144 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ∆ = selection intensity × accuracy × standard deviation generation interval เมื่อ selection intensity คือความเขมของการคัดเลือก; accuracy คือความแมนยำ ของการคัดเลือก; standard deviation คือคาเบี่ยงเบนมาตรฐานของ EBV และ generation interval คือระยะระหวางชวงชีวิตวัดจากอายุเฉลี่ยพอแมเมื่อผสมพันธุได ตัวอยางที่ 14.1 การทำนายความแมนยำดวยวิธีcross-validation ใชขอมูลน้ำหนักปลากะพงขาวอายุ 390 วัน 10 ตัวที่เลี้ยงในบอดิน (ที่มา Sukhavachana et al. 2022) สัตว พอพันธุ แมพันธุ บอ น้ำหนัก(กรัม) 6 1 2 A 1291 7 3 4 A 959 8 1 5 A 1422 9 1 2 B 1891 10 3 4 B 1436 11 1 5 B 1788 12 3 4 A 994 13 1 5 A 1544 14 1 2 B 1922 15 3 4 B 1355 ตารางที่ 14.1 และมีขอมูลจีโนไทปที่สนิป 10 ตำแหนงเปนดังนี้ สัตว ตำแหนงสนิป 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 6 1 2 0 1 1 2 1 1 2 1 7 2 1 0 1 0 2 0 2 1 1 8 0 1 1 2 0 1 0 1 2 1 9 2 0 1 1 1 1 1 1 1 1 10 1 2 0 0 1 1 0 0 1 1 11 1 1 2 1 0 1 0 1 1 1 12 1 1 0 1 0 2 0 1 0 0 13 0 1 2 2 0 1 0 2 1 1 14 1 2 0 2 2 1 1 1 1 1 15 1 1 0 0 1 1 0 0 0 1 เขียนคาสังเกตในรูปของเมทริกซดังนี้ = + +
145 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1291 959 1422 1891 1436 1788 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 1 0 1 0 0 1 0 1 0 1 1 0 1 0 0 1 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ � 1 2 � + ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ + ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 16 17 18 29 210 211 112 113 214 215⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ ทดสอบความแมนยำของการทำนายคา GEBV ดวย GBLUP model โดยใชวิธี 5-fold cross validation และทดสอบซ้ำ 5 รอบ (iterations) เริ่มจากรอบที่ 1 สุมแบงขอมูลเปน 5 ชุดเทา ๆ กัน ดังตารางที่ 14.2 ตารางที่ 14.2 ตัวอยางแบงกลุมสัตวเปน 5 ชุด สัตว ชุด 6 2 7 1 8 5 9 1 10 4 11 2 12 3 13 3 14 5 15 4 จากสมการ MME ของ GBLUP � ′ ′ ′ ′ + − � �̂ � � = � ′ ′ � ในรอบที่ 1 กำหนดใหปลาชุดที่ 1 เปนกลุมทดสอบ และกำหนดฟโนไทปเปนขอมูลสูญหาย ปลาในกลุมที่เหลือเปนกลุมอางอิงที่ทราบฟโนไทป สามารถเชียนเมทริกซไดดังนี้ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1291 1422 1436 1788 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 1 0 0 1 0 1 1 0 1 0 0 1 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤
146 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง คำนวณผลคูณของเมทริกซตกกระทบ ′ = � 4 0 0 4�, ′ = � 1 0 1 0 0 0 1 1 0 0 0 0 0 0 1 1 0 0 1 1�, ′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 0 0 1 0 0 0 0 1 0 1 1 0 1 0 0 1 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , ′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ คำนวณเวคเตอรทางฝงขวามือของสมการ ′ = � 5251 6501�,′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1291 0 1422 0 1436 1788 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ และกำหนดใหเมทริกซความสัมพันธทางจีโนม () มีคา = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0.868 0.071 −0.038 −0.203 0.236 −0.45 −0.231 −0.478 0.484 −0.258 0.071 0.923 −0.286 0.099 −0.286 −0.148 0.346 −0.176 −0313 −0.231 −0.038 −0.286 0.978 −0.286 −0.396 0.291 −0.313 0.813 −0.148 −0.615 −0.203 0.099 −0.286 0.923 −0.286 0.126 −0.164 −0.176 −0.038 0.044 0.236 −0.286 −0.396 −0.286 0.978 −0.258 −0.038 −0.835 0.126 0.758 −0.45 −0.148 0.291 0.126 −0.258 0.703 −0.176 0.676 −0.56 −0.203 −0.231 0.346 −0.313 −0.203 −0.038 −0.176 0.868 −0.203 −0.341 0.291 −0.478 −0.176 0.813 −0.176 −0.835 0.676 −0.203 1.472 −0.313 −0.780 0.484 −0.313 −0.148 −0.038 0.126 −0.560 −0.341 −0.313 1.198 −0.093 −0.258 −0.231 −0.615 0.044 0.758 −0.203 0.291 −0.78 −0.093 1.088⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤
147 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง − = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 100005 100000 100000 99997 99992 100004 99998 99998 100000 100007 100000 100002 100001 99997 99996 100003 99998 99998 100001 100003 100000 100001 100003 99998 99995 100003 99999 99996 100001 100003 99997 99997 99998 100008 100014 99989 100003 100008 99996 99990 99992 99996 99995 100014 100030 99980 100006 100015 99994 99978 100004 100003 100004 99989 99980 100019 99996 99986 100006 100013 99998 99998 99999 100003 100006 99996 100004 100002 99999 99994 99998 99998 99996 100008 100015 99986 100002 100012 99995 99991 100000 100001 100002 99996 99994 100006 99999 99995 100004 100004 100007 100003 100003 99990 99978 100013 99994 99991 100004 100018⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ เมื่อ 2 = 38669.62 และ 2 = 75064.56 ดังนั้น = 2 2 = 1.94 และ ℎ2 = 2 2 = 38669.62 (38669.62+75064.56) = 0.34 แทนคาเมทริกซทั้งหมดในสมการ MME เพื่อแกสมการหาคำตอบของตัว ประมาณอิทธิพลคงที่และตัวทำนายอิทธิพลสุมในรอบที่ 1 � ̂ � � = � ′ ′ ′ ′ + − � −1 � ′ ′ � ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ b�1 b�2 g�6 g�7 g�8 g�9 g�10 g�11 g�12 g�13 g�14 g�15⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0.33 −0.053 −0.039 −0.008 −0.12 0.115 0.072 0.004 −0.05 −0.11 0.03 0.108 −0.053 0.337 0.028 0.126 0.063 0.008 −0.139 −0.007 0.052 0.071 −0.066 −0.136 −0.039 0.028 0.253 0.04 0.028 −0.086 0.031 −0.096 −0.044 −0.079 0.072 −0.118 −0.008 0.126 0.04 0.432 −0.085 0.039 −0.156 −0.061 0.119 −0.041 −0.138 −0.15 −0.12 0.062 0.028 −0.085 0.311 −0.146 −0.077 0.026 −0.039 0.182 −0.045 −0.154 0.115 0.008 −0.086 0.039 −0.146 0.454 −0.115 0.048 −0.111 −0.116 −0.005 0.037 0.072 −0.139 0.031 −0.156 −0.077 −0.115 0.312 −0.014 −0.064 −0.177 0.036 0.224 0.004 −0.007 −0.096 −0.061 0.026 0.048 −0.014 0.183 −0.062 0.115 −0.123 −0.017 −0.05 0.052 −0.044 0.119 −0.039 −0.111 −0.064 −0.062 0.29 −0.005 −0.097 0.014 −0.11 0.071 −0.079 −0.041 0.182 −0.116 −0.177 0.15 −0.005 0.344 −0.049 −0.174 0.03 −0.066 0.072 −0.138 −0.045 −0.005 0.036 −0.123 −0.097 −0.049 0.347 0.003 0.108 −0.136 −0.118 −0.15 −0.154 0.037 0.224 −0.017 0.015 −0.174 0.003 0.333⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 5251 6501 1291 0 1422 0 1436 1788 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1257.75 1673.7 25.19 −38.66 134.76 12.49 −140.67 51.74 −127.66 187.68 88.22 −193.11⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤
