The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน-โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม-Adobe-captivate-5.5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน-โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม-Adobe-captivate-5.5

การสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน-โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม-Adobe-captivate-5.5

39 3. ตะโพน ตะโพน ในหนังสือเก่าเรียก “สะโพน” มีรูปร่างคล้ายมุทิงค์ หรือมฤทังค์หรือมัทละของ อินเดีย กล่าวคือ หน้าซึ่งจึงหนังไว้ 2 ข้าง เรียวเล็ก ตรงกลางป่อง ของอินเดีย ใช้วางบนตักตีหรือมี สายสะพายเพื่อยืนดี ส่วนสะโพนหรือตะโพนของไทยมีเท้ารองใต้ตัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้า ใช้ฝ่ามือซ้าย-ขวา ตีได้ทั้ง 2 หน้า มฤทังค์หรือ มัทละ เป็นเครื่องหนังใช้แพร่หลายในอินเดียมาแต่โบราณ มีนิยายว่า พระพรหม ได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบร าฟ้อนของพระศิวะเมื่อทรงมีชัยในนครตรีปุระ ภาพที่ 33 ตะโพน ที่มา : คณะผู้วิจัย 4. กลองแขก กลองแขก รูปร่างยาวเป็นรูปทรงกระบอก แต่หน้าหนึ่งใหญ่ เรียกว่า “หน้ารุ่ย”กว้าง ประมาณ 20ซม. อีกด้านหนึ่งเล็ก เรียกว่า “หน้าด่าน” กว้างประมาณ 17ซมทุ่นกลองยาวประมาณ 57ซม. ท าด้วยไม้จริงหรือไม้แก่น เช่น ไม้ชิงชัน หรือ ไม้มะริดขึ้นหนัง 2 หน้าด้วยหนังลูกวัวหรือหนังแกะ ใช้เส้น หวายผ่าซีกเป็นสายโยงเร่งเสียงโยงเส้นห่างๆ แต่ต่อมาในระยะหลังนี้ คงจะเนื่องจากหวายใช้ไม่สะดวก ในบางคราวจึงใช้สายหนังโยงก็มี ส ารับหนึ่งมี 2ลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า “ตัวผู้” ลูกเสียงต่ าเรียกว่า “ตัวเมียตี ด้วยฝ่ามือทั้ง 2 หน้าให้เสียงสอดแทรกสลับกันทั้ง 2ลูก กลองแบบนี้เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “กลองชวา” ภาพที่ 34 กลองแขก ที่มา : คณะผู้วิจัย


40 5. ฆ้อง 2 ลูก ฆ้อง เป็นเครื่องตีท าด้วยโลหะรูปร่างคล้ายฉาบ คือ มีปุ่มหลบตรงกลางและ มีฐานแผ่ ออกไปโดยรอบ ที่ต่างกับฉาบก็คือ หล่อโลหะหนากว่าฉาบและรูปหักลุ้มออกไป เป็นขอบคนละด้านกับปุ่ม โป่งออกมา และที่ขอบหรือฉัตรนั้นเจาะรู 2รูไว้ร้อยเส้นเชือกหรือเส้นหนังส าหรับห้อย ตรงหัวไม้ตีพันผ้า ห่อหุ้มและถักหรือรัดด้วยเชือกให้แน่นมิให้หลุด ใช้ตีตรงปุ่มกลางฆ้องให้มีเสียง เครื่องดนตรีชนิดนี้แต่เดิมท า เป็นขนาดเล็ก ตีได้ยินเสียงเป็น “ฆ้อง ๆ” และมี 2ลูก จึงเรียกฆ้อง 2ลูก ภาพที่ 35 ฆ้อง 2 ลูก ที่มา : คณะผู้วิจัย 6.ฉิ่ง ฉิ่ง เป็นเครื่องตีที่ท าด้วยโลหะหล่อหนา เว้ากลาง ปากผายกลม รูปคล้ายถ้วยชาไม่มีก้น ส ารับหนึ่งมี 2 ฝาแต่ละฝาวัดเส้นผ่าศูนย์กลางจากสุดขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบตรงกันข้าม ประมาณ 6-6.5 ซม. เจาะรูตรงกลางเว้าส าหรับร้อยเชือก เพื่อสะดวกในการถือตีกระทบกันให้เกิดเสียงเป็นจังหวะ ฉิ่งที่กล่าวนี้ใช้ ในวงปี่พาทย์ ส่วนที่ใช้ส าหรับวงเครื่องสายมโหรี เสียงที่เกิดขึ้นจากการเอาขอบของฝาหนึ่งกระทบเข้ากับอีก ฝาหนึ่ง จะได้ยินเสียงกังวานคล้าย “ฉิ่งๆ” แต่ถ้าเอา 2 ฝานั้นกลับกระทบประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงเป็น “ฉับ” เครื่องตีชนิดนี้ใช้ในการบรรเลงดนตรีขับร้องฟ้อนร าเกือบทุกอย่างในปัจจุบัน ภาพที่ 36 ฉิ่ง ที่มา : คณะผู้วิจัย


41 7. ฉาบ ฉาบ เป็นเครื่องตีชนิดหนึ่ง ท าด้วยโลหะรูปร่างคล้ายนิ่ง แต่หล่อบางกว่ามีขนาด กว้างและใหญ่กว่า ตรงกลางมีปุ่มกลม ท าเป็นกระทุ้งไว้ร้อยเชือกส าหรับถือ ต่อมาท าเป็น 2 ขนาด คือ ฉาบเล็ก มีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 -14 ซม. ขนาดใหญ่หรือฉาบใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 - 26 ซม. มีฝา 2 ข้าง ตีกระทบกันให้เกิดเสียงตามจังหวะตามที่ต้องการ เสียงที่ตีกระทบกันขณะที่ ประกอบเป็นเสียง “ฉาบ ๆ ” จึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า “ฉาบ” ตามเสียงที่เกิด ภาพที่ 37 ฉาบ ที่มา : คณะผู้วิจัย 8.ขลุ่ย ขลุ่ย เป็นเครื่องเป่าดั้งเดิมของไทย เหตุที่เรียกว่า “ขลุ่ย” เข้าใจว่าเรียกตามเสียงเป่าที่ ได้ยิน ขลุ่ยแต่เดิมท าด้วยไม้รวกปล้องยาว ๆ ไว้ข้อทางปลาย แต่เจาะรูทะลุปล้องและใช้ไฟย่างให้แห้ง ตกแต่งผิวให้ไหม้เกรียมเป็นลวดลายสวยงาม ต่อมาท าด้วยไม้จริงบ้าง งาบ้างขลุ่ยเลาหนึ่งมีรูส าหรับนิ้วปิด เปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง 7รู แต่เดิมขลุ่ยมีชนิดเดียว ต่อมาเมื่อน ามาเล่นผสมวงดนตรี จึงมีผู้ท าเป็น 3ขนาด คือ ขนาดเล็กเรียก ขลุ่ยหลิบ เสียงเล็กแหลมสูง ขนาดกลางเรียก ขลุ่ยเพียงออ เสียงระดับกลางและขนาดใหญ่ เรียก ขลุ่ยเสียงต่ า ในปัจจุบันนิยมใช้ขลุ่ยเพียงออกันโดยมาก(พรเทพ บุญจันทร์เพชร,2540: 54-61) ภาพที่ 38 ขลุ่ยเพียงออ ที่มา : คณะผู้วิจัย


42 5.6 โอกาสที่ใช้ในการแสดง - งานมหกรรมประจ าปี - งานมงคลและงานอวมงคล สรุปได้ว่า ระบ าศรีวิชัยเป็นระบ าชุดที่ 2 ในระบ าโบราณคดี เกิดขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2509 ระบ าศรีวิชัยเป็นการศึกษาค้นคว้าขึ้นใหม่ โดยความคิดริเริ่มของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรม ศิลปากรในด้านการประดิษฐ์ท่าร า ได้แก่ นางลมุล ยมะคุปต์ และนางเฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญการ สอนนาฏศิลป์วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติโดยอาศัยท่าทางของนาฏศิลป์ชวา มาผสมผสานเข้าด้วยกัน และมีนายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและ ศิลปินแห ่งชาติเป็นผู้ประดิษฐ์ท านองเพลงโดยหาแบบอย ่างเครื่องดนตรี เช ่น เครื ่องดีด เครื ่องสี เครื่องตี เครื่องเป่าจากภาพจ าหลักที่พระสถูปบุโรพุทโธ ในเกาะชวา และ เลือกเครื่องดนตรีของไทยที่มี ลักษณะใกล้เคียงกันบ้างน ามาผสมปรับปรุงเล่นเพลงประกอบจังหวะระบ าขึ้น มีนายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็น ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ตามหลักฐานศิลปกรรมภาพจ าหลักที่ประสมกับท่าร าชวาและบาหลี สอดแทรกลีลาทางนาฏศิลป์ ลักษณะร าบางท่าคล้ายท่าร าของชวา และบาหลี 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนสามารถที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบโดยหลาย ๆ รูปแบบจะมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน คือ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งนักการศึกษาได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ 6.1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุรชัย ขวัญเมือง กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การตรวจสอบดูว่า ผู้เรียนได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามที่หลักสูตรก าหนดไว้แล้วเพียงใดทั้งนี้ ยกเว้นในทางด้าน อารมณ์ สังคมและการปรับตัว นอกจากนี้แล้วยังหมายรวมไปถึงการประเมินผลความส าเร็จต่าง ๆ ทั้งที่เป็น การวัดโดยใช้แบบทดสอบ แบบให้ปฏิบัติการ และแบบที่ไม่ใช้แบบทดสอบด้วย(สุรชัย ขวัญเมือง,2522 : 232) ไพศาล หวังพานิช กล่าวไว้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือจากการสอน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็น การตรวจสอบระดับความสามารถ หรือถามสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้เท่าใด (ไพศาล หวังพานิช, 2526 : 89) สมพร เชื้อพันธ์กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ ความส าเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก


43 การเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วย วิธีการต่าง ๆ (สมพร เชื้อพันธ์, 2547 : 53) กรนิษา มีรัตน์ ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคือความส าเร็จในการเรียนรู้หรือ ความสามารถที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ทั้งทางด้านภาคความรู้ และภาคทักษะต่าง ๆ (กรนิษา มีรัตน์, 2552 : 62) สรุปได้ว ่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถประมวลความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนโดยเกิดจาก ความรู้ ความสามารถ ทักษะกระบวนการของผู้เรียนที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอน การค้นคว้า ประสบการณ์ต่าง ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถของสมรรถภาพทาง สมอง ซึ่งแสดงออกมา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ซึ ่งสามารถ สังเกตและวัดได้โดยอาศัยเครื่องมือทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป 6.2. จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement) เป็นการมองการวัดความสามารถทางการเรียน หลังจาก ได้เรียนเนื้อหา (Content) ของวิชาใดวิชาหนึ่ง ผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้มากน้อยเพียงใด นั่นคือ การวัดผลสัมฤทธิ์ ยืดเนื้อหาวิชาเป็นหลัก เช่น คณิตศาสตร์ อาจมีเนื้อหา การบวก การลบ การคูณ การหาร เศษส่วน ความเป็นไปได้ บัญญัติไตรยางศ์ ฯลฯ การสอบวัดความรู้หลังจาก เรียนเนื้อหาที่ก าหนดให้ ในภาคเรียนหรือในชั้นหนึ่งๆ นั้น เป็นการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2541: 18) ซึ่งนักการศึกษาได้ให้ความหมายของการวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ ได้กล่าวไว้ว่า จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อเป็น การตรวจสอบความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลว่า เรียนแล้วรู้อะไรบ้างและมีความสามารถ ด้านใดมากน้อยเท่าใด เช่น พฤติกรรมการจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และ การประเมินค่ามากน้อยอยู่ในระดับใดนั่นคือ การวัดผลสัมฤทธิ์เป็นการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียนใน ด้านพุทธิพิสัย โดยแบ่งการวัดออกเป็น 2 องค์ประกอบตามจุดมุ่งหมายและลักษณะของวิชาที่เรียน คือ 1) การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถทางการปฏิบัติโดยให้ ผู้เรียน ได้ลงมือปฏิบัติจริงให้เห็นผลงานปรากฏออกมา ให้ท าการสังเกตและวัดได้ การวัดแบบนี้ต้อง วัดโดยใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติซึ่งการประเมินผลจะพิจารณาที่วิธีปฏิบัติและผลงาน 2) การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชารวมถึง พฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน มีวิธีวัดได้ 2 ลักษณะ คือ 2.1) การสอบแบบปากเปล่า การสอบแบบนี้มักกระท าเป็นรายบุคคล ซึ่งเป็นการสอบที่ ต้องการดูผลเฉพาะอย่าง


44 2.2) การสอบแบบให้เขียนตอบ เป็นการสอบวัดที่ ให้ผู้สอบเขียนเป็นตัวหนังสือตอบซึ่งมี รูปแบบการตอบอยู่2 แบบคือ 2.2.1)แบบไม่จ ากัดค าตอบ ซึ่งได้แก่การสอบวัดที่ใช้ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง 2.2.2) แบบจ ากัดค าตอบ ซึ่งเป็นการสอบที่ก าหนดขอบเขตของค าถามที่จะให้ ค าตอบหรือก าหนดค าตอบมาให้เลือกซึ่งมี 4 รูปแบบ คือ -แบบเลือกทางใดทางหนึ่ง -แบบจับคู่ -แบบเติมค า -แบบเลือกตอบ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2539 : 29 - 32) สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถประมวลความหมาย ของจุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ว่า จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การตรวจสอบ ความรู้ความสามารถของนักเรียนตามเนื้อหาวิชา ว่านักเรียนมีความสามารถ ด้านใด มากน้อยเพียงใด เช่นการน าไปใช้ การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ 6.3. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์(Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความเข้าใจตามพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ซึ่งเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ แบบทดสอบประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2ชนิด คือ 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างเอง (Teacher – Made Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้น โดยทั่วไปเมื่อต้องการใช้ก็สร้างขึ้น ใช้แล้วก็เลิกท าถ้าน าไปใช้อีกก็ต้องดัดแปลง ปรับปรุงแก้ไข เพราะ เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นใช้เฉพาะครั้งอาจยังไม่มีการวิเคราะห์หาคุณภาพ 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่ได้มีการพัฒนา ด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้งหลายหน จนมีคุณภาพสมบูรณ์ทั้งด้านความเที่ยงตรง ความยากง่ายอ านาจจ าแนก ความเป็นปรนัยและมีเกณฑ์ปกติ(norm) ไว้เปรียบเทียบด้วยต้องมี มาตรฐานทั้งด้านการด าเนินการสอบและแปลผลคะแนนที่ได้(บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2535 : 20) บรรดล สุขปิติกล่าวถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับ เกณฑ์ที่ใช้ในการจ าแนกได้ดังนี้ คือ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้ ตรวจสอบระดับความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ของผู้เรียน


