 22 และหามุมแรงลัพธ์ไดจาก tan α = 2 โดยทิศทางของ

1
แรงลัพธ์ คอื ทิศทางของเส้นตรงที่ลากจากจดุ เรม่ิ ตน้ ไปยังจดุ สุดท้าย

กรณที ่ี 4 แรงย่อยเอยี งทำมุมใดๆ (θ)

หาขนาดแรงลัพธไ์ ดจาก ∑ = √ 12 + 22 + 2 1 2

และหามมุ แรงลัพธไ์ ด้จาก tan α = 2
1+ 2

5. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
5.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
5.1.1 ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ให้นกั เรียนทราบ
5.1.2 ครูทบทวนความรเู้ ดิมเกี่ยวกับเวกเตอร์วา่ เป็นปรมิ าณที่มีท้งั ขนาดและทศิ ทาง
5.1.3 ครูถามคำถามนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยใช้คำถาม

ตอ่ ไปนี้

17

เปลี่ยนสภาพไป) - แรงในทางฟิสิกส์ คืออะไร (แนวคำตอบ สิ่งที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุ
วัตถุนัน้ ) - แรงลัพธ์ คืออะไร (แนวคำตอบ ผลรวมของแรงหลายแรง ๆ แรง ที่กระทำต่อ

5.2 ขัน้ สำรวจและค้นหา (Exploration)j
5.2.1 ครสู าธิตการทำกจิ กรรม “การทดลองหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์” ให้นกั เรียนได้

สงั เกตและศกึ ษา (สอนออนไลน์) โดยปฏิบัตดิ ังตอ่ ไปนี้
1) นำปลายเชือกทั้งสามเส้นผูกรวมกันไว้ ปลายที่เหลือทำเป็นห่วง จากนั้นนำสปรงิ

เกีย่ วกบั หว่ งเชอื กท้ังสาม
2) ยึดสปริงตัวที่ 3 อยู่กับที่ ดึงเครื่องชั่งสปริงที่ 1และ 2 โดยให้เครื่องชั่งสปริงสอง

อันแรกทำมุม 60 องศา
3) เขียนเวกเตอร์แทนขนาดและทศิ ทางของแรงทั้งสามในแต่ละกรณี
4) หาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่กระทำมุมต่อกันในข้อ 2 และข้อ 3 โดยวิธีสร้าง

สีเ่ หลีย่ มด้านขนาน ความยาวเวกเตอร์ 1 เซนตเิ มตร แรง 1 นิวตนั
5) ทำการทดลองซำ้ อกี ครัง้ แต่เปล่ียนให้ทำมุม 90 องศา

5.3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
5.3.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ เกย่ี วกับเกยี่ วกบั ประเดน็ ต่อไปน้ี
- เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีทิศทางอย่างไร และมีทิศเดียวกันหรือตรงข้ามกันกับแรง

จากเครื่องชั่งสปริงตัวที่สาม (เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีทิศทางตามเส้นทแยงมุมของสี่เหลี่ยมด้านขนาน และ
ตรงข้ามกับเครือ่ งชงั่ สปรงิ ตวั ท่ี 3)

- เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีค่าเท่ากับค่า F1 + F2 และค่าของ F3 หรือไม่ อย่างไร
(ขนาดเวกเตอร์ของแรงลัพธ์ไม่จำเป็นต้องเท่ากับค่า F1 + F2 แต่จะมีค่าเท่ากับค่าที่วัดได้จากเครื่องชั่ง
สปรงิ ตัวท่ีสาม)

- แรงสองแรงเม่ือทำมมุ 60 องศา และ 90 องศา ขนาดของแรงลัพธ์ที่ไดเท่ากันหรือ
ไม เพราะเหตใุ ด (ไมเท่ากนั เพราะการออกแรงที่มมุ ตา่ งกันจะทำให้ขนาดของแรง F1 และขนาดของแรง F2
ไมเทา่ กันทำให้ขนาดของแรง F3 ซ่งึ เปน็ ขนาดของแรงลพั ธ์มคี ่าไมเท่ากันดว้ ย)

5.3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทดลองว่า แรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ี
ทำมุมกัน มีขนาดเท่ากับความยาวของเส้นทแยงมุมของรปู สี่เหลีย่ มด้านขนานท่ีมแี รงทั้งสองเป็นด้านประกอบ
และมีทิศทางตามเส้นทแยงมุมของสี่เหลี่ยมดา้ นขนานโดยช้ีออกจากหางของเวกเตอร์ของแรงท้ังสอง ดังนั้นจงึ
สรุปได้ว่า แรงลัพธ์ เป็นแรงที่เกิดจากแรงที่มีมากกว่าหนึ่งแรงกระทำต่อวัตถุช้ินหน่ึง ๆ ผลที่เกิดขึ้นจะเสมือน
กบั วา่ มแี รงเพียงแรงเดยี วกระทำกับวตั ถุน้นั


Click to View FlipBook Version