148 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ในรอบที่ 1 GBLUP ทำนายคา GEBV ของสัตวตัวที่ 7 และ 9 ซึ่งไมมีฟโนไทป ไดคา EBV เทากับ -38.66 และ 12.49 ตามลำดับ ในรอบที่ 2 ใหปลาชุดที่ 2 เปนกลุมทดสอบไมทราบฟโนไทป และ ปลาในกลุมที่เหลือเปนกลุมอางอิง เขียนเมทริกซไดดังนี้ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 959 1422 1891 1436 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 0 1 0 0 1 0 1 1 0 1 0 0 1 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ คำนวณผลคูณของเมทริกซตกกระทบ (incidence matrix) ′ = � 4 0 0 4�, ′ = � 0 1 1 0 0 0 1 1 0 0 0 0 0 1 1 0 0 0 1 1�, ′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0 0 1 0 1 0 0 1 0 1 0 0 1 0 1 0 0 1 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ , ′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ คำนวณเวคเตอรทางฝงขวามือของสมการ ′ = � 4919 6604�,′ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0 959 1422 1891 1436 0 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤
149 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง เมื่อ 2 และ 2 ในรอบที่สองมีคาเทากับ 37249.42 และ 76484.76 ตามลำดับ ดังนั้น = 2.05 และ ℎ2 = 0.33 แทนคาเมทริกซทั้งหมดในสมการ MME เพื่อแกสมการหาคำตอบของตัว ประมาณอิทธิพลคงที่และตัวทำนายอิทธิพลสุมในรอบที่ 2 ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ b�1 b�2 g�6 g�7 g�8 g�9 g�10 g�11 g�12 g�13 g�14 g�15⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 0.379 −0.126 0.065 −0.108 −0.12 0.088 0.152 −0.051 −0.106 −0.183 0.131 0.132 −0.126 0.389 −0.019 0.106 0.123 −0.096 −0.147 0.073 0.075 −0.189 −0.144 −0.17 0.065 −0.019 0.334 0.018 −0.015 −0.059 0.084 −0.15 −0.089 −0.174 0.146 −0.096 −0.108 0.106 0.018 0.316 −0.02 −0.026 −0.132 −0.028 0.112 0.024 −0.128 −0.136 −0.12 0.132 −0.015 −0.02 0.302 −0.117 −0.125 0.064 −0.02 0.218 −0.106 −0.18 0.088 −0.096 −0.059 −0.026 −0.117 0.32 −0.037 0.026 −0.099 −0.109 0.032 0.069 0.152 −0.147 0.084 −0.132 −0.125 −0.037 0.312 −0.064 −0.091 −0.26 0.086 0.228 −0.051 0.073 −0.15 −0.028 0.064 0.026 −0.064 0.241 −0.033 0.201 −0.2 −0.056 −0.106 0.075 −0.089 0.112 −0.02 −0.099 −0.091 −0.033 0.294 0.037 −0.122 0.011 −0.183 0.19 −0.174 0.024 0.218 −0.109 −0.26 0.201 0.037 0.452 −0.166 −0.222 0.131 −0.144 0.146 −0.128 −0.106 0.032 0.086 −0.2 −0.122 −0.166 0.419 0.039 0.132 −0.17 −0.096 −0.136 −0.18 0.069 0.228 −0.056 0.011 −0.222 0.039 0.344⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 4919 6604 0 959 1422 1891 1436 0 994 1544 1922 1355⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1188.12 1709.52 −5.88 −80.25 160.02 46.45 −168.49 73.43 −132.23 218.98 81.58 −193.61⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ ในรอบที่ 2 GBLUP ทำนายคา GEBV ของสัตวตัวที่ 6 และ 11 ซึ่งไมมีฟโนไทป ไดคา EBV เทากับ -5.88 และ 73.43 ตามลำดับ เมื่อทำ cross-validation ครบทั้ง 5 รอบ ไดคา GEBV ของกลุมทดสอบทั้งหมดดังนี้ ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ g�6 g�7 g�8 g�9 g�10 g�11 g�12 g�13 g�14 g�15⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ −5.88 −38.66 −9.17 12.49 75.6 73.43 −114.14 147.19 24.64 −56.34⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ สหสัมพันธระหวางคา GEBV และฟโนไทปของตัวสัตว (,) เทากับ 0.437 คาเฉลี่ย ℎ2 ทั้ง หารอบเทากับ 0.342 ความแมนยำในการทำนายคา GEBV ในรอบที่ 1 เทากับ
150 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง =, √ℎ2 = 0.437 0.342 = 0.75 สำหรับความคลาดเคลื่อนในการทำนายคา (bias) คำนวณจากสัมประสิทธิ์รีเกรสชันของคา สังเกตฟโนไทปกับคาทำนาย GEBV ของกลุมทดสอบ ดังนี้ =(, ) () = 11008.62 5317.82 = 2.07 เมื่อทำ cross-validation ครบทั้ง 5 รอบ ไดคาความแมนยำเทากับ 0.75, 0.72, 0.8, 0.78 และ 0.79 และมีคา bias เทากับ 2.07, 2.01, 2.03, 2.02 และ 2.08 ตามลำดับ ดังนั้นคาเฉลี่ยความแมนยำ ของโมเดลนี้มีคา 0.77 และคาเฉลี่ย bias เทากับ 2.04 มีคาเกิน 1 หมายความวาความแปรปรวนของคา GEBV มีมากกวาความแปรปรวนของฟโนไทปหรือ deflation โดยมีคาเกิน 1 ไปมากเนื่องจากโมเดลทำนาย คานี้ถูกสรางขึ้นจากขอมูลสัตวเพียง 10 ตัวทำใหคาทำนายมีความคลาดเคลื่อนมาก บรรณานุกรม Goddard M (2009) Genomic selection: prediction of accuracy and maximization of long- term response. Genetica 136, 245−257. Isik F, Holland J, Maltecca C (2017) Genetic Data Analysis for Plant and Animal Breeding. Springer International Publishing AG (eBook). 409 p. Mrode RA (2014) Linear Models for the Prediction of Animal Breeding Values. 3rd edition. CABI, Boston, MA, USA. 343 p. Meuwissen THE, Hayes BJ and Goddard ME (2001) Prediction of total genetic value using genome-wide dense marker maps. Genetics 157, 1819−1829. Sukhavachana S, Senanan W, Tunkijjanukij S and Poompuang S (2022) Improving genomic prediction accuracy for harvest traits in Asian seabass (Lates calcarifer, Bloch 1790) via marker selection. Aquaculture 550, 737851. van der Werf J (2013) Genomic Selection in Animal Breeding Programs. In C Gondro, J van der Werf and B Hayes (eds): Genome-Wide Association Studies and Genomic Prediction, Methods in Molecular Biology, vol. 1019. Humana Press, Dordrecht, the Netherlands. 543−561 pp.
