The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทคัดย่อนักศึกษา full(KM 2564).

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

รวมบทคัดย่อนักศึกษา full(KM 2564).

รวมบทคัดย่อนักศึกษา full(KM 2564).

คำนำ

การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เรื่อง “สื่อสารสร้างสรรค์พลังวิทย์” เพื่อจัดการความรู้การนา
ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไปส่ือสารหรือเผยแพร่ในเวทีการนาเสนอผลงานทางวิชาการ รวมถึงการ
เขียนบทคัดย่อและ abstract สาหรับการเตรียมความพร้อมให้กับอาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสื่อสารหรือเผยแพร่งานวิจัยต่อไป รวมบทคัดย่องานวิจัย
นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่ือสารสร้างสรรค์พลังวิทย์ 64 เล่มนี้จึงจัดทาข้ึนเพ่ือ
รวบรวมการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยของนักศึกษาในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาโครงการวิจัยของ
หลักสูตรต่าง ๆ ในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพ่ือการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตามประเด็น
ยุทธศาสตร์มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร

คณะกรรมการการจดั การความรู้
คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี



สำรบัญ

หนำ้

สำขำวิชำวทิ ยำศำสตร์สง่ิ แวดล้อม

1 การกกั เกบ็ คารบ์ อนของตน้ ไม้ในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร 1

อรยิ ะ คงสถติ ย์, กฤตยิ าพรรณ อินทสนั ตา, หทัยรตั น์ สิงห์โต, อาทติ ยา คาไพ

และ ณฐั พร จริ ะวฒั นาสมกลุ *

2 การทาปุย๋ หมักจากขยะอนิ ทรีย์ดว้ ยถงั หมกั รักษ์โลกโดยน้าหมักชวี ภาพ 2

จากจาวปลวกและนา้ หมักชีวภาพจากเปลอื กสบั ปะรด

กวนิ นา วงค์กระโซ่, ชลดา ใครอามาตย์, ชลทชิ า ชาเสน และ อมรรัตน์ แท่งทอง*

3 ประสทิ ธิภาพการบาบัดน้าเสียจากรา้ นกาแฟด้วยกระบวนการตกตะกอนทางไฟฟา้ 4

จติ รตพิ ร จนั ทะนาม วภิ าดา คาดว่ น, สชุ าดา จันทร์สุข และ ทรงพล ประโยชน์มี*

4 ผลกระทบของฝนกรดจาลองที่มผี ลต่ออตั ราการงอกของเมลด็ ขา้ วเหนียว 6

พันธุ์ลมื ผวั และข้าวเหนยี วพนั ธ์ปุ ้องแอว้

พินนภา เหลาบวั , ประวทิ ย์ วงค์กระโซ่, สุพตั รา พนมุ รัมย์

และ ประวทิ ย์ สวุ รรณรงค์*

สำขำวิชำวทิ ยำศำสตร์สขุ ภำพ

5 การดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุในยุควิถีชีวิตใหม่ในเขตอาเภอเมืองสกลนคร 8

จังหวดั สกลนคร

สะบณั งา แกน่ วิโรจน์, เบญจพร จันทรงั ษี, ปรางอนงค์ ศรนี ารตั น์, ธัญชนก ลาสัน,

ธดิ ารตั น์ อนิ ทร์ขาว และ กาญจนา วงษ์สวัสด์ิ*

6 คุณภาพชีวิตการทางานของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏ 9

สกลนคร

เจษฎา หลกั ทอง, รจนา มะโนศรี, จันจิรา หงษภ์ ู, ทรายแกว้ โคตรทองวงค์

และ กาญจนา วงษส์ วสั ดิ์*

7 การประเมนิ กลุ่มอาการออฟฟศิ ซนิ โดรมและวิธีการจดั การอาการปวดกลา้ มเนื้อใน 11

กลุ่มอาการออฟฟศิ ซินโดรมของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

กญั ญาณฐั สอนสญู และ นาพร อินสิน*

8 ความตระหนักเก่ียวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 13

ไมครอน (PM 2.5) ของประชาชนนอกเขตเทศบาลนครสกลนคร อาเภอเมือง

จังหวดั สกลนคร

วรรณภา สายมาลยั , ทักษิณาพร ชยั หมืน, พทุ ธรกั ษ์ ลืออ่อนดี,

พมิ พิไล แกว้ ไพฑรู ย์ และ นาพร อินสิน

*

หนำ้

9 พฤติกรรมการใช้ยาปฏชิ ีวนะอยา่ งสมเหตุสมผลของนักศกึ ษามหาวิทยาลยั 15

ราชภัฏสกลนคร

นภาพร ขนั ทอง, ปรีชานิกา อาสา, กวนิ นาถ แสงเช้ือพอ่ , กมลวรรณ ฟองออ่ น,

ประกายวรรณ ม่วงมา และ นาพร อนิ สนิ *

10 การรับรู้เก่ียวกับโรคชิคุนกุนยาและพฤติกรรมการป้องกันของประชาชน ตาบลดง 17

มะไฟ อาเภอเมอื ง จงั หวัดสกลนคร

เจตนิพัทธ์ เหลาแตว, นสุ จิรา คาทะเนตร, อรรถชยั ผากงคา, ณัฐวัตร จนั ทอง,

ภัสรา พ่ออามาตย์, อนิ ทราณี ดาศรี และ ภูวสทิ ธิ์ ภูลวรรณ*

11 ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติงานป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 19

(COVID-19) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน เขตอาเภอเมือง จังหวัด

สกลนคร

พัชราภรณ์ อนิ ทรพ์ ร, รชั ดาภรณ์ ออ่ นจงไกร, ปิยเกษ อปุ โคตร,

จิราภรณ์ จนั ทะวชิ ยั , ศิรนิ ภา นอ้ ยนาง และ ภูวสทิ ธ์ิ ภลู วรรณ*

12 การรับรู้และการปฏิบัติตนในการป้องกันโรค COVID-19 ของอาสาสมัคร 21

สาธารณสขุ ประจาหมบู่ า้ นในเขตอาเภอเมือง จงั หวดั สกลนคร

พรี ะพล อปุ ระ, แก้วมุกดา อุคา, วรรณภา หอมจันทร์, ชไมพร พิมพม์ ลี าย,

นพศิลป์ ชนิ บูรณ์, นริศรา ยางสดุ และ จรินทรท์ ิพย์ ชมชายผล*

13 ความรู้ การปฏิบัติและความตระหนักในการป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19) 23

ของบุคลากรปฏบิ ัติงานในมหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

วรัญญา ทิพย์คามี, สุธาดา เคนสีลา, แก้วนภา คาวงค์ษา, นัทริตา บุญมาก, เอก

ราช นารีจันทร์ และ จรนิ ทร์ทิพย์ ชมชายผล*

14 การรับรคู้ วามเสีย่ งตอ่ การเกิดโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) และการ 25

ปฏิบัติตนตามวิถีชีวิตใหม่ (New normal) เพื่อป้องกันโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา

2019 (COVID-19) ของนักศึกษามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร

อภญิ ญารตั น์ นวิ งษา, รจนา ดอบตุ ร, พรประภา ทองยอด, อาลิตา นารนี ุช,

วรุณยภุ า กงลีมา และ ศศิวรรณ ทัศนเอยี ม*

15 ความสุขสมบูรณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อาเภอเมือง จังหวัด 27

สกลนคร

ชไมพร ประสาทเขตการ, ปทุมพร อ่อนดี, พลอยนภา แสนขวา, ปราวีณา ฮาดดา,

พาขวญั อัคเสรญิ , พรชุตา อสุ าพรหม และ ศศิวรรณ ทัศนเอยี ม*

หนำ้

16 กิจกรรมทางกายและสมรรถภาพทางกายของผสู้ งู อายใุ นเขตเทศบาล ตาบลท่าแร่ 29

อาเภอเมืองสกลนคร จงั หวัดสกลนคร

นฐั ธิฌา อินทร์กอง, อภิสทิ ธิ์ เมอื งฮาม, ทพิ ย์วรรณ ทองอันตงั ,

นรินทรธ์ รณ์ มูลสิติ, สิรินทรา ศรี ลาหลัด และ ณรี นชุ วรไธสง*

17 ภาวะโภชนาการและพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารของผสู้ ูงอายใุ นเขตพ้ืนท่ี 31

รบั ผิดชอบโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพบ้านนาขาม ตาบลห้วยยาง อาเภอเมือง

จงั หวดั สกลนคร

ลักขณา บุญรอด, เพ็ญนภา สุวรรณศรี, จริ าพร สีมว่ ง, นิศารตั น์ นาสงค์,

อรญิ า พรมโคตร และ ณรี นชุ วรไธสง*

18 จติ อาสาของนักศกึ ษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยในจงั หวดั สกลนคร 33

นวพล สขุ พันธ์, สวุ นันท์ สพุ มิ ล, ณฐั กานต์ บ่องเขาย้อย, นนทญิ า เพียรภูเขา,

เขตษ์ชยั โยธาไพร และ วบิ ลู ย์สุข ตาลกุล*

19 สขุ ภาพจติ และการเห็นคุณคา่ ในตนเองของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร 34

ณัฐนชิ า แซ่เฮง, เยาวลักษณ เสนาศร,ี อรนภา ปริโป, ศวิ าพร คึมยะราช,

อารยี า เพช็ รธรรมรงค์ และ วบิ ลู ยส์ ุข ตาลกลุ *

สำขำวิชำชีววิทยำ

20 ฤทธิย์ ับยั้งของสารสกดั ใบพลู เหง้าไพล ใบเทียนบ้าน และเหงา้ เอื้องหมายนา 35

ตอ่ แบคทเี รยี ก่อโรคติดเชือ้ ผิวหนังบางชนดิ

กนกวรรณ แสงสวสั ด์ิ, สุจิตรา ชัยยา, สวุ ภา สาวภิ าค และ อรุณ วงศ์จิรฐั ติ ิ*

21 ฤทธยิ์ บั ย้งั ของสารสกดั สมนุ ไพรจากเหงา้ กระชาย ใบวา่ นหอยแครงใบวา่ นงาชา้ ง 37

ใบเตยหอม และดอกกานพลู ต่อแบคทีเรียก่อโรคติดเชอ้ื ผวิ หนังบางชนิด

ทัศนยี ์ พรสุวรรณ, สวุ ภา สาวภิ าค และ อรุณ วงศ์จิรัฐิติ*

22 ฤทธิ์ยับย้ังของสารสกัดสมุนไพรจากเหง้าขิง เหง้าข่า ใบผักแพว และ 39

เถาเพชรสังฆาต ต่อแบคทีเรียกอ่ โรคตดิ เชื้อผวิ หนงั บางชนดิ

จักรชัย ศรสี ถาน, ศุภาวดี อุ่นอก, สวุ ภา สาวิภาค และ อรุณ วงศจ์ ิรฐั ิติ*

23 การกลั่นกรองปัจจัยท่ีมีผลต่อการเจริญของ Saccharomyces cerevisiae ใน 41

อาหารเหลวมนั เทศ

ณฐั กฤตา โสตะภา, สรุ เดช ไชยฤทธิ์, อรณุ วงศจ์ ริ ฐั ติ ิ และ สุวภา สาวภิ าค*

24 การกล่ันกรองปัจจัยท่ีมีผลต่อการเจริญของ Saccharomyces boulardii ใน 42

อาหารเหลวมนั เทศ

ธนากร สายแก้ว, อรุณ วงศจ์ ิรัฐติ ิ และ สุวภา สาวภิ าค*

หนำ้

25 การกลั่นกรองปัจจัยท่ีมีผลต่อการผลิตสารแคโรทีนอยด์โดยยีสต์ Rhodotorula sp. 44

เมื่อใช้อาหารเหลวมนั เสา

ขวญั จริ า ขาวหมอ, นิรมล คามุงคุณ, อรุณ วงศจ์ ิรัฐิติ และ สุวภา สาวิภาค*

26 การกล่ันกรองปัจจัยท่ีมผี ลต่อการเจริญของ Rhodotorula sp. ในอาหารเหลวมันเสา 46

เพชรมณี พรมมาก, นภาพร กล่อมมิตร, อรุณ วงศ์จริ ฐั ติ ิ และ สวุ ภา สาวภิ าค*

27 ผลของความเข้มขน้ มนั เสาต่อการเจริญเชอ้ื รา 4 สายพันธ์ุ 48

สจุ ติ รา หงษ์สมดี, ขนิษฐา อุปศรี, อรณุ วงศ์จิรฐั ติ ิ และ สวุ ภา สาวิภาค*

28 ศึกษาผลการหาสภาวะท่ีเหมาะสมในการผลิตเบียร์จากข้าวไทย 50

(ข้าวขาวดอกมะลิ 105)

