The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by namphetnplcs, 2021-07-22 09:26:25

หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต

คำอธิบายกฎหมายแพ่งวาด้วยทรัพย์สิน











ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถิต จำเริญ












คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์


มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา



Nakhon Ratchasima Rajabhat University

19 กรกฎาคม 2564

2





คำนำ




ตำราวิชากฎหมายแพงว่าด้วยทรัพย์สินเล่มนี้ใช้ประกอบการบรรยายในรายวิชากฎหมาย
แพงว่าด้วยทรัพย์สิน (Law of Property) โดยเนื้อหาของตำราเล่มนี้ได้จัดทำขึ้นเพอนำเสนอให้เกิด

ื่
ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักกฎหมายลักษณะทรัพย์ ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน



ประเภทของทรัพย์สิน ความเกี่ยวพนระหว่างทรัพย์ ส่วนควบ อปกรณ์และดอกผล ตามประมวล

กฎหมายแพงและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 3 และหลักกฎหมายลักษณะทรัพย์สิน การก่อตั้ง
ทรัพยสิทธิ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์และทรัพยสิทธิ การได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์และทรัพยสิทธิ

รวมทั้งทรัพยสิทธิต่างๆ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิเก็บกิน สิทธิอาศัย สิทธิ



ื้
เหนือพนดิน และภาระติดพนในอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ บรรพ 4
ื่
เพอให้ผู้ศึกษาสามารถนำความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแพงว่าด้วยทรัพย์สินไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง

ถูกต้องเป็นธรรม

ผู้เขียนหวังว่าตำราวิชากฎหมายแพงว่าด้วยทรัพย์สินเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับ

นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปในการศึกษาค้นคว้าพอสมควร







สถิต จำเริญ
19 กรกฎาคม 2564

3





สารบัญ



หน้า
คำนำ (1)

สารบัญ (3)

บทที่ 1 บทนำ 1
ความนำ 1

ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน 4

องค์ประกอบของทรัพย์สิน 5
1. วัตถุมีรูปร่าง 5

2. วัตถุไม่มีรูปร่าง 6
3. อาจมีราคา 6

4. อาจถือเอาได้ 7

บทสรุป 7
คำถามทบทวน 8

บทที่ 2 ประเภทของทรัพย์สิน 9
อสังหาริมทรัพย์ 9

1. ที่ดิน 10

2. ทรัพย์ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร 12
3. ทรัพย์ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน 12

4. ทรัพยสิทธิ 13

สังหาริมทรัพย์ 14
ทรัพย์แบ่งได้ 14

ทรัพย์แบ่งไม่ได้ 15

ทรัพย์นอกพาณิชย์ 16
บทสรุป 18

คำถามทบทวน 19
บทที่ 3 ความเกี่ยวพันระหว่างทรัพย์ 21

ส่วนควบ 21
1. ลักษณะของส่วนควบ 21

2. วัตถุประสงค์ของการให้เป็นส่วนควบ 23

4





3. ข้อยกเว้นของส่วนควบ 24
4. การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบ 24

อุปกรณ์ 25
1. ลักษณะของอุปกรณ์ 25

2. ผลทางกฎหมายของการเป็นอุปกรณ์ 27

ดอกผลของทรัพย์ 28
1. ความหมายของดอกผล 28

2. ประเภทของดอกผล 28
3. ผลของการเป็นดอกผล 30

บทสรุป 31

คำถามทบทวน 32

บทที่ 4 ทรัพยสทธิ 33
ความหมายของทรัพยสิทธิ 33

การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์และทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 35
1. การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์

โดยนิติกรรม 35
2. การได้มาอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์

โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม 37

บุคคลที่อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้กอน 42

การเปลี่ยนแปลง ระงับ และกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับ 43

อสังหาริมทรัพย์
การได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษหรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์

ชนิดพิเศษ 43

บทสรุป 44
คำถามทบทวน 45

บทที่ 5 กรรมสิทธิ์และการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิ 47

กรรมสิทธิ์ 47
1. ลักษณะของกรรมสิทธิ์ 47

2. อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ 48

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ 49
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ 50

5





1. การได้มาโดยหลักส่วนควบ 50
2. การได้มาโดยการเข้าถือเอาสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ 51

3. การได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ไม่มีผู้ครอบครอง 53
4. การได้มาโดยสุจริตในพฤติการณ์พิเศษ 55

5. การได้มาโดยอายุความ 57

6. การได้มาซึ่งที่ดินของแผ่นดิน 57
บทสรุป 57

คำถามทบทวน 58
บทที่ 6 แดนแห่งกรรมสิทธิ์ และการใช้กรรมสิทธิ์ 59

แดนแห่งกรรมสิทธิ์ 59

1. แดนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 59
2. การคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่มีแดนกรรมสิทธิ์ 61

อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ 63

การใช้สิทธิเกินส่วนเฉพาะเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ 65
ข้อจำกัดอำนาจกรรมสิทธิ์โดยกฎหมาย 66

1. ข้อจำกัดสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ 67
2. น้ำไหลตามธรรมดา 67

3. น้ำฝนตกยังทรัพย์สินที่อยู่ติดกัน 68


4. บ่อ สระ หลุม คูหรือการขดร่อง 68
5. ขุดดินหรือบรรทุกน้ำหนักบนที่ดิน 69

6. หมายเขตที่ดิน 69
7. การตัดรั้วต้นไม้หรือถมคู 69

8. ต้นไม้อยู่บนแนวเขตที่ดิน 69

9. การตัดรากไม้หรือกิ่งไม้ซึ่งรุกล้ำ 70
10. ดอกผลของต้นไม้ที่หล่นตามธรรมดา 70

11. ทางจำเป็น 70

12. การใช้ที่ดินติดต่อตามความจำเป็น 71
13. การวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้าหรือสิ่งอื่นที่คล้ายกัน 71

14. การพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น 72

15. การเข้าไปในที่ป่า ที่ดง หรือในที่มีหญ้าเลี้ยงสัตว์ 72
16. การชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็น 72

6





บทสรุป 73
คำถามทบทวน 73

บทที่ 7 กรรมสิทธิ์รวม 75
การเป็นเจ้าของรวม 75

สิทธิของเจ้าของรวม 75

1. สิทธิจัดการทรัพย์สิน 75
2. สิทธิติดตามและเรียกร้องเอาคืน 76

3. สิทธิใช้สอยและได้ดอกผล 77
4. สิทธิจำหน่ายจ่ายโอน 77

5. สิทธิในการขอแบ่งทรัพย์สิน 77

หน้าที่ความรับผิดของเจ้าของรวม 78
1. หน้าที่ช่วยออกค่าใช้จ่าย 78

2. ความรับผิดชอบร่วมกันในหนี้ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน 78