151 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง 15 แผนการผสมพันธุหลังการคัดเลือก เปาหมายการปรับปรุงพันธุคือยกระดับคาเฉลี่ยในประชากรชั่วชีวิตถัดมาหลังการคัดเลือกถาประชากรฐานมี พันธุกรรมกระจายตัวในชวงกวาง การคัดเลือกสามารถเพิ่มความกาวหนาทางพันธุกรรมไปไดอีกหลาย ๆ ชั่ว อายุ เมื่อคัดเลือกพอแมไดแลวในการวางแผนผสมพันธุจะตองคำนึงถึงอัตราเลือดชิดที่จะเกิดขึ้นในประชากร รวมทั้งวัตถุประสงคของการเพาะพันธุ เชน ขายลูกพันธุใหเกษตรกรนำไปเลี้ยงในฟารมควรใชวิธีผลิตลูกพันธุ ที่มีขนาดสม่ำเสมอ แตถาตองการขายพอแมพันธุที่ผานการปรับปรุงพันธุใหโรงเพาะฟกไปผลิตลูกพันธุตอ ควรพิจารณาความสัมพันธทางพันธุกรรมระหวางคูพอแม เนื่องจากการปรับปรุงพันธุเปนกระบวนการที่ใช เวลาและทรัพยากรและการลงทุนที่คอนขางสูง จำเปนตองรักษาพันธุกรรมของประชากรที่ผานการคัดเลือก เพื่อใชประโยชนไดสูงสุดและนานที่สุด วิธีรักษาพันธุกรรมในระยะยาวเรียกวาการดำรงพันธุ ในโครงการ ปรับปรุงพันธุสัตวน้ำเชิงพาณิชยจะมีศูนยเพาะพันธุ (breeding nucleus) เก็บพอแมที่ผานการปรับปรุง พันธุจำนวนหนึ่งเพื่อใชสรางพอแมพันธุในการคัดเลือกชั่วตอไป วิธีเพาะพันธุที่นิยมใชคือการผสมพันธุภายใน กลุมเพื่อใหไดพันธุแท(pure line หรือ pure breeding) ตัวอยางเชน การผสมพันธุตามดัชนีการคัดเลือก สวนการเพาะพันธุเพื่อขายลูกพันธุมีหลายวิธีตามความเหมาะสม แตเนื้อหาบทนี้จะกลาวเฉพาะการผสม เลือดชิดและการผสมขาม และในทายบทจะกลาวถึงแผนการผสมพันธุแบบตาง ๆ ที่ใชในการประมาณ คาพารามิเตอรทางพันธุกรรม การผสมพันธุตามดัชนีการคัดเลือก การผสมพันธุตามดัชนีการคัดเลือกนิยมใชในปศุสัตวและไดมีการนำมาใชในโครงการปรับปรุงพันธุสัตวน้ำซึ่ง แบงยอยไดอีก 2 วิธี คือ (1) positive assortative mating โดยจัดลำดับพอแมพันธุตามคา EBV จากสูง ที่สุดถึงต่ำสุดแลวเลือกจับคูผสมพันธุพอกับแมที่มีคา EBV สูงสุด วิธีนี้เปนการยกระดับคาเฉลี่ยในชั่วลูกและ มีเปาหมายเพื่อผลิตลูกที่มีพันธุกรรมและลักษณะดี(2) negative assortative mating เปนการผสมพันธุ ระหวางพอที่มีคา EBV สูงสุดกับแมที่มีคา EBV ต่ำสุดหรือสลับกัน การผสมพันธุวิธีนี้ทำใหวาเรียนซ พันธุกรรมและวาเรียนซฟโนไทปลดลงทำใหคาเฉลี่ยในชั่วลูกใกลเคียงกับคาเฉลี่ยประชากร เปนวิธีหนึ่งที่ทำ
152 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ใหไดลูกที่มีความสม่ำเสมอ ถามีการปรับปรุงพันธุเพียงหนึ่งลักษณะการผสมพันธุแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอยางวา corrective mating เนื่องจากในลูกที่รับพันธุกรรมของแมซึ่งดอยกวาพอจะไดรับการชดเชยจากพันธุกรรม ของพอที่ดีกวาแมหรือสลับกัน โดยทั่วไปการคัดเลือกพอแมพันธุตามคา EBV จะเพิ่มโอกาสในการคัดเลือก สัตวที่มีความใกลชิดทางพันธุกรรม เพื่อปองกันและหลีกเลี่ยงการผสมเลือดชิด นักปรับปรุงพันธุจะเลือกวิธี ผสมนอกสายเลือด(outcrossing) หมายถึงการผสมพันธุระหวางพอแมที่มีความสัมพันธทางพันธุกรรมหาง กันมากที่สุด การผสมเลือดชิดระดับประชากร ในการปรับปรุงพันธุสัตวน้ำจำเปนตองพิจารณาอัตราเลือดชิด (inbreeding coefficient) หรือ ใน ประชากรที่เกิดขึ้นระหวางการผสมพันธุ วิธีคำนวณอัตราเลือดชิดมี 2 วิธีคือ (1) จากพันธุประวัติตามที่ อธิบายในบทที่ 4 และ (2) จากขนาดของประชากร ในกรณีที่ไมทราบพันธุประวัติพอแมที่รวบรวมจากแหลง น้ำธรรมชาติเพื่อนำมาสรางประชากรฐาน (G0)อัตราเลือดชิดที่เกิดขึ้นอธิบายดวยตัวอยางการผสมพันธุของ เมนทะเล (sea urchin) ซึ่งเปนสัตวที่มีทั้งสองเพศในตัวเอง เมื่อโตเต็มวัยสัตวแตละตัวจะปลอยไขและ สเปรมและเกิดการปฏิสนธิภายนอก ถาในประชากรมีสัตว 10 ตัวที่ไมเปนญาติกันและมีอัลลิลตางกันที่ยีน ตำแหนงเดียวกัน สมมติอัลลิลใหเปน A1, A2 จนถึง A20 ความนาจะเปนของการปฏิสนธิจากเซลลสืบพันธุ ของสัตวตัวเดียวกัน (self-fertilization) มีโอกาสเทากับการสุมเซลลสืบพันธุ 2 ครั้งแลวไดเซลลไขและ สเปรมที่มีอัลลิลเหมือนกันคือ 1 20 × 1 20 ดังนั้นโอกาสที่ตัวออนไดรับอัลลิลที่เหมือนกันโดยการถายทอดมี ทั้งหมด 20 แบบ คือ A1A1, A2A2 จนถึง A20A20 เทากับ 