นลนิ ทะไตย, ภทั ชริ า อุ่นกลม และ กฤษณ์ พเิ นตรเสถยี ร*

29 การศึกษาปริมาณรงควัตถุ พอลิแซ็กคาไรด์ และกิจกรรมต้านออกซิเดชันของ 52

สาหรา่ ยสไปโรไจราทพ่ี บในจงั หวัดสกลนคร

กนกนารถ สรุ าราช และ นพรตั น์ สิทธวิ งศ์*

30 การเพาะเล้ียงต้นกล้ากล้วยไม้เอื้องช้างน้าว (Dendrobium pulchellum Roxb. ex 54

Lindl.) ในสภาพปลอดเชอื้

นพพร ไชยกูล, นพรตั น์ สิทธิวงศ์ และ จิราภรณ์ สมุ ังคะ*

31 การเพาะเลี้ยงต้นกล้ากล้วยไม้ช้างกระ [Rhynchostylis gigantea (Lindl.) Ridl.] ใน 56

สภาพปลอดเช้ือ

นิรชา ตาสว่าง, ราเชนทร์ คล่องแคลว่ , นพรตั น์ สทิ ธิวงศ์ และ จริ าภรณ์ สมุ งั คะ*

32 การปรับสภาพเปลือกข้าวและฟางข้าวด้วยกรด-ด่างและคลื่นไมโครเวฟเพื่อเสริม 58

การทางานของเอนไซม์เซลลเู ลส

ชุลพี ร เสนสิทธิ์, เกียรตศิ กั ด์ิ วะชมุ , เพมิ ศักดิ์ ยีมิน และ แกว้ กลั ยา โสตถสิ วสั ดิ์*

33 ประสิทธิภาพการยับยง้ั เชื้อราของสารสกัดไบโอชาร์ 60

บษุ บา พรมเทพ1, นลิณี ศริ มิ งคล1, เทพกร ลีลาแต้ม2 และ แก้วกัลยา โสตถสิ วัสดิ์1*

34 การผลติ นา้ ตาลรดี ิวซ์จากเปลือกขา้ วโพดและชานออ้ ยโดยการปรับสภาพด้วยกรด-ดา่ ง 62

และคลืน่ ไมโครเวฟ

อมลวรรณ พนั ธมิตร, ราเชน บุญไสย, เพมิ ศักด์ิ ยมี นิ และ แก้วกัลยา โสตถิสวัสดิ์*

35 การตรวจหาตัวอ่อนระยะเมตาเซอร์คาเรียของพยาธิใบไม้ตับในผลิตภัณฑ์แปรรูป 64

จากปลา จากตาบลทา่ บอ่ สงคราม อาเภอศรีสงคราม จงั หวดั นครพนม

ธิตญิ าพร ขนั ธล์ ะ, กัญญารตั น์ ชาคาสัย และ กลุ วดี สวุ รรณไตรย์*

36 ความหลากชนิดของหอยฝาเดียวที่มีความสาคัญทางการแพทย์ในหนองหาร 66

จงั หวัดสกลนคร

บุษกร ชาญนอก, จริ ชั ยา สุขสร้อย และ กลุ วดี สวุ รรณไตรย์*

หนำ้

37 การตรวจหาการปนเปื้อนพยาธิใบไม้ตับในผลิตภัณฑ์แปรรูปปลาโดยเทคนิคพีซี 68

อาร์แบบไพรเมอรจ์ าเพาะ

อรสิ า นีลกลุ , ลักษิกา ภมู ิเพ็ง และ กลุ วดี สวุ รรณไตรย์*

38 ความหลากชนิดของหอยสองฝาในหนองหารจงั หวดั สกลนคร 70

ดารารัตน์ ตน้ สวรรค์, ณัฐธดิ า กุลวงศ์ และ กลุ วดี สุวรรณไตรย์*

39 ความหลากชนิดหอยทากในบ้านโคกสะอาด ตาบลอุม่ จาน 71

อาเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร

ชนาธิป จอมทะรักษ์, ดรณุ ี เหลาทอง และ กุลวดี สวุ รรณไตรย์*

สำขำวชิ ำเคมี

40 การสังเคราะห์และการศึกษาความคงตวั ของอนพุ นั ธค์ ลอโรฟิลล์จากใบเม่าแก่ 72

อวิรทุ ธิ์ ใจสขุ , มารกิ า แสงกล้า และ สุมนา ถวิล*

41 การวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิก ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับย้ังเช้ือ 74

แบคทีเรีย จากสารสกัดใบเครือหมาน้อย ใบเครือสม้ ข้าวใบตาลึงป่า และใบแมงลักคา

ปรียาภรณ์ ไชยเชษฐ์, พชิ ญา ไพคานาม และ จนิ ดา จันดาเรือง*

42 การสงั เคราะห์ถ่านกมั มันต์จากวสั ดุเหลอื ใช้ทางการเกษตรเพ่ือประยุกต์ใช้ 76

เป็นสารดดู ซบั

ธณาพร ฟองวิชัย, วรศิ รา ตามประสี และ วฒุ ิชยั รสชาติ*

43 การดดั แปรแบคทเี รยี ลเซลลูโลสในการบาบดั นา้ เสียจากกระบวนการยอ้ มคราม 78

ชลธิดา คาพลิ า, ทิพย์สดุ า เคนสงคราม และ สุดกมล ลาโสภา*

44 การศึกษาสภาวะทีเ่ หมาะสมในการสกัดสารแอนโทไซยานินจากผลเม่า 80

ทม่ี ีผลต่อฤทธก์ิ ารตา้ นอนมุ ลู อิสระและฤทธ์ยิ ับยัง้ แบคทเี รีย

อมั พร นอ้ ยธง, กชกร ผลเอียม และ ทิตยิ า ศรภี ักดี*

สำขำวชิ ำคอมพิวเตอร์

45 แอปพลิเคชัน จาลองการจัดวางเฟอร์นเิ จอร์ กรณีศึกษา ร้านโฮมพลัสเฟอร์นิเจอร์ 82

มอลล์สกลนครดว้ ยเทคโนโลยคี วามเป็นจริงเสริม

อคั รเดช คนยนื และ สรุ สิทธ์ิ อยุ้ ปดั ฌาวงศ*์

46 การพฒั นาแอปพลเิ คชัน “ทาดี ธรรมดี” บนระบบปฏบิ ัตกิ ารแอนดรอยด์ 83

ชัชชัย สุริยนต์ และ สรุ สทิ ธ์ิ อุย้ ปดั ฌาวงศ์*

47 สื่อการเรยี นรู้เรือพายด้วยเทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสรมิ 84

นิตวิ ัฒน์ ไชยายงค์ และ สุรสิทธิ์ อุ้ยปดั ฌาวงศ*์

48 การพัฒนาแผนผงั พระธาตุดุมตามร่องรอยในอดีตดว้ ยเทคโนโลยีความจรงิ เสริม 85

จักรกฤษ วงค์ตาหลา้ และ สรุ สิทธิ์ อุ้ยปัดฌาวงศ์*

หนำ้

49 การพัฒนาระบบพยากรณ์โรคทรวงอกจากภาพถ่ายโดยใช้เทคนิค Deep 86

Learning

จาตุรนต์ ทพิ สิงห์ และ กรรณกิ าร์ กมลรตั น์*

50 การพฒั นาแผนผังพระธาตุภเู พก็ ตามรอ่ งรอยในอดีตด้วยเทคโนโลยีความจรงิ เสริม 88

ถิรพงษ์ คาปิตะ และ นภิ าพร ชนะมาร*

51 การพัฒนาส่ือการเรียนรู้ฟอสซิลดึกดาบรรพ์ในกลุ่มจังหวัดสนุกด้วยเทคโนโลยี 89

ความจริงเสริม

นันทกิ า ธนะคาดี และ นภิ าพร ชนะมาร*

52 การพฒั นาเวบ็ แอปพลิเคชันระบบบริหารจัดการถงั นา้ แข็ง 91

กรณีศกึ ษาบรษิ ัท คิงสไ์ อซแ์ มน จากดั

นนั ทิมา วีระพัง และ แพรตะวนั จารุตัน*

53 ระบบบริหารงานโรงเรียนสอนพิเศษ กรณีศึกษาโรงเรียนกวดวิชา MathZing 92

Academy by KruAum

อนริ ุทธ์ิ สีทาเลศิ และ สุทิศา ซองเหลก็ นอก*

54 โมเดลประคบร้อนเย็นอตั โนมตั ผิ า่ นไอโอที 93

รชั ชานนท์ ศิริสานต์ และ วรี ะศกั ด์ิ เจรญิ รัตน์* 94
55 การพัฒนาเกม 3 มติ ิ เรื่อง ฮโี รร่ นั

เอกรนิ ทร์ เงินพลับพลา และ ปิยวรรณ โถปาสอน*

56 การพัฒนาเกม 3D เร่อื ง กลอ่ งปริศนาหากญุ แจ 96

ก่อเกียรติ นาตสงู และปยิ วรรณ โถปาสอน*

57 การพัฒนาเกม 3 มติ ิเรอ่ื ง ไขปรศิ นาหาทางออก 98

พรภวษิ ย์ สมอดุ ม และ ปยิ วรรณ โถปาสอน*

58 การศึกษาพฤติกรรมการสง่ั อาหารและเคร่ืองดม่ื แบบเดลเิ วอร่ผี า่ นแอปพลเิ คชัน 100

ช่วงการระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตเทศบาลเมอื งสกลนคร

กรวิชญ์ คาศรี และ อุบลศิลป์ โพธิพ์ รม*

59 ปจั จัยท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ พฤติกรรมการซื้อสินค้าผา่ นแอปพลเิ คชันของนักศึกษา 103

มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

ภาณพุ ล พนั ธุโคตร และ อบุ ลศิลป์ โพธิพ์ รม*

60 การศึกษาพฤติกรรมการติดเกมและการเลิกเล่นเกมของนักศึกษา มหาวิทยาลัย 105

ราชภฏั สกลนคร

วราภรณ์ แขง็ แรง และ อบุ ลศลิ ป์ โพธิ์พรม*

หนำ้

61 การพัฒนาการ์ตูนแอนิเมชัน 3 มิติ เร่ือง การผลิตฉนวนกันความร้อน จากเส้นใย 107

สับปะรด

ศภุ ชยั แซฉ่ ิน และ แพรตะวนั จารตุ ัน*

62 ระบบตอบคาถามอัตโนมตั กิ ารฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ดว้ ยไลนบ์ อท 109

ขจรศักดิ์ วงค์จนั ทะ และ แพรตะวัน จารตุ ัน*

63 ระบบตอบคาถามอัตโนมัติโครงงานคอมพิวเตอร์ ดว้ ยไลน์บอท 111

นราธปิ เสนาสี และ แพรตะวนั จารุตนั *

64 การพฒั นาการต์ นู แอนเิ มชัน 3 มติ ิ เร่อื ง การผลติ แผน่ ฉนวนกนั ความร้อน 113