3. ความรับผิดอย่างผู้ขาย 79
บทสรุป 79

คำถามทบทวน 80
บทที่ 8 สิทธิครอบครอง 81

ลักษณะของสิทธิครอบครอง 81

ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสิทธิครอบครอง 82
ื่
1. สันนิษฐานว่ายึดถือเพอตน 82
2. สันนิษฐานว่าครอบครองโดยสุจริต โดยความสงบและโดยเปิดเผย 82
3. สันนิษฐานว่าครอบครองติดต่อกันตลอดเวลา 83

4. สันนิษฐานว่าเป็นสิทธิตามกฎหมาย 83

5. สันนิษฐานว่ามีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง 83
สิทธิของผู้ครอบครอง 84

1. สิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง 84

2. สิทธิเรียกเอาการครอบครองคืน 84
3. สิทธิได้คืนทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้ 85

4. สิทธิโอนสิทธิครอบครอง 85

การสิ้นสุดการครอบครอง 86
การเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ 86

7





การครอบครองปรปักษ์ 87
บทสรุป 89

คำถามทบทวน 89
บทที่ 9 ทรัพยสิทธิประเภทตัดถอนกรรมสิทธิ์ 91

ภาระจำยอม 91

สิทธิอาศัย 93
สิทธิเหนือพื้นดิน 96

สิทธิเก็บกิน 98
ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ 101

บทสรุป 103

คำถามทบทวน 103
บรรณานุกรม 105

8





บทที่ 1

บทนำ





เมื่อมนุษย์มีสภาพบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย การอยู่ร่วมกัน

เป็นสังคมจึงอาจเกิดสิทธิเหนือบุคคล หรือก่อให้เกิดสิทธิเหนือทรัพย์สินขึ้นได้ ซึ่งมนุษย์จะต้องมี

ทรัพย์สินเป็นส่วนประกอบสำคัญในการดำเนินชีวิต เพอใช้สอย จำหน่ายจ่ายโอน ได้ดอกผลหรือ
ื่

ขัดขวางหวงกันและติดตามเอาคืนจากผู้ไม่มีสิทธิตามกฎหมาย เช่น เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว สิ่งอปโภค
บริโภค บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าหลักกฎหมายทรัพย์สินมีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน

ที่ควรมีความรู้ความเข้าใจในหลักกฎหมายดังกล่าว กฎหมายลักษณะทรัพย์สินตามประมวลกฎหมาย

แพงและพาณิชย์บัญญัติไว้ในบรรพ 1 ลักษณะ 3 ว่าด้วยทรัพย์ กล่าวถึงความหมายของทรัพย์และ


ทรัพย์สิน ประเภทของทรัพย์สิน รวมทั้งความเกี่ยวพนระหว่างทรัพย์ ได้แก่ ส่วนควบ อปกรณ์ และ

ดอกผล ส่วนในบรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน ซึ่งกล่าวถึงการก่อตั้งทรัพยสิทธิ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์

หรือทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์และสิทธิอนเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น


ด้วย รวมทั้งทรัพยสิทธิที่สำคัญๆ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเก็บ

ื้
กิน สิทธิเหนือพนดินและภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์


ความนำ


ขอบเขตเนื้อหากฎหมายแพงว่าด้วยทรัพย์สิน แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วน คือ บรรพ 1

ลักษณะ 3 ว่าด้วยทรัพย์ ตั้งแต่มาตรา 137 ถึงมาตรา 148 และบรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน ตั้งแต่

มาตรา 1298 ถึงมาตรา 1434 ดังนี้

ส่วนแรกกล่าวถึงหลักทั่วไปเกี่ยวกับทรัพย์ ตั้งแต่มาตรา 137 ถึงมาตรา 148

ประกอบด้วย ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน คำว่า ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง ส่วนคำ

ว่า ทรัพย์สิน หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ แบ่ง

ประเภทของทรัพย์เป็น 5 ประเภท ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์แบ่งได้ ทรัพย์แบ่ง

ไม่ได้ และทรัพย์นอกพาณิชย์ ดังนี้

9





1. อสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ที่ดินและทรัพย์อนติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการ

ถาวรหรือประกอบเป็นอนเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับที่ดินหรือ


ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย
2. สังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ทรัพย์สินอนนอกจากอสังหาริมทรัพย์ และหมายความ
ื่

รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย


3. ทรัพย์แบ่งได้ หมายความว่า ทรัพย์อนอาจแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ ได้จริงถนัดชัด
แจ้ง แต่ละส่วนได้รูปบริบูรณ์ลำพังตัว

4. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ หมายความว่า ทรัพย์อนจะแยกออกจากกันไม่ได้นอกจากเปลี่ยนแปลง

ภาวะของทรัพย์ และหมายความรวมถึงทรัพย์ที่มีกฎหมายบัญญัติว่าแบ่งไม่ได้ด้วย

5. ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายความว่า ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้และทรัพย์ที่โอนแก่กัน

มิได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

ความเกี่ยวพันระหว่างทรัพย์ ได้แก่ ส่วนควบ อุปกรณ์และดอกผล ดังนี้

คำว่าส่วนควบ หมายถึงส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบ

สลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป โดยเจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วน

ควบของทรัพย์นั้น ทั้งนี้ให้ถือว่าไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ เว้นแต่เป็นไม้ล้มลุกหรือ


ธัญชาติอนจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปีไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน และในกรณี

ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพยงชั่วคราวหรือผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้าง
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วยไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น

คำว่าอปกรณ์ หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพาะถิ่น หรือโดยเจตนาชัด

ื่
แจ้งของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณเพอ
ประโยชน์แก่การจัดดูแล ใช้สอย หรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน และเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่

เป็นประธานโดยการนำมาติดต่อหรือปรับเข้าไว้ หรือทำโดยประการอนใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบ
ื่

ื่
กับทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น เช่น แม่แรง ล้ออะไหล่รถยนต์ ซึ่งมีไว้เพอดูแลรักษารถยนต์ ทั้งนี้อปกรณ์
ที่แยกออกจากทรัพย์ที่เป็นประธานเพยงชั่วคราวก็ยังไม่ขาดจากการเป็นอปกรณ์ของทรัพย์ที่เป็น


ประธานนั้น และหากมีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ประธานย่อมทำให้อุปกรณ์ตกติดไปกับทรัพย์ที่เป็น

ประธานด้วย เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

10





คำว่าดอกผล สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย ซึ่ง
ดอกผลธรรมดา หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ที่ได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการมี


หรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น เช่น ไข่ไก่ ผลไม้ ลูกวัว
ื่
ขนแกะ น้ำนมแพะ เป็นต้น ส่วนดอกผลนิตินัย หมายความว่า ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอนที่ได้มา

ื่
เป็นครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อนเพอการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น สามารถคำนวณและถือเอาได้เป็น
ื่
รายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ดอกเบี้ย ค่าเช่า กำไร เงินปันผล เช่น นายศิลามีบ้านอยู่


หลังหนึ่งได้เอาบ้านออกให้นายอคนีเช่า ค่าเช่าจึงเป็นดอกผลนิตินัยที่ผู้เป็นเจ้าของแม่ทรัพย์ย่อมเป็น
เจ้าของดอกผล ดังนั้น ค่าเช่าบ้านจึงเป็นของนายศิลาซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่า