20 × � 1 20 × 1 20� = 1 20 = 1 2×10 หรือเทากับ 1 2 เมื่อ คือจำนวนสัตวในประชากร จะไดอัตราเลือดชิดหรือ = 1 2 จากสมการจะเห็นวาอัตราเลือดชิด ขึ้นกับขนาดประชากร การผสมเลือดชิดจะเพิ่มสัดสวนโฮโมไซโกต (homozygosity) และเพิ่มโอกาสใหอัล ลิลดอยแสดงลักษณะปรากฏมากขึ้น เปนสาเหตุของการเสื่อมทางพันธุกรรม (inbreeding depression) ในประชากร เชน การเติบโตชา อัตรารอดต่ำ ความสามารถในการสืบพันธุลดลง ในประชากรโรงเพาะฟกที่ผานการคัดเลือก 1 ชั่วหรือลูก G1 จะแสดงระดับเลือดชิดที่เพิ่มขึ้นจาก อัตราเลือดชิดใน G0 ที่มักจะกำหนดวา = 0 จึงนิยมเขียนสมการเปน ∆ = 1 2 ในชั่วชีวิตตอมาถาขนาด ประชากรยังคงเทากับ เหมือนเดิม G2 มีโอกาสที่จะไดรับอัลลิล IBD มากขึ้นทำใหอัตราเลือดชิดเพิ่มขึ้น เนื่องจากใน G1 มีอัตราเลือดชิด (1) อยูแลว ทั้งนี้อัตราเลือดชิดที่เกิดใน G2 หรือ 2 มีคาเทากับ 2 = 1 2 + �1 − 1 2�1 (15.1)
153 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง เมื่อ 1 คืออัตราเลือดชิดใน G1 สำหรับอัตราเลือดชิดใน Gt มีคารวมดังนี้ = 1 2 + �1 − 1 2�−1 (15.2) เมื่อ 1 2 เปนอัตราเลือดชิดใน Gt และ �1 − 1 2�−1 เปนสวนที่เหลือจากอัตราเลือดชิดที่มีอยูแลวในชั่ว ชีวิตกอน การเพาะพันธุสัตวน้ำ เชน ปลา ในโรงเพาะฟกโดยทั่วไปมักใชพอแมพันธุจำนวนไมเทากัน ดังนั้น จะไมเทากับจำนวนพอพันธุรวมกับจำนวนแมพันธุ การคำนวณอัตราเลือดชิดจะใชสูตร ∆ = 1 2 (15.3) เมื่อ คือประชากรสืบพันธุ(effective population size) ซึ่งหมายถึงจำนวนพอแมที่จะนำลูกไปเปนพอ แมพันธุในชั่วตอไป มีสูตรคำนวณดังนี้ = 4 + (15.4) เมื่อ และ คือจำนวนพอพันธุและแมพันธุ เพื่อลดการผสมเลือดชิดควรใชพอแมพันธุจำนวนมากใน สัดสวนเทา ๆ กันนอกจากนั้นการใชพอแมพันธุจำนวนไมเทากันในแตละรุนของการเพาะพันธุจะทำให ในประชากรเปลี่ยนแปลง คำนวณคาเฉลี่ยของ ไดจากคาเฉลี่ยฮารโมนิค (Harmonic mean) ดังนี้ 1 (average) = 1 [ 1 1 + 1 2 + ⋯ + 1 ] (15.5) เมื่อ คือจำนวนชั่วชีวิต ตัวอยางการเพาะพันธุปลา 4 ชั่วใชพอแมแตละชั่วดังนี้ 1 (average) = 1 4 � 1 10 + 1 10 + 1 50 + 1 10� = 1 4 (0.32) = 0.08 (average) = 13 จะเห็นวาอัตราเลือดชิดที่เกิดขึ้นเทากับอัตราเลือดชิดที่ใชพอแมพันธุ 13 ตัวทุกชั่ว แมวาจะเพิ่มพอแมพันธุ เปน 50 ตัวในชั่วที่ 3 ก็ไมสามารถลดระดับอัตราเลือดชิดที่เกิดในชั่วชีวิตที่ผานมาลงได วิธีการที่ใชปองกัน การผสมเลือดชิดในประชากรโรงเพาะฟกใหเกิดขึ้นนอยที่สุดนั้น ตองมีการจัดการพันธุกรรมที่ดี เชน แยก ประชากรปลา มีบันทึกขอมูลพันธุประวัติใชพอแมพันธุจำนวนอยางนอย 50 ตัวในสัดสวนเพศเทากันสำหรับ การผสมพันธุแตละครั้ง
154 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง การผสมขาม เปนวิธีผสมพันธุที่รูจักกันดีในการเพาะเลี้ยงสัตวน้ำ หมายถึงการผสมขามระหวางชนิด (species) สายพันธุ (strain) ประชากร (stock) หรือสายเลือดชิด (inbred lines) เพื่อใชประโยชนจากพันธุกรรมอื่นที่ นอกเหนือจากพันธุกรรมแบบบวกสะสมหรือเฮตเทอโรซิส (heterosis/hybrid vigor) ในกรณีที่สราง สายเลือดชิดโดยไมมีการคัดเลือกภายในสาย คาเฉลี่ยของลูกผสมทุกสายอาจจะเทากับคาเฉลี่ยของประชากร นอกสายเลือด (outbred populations) ที่ใชสรางสายเลือดชิดนั้น การสรางสายเลือดชิดตามดวยการผสม ขามที่ไดผลไมแตกตางจากคาเฉลี่ยเดิมของประชากรจึงไมถือวาเปนการปรับปรุงพันธุ แตจะถือเปนการผสม พันธุอีกรูปแบบหนึ่งในโครงการปรับปรุงพันธุสัตวน้ำโดยการคัดเลือก (Gjedrem 2004) การผสมขามระหวางสายเลือดชิด ใหลูกมีคาเฉลี่ยสูงกวาคาเฉลี่ยพอแมที่มีพันธุกรรมตางกันหรือคน ละพันธุซึ่งเกิดจากฟตเนสที่เสื่อมถอยไปในการผสมเลือดชิด เมื่อนำมาผสมขามจะไดเฮตเทอโรซิสกลับคืนมา (Falconer and Mackay 1997) ในทางทฤษฎีเฮตเทอโรซิสที่เกิดขึ้นจะมากหรือนอยขึ้นกับความแตกตาง ความถี่อัลลิลในสายพอและสายแม และการขมระหวางอัลลิล คาเฮตเทอโรซิสจะมากที่สุดถาอัลลิลถูกตรึง หรือมีความถี่เทากับ 1 ในสายพอ และเทากับศูนยในสายแมคำนวณเฮตเทอโรซิสในลูกผสมชั่ว F1 ไดดังนี้ 1 = 1 −1+2 2 (15.6) เมื่อ 1 = ∑ () 2 =1 และ 1คือเฮตเทอโรซิสใน