จากเสน้ ใยผือ

สธุ ดิ า อนญุ าหงษ์ และ แพรตะวนั จารตุ นั *

65 การพัฒนาแอปพลิเคชันการแจง้ เตือนวันหมดอายุอาหารและเคร่ืองสาอาง 115

อดศิ ร นามเกตุ และ ชายแดน มิงเมอื ง*

66 ระบบรว้ั ไฟฟา้ พลังงานแสงอาทติ ยด์ ว้ ยไอโอที 117

ชินวฒั น์ นิตยส์ ภุ าพ และ ชายแดน มงิ เมือง*

1

การกกั เก็บคาร์บอนของตน้ ไม้ในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Carbon sequestration of trees

in Sakon Nakhon Rajabhat University

อริยะ คงสถติ ย์, กฤติยาพรรณ อินทสนั ตา, หทัยรัตน์ สงิ ห์โต, อาทิตยา คาไพ
และ ณฐั พร จริ ะวัฒนาสมกุล*

Ariya Kongsathit, Krittiyaphan Intasanta, Hatairat Singto, Arthitaya Kamphai
and Nattaporn Chirawatanasomkul*

สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร
Program of Environmental Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon
Rajabhat University
*Corresponding author: t.amonrat@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาชนิดของต้นไม้และการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ใน
มหาลัยราชภัฏสกลนคร การวิจัยได้ทาการสารวจโดยกาหนดจุดในการสารวจพรรณไม้ท้ังหมด 10 จุด
แบ่งจุดโดยการจับจุด GPS ทาการวัดความสูง และเส้นรอบวงของต้นไม้ จากน้ันนามาคานวณด้วย
โปรแกรม Carbon Tree Software สูตรแอลโรเมตรี พบว่ามีพรรณไม้ท้ังหมด 68 ชนิดในบริเวณทั้ง 10
จุดที่สารวจ และการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ทั้งหมด 3,259,811 ตัน
โดยพบว่าจุดที่ 1 มีการกักเก็บคาร์บอนมากท่ีสุดโดยปริมาณการกักเก็บคาร์บอนได้ท้ังหมด
1,171,126.06 ตัน ส่วนพ้ืนที่ที่มีการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ได้น้อยที่สุดคือ พ้ืนท่ีจุดที่ 9 มีการกักเก็บ
คาร์บอนได้ท้งั หมด 99,868.87 ตนั
คาสาคญั : ภาวะโลกรอ้ น, ก๊าซเรือนกระจก, การกกั เก็บคาร์บอนของต้นไม้

ABSTRACT: This research aims to study tree species and carbon sequestration of trees in
Sakon akhon Rajabhat University. The research conducted a survey with a total of 10
vegetation survey points, found by GPS to measure the height and the circumference of
the tree Then calculated by Carbon Tree Software alrommetry formula found that a total
of 68 plant species in 10 species surveyed and carbon sequestration of trees at Sakon
Nakhon Rajabhat University. A total of 3,259,811 tons were found at Area 1 with the
highest carbon sequestration. With a total carbon sequestration of 1,171,126.06 tons, Area
9 has a total carbon sequestration of 99,868.87 tons.
Keywords: global warming, greenhouse gas, carbon sequestration

2

การทาปุย๋ หมกั จากขยะอนิ ทรีย์ดว้ ยถงั หมักรกั ษโ์ ลกโดยนาหมกั ชีวภาพ
จากจาวปลวก และนาหมกั ชวี ภาพจากเปลอื กสับปะรด

Composting from organic waste with Green Cone by bio-
fermented water from termites and pineapple peels

กวนิ นา วงคก์ ระโซ่, ชลดา ใครอามาตย์, ชลทชิ า ชาเสน และ อมรรตั น์ แท่งทอง*
Kavinna Wongkraso, Chonlada Kraiamat, Chonthicha Chasen
and Amornrat Thangthong*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ิ่งแวดลอ้ ม คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Environmental Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon
Rajabhat University
*Corresponding author: t.amonrat@snru.ac.th

บทคัดยอ่ : การวิจยั คร้งั นมี้ วี ตั ถุประสงค์ เพอื่ ศึกษาคณุ สมบัตปิ ุย๋ หมัก จากขยะอนิ ทรยี ด์ ว้ ยถังหมักรักษ์
โลกโดยน้าหมักชีวภาพจากจาวปลวกและน้าหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด โดยอัตราส่วนขยะ
อินทรีย์จุลินทรีย์จาวปลวกน้าหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ ดังน้ี ถังที่ 1
ขยะอินทรีย์ (ชุดควบคุม) ถังที่ 2 ขยะอินทรีย์ : จุลินทรีย์จาวปลวก (1:1) ถังท่ี 3 ขยะอินทรีย์ : น้า
หมกั ชีวภาพจากเปลือกสบั ปะรด (1:1) ถังที่ 4 ขยะอนิ ทรีย์ : จลุ ินทรยี ์จาวปลวก : นา้ หมกั ชีวภาพจาก
เปลือกสับปะรด (0.5:0.5:1) ถังท้ังหมดจะหมักเก็บไว้ 50 วัน ผลการทดลองแสดงคุณสมบัติของปุ๋ย
หมัก ถังที่ 1, 2, 3 และ 4 มีค่าดังนี้ ค่าความเป็นกรด-ด่าง เท่ากับ 7.01, 6.94, 6.82 และ 7.91
อุณหภูมิเท่ากบั 28, 28, 28 และ 28 องศาเซลเซียส ปริมาณความชน้ื เท่ากบั ร้อยละ 59, 59, 59 และ
59 ค่าความนาไฟฟ้าเท่ากับ 2.719, 1.295, 1.180 และ 1.463 เดซิซีเมน/เมตร ค่าฟอสฟอรัสมาก
ทส่ี ดุ ถังท่ี 3 รองลงมาคอื ถังที่ 1, 2 และ 4 เทา่ กับรอ้ ยละ 0.87, 0.61, 0.40 และ 0.04 ตามลาดบั ค่า
โพแทสเซียมมากท่ีสุด ถังท่ี 2 รองลงมาคือถังที่ 4, 3 และ 1 เท่ากับร้อยละ 6.75, 6.51, 6.35 และ
3.53 ตามลาดับ ค่าปริมาณอินทรียวัตถุมากท่ีสุด ถังท่ี 2 รองลงมาคือ ถังที่ 4, 3, และ 1 เท่ากับร้อย
ละ 5.40, 5.00, 4.82 และ 4.79 ปริมาตรคงเหลือปุ๋ยถังที่ 2 3 และ 4 ใกล้เคียงกันและมีค่าเท่ากับ
0.0045, 0.0049, 0.0045 ลบ.ม. ตามลาดบั และมีคา่ มากกวา่ ถังท่ี 1 มีคา่ เท่ากับ 0.0058 ลบ.ม. สรปุ
ยังไม่ได้ว่าน้าหมักจาวปลวกมีผลต่อระยะเวลาการหมักหรอื ไม่ เน่ืองจากเราไม่สามารถควบคุมสภาวะ
ในการทดลอง เรื่องความชื้นจึงทาให้ไม่สามารถสังเกต อุณหภูมิช่วงที่มีการหมักสูงสุด เพราะช่วงท่ีมี
การหมักคงท่ีไดแ้ นช่ ดั
คาสาคญั : ปุ๋ยหมกั , ขยะอินทรยี ์, ถงั หมกั รักษโ์ ลก, น้าหมักชีวภาพจาวปลวก, น้าหมักชวี ภาพ, เปลอื ก
สับปะรด

3

ABSTRACT: This research aims to to study the properties of compost from organic
waste with fermentation tanks to save the world by bio-fermentation from termites
and bio-fermentation from pineapple peels By the ratio of organic waste, termite
microorganisms, bio-fermented water from pineapple peels, 4 different forms are as
follows: Bin 1 Organic waste (control unit) Bin 2 Organic waste : Termite microorganisms
(1:1) Bin 3 Organic waste : Bio-fermentation from pineapple peel (1:1) Bin 4: Organic
waste : Termite microorganism : Bio-fermentation from pineapple peel (0.5:0.5:1) All
tanks are fermented for 50 days. The results show the properties of compost. Tanks 1,
2, 3 and 4 have the following values: pH values 7.01, 6.94, 6.82 and 7.91, temperature
is 28, 28, 28 and 28 degrees Celsius, moisture content is 59, 59, 59 and 59 percent.
Conductivity is 2.719, 1.295, 1.180 and 1.463 dB/m. The phosphorus value was the
highest, tank 3, followed by tank 1, 2 and 4, equal to 0.87%, 0.61, 0.40 and 0.04,
respectively. The highest potassium value, tank 2, followed by tank 4, 3, 1, was 6.75
percent, 6.51, 6.35 and 3.53, respectively, the highest organic matter content, the
second bucket, followed by the 4th, 3rd, 1st bucket, were 5.40, 5.00, 4.82 and 4.79
percent. The remaining volume of the 2nd, 3rd and 4th bucket of fertilizer was similar
and had is equal to 0.0045, 0.0049, 0.0045 cubic meters, respectively, and is greater
than the first tank is equal to 0.0058 cubic meters. It is unclear whether termite
fermentation has any effect on the fermentation time or not. because we were unable
to control the conditions in the experiment. The humidity therefore cannot be
observed. Maximum fermentation temperature because the fermentation period is
stable.
Keywords: compost, organic waste, eco-friendly compost bin, termite bio-
fermentation, bio-fermented pineapple peel

4

ประสิทธภิ าพการบาบดั นาเสียจากร้านกาแฟดว้ ย
กระบวนการตกตะกอนทางไฟฟ้า

Efficiency of Coffee Shop Wastewater Treatment by
Electrocoagulation Process

จิตรติพร จันทะนาม วิภาดา คาดว่ น, สชุ าดา จันทร์สขุ และ ทรงพล ประโยชน์มี*
Jittiporn Jantanam, Wipada Khamduan, Suchada Jansook
and Songphol Prayotmee*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ส่ิงแวดลอ้ ม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Environmental Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon
Rajabhat University
*Corresponding author: Songphon@snru.ac.th

บทคัดย่อ: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาสภาวะท่ีเหมาะสมของการบ้าบัดน้าเสียจากร้าน
กาแฟด้วยกระบวนการตกตะกอนทางไฟฟ้าและศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการเติมสารละลายน้า
ไฟฟ้า โดยใช้อลูมิเนียมเป็นข้ัวไฟฟ้าทาการทดลองด้วยพีเอช 5, 7, 9 เวลา 10, 35 และ 60 นาที ท่ี
ความหนาแน่นกระแสไฟฟ้า 50, 100 และ 150 แอมป์แปร์ต่อตารางเมตร โดยออกแบบการทดลอง
ด้วยแบบบ๊อกซ์– เบห์นเคน ได้การทดลองท้ังหมด 15 ชุดการทดลอง หลังการทดลองพบว่า
ประสิทธภิ าพการบ้าบดั ซโี อดี สารแขวนลอยทัง้ หมด ความขุ่นและสที ส่ี ภาวะท่ีเหมาะสมทส่ี ดุ ทีร่ ้อยละ
82.96, 96.24, 98.60 และ 81.19 ตามลาดับ ท่ีพีเอช 5 เวลา 60 นาที และความหนาแน่น
กระแสไฟฟ้า 100 แอมป์แปร์ต่อตารางเมตร การทดลองศึกษาการเพ่ิมประสิทธิภาพการเติม
สารละลายนาไฟฟ้า พบวา่ หลังเติมสารละลายนาไฟฟ้า ไดแ้ ก่ โซเดยี มคลอไรด์ 2 กรมั มปี ระสิทธิภาพ
ในการบาบัดซีโอดี สารแขวนลอยท้ังหมด ความขุ่นและสีร้อยละ 80.50, 95.31, 96.54 และ 67.23
ตามลาดับ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าการเติมสารละลายน้าไฟฟ้าในอัตราส่วน 2 กรัม/ลิตร ไม่มีผลต่อ
ประสิทธภิ าพของการบาบัดน้าเสยี จากร้านกาแฟด้วยกระบวนการตกตะกอนทางไฟฟ้า
คาสาคญั : ประสิทธิภาพ, ตกตะกอนไฟฟ้า, บาบัดน้าเสยี , ร้านกาแฟ