ส่วนที่สอง กล่าวถึงทรัพยสิทธิ บรรพ 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้

ตั้งแต่มาตรา 1298 ถึงมาตรา 1434 แบ่งเป็น 8 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาตรา

1298-1307 ลักษณะ 2 กรรมสิทธิ์ แบ่งเป็น 3 หมวด หมวด 1 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ มาตรา 1308-

1334 หมวด 2 แดนแห่งกรรมสิทธิ์และการใช้กรรมสิทธิ์ มาตรา 1335-1355 และหมวด 3 กรรมสิทธิ์

รวม มาตรา 1356-1366 ลักษณะ 3 ครอบครอง มาตรา 1367-1386 ลักษณะ4 ภาระจำยอม มาตรา

ื้
1387-1401 ลักษณะ 5 อาศัย มาตรา 1402-1409 ลักษณะ 6 สิทธิเหนือพนดิน มาตรา 1410-1416
ลักษณะ 7 สิทธิเก็บกิน มาตรา 1417-1428 และลักษณะ 8 ภาระติดพนในอสังหาริมทรัพย์ มาตรา

1429-1434

การก่อตั้งทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้นจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมาย


แพงและพาณิชย์หรือกฎหมายอน ซึ่งการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอน

ื่
เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการ
ได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ต้องไม่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอนบัญญัติถึง
ื่
การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นการเฉพาะ

เช่น การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์หรือการให้อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น การ

ได้มาต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ทำตามแบบย่อมตกเป็นโมฆะ

ื่
ส่วนการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอนนอกจากนิติ

กรรม ผู้ได้มาจะมีสิทธิในทรัพย์สินนั้นต้องจดทะเบียนการได้มาก่อน หากยังไม่มีการจดทะเบียนการ

ได้มาจะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดย

เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้ ส่วนกรณีมีบุคคลหลายคนเรียก

11





เอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ถ้าทรัพย์สินตกอยู่ในครอบครองของบุคคล
ใด บุคคลนั้นมีสิทธิยิ่งกว่าบุคคลอนๆ แต่ต้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยมีค่าตอบแทนและได้การครอบครอง
ื่

โดยสุจริต
ทรัพยสิทธิที่บุคคลมีอยู่เหนือทรัพย์สิน ตามบรรพ 4 ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครองครอง


ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

1. กรรมสิทธิ์ เป็นทรัพยสิทธิที่บุคคลมีอยู่เหนือทรัพย์สินหรือเรียกว่าอำนาจความเป็น

เจ้าของที่กฎหมายให้การรับรองและคุ้มครองให้ ผู้เป็นเจ้าของจึงมีอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ 5 ประการ

คือสิทธิใช้สอยทรัพย์สิน สิทธิจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน สิทธิได้ซึ่งดอกผลในทรัพย์สินนั้น สิทธิติดตาม

เอาทรัพย์สินนั้นคืนจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้อนสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับ
ื่
ทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ื่
2. สิทธิครอบครอง หมายถึงสิทธิที่บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพอตน โดย
การยึดถือครอบครองด้วยตนเองหรือให้ผู้อนยึดถือไว้ให้ก็ได้ ซึ่งบุคคลอาจมีสิทธิครอบครองได้แม้ตน
ื่
ไม่มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครองเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับกรรมสิทธิ์ และมีได้ทั้ง

เหนือสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ได้โดยการครอบครอง

ปรปักษ์

3. ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอนเป็นเหตุ

ให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิ

บางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

4. สิทธิอาศัยเป็นทรัพยสิทธิที่ให้บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมสิทธิ

อยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า เรียกบุคคลนั้นว่าผู้ทรงสิทธิอาศัยซึ่งมีสิทธิอาศัยในโรงเรือน

ของผู้อื่นเพื่อเป็นที่กินอยู่หลับนอน แต่จะใช้เป็นที่ประกอบธุรกิจการค้าอย่างอื่นไม่ได้

ื้
ื้
5. สิทธิเหนือพนดินเป็นทรัพยสิทธิที่เจ้าของที่ดินอาจก่อให้เกิดสิทธิเหนือพนดินเป็นคุณ

แกบุคคลอน โดยให้บุคคลนั้นมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกบนดินหรือใต้
ื่
ดิน โดยจะเสียค่าเช่าหรือค่าตอบแทนให้เจ้าของที่ดินด้วยหรือไม่กได้

6. สิทธิเก็บกินเป็นทรัพยสิทธิที่อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในบังคับสิทธิเก็บกินอันเป็น

เหตุให้ผู้ทรงสิทธินั้นมีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินนั้น โดยจะมี

12





กำหนดเวลาหรือไม่ก็ได้ ผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีอำนาจจัดการทรัพย์สินแต่การจัดการจะต้องไม่เป็นการ
เปลี่ยนสภาพของทรัพย์สินในสาระสำคัญ



7. ภาระติดพนในอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพยสิทธิที่อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระ
ติดพนอนเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับการชำระหนี้เป็นคราวๆ จากทรัพย์สินนั้น หรือได้ใช้


และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้



ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน

ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ให้คำนิยามคำว่าทรัพย์และทรัพย์สินเอาไว้ในมาตรา

137 และมาตรา 138 การอธิบายความหมายของคำนิยามศัพท์ทั้งสองจึงต้องวิเคราะห์จากบทบัญญัติ

ทั้งสองมาตราประกอบกัน

คำว่า “ทรัพย์” หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง หมายถึง สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา จับต้องสัมผัสได้

ี้
และสามารถอธิบายรูปทรงรูปร่างได้ เช่น เงิน ทอง โต๊ะ เก้าอ หนังสือ ปากกา นาฬิกา รถยนต์ หอ
นาฬิกา บ้าน ที่ดิน เป็นต้น (บัญญัติ สุชีวะ. 2544 : 5) ส่วนคำว่า “ทรัพย์สิน” หมายความรวมทั้ง


ทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ แสดงว่าทรัพย์ก็คือทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่เป็น
วัตถุมีรูปร่าง อาจมีราคาและอาจถือเอาได้ และยังหมายความรวมถงวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง อาจมีราคาและ


อาจถือเอาได้ ซึ่งวัตถุไม่มีรูปร่าง หมายถึง สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาจับต้องสัมผัสไม่ได้ (บัญญัติ สุชีวะ.