45 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher – Made Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดและ ประเมินผลการเรียนการสอนในห้องเรียน ส่วนมากเป็นข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1.1.1) ข้อสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน 1.1.2) ข้อสอบเพื่อประเมินผลการเรียนการสอน 1.2) ข้อสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นแล้วน าไปใช้ ทดสอบและวิเคราะห์ผลการสอบตามวิธีการ เพื่อปรับปรุงคุณภาพและใช้เป็นมาตรฐานในการทดสอบกับ เด็ก ๆ ทั่วไป มีการหาเกณฑ์ปกติ(Norm) เพื่อใช้เป็นหลักในการเปรียบเทียบค าว่ามาตรฐานแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้ 3แบบ ตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชาที่สอนคือ 1.2.1) วัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือ ทักษะของผู้เรียนโดยเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในรูปของการปฏิบัติจริง เช่น วิชาศิลปศึกษาพล ศึกษา งานช่าง งานประดิษฐ์ การวัดแบบนี้ต้องวัดโดยใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ (PerformanceTest) 1.2.2) วัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาอันเป็น ประสบการณ์เรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ 1.2.3) วัดด้านทักษะ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดภายหลังการฝึกฝนและได้เรียนแล้วเพื่อ ดูว่าผู้เรียนมีทักษะหรือความคล่องแคล่วในการคิดแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียนขนาดไหน แบบทดสอบนี้มุ่งวัดว่าผู้เรียนมีทักษะการคิดหรือการท างานขนาดไหน ซึ่งแตกต่างกับแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ที่วัดว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถระดับใด ส าหรับผู้มีทักษะคือผู้ที่สามารถท างาน ได้ปริมาณมาก ๆ โดยใช้เวลาท าเพียงเล็กน้อย ท าได้สะดวกสบาย การวัดทักษะถ้าใช้แบบทดสอบลักษณะ ของข้อสอบจะต้องเป็นค าถามที่เป็นปัญหาง่าย ๆ แต่มีปริมาณมาก แล้วให้ท าในเวลาจ ากัดผู้ใดท าได้มาก แสดงว่ามีทักษะ ข้อสอบทักษะนี้ ถ้าให้ตอบโดยไม่จ ากัดเวลา ผู้ถูกสอบส่วนใหญ่จะท าได้และได้คะแนนเต็ม 2) แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ค้นหา ข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนในการเรียนแต่ละวิชา เป็นเรื่อง ๆ ไปข้อสอบนี้มักจะมีเนื้อหาต่าง ๆ หลายเรื่อง เรื่อง ละหลาย ๆ ข้อ และทดสอบดูว่าเด็กคนใดอ่อน พฤติกรรมด้านใดเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป แบบทดสอบชนิดนี้มีประโยชน์ส าหรับครูที่ต้องการจะปรับปรุงการเรียนการสอนเพราะจะได้รู้ว่าควรสอน วิชาใดเรื่องใด มากน้อยเพียงใด 3) แบบทดสอบที่มีค าถามจ านวนมาก และจ ากัดเวลาในการตอบ (Speed Test) เป็น แบบทดสอบที่จะต้องตอบโดยอาศัยความเร็ว แบบทดสอบลักษณะนี้ส่วนใหญ่ใช้ส าหรับวัดทักษะด้านใด


46 ด้านหนึ่งของนักเรียน ข้อสอบจะเป็นข้อสอบง่าย ๆ ถ้าให้เวลาในการท ามาก ผู้สอบจะตอบถูกหมด ฉะนั้น แบบทดสอบแบบนี้จึงต้องจ ากัดเวลาในการสอบ 4)แบบทดสอบที่เปิดโอกาสให้ตอบในเวลานาน (Power Test) เป็นแบบทดสอบ ที่ต้องการให้ นักเรียนได้แสดงความรู้ความสามารถให้มากที่สุด เช่น ข้อสอบอัตนัย การเขียนรายงานปริญญานิพนธ์ เป็นต้น 5) ข้อสอบแบบอัตนัย (Essay Test) เป็นข้อสอบที ่เปิดโอก าสให้ผู้ตอบได้ แสดงออกซึ่งความสามารถของตนเองโดยใช้ ภาษาของตน สามารถวัดความคิด ทัศนคติของผู้สอบได้อย่างดี ผู้สอนต้องมีความสามารถในการจัดระเบียบความรู้ แสดงความคิดริเริ่มและรู้จักการสังเคราะห์จึงจะสามารถ ตอบข้อสอบได้ดี โดยทั่วไปแบ่งข้อสอบอัตนัยออกเป็น 2อย่างคือ 5.1) แบบไม่จ ากัดค าตอบ จะเน้นความลึก และขอบเขตของความรู้มีเสรีภาพ ในการแสดงออก ยั่วยุให้เกิดความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ 5.2) แบบจากกดค าตอบจะต้องการค าตอบเฉพาะเจาะจงที่วัดระเบียบของความคิดเป็น อย่างดี ง่ายในการตรวจมีความยุติธรรมสูง มีความเชื่อมันสูงกว่าแบบไม่จ ากัดค าตอบ(บรรดล สุขปิติ,2547 : 7–12) ธีรศักดิ์ อุ่นอารมย์เลิศ ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) แบบทดสอบที่ครูสร้าง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉพาะกลุ่ม นักเรียนที่ครูสอนเท่านั้นโดยครูผู้สอนเป็นผู้สร้างขึ้นโดยมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงกับลักษณะหลักสูตรของ แต่ละโรงเรียนหรือมาตรฐานหลักสูตรแต่ละท้องถิ่น 2) แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา หรือจากครูผู้สอนวิชานั้นแต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั้งมีคุณภาพดีจึงสร้างเกณฑ์ปกติของ แบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผล เพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอนในเรื่องใดๆ ก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือด าเนินการสอบ บอกวิธีสอน และยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนด้วย ทั้งแบบทดสอบที่ครู สร้างขึ้น และแบบทดสอบมาตรฐานมีวิธีการสร้างข้อค าถามเหมือนกันเป็นค าถามที่วัด เนื้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้วจะเป็นพฤติกรรมที่สามารถตั้งค าถามวัดได้ซึ่งควรวัดให้ครอบคลุม พฤติกรรมต่างๆ (ธีรศักดิ์ อุ่นอารมย์เลิศ,2549: 91-92) สมนึก ภัททิยธนี ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้2 ประเภท คือ 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้เอง (Teacher – Made Test) ครูผู้สอนจัดสร้างขึ้น เพื่อวัดความก้าวหน้าของนักเรียน ภายหลังจากได้มีการเรียนการสอนไประยะหนึ่งแล้ว โดยปกติ แบบทดสอบประเภทนี้จะใช้เฉพาะภายในกลุ่มนักเรียนที่ครูผู้ออกข้อสอบเป็นผู้สอน จะไม่น าไปใช้กับ นักเรียนกลุ่มอื่น ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบนักเรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดมุ่งหมาย ของการเรียนรู้มากน้อยเพียงใดและจะน าผลการสอบนี้ไปใช้ทั้งปรับปรุงซ่อมเสริมการเรียนการ สอนไปใช้ตัดสินผลการเรียนของนักเรียนด้วยตัวอย่างแบบทดสอบที่ครูใช้ในการสอบปลายภาค หรือ ปลายปีหรือเมื่อสิ้นสุด การเรียนการสอนในแต่ละบทแต่ละตอนนั่นเอง


47 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เช่นเดียวกับ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้เอง แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการเรียนด้านต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน (สมนึก ภัททิยธนี,2551:63) เยาวดี ชัยรางกุล ได้แบ่งลักษณะของแบบทดสอบออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมมีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ที่ใช้ส าหรับตัดสินว่าผู้เรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ หรือไม่การวัดเพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจของข้อสอบในการทดสอบประเภทนี้ 2) แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุม หลักสูตรสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร สามารถจ าแนกผู้เรียนตามความเก่งอ่อนได้ การรายงาน ผลการสอนอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถวัดได้ที่แสดงสถานภาพความสามารถของ บุคคลเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ (เยาวดี ชัยรางกุล,2552: 30 –31) สรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีหลายประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์หรือ แบบทดสอบ แบบอิงกลุ่ม ใช้วัดด้านปฏิบัติหรือการวัดด้านเนื้อหา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบนักเรียนมีความรู้ ความสามารถตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด และจะน าผลการสอบนี้ไปใช้ทั้งปรับปรุง ซ่อมเสริมการเรียนการสอน กับน าไปใช้ตัดสินผลการเรียน 6.4. หลักในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมนึก ภัททิยธนี กล่าวถึง หลักการเขียนแบบทดสอบชนิดเลือกตอบไว้ดังนี้ 1) เขียนตอนน าให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์แล้วใส่เครื่องหมายปรัศนี ไม่ควรสร้างตอน ท าให้เป็นแบบอ่านต่อความเพราะท าให้ค าถามไม่กระชับเกิดปัญหาสองแง่หรือข้อความไม่ต่อกันหรือ เกิดความสับสนในการคิดหาค าตอบ 2) เน้นเรื่องจะถามให้ชัดเจนและตรงจุดไม่คลุมเครือเพื่อว่า ผู้อ่านจะไม่เข้าใจไขว้เขว สามารถมุ่งความคิดในค าตอบไปถูกทิศทาง (เป็นปรนัย) 3) ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัด หรือถามในสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์ค าถามแบบ เลือกตอบสามารถถามพฤติกรรมในสมองได้หลาย ๆ ด้านไม่ใช่ถามเฉพาะความจ าหรือความจริงตาม ต าราแต่ต้องถามให้คิดหรือน าความรู้ที่เรียนไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ 4) หลีกเลี่ยงค าถามปฏิเสธ ถ้าจ าเป็นต้องใช้ก็ควรขีดเส้นใต้ค าปฏิเสธ แต่ค าปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง เพราะปกตินักเรียนจะยุ่งยาก ต่อการแปลความหมายของค าถามและค าตอบ ค าถามที่ถามกลับหรือปฏิเสธซ้อนผิดมากกว่าถูก 5) อย่าใช้ค าฟุ่มเฟือย ควรถามปัญหาโดยตรงสิ่งใดไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ได้ใช้เป็น เงื่อนไขในการคิด ก็ไม่ต้องน ามาเขียนไว้ในค าถามจะช่วยให้ค าถามรัดกุมชัดเจนขึ้น


48 6) เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกพันธ์ หมายถึงเขียนตัวเลือกทุกตัวให้เป็นลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง มีทิศทางแบบเดียวกัน หรือมีโครงสร้างสอดคล้องเป็นท านองเดียวกัน 7) ควรเรียงล าดับตัวเลขในตัวเลือกต่าง ๆ ได้แก่ ค าตอบที่เป็นตัวเลขนิยม เรียงจาก น้อยไปหามากเพื่อช่วยให้ผู้ตอบพิจารณาหาค าตอบได้สะดวกไม่หลงและป้องกันการเดาตัวเลือกที่มีค่ามาก 8) ใช้ตัวเลือกปลายเปิดหรือปลายปิดให้เหมาะสมตัวเลือกปลายเปิด ได้แก่ ตัวเลือก สุดท้ายไม่มีค าตอบถูกที่กล่าวมาผิดหมดทุกข้อหรือสรุปแน่นอนไม่ได้ 9) ข้อเดียวต้องมีค าตอบเดียว แต่บางครั้งผู้ออกข้อสอบคาดไม่ถึงว่าจะมีปัญหา หรือ อาจจะเกิดจากการแต่งตั้งตัวลวงไม่รัดกุม จึงมองตัวลวงเหล่านั้นได้อีกแง่หนึ่ง ท าให้เกิดปัญหาสองแง่สองมุมได้ 10) เขียนทั้งตัวถูกและตัวผิดให้ถูกหรือผิดตามหลักวิชาคือ จะก าหนดตัวถูกหรือผิด เพราะสอดคล้องกับความเชื่อของสังคมหรือกับค าพังเพยทั่ว ๆ ไปไม่ได้ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนการสอน มุ่งให้นักเรียนทราบความจริง ตามหลักวิชาเป็นส าคัญ จะน าความเชื่อโชคลางหรือขนบธรรมเนียม ประเพณีเฉพาะท้องถิ่นมาอ้างไม่ได้ 11) เขียนตัวเลือกให้อิสระจากกัน พยายามอย่าให้ตัวเลือกตัวใดตัวหนึ่งเป็นส่วนหนึ่ง หรือส่วนประกอบของตัวเลือกอื่น ต้องให้แต่ละตัวเป็นอิสระจากกันอย่างแท้จริง 12)ควรมีตัวเลือก 4-5ตัวเลือกข้อสอบแบบเลือกตอบนี้เขียนตัวเลือกเพียง 2ตัวเลือก ก็กลายเป็นข้อสอบแบบกาถูก –ผิด และป้องกันไม่ให้เดาได้ง่าย ๆ จึงควรมีตัวเลือกมาก ๆ ตัวที่นิยมใช้ หากเป็นข้อสอบระดับประถมศึกษาปีที่1 - 3ควรใช้ 3ตัวเลือกระดับประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 ควรใช้4 ตัวเลือกและตั้งแต่มัธยมศึกษาขึ้นไปควรใช้ 5 ตัวเลือก 13) อย่าแนะค าตอบมีหลายกรณีดังนี้ 13.1) ค าถามข้อหลัง ๆ แนะค าถามข้อแรก ๆ 13.2) ถามเรื่องที่นักเรียนคล่องปากอยู่แล้วโดยเฉพาะค าถามประเภทค าพังเพย สุภาษิตคติพจน์หรือค าเตือนใจ 13.3) ใช้ข้อความของค าตอบถูกซ้ ากับค าถามหรือเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะนักเรียนที่ไม่มีความรู้ก็อาจจะเดาได้ถูก 13.4) ข้อความของตัวถูกบางส่วนเป็นส่วนหนึ่งของทุกตัวเลือก 13.5) เขียนตัวถูกหรือตัวลวงถูกหรือผิดเด่นชัดเกินไป 13.6) ค าตอบไม่กระจาย (สมนึก ภัททิยธนี,2553:82-96) สรุปได้ว่า หลักในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถประมวล ได้ว ่า แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความเข้าใจตามพุทธิพิสัย ผู้สร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรศึกษาขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบให้เข้าใจ ค านึงถึง จุดมุ่งหมายทางการเรียนมีการ วิเคราะห์ข้อสอบเพื่อหาค่าความยากง่าย ค่าอ านาจจ าแนก เพื่อปรับปรุง