ABSTRACT: The Purpose of this research were to determine the optimum condition
of wastewater. treatment from coffee shops by electrical flocculation process and to
study the efficiency of adding conductive solution using aluminum as electrodes the
experiments were carried out at pH 5, 7, 9 for 10, 35 and 60 min at current densities
of 50, 100 and 150 A/m2. by designing experiments with the Box-Behnken model A

5

total of 15 experiments were obtained. After the experiment, it was found that the
efficacy of COD treatment all suspensions turbidity and color at optimal conditions at
82.96%, 96.24%, 98.60% and 81.19% respectively at pH 5 for 60 min and a current
density of 100 A/m2. An experiment to study the efficiency of adding conductive
solution It was found that after adding 2 g/L of conductive solution, namely sodium
chloride, was effective in treating COD. All suspensions turbidity and color were
80.50%, 95.31%, 96.54% and 67.23%, respectively. Therefore, it was shown that the
addition of conductive solution (NaCl) 2 g/L had no effect on the efficiency of
wastewater treatment from coffee shop by electrocoagulation process.
Keywords: efficiency, electric flocculation, wastewater, treatment, coffee shop

6

ผลกระทบของฝนกรดจาลองทีม่ ีผลตอ่ อัตราการงอกของเมลด็ ข้าวเหนียว
พนั ธ์ลุ มื ผัวและขา้ วเหนยี วพันธ์ปุ อ้ งแอว้

Effect of Simulate Acid Rain on Rice Germination Rate of Leum
Phua and Pong Aew

พนิ นภา เหลาบวั , ประวิทย์ วงค์กระโซ่, สุพตั รา พนมุ รัมย์ และ ประวทิ ย์ สุวรรณรงค์*
Pinnapa Laobua, Prawit Wongkraso, Supattra Panumram
and Parwit Suwannarong*

สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Environmental Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon
Rajabhat University
*Corresponding author: prawit@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวจิ ัยคร้ังนีม้ ีวตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ ศกึ ษาหาผลกระทบของฝนกรดจาลองทม่ี ีผลต่ออตั ราการ
งอกของเมล็ดข้าวเหนียวพันธุ์ลืมผัวและขา้ วเหนยี วพันธ์ุป้องแอ้ว โดยกาหนดการจัดกระทาสังเคราะห์
ฝนกรดจาลองท่ี pH เท่ากับ 7.0, 5.5, 5.0, 4.5 และ 4.0 การจัดกระทาละ 5 ตัวอย่างทดลอง เป็น
เวลา 7 วัน และนาอัตราการงอกของข้าวเหนียวพันธุ์ลืมผัวและข้าวเหนียวพันธุ์ป้องแอ้วท่ีได้รับ
อิทธิพลจากฝนกรดจาลอง pH เท่ากับ 5.5, 5.0, 4.5 และ 4.0 มาเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้
รับอิทธิพลของฝนกรดจาลอง คือ นา้ กล่ัน pH 7.0 ดว้ ยวธิ กี ารทางสถิติ พบวา่ ข้าวเหนียวพันธุ์ลืมผัวท่ี
ได้รบั ฝนกรดจาลองมีอตั ราการงอกไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุม ดังนนั้ ฝนกรดจาลองท่ี pH 4.0-5.5 จงึ
ไม่มีผลต่ออัตราการงอกของข้าวเหนียวพันธ์ุลืมผัว อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และข้าว
เหนียวพันธ์ุป้องแอ้วที่ได้รับฝนกรดจาลองมีอัตราการงอกไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุม ดังนั้น ฝนกรด
จาลองที่ pH 4.0-5.5 จึงไม่มีผลต่ออัตราการงอกของข้าวเหนียวพันธ์ุป้องแอ้ว อย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่ีระดับ 0.01
คาสาคญั : ฝนกรดจาลอง, อัตราการงอก, ขา้ วเหนียวพันธ์ุลืมผัว, ข้าวเหนยี วพนั ธ์ปุ อ้ งแอว้

ABSTRACT: This research aim to study the effect of simulated acid rain on germination
rate of Leum Phua and Pong Aew glutinous rice varieties. The simulated acid rain
synthesis action was determined at pH of 7.0, 5.5, 5.0, 4.5 and 4.0, 5 samples each for
7 days, and the germination rate of Leum Phua glutinous rice and Pong Aew glutinous
rice were obtained. The influence of simulated acid rain pH of 5.5, 5.0, 4.5 and 4.0
were compared with the control group that was not influenced by simulated acid rain,

7

which was distilled water pH 7.0. The germination rate was not different from that of
the control group. Therefore, simulated acid rain at pH 4.0-5.5 had no effect on the
germination rate of Leum Phua glutinous rice. The germination rate was not different
from that of the control group. Therefore, the simulated acid rain at pH 4.0-5.5 had no
effect on the germination rate of the glutinous rice varieties. protect statistically
significant at 0.01.
Keywords: simulated acid rain, germination rate, Leum Phua, Pong Aew

8

การดแู ลสุขภาพตนเองของผสู้ งู อายใุ นยุควถิ ชี ีวิตใหม่ในเขต
อาเภอเมืองสกลนคร จงั หวดั สกลนคร

Elderly Self-Care in the New Normal Lifestyle In Muang District
Sakon Nakhon Province

สะบัณงา แกน่ วิโรจน์, เบญจพร จนั ทรงั ษี, ปรางอนงค์ ศรีนารัตน์, ธญั ชนก ล่าสัน, ธดิ ารตั น์
อนิ ทรข์ าว และ กาญจนา วงษส์ วสั ด์ิ*

Sabannga Kanwiroj, Benjaporn Jantarangsee, Pranganong Srinarat, Thunchanok
Lumson, Thidarat Inkhaw and Kanjana Vongsawat*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: kanjana_v@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการดูแลสุขภาพตนเองของ
ผสู้ ูงอายุในยุควถิ ชี ีวิตใหม่ ในเขตอาเภอเมืองสกลนคร จงั หวัดสกลนคร มปี ระชากรกลุ่มผู้สูงอายตุ ัง้ แต่
60 ปี ข้ึนไป จานวน 19,474 คน และขนาดกล่มุ ตัวอย่าง จานวน 400 คน ไดจ้ ากการสุ่มตัวอย่างแบบ
หลายขั้นตอน เครื่องมือท่ีใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การดูแลสุขภาพตนเองของ
ผู้สูงอายุในยุควถิ ีชีวิตใหม่ ในเขตอาเภอเมืองสกลนครจังหวดั สกลนคร ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง
( ̅=37.77, S.D.=8.04)
คาสาคญั : ผู้สงู อายุ, การดูแลตนเอง, ยุควถิ ชี วี ติ ใหม่

ABSTRACT: This research was a survey. The purposes was to study elderly Self-Care
in the New Normal Life Style in Muang District Sakon Nakhon Province, The population
was 19,474 elderly, who aged 60 years and over in 400 sample were selected by
multistage random sampling. Data were analyzed using descriptive statistics such as
percentage, mean and standard deviation. The results found that self-care for the
elderly in the new lifestyle in Mueang Sakon Nakhon District, Sakon Nakhon Province
was mostly in moderate ( ̅=37.77, S.D.=8.04).
Keywords: elderly, self-care, new normal

9

คณุ ภาพชีวิตการทางานของบุคลากรสายสนบั สนุนใน
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

The Quality of Work Life among Non-Academic Personnel in
Sakon Nakhon Rajabhat University

เจษฎา หลกั ทอง, รจนา มะโนศรี, จนั จริ า หงษ์ภู, ทรายแกว้ โคตรทองวงค์
และ กาญจนา วงษ์สวัสด์ิ*

Jaesada Lakthong, Rotjana Manosri, Janjira Hongpoo, Saikaew Kottongwong
and Kanjana Vongsawat*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: kanjana_v@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตการทางานของบุคลากรสายสนับสนุน
ในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ ประชากร คือ บุคลากรสาย
สนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 486 คน ซึ่งมีบุคลากรสายสนับสนุนตอบแบบสอบถาม
จานวน 461 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะข้อมูลโดยใช้ข้อมูลสิถิติเชิง
พรรณนาได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าสูงสุด ค่าต่าสุด ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่าระดับคุณภาพชีวิตท่ัวไปของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง (µ= 84.75, = 9.59) ระดับคุณภาพชีวิตกาทางานของบุคลากรสาย
สนบั สนุนในมหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร ส่วนใหญ่อยู่ในระดบั ปานกลาง (µ = 51.61, = 7.12)
คาสาคัญ: คณุ ภาพชวี ิตท่วั ไป, คณุ ภาพชีวติ การทางาน, บคุ ลากรสายสนบั สนนุ

ABSTRACT: This research has aims to study the quality of working life of support
personnel in Sakon Nakhon Rajabhat University This research was a survey research.
The population was 486 support personnel in Sakon Nakhon Rajabhat University.There
were 461 support personnel answering the questionnaire. The questionnaire was used
to collect data. The data were analyzed using descriptive statistics such as frequency,
percentage, maximum, minimum, mean and standard deviation. The results showed
that General Quality of Life of Support Personnel in Sakon Nakhon Rajabhat University
Most of them were at a moderate level (µ = 84.75, = 9.59) and quality of work Life of

10

Support Personnel in Sakon Nakhon Rajabhat University Most of them were at a
moderate level (µ = 51.61, = 7.12)
Keywords: general quality of life, quality of work life, support personnel

11

การประเมินกลมุ่ อาการออฟฟศิ ซนิ โดรมและวธิ กี ารจัดการอาการปวด
กลา้ มเนอื ในกลุ่มอาการออฟฟิศซนิ โดรมของบุคลากร
ในมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร

Assessment of Office Syndrome Symptoms and Muscle Pain
Management related to Office Syndrome among Personnel

in Sakon Nakhon Rajabhat University

กญั ญาณฐั สอนสูญ และ นาพร อนิ สนิ *
Kanyanut Sonsoon and Numporn Insin*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: numporn@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยเชิงสารวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอาการในกลุ่มออฟฟิศซินโดรมและสารวจ
วิธีการจัดการอาการปวดกล้ามเนื้อในกลุ่มออฟฟิศซินโดรมของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สกลนคร กลุ่มตัวอย่าง 240 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีอาการปวดกล้ามเนื้อในกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม อย่าง
น้อยหน่ึงอาการภายในช่วงสามเดือนท่ีผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 90.00 อาการปวดมีพบบ่อยท่ีสุดสาม
อันดับแรก ได้แก่ อาการปวดตึงท่ีคอ คิดเป็นร้อยละ 78.30 อาการปวดตึงที่บ่าและไหล่ คิดเป็นร้อย
ละ 71.0 อาการปวดรอบดวงตา คิดเป็นร้อยละ 70.80 สาหรับวิธีการจัดการอาการปวดกล้ามเนื้อใน
กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมที่ใช้เป็นประจามากท่ีสุดสามอันดับแรก ได้แก่ การเปลี่ยนท่าทางหรือ
อิริยาบถบ่อย ๆ คิดเป็นร้อยละ 11.50 การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ คิดเป็นร้อยละ 10.60 และการ
ปรบั ท่าทางหรือทา่ นั่งทางาน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 9.20
คาสาคญั : กล่มุ อาการออฟฟิศซนิ โดรม, การประเมนิ , วธิ กี ารจดั การอาการปวดกล้ามเนอ้ื , บคุ ลากร

ABSTRACT: The objectives of this survey research were to assess symptoms related
to office syndrome and explore the muscle pain management among the personnel
in Sakon Nakhon Rajabhat University. A questionnaire was used to collect data in 240
samples who were selected by accidental sampling. Descriptive statistics including

12

frequency, percentage, mean, and standard deviation were used to analyze the data.
The results found that most of the samples who reported muscular pain related to
office syndrome at least one symptom during the last three months were 90.00 %.
The three points of pain in common were neck stiffness (78.30 %), shoulder stiffness
(71.00 %), and eye ache (70.80 %). In all, they generally obtained various methods to
manage muscle pain symptoms including changing posture or position (11.50 %),
muscle stretching (10.60 %), and adjusting working posture or position (9.20 %).
Keywords: office syndrome symptoms, assessment, muscular pain management
methods, personnel