2544 : 6) เช่น กำลังแรงธรรมชาติ พลังงานไฟฟา แก๊ส หรือสิทธิต่างๆ ที่เป็นทรัพยสิทธิ ได้แก่

กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพนดิน สิทธิอาศัย ภาระจำยอม ภาระติดพนใน

ื้
อสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า เป็นต้น


องค์ประกอบของทรัพย์สิน


ลักษณะของทรัพย์และทรัพย์สินนั้น จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ ต้องเป็นวัตถุมี

รูปร่างหรือวัตถุไม่มีรูปร่าง อาจมีราคาและอาจถือเอาได้ ซึ่งในทางทฤษฎีมี 2 ทฤษฎี ดังนี้ ทฤษฎีแรก

เอามนุษย์เป็นตัวตั้ง แล้วแล้วมนุษย์มองเห็นจับต้องได้สัมผัสได้สิ่งนั้นก็มีรูปร่าง (บัญญัติ สุชีวะ.


2544 : 6) ดังนั้น กระแสไฟฟาไม่มีรูปร่าง จุลชีพไม่มรูปร่าง ส่วนทฤษฎีที่สอง เอาทรัพย์เป็นตัวตั้ง ตัว

ี่
มันมีรูปร่างด้วยตัวของมันเอง แม้มนุษย์มองไม่เห็นก็ถอเป็นวัตถุทมีรูปร่าง เช่น กระแสไฟฟ้า ศาลฎีกา

วินิจฉัยว่าลักกระแสไฟฟ้าก็เป็นลักทรัพย์

13





1. วัตถุมีรูปร่าง
การพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นวัตถุมีรูปร่างมีหลักเกณฑ์ ดังนี้


1.1 มองเห็นได้ คือ มีรูปร่างโดยการมองเห็น ซึ่งการมองเห็นนี้อาจจะมองเห็นด้วยตา
ี้
เปล่า เช่น โต๊ะ เก้าอ สมุด ปากกา หนังสือ บ้าน ที่ดิน เป็นต้น มีรูปร่างแต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา

เปล่าและอาจต้องใช้เครื่องช่วยในการมองเห็น เช่น ใช้แว่นขยายหรือใช้กล้องจุลทรรศน์ขยาย เช่น

พยาธิเส้นด้ายจะมีลักษณะเหมือนเส้นด้าย หรืออะมีบา (amebas) ที่มีลักษณะเป็นกลมๆ หรือพารามี

เชียม (Paramecium) ซึ่งเป็นโปรโตซัวมีขนอยู่รอบตัวโดยใช้ขนในการเคลื่อนที่ เป็นต้น พยาธิหรือ

สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่มีรูปร่าง ดังนั้นวัตถุมีรูปร่างก็คอตัวมันเองมีรูปร่าง

และสามารถเห็นโดยตาเปล่าหรือมองผ่านเครื่องมือได้ (ศรีราชา เจริญพาณิช. 2555 : 19) แต่การ

เห็นเงาบ้าน ภาพที่ปรากฏในจอโทรทัศน์ รสชาติอาหาร เสียงจากวิทยุ หรือกลิ่นหอมของน้ำหอม

เหล่านี้ไม่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาที่จะเป็นวัตถุมีรูปร่าง (ศรีราชา เจริญพาณิช. 2555 : 22) จึง

ไม่ใช่ทรัพย์

1.2 สัมผัสได้ หมายถึง สิ่งนั้นสามารถใช้มือหรืออวัยวะแตะต้องสัมผัสได้ หรือสามารถ

ยึดถือเอาได้โดยสภาพของทรัพย์นั้น เช่น กระเป๋า ดินสอ ปากกา ธนบัตร แว่นตา หมวก รถยนต์ ที่ดิน

นก ไก่ งู ปลา เป็นต้น

1.3 อธิบายรูปทรงรูปร่างได้ หมายถึง การสามารถอธิบายได้ว่าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็น

อย่างไร มีรูปทรงรูปร่างอย่างไร เป็นทรงกลมหรือเป็นเหลี่ยม ขนาดใหญ่หรือเล็ก ยาวหรือสั้น เช่น ลูก

ฟตบอลมีลักษณะเป็นทรงกลม หรือโต๊ะมีลักษณะสีเหลี่ยมมีขา 4 ขา บ้านทรงไทยมีลักษณะเป็นบ้าน

2 ชั้น รถยนต์รุ่นใหม่ภายในกว้างขวางบรรจุผู้โดยสารได้ 8 คน ลูกวัวตัวเล็ก ดินสอถูกเหลาจนสั้น ไข่

ไก่เบอร์ 2 กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบางน้ำหนักเบา เป็นต้น

2. วัตถุไม่มีรูปร่าง

วัตถุไม่มีรูปร่าง หมายความว่า สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นเพราะมันไม่มีรูปร่าง สัมผัส

ไม่ได้ ไม่สามารถอธิบายรูปร่างได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับวัตถุมีรูปร่าง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

พลังงานต่างๆ และสิทธิ ดังนี้


2.1 พลังงานต่างๆ ได้แก่ พลังงานไฟฟาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์ พลังงาน

แสงอาทิตย์ พลังงานลม ซึ่งกระแสไฟฟาเป็นพลังงานไม่มีรูปร่างและมองไม่เห็น หรือแก๊สก็ไม่มีรูปร่าง

14






เช่นกัน แต่มีการใช้สัญลักษณ์แทน เช่น พลังงานไฟฟา อาจต้องใช้ภาษาหรือภาพวาดแสดงออกมา
เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นสากล



2.2 สิทธิต่างๆ เป็นวัตถุไม่มีรูปร่างมองไม่เห็น เช่น การขายหนังสือวิชากฎหมายแพง
ว่าด้วยทรัพย์สินเล่มนี้เท่ากับเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ และมีหนี้ส่งมอบในหนังสือ ไม่ได้ขายหนังสือแล้ว


ขายกรรมสิทธิ์ เมื่อมีการซื้อขายหนังสือและส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อย่อมมีอำนาจกรรมสิทธิ์เหนือ

หนังสือเล่มนี้ ในการที่จะใช้สอย จำหน่ายจ่ายโอน ได้ดอกผล ติดตามเอาคืนหรือขัดขวางหวงกนจากผู้

ไม่มีสิทธิ ดังนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นทรัพย์ แต่สิทธิของนายวายุที่มีอยู่เหนือหนังสือเล่มนี้เป็นทรัพย์สิน

สิทธิต่างๆ นี้ ยังหมายความรวมถึงสิทธิบางอย่าง เช่น สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าที่ยังเหลืออยู่ สิทธิ

ตามสัมปทานบัตรที่รัฐอนุญาตให้ขายสิทธิต่อได้ สิทธิในการเป็นลูกวงแชร์ที่สามารถขายสิทธิของ

ตนเองได้ เป็นต้น

3. อาจมีราคา

สิ่งที่เป็นวัตถุนั้นจะต้องอาจมีราคา คำว่า “อาจ” หมายถึงมีหรือไม่มีราคาก็ได้ ถ้า

พอจะเข้าใจได้ว่ามีราคาก็เพยงพอแล้ว หมายความว่าอาจจะมีราคาสำหรับใครบางคน อาจจะไม่มี

ราคาสำหรับผู้เป็นเจ้าของ แต่อาจมีราคาสำหรับคนอื่น เพยงแต่สิ่งนั้นอาจมีราคาสำหรับใครบางคน ก็