F1; 1และ 2คือคาเฉลี่ยสายพอและแมตามลำดับ; คือ ความถี่อัลลิลที่ ถาไมมีการขมของยีน ( = 0) จะไมมีเฮตเทอโรซิสเกิดขึ้น และถาความถี่อัลลิลระหวางสายพอและสายแม ไมตางกัน ( = 0) ก็จะไมมีเฮตเทอโรซิส ถา = 1 เฮตเทอโรซิสจะมีคาสูงสุด เฮตเทอโรซิสมีคา เฉพาะคูผสมแตละคูและวัดไดจากการทดลองผสมพันธุจริงเทานั้น เนื่องจากไมรูความถี่อัลลิลของยีน เมื่อ ผสมพันธุระหวางลูกผสมหลาย ๆ ชั่ว เฮตเทอโรซิสจะมีการเปลี่ยนแปลงในแตละชั่ว เชน จาก F1 สู F2 ดังนี้ 2 = 2 −1+2 2 = ()2 2 =1 2 (15.7) จะเห็นวาใน F2 เฮตเทอโรซิสจะลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของ F1 และถามีการผสมพันธุแบบสุมใน ชั่วถัดมา F3, F4,… การเปลี่ยนแปลงเฮตเทอโรซิสจะไมมากเทากับใน F2 เนื่องจากไมมีการเปลี่ยนแปลง ความถี่อัลลิลและความถี่จีโนไทปอยูในสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก
155 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง การผสมขามระหวางสายพันธุดัดแปลงมาจากวิธีที่ใชผลิตขาวโพดลูกผสม เริ่มตนจากการสรางสาย พันธุเลือดชิดขึ้นมา เพื่อที่จะใหไดผลของเฮตเทอโรซิสเกิดขึ้นสูงสุดเมื่อผสมขาม ความสำเร็จของการผสม แบบนี้ขึ้นกับการเลือกสายพันธุที่จะนำมาผสมขาม โดยการผสมแบบไดอัลลิล (diallel cross) และจำนวน คูผสมที่ใชทดสอบทั้งหมดเทากับ (−1) 2 เมื่อ คือจำนวนสายพันธุการผสมขามแบบไดอัลลิลทำใหสามารถ ศึกษาสมรรถภาพการผลิตของคูผสมแตละแบบได โดยที่ความสามารถในการรวมตัวของยีนจากการผสมขาม (combining ability) มีคาเทากับความสามารถในการรวมตัวโดยทั่วไป (general combining ability หรือ GCA) ซึ่งเปนคาเฉลี่ยของลูกที่เกิดจากผลของการผสมขามดวยสายพันธุนั้นทุกแบบ และความสามารถ ในการรวมตัวโดยเฉพาะ (specific combining ability หรือ SCA) เปนคาเฉพาะสำหรับคูผสม 2 สายพันธุ ที่นำมาผสมขาม เขียนสมการแสดงคาพันธุกรรมของการผสมขามสายพันธุA และ B ไดดังนี้ G(AB) = GCA(A) + GCA(B) + SCA(AB) (15.8) เมื่อ GCA(A) และ GCA(B) คือคาความสามารถในการรวมตัวโดยทั่วไปของสายพันธุ A และ B ตามลำดับ และ SCA(AB) เปนคาความสามารถในการรวมตัวโดยเฉพาะของคูผสมสายพันธุ A และ B ซึ่งคา GCA เกิด จากอิทธิพลของยีนแบบบวกสะสมและปฏิกิริยารวมของยีนตางตำแหนง ขณะที่ SCA เกิดจากอิทธิพลของ ยีนจากการขมของยีน ตารางที่ 15.1 การผสมขามแบบไดอัลลิลระหวาง 4 สายพันธุ ♂ A B C D ♀ A - A × B A × C A × D 1. B B × A - B × C B × D 2. C C × A C × B - C × D 3. D D × A D × B D × C - 4. . 1 . 2 . 3 . 4 เมื่อ . และ . คือผลรวมคาเฉลี่ยฟโนไทปจากการผสมสายพอและสายแมตามลำดับ; คือคา ฟโนไทปทุกคูผสม และ (−1) คือคาเฉลี่ยของทุกคูผสม คำนวณคา GCA สำหรับสายพันธุA และ B ดังนี้ GCA(A) = (1. +. 1)/6 − (/12) GCA(B) = (2. +. 2)/6 − (/12) คำนวณคา SCA สำหรับคู A × B และ B × A ดังนี้ SCA(A × B) = (A × B) − GCA(A) − GCA(B) − /12 SCA(B × A) = (B × A) − GCA(A) − GCA(B) − /12
156 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง การปรับปรุงพันธุปลาเศรษฐกิจที่รวบรวมพอแมจากธรรมชาติหลาย ๆ แหลง นักวิจัยมักทดลอง เปรียบเทียบระหวางคาเฉลี่ยรุนลูกที่เกิดจากการผสมพันธุภายในประชากร กับคาเฮตเทอโรซิสจากการผสม แบบไดอัลลิล เชน โครงการปรับปรุงพันธุปลานิล (GIFT) Bentsen et al. (1998) พบวาลูกจากการผสม ขาม 7 คูจาก 22 คูมีคาเฮตเทอโรซิสสูงกวาสายพันธุที่ดีที่สุดประมาณ 11% ของน้ำหนักตัวที่ 120 วัน แต เมื่อผสมพันธุลูก F1 พบวาเฮตเทอโรซิสลดลง การผสมพันธุแบบไดอัลลิลในสัตวน้ำมีวัตถุประสงคเพื่อสราง ประชากรฐานที่เรียกวา composite base population หรือ synthetic base population ซึ่งหมายถึง การผสมพอและแมจากหลาย ๆ สายพันธุเพื่อใหไดประชากรที่รวมขอดีของลักษณะตาง ๆ ในแตละสายพันธุ เชน โตเร็ว ทนทานตออุณหภูมิ/ความเค็ม เนื่องจากการปรับปรุงลักษณะหลาย ๆ ลักษณะพรอมกันในสาย พันธุเดียวทำไดยาก แตการผสมขามเพียงสองสายพันธุจะทำใหเฮตเทอโรซิสลดลงใน F2 นักปรับปรุงพันธุจึง แกปญหาดวยการผสมพันธุแบบไดอัลลิล ถาคำนวณคาเฮตเทอโรซิสใน F2 ตามสมการของ Wright(1921) (อางอิงตาม Lynch and Walsh 1997) จะไดวา 2 = 1 −1−� (15.9) เมื่อ � คือคาเฉลี่ยของพอแมทุกคู; 1 คือคาเฉลี่ยจากทุกคูผสม และ 1 − � = หรือเฮตเทอโรซิส ดังนั้น 2 = 2 − � = �1 − � − � = (1 − �) − = (1 − 1 ) (15.10) การใชสายพันธุ () หลาย ๆ สายพันธุลดการสูญเสียเฮตเทอโรซิสใน F2 ดีกวาการผสมขามสองสายพันธุ แผนการผสมพันธุสัตวน้ำเพื่อประมาณคาพารามิเตอรทางพันธุกรรม 1. การผสมพันธุเปนคู ๆ(single pairs) จะไดครอบครัวฟูลสิบเทากับจำนวนพอ/แม วาเรียนซของ พันธุกรรมแบบบวกสะสมจะเกี่ยวพันกับวาเรียนซอื่น ๆ ที่เกิดในครอบครัวฟูลสิบ การทำนายคา การผสมพันธุมีอคติและไมแมนยำ จึงไมนิยมใช ยกเวนในกรณีที่ผลของพันธุกรรมแบบอื่น ๆ และ ผลของสภาพแวดลอมรวมมีคาต่ำมาก ♂ ♀ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 × 2 × 3 × 4 × 5 × 6 × 7 × 8 ×
157 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง 2. การผสมพันธุแบบซอนใน (nested design) เปนแผนผสมพันธุที่นิยมใชสำหรับสัตวน้ำที่สามารถ ผสมเทียมไดแบงยอยไดอีก 2 แบบ แบบแรกเรียกวาแมซอนในพอ ครอบครัวฟูลสิบเทากับจำนวน แมและครอบครัวฮาลฟสิบเทากับจำนวนพอ ♂ ♀ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 × × 2 × × 3 × × 4 × × แบบที่สองเรียกวาพอซอนในแม โดยแบงไขจากแม 1 ตัวออกเปนสวนๆ แตละสวนผสมกับน้ำเชื้อ จากพอ 1 ตัว ไดครอบครัวฟูลสิบเทากับจำนวนพอและครอบครัวฮาลฟสิบเทากับจำนวนแมแต วาเรียนซพันธุกรรมแบบบวกสะสมจะเกี่ยวพันกับอิทธิพลแม ♀ ♂ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 × × 2 × × 3 × × 4 × × 3. การผสมพันธุแบบ full factorial design เปนแผนผสมพันธุที่ดีที่สุดในการประมาณคาวาเรียนซ พันธุกรรมแบบบวกสะสมและวาเรียนซพันธุกรรมแบบอื่น ขอดอยคือตองใชบออนุบาลและบอเลี้ยง จำนวนมากถามีบอจำกัดจำนวนพอแมที่ใชผสมพันธุก็นอยตามไปดวย ♂ ♀ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 × × 2 × × 3 × × × 4 × × × 5 × × × 6 × × × 7 × × × 8 × × × 4. การผสมพันธุแบบ partly factorial design แผนการผสมพันธุนี้สรางจำนวนคูผสมไดมากกวา แบบ full factorial design และมีความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมระหวางครอบครัวฟูลสิบและ
158 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ฮาลฟสิบดีกวาการผสมพันธุแบบซอนใน และถามีอิทธิพลของบอหรือถังเลี้ยง คาประมาณอัตรา พันธุกรรมจะแมนยำกวาคาประมาณจากการผสมพันธุแบบซอนใน (Berg and Henryon 1998) ♂ ♀ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 × × 2 × × 3 × × 4 × × 5 × × 6 × × 7 × × 8 × × 5. mass spawning การเพาะพันธุปลาหลายชนิดไมสามารถรีดไขและน้ำเชื้อไดเชน ปลากะพงขาว ตองใชการผสมพันธุแบบกลุมโดยการฉีดฮอรโมนแลวปลอยพอแมปลาหลาย ๆ ตัวในบอเดียวกันให ผสมพันธุตามธรรมชาติ วิธีนี้ยุงยากกวาวิธีอื่น ๆ เนื่องจากไมรูจำนวนพอแมพันธุ การสรางพันธุ ประวัติตองวิเคราะหดีเอ็นเอพอแมลูก บรรณานุกรม Bentsen HB, Eknath AE, Palada-de Vera MS, Danting JC, Bolivar HL, Reyes RA, Dionisio EE, Longalong FM, Circa AV, Tayamen MM, Gjerde B (1998) Genetic improvement of farmed tilapias: growth performance in a complete diallel cross experiment with eight strains of Oreochromis niloticus. Aquaculture 160, 145−173. Berg P and Henryon M (1998) A comparison of mating designs for inference on genetic parameters in fish. Proceedings of the 6th World Congress on Genetics Applied to Livestock Production, 27, 115−118. Falconer DS and Mackay TFC (1997) Introduction to Quantitative Genetics., 4th edition. Longman Group Ltd, UK. 464 p. Gjerde B (2004) Design of breeding programs. In T Gjedrem (ed.) Selection and Breeding Programs in Aquaculture. Springer, Dordrecht, the Netherlands. 173−195 pp. Lynch B and Walsh M (1997) Genetics and Analysis of Quantitative Traits. Sinauer Associates, Inc., Sunderland, MA, USA. 980 p.