13

ความตระหนกั เกี่ยวกบั ผลกระทบต่อสขุ ภาพจากฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5
ไมครอน (PM 2.5) ของประชาชนนอกเขตเทศบาลนครสกลนคร
อาเภอเมือง จงั หวัดสกลนคร

Awareness on Health Impacts from Particulate Matter with
Diameter less than 2.5 micron (PM 2.5) of People Outside

the Sakon Nakhon Municipality Mueang District
Sakon Nakhon Province

วรรณภา สายมาลัย, ทกั ษณิ าพร ชยั หมื่น, พุทธรกั ษ์ ลืออ่อนดี, พิมพไิ ล แก้วไพฑูรย์
และ นาพร อินสนิ *

Wannapa Saimalai, Taksinaporn Chaimuen, Puttarak Lueondee,
Pimpilai Kaewpaitoon and Numporn Insin*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: numporn@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยเชิงสารวจน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพจาก
ฝุน่ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 และ สารวจพฤตกิ รรมท่ีก่อให้เกิดฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ใน
ครัวเรือนของประชาชนนอกเขตเทศบาลนครสกลนคร อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เก็บรวบรวม
ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจานวน 379 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 อยู่ใน
ระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 46.2 มีพฤติกรรมการกาจัดหรอื จัดการขยะด้วยการเผาในที่โลง่ คิดเป็น ร้อย
ละ 77.6 ขยะที่เผาในท่ีโล่งสว่ นใหญ่เปน็ ก่ิงไม้ ใบไม้ร้อยละ 90.1 ความถ่ีของการเผาขยะในที่โล่ง 1-3
คร้ังต่อสปั ดาห์ คดิ เปน็ ร้อยละ 98.0
คาสาคญั : ฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (ฝนุ่ PM2.5), ความตระหนัก, ผลกระทบตอ่ สุขภาพ

ABSTRACT: This survey research aimed to study the awareness of PM 2.5 on health
impacts and to survey the behavior that generated PM 2.5 of in household among
people outside Sakon Nakhon Municipality, Mueang Distrct, Sakon Nakon Province.

14

Data were collected by using a questionnaire from 379 samples who were selected by
multistage random sampling. Data were analyzed by descriptive statistics including
frequency, percentage, mean and standard deviation. The results showed that 46.2%
of the samples had high level on awareness of the health impacts of PM 2.5. 77.6% of
the samples had managed wastes in household by burning in the open air. Most of
waste which were burning were branches and leaves of 90.1%. They were burning
waste about 1-3 times per week for 98.0%
Keywords: particulate matter less than 2.5 microns (PM 2.5), awareness, health effects

15

พฤตกิ รรมการใช้ยาปฏชิ ีวนะอยา่ งสมเหตุสมผลของนกั ศกึ ษา
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

Antibiotics Rationale Drug Use Behaviors among Students in
Sakon Nakhon Rajabhat University

นภาพร ขันทอง, ปรีชานกิ า อาสา, กวนิ นาถ แสงเชือพ่อ, กมลวรรณ ฟองอ่อน,
ประกายวรรณ มว่ งมา และ นาพร อนิ สิน*

Napaporn Khanthong, Preechanika Arsa, Kawinnad Saengchuapho, Kamolwan
Fong-on, Prakaiwan Muangma and Numporn Insin*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: numporn@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยเชิงสารวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติเก่ียวกับ
การใช้ยาปฏิชวี นะอย่างสมเหตุสมผลของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่
นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีการศึกษา 2564 จานวน 331 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบบงั เอญิ
เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ
ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ และทัศนคติ
อยู่ในระดับต่า คิดเป็นร้อยละ 49.2 และคิดเป็นร้อยละ 75.8 ตามลาดับ กลุ่มตัวอย่างเคยใช้ยา
ปฏิชีวนะในอาการหวัดเจ็บคอ อาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรือแผลสด คิดเป็นร้อยละ 90.9 และ
กลุ่มตวั อยา่ งทเี่ คยใช้ยาปฏิชีวนะนี้ ส่วนใหญม่ กี ารปฏบิ ัติอยู่ในระดบั สงู คดิ เปน็ ร้อยละ 55.1
คาสาคัญ: พฤติกรรม, ยาปฏิชีวนะ, การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล, นักศึกษา

ABSTRACT: The purposes of this survey research were to explore the knowledge,
attitudes and practice regarding antibiotics rationale drug use behaviors among
students in Sakon Nakhon Rajabhat University. The samples were 331 students who
were sampling by using accidental sampling method. Data were collected by using an
online questionnaire and were analyzed by descriptive statistics including frequency,
percentage, mean and standard deviation. The results showed that most of the
samples had knowledge and attitude at low level (49.2% and 75.8% respectively). The
results revealed that the sample who had used antibiotics for cold with sore throat,

16

acute diarrhea or wound were 90.9% In all samples who had used antibiotics, 55.1%
of them had high level of practices of using antibiotics.
Keywords: behavior, antibiotics, rational drug use, students

17

การรับรู้เกีย่ วกับโรคชิคนุ กุนยาและพฤตกิ รรมการปอ้ งกันของประชาชน
ตาบลดงมะไฟ อาเภอเมอื ง จังหวดั สกลนคร

Perceived Chikungunya Disease and Preventive Behavior of
People in Dong Ma Fai Subdistrict, Mueang District,
Sakon Nakhon Province

เจตนิพัทธ์ เหลาแตว, นุสจิรา คาทะเนตร, อรรถชยั ผากงคา, ณฐั วตั ร จนั ทอง,
ภัสรา พ่ออามาตย,์ อนิ ทราณี ดาศรี และ ภูวสิทธิ์ ภูลวรรณ*

Jetnipat Laotaew, Nutjira Khumtanet, Attachai Phakongkham, Natthawat
Janthong, Phatsara Phoarmat, Intaranee Dasri and Phoowasit Phoolawan*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: phoowasit@snru.ac.th

บทคัดย่อ: 1การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้เก่ียวกับโรคชิคุน
กุนยาและพฤติกรรมการป้องกันของประชาชน ตาบลดงมะไฟ อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร กลุ่ม
ตัวอย่างคือ ประชาชน ตาบลดงมะไฟ อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จานวน 386 คน สุ่มตัวอย่างโดย
วิธกี ารสุม่ ตวั อย่างแบบหลายข้นั ตอนเก็บตวั อยา่ งโดยใช้แบบสอบถาม ระหว่างเดอื นสิงหาคม-กนั ยายน
พ.ศ. 2564 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ผลการวิจัยพบวา่ ประชาชนมีระดับการรับรู้เกี่ยวกับโรคชิคุนกุนยาตามแบบแผนความเชอื่
ด้านสุขภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้เกี่ยวกับโรคชิคุนกุนยาโดยรวม อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อย
ละ 70.80 และพฤติกรรมการปอ้ งกนั โรคชคิ นุ กนุ ยาโดยรวม คิดเปน็ ร้อยละ 51.3
คาสาคญั : การรบั ร้เู กย่ี วกบั โรค, พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั โรค, ประชาชน, ชคิ ุนกนุ ยา

ABSTRACT: 1This research was a survey research. The objectives of this study were to
study the perception of chikungunya disease and preventive behaviors of people in
Dong Mafai sub-district, Muang district, Sakon Nakhon province. The samples were 400
people in Dong Mafai sub-district, Mueang district, Sakon Nakhon province. The
samples were randomly sampled by the multi-stage sampling method during August-
September 2021. The data were analyzed using descriptive statistics using percentage,

18

mean and standard deviation. The results showed that people had a level of
perception about chikungunya according to health belief patterns. It was found that
the sample group had overall perception of chikungunya high level accounted for
70.80 percent and overall chikungunya disease prevention behavior found that the
practice level of the people in the sample group in Dong Mafai sub-district, Mueang
district, Sakon Nakhon province. It was found that the behavior was at a high level.51.3
percent
Keywords: awareness of the disease, disease prevention behavior, population,
chikungunya

19

ปจั จยั ทมี่ ีความสมั พนั ธต์ อ่ การปฏิบตั งิ านปอ้ งกนั โรคตดิ เชือไวรสั โคโรนา 2019
(COVID-19) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหม่บู า้ น
เขตอาเภอเมือง จังหวดั สกลนคร

Factors Related to the Coronavirus 2019 (COVID-19) Prevention
Practice of Village Health Volunteers in Mueang District Sakon

Nakhon Province.

พัชราภรณ์ อินทร์พร, รัชดาภรณ์ อ่อนจงไกร, ปยิ เกษ อุปโคตร, จริ าภรณ์ จนั ทะวชิ ัย,
ศิรนิ ภา นอ้ ยนาง และ ภวู สิทธิ์ ภูลวรรณ*

Patcharapron Inpron, Rachadaporn Onjongkrai, Piyaket Aupakote,
Jiraporn Jantavichai, Sirinapa Noinang and Phoowasit Phoolawan*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: phoowasit@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวจิ ัยเชิงภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการปฏิบัติงานป้องกนั
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) และปจั จยั ทีม่ คี วามสัมพนั ธ์ต่อการปฏิบตั ิงานปอ้ งกนั โรคติด
เช้ือไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน อาเภอเมือง จังหวัด
สกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) จานวน 341 คน โดยวิธีการ
สุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา
วเิ คราะหโ์ ดยการแจกแจงร้อยละ มัธยฐาน คา่ พิสัยระหว่างควอไทล์ และสถิตเิ ชิงอนุมาน วเิ คราะห์โดย
ค่าไค-สแควร์ (Chi-Square Test: X2 test) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน (Spearman
rank correlation coefficient หรือ Spearman’s rho) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี
การปฏิบัติงานป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ในระดับมาก ร้อยละ 76.2
ผลการวิจัยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.)
เขตอาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ได้แก่ อาชีพ อายุ ประสบการณ์การทางาน อสม. รายได้เฉลี่ยต่อ
เดือน เพยี งพอของอปุ กรณ์หรอื เคร่ืองมือ แรงคา้ จนุ
แรงจงู ใจ
คาสาคัญ: : ปจั จยั ต่อการปฏิบัตงิ าน, อาสาสมัครสาธารณสขุ ประจาหมูบ่ ้าน, โรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019

20

ABSTRACT: This research was cross-sectional research. The objectives of this study
were to study the prevention of coronavirus disease 2019 (COVID-19) and factors
related to the prevention of coronavirus disease 2019 of villages health volunteers in
Mueang district Sakon Nakhon province. The sample were 341 village health volunteers
and select by multistage sampling method. Data were collect using by questionnaires.
Data were analyzed by using descriptive statistics frequency distribution, percentage,
median, interquartile Range and inferential statistics analyzed Chi-Square Test: X2 test
and Spearman rank correlation coefficient. The results revealed that samples had high
of the respondents working on the prevention of coronavirus disease 2019 (COVID-19)
level were 76.2%. The factors related to the performance of village health volunteers,
were occupation, age, work experience Average monthly income, enough equipment
or tools to sustain.
Keywords: factors related practice, village health volunteers, coronavirus 2019

21

การรับรู้และการปฏบิ ตั ติ นในการป้องกันโรค COVID-19 ของอาสาสมคั ร
สาธารณสุขประจาหมบู่ ้านในเขตอาเภอเมอื ง จังหวดั สกลนคร

Perceived and Behavior Prevention of COVID-19 Disease among
Village Health Volunteers in Mueang District
Sakon Nakhon Province

พีระพล อุประ, แก้วมกุ ดา อุคา, วรรณภา หอมจันทร์, ชไมพร พิมพ์มลี าย, นพศิลป์ ชินบูรณ์,
นริศรา ยางสดุ และ จรินทรท์ พิ ย์ ชมชายผล*

Peerapon Upara, Kaewmukda U-kham, Wannapha Homjan, Chamaiporn
Phimmeelai, Noppasin Chinnaboon, Narissara Yangsud
and Jarinthip Chomchaipon*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: ketwadee_chom@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยเชิงสารวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้ในการป้องกันโรค
COVID-19 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติตนในการป้องกันโรค COVID-19 ของอาสาสมัครสาธารณสุข
ประจาหมู่บ้านกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคร้ังนี้ คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ในเขต
อาเภอเมือง จงั หวัดสกลนคร จานวน 348 คน ได้จากการเลือกกลุ่มตัวอยา่ งแบบการสุ่มหลายขั้นตอน
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจก
แจงความถี่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครสาธารณสุข
ประจาหมู่บ้าน ในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร มีการรับรู้เกี่ยวกับการปอ้ งกันโรค COVID-19 อยู่
ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 90.80 ( ̅ = 4.07, S.D. = 0.32) และมีระดับการปฏิบัติตนในการ
ป้องกนั โรค COVID-19 อยูใ่ นระดบั มาก คดิ เปน็ ร้อยละ 88.53 ( ̅ = 2.48, S.D. = 0.32)
คาสาคัญ: การรับรู้, การปฏิบตั ติ น, โรคCOVID -19, อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหม่บู า้ น

ABSTRACT: This survey research were aimed to study 1) perceived prevention of
COVID-19 disease 2) study behavior of prevention COVID-19 disease among village
health volunteers in Mueang district Sakon Nakhon province. The samples were 348
village health volunteers in Mueang district Sakon Nakhon province. The samples were

22

selected by multi-stage random sampling. Data were collected by questionnaire and
analyze by using descriptive statistics including frequency, standard deviation, average,
percentage. The results found that perceived about prevention COVID-19 disease was
at high level 90.80%. ( ̅ = 4.07, S.D. = 0.32), and behavior prevention COVID-19 disease
was at high level 88.53%. ( ̅ = 2.48, S.D. = 0.32).
Keywords: perceived, behavior, COVID-19 disease, village health volunteers

23

ความรู้ การปฏบิ ตั แิ ละความตระหนกั ในการปอ้ งกันโรคโควิด-19 (COVID-19)
ของบุคลากรปฏิบัติงานในมหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

Knowledge, Practice and Awareness of Self-care Prevention
from Coronavirus 2019 (COVID-19) of Personnel Working in

Sakon Nakhon Rajabhat University

วรญั ญา ทิพยค์ ามี, สธุ าดา เคนสีลา, แก้วนภา คาวงคษ์ า, นทั ริตา บุญมาก, เอกราช นารจี นั ทร์
และ จรินทรท์ พิ ย์ ชมชายผล*

Warunya Tipkhammee, Suthada Khenseela, Kaewnapa Khamwongsa, Nuttarita
Boonmark, Ekkarach Nareejan and Jarinthip Chomchaipon*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: ketwadee_chom@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา ความรู้ การปฏิบัติและความ
ตระหนักในการป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19) ของบุคลากรปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จานวน 212 คน เก็บ
ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ โดยใช้การแจกแจงความถ่ี ค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ค่าเฉล่ีย ค่าต่าสุด ค่าสูงสุด และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ในการป้องกันโรคโค
วิด-19 (COVID-19) ของบุคลากรปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครอยู่ในระดับสูง คิดเป็น
ร้อยละ 87.3 การปฏิบัติในการป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19) ของบุคลากรปฏิบัติงานใน
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครอยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 50.0 และความตระหนักในการป้องกัน
โรคโควิด-19 (COVID-19) ของบุคลากรปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครอยู่ในระดับสูง คิด
เปน็ ร้อยละ 99.1
คาสาคญั : ความรู้, การปฏบิ ตั ิ, ความตระหนกั , โรคโควิด-19, การป้องกนั , บุคลากรปฏิบตั งิ าน

ABSTRACT: This research was a servey research. The objectives of this research were
to study the knowledge, practice and awareness of self-care prevention from
Coronavirus 2019 (COVID-19) of personnel working in Sakon Nakhon Rajabhat
University, The sample were 212 members of the personnel working in Sakon Nakhon

24

Rajabhat university. Collected data by used questionnaire and analyze data by statistics
using frequency distribution, standard deviation, mean, minimum, maximum, and
percent. Research had found that knowledge of self-care prevention from Coronavirus
2019 (COVID-19) of personnel working in Sakon Nakhon Rajabhat university at high
level, accounted for 87.3%. The practice of self-care prevention from Coronavirus 2019
(COVID-19) of personnel working in Sakon Nakhon Rajabhat university at high level,
accounted for 50.0%. And the awareness of self-care prevention from Coronavirus 2019
(COVID-19) of personnel working in Sakon Nakhon Rajabhat university at high level,
accounted for 99.1%.
Keywords: knowledge, practice, awareness, COVID-19, prevention, personnel working

25

การรับรคู้ วามเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรคตดิ เชือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19)
และการปฏิบตั ติ นตามวิถีชีวติ ใหม่ (New normal) เพอื่ ปอ้ งกนั โรคติดเชือ
ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

Perceptions of Coronavirus 2019 (COVID-19) Risk and New
Normal Lifestyle Practices to Prevent Coronavirus 2019 (COVID-

19) among Sakon Nakhon Rajabhat University Students

อภญิ ญารตั น์ นวิ งษา, รจนา ดอบตุ ร, พรประภา ทองยอด, อาลิตา นารนี ชุ , วรณุ ยุภา กงลมี า
และ ศศวิ รรณ ทัศนเอยี่ ม*

Apinyarat Niwongsa, Rodjana Dobut, Pohnprapa Tongyod, Arlita Nareenuch,
Warunyupa Kongleema and Sasiwan Tassana-iem*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: sasiwan@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการรับรู้ความเส่ียงต่อการ
เกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และศึกษาการปฏิบัติตนตามวิถีชีวิตใหม่ เพื่อป้องกัน
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มตัวอย่าง
คือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
จานวน 381 คน ใช้วิธีสมุ่ แบบหลายข้ันตอน เกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ระหว่าง
เดอื นสงิ หาคม – กนั ยายน พ.ศ. 2564 วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชส้ ถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลย่ี
ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ค่าสงู สดุ และคา่ ต่าสดุ ผลวจิ ยั พบวา่ นักศึกษามหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนครมี
การรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการปฏิบัติตนตามวิถี
ชีวิตใหม่ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 79.3 ( ̅ = 86.7, S.D. =
10.1) และ รอ้ ยละ 85.0 ( ̅ = 80.7, S.D. = 8.4) ตามลาดบั
คาสาคญั : โรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019, วิถีชีวติ ใหม่, การรับรู้ความเส่ยี ง, นกั ศึกษา, การปฏบิ ัติตน

ABSTRACT: This survey research aimed to study the perception of Coronavirus disease
2019 (COVID–19) risk and new normal lifestyle practices to prevent Coronavirus 2019
(COVID-19) among Sakon Nakhon Rajabhat University students. The sample were Sakon

26

Nakhon Rajabhat University students who enrolled in the first semester of the
academic year 2021. A multistage random sampling was used to recruit the sample of
381 students. Data collection using online questionnaires that was carried out during
august to september 2021. The data was analyzed by using descriptive statistics such
as frequency, percentage, mean, standard deviation maximum and minimum. The
results found that the Sakon Nakhon Rajabhat University students had perceptions of
Coronavirus 2019 (COVID-19) risk and new normal lifestyle practices to prevent
Coronavirus 2019 (COVID-19) was a high level at 79.3% ( ̅ = 86.7, S.D. = 10.1) and
85.0% ( ̅ = 80.7, S.D. = 8.4), respectively.
Keywords: coronavirus disease 2019, new normal, perception risk, students, practices

27

ความสขุ สมบูรณข์ องนักศกึ ษามหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร อาเภอเมือง
จงั หวัดสกลนคร

The Wellness among Sakon Nakhon Rajabhat University
Students, Muang District, Sakon Nakhon Province

ชไมพร ประสาทเขตการ, ปทมุ พร อ่อนดี, พลอยนภา แสนขวา, ปราวีณา ฮาดดา,
พาขวญั อคั เสรญิ , พรชตุ า อสุ าพรหม และ ศศวิ รรณ ทัศนเอย่ี ม*

Chamaiporn Prasatkhetkan, Pathumporn Oondee, Ploynapa Sankwa, Praweena
Hadda, Pakaun Akasern, Pornchuta Usaporm and Sasiwan Tassana-iem*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: sasiwan@snru.ac.th

บทคัดย่อ: การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความสุขสมบูรณ์ของ
นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราช
ภัฏสกลนคร ท่ีลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 จานวน 381 คน สุ่มตัวอย่างแบบ
หลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน พ.ศ.
2564 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีระดับความสุขสมบูรณ์
โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 57.2 เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ความสุขสมบูรณ์ด้านจิต
วิญญาณ ด้านจิตใจอารมณ์ ด้านสติปัญญาการเรียน และด้านสังคม อยู่ในระดับความสุขสมบูรณ์มาก
ร้อยละ 79.5 68.0 67.7 และ 64.8 ตามลาดับ ด้านร่างกาย และด้านเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง
รอ้ ยละ 71.9 และ รอ้ ยละ 54.9 ตามลาดับ
คาสาคญั : นกั ศึกษา, ความสขุ สมบูรณ์

ABSTRACT: This survey research aimed to study the wellness among Sakon Nakhon
Rajabhat University students. The sample were Sakon Nakhon Rajabhat University
students who enrolled in the first semester of the academic year 2021. A multistage
random sampling was used to recruit the sample of 381 students. Data collection using
online questionnaires that was carried out during august to september 2021. The data
were analyzed using descriptive statistics. The results found that the students' overall
level of wellness was a high level at 57.2%. The spiritual, emotional, intelligence

28

learning and social aspects were high level at 79.5%, 68.0%, 67.7% and 64.8%
respectively. The happiness of the body and the economy was a moderate level at
71.9% and 54.9%, respectively.
Keywords: Students, Wellness

29

กจิ กรรมทางกายและสมรรถภาพทางกายของผสู้ ูงอายใุ นเขตเทศบาล
ตาบลท่าแร่ อาเภอเมอื งสกลนคร จังหวัดสกลนคร

Physical Activity and Physical Fitness Among Elderly in Tharae
Subdistrict, Mueang District, Sakon Nakhon Province

นัฐธิฌา อนิ ทรก์ อง, อภสิ ิทธิ์ เมอื งฮาม, ทิพย์วรรณ ทองอันตัง, นรินทร์ธรณ์ มูลสิต,ิ
สิรนิ ทรา ศรี ลาหลดั และ ณีรนชุ วรไธสง*

Natthicha Inkong, Aphisit Mueangham, Thippawan Thongantang,
Narinthon Moolsiti, Sirintra Sreelalad and Neeranute Wontaisong*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: wontaisong@gmail.com

บทคัดยอ่ : การวจิ ยั เชงิ สารวจภาคตัดขวาง มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื ศกึ ษากิจกรรมทางกายและสมรรถภาพ
ทางกายของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตาบลท่าแร่ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุจานวน 332 คน เก็บ
รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์และแบบทดสอบ ด้วย Time Up and Go Test , Five Times Sit
to Stand Test (FTSST) การวัดแรงบีบมือและความอ่อนตัว สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ
ความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี คา่ มธั ยฐาน และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ัยพบวา่ ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุ
เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.90 อายุเฉล่ีย 66 ปี มีกิจกรรมทางกายระดับไม่เพียงพอ ร้อยละ 82.50 การ
ทดสอบสมรรถภาพทางกาย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการเดินการทรงตัวระดับปานกลาง ร้อยละ 93.10
ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือขา อยู่ในระดับต่า ร้อยละ 78.00 ส่วนความอ่อนตัวพบว่าอยู่ในระดับต่า
รอ้ ยละ 69.30 การทดสอบแรงบีบมือ อย่ใู นระดับดี ร้อยละ 86.20
คาสาคัญ: ผสู้ งู อายุ, กิจกรรมทางกาย, สมรรถภาพทางกาย

ABSTRACT: The objectives of a cross-sectional survey research were to evaluate
physical activity and physical fitness among the elderly in Tharae Subdistrict, Mueang
District, Sakon Nakhon Province.The sample size was 332 elderly persons. Data were
collected by a questionnaire and a test of Time Up and Go Test, the Five Time Sit to
Stand Test, hand grip, and flexibility test. Statistics used were frequency, percentage,
means, median, and standard deviations. The results showed that most elderly were

30

female (69.60%), had average age 66.0 years old. The elderly had insufficiency activity
level of 78.60%. Physical fitness test found that the sample had gait and balance at
moderate level (93.10%), lower extremity strength and flexibility at low level (78.0%
and 69.30% respectively). the muscle of hand test had good level at 86.20%
Keywords: elderly, physical activity, physical fitness

31

ภาวะโภชนาการและพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารของผู้สูงอายใุ นเขตพนื ที่
รบั ผิดชอบโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพบา้ นนาขาม ตาบลห้วยยาง
อาเภอเมอื ง จงั หวัดสกลนคร

Nutritional Status and Food Consumption Behaviors among
Elderly in Area of Responsibility of Banakam Health Promotion

Hospital, Huay Yang Subdistrict, Mueang District,
Sakon Nakhon Province.