ถือเป็นทรัพย์ได้ ส่วนคำว่า “ราคา” ไม่ได้หมายถึงแต่เพยงราคา (Price) ที่คำนวณเป็นเงินได้เท่านั้น

คำว่าราคาในทางนี้หมายถึงคุณค่า (Value) ซึ่งอาจเป็นคุณค่าทางจิตใจหรือคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์

ซึ่งต้องมีประโยชน์และจำนวนจำกัด เช่น เครื่องรางของคลัง ปลัดขิก หรือน้ำทะเลอยู่ในท้องทะเลไม่มี

ราคาแต่ถ้าอยู่ในกรุงเทพมหานครจะมีราคาเพราะมีจำกัด ทั้งนี้โดยใช้สามัญสำนึกว่าสิ่งนั้นน่าจะมี

คุณค่าอยู่ในตัวเองหรือมีราคาอยู่ในตัวเอง เช่น เงินเหรียญสตางค์แดง ฉลากกินแบ่งรัฐบาลที่ไม่ถูก

รางวัล แสตมป์ที่ใช้แล้ว รูปถ่ายสมัยเด็ก ชุดนักเรียนเก่า เป็นต้น ราคาในที่นี้อาจมีมูลค่ามหาศาลจนไม่


สามารถกำหนดเป็นราคาได้ เช่น เพชรเม็ดขนาดใหญ่ที่มีเพยงเม็ดเดียวในโลกไม่อาจประเมินราคาได้
เช่นนี้เพชรนั้นจึงมีราคาและมีคุณค่า แต่บางครั้งการมีคุณค่าอาจจะไม่มีราคาซื้อขาย เช่น จดหมายรัก

ก้อนหิน ใบไม้แห้ง ของที่ระลึกทำเอง เป็นต้น หรือแม้จะเป็นสิ่งที่คนรังเกียจก็อาจมีราคาได้ เช่น มูล

สัตว์ ปุ๋ยคอกหรือเศษอาหารเศษผักผลไม้ที่เอาไว้ทำปุ๋ยหมัก เป็นต้น

4. อาจถือเอาได้

อาจถือเอาได้ (appropriated) หมายถึง การเข้ายึดถือครอบครองหรือหวงกันอย่าง



เป็นเจ้าของ เพยงแต่ใครบางคนอาจจะเข้าหวงกันเป็นเจ้าของได้ เพยงแค่นี้ก็สามารถเป็นทรัพย์หรือ

15





ี่
ทรัพย์สินได้ ไม่จำต้องถึงขนาดมีคนเป็นเจ้าของแล้ว เช่น นกทบินอยู่บนท้องฟ้า เพราะนกนั้นมีรูปร่าง
มีราคาและอยู่ในวิสัยของมนุษย์คนใดคนหนึ่งที่จะยึดถือเป็นเจ้าของมันได้ ถึงแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีใคร


เป็นเจ้าของมันก็ตาม หรือทรัพย์ที่เจ้าของสละทิ้งแล้ว เช่น เศษผ้า ถุงพลาสติก ขวดน้ำเปล่า ก็ยังคง
เป็นทรัพย์อยู่ หรือแม้แต่ทรัพย์บางอย่างที่ไม่อาจโอนกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นทรัพย์ที่


เป็นประเภททรัพย์นอกพาณิชย์ เช่น เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์ ค่ายทหาร ป้อมตำรวจ ที่ชายตลิ่ง ยา

เสพติด สินค้าปลอม เป็นต้น การถือสิทธิก็เป็นการแสดงถึงการอาจถือเอาได้ กรณีลิขสิทธิ์เป็นวัตถุไม่ม ี

รูปร่าง ไม่มีใครหยิบจับได้ แต่ก็ยังเป็นวัตถุที่ถือสิทธิเอาได้ จึงเป็นทรัพย์สินตามกฎหมาย ซึ่งการ

ถือเอาหมายถึงการถือสิทธิโดยทั่วๆ ไป ไม่จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเป็นการถือกรรมสิทธิ์ ยังมีทรัพยสิทธิ

อื่นที่ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ แต่เป็นสิทธิที่บุคคลอาจทรงไว้ถือเอาซึ่งทรัพย์สินได้ เช่น การที่เอกชนครอบครอง

ที่มือเปล่าไม่มีโฉนด ก็ถือได้ว่าเป็นการถือสิทธิอย่างหนึ่ง และที่ดินที่เป็นวัตถุแห่งสิทธินั้นก็เป็น

ทรัพย์สินด้วย ทรัพยสิทธิจะถือเอาได้เมื่อมีกฎหมายรับรอง ถ้าไม่มีกฎหมายก็ถือเอาไม่ได้ เช่น ก่อนปี


พ.ศ.2522 สิทธิบัตรยังไม่มีกฎหมายรับรองคุ้มครองให้ก็ถอเอาไม่ได้ ไม่เป็นทรัพย์สิน หรือสิทธิเก็บกิน
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์รับรองเฉพาะเหนืออสังหาริมทรัพย์ สิทธิเก็บกินบนเครื่องบิน

กฎหมายไทยไม่รับรองก็ถือเอาไม่ได้ แต่ในกฎหมายต่างประเทศรับรองก็ถือเอาได้



บทสรุป

ในบทนำนี้กล่าวถึงขอบเขตของเนื้อหาวิชากฎหมายแพงว่าด้วยทรัพย์สิน ประกอบด้วย


บรรพ 1 หลักทั่วไป ตั้งมาตรา 137 ถึงมาตรา 148 และบรรพ 4 ทรัพย์สิน ตั้งแต่มาตรา 1298 ถึง
มาตรา 1434 รวมทั้งกล่าวถึงความหมายของคำว่าทรัพย์คือวัตถุมีรูปร่าง คำว่าทรัพย์สินคือวัตถุมี


ื่
รูปร่างหรือไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ ทั้งนี้เพอให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่าวิชานี้มี
โครงสร้างอย่างไร ครอบคลุมหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์เพียงใด และเพอให้
ื่

เข้าใจว่าทรัพย์กับทรัพย์สินที่เป็นวัตถุแห่งสิทธินั้นคือสิ่งใดบ้าง



คำถามทบทวน

1. ทรัพย์ หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย

2. ทรัพย์สิน หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย

3. องค์ประกอบของทรัพย์สิน มีอย่างไร จงอธิบาย

16





4. ศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่ จงอธิบาย
5. นายศิลาแอบเอากรรไกรตัดผมของนางสาวนารีไปแล้วนำขาย นายศิลามีความผิดฐาน


ลักทรัพย์หรือฐานทำร้ายร่างกาย จงอธิบาย

6. นายประกิตเอาสายโทรศัพท์บ้านของตนเองไปต่อพวงกับตู้โทรศัพท์สาธารณะ ทำให้

ตนเองไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ นายประกิตมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ จงอธิบาย