49 แก้ไขตามผลการวิเคราะห์แล้วจึงจัดท าแบบทดสอบเพื่อน าไปใช้จริง เพื่อให้ได้แนวทางที่จะน าไปสู่ การแก้ปัญหาได้ 6.5. คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชวาล แพรัตกุล ให้แนวคิดคุณลักษณะของแบบทดสอบที่ดีคือ 1) ต้องเที่ยงตรง (validity) หมายถึงคุณสมบัติที่จะท าให้ผู้ใช้บรรลุจุดประสงค์เป็น แบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงสูง คือ แบบทดสอบที่สามารถท าหน้าที่วัดสิ่งที่เราวัดได้อย่างถูกต้อง ตามความมุ่งหมาย 2) ต้องยุติธรรม (Fair) คือโจทย์ค าถามทั้งหลายไม่มีช่องทางแนะให้เด็กเดาค าตอบได้ ไม่เปิดโอกาสให้เด็กที่เกียจคร้านที่จะดูต าราแต่สอบได้ดี 3) ต้องถามลึก (Searching) วัดความลึกซึ้งของวิทยากรตามแนวดิ่งมากกว่าที่จะวัดตาม แนวกว้างว่ารู้มากน้อยเพียงใด 4) ต้องยั่วยุ (Exemplary) ค าถามมีลักษณะท้าทาย ชักชวนให้คิด สอบแล้วมีความอยากรู้ มากน้อยเพียงใด 5) ต้องจ าเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอ่านค าถามแล้วต้องเข้าใจแจ่มแจ้งว่าครูถามถึงอะไร หรือให้คิดอะไร ไม่ถามคลุมเครือ 6)ต้องเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึงคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 6.1)ต้องแจ่มชัดในความหมายของค าถาม 6.2) แจ่มชัดในวิธีการตรวจ หรือมาตรฐานการให้คะแนน 6.3) แจ่มชัดในการแปรความหมายของคะแนน 7)ต้องมีประสิทธิภาพ (Efficiency) คือ สามารถให้คะแนนที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สุด ภายในเวลาแรงงานและเงินน้อยที่สุด 8) ต้องยากพอเหมาะสม (Difficulty) 9) ต้องมีอ านาจจ าแนก (Discrimination) คือสามารถแยกเด็กออกเป็นประเภท ๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด 10. ต้องเชื่อมั่นได้ (Reliability) คือข้อสอบนั้นสามารถให้คะแนนได้คงที่แน่นอนไม่แปรผัน (ชวาล แพรัตกุล,2552: 123-138) สมนึก ภัททิยธนีเสนอว่าแบบทดสอบจะมีคุณภาพเพียงใดต้องมีลักษณะที่ดี10 ประการ ดังนี้ 1) ความเที่ยงตรง 2) ความเชื่อมั่น 3) ความยุติธรรม 4) ความลึกของค าถาม


50 5) ความยั่วยุ 6) ความจ าเพาะเจาะจง 7) ความเป็นปรนัย 8) ประสิทธิภาพ 9) อ านาจจ าแนก 10) ความยาก (สมนึก ภัททิยธนี, 2546 : 67) สรุปได้ว่า คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต้องมีลักษณะส าคัญ คือ ต้องเที่ยงตรงยุติธรรมมีความเป็นปรนัย มีประสิทธิภาพ มีอ านาจการจ าแนก และต้องเชื่อมั่นได้ จึงจะเป็นแบบทดสอบที่ดีมีมาตรฐานและใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ตรงตามจุดประสงค์ได้อย่างแท้จริง 6.6. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน Anastasi อ้างถึงใน ขนิษฐา บุญภักดีกล่าวว่าผู้เรียนจะประสบความส าเร็จทาง การศึกษา คือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้ 1) องค์ประกอบด้านสติปัญญา (Intellectual factor) เป็นความสามารถในการคิดอัน เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ รวมถึงความสามารถที่ติดตัวมาแต่ก าเนิด ความสามารถ เหล่านี้สามารถวัดได้หลายแบบ เช่น วัดความถนัดทางการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถ ในการแก้ปัญหา สมรรถภาพทางสมอง เป็นต้น องค์ประกอบด้านนี้เป็นปัจจัยส าคัญที่มีผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) องค์ประกอบด้านที่ไม่ใช่สติปัญญา (Non-intellectual factor) เช่น เพศอายุ แผนการเรียน อันดับการเลือก รายได้ของบิดามารดา นิสัยในการเรียน เจตคติในการเรียนตลอดจน สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา เป็นต้น องค์ประกอบด้านนี้มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เช่นเดียวกัน (Anastasi 1967 อ้างถึงใน ขนิษฐา บุญภักดี, 2552 : 8) Carrollอ้างถึงใน ปิยะมาศ เจริญพันธุวงศ์ได้เสนอแนวคิดไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เกิดจากปัจจัยหลัก 5 ด้าน ดังนี้ 1)ความถนัด หมายถึง ศักยภาพในตัวนักเรียนที่พัฒนามาเป็นความสามารถในการเรียนรู้ วัดได้จากปริมาณเวลาที่นักเรียนใช้ในการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ 2) ความพากเพียร หมายถึง ปริมาณเวลาที่นักเรียนใช้ในการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ 3)ความสามารถในการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่เข้าใจว่าจะต้องเรียนอะไร จะต้องท าอย่างไรให้บรรลุผล 4) โอกาสในการเรียนของนักเรียน หมายถึง ปริมาณเวลาที่ครูก าหนดหรือจัดให้ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ


51 5)คุณภาพของการเรียนการสอน หมายถึง การจัดเนื้อหาการเรียนและกิจกรรมการเรียน การสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (Carroll 1963อ้างถึงใน ปิยะมาศ เจริญพันธุวงศ์,2543 :13) สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วยครูผู้สอน นักเรียน สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน การมีส่วนร่วม ในการเรียนการสอนการเสริมแรงจากครู การให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความบกพร่องหรือ ความเหมาะสม และการแก้ไขข้อบกพร่อง และต้อง ค านึงถึงองค์ประกอบด้านคุณภาพการจัดการ เรียนการสอน และองค์ประกอบด้านการบริหาร 7. แบบวัดภาคปฏิบัติ 7.1 ความหมายของแบบวัดภาคปฏิบัติ นักการศึกษาและ นักจิตวิทยาได้ให้ความหมายของแบบวัดภาปฏิบัติไว้หลายท่านดังนี้ สมบูรณ์ สุริยวงศ์และสมจิตต์ เรืองศรี ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการวัดการปฏิบัติ ว่าการวัดการปฏิบัติใช้วัดประสิทธิภาพของพฤติกรรมที่แสดงออกในขั้นสุดท้าย การวัดการปฏิบัติ นั้นจะเป็นการวัดในลักษณะต่าง ๆ กันบางครั้งอาจจะเน้นวิธีการปฏิบัติ บางครั้งอาจจะเน้นผลงาน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการสอน (สมบูรณ์ สุริยวงศ์และสมจิตต์ เรืองศรี, 2525 : 134) ไพศาล หวังพานิช ให้ความหมายการวัดผลภาคปฏิบัติ ไว้ว่าการวัดผลภาคปฏิบัติ คือ ความสามารถในการปฏิบัติที่ให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมตรงออมาด้วยการกระท า โดยถือว่าเป็นการปฏิบัติ ความสามารถในการผสมผสานหลักการวิธีการต่าง ๆ ที่ได้รับการฝึกฝนมาให้ปรากฏออกมาเป็นทักษะ ของผู้เรียน ซึ่งทักษะผู้เรียนนั้นจะสังเกตได้ขณะก าลังปฏิบัติโดยตรงซึ่งประกอบด้วย 1) ทักษะในการปฏิบัติการ (Manual Skill ) เป็นการขยับจับวัสดุเครื่องมือต่าง ๆ 2) ทักษะในการสังเกต (Observation ) เป็นการสังเกตสิ่งต่าง ๆ เพื่อหารายละเอียด หรือเปรียบเทียบรวมถึงการสังเกตผลจากการปฏิบัติ(ไพศาล หวังพานิช, 2529 : 89) ส.วาสนา ประวาลพฤกษ์ ได้ให้ความหมายของแบบวัดภาคปฏิบัติไว้ว่าเป็นเครื่องมือ ที่ออกแบบเพื่อการวัดภาคปฏิบัติ ในข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นมุ่งวัดทักษะ ในการปฏิบัติงาน โดยในการประเมินผลสัมฤทธิ์ การวัคภาคปฏิบัตินั้นมีสิ่งที่จะต้อง ค านึงถึงอยู่ 2 ประการคือ วิธีการ (Procedure) และผลงาน (Product) (ส.วาสนา ประวาลพฤกษ์, 2527 : 1) เผียน ไชยศร ให้ความหมายของการวัดผลงานภาปฏิบัติว่า เป็นการวัดความสามารถของ บุคคลในการท างานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยบุคคลนั้นได้ลงมือปฏิบัติ การจัดกระท ามีความสัมพันธ์หรือ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในลักษณะของรูปธรรม โดยทางกายหรือรับรู้ทางประสาทสัมผัส(เผียน ไชยศร,2529 : 37)


52 บุญชม ศรีสะอาด ให้ความหมายของแบบวัดภาคปฏิบัติ คือ แบบวัดที่สร้างขึ้นเพื่อวัด ความสามารถในการปฏิบัติหรือการกระท าของผู้เรียน แบบวัดภาคปฏิบัติที่ดีควรวัดทั้งด้านผลงานจาก การปฏิบัติหรือผลผลิต(Products) และวิธีปฏิบัติ (Procedures) (บุญชม ศรีสะอาด, 2543 : 5 ) สรุปได้ว่า ความหมายของแบบวัดภาคปฏิบัติเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อใช้วัดความรู้ ความสามารถ ความคิด ทักษะของผู้เรียนในด้านการปฏิบัติที ่แสดงออกด้วยการกระท าภายใต้ สถานการณ์ที ่อาจจะอยู ่ในรูปของขั้นเตรียมปฏิบัติ(Prepare) ขั้นกระบวนการปฏิบัติ (Process) และขั้นผลการปฏิบัติ (Product) ที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ 7.2 พฤติกรรมการเรียนรู้ทางภาคปฏิบัติ (Psychomotor Domain) นักการศึกษาหลายท่านได้แบ่งระดับของพฤติกรรมการเรียนรู้ทางภาคปฏิบัติเป็น ขั้นตอนต่าง ๆ แตกต่างกันดังนี้ เผียน โชยศร ได้อธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการปฏิบัติซึ่งจ าแนก พฤติกรรมทางค้านปฏิบัติออกเป็น 5 ขั้น คือ 1) การเลียนแบบ (Imitation) เป็นการกระท าทีละขั้นไปตามที่แสดงให้ดูอาจมีการช่วยเหลือ ในขณะท าตาม โดยเน้น 1.1) การท าตามแบบ 1.2) ท าไปตามขั้นทีละขั้น 1.3) มีผู้ท าให้ดูหรือแสดงทีละขั้น 1.4) มีการช่วยเหลือในขณะปฏิบัติ 2) การท าโดยยึดแบบ (Patterning) เป็นการท าด้วยตนเองโดยการบอกแนวให้ค าชี้แจง หรือทบทวนการปฏิบัติให้ก่อน ผู้ปฏิบัติอาจท าโดยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง อาจช้าไม่ถูกต้อง ทีเดียวในตอนแรก โดยเน้น 2.1) ท าหลังจากอธิบายวิธีการให้ฟัง 2.2) ท าหลังจากทบทวนขั้นตอนให้ฟัง 2.3) ท าหลังจากแสดงหรือปฏิบัติให้ดู 2.4) ท าหลังจากให้ศึกษาจากค าสั่ง 3) การท าด้วยความช านาญ (Mastering) เป็นการท าได้ถูกต้องแม่นย าเหมาะสมกับ เวลาโดยไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการชี้แจง ไม่มีการแนะน า ไม่มีการท าให้ดูหรือไม่มีการให้ดูแบบใด ๆ เพียงแต่ก าหนดให้ว่าให้ท าอะไร โดยเน้น 3.1) ความถูกต้อง 3.2) ความว่องไว 3.3) ความคงที่


53 3.4) ความประสานสัมพันธ์ 3.5) ความคงทน 3.6) ความแน่นอน 3.7) ความถูกต้องตามสัดส่วน 3.8) ความแข็งแรง 4) การท าในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ (Applying) เป็นการกระท าในสถานการณ์ต่าง ๆ สถานการณ์ใหม่หรืออื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากที่เคยท ามาแล้วได้ด้วยความถูกต้องในเวลาอันเหมาะสม โดยไม่มีการช่วยเหลือไม่มีการแนะน าขั้นตอนกระบวนการ หรือการปฏิบัติใด ๆ จากผู้อื่น 4.1) การเลือกทักษะที่ต้อบงใช้ในการแก้ปัญหา 4.2) การก าหนดทักษะที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหา 4 3) ความแน่ใจในการใช้ทักษะนั้นยามจ าเป็น 4.4) ก าหนดขั้นตอนกระบวนการในการแก้ปัญหา 5) การแก้ปัญหาได้โดยฉับพลัน (Improvising) เป็นการท าเพื ่อแก้ปัญหาโดย ฉับพลันซึ่งอาจเป็นการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ขยาย ยืดหยุ่น เสนอสอดแทรกสิ่งใหม่เข้าไปกับ ทักษะที่มีมาหรือท ามาก่อน โดยเน้น 5.1) การหาหนทางใหม่ในการ ใช้ทักษะ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 5.2) การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทักษะที่ต้องท าในวิถีทางที่ต้องปฏิบัติ 5.3) วิธีการสร้างเสริมแต่งบุคลิกบางอย่างในการที่จะปฏิบัติงานนั้น (เผียน โชยศร, 2539 : 38 - 54) ศิริมงคล นาฏยกุล พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของมนุษย์กับศิลปะการแสดงนาฏยศิลป์ ประเด็นส าคัญในการวิเคราะห์ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายทางนาฏศิลป์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ พื้นฐานส าคัญ คือมนุษย์มีเลื่อนไขในการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้กฎของพลัง อารมณ์และภาวะ ทางจิตใจที่ไม่มีการแบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาด การแสดงนาฏยศิลป์ในแต่ละวัฒนธรรมจะปรากฏ ลักษณะ เด่น และรูปแบบการเคลื่อนไหวร่างกายตามแบบฉบับนาฏยลักษณ์ของตนเอง การเคลื่อนไหว ร่างกายทางนาฏยศิลป์ จะมีบริบทของสังคมและพฤติกรรมส่วนอื่น ๆ ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น บุคลิกภาพส่วนบุคคลการแสดงออกทางอารมณ์และแง่มุมอื่น ๆ ของนิสัยส่วนตัวของผู้แสดง พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายในทางนาฎศิลป์ของมนุษย์จะขึ้นอยู่กับรูปแบบการฝึกฝนกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ผู้แสดงในแต่ละคน พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อการสื่อความหมาย ในทางนาฏยศิลป์จะแตกต่างกันออกไป ตามการตีความที่ถูกก าหนดขึ้น ในแต่ละแหล่งวัฒนธรรมอวัยวะที่เกี่ยวข้อง (ศิริมงคล นาฏยกุล, 2549 : 106 )