ลักขณา บญุ รอด, เพญ็ นภา สุวรรณศรี, จริ าพร สีม่วง, นศิ ารัตน์ นาสงค์,
อรญิ า พรมโคตร และ ณรี นุช วรไธสง*

Lakhana Boonrod, Phennapha Suwannasri, Jiraporn Seemuang, Nisarat Namsong,
Ariya Phromkot and Neeranute Wontaisong*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: wontaisong@gmail.com

บทคัดย่อ: วัตถุประสงค์งานวิจยั น้ี คือ เพ่ือประเมินภาวะโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
ของผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านนาขาม ตาบลห้วยยาง
อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร คานวณกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุได้ 270 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิง
พรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย
พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 44.4 เส้นรอบเอวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อย
ละ 65.9 ค่าไขมันใต้ผิวหนังอยู่ในเกณฑ์อ้วน ร้อยละ 48.9 ความรู้เก่ียวกับการบริโภคอาหาร อยู่ใน
ระดับปานกลาง ร้อยละ 57.8 และการปฏบิ ตั ิตนเก่ียวกับการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลาง รอ้ ย
ละ 96.7
คาสาคญั : ผ้สู งู อายุ, ภาวะโภชนาการ, พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร

ABSTRACT: The aim of this study was to assess the nutritional status and food
consumtrum behaviors among elderly in area of responsibity of banakam health
promotion hospital, huay yang subdistrict, mueang district, sakon nakhon province. The
sample size calculation required 270 elderly persons. Data were abalyzed by

32

descriptive statistic, such as frequency, percentage, mean, median and standard
deviation. The results foud that the sample had body mass index in the healthy weight
range of 44.4%, waist cricumference in normal level of 65.9%, body fat percentage at
the obese level of 48.9%, the Knowledge about food consumption and dietary
behaviors in moderate level (57.8% and 96.7% respectively).
Keywords: the elderly, nutritional status, food consumption behavior

33

จติ อาสาของนักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยในจงั หวดั สกลนคร
Volunteer Spirit of Public Health Students, Universities in
Sakon Nakhon Province

นวพล สขุ พันธ์, สวุ นนั ท์ สุพิมล, ณฐั กานต์ บ่องเขาย้อย, นนทญิ า เพยี รภูเขา, เขตษช์ ัย โยธาไพร
และ วบิ ลู ยส์ ุข ตาลกุล*

Nawapon Sukapan, Suwanan Suphimon, Nattakan Bongkhaoyoy, Nonthiya
Phianphukhao, Khetchai Yotaprai and Wiboonsuk Talkul*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: daidai.talkul@gmail.com

บทคัดย่อ: การวิจัยในครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงสารวจมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจิตอาสาของนักศึกษา
สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยในจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยในจังหวัดสกลนคร จานวน 274 คน และสุ่มตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน เก็บรวบรวม
ขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถาม สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู คือ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีจิตอาสาโดยรวมอยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ
56.21 เมื่อพจิ ารณารายดา้ นพบวา่ ด้านการช่วยเหลอื ด้านการเสยี สละ และดา้ นความม่งุ ม่ันพฒั นา จิต
อาสาอยู่ในระดับสูง คิดเปน็ ร้อยละ 51.82 47.45 และ 49.64 ตามลาดบั
คาสาคญั : จิตอาสา, นกั ศกึ ษาสาธารณสุขศาสตร์

ABSTRACT: This research was a survey research. The objective of the study was to
volunteer spirit of student. A Sample groups were 274 public health students in Sakon
Nakhon province by used multi-stage random sampling, data collection used
questionnaire The statistics used in data analysis included frequency, percentage,
mean and standard deviation. The results showed that the sample group had a high
level of volunteer spirit. accounted for 56.21%. When considering each side, helping,
self-sacrifice and development determination were high level at 51.82 47.45 % and
49.64 % respectively.
Keywords: volunteer spirit, public health students

34

สขุ ภาพจติ และการเห็นคณุ คา่ ในตนเองของนกั ศึกษา
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

Mental Health and Self-Esteem of Students in
Sakon Nakhon Rajabhat University

ณัฐนิชา แซเ่ ฮง, เยาวลกั ษณ เสนาศรี, อรนภา ปรโิ ป, ศวิ าพร คมึ ยะราช, อารียา เพ็ชรธรรมรงค์
และ วิบลู ย์สขุ ตาลกุล*

Natnicha Saeheng, Yaowarak Senasri, Ornnapa Poripo, Siwaporn Kuemyarat,
Areeya Petthammarong and Wiboonsuk Talkul*

สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
Program of Health Science, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat
University
*Corresponding author: daidai.talkul@gmail.com

บทคัดย่อ: การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสุขภาพจิตและการเห็น
คณุ ค่าในตนเองของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุม่ ตวั อย่าง คอื นักศึกษา ภาคปกติ ชั้นปี
ที่ 1-4 ปีการศึกษา 2564 มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จานวน 367 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลาย
ข้ันตอน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ
ค่าความถ่ี ค่าต่าสุด ค่าสูงสุด ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่ม
ตัวอย่างมีสุขภาพจติ โดยรวมอยู่ในระดับสุขภาพจิตดีกวา่ คนท่ัวไป คิดเป็นร้อยละ 46.86 และการเหน็
คุณคา่ ในตนเองโดยรวมอยูใ่ นระดบั ปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 82.57
คาสาคญั : สุขภาพจิต, การเห็นคุณคา่ ในตนเอง, นกั ศึกษา

ABSTRACT: This research is a survey research. The objects were to study mental health
and self-esteem of students in Sakon Nakhon Rajabhat University. Data was collected
from 367 students by used multi-stage random sampling. Data collection used
questionnaire. The statistics used in data analysis included frequency, minimum,
maximum, percentage, mean and standard deviation. The results found that overall
mental health of sample was good at 46.86% and self-esteem was moderate level at
82.57%
Keywords: mental health, self-esteem, students

35

ฤทธิ์ยบั ยงั ของสารสกดั ใบพลู เหงา้ ไพล ใบเทยี นบ้าน และเหง้าเออื งหมายนา
ต่อแบคทเี รียกอ่ โรคตดิ เชอื ผวิ หนงั บางชนดิ

Inhibitory Activity of Piper betle Linn. Leaf,
Zingiber cassumunar Roxb. Rhizome, Impatiens balsamina Linn.

Leaf and Costus speciosus Smith. Rhizome Extract
on Some Skin and Soft Tissue Pathogenic Bacteria

กนกวรรณ แสงสวสั ด์ิ, สุจติ รา ชัยยา, สุวภา สาวภิ าค และ อรณุ วงศจ์ ิรฐั ติ ิ*
Kanokwan Saengsawat, Suchitar Chaiya, Suwapha Sawiphak
and Aroon Wongjiratthiti*

สาขาวชิ าชีววิทยา คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร
Program of Biology, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat University
*Corresponding author: mic_610@hotmail.com สาขาวิชา

บทคัดย่อ: สมุนไพรเป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่มีการนามาใช้ในการรักษาบาดแผล งานวิจัยครั้งน้ีจึง
ทาการศึกษาฤทธ์ิยับยั้งของสารสกัดใบพลู เหง้าไพล ใบเทียนบ้าน และเหง้าเอ้ืองหมายนา ต่อ
แบคทีเรียก่อโรคติดเช้ือผิวหนัง 4 ชนิดประกอบด้วย Bacillus cereus, Escherichia coli,
Staphylococcus aureus และ Staphylococcus epidermidis ด้วยวิธี Agar well diffusion
ผลการวิจัยพบว่าสารสกัดใบพลูท่ีใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายเป็นสารสกัดท่ีดีที่สุดสามารถ
ยับย้ังเช้ือแบคทีเรียทดสอบทุกชนิดทั้ง B. cereus, E. coli, S. aureus และ S. epidermidis ด้วย
ขนาดวงใสเท่ากับ 18.63 ± 1.62, 15.26 ± 1.90, 12.46 ± 1.15 และ 15.57 ± 0.88 mmตามลาดับ
สารสกัดเหง้าเอื้องหมายนาท่ีใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ B.
cereus, S. aureus และ S. epidermidis โดยเกิดขนาดวงใสเท่ากับ 10.73 ± 0.76, 12.96 ±
1.70 และ 16.10 ± 1.91 mm ตามลาดับ สารสกัดใบเทียนบ้านที่ใช้น้ากลั่นเป็นตัวทาละลายมีฤทธิ์
ยับยั้งการเจริญ B. cereus และ S. epidermidis โดยเกิดขนาดวงใสเท่ากับ 11.70 ± 0.87 และ
12.42 ± 1.90 mm ตามลาดับ สารสกัดใบพลูท่ีใช้น้ากลั่นเป็นตัวทาละลายและสารสกัดใบ
เทียนบ้านที่ใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเชื้อ B. cereus โดยเกิด
ขนาดวงใสเท่ากับ 8.93 ± 1.64 และ 15.86 ± 1.68 mm ตามลาดับ สารสกัดเหง้าเอื้องหมายนา
ทใ่ี ชน้ า้ กล่ันเปน็ ตวั ทาละลายมฤี ทธ์ิยับยั้งการเจรญิ เช้ือ S. aureus โดยเกดิ ขนาดวงใสเทา่ กับ 17.93 ±
0.76 mm
คาสาคญั : -

36

ABSTRACT: Herbs are natural products that have been used to treat wounds. Inhibitory
activity of Piper betle Linn. leaf, Zingiber cassumunar Roxb. rhizome, Impatiens
balsamina Linn. leaf and Costus speciosus Smith. rhizome extract against 4 types of
skin and soft tissue pathogenic bacteria including Bacillus cereus, Escherichia coli,
Staphylococcus aureus and Staphylococcus epidermidis by agar well diffusion
method was investigated. The results showed that Piper betle Linn. leaf extract using
95% ethanol as the solvent was the best extract. It could inhibit all test bacteria
including B. cereus, E. coli, S. aureus and S. epidermidis with clear zone of 18.63 ±
1.62, 15.26 ± 1.90, 12.46 ± 1.15 and 15.57 ± 0.88 mm, respectively. The Costus speciosus
Smith. rhizome extract using 95% ethanol as a solvent had an inhibitory effect on the
growth of B. cereus, S. aureus and S. epidermidis with clear zone of 1 0 . 7 3 ± 0 . 7 6 ,
12.96 ± 1.70 and 16.10 ± 1.91 mm, respectively. The Impatiens balsamina Linn.
leaf extract using distilled water as a solvent had an inhibitory activity on the growth
of B. cereus and S. epidermidis with clear zone of 11.70 ± 0.87 and 12.42 ± 1.90 mm,
respectively. The Piper betle Linn. leaf extract using distilled water as the solvent and
the Impatiens balsamina Linn. leaf extract using 95% ethanol as a solvent had an
inhibitory activity on the growth of B. cereus with clear zone of 8.93 ± 1.64 a 15.86 ±
1.68 mm, respectively. The Costus speciosus Smith. rhizome extract using distilled
water as a solvent had an inhibitory activity on the growth of S. aureus with clear zone
of 17.93 ± 0.76 mm.
Keywords: -