17





บทที่ 2

ประเภทของทรัพย์สิน






ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ ตั้งแต่มาตรา 139 ถึงมาตรา 143 กำหนด
ประเภทของทรัพย์สินออกเป็น 5 ประเภท คือ อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์แบ่งได้ ทรัพย์

แบ่งไม่ได้ และทรัพย์นอกพาณิชย์ การแบ่งประเภทของทรัพย์สินทำให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้

กฎหมาย เช่น การซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือและจด

ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นสัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะสูญเปล่าตั้งแต่แรก แต่การซื้อขาย

สังหาริมทรัพย์ไม่จำต้องทำตามแบบก็ทำให้สัญญาซื้อขายมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่คำเสนอสนองถูกต้อง

ตรงกน หรือกรณีเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย มีกองมรดก ได้แก่ รถยนต์ 1 คัน ที่ดิน 100 ไร่ และมีช้าง

ั้
2 เชือก ถ้ามีลูก 2 คน ย่อมทำให้ลูกทงสองคนมีสิทธิในกองมรดกของผู้ตายคนละครึ่ง ดังนี้ รถยนต์จึง
เป็นทรัพย์แบ่งไม่ได้ เพราะหากตัดแบ่งคนละครึ่งแล้วย่อมไม่เป็นรถยนต์แต่กลายเป็นซากเหล็กเท่านั้น

วิธีการแบ่งปันทรัพย์มรดกอาจทำโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่าง

ทายาท ส่วนข้าวสารเป็นทรัพย์แบ่งได้ เพราะสามารถทจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้ แต่ยังมีลักษณะเป็น
ี่
ข้าวสารอยู่ เพยงแต่ทำให้มีปริมาณลดน้อยลงเท่านั้น เช่นนี้นายเอกสามารถซื้อข้าวสารจำนวน 2

ื่
กิโลกรัมได้ ส่วนการแบ่งประเภทของทรัพย์เป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ก็เพอจะได้รู้ว่าทรัพย์นั้นสามารถซื้อ
ขายกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ทางหลวง ทางเท้า หรือเพอจะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่อาจ
ื่
ถือเอาได้โดยสภาพ เช่น ดวงอาทิตย์ อากาศ สายลม แสงแดด เสียง กลิ่น เงา เป็นต้น ทรัพย์นอก

พาณิชย์มี 2 อย่าง คือ ถือเอาไม่ได้โดยชอบด้วยกฎหมายและไม่สามารถโอนกันได้โดยชอบด้วย

กฎหมาย



อสังหาริมทรัพย์


ตามมาตรา 139 คำว่า “อสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน

มีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอนเดียวกับที่ดินนั้น และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอน



เกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อนติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอนเดียวกับที่ดินนั้นด้วย” ดังนั้น

อสังหาริมทรัพย์จึงได้แก


18





1. ที่ดิน
2. ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร


3. ทรัพย์ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน

4. ทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อนติดอยู่กับที่ดินหรือประกอบเป็นอนเดียวกับ


ที่ดิน

1. ที่ดิน

คำว่า “ที่ดิน” หมายถึงอาณาเขตที่สามารถวัดความกว้างและความยาวได้บน


พนผิวโลก แต่ไม่รวมถึงดิน (soil) เพราะดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ประกอบเป็นอนเดียวกับ
ื้
ื่
ที่ดิน ทั้งนี้ที่ดินอาจประกอบด้วยเนื้อดิน หิน น้ำ จอมปลวก กองดินหรือแปรสภาพเป็นอย่างอน ซึ่ง

ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ ไม่ได้ให้ความหมายของคำว่าที่ดินไว้เป็นการเฉพาะ แต่ตาม
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 ให้ความหมายของคำว่าที่ดินไว้ว่า “ที่ดิน หมายความว่าพนที่ดิน
ื้
ทั่วไป และให้หมายความรวมถึงภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่

ชายทะเลด้วย” จากบทบัญญัตินี้คำว่าที่ดินจึงมีความหมายกว้างกว่า เพราะลำน้ำหรือทะเลสาบ นั้น


เป็นที่ดินด้วย แต่ไม่ใช่ที่ดินตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 139 (มานิตย์ จุมปา.
2551 : 29)

เอกชนอาจเป็นเจ้าของที่ดินได้ แต่สิทธิในที่ดินที่รัฐให้ไม่ได้มีแค่สิทธิ แต่มีหลายสิทธิ

มากตั้งแต่กรรมสิทธิ์ สิทธิจับจองทำประโยชน์ สิทธิทำกินในเขตป่าไม้ (สทก.) สิทธิเข้าทำประโยชน์ใน

ื่
เขตปฏิรูปที่ดินตามกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพอการเกษตร (สปก.) สิทธิเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นสิทธิ
ครอบครอง สิทธิครอบครองต้องขึ้นอยู่กับการครอบครองซึ่งไม่เกี่ยวกับรัฐให้และรัฐยังอาจให้สิทธิอน
ื่
ื่
ื่

ื้
ได้อก เช่น สิทธิเหนือพนดิน สิทธิเก็บกิน สิทธิที่ให้ไว้เพอการพาณิชย์ รัฐก็อาจให้ได้เพอการอนๆ โดย
ื่

รัฐให้สิทธิแกเอกชน 2 แบบ ดังนี้
1. ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ สิทธิที่รัฐให้เป็นสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งรวมถึงสิทธิที่
ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นโดยชอบ สิทธิที่รัฐให้มีสารพันสิทธิ แต่ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

ได้แค่สิทธิครอบครอง เพราะเมื่อไม่มีกรรมสิทธิ์ถ้ารัฐให้ต้องไปยึดตามกฎหมายนั้นๆ โดยรัฐออก

เอกสารสิทธิ์คือโฉนดที่ดินให้แก่เอกชนเพอแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โฉนดที่ดิน
ื่
หมายความว่า หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ และหมายความรวมถึงโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และ

ตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ทั้งนี้ตามมาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กำหนดให้บุคคล

19





ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวล
กฎหมายนี้ใช้บังคับ หรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตาม


ื่
ื่
กฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพอการครองชีพหรือกฎหมายอน หมายความว่า เอกสารสิทธิ์อนที่ได้มา
ื่
ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (ก่อนวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2497) ได้แก่ โฉนดตราจอง
โฉนดแผนที่ ตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว หรือที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบท

ที่ 42 หมายความว่าที่บ้านที่สวนถึงแม้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ก็เป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์ การจะครอบครอง

ปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์จึงต้องใช้เวลา 10 ปี (สมจิตร ทองประดับ. 2544 : 49-52)

2. ที่ดินที่ไม่จำเป็นต้องรัฐให้ ใครก็ครอบครองได้ ซึ่งอาจจะมีเพยงใบจอง ใบไต่สวน

หนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หรือไม่มี

เอกสารสิทธิ์ใดๆ เลย คำว่า ใบจอง หมายความว่า หนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดิน

ชั่วคราว ซึ่งผู้ที่จะเข้าครอบครองที่ดินชั่วคราวได้นี้ ก็มีได้ในกรณีที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจาก

คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติหรือจากอธิบดีกรมที่ดิน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน

มาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 27มาตรา 30 หรือมีการขอจับจองที่ดินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33

ื่
คำว่า ใบไต่สวน หมายความว่า หนังสือแสดงการสอบสวนเพอออกโฉนดที่ดิน และให้หมายความ
รวมถึงใบนำด้วย คำว่า หนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หมายความว่าหนังสือที่ผู้ที่ได้

ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2497 อนเป็นวันที่ประมวลกฎหมาย

ที่ดินใช้บังคับ โดยยังไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ได้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่

ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 ส่วนคำว่า หนังสือรับรองการทำ

ประโยชน์ (น.ส.3) หมายความว่าหนังสือคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดิน

แล้ว ผู้ที่มี น.ส.3 ย่อมมีสิทธิขอให้ออกโฉนดที่ดินได้ หากที่ดินนั้นอยู่ในเขตท้องที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงมหาดไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นเขตท้องที่ที่จะทำการสำรวจรังวัดทำแผนที่

เพอออกโฉนดที่ดิน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 58 และไม่เป็นที่ดินที่
ื่
ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ที่ชายตลิ่ง หรือไม่เป็นที่เขา ที่ภูเขา ที่

สงวนหวงห้าม ที่ดินซึ่งทางราชการเห็นว่าควรสงวนไว้เพอทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ดังที่บัญญัติไว้ใน
ื่
กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย

ที่ดิน พ.ศ.2497 ข้อ 8 ไม่ใช่ที่ดินจามมาตรา 1303 (2), (3)

20





การแบ่งที่ดินทั้ง 2 แบบทำให้เกิดผลทางกฎหมายแตกต่างกันหลายประการ เช่น การ
จดทะเบียนการโอน การครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะการครอบครองปรปักษ์นั้นจะมีได้


เฉพาะในทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ก็ไม่อาจที่จะครอบครอง
ปรปักษ์ได้ ส่วนที่ดินที่มีแต่สิทธิครอบครองหากถูกแย่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปี ผู้ครอบครองเดิม



ก็ไม่อาจฟองเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ตามมาตรา 1375 นอกจากนี้ที่ดินที่มีเพยงสิทธิครอบครอง

สามารถโอนกันได้โดยการสละการครอบครองและส่งมอบการครอบครอง ตามมาตรา 1377 และ

มาตรา 1378 ส่วนที่ดินที่มีโฉนดต้องทำตามแบบโดยเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน


เจ้าหน้าที่มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ และหากอางการได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินนั้นจะต้อง
มีการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของจนครบ 10 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์โดยผลของ

กฎหมายได้ (สมจิตร ทองประดับ. 2544 : 56)

2. ทรัพย์ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร

ทรัพย์ติดกับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรให้ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วยนั้น เหตุผล

สืบเนื่องมาจากกฎหมายโรมันดั้งเดิมที่ว่าสิ่งใดปลูกปักลงไปในที่ดินย่อมตกไปเป็นที่ดินด้วย

(Quicquid solo plantatur solo) (ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช. 2521 : 35) ซึ่งทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมี

สภาพหรือลักษณะเป็นการถาวรโดยพจารณาจากส่วนเชื่อมติดกับที่ดิน เช่น บ้านเรือน อาคาร ตึก

สะพาน ยุ้งข้าว ทางด่วน อนุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงม้า หอนาฬิกา รั้วกำแพงที่สร้างขึ้นติดกับที่ดิน

เป็นต้น การติดกับที่ดินของทรัพย์เหล่านี้ต้องมีลักษณะถาวร แต่ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับที่ดินยาวนาน

ไปตลอดกาล เช่น เมื่อสร้างบ้านขึ้น ต่อมาอาจจะรื้อบ้านเพอย้ายไปปลูกที่อนก็ได้ แต่โดยสภาพของ
ื่
ื่
บ้านแล้วย่อมติดอยู่กับที่ดินอย่างถาวรโดยไม่จำต้องพิจารณาที่เจตนาของผู้สร้างเพื่อมาเป็นตัวกำหนด

ว่าทรัพย์นั้นติดกับที่ดินถาวรหรือไม่ถาวร เว้นแต่กรณีการโอนขายบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้น

เจ้าของสามารถแสดงเจตนาซื้อขายแบบเป็นสังหาริมทรัพย์โดยมีการตกลงให้รื้อถอนเอาไปก็ได้ และ

ไม่จำต้องทำตามแบบของกฎหมาย แต่ทรัพย์บางอย่างไม่มีลักษณะติดอยู่กับที่ดินอย่างถาวร เช่น แผง

ลอย นั่งร้าน ป้อมยามตำรวจ ชิงช้าสวรรค์ในงานวัด เต็นท์ละครสัตว์ หรือเต็นลูกเสือค้างแรม ร้านไม้

กระบอกปลูกสร้างขึ้นในงานวัด ร้านยาดอง กระท่อมที่เคลื่อนย้ายได้ รถบดถนนจอดไว้บนดิน โองน้ำ

ขนาดใหญ่วางไว้บนดิน ท่อนไม้ขนาดใหญ่วางบนดิน เครื่องจักรโรงสี เป็นต้น แม้ว่ามีเจตนาจะให้


ทรัพย์เหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้นตลอดไป แต่ทรัพย์เหล่านี้ก็ไม่เป็นทรัพย์อนติดอยู่กับที่ดินอนมีลักษณะเป็น

การถาวร จึงไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์ กรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะนั้นถ้ายกไปแล้วไม่มีการทำลายให้บุบ

21





สลายเสียหายจังเป็นสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ายกไปแล้วเกิดบุบสลายเสียหายถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์

แต่อย่างไรก็ตามการพจารณาว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือไม่นั้นจะนำหลักกฎหมายเรื่องสวนควบมา


ประกอบการพจารณาไม่ได้เพราะเป็นคนละเรื่องกัน เพราะธรรมชาติของอสังหาริมทรัพย์ต้องเป็น
ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ (Unmovable property)


3. ทรัพย์ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน

ทรัพย์ประกอบเป็นอนเดียวกับที่ดิน (things forming a body with land) หมายถึง


วัตถุต่างๆ ที่จะพงเห็นได้ว่ามีการรวมสภาพจนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในที่ดิน รวมทั้งเนื้อดินเองด้วย ซึ่ง
อาจเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น เนื้อดิน หิน แร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในดิน (ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช. 2521 :

41) รวมทั้งทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินโดยมนุษย์ทำขึ้น เนื้อดินหรือหินลูกรังที่บุคคลนำไป

ถมที่ให้สูงขึ้น เมื่อถมแล้วจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินทันทีถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือคอนกรีต

และยางแอสฟัลท์ที่นำมาทำถนนเมื่อเป็นถนนแล้วย่อมถือว่าเป็นทรัพย์ที่ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน

จึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่หากทรัพย์นั้นเปลี่ยนสภาพต่างไปจากธรรมชาติ หรือไม่ได้เกิดจาก