54 สรุปได้ว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ทางภาคปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมของวิชานาฏศิลป์ถ้าแบ่งระดับพฤติกรรมทางด้านปฏิบัติตามระดับความซับซ้อนของการ กระท าของกล้ามเนื้อแล้วจะตรงกับพฤติกรรมการตอบสนองที่ซับซ้อน เป็นส่วนมาก 7.3 ชนิดของแบบวัดภาคปฏิบัติ การวัดด้านปฏิบัติต้องพิจารณาทั้งกระบวนการและผลงาน การจัดเตรียมและเวลาที่ใช้ ในการปฏิบัติด้วย ดั้งนั้นจากการที่นักการศึกษาหลายท่านได้ศึกษาวิธีการวัดผลด้านการปฏิบัติ นั้นสรุปได้ดังนี้ คือ บุญชม ศรีสะอาด ได้จ าแนกแบบวัดภาคปฏิบัติตามลักษณะของงานที่ก าหนดให้ ท าไว้3 ประเภทดังนี้ 1) แบบจ าแนก (Recognition or Identification) เป็นแบบวัดความสามารถในการจ า ลักษณะที่จ าเป็นของการกระท าหรือผลงานหรือจ าแนกสิ่งของ ลักษณะของการวัด เช่นจะท าให้ เครื่องมือบกพร่อง ผิดเพี้ยนไปจากสภาพปกติ (อาจปรับไว้ไม่ดีหรือน าบางชิ้นออก) ให้ผู้สอบจ าแนก จุดบกพร่องนั้น เป็นการวัดการรู้จักถึงความผิดพลาดความถูกต้องของเครื่องมือกระบวนการหรือ ผลผลิตลักษณะของการวัดผลอีกลักษณะหนึ่ง คือให้ผู้สอนพิจารณาตัดสินเลือกผลงานที่ดีและที่ด้อย อาจเป็นผลงานทางศิลปะ ผลงานการเขียนเรียงความ 2) แบบใช้สถานการณ์จ าลอง (Simulated Situation) เป็นการวัดที่ไม่ใช่สถานการณ์ จริงแต่จ าลองสถานการณ์หรือการปฏิบัติจริงที่มุ่งวัด เช่น วัดความสามารถในการบังคับทิศทาง พวงมาลัยและ ปฏิกิริยาในการหยุดรถ โดยใช้เครื่องจ าลองไม่ได้ขับรถยนต์จริงตามท้องถนนแม้ว่าจะไม่ใช้ สถานการณ์จริง แต่มีข้อดีหลายประการ เช่น มีความประหยัด สะดวกและปลอดภัยกว่าสถานการณ์ จริงมาก แบบวัดประเภทนี้บางครั้งเรียกว่า Miniature Test 3) แบบใช้ตัวอย่างงาน (Work Sample เป็นการให้ปฏิบัติตามภาวะปกติของการ ปฏิบัติงานของประเภทนั้น ๆ อาจก าหนดให้ปฏิบัติตามล าดับที่สมบูรณ์ของพฤติกรรมหรือการกระท า ที่จ าเป็นในการปฏิบัติงานนั้น หรืออาจเลือกเพียงตัวอย่างของพฤติกรรมทั้งหมดได้อย่างเพียงพอ งานบางอย ่างจะมีความถูกผิดอย ่างชัดเจน เช ่นการปาเป้า การสอบพิมพ์ดีด การให้คะแนน ปฏิบัติงานประเภทนี้จะมีความเป็นปรนัย แต่งานบางอย่างให้คะแนนขากขึ้นกับการพิจารณา ของผู้ประเมิน เช่น การเล่นดนตรี หรือคุณภาพของการปฏิบัติที่สะท้อนจากผลงานที่ปรากฎ เช่นการ วาดภาพ (บุญชม ศรีสะอาด, 2543 : 55 - 56) สมนึก ภัททิยธนีได้จ าแนกการวัดภาคปฏิบัติไว้ว่า สามารถแบ่งได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่ กับการแบ่งว่าจะใช้เกณฑ์อะไร ดังนี้ 1) แบ่งตามด้านที่ต้องการวัด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ


55 1.1) การวัดกระบวนการ (Process) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะวิธีการท า วิธีปฏิบัติใน การท างานหรือท ากิจกรรมให้ส าเร็จ เช่น พิจารณาวิธี ที่ผู้เรียนท าการทดลองในห้องปฏิบัติการในวิชาวิทยาศาสตร์ การใช้เครื่องมือช่างท าเฟอร์นิเจอร์ การกล่าวสุนทรพจน์ การตีเทนนิสแบบโฟร์แฮนด์ เป็นต้น 1.2) การวัดผลงาน (Product) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะผลงานหรือผลผลิตซึ่ง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการท างานหรือกิจกรรม เช่น ตัวเฟอร์นิเจอร์ ที่ผลิตออกมาภาพวาดของนักเรียน ดอกไม้ประดิษฐ์จากฝีมือนักเรียน เป็นต้น ในบางครั้งจะวัดทั้งกระบวนการและผลผลิต แต่บางครั้ง วัดเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เช่นในการวาดภาพวัดเฉพาะผลงานอย่างเดียว 2) แบ่งตามลักษณะสถานการณ์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.1) ใช้สถานการณ์จริง (Real Setting) เป็นการวัดผลงานภาคปฏิบัติโดยใช้สถานการณ์จริง 2.2) สถานการณ์จ าลอง (Simulated Setting) การวัดผลงานปฏิบัติในบางเรื่อง ต้องใช้สถานการณ์จ าลอง เพราะถ้าใช้สถานการณ์จริงจะสิ้นเปลืองมาก มีอันตรายหรือสามารถกระท า ได้ เช่น การฝึกหัดนักบินใหม่ 3) แบ่งตามการเกิดสิ่งเร้า แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 3.1) ใช้สิ่งเร้าที่เป็นธรรมชาติ (Natural Stimulus) เป็นการวัดผลงานภาคปฏิบัติที่ เป็นธรรมชาติ ผู้วัดไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่น ทักษะทางสังคมของนักเรียนที่ผู้วัดท าการสังเกตใน สภาพที่เป็นไปตามธรรมชาติไม่ได้ก าหนดให้ปฏิบัติ นิยมใช้วัดคุณลักษณะของบุคลิกภาพนิสัยการ ท างานความเต็มใจในการปฏิบัติตามกระบวนการที่ก าหนดให้ปฏิบัติ เช่น ตามกฎความปลอดภัย เป็นต้น 3.2) ใช้สิ่งเร้าที่จัดขึ้น (Structured Stimulus) เป็นการวัดโดยจัดสิ่งเร้าที่สามารถแสดง ให้เห็นพฤติกรรมที ่ต้องการวัดได้หรือปรากฏให้เห็นเด ่นชัด เช ่น การให้นักเรียนเตรียมและกล ่าว สุนทรพจน์การทดลองในห้องปฏิบัติการ การอ่านออกเสียง การเล่นดนตรี วิธีนี้จะลดการสังเกตลง เพราะไม่ ต้องรอให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากชนิดของแบบทดสอบที่กล่าวมาแล้ว (สมนึก ภัททิยธนี,2544 :50 -51) สรุปได้ว่า ชนิดของแบบวัดภาคปฏิบัติเป็นแบบทดสอบจ าลองสถานการณ์และแบบทดสอบ ตัวอย่างงานเป็นชนิดของแบบทดสอบที่มีความสอดคล้องกับการการเรียนการสอนด้านปฏิบัติใน วิชาชีพ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะเลือกการสร้างตามแบบทดสอบตัวอย่างงาน 7.4 การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติ การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติมีขั้นตอนในการสร้างอยู่หลายขั้นตอน ได้มีผู้เสนอหลัก และขั้นตอนในการสร้างไว้หลายท่าน ดังนี้ เผียน ไชยศร ได้อธิบายถึงล าดับขั้นในการสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติไว้ ดังนี้ 1) ระบุสาระส าคัญที่เป็นหลักวิชา และทักษะหลักในการท างาน 2) ก าหนดขั้นตอนหรือองค์ประกอบของการปฏิบัติงานที่จะวัด 3) ระบุรายการและกิจกรรมในแต่ละขั้นตอนหรือองค์ประกอบ


56 4) ศึกษาและก าหนดตัวแปรที่ส่งผลให้การปฏิบัติงานนั้นมีผลต่องานที่ได้รับ 5) ระบุรายการและการปฏิบัติที่ใช้แต่ละองค์ประกอบ 6) เขียนข้อรายการ 7) ก าหนดเกณฑ์ในการตัดสิน 8) การให้น้ าหนัก 9) ก าหนดน้ าหนักของแต่ละข้อรายการ (lem) ของแต่ละขั้นตอนที่จ าแนกเป็น รายละเอียดในการปฏิบัติได้ 10) การจัดรูปแบบเครื่องมือ จัดรวบรวมข้อรายการต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนเกณฑ์และ น้ าหนักหรือคะแนน เข้าเป็นหมวดหมู่เรียงตามล าดับ (เผียน ไชยศร, 2539 : 46 - 53) เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์ ได้อธิบายขั้นตอนในการสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติไว้ ดังนี้ 1) เลือกวิธีการต่าง ๆ ที่จะน ามาสร้างเป็นสถานการณ์หรืองานที่จะใช้สร้าง 2) วิเคราะห์ปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เลือกไว้เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องมือวัสดุ และขั้นตอนในการท างาน 3) เลือกหรือก าหนดประเภทของงานที่สอดคล้องเหมาะสมกับปฏิบัติการ 4) จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่จ าเป็นส าหรับการท างาน 5) ก าหนดจุดมุ่งหมาย และสิ่งที่ต้องการวัดในตัวแบบวัด 6) เน้นจุดส าคัญเฉพาะที่ต้องการประเมิน โดยค านึงถึงความส าคัญและความสัมพันธ์ ร่วมระหว่างงานในแบบวัด ความเป็นปรนัย ความเชื่อมั่น อ านาจจ าแนกของงาน 7) สร้างแบบตรวจสอบรายการ น าข้อสอบที่ได้จากขั้นตอนที่ 6 มารวมเป็นแบบวัดภาคปฏิบัติ โดยการสร้างแบบตรวจรายการประกอบในการใช้แบบวัด 8) เตรียมค าชี้แจงส าหรับผู้ด าเนินการสอบด้วยค าอธิบายที่ชัดเจน 9) เลือกและสร้างเครื่องมือช่วยในการสอบ 10) ทดลองและปรับปรุงแบบวัดโดยอาศัยข้อวิจารณ์จากคนอื่นที่เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆหรือสอนในระดับนั้น (เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์,2531 : 24 -43) พวงแก้ว ปุณยกนก และ สุวิมล ว่องวาณิช ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติไว้ 5ขั้น ดังนี้ 1) วิเคราะห์งาน (Job Analysis) เป็นการวิเคราะห์กิจกรรมที่ต้องด าเนินการในการท างาน เพื่อระบุพฤติกรรมที่บ่งชี้ความสามารถทางการปฏิบัติที่มุ่งวัด 2) การก าหนดตัวบ่งชี้พฤติกรรมที่จะวัด (Indicator) คือ การตั้งเกณฑ์การวัดให้ สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด 3) ระบุสภาพการณ์ที่ใช้ในการวัดให้ชัดเจน


57 4) เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวัด 5) เตรียมค าสั่งหรือค าชี้แจงเพื่อใช้ในการบริหารแบบวัด (พวงแก้ว ปุณยกนกและสุวิมล ว่องวาณิช, 2534 : 24) สุภรณ์ ลิ้มบริบูรณ์ ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติไว้ ดังนี้ 1) ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ คือ จุดประสงค์ที่ระบุว่าต้องการให้นักเรียนท าอะไร ได้เพื่อวัดว่านักเรียนมีพฤติกรรมตามที่ก าหนดหรือไม่ 2) ก าหนดลักษณะของการวัด 3) ก าหนดพฤติกรรมจากการพิจารณาในข้อ 2 น ามาก าหนดพฤติกรรมที่จะ 4) สร้างเครื่องมือ รวบรวมรายการหรือพฤติกรรมที่ก าหนดไว้ในข้อ 3 มาสร้างเครื่องมือ 5) ก าหนดเกณฑ์การวัด คือ การก าหนดว่าผู้เรียนจะต้องท าได้แค่ไหน (สุภรณ์ ลิ้มบริบูรณ์,2535: 15 -17) สรุปได้ว่า การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติในการสร้างแบบวัดภาคปฏิบัตินั้นจะต้องเริ่ม จากการวิเคราะห์งานเพื ่อให้รู้ขอบเขตของงานนั้น และจะมีการเตรียมการอย ่างไร รวมทั้ง การตรวจสอบวิเคราะห์งานว่ามีความเที่ยงตรงเพียงใดโดยผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นลงมือสร้างเครื่องมือโดย การเขียนข้อปฏิบัติ ก าหนดเกณฑ์การให้คะแนน ก าหนดระดับน้ าหนักคะแนนและสร้างแบบวัด ในการสังเกตหรือให้คะแนน และน าเครื ่องมือไปทดลองใช้ แล้วน าข้อมูลที ่ได้มาวิเคราะห์ หาคุณภาพของเครื่องมือว่าอยู่ในระดับใด มีความเหมาะสมหรือไม่ในการน าเครื่องมือไปใช้ต่อไป 8. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 8.1 ความหมายของความพึงพอใจ นักวิชาการทางด้านการศึกษาได้ให้ความหมายของ ความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ กิติมา ปรีดีดิลก ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ชอบหรือ พอใจที่มีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ ของงานและผู้ปฏิบัติงานนั้น ได้รับการตอบสนอง ความต้องการของเขาได้(กิติมา ปรีดีดิลก, 2529 : 321) เกรียงไกร เจริญพานิช ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน หมายถึง ความรู้สึกหรือเจตคติที่ดีของบุคคลที่มีต่องานที่ก าลังปฏิบัติอันเนื่องมาจากปัจจัยหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ในการท างาน เช่น ลักษณะงาน สภาพแวดล้อมการท างาน และผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ ถ้าองค์ประกอบ เหล่านี้สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสมก็มีผลท าให้ เกิดความพึงพอใจใน การท างาน (เกรียงไกร เจริญพานิช, 2541 : 10) อารี พันธ์มณีกล่าวว่า ความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ


58 ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ และความรู้สึกดังกล่าวนี้จะ ลดลงหรือไม่เกิดขึ้น ถ้าหากความต้องการหรือเป้าหมายนั้นไม่รับการตอบสนอง ซึ่งระดับความพึงพอใจ จะแตกต่างกัน ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการบริการ (อารี พันธ์มณี, 2546 : 12) ประภาส เกตุแก้ว อ้างถึงใน Morse กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะ จิตที่ปราศจาก ความเครียด ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความต้องการนั้นได้รับการ ตอบสนอง ทั้งหมดหรือบางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลงความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้น และในทางกลับกันถ้าความต้องการ นั้นไม่ได้รับการตอบสนองความเครียดและความไม่พอใจก็จะเกิดขึ้น (ประภาส เกตุแก้ว, 2546 : 11 อ้างถึงใน Morse, 1953 : 27) สรุปได้ว่า ความหมายของความพึงพอใจ เป็นการแสดงความรู้สึกชอบของบุคคลที่มีต่อ การจัดกิจกรรมหรือการปฏิบัติงาน ที่มีผลไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ และได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ตามที่หวังไว้ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ ถ้าเป็นทางบวกผลการปฏิบัติงาน หรือกิจกรรมก็จะ บรรลุผลส าเร็จ แต่ถ้าเป็นทางลบก็จะเกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงานนั้น ๆ ได้ 8.2 ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่สามารถแสดงออกมาให้เห็น อาจจะเป็นกริยาท่าทางหรือ การแสดงออกทางสีหน้าเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ตนเองคาดหวังไว้ ซึ่งมีนักการศึกษาได้น าเสนอแนวคิด หลักการไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ วิชัย เหลืองธรรมชาติได้ให้แนวความคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจว่าความพึงพอใจมีส่วน เกี่ยวข้องกับความต้องการของมนุษย์ คือพึงพอใจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการของมนุษย์ได้รับ การตอบสนองซึ่งมนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่ใดย่อมมีความต้องการขั้นพื้นฐานไม่ต่างกัน (วิชัย เหลืองธรรมชาติ, 2531 : 9) สุเทพ พานิชพันธุ์ได้สรุปถึงสิ่งจูงใจที่ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้บุคคลเกิดความพึงพอใจไว้ดังนี้ 1) สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุได้แก่เงินสิ่งของเป็นต้น 2)สภาพทางกายที่ปรารถนาคือสิ่งแวดล้อมในการประกอบกิจกรรมต่างๆซึ่งเป็นสิ่งส าคัญ อย่างหนึ่งอันก่อให้เกิดความสุขทางกาย 3) ผลประโยชน์ทางอุดมคติหมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สนองความต้องการของบุคคล 4) ผลประโยชน์ทางสังคม คือความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้ร่วมกิจกรรมอันจะท าให้เกิด ความผูกพันความพึงพอใจและสภาพการอยู่ร่วมกันอันเป็นความพึงพอใจของบุคคลในด้านสังคม หรือความมั่นคงในสังคมซึ่งจะท าให้รู้สึกมีหลักประกันและมีความมั่นคงในการประกอบกิจกรรม (สุเทพ พานิชพันธุ์, 2541 : 5) สุเทพ เมฆ กล่าวว่า ความพึงพอใจในบรรยากาศการเรียนการสอน หมายถึงความรู้สึกพอใจ ในสภาพการจัดองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ซึ่งมีความส าคัญในการช่วยให้นักเรียน


59 เกิดการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา มีความเจริญงอกงาม มีความกระตือรือร้น เพื่อจะเรียนให้เกิดประโยชน์ แก่ตนเอง (สุเทพ เมฆ, 2531 : 8) สมรภูมิ ขวัญคุ้ม กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงผลรวมของความรู้สึกชอบของ บุคลากรอันเกิดจากทัศนคติที ่มีต่อคุณภาพและสภาพของหน่วยงาน อันได้แก ่ การจัดองค์การ การจัดระบบงาน การด าเนินงาน สภาพแวดล้อมของการท างาน ประสิทธิภาพของหน่วยงานตลอดจน การบริหารงานบุคคล ซึ่งคุณภาพและสภาพของหน่วยงานดังกล่าวมีผลกระทบต่อความต้องการของ บุคคลและผลต่อความพึงพอใจของบุคคลนั้น (สมรภูมิ ขวัญคุ้ม, 2530 : 9) สรุปได้ว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและ ทัศนคติของบุคคลอัน เนื่องมาจากสิ่งเร้า และแรงจูงใจ ซึ่งปรากฏออกมาทางพฤติกรรมและเป็น องค์ประกอบที่ส าคัญ ในการท ากิจกรรมต่าง ๆ 8.3 การวัดความพึงพอใจ เนื่องจากความพึงพอใจ เป็นทัศนคติในทางบวกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การจะวัดว่า บุคคลมีความรู้สึกพึงพอใจหรือไม่นั้น จึงมีความจ าเป็นต้องใช้และสร้างเครื่องมือที่จะช่วย วัดทัศนคตินั้น ๆ ได้ซึ่งนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ โยธิน ศันสนยุทธ ได้กล่าวถึง เครื่องมือวัดความพึงพอใจว่า การจะค้นหาว่าบุคคล มีความพึงพอใจหรือไม่ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการถาม ซึ่งการศึกษาในระยะหลัง ๆ ที่ต้องมีผู้บอกข้อมูล จ านวนมาก ๆ มักใช้แบบสอบถามที่ใช้มาตราส่วนประมาณค่าของลิเคิร์ท (Likert) ประกอบ ด้วยชุด ของค าถาม และมีตัวเลือก 5 ตัว ส าหรับเลือกตอบคือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด และ คะแนนความพึงพอใจนั้นสามารถน ามาวิเคราะห์ได้ว่า บุคคลมีความพึงพอใจในด้านใดสูงและด้านใดต่ า โดยใช้วิธีการทางสถิติ หรืออาจจะใช้วิธีการวัดทัศนคติโดยการเขียนตอบอย่างเสรีก็ได้ (โยธิน ศันสนยุทธ, 2535 : 66 - 71) บุญชม ศรีสะอาด กล่าวไว้ว่า แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ใช้ ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยชุดของข้อค าถามที่ต้องการให้ กลุ่มตัวอย่างตอบโดยกาเครื่องหมายหรือ เขียนตอบ หรือกรณีที่กลุ่มตัวอย่างอ่านหนังสือไม่ได้หรืออ่าน ได้ยาก อาจใช้วิธีสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม นิยมถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็นของบุคคล ดังมีรายละเอียด ดังนี้ 1) โครงสร้างของแบบสอบถาม ทุกแบบสอบถามจะมีโครงสร้างหรือ ส่วนประกอบที่ส าคัญ 3ส่วน ดังนี้ 1.1) ค าชี้แจงในการตอบแบบสอบถาม เป็นส่วนแรกของการสอบถาม โดยระบุ จุดมุ่งหมายและความส าคัญที่ให้ตอบแบบสอบถาม (หรือการน าค าตอบที่ได้ไปใช้ประโยชน์) ค าอธิบาย ลักษณะของแบบสอบถามและวิธีตอบพร้อมยกตัวอย่างประกอบ และตอนสุดท้ายของ ค าชี้แจง ควรกล่าวขอบคุณล่วงหน้าพร้อมระบุชื่อเจ้าของแบบสอบถามทุกครั้ง


60 1.2)สถานภาพทั่วไป เป็นรายละเอียดส่วนตัวของผู้ตอบ เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา ฯลฯ 1.3) ข้อค าถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะวัด ซึ่งอาจจะแยกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ แล้วสร้างข้อค าถามวัตพฤติกรรมย่อย ๆ นั้นอาจเป็นแบบสอบถามชนิดรูปแบบเดียวหรือหลาย รูปแบบก็ได้ 2) รูปแบบของแบบสอบถาม ข้อค าถามในแบบสอบถามอาจมีลักษณะเป็น ปลายเปิด หรือแบบปลายปิด แบบสอบถามฉบับหนึ่งอาจเป็นแบบปลายเปิดทั้งหมด เป็นปลายปิด ทั้งหมดหรือ แบบผสม ดังนี้ 2.1) ข้อค าถามปลายเปิด เป็นค าถามที่ไม่ได้ก าหนดค าตอบไว้ให้เลือกตอบแต่เปิด โอกาสให้ผู้ตอบแบบ สอบถามตอบ โดยใช้ค าพูดของตนเอง อาจท าให้เสียเวลาในการตอบมาก และสรุป ผลการวิจัยได้ยาก 2.2) ข้อค าถามแบบปลายปิด เป็นค าถามที่มีค าตอบให้ผู้ตอบเขียนเครื่องหมาย ลงหน้าข้อความหรือตรงกับช่องที่ เป็นความจริง หรือความเห็นของตน มีหลายรูปแบบได้แก่ 2.2.1) แบบให้เลือกค าตอบที่ตรงกับความเป็นจริงหรือความคิดเห็น ของตนเพียง ค าตอบเดียว จาก 2ค าตอบ 2.2.2) แบบให้เลือกค าตอบที่ตรงกับความเป็นจริงหรือความคิดเห็น ของตนเพียง ค าตอบเดียว จากหลายค าตอบ (มากกว่า 2ค าตอบ) 2.2.3) แบบให้เลือกค าตอบที่ตรงกับความเป็นจริงหรือความคิดเห็น ของตนได้หลาย ค าตอบ 2.2.4) แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยให้ผู้ตอบ เลือกตอบ ตามระดับความคิดเห็นของตน ค าถามอาจจัดให้อยู่ในรูปของตาราง 2.2.5) แบบผสม หมายถึงมีหลายแบบอยู่ด้วยกัน 2.2.6)แบบให้เรียงล าดับความส าคัญ โดยเขียนล าดับความชอบที่มีต่อ สิ่งต่าง ๆ 2.2.7) แบบเติมค าสั้น ๆ ลงในช่องว่าง สิ่งจะให้เติม มีความเฉพาะเจาะจง 3) หลักในการสร้างแบบสอบถาม มีดังนี้ 3.1) ก าหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าต้องการถามอะไรบ้าง 3.2) สร้างค าถามให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ 3.3) เรียงข้อค าถามตามล าดับให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันตรงหัวข้อที่ได้วางโครงสร้าง 3.4) ไม่ควรให้ผู้ตอบ ตอบมากเกินไป เพราะจะท าให้เบื่อหน่ายไม่ให้ ความร่วมมือ หรือตอบโดยไม่ตั้งใจ 3.5) ให้ผู้ตอบแบบสอบถามมีความล าบากน้อยที่สุดในการตอบ ดังนั้นควรใช้ ข้อค าถามแบบปลายปิด ผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแต่กาตอบในแบบสอบถาม 3.6) สร้างข้อค าถามให้มีลักษณะที่ดี คือ มีลักษณะดังนี้


61 3.6.1) ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ก ากวม ไม่มีความซับซ้อน 3.6.2) ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัด ไม่มีส่วนฟุ่มเฟือย 3.6.3) เป็นข้อค าถามที่เหมาะสมกับผู้ตอบ โดยค านึงถึงสติปัญญาระดับ การศึกษาความสนใจของผู้ตอบ 3.6.4) แต่ละข้อควรถามเพียงปัญหาเดียว 3.6.5) หลีกเลี่ยงค าถามที่จะตอบได้หลายทาง 3.6.6) หลีกเลี่ยงค าถามที่จะท าให้ผู้ตอบเบื่อหน่าย ไม่รู้เรื่อง หรือไม่ สามารถตอบได้ 3.6.7) หลีกเหลี่ยงค า ที่ผู้ตอบมีความแตกต่างกัน เช่น บ่อย ๆ เสมอๆ รวย โง่ ฉลาด 3.6.8) ไม่ใช้ค าถามที่เป็นค าถามน าผู้ตอบ ให้ตอบุตามแนวหนึ่งแนวใด 3.6.9) ไม่เป็นค าถามที่จะท าให้ผู้ตอบ เกิดความล าบากใจ หรืออึดอัดใจที่จะตอบ 3.6.10) ไม่ถามในสิ่งที่รู้แล้ว หรือวัดด้วยวิธีอื่นได้ดีกว่า 3.6.11) ไม่ถามในเรื่องที่เป็นความลับ 3.6.12) ค าตอบที่ให้เลือกในข้อค าถาม ควรมีให้ครอบคลุม กลุ่มตัวอย่างทุกคน สามารถเลือกตอบได้ตรงกับความเป็นจริงตามความเห็นของเขา บางครั้งอาจมีตอนให้เติม 4) มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นมาตราวัดชนิดหนึ่ง ที่ใช้สร้างเป็น เครื่องมือ ประเภทแบบสอบถาม แบบวัดด้านจิตพิสัย เช่น เจตคติ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ฯลฯ มีลักษณะส าคัญ 4 ประการดังนี้ 4.1) มีระดับความเข้มข้นให้ผู้ตอบ เลือกตอบตามความคิดเห็น เหตุผล สภาพ ความเป็นจริง ตั้งแต่ 3 ระดับขึ้นไป 4.2) ระดับที ่เลือกอาจเป็นชนิดที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบในข้อเดียวกันหรือ มีเฉพาะด้านบวกหรือมีเฉพาะด้านลบ โดยที่อีกด้านหนึ่งจะเป็นศูนย์หรือระดับน้อยมาก 4.3) บางข้อมีลักษณะเชิงนิมาน (Positive Scale) บางข้อมีลักษณะเชิงนิเสธ (Negative Scale) 4.4) ส าม ารถแปลงผลตอบเป็นคะแนนได้ จึงส าม ารถวัดคว ามคิดเห็น คุณลักษณะ ด้านจิตพิสัยออกมาในเชิงปริมาณได้ โดยใช้เกณฑ์ดังแสดงในตาราง ตารางที่ 1 เกณฑ์การให้คะแนนแบบวัดความพึงพอใจ ข้อความที่กล่าวในเชิงนิมาน (ทางบวก) (Positive Statement) มากที่สุด ข้อความที่กล่าวในเชิงนิเสธ (ทางลบ) (Negative Statement) มากที่สุด 5 คะแนน มากที่สุด 1 คะแนน มาก 4 คะแนน มาก 2 คะแนน ปานกลาง 3 คะแนน ปานกลาง 3 คะแนน