37

ฤทธย์ิ ับยังของสารสกัดสมนุ ไพรจากเหงา้ กระชาย ใบว่านหอยแครง
ใบว่านงาช้าง ใบเตยหอม และดอกกานพลู ตอ่ แบคทเี รยี ก่อโรค
ติดเชอื ผิวหนังบางชนดิ

Inhibitory Activity of Medicinal Plant Extracts of Boesenbergia
rotunda (L.) Mansf Rhizome, Tradescantia spathacea Sw Leaf,

Sansevieria cylindrica Bojer Leaf, Pandanus amaryllifolius
Roxb Leaf and Syzygium aromaticum (L.) Merr. & L.M.Perry
Flower Bud on Some Skin and Soft Tissue Pathogenic Bacteria

ทศั นยี ์ พรสวุ รรณ, สุวภา สาวภิ าค และ อรุณ วงศจ์ ริ ฐั ติ ิ*
Tussanee Pornsuwan, Suwapha Sawiphak and Aroon Wongjiratthiti*

สาขาวชิ าชีววิทยา คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Program of Biology, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat University
*Corresponding author: mic_610@hotmail.com

บทคัดย่อ: สกัดพืชสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ เหง้ากระชาย ใบว่านหอยแครง ใบว่านงาช้าง ใบเตยหอม และ
ดอกกานพลู โดยใช้น้ากลั่นและ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลาย แล้วทาการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งของ
สารสกัดเหล่าน้ีต่อแบคทีเรียก่อโรคติดเช้ือผิวหนัง ได้แก่ Bacillus cereus, Staphylococcus aureus,
Staphylococcus epidermidis และ Escherichia coli ด้วยวิธี Ager well diffusion ผลการวิจัยพบว่า
สารสกัดใบว่านหอยแครงโดยใช้น้ากลั่นเป็นตัวทาละลายเป็นสารสกัดท่ีดีท่ีสุด มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ
แบคทีเรียทดสอบท้ังหมดคือ B. cereus, S. aureus, S. epidermidis และ E. coli โดยมีขนาดวงใสเท่ากับ
12.21 ± 0.93, 7 97 ± 1.46, 8.29 ± 1.03 และ 9.57 ± 0.57 mm ตามลาดับ สารสกัดดอกกานพลูโดยใช้
น้ากลั่นเป็นตัวทาละลายยับย้ังแบคทีเรียแกรมบวกทั้งหมดคือ B. cereus, S. aureus และ S. epidermidis
โดยมีขนาดวงใสเท่ากับ 9.86 ± 0.88, 10.86 ± 2.04 และ 9.87 ± 2.24 mm ตามลาดับ สารสกัด
ดอกกานพลูโดยใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายยับย้ัง B. cereus, S. epidermidis และ E. coli
โดยขนาดวงใสเทา่ กบั 13.25 ± 3.96, 8.05± 0.72 และ 9.19± 1.28 mm ตามลาดับ สารสกดั เหงา้ กระชาย
โดยใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายยับยั้ง B. cereus และ S. epidermidis โดยขนาดวงใสเท่ากับ
12.89± 0.93 และ 13.00± 1.17 mm ตามลาดับ สารสกัดใบเตยหอมโดยใช้ 95% Ethanol เป็น
ตัวทาละลายยบั ยงั้ B. cereus และ S. epidermidis โดยมขี นาดวงใสเท่ากบั 9.38 ± 0.36 และ 7.07 ± 0.72
mm ตามลาดับ สารสกัดใบว่านหอยแครงโดยใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายยับยั้ง S. epidermidis
โดยมขี นาดวงใสเทา่ กับ 8.21 ± 1.73 mm

38

คาสาคัญ: -

ABSTRACT: Five medicinal plants including Boesenbergia rotunda ( L. ) Mansf
rhizome, Tradescantia spathacea Sw leaf, Sansevieria cylindrica Bojer leaf,
Pandanus amaryllifolius Roxb leaf and Syzygium aromaticum (L.) Merr. & L.M. Perry
flower bud were extracted using distilled water and 95% ethanol as the solvent.
Inhibitory activity of these extracts on some skin and soft tissue pathogenic bacteria
was investigated. The test bacteria including Bacillus cereus, Staphylococcus
aureus, Staphylococcus epidermidis and Escherichia coli were tested by agar well
diffusion method. The results showed that Tradescantia spathacea Sw leaf extract
using distilled water as the solvent was the best extract. It had an inhibitory activity
on the growth of all test bacteria including B. cereus, S. aureus, S. epidermidis
and E. coli with clear zone of 12. 21 ± 0. 93, 7. 97 ± 1. 46, 8. 29 ± 1. 03 and 9. 57 ±
0.57mm, respectively. The Syzygium aromaticum (L.) Merr. & L.M. Perry flower bud
extract using distilled water as the solvent inhibited all test gram positive bacteria
including B. cereus, S. aureus and S. epidermidis with clear zone of 9. 86 ± 0. 88,
10.86 ± 2.04 and 9.87 ± 2.24 mm, respectively. The Syzygium aromaticum (L.) Merr.
& L. M. Perry flower bud extract using 95% ethanol as the solvent inhibited
B. cereus, S. epidermidis and E. coli with clear zone of 13.25 ± 3.96, 8.05± 0.72 and
9.19± 1.28 mm, respectively. The Boesenbergia rotunda (L.) Mansf rhizome extract
using 95% ethanol as the solvent inhibited B. cereus and S. epidermidis with clear
zone of 12.89± 0.93 and 13.00± 1.17 mm, respectively. The Pandanus amaryllifolius
Roxb leaf extract using 95% ethanol as the solvent inhibited B. cereus and
S. epidermidis with clear zone of 9.38 ± 0.36 and 7.07 ± 0.72 mm, respectively. The
Tradescantia spathacea Sw leaf extract using 95% ethanol as the solvent inhibited
S. epidermidis with clear zone of 8.21 ± 1.73 mm.
Keywords: -

39

ฤทธย์ิ บั ยงั ของสารสกัดสมุนไพรจากเหงา้ ขงิ เหงา้ ข่า ใบผักแพว และ
เถาเพชรสังฆาต ตอ่ แบคทเี รยี กอ่ โรคติดเชือผิวหนังบางชนิด

Inhibitory Activity of Medicinal Plant Extracts of Zingiber
officinale Roscoe Rhizome, Alpinia galanga (L.) Willd Rhizome,
Polygonum odoratum Lour Leaf and Cissus quadrangularis Linn

Vine on Some Skin and Soft Tissue Pathogenic Bacteria

จกั รชัย ศรีสถาน, ศภุ าวดี อุ่นอก, สวุ ภา สาวิภาค และ อรุณ วงศ์จริ ฐั ติ ิ*
Jakchai Srisathan, Suphawadee Aunok, Suwapha Sawiphak

and Aroon Wongjiratthiti*

สาขาวชิ าชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
Program of Biology, Faculty of Science and Technology, Sakon Nakhon Rajabhat University
*Corresponding author: mic_610@hotmail.com

บทคัดย่อ: งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ยับยั้งของสารสกัดสมุนไพรจากเหง้าขิง เหง้าข่า
ใบผักแพว และเถาเพชรสังฆาตโดยใช้น้ากล่ัน และ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายต่อแบคทีเรีย
ก่อโรคติดเชื้อผิวหนังบางชนิด ได้แก่ Bacillus cereus, Staphylococcus aureus, Staphylococcus
epidermidis และ Escherichia coli ด้วยวิธี Agar well diffusion ผลการทดลองพบว่าสารสกัด
เหง้าข่าที่ใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายเป็นสารสกัดท่ีดีท่ีสุดเน่ืองจากมีฤทธิ์ยับย้ังต่อแบคทีเรีย
ทดสอบทุกชนิดทั้ง B. cereus, S. aureus, S. epidermidis และ E. coli ด้วยขนาดวงใสเท่ากับ
15.94 ± 0.33, 8.18 ± 0.09, 12.32 ± 0.36 และ 13.68 ± 0.49 mm ตามลาดับ สารสกัดใบผักแพว
ที่ใช้ 95% Ethanol เป็นตัวทาละลายสามารถยับย้ังการเจริญแบคทีเรียทดสอบที่เป็นแบคทีเรีย
แกรมบวกท้ัง 3 ชนิดคอื B. cereus, S. aureus และ S. epidermidis ดว้ ยขนาดวงใสเท่ากับ 9.18 ±
0.82, 6.44 ± 0.19 และ 7.06 ± 0.07 mm ตามลาดับ สารสกัดเหง้าขิงท่ีสกัดด้วย 95% Ethanol
มีฤทธิ์ยับย้ังการเจริญเช้ือ B. cereus และ S. epidermidis ด้วยขนาดวงใสเท่ากับ 10.90 ± 0.13
และ 11.80 ± 1.01 mm ตามลาดับ สารสกัดใบผักแพวที่ใช้น้ากลั่นเป็นตัวทาละลายมีฤทธ์ิยับย้ัง
การเจริญเชื้อ S. aureus และ S. epidermidis ด้วยขนาดวงใสเท่ากับ 7.36 ± 0.15 และ 7.50 ±
0.20 mm ตามลาดับ นอกจากน้ีสารสกัดเหง้าขิง สารสกัดเหง้าข่า และสารสกัดเถาเพชรสังฆาต
ท่ีใช้น้ากล่ันเป็นตัวทาละลาย รวมถึงสารสกัดเถาเพชรสังฆาตที่ใช้ 95% Ethanol ตัวทาละลาย
สามารถยับยั้ง B. cereus ด้วยขนาดวงใสเท่ากับ 8.60 ± 0.28, 8.48 ± 0.64, 7.56 ± 0.14 และ
6.70 ± 0.17 mm ตามลาดบั

40

คาสาคญั : -

ABSTRACT: The objective of this research was to examine the inhibitory activity of
medicinal plant extracts of Zingiber officinale Roscoe rhizome, Alpinia galanga (L.)
Willd rhizome, Polygonum odoratum Lour leaf and Cissus quadrangularis Linn vine
using distilled water and 95% ethanol as the solvent on some skin and soft tissue
pathogenic bacteria. The test bacteria including Bacillus cereus, Staphylococcus
aureus, Staphylococcus epidermidis and Escherichia coli were tested by agar well
diffusion method. The results showed that Alpinia galanga (L.) Willd rhizome extract
using 95% ethanol as the solvent was the best extract. It had an inhibitory activity on
the growth of all test bacteria including B. cereus, S. aureus, S. epidermidis and E. coli
with clear zone of 15.94 ± 0.33, 8.18 ± 0.09, 12.32 ± 0.36 and 13.68 ± 0.49 mm,
respectively. The Polygonum odoratum Lour leaf extract using 95% ethanol as the
solvent could inhibit all test gram positive bacteria including B. cereus, S. aureus and
S. epidermidis with clear zone of 9.18 ± 0.82, 6.44 ± 0.19 and 7.06 ± 0.07 mm,
respectively. The Zingiber officinale Roscoe rhizome extract using 95% ethanol as the
solvent had an inhibitory effect on the growth of B. cereus and S. epidermidis with
clear zone of 10.90 ± 0.13 and 11.80 ± 1.01 mm, respectively. The Polygonum
odoratum Lour leave extract using distilled water as the solvent had an inhibitory
effect on the growth of S. aureus and S. epidermidis with clear zone of 7.36 ± 0.15 and
7.50 ± 0.20 mm, respectively. In addition, Zingiber officinale Roscoe rhizome, Alpinia
galanga (L.) Willd rhizome and Cissus quadrangularis Linn vine using distilled water as
the solvent and Cissus quadrangularis Linn vine using 95% ethanol as the solvent
could inhibit B. cereus with clear zone of 8.60 ± 0.28, 8.48 ± 0.64, 7.56 ± 0.14 and 6.70
± 0.17 mm, respectively.
Keywords: -


Click to View FlipBook Version