ธรรมชาติ ก็กลายเป็นทรัพย์ที่ไม่ประกอบเป็นอนเดียวกับที่ดิน เช่น การขุดแร่ดีบุกกองไว้บนที่ดิน ท่อ
น้ำโสโครก ท่อประปา หรือสร้อยคอทองคำตกหล่นและจมอยู่ในดินนั้นไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ในกรณี

ไม้ล้มลุกหรือธัญชาตินั้นแม้จะถือว่าลักษณะสภาพของมันเป็นอนเดียวกับที่ดิน แต่ด้วยมีบทบัญญัติ

ของกฎหมายยกเว้นไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงเป็นสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้แม้ทรัพย์ที่ประกอบเป็นอน

ื่
เดียวกับที่ดินจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่เจ้าของอาจโอนไปยังผู้อนโดยปลดปลิดเอาออกจากตัวที่ดิน
นั้น จึงเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ได้

ี่

คำพพากษาศาลฎีกาท 755/2527 จำเลยเช่าที่ดินโจทก์เพอทำไร่ แต่จำเลยกลับขุดดิน
ื่
นั้นไปขาย ซึ่งเป็นการขายโดยทุจริตเอาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐาน
ลักทรัพย์ไม่ใช่ฐานยักยอก เนื่องจากการให้เช่าที่ดินนั้นผู้ให้เช่าให้เช่าในสภาพที่เป็นอสังหาริมทรัพย์

เมื่อที่ดินถูกขุดขึ้นมาแล้วย่อมเปลี่ยนสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เช่า ดินที่ขุด

มายังคงอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่าโดยไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจึงมี

ความผิดฐานลักทรัพย์

4. ทรัพยสิทธิ

ทรัพยสิทธิเหนือสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้

1. ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดิน

22





2. ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร
3. ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน


คำว่า ทรัพยสิทธิ หมายถึง สิทธิที่บุคคลมีอยู่เหนือทรัพย์ ถ้าเป็นสิทธิที่อยู่เหนือ
อสังหาริมทรัพย์ สิทธินั้นก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วย เช่น นายหมอกเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1241


นายหมอกย่อมเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ และเป็นผู้มีสิทธิเหนือที่ดินแปลงนั้น เรียกว่ามี

กรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพยสิทธิที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะในขณะที่มีการซื้อขายที่ดิน จะต้องขาย

ตัวทรัพย์ที่เป็นที่ดินและมีหนี้ที่จะต้องส่งมอบที่ดิน แต่ไม่ได้หมายความว่าขายตัวทรัพย์นั้นและขาย

กรรมสิทธิ์เหนือที่ดินไปด้วย ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้นจะก่อตั้งขึ้นได้โดยอาศัยอำนาจในประมวล

กฎหมายนี้หรือกฎหมายอนตามมาตรา 1298 ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิ
ื่
เก็บกิน สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพนดิน และภาระติดพนในอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสิทธิจำนอง แต่

ื้
หุ้นส่วนที่เกยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ (บัญญัติ สุชีวะ. 2540 : 16) ซึ่งหุ้น
ี่
ในที่ดินในกรณีนี้ต้องมิใช่เจ้าของรวม หมายถึงหุ้นในบริษัทที่เป็นเจ้าของที่ดินจะไม่เป็น

อสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการโอนขายหุ้นในห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งมีทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่

ถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เพียงทำหนังสือสัญญากันเองก็ใช้ได้



สังหาริมทรัพย์

ื่
ตามมาตรา 140 คำว่า “สังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ทรัพย์สินอนนอกจาก

อสังหาริมทรัพย์ และหมายความรวมถึงสิทธิอนเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย” จากความหมายตาม

มาตรา 140 จึงกล่าวได้ว่าหากทรัพย์สินใดมิใช่อสังหาริมทรัพย์ก็จะเป็นสังหาริมทรัพย์ ดังนี้


1. ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ หมายความว่าทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายไปได้โดยไม่เสียรูปร่างหรือ
รูปลักษณะของตัวทรัพย์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย รถยนต์ โต๊ะ เก้าอ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือป้อม
ี้

ยามตำรวจที่ยกเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งอาจเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวของทรัพย์นั้นเอง เช่น สัตว์เลี้ยง รถยนต์
เครื่องบิน เป็นต้น หรืออาจเคลื่อนที่ด้วยแรงกำลังภายนอก เช่น หนังสือ สมุด ปากกา โทรศัพท์


กระเป๋า เสื้อ กางเกง ร้องเท้า เป็นต้น

2. พลังงานต่างๆ โดยจะต้องเป็นแรงกำลังพลังงานที่อาจถือเอาได้และอาจมีราคาได้ด้วย

เช่น พลังงานน้ำตก พลังงานไอน้ำ พลังงานความร้อน แก๊ส กระแสไฟฟ้า เป็นต้น

23






3. สิทธิอนเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิจำนำ สิทธิใน
หุ้นส่วน สิทธิยึดหน่วง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และสิทธิในเครื่องหมายการค้า เป็นต้น เมื่อกรรมสิทธิ์มีอยู่


เหนือสังหาริมทรัพย์ย่อมทำให้กรรมสิทธิ์นั้นเป็นสังหาริมทรัพย์ด้วย เช่น นายศิลาจะขายหนังสือที่
ตนเองมีกรรมสิทธิ์เหนือหนังสือเล่มนี้ นายศิลาก็ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ


พนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะว่านายศิลาไม่ได้ขายกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ

ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นสังหาริมทรัพย์ การขายสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อบ้านและที่ดิน จึงไม่ต้องทำ

เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าซื้อก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ เป็นสิทธิที่มีอยู่

เหนือตัวบุคคลไม่ใช่เหนือทรัพย์สิน ผู้เช่าบังคับกับผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคู่กรณีในการทำสัญญาจึงไม่ใช่สิทธิที่

มีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์โดยตรงจึงไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ จะอางว่าการขายสิทธิตกเป็นโมฆะเพราะ

ื่
ไม่ได้ทำตามแบบไม่ได้ ทันทีที่ขายสิทธิ สิทธิก็โอนไปยังผู้ซื้อแล้วโดยไม่ต้องทำตามแบบ บังคับคนอน
ไม่ได้ บังคับได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ดังนั้นสิทธิเช่าซื้อเป็นเรื่องหนี้ เป็นสิทธิทางหนี้จึงเป็นเรื่องการ

โอนสิทธิเรียกร้อง



ทรัพย์แบ่งได้

ทรัพย์แบ่งได้ หมายถึงทรัพย์อนอาจแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ ได้จริงถนัดชัดแจ้ง แต่ละ


ส่วนได้รูปบริบูรณ์ลำพงตัว ตามมาตรา 141 ซึ่งทรัพย์แบ่งได้นี้จะเป็นสังหาริมทรัพย์หรือ
อสังหาริมทรัพย์ก็ได้ เช่น ที่ดิน ข้าวสาร น้ำตาลทราย น