62 ตารางที่ 1 เกณฑ์การให้คะแนนแบบวัดความพึงพอใจ (ต่อ) ข้อความที่กล่าวในเชิงนิมาน (ทางบวก) (Positive Statement) มากที่สุด ข้อความที่กล่าวในเชิงนิเสธ (ทางลบ) (Negative Statement) น้อย 2 คะแนน น้อย 4 คะแนน น้อยที่สุด 1 คะแนน น้อยที่สุด 5 คะแนน ที่มา : บุญชม ศรีสะอาด การวัดความพึงพอใจในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้ศึกษาค้นคว้าใช้แบบสอบถามชนิดมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เพื่อวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ โดยค านึงถึงโครงสร้าง หลักในการสร้างรูปแบบ และลักษณะของแบบสอบถามที่ดี(บุญชม ศรีสะอาด,2545 : 63 -71) ปริญญา จเรรัชต์และคณะ กล่าวว่า มาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระท าได้หลายวิธีได้แก่ 1)การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็น ซึ่งสามารถท าได้ในลักษณะที่ก าหนดค าตอบให้เลือก หรือตอบค าถามอิสระค าถามดังกล่าวอาจถาม ความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ เช่นการบริหาร และเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น 2) การสัมภาษณ์เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่งซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและ วิธีการที่ดีที่จะท าให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3) ก ารสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบ ุคคล เป้าหมายไม ่ว่าจะแสดงออกจากการพูดกิริยาท ่าทางวิธีนี้จะต้องอาศัยการกระท าอย ่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมีระเบียบแบบแผน (ปริญญา จเรรัชต์และคณะ,2546 : 5) สาโรจน์ไสยสมบัติ ความพึงพอใจเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบกับระดับความรู้สึกของนักเรียนดังนั้นในการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้กระท าได้หลาย วิธีตอไปนี้ 1) การใช้แบบสอบถาม ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใชมากอย่างแพรหลายวิธีหนึ่ง 2) การสัมภาษณ์ซึ่งเป็นวิธีที่ตองอาศัยเทคนิค และความช านาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ ที่จะจูงใจใหผู้ตอบค าถามตามขอเท็จจริง 3) การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้งก่อนการปฏิบัติกิจกรรม ขณะปฏิบัติกิจกรรม และหลักการปฏิบัติกิจกรรม (สาโรจน์ไสยสมบัติ, 2534 : 39) สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้สามารถ ที่จะวัดได้หลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกความเหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายของ การวัดด้วยจึงจะส่งผลใหการวัดนั้นมีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ


63 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กนกรัตน์ วุฒิวิชาภรณ์(2555 : 210) ได้ท าการศึกษาวิจัยเพื่อ ศึกษาผลการใช้สื่อมัลติมีเดีย ร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาชีววิทยา ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทวารวดี จังหวัดนครปฐม มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนด้วยสื ่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้และวิธีสอนแบบ ปกติ3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย ร่วมกับวิธีเรียนแบบ สืบเสาะ หาความรู้และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนทวารวดี ที่ก าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 จ านวน 2 ห้องเรียน รวม 60 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้2) แผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบปกติ 3 สื่อมัลติมีเดีย 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 5) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ ที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 6) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ ที่มีต่อวิธีสอนแบบปกติ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (x̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบแบบ (t-test) แบบ Independent และแบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกัน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน ด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ และด้วยวิธีสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .0.5 โดยนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธี เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ จิรายุท ประเสริฐศรี และคชากฤษ เหลี ่ยมไรสง (2557 : 65) ได้ท าการศึกษาวิจัย เพื่อการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์2) ศึกษาการ รับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง หลังการชมสื่อมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น 3) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง หลังการชมสื่อมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เยาวชนจังหวัด บุรีรัมย์ จ านวน 372 คน และผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดียผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จ านวน 35 คน โดยวิธีสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ 1) สื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ 2) แบบประเมินคุณภาพสื่อมัลติมีเดีย 3) แบบวัดการรับรู้เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดีย 4) แบบสอบถาม ความพึงพอใจ 5) การเผยแพร่สื่อมัลติมีเดียผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่


64 ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี กลุ่มตัวอย่าง มีการรับรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก และผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดีย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์จ านวน 35 คน กดปุ่มชอบ (Like) คิดเป็น ร้อยละ 97.10 ธนาพร ปัญญาอมรวัฒน์ และอนุช สุทธิธนกูล (2557 : 34 - 43) ได้ท าการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส าหรับการเรียนการสอนภาษาจีนพื้นฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา สภาพการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อในรายวิชาภาษาจีนพื้นฐาน 2) เพื่อศึกษาความส าคัญของการ เรียนก า รส อนภ าษ าจีนโด ยใช้สื ่อมัล ติมีเดียใน ฐ าน ะสื ่อช ่วย ก า รเรียน รู้ ของผู้เรียนใน ระดับอุดมศึกษา 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย ส าหรับการเรียนการสอน ภาษาจีน พื้นฐานให้ดียิ่งขึ้น ผลการศึกษาพบว่าในปัจจุบันมีการใช้สื่อมัลติมีเดียประกอบการสอนภาษาจีน ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และสามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นิเวศน์ วงศ์ประทุม (2558 : 9) ได้ท าการศึกษา การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียประกอบการเรียน วิชาการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซีชาร์ป 1 กลุ่มสารการงานอาชีพและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 วัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพสื่อมัลติมีเดียประกอบการเรียน วิชาการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซีชาร์ป 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยภาษาซีชาร์ป 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 3) ได้ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ สื่อมัลติมีเดียประกอบการเรียนวิชาการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาชีชาร์ป 1 4) ศึกษาความคงทน ในการเรียนรู้หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วรลักษณ์ วิทูวินิต (2559 : 96 - 108) ได้ท าการศึกษาวิจัยเพื่อสร้างสื่อการสอนมัลติมีเดีย เสมือนจริง เรื่องประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม อยุธยา : กรณีศึกษาวัดพระราม เพื่อศึกษา ความเหมาะสมของสื่อการสอนจากผู้เชี่ยวชาญและเพื่อ ศึกษาความพึงพอใจในสื่อการสอนจากนักศึกษา การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียเสมือนจริงมีขั้นตอนการวิจัย ขั้นตอน คือ 1) ขั้นตอนการวิเคราะห์ และออกแบบ 2) ขั้นตอนการจัดเตรียมข้อมูลภาพ เสมือนจริง 3) ขั้นตอนในการสร้างระบบน าเสนอ 4) ขั้นตอนการสร้างระบบน าทางในการชมเกาะอยุธยา 5) ขั้นตอนการเผยแพร่ และ 6) ขั้นตอน การส รุปผล โดยใช้โปรแกรมในการพัฒนาดังนี้ 1) โปรแกรม Easypano Tour weaver 7.50 Professional Edition 2)โป รแกรม Photoshop CS 6 3) โป รแกรม Maya และ 4) โป รแกรม Dreamweaver CS6กลุ่มเป้าหมายในงานวิจัยคือ นักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย ผลการวิจัยพบว่าสื่อการสอนมัลติมีเดียเสมือนจริง เรื่อง ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอยุธยา : กรณีศึกษาวัดพระราม ผ่านการประเมินความเหมาะสมโดย ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาได้ประเมินความ เหมาะสมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.42, S.D.=-0.40) และ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคได้ประเมินความ เหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( x̅ = 3.53, S.D.=0.46) และกลุ่มตัวอย่าง


65 คือ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยี สถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขต อุเทนถวาย ได้ประเมินความพึง พอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.23, S.D.=0.16) กุลยา เจริญมงคลวิไล (2560 : 258 - 265) ได้ท าการศึกษาวิจัย รูปแบบการเรียนแบบ ผสมผสานโดยใช้ สื่อมัลติมีเดียกรณีศึกษารายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐมมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียน แบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียน แบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ลงทะเบียนเรียนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โดยวิธีเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ประกอบด้วย 1) ระบบบริหาร จัดการเรียนรู 2) สื่อมัลติมีเดียรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร 3 แบบสอบถามความพึงพอใจของ ผู้เรียน สถิติที่ใช่ในการวิเคราะห์ขอมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า (t - test) จากผลของการวิจัยพบว่าผลคะแนนเฉลี่ยก่อน เรียน และหลังเรียนของผู้เรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 1.50 และความพึงพอใจ ของผู้เรียนหลังจากเรียนด้วยการเรียนแบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดียอยู่ที่ระดับ 4.40คือระดับมาก ผู้วิจัยสรุปได้ว่า สื่อมัลติมีเดียมีส่วนช่วยการจัดการศึกษา มุ่งผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเพื่อเป็นสื่อ ที่เสมือนจริง มีความเหมาะสมของสื่อการสอน การจัดท าสื่อมัลติมีเดียสามารถปรับปรุงแก้ไขข้อมูล ให้ทันสมัยหรือเพิ่มเติมข้อมูล เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบการเรียน การสอนแบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยสื่อ มัลติมีเดียร่วมกับวิธีการสอนแบบเสาะหา และวิธีการเรียนการสอนแบบปกติ จากการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าการเรียนด้วยวิธีปกติ จึงท าให้เห็น ความส าคัญของการใช้สื่อมัลติมีเดียในการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง


บทที่ 3 วิธีการด าเนินงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยการสร้างสื่อมัลติมีเดีย แบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย มีล าดับขั้นตอน และการด าเนินงานวิจัยดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1(ปวช.) สาขาวิชานาฏศิลป์ไทยละคร วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมาจ านวน 12คน ซึ่งเป็นการเลือกกลุ่มเป้าหมาย แบบเจาะจง (Purposive sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 4 ชนิด คือ 2.1แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย จ านวน 8 แผน โดยใช้เวลาในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนละ 3 ชั่วโมง 12 คาบ/2 สัปดาห์รวมทดสอบหลังเรียนเป็น 24 ชั่วโมง 2.2สื่อการเรียนรู้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 2.3แบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่องประวัติความมา นาฏยศัพท์ เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ในการแสดงของ ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ตัวเลือก จ านวน 20ข้อ 2.4แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วย สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยจ านวน 10 ข้อ


67 3. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 3.1การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยผู้วิจัยได้ค้นคว้าด าเนินการสร้างและหา คุณภาพตามล าดับ ดังนี้ 3.1.1 ศึกษาหลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศักราช 2562 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย เพื่อก าหนดขอบเขต สาระการเรียนรู้ และหน่วยการเรียนรู้ที่จะท า การทดลอง 3.1.2 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ วิธีเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากเอกสาร ต ารา หลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศักราช 2562 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย และเอกสาร ต าราการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เพื ่อเป็นแนวทางในการเขียนแผน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างถูกต้อง 3.1.3 วิเคราะห์หลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.1.4 วิเคราะห์ปรับรายละเอียด มาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศักราช 2562 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.1.5 แบ่งเนื้อหาออกเป็นแผนย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ใช้ในการสอนซึ่ง ผู้วิจัยได้แบ่งเป็น 8 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้เวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมง 3.1.6 น าสาระการเรียนรู้ที่ก าหนดมาออกแบบ โดยเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย จ านวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แผนการเรียนรู้จ านวนแผนละ 3ชั่วโมง รวม 24 ชั่วโมง 3.1.7 น าแผนการเรียนรู้ และแบบประเมินแผนการเรียนรู้ เสนอผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม ความสอดคล้องด้านสาระการเรียนรู้จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย 1. นางวิลาวัณย์ อ่วมอุไร ต าแหน่ง ครูช านาญการ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม 2. นางปาจรีย์ บูรณธนิต พละสุข ต าแหน่งครูช านาญการวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม 3. นางศุภรัตน์ ทองพาณิชย์ ต าแหน่งครูช านาญการพิเศษ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม 4.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. วีรยุทธ ชุติมารังสรรค์ต าแหน่งอาจารย์ประจ าหลักสูตร บัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด


68 5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. สุชาติ หอมจันทร์ ต าแหน่ง อาจารย์สาขาวิจัยและ ประเมินผลการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3.1.8 ผู้วิจัยให้ผู้เชี ่ยวชาญประเมิน โดยใช้เกณฑ์ให้คะแนนตามแบบประเมินของ ลิเคอร์ทซึ่งมี 5 ระดับ คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อยและ เหมาะสมน้อยที่สุด และก าหนดเกณฑ์ในการตัดสินผลการประเมินดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลว่า เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลว่า เหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลว่า เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลว่า เหมาะสมน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลว่า เหมาะสมน้อยที่สุด (บุญชม ศรีสะอาด,2545: 65) ผู้วิจัยยอมรับผลการประเมินที่มีความเหมาะสมในระดับมากขึ้นไป และผลการประเมิน การจัดกิจกรรมการเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมากขึ้นไป 3.1.9 น าแผนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง และประเมินอีก ครั้งหนึ่งว่าผู้วิจัยแก้ไขได้ตรงตามข้อเสนอแนะหรือไม่ จากนั้นจึงน าแผนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพยอมรับได้ น าไปทดลองสอนร่วมกับสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.2 การสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยผู้ศึกษาค้นคว้าได้ด าเนินการสร้าง และหาคุณภาพ ตามล าดับ ดังนี้ 3.2.1 ศึกษาหลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.2.2ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ หลักการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย จากเอกสารต ารา และการออกแบบ สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.2.3 น าสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย และแบบประเมิน เสนอผู้เชี่ยวชาญจ านวน 5 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ คณะเดียวกันกับที่ตรวจสอบแผนการสอน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม ความสอดคล้อง ด้านสาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 1. นางวิลาวัณย์ อ่วมอุไร ต าแหน่ง ครูช านาญการ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม


69 2. นางปาจรีย์ บูรณธนิต พละสุข ต าแหน่งครูช านาญการวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม 3. นางศุภรัตน์ ทองพาณิชย์ ต าแหน่งครูช านาญการพิเศษ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม 4.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. วีรยุทธ ชุติมารังสรรค์ ต าแหน่งอาจารย์ประจ าหลักสูตร บัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด 5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุชาติ หอมจันทร์ ต าแหน่ง อาจารย์สาขาวิจัยและ ประเมินผลการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3.2.4 ผู้วิจัยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน โดยใช้เกณฑ์ให้คะแนนตามแบบประเมินของ ลิเคอร์ทซึ่งมี 5 ระดับ คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และ เหมาะสมน้อยที่สุด (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 65) และก าหนดเกณฑ์ในการตัดสินผลการประเมินผลดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลว่า เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลว่า เหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลว่า เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลว่า เหมาะสมน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลว่า เหมาะสมน้อยที่สุด ผู้วิจัยยอมรับผลการประเมินที่มีความเหมาะสมในระดับมากขึ้นไป และปรับแก้ ข้อบกพร่องของแผนการเรียนรู้ ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 3.2.5 น าสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ไปทดลองใช้กับนักเรียนชระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1(ปวช.) (ละคร พระนาง) วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา จ านวน 12คน ซึ่งพบปัญหาว่า ตัวหนังสือในสื่อมีขนาดเล็ก จนเกินไปจึงท าให้มองได้ยาก เสียงดนตรีไม่สอดคล้องกับเนื้อหาที่น ามาสอน ภาพตัวอย่างชุดการแสดง ไม่ชัดเจน นาฏยศัพท์มีเนื้อหามากเกินไป และไม่มีภาพประกอบ คณะผู้วิจัยจึงน าข้อบกพร่องที่พบมาปรับ แก้ไขและจากนั้นน าผลการทดลองมาปรับปรุงเพื่อไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป 3.3แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ 3.3.1ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี และการวิเคราะห์หลักสูตร 3.3.2 สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร จุดประสงค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้นาฏศิลป์ ก าหนดเนื้อหา เลือกวิธีวัด และเครื่องมือที่ใช้ ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน


70 3.3.3 สร้างแบบทดสอบตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ เป็นแบบสอบชนิด 4 ตัว เลือกตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน เนื่องจากผู้วิจัยต้องการข้อสอบจ านวน 20 ข้อ จึงสร้างข้อสอบทั้งหมด 25 ข้อ ทั้งนี้คาดว่า เมื่อผ่านกระบวนการหาคุณภาพของข้อสอบแล้ว จะยังมี ข้อสอบที่สามารถใช้ได้ ไม่ต่ ากว่า 20 ข้อ 3.3.4 น าแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ซึ่งในขั้นนี้ ผู้เชี่ยวชาญเป็นชุดเดียวกับที่ตรวจสอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ผู้เชี่ยวชาญประเมินความสอดคล้องของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบสามารถวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบสามารถวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบไม่สามารถวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามของแบบทดสอบกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัทธิยธนี, 2545 : 218 - 220) โดยข้อสอบแต่ละข้อ จะต้องมีค่าเฉลี่ยความสอดคล้องตามเกณฑ์การยอมรับ ตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 ปรากฏว่ามีค่า IOC ตั้งแต่ 0.80 ถึง 1.00 3.3.5 น าแบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม จ านวน 12 คน ปีการศึกษา 2564 จากนั้นน าผลที่ได้มาตรวจสอบค่าอ านาจจ าแนกของข้อสอบแต่ละข้อ ผลการ วิเคราะห์คุณภาพรายข้อ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 66 - 74) ซึ่งพบว่า ค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าตั้งแต่ 0.23 ถึง 0.49 และค่าความยากง่ายมีค่าตั้งแต่ 0.45 ถึง 0.83 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.82ได้ข้อสอบที่เข้าเกณฑ์จ านวน 20 ข้อ 3.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ด าเนินการตามล าดับดังนี้ 3.4.1 ศึกษาเอกสาร ต ารา บทความ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบวัดความพึงพอใจ เพื่อวิเคราะห์คุณลักษณะ ขอบข่ายของความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยสื่อมัลติมีเดีย แบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.4.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จ านวน 15 ข้อ ต้องการจริง 10 ข้อ ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีระดับประเมิน 5 ระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด


71 3.4.3 น าแบบวัดความพึงพอใจ ต่อการจัดกิจกรรมการสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย เสนอ ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5 ท่าน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญชุดเดียวกันกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบบทดสอบ เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างเนื้อหา และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข แล้วน าผล การตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่า IOC โดยข้อค าถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 ถือว่าเป็น ข้อค าถามที่น าไปใช้ได้ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยด าเนินเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ซึ่งด าเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 4.1 ศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชาศิลปกรรม สาขาวิชานาฏศิลป์ไทยละคร 4.2 ศึกษาเอกสาร ต ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.2.1. ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ ต ารา เอกสาร และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลดังนี้ 4.2.1.1 หอสมุดแห่งชาติ 4.2.1.2 ห้องสมุดคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 4.2.1.3 ศูนย์รักษ์ศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 4.2.1.4 ห้องสมุดมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 4.2.1.5 ห้องสมุดวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา 4.3 ศึกษาการใช้โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เพื่อการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบ ผสมผสาน 4.4 ขั้นตอนการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5 4.4.1 วิเคราะห์ข้อมูล เรียบเรียงเนื้อหา ตามล าดับความส าคัญ 4.4.2เริ่มต้นสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate5.5 4.4.3การจัดการสไลด์ในการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานและการแทรกเนื้อหาต่าง ๆ ด้วยโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 4.4.4 การจัดการสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานในสไลด์และการบันทึกเสียงของโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 4.4.5 ตรวจสอบความถูกต้องของสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ก่อนน าไปเผยแพร่บน Google site


72 4.4.6 ปรับปรุงแก้ไขสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น 4.4.7 น าสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไข ไปเผยแพร่บน Google site 4.5 สรุปผลการวิจัย เรียบเรียงข้อมูล 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โดยใช้เวลาจ านวน 12 คาบ/2สัปดาห์ รวม 24 ชั่วโมงทั้งนี้รวม เวลาที่ใช้ในการท าแบบทดสอบหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วย สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ตารางที่ 2 ระยะเวลาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สัปดาห์ที่ 1 วัน/เดือน/ปี กิจกรรม เวลาเรียน (นาที) ครั้งที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องประวัติความมา นาฏยศัพท์ เครื่องแต่งกาย โอกาสที่ใช้ในการแสดง เครื่องดนตรีของ ระบ าศรีวิชัย แบบทดสอบ และแบบสอบถามความพึงพอใจ 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 1 - ท่าที่ 2) 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 3 - ท่าที่ 4) 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 5 - ท่าที่ 6) 3 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง ที่มา : คณะผู้วิจัย


73 ตารางที่ 3 ระยะเวลาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สัปดาห์ที่ 2 วัน/เดือน/ปี กิจกรรม เวลาเรียน (นาที) ครั้งที่ 5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 7 - ท่าที่ 8) 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 9 - ท่าที่ 10) 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง การปฏิบัติท่าร าเพลงระบ าศรีวิชัย (ท่าที่ 11 - ท่าที่ 12) 3 ชั่วโมง ครั้งที่ 8 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง ทบทวนการปฏิบัติท่าร าเพลง ระบ าศรีวิชัย 3 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 24 ชั่วโมง ที่มา : คณะผู้วิจัย 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย หาค่าสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 6.1การตรวจสอบเบื้องต้น เป็นการน านวัตกรรมที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่ท า นวัตกรรมนั้นโดยตรงอย่างน้อย 5 คนตรวจสอบ ถ้าผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คน มีความเห็นสอดคล้องกัน ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปแสดงว่าเนื้อหา และรูปแบบมีความถูกต้องเที่ยงตรง และครอบคลุมจุดมุ่งหมาย ที ่ก าหนดซึ ่งการตรวจสอบที ่สมบูรณ์ถูกต้องโดยผู้เชี ่ยวชาญก ่อนที ่จะน าไปทดลองใช้นั้น จะใช้ค ่า IOC ในการพิจารณาคุณภาพของนวัตกรรม ∑ (บุญชม ศรีสะอาด,2545:94) IOC คือ ดัชนีความสอดคล้อง คือ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑ คือ ผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน คือ จ านวนผู้เชี่ยวชาญ สูตรการค านวณ IOC = ∑R


74 การก าหนดคะแนนของผู้เชี่ยวชาญ +1 หรือ 0 หรือ -1 ดังนี้ +1 แน่ใจว่าถูกต้อง/สอดคล้อง/ตรงกับจุดประสงค์ 0 ไม่แน่ใจ -1 แน่ใจว่าไม่ถูกต้อง/ไม่สอดคล้อง/ไม่ตรงจุดประสงค์ ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้น = (×100) แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด 1. การหาค่าความยาก () = เมื่อ แทน ดัชนีความยาก แทน จ านวนคนที่ตอบข้อสอบถูก แทน จ านวนคนที่เข้าสอบ 2. ค่าอ านาจจ าแนก () r = − 2 เมื่อ แทน อ านาจจ าแนกของข้อสอบ แทน จ านวนคนกลุ่มสูงที่ตอบถูก แทน จ านวนคนกลุ่มต่ าที่ตอบถูก แทน จ านวนคนที่เข้าสอบ 6.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เป็นค่าที่แสดงถึงการกระจายของ ข้อมูลแต่ละตัวที่เบี่ยงเบนไปจากค่ามัชณิมเลขคณิต นิยมใช้แสดงควบคู่กับค่ามัชณิมเลขคณิต (บุญชม ศรีสะอาด, 2545:106)


75 .. = √ (̅ – ̅)2 n – 1 เมื่อ .. หมายถึง สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X หมายถึง ขอมูลแตละตัว x̅ หมายถึง คาเฉลี่ยเลขคณิต n หมายถึง จ านวนข้อมูลทั้งหมด 6.3 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน ใช้ one sample t - test สูตร = ̅−µ0 √ โดยมี = − 1 เมื่อ x̅ แทนค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง µ̅̅̅0̅แทนเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม 20 คิดเป็น 16 S แทนความเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง แทนขนาดของกลุ่มตัวอย่าง แทนชั้นแห่งความเป็นอิสระ (degree of freedom) (สุวิมล ติรกานันท์, 2546 : 203) 7. การวิเคราะห์ข้อมูล คณะผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวมรวมข้อมูล ดังนี้ 7.1 สถิติพื้นฐาน 7.1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) 7.1.2 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 7.1.3 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 7.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที ่เรียนด้วยสื ่อมัลติมีเดียแบบ ผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดีชุดศรีวิชัย โดยใช้One Sample t - test 7.3 ผู้วิจัยให้ผู้เชี ่ยวชาญประเมิน โดยใช้เกณฑ์ให้คะแนนตามแบบป ระเมินของ ลิเคอร์ทซึ่งมี 5ระดับ คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และ เหมาะสมน้อยที่สุด (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 65) และก าหนดเกณฑ์ในการตัดสินผลการประเมินดังนี้


76 คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลว่า เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลว่า เหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลว่า เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลว่า เหมาะสมน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลว่า เหมาะสมน้อยที่สุด


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยโดยจัดการเรียนรู้ในรายวิชาปฏิบัติ กลุ่มสาระการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทย ละคร เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย คณะผู้วิจัยได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยได้ก าหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N หมายถึง จ านวนนักเรียน x̅ หมายถึง ค่าเฉลี่ย S.D.หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t หมายถึง ค่าวิกฤต ใน t - distribution 2. ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอนการศึกษาที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นจึงขอน าเสนอ การวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับขั้น ดังนี้ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้ด าเนินการตามขั้นตอนดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย กับเกณฑ์ร้อยละ 80 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) ที่เรียนด้วยสื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย


78 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพปีที่ 1(ปวช.) ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยจ านวน 12 คน จึงขอน าเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับขั้น ดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย กับเกณฑ์ร้อยละ 80 ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวนผู้เรียน 12 คน เกณฑ์ที่ก าหนด = 16 คะแนน x̅ S. D. t Sig ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1(ปวช.) ที่เรียนด้วยสื่อ มัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 17.14 1.54 167.19 0.05 ที่มา : คณะผู้วิจัย จากตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบ ผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ความรู้ด้านการวัดและประเมินผลการศึกษาเทียบกับเกณฑ์ที่ก าหนด วิเคราะห์ได้ว่า คะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ของนักเรียนมีค ่าเฉลี่ยเท ่ากับ 17.14 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.54 ผลการเปรียบเทียบความ แตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนกับเกณฑ์ที่ก าหนด โดยใช้สื ่อสื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย สูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดอย่างมีนัยส าคัญที่ ระดับ .05 ตอนที่ 2วิเคราะห์หาค่าความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1(ปวช.) ที่เรียนด้วยสื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ดังแสดงในตารางที่ 5


79 ตารางที่ 5 วิเคราะห์หาค่าความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 รายการประเมิน x̅ S. D. ระดับความ พึงพอใจ 1. สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย มีความน่าสนใจ 4.83 0.39 มากที่สุด 2. สามารถเพิ่มองค์ความรู้ในสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยได้ 4.83 0.39 มากที่สุด 3. การเรียนรู้ด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย สามารถดึงดูดความสนใจในการเรียนรู้ 4.83 0.39 มากที่สุด 4. การเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ท าให้เกิดมุมมองในการเรียนรู้ที่ หลากหลาย 4.83 0.39 มากที่สุด 5. สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ท าให้ผู้เรียน มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนในเนื้อหา 4.83 0.39 มากที่สุด 6. สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยมีภาพประกอบสมจริงและ สวยงาม 4.75 0.62 มากที่สุด 7. สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย มีความทันสมัย และแปลก ใหม่ในการเรียนการสอน 4.92 0.29 มากที่สุด 8. เมื่อเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยท าให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่าย 4.75 0.45 มากที่สุด 9. ผู้เรียนมีความตื่นเต้นเร้าใจเมื่อได้เรียนสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดย ประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่องระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 4.67 0.65 มากที่สุด 10. เมื่อเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ท าให้เกิดการพัฒนาทักษะในการใช้เทคโนโลยี 4.58 0.79 มากที่สุด รวม 4.78 0.49 มากที่สุด ที่มา : คณะผู้วิจัย


80 จากตารางที่ 5 วิเคราะห์หาค่าความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1(ปวช.) ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย วิเคราะห์ได้ว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดีชุดศรีวิชัย ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยค่าเฉลี่ยที่สูงที่สุด คือ สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย มีความทันสมัย และแปลกใหม่ในการเรียนการสอน ( x̅= 4.92 , S.D. = 0.29) รองลงมา คือ การเรียนด้วยโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 มีความน่าสนใจในการเรียนรู้( x̅= 4.83, S.D. = 0.39) และสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย มีความตื่นเต้นเร้าใจเมื่อได้เรียนด้วยสื่อ ( x̅= 4.67 , S.D. = 0.65)


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ผู้ศึกษาได้ด าเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย สรุปผลการวิจัย ดังนี้ 1. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) กับเกณฑ์ร้อยละ 80 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1(ปวช.) ที่มีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดีชุดศรีวิชัย 2. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1 (ปวช.) สาขาวิชานาฏศิลป์ไทยละคร วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา จ านวน 12 คน ซึ่งเป็นการเลือกกลุ่มเป้าหมาย แบบเจาะจง (Purposive sampling) 3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับ โปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย จ านวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนละ 3 ชั่วโมง รวมทดสอบหลังเรียนเป็น 24 ชั่วโมง 3.2 สื่อการเรียนรู้สื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย 3.3 แบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่องประวัติความมา นาฏยศัพท์ เครื่องแต่งกายเครื่องดนตรี โอกาสที่ใช้ในการแสดงของระบ าศรีวิชัย เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4ตัวเลือก จ านวน 20ข้อ 3.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วย สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย จ านวน 10 ข้อ


82 4. สรุปผลการศึกษา 4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.14ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 1.54ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับเกณฑ์ที่ก าหนด สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ในภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด จากผลการวิจัยพบว่าสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย สามารถน าไปใช้พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน และพัฒนา ทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตนเองได้ 5. อภิปรายผล การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัยสรุปผลการวิจัย ดังนี้ 5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.14 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.54ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับ เกณฑ์ที่ก าหนด พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ทั้งนี้อาจเนื่องจากสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดีชุดศรีวิชัย และแผนการจัดการเรียนรู้ได้ผ่านขั้นตอนกระบวนการสร้างอย่างมีระบบ และมีวิธีการที่เหมาะสม โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกหน่วยการเรียนรู้เรียบเรียงเนื้อหา และการศึกษาเอกสาร หลักสูตร และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เพลงระบ าศรีวิชัย และขั้นตอนวิธี สร้างสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 รวมถึง การท าแผนการจัดการเรียนรู้ก าหนดสาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน และการประเมินผลการเรียนรู้ อีกทั้งการล าดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะกับวัยของผู้เรียนรูปภาพในสื ่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดีชุดศรีวิชัย ดึงดูดความสนใจ และสวยงาม ผ่านการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่านที่มีความรู้ความสามารถ จึงส่งผลให้การจัดการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย แบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย


83 ของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด ซึ่งสอดคล้องกับจิรายุท ประเสริฐศรี และ คชากฤษ เหลี่ยมไรสง (2557 : 65) ได้ท าการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี กลุ่มตัวอย่าง มีการรับรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก และผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดีย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์จ านวน 35 คน กดปุ่มชอบ (Like) คิดเป็น ร้อยละ 97.10 และสอดคล้อง กับกนกรัตน์วุฒิวิชาภรณ (2555 : 210) ได้ท าการศึกษาวิจัยเพื ่อศึกษาผลการใช้สื ่อมัลติมีเดีย ร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ที ่มีผลต ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาชีววิทยา ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทวารวดี จังหวัดนครปฐม ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ก่อน และหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกัน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสอดคล้องกับ กุลยา เจริญมงคลวิไล (2560 : 258 - 265) ได้ท าการศึกษาวิจัย รูปแบบการเรียนแบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย กรณีศึกษารายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมผลของการวิจัย พบว่าความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยสื่อมัลติมีเดียอยู่ที่ 4.40 คือระดับมาก 5.2 นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ในภาพรวมอยู่ ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจาก สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีความน่าสนใจ เพราะเป็นสื่อสร้างความสนใจความตื่นตา ตื่นใจน่าติดตาม โดยน าเสนอ หรือถ่ายทอดผ่านตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงเพื่อให้ ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการน าเสนอได้มากขึ้น มัลติมีเดียมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเดิมใช้น าเสนอเนื้อหาและ กิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากแผ่น CD-ROM แต่ต่อมามีช่องทาง การน าเสนอบทเรียนมัลติมีเดียเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งสามารถ น าเสนอบทเรียนมัลติมีเดียไปรวมไว้บนหน้าเว็บไซต์ที่อนุญาต ให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลได้พร้อมกันทุกที่ ทุกเวลา ผลที่ตามมาคือ ผู้เรียนเกิดความสนใจ และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้การที่ผู้เรียนเรียนโดย ใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ในแต่ละขั้นตอนจะมีเสียง และภาพประกอบที่สวยงามพร้อมค าอธิบายสะดวกต ่อการ เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นผลให้นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับนิเวศน์วงศ์ประทุม ได้ท าการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย


84 จากผลการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบ ผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น และมีความพึงพอใจในการเรียนรู้ สามารถ น าไปใช้เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพได้ จึงเหมาะสมที่จะน าไปใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียนต่อไป 6. ข้อเสนอแนะ 6.1ข้อเสนอแนะในการน าไปใช้ 6.1.1การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอนจะต้องค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลสภาพ ความพร้อมในทุก ๆ ด้านของผู้เรียน เพราะผู้เรียนทุกคนต้องระดมความคิด ความสามารถของตนต่อกลุ่ม ครูผู้สอนจึงควรระมัดระวังเรื่องการจัดกลุ่มนักเรียน และเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย 6.1.2สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 เรื่อง ระบ าโบราณคดี ชุดศรีวิชัย เป็นสื่อทางการศึกษาที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมีผลต่อการจัด การเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ควรให้ความสนใจในการฝึกอบรม และพัฒนาครู เพื่อเผยแพร่ความรู้ในการจัดท าสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 ที่มีประสิทธิภาพ 6.2ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบ ผสมผสานโดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5และวิธีการสอนหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ แบบอื่นเพื่อจะได้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น 6.2.2 ควรมีการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้กับโปรแกรม Adobe Captivate 5.5 ในเนื้อหาอื่นหรือรายวิชาอื่น ๆ


บรรณานุกรม กนกรัตน์ วุฒิวิชาภรณ. (2555). สื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน. วิชาชีววิทยา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทวารวดี จังหวัดนครปฐม คณะศึกษาศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. กรนิษามีรัตน์. (2552). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัดการเรียนรู้ โดยใช้โมเดลซิปปา.กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร. กฤษณพงศ์เลิศบ ารุงชัย. (2556). หนังสื่อสร้างสื่อการสอนมัลติมีเดีย Adobe Captivate 5.5. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โปรวิชั่น จ ากัด. กิดานันท์ มลิทอง. (2543). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กิติมา ปรีดีดิลก. (2529). ทฤษฎีการบริหารองค์การ.กรุงเทพมหานคร :ธนการพิมพ์. กุลยา เจริญมงคลวิไล. (2560). รูปแบบการเรียนแบบผสมผสานโดยใช้สื่อมัลติมีเดียกรณีศึกษารายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. การประชุมวิชาการ ระดับชาติด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรม ครั้งที่ 3. เกรียงไกรเจริญพานิช. (2541). ความพึงพอใจการปฏิบัติงานของอาจารย์สถาบันราชภัฏเพชรบูรณ์.วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ขนิษฐา บุญภักดี. (2552). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต, สาขาวิชาครุศาสตร์เทคโนโลยี, คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. จริยา เหนียนเฉลย. (2542). เทคโนโลยีการศึกษา.กรุงเทพฯ : ศูนยส่งเสริมกรุงเทพ. จินตวีร์ คล้ายสังข์. การผลิตและใช้สื่ออย่างเป็นระบบ เพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ : ส านักนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิรายุฑ ประเสริฐศรี,และคชากฤษ เหลี่ยมไธสง. (2557). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส าหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์. รมยสาร :คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.


86 บรรณานุกรม (ต่อ) ชวาลแพรัตกุล.(2552). เทคนิคการวัดผล. พิมพ์ครั้งที่ 7 กรุงเทพฯ: วัฒนาพาณิช. ชัยยงค์พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์. เชิดศักดิ์โฆวาสิทธิ์. (2531). การวัดผลภาคปฏิบัติ.มิตรครู.กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษานิเทศก์กรมอาชีวศึกษา. ไชยศ เรืองสุวรรณ. (2554). การออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์และบทเรียนเครือข่าย. พิมพ์ครั้งที่ 5. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,. ณัฐกรสงคราม. (2553). การออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ดิเรก ธีระภูธร. (2555). หนังสือรายวิชากรออกแบบมัลติมีเดีย.กรุงเทพฯ : ส านักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา. ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ. (2546). Multimedia ฉบับพื้นฐาน กรุงเทพฯ : เอทีพี คอมพ์ แฮนด์ คอนซัลท์. ทองจุล ขันขาว. (2555). การใช้โปรแกรม Adobe Captivate 5.5. กรุงเทพฯ. ทิศนา แขมมณี. (2547). ศาสตร์การสอน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนาพร ปัญญาอมรวัฒน์,และอนุชสุทธิธนกูล. (2557). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส าหรับการเรียนการสอน ภาษาจีนพื้นฐาน. การประชุมวิชาการปัญญาภิวัฒน์ครั้งที่ 4. ธนิต อยูโพธิ์(2510). ระบ าชุดโบราณคดี. พระนคร : กรมศิลปากร. _______. (2516). ศิลปะละครร าหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย.กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจ ากัด ศิวพร. ธีรศักดิ์อุ่นอารมย์เลิศ. (2549). การวัดและประเมินผลการศึกษา. ภาควิชาพื้นฐานทางการศึกษาคณะ ศึกษาศาสตร์นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. นิเวศน์ วงศ์ประทุม. (2558). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียประกอบการสอนวิชาการเขียนโปรแกรม ด้วยภาษาซีชาร์ป 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่5. วารสารวิชาการ หลักสูตรและการสอน. บรรจง ภาสดา. (2545). ปัญหาและความต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, คณะครุศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. บรรดล สุขปิติ. (2547). การประเมินและการสร้างแบบทดสอบ.กรุงเทพฯ:กรุงสยามการพิมพ์. บัณฑิตพัฒนศิลป์,สถาบัน. (2562). หลักสูตรนาฏดุริยางคศิลป์ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช2562 ประเภทวิชาศิลปกรรม. กรุงเทพฯ : บริษัท ไพรภูมิ พับลิชชิ่ง จ ากัด.


87 บรรณานุกรม (ต่อ) บุญเกื้อควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี : SR Printing,. บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจัยเบื้องต้น.กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสัน. _______.การวิจัยทางการวัดผลและประเมินผล. (2543). กรุงเทพมหานคร : สุวิริยะสาสัน. _______.การวิจัยเบื้องต้น. (2545). พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสัน. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2535). การวัดและการประเมินผลการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ: B&B Publishing. บุปผชาติ ทัฬหิกรณ. (2538). มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ,สสวท. 23 (กรกฎาคม -กันยายน2538). _______.และคนอื่น ๆ. (2544). ความรู้เกี่ยวกับสื่อมัลติมิเดียเพื่อการศึกษา.กรุงเทพฯ : ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ประพันธ์ ด้วงอินทร์. (2545). สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เขต การศึกษา 11. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาหลักสูตรและการสอน : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ประภาส เกตุแก้ว. (2546). ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการที่มีต่อการให้บริการขงฝ่ายทะเบียนรถส านักงานขนส่ง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์.สารนิพนธ์. การศึกษามหาบัณฑิตสาขาธุรกิจศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประหยัด จิระวรพงศ์. (2527). หลักการและทฤษฎีเทคโนโลยีทางการศึกษา. พิษณุโลก : ภาควิชาเทคโนโลยี การศึกษาคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปราณี กองจินดา. (2549). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และทักษะการ คิดเลขในใจ ของนักเรียนที่ได้รับการสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใช้แบบฝึกหัดที่เน้นทักษะการคิดเลขในใจกับ นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้คู่มือครู. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตร และการสอน). พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. ปราณี ส าราญวงศ์. (2525). ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ 7: นาฎดุริยางคศิลปไทยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากรจัดพิมพ์. ปริญญา จเรรัชต์และคณะ. (2546). ความพึงพอใจของเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ใช้เสบียงสัตว์จังหวัดพันธ์ดี ทับทิมและคณะคณะศึกษาศาสตร์ของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร. พิษณุโลก : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปิยะมาศเจริญพันธุวงศ์. (2543). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนของรัฐ กรณีศึกษาจังหวัดลพบุรี. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต, สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ: คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.


88 บรรณานุกรม (ต่อ) เผียน ไชยศร. (2529). การวัดผลงานภาคปฏิบัติ วารสารการวัดผลการศึกษา.23 กันยายน -ธันวาคม, 37–60. พรเทพ บุญจันทร์เพชร. (2540). ระบ าโบราณคดี, พิมพ์ครั้งที่1 กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. พวงแกว ปุณยกนก, และสุวิมลวองวานชิ. (2534). การวัดภาคปฏิบัติ.กรุงเทพฯ : ภาควิชาวิจัยการศึกษา คณะคุรุศาสตรจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. พวงรัตน์ทวีรัตน์. (2539). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พัลลภพิริยะสุรวงศ์. (2541). มัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอน .พัฒนาเทคนิคศึกษา.กรุงเทพฯ : สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ. พิชิตฤทธิ์จรูญ. (2550). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : เฮาส์ ออฟ เคอร์มิสท์. _______. (2554). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไพศาล หวังพาณิช. (2526). การวัดผลการศึกษา.กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิชย์. _______. (2529). ลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดี รายงานสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการประเมินผลการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ.คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรุงเทพฯ. รานี ชัยสงคราม. (2544). นาฏศิลป์ไทยเบื้องต้น.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. เยาวดี ชัยรางกุล. (2552). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง. โยธิน ศันสนยุทธ. (2535). จิตวิทยาการท างานในองค์การ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. ล้วน สายยศ, และอังคณาสายยศ. (2541). เทคนิคการสร้างและสอบข้อสอบความถนัดทางการเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. วรลักษณ์ วิทูวินิต. (2559). สื่อการสอนมัลติมีเดียเสมือนจริง เรื่องประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม อยุธยา : กรณีศึกษา วัดพระราม. บทความวิจัย วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. วิชัย เหลืองธรรมชาติ.(2531). ความพึงพอใจและการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหม่ของประชากรในหมู่บ้านอพยพ เขื่อนรัชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน, จังหวัดสุราษฎร์ธานี). วีระศิลป์ ช้างขนุน. (2564). พื้นฐานนาฏกรรมไทย พิมพ์ครั้งที่ 5. นครปฐม : หจก.เจริญรัฐการพิมพ์. ศิริมงคล นาฏยกุล. (2549). หลักการการวิภาคและการเคลื่อนไหว. มหาสารคาม : ตักสิลาการพิมพ์.


Click to View FlipBook Version