159 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ภาคผนวก เมทริกซเบื้องตน ในการทำนายคาการผสมพันธุตองอาศัยพื้นฐานพีชคณิตเมทริกซ(matrix algebra) ในภาคผนวก นี้จะอธิบายเนื้อหาของเมทริกซอยางสังเขปตาม Mrode (2014) เพื่อความเขาใจและการนำไปใชตอไป นิยามของเมทริกซ เมทริกซคือการจัดชุดตัวเลข (array) ในรูปตารางที่มีจำนวนแถว (row) และคอลัมน(column) ตัวเลขแตละตัวในเมทริกซจะเรียกวา elementตัวอยางเชน เมทริกซB ประกอบดวย 2 แถวและ 3 คอลัมน เรียกเมทริกซลักษณะนี้วา rectangular matrix ดังนี้ = � 11 12 13 21 22 23 � หรือ = � 3 4 6 7 8 9� เมื่อ คือ elementของเมทริกซในตำแหนงแถวที่ และคอลัมนที่ ดังนั้นขนาดหรือลำดับ (order) ของ เมทริกซคือจำนวนแถวและคอลัมนหรือ × จากตัวอยางเมทริกซB มีขนาด 2 × 3 และเขียนสัญลักษณ แทนวา 2×3 เมทริกซที่มีelement แถวเดียว จะเรียกวาเวคเตอรแถว (row vector) เชน = [4 7 −2] เมื่อ 1 = 4; 2 = 7; 3 = −2 เมทริกซที่มี element เพียงคอลัมนเดียว จะเรียกวาเวคเตอรคอลัมน(column vector) เชน = � −10 30 5 2 � และสเกลาร(scalar)คือเมทริกซที่มี1 แถวและ 1 คอลัมน
160 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง เมทริกซรูปแบบจำเพาะ เมทริกซจตุรัส (square matrix) เปนเมทริกซที่มีจำนวนแถวเทากับจำนวนคอลัมนดังตัวอยาง = � 1 3 6 0 8 4 5 2 9 � ถา element ในเมทริกซมี = จะเรียกวา elementแนวทะแยงมุม (diagonal elements) สวน element ที่เหลือจะเรียกวา element นอกแนวทะแยงมุม (off-diagonal elements) ในตัวอยาง element ทะแยงมุมของเมทริกซ G คือ 1, 8 และ 9 เมทริกซแนวทะแยงมุม (diagonal matrix) หมายถึงเมทริกซจตุรัสที่ element นอกแนว ทะแยงมุมมีคาตัวเลขเปน 0 เชนในตัวอยางเมทริกซB = � 3 0 0 0 2 0 0 0 14 � ถา element แนวทะแยงมุมมีคาตัวเลขเปน 1 ทั้งหมด จะเรียกวา ไอเด็นติตี้เมทริกซ(identity matrix) หรือ Iดังนี้ = � 1 0 0 0 0 1 0 0 0 0 1 0 0 0 0 1� เมทริกซสามเหลี่ยม (triangular matrix) หมายถึงเมทริกซจตุรัสที่มีelement เหนือแนว ทะแยงมุมทั้งหมดมีคาตัวเลขเปน 0 จะเรียกชื่อเฉพาะวา เมทริกซสามเหลี่ยมลาง (lower triangular matrix) เชน เมทริกซ D ถา element ใตแนวทะแยงมุมทั้งหมดมีคาตัวเลขเปน 0 จะเรียกวา เมทริกซ สามเหลี่ยมบน (upper triangular matrix) เชน เมทริกซE = � 4 0 0 1 5 0 −2 8 6 �; = � 1 9 3 0 7 2 0 0 8 �
161 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง เมทริกซสมมาตร (symmetric matrix) หมายถึงเมทริกซจตุรัสที่มี element เหนือแนว ทะแยงมุมมีคาตัวเลขเทากับ element ใตแนวทะแยงมุมหรือในรูปทั่วไปคือ element = element ตัวอยางเชน เมทริกซA = � 2 −4 0 −4 6 5 0 5 3 � การคำนวณเมทริกซพื้นฐาน ทรานสโพส (transpose) ของเมทริกซ A ซึ่งเขียนแทนดวย ′ หรือ หมายถึงเมทริกซที่มี element เทากับ element ในเมทริกซเดิมหรือ ′ = หรือตัวเลขในคอลัมนของ ′ คือตัวเลขใน แถวของ A และตัวเลขในแถวของ ′คือตัวเลขคอลัมนของ A ดังนี้ = � 3 2 1 1 4 0 �; ′ = � 3 1 4 2 1 0� จะเห็นวา A ไมเทากับ ′ แตทรานสโพสของเมทริกซสมมาตรจะเทากับเมทริกซสมมาตร และ ()′ = ′ ′ เมื่อ คือผลคูณของ A และ B การบวกและการลบเมทริกซ (matrix addition and subtraction) จะทำไดเมื่อเมทริกซมี ขนาดหรือจำนวนแถวและจำนวนคอลัมนเทากัน ถากำหนดให เปนผลรวมของเมทริกซ และ ดังนั้น = + ตามตัวอยางดังนี้ = � 40 10 39 −25�; = � −2 20 4 40� = � 40 + (−2) 10 + 20 39 + 4 −25 + 40� = � 38 30 43 15� การลบเมทริกซใชหลักการเหมือนการบวกเมทริกซ ถากำหนดให เปนผลลบของเมทริกซ และ ดังนั้น = − ตามตัวอยางดังนี้ = − = � 40 − (−2) 10 − 20 39 − 4 −25 − 40� = � 42 −10 35 −65�
162 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง การคูณเมทริกซ(matrix multiplication) จะทำไดเมื่อเมทริกซตัวตั้งมีจำนวนคอลัมนเทากับ จำนวนแถวของเมทริกซตัวคูณ ขนาดของเมตริกซผลคูณเทากับจำนวนแถวของเมทริกซตัวตั้งและจำนวน คอลัมนของเมทริกซตัวคูณ ถากำหนดให = ดังนั้น = = ��� =1 =1 =1 เมื่อ คือจำนวนคอลัมนใน ; คือจำนวนแถวใน และ คือจำนวนแถวใน = � 1 4 −1 2 5 0 3 6 1 �; = � 2 5 4 3 6 1 � 11 = 1(2) + 4(4) + −1(6) = 12 21 = 2(2) + 5(4) + 0(6) = 24 31 = 3(2) + 6(4) + 1(6) = 36 12 = 1(5) + 4(3) + −1(1) = 16 22 = 2(5) + 5(3) + 0(1) = 25 23 = 3(5) + 6(3) + 1(1) = 34 = � 12 16 24 25 36 34 � เปนเมทริกซขนาด 3 × 2 การคูณเมทริกซมีขอสังเกตดังนี้ ≠ แต = = เมื่อ คือไอเด็นติตี้เมทริกซถา เปนผล คูณของ scalar กับ จะไดวา = ผลคูณโดยตรง (direct product) หรือ Kronecker product กำหนดใหเมทริกซตัวตั้ง มีขนาด × และเมทริกซตัวคูณ มีขนาด × จากนั้นนำแตละ element ของ คูณกับทั้งเมทริกซ ของ จะไดเมทริกซขนาด × ดังนี้ ⊗ = � 11 12 21 22� ถา = � 10 5 5 20� และ = � 1 0 2 0 1 4 2 4 1 �
163 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง ⨂ = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 10 0 20 5 0 10 0 10 40 0 5 20 20 40 10 10 20 5 5 0 10 20 0 40 0 5 20 0 20 80 10 20 5 20 80 20⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ เมทริกซสวนกลับ (inverse matrix ) หมายถึงเมทริกซที่นำไปคูณดวยเมทริกซเดิม (original matrix) แลวไดผลเปนไอเด็นติตี้เมทริกซ เมทริกซสวนกลับของ เขียนแทนดวย − และตามนิยามจะ ได − = เฉพาะเมทริกซจตุรัสที่สามารถคำนวณเมทริกซสวนกลับได สำหรับเมทริกซทะแยงมุม คำนวณเมทริกซสวนกลับไดโดยกลับเศษเปนสวนของ element ในแนวทะแยงมุมดังนี้ = � 3 0 0 0 4 0 0 0 6 �; −1 = ⎣ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎡ 1 3 0 0 0 1 4 0 0 0 1 6⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎤ คำนวณเมทริกซสวนกลับของ = � 11 12 21 22� ที่มีขนาด 2 × 2 ดังนี้ คำนวณ determinant หรือผลตางระหวางผลคูณของ element แนวทะแยงกับ element นอกแนวทะแยง (1122 − 1221) แลวสลับตำแหนง element แนวทะแยง และคูณ element นอกแนวทะแยงดวย −1 และหาร element ทั้งหมดดวย determinant −1 = 1 1122 − 1221 � 22 −12 −21 11 � = � 8 4 6 4�; −1 = 1 (8)(4) − (6)(4) � 4 −4 −6 8� = � 0.50 −0.50 −0.75 1.00� การคำนวณสวนกลับจะยุงยากเมื่อเมทริกซมีขนาดใหญ จึงตองใชโปรแกรมคอมพิวเตอรคำนวณ และถาคา determinant เทากับศูนยจะไมสามารถคำนวณสวนกลับได เรียกเมทริกซแบบนี้วา singular matrix สวนเมทริกซที่คา determinant ไมเทากับศูนยจะเรียกวา non-singular matrix
164 ความสามารถทางพันธุกรรมและการคัดเลือกสัตว ์นํ้ า สุภาวดี พุ่มพวง แรงคของเมทริกซ(rank of a matrix) หมายถึงจำนวนแถวและคอลัมนที่เปนอิสระตอกัน เมื่อ พิจารณาเมทริกซจตุรัสจะเห็นวาคาของ rank เทากับจำนวนแถวและคอลัมน จะเรียกเมทริกซลักษณะนี้วา ฟูลแรงค (full rank) แตถาแถวและคอลัมนไมเปนอิสระตอกันเพราะเกิดจากการรวมกันระหวางแถวและ คอลัมนอื่น rank จะนอยกวาจำนวนแถวและคอลัมน เมทริกซลักษณะนี้ไมเปนฟูลแรงค พิจารณาชุดสมการ 31 + 22 + 13 = 1 (1) 41 + 32 + 03 = 2 (2) 71 + 52 + 13 = 3 (3) จะเห็นวาสมการที่ 3 เปนผลรวมของสมการ 1 และ 2 จึงไมสามารถหาคำตอบของเวคเตอร (′ = [123]) เนื่องจากขอมูลไมเพียงพอ เขียนระบบสมการในรูปเมทริกซไดดังนี้ � 3 2 1 4 3 0 7 5 1 � �1 2 3 � = � 1 2 3 � หรือ = เมื่อ คือเมทริกซสัมประสิทธิ์ที่ไมสามารถคำนวณเมทริกซสวนกลับที่มีคาเฉพาะของ D เนื่องจาก แถวที่ 3 ไมเปนอิสระ ในเมทริกซนี้มีเพียง 2 แถวที่เปนอิสระเรียกวา rank 2 เขียนแทนวา (D) = 2 ดังนั้น ถาเมทริกซจตุรัสไมใชฟูลแรงคแลวคา determinant เทากับศูนย จะคำนวณเมทริกซสวนกลับไมได เมทริกซสวนกลับทั่วไป (generalized inverses) แมวาเราไมสามารถคำนวณสวนกลับของ singular matrix เราสามารถคำนวณเมทริกซสวนกลับทั่วไป เมื่อกำหนดให −เปนเมทริกซสวนกลับทั่วไป ของ และมีคุณสมบัติดังนี้ − = การคำนวณ − มีหลายแบบ วิธีที่งายที่สุดคือสรางเมทริกซยอย ที่มีลักษณะเปน full rank สำหรับเมทริกซ และใหทุก element ของ มีคาเปนศูนย คำนวณสวนกลับของเมทริกซ แลวนำไป แทน element ของ ก็จะได− ตามตัวอยางดังนี้ = � 3 2 4 3�; −1 = � 3 −2 −4 3�; −1 = � 3 −2 0 −4 3 0 0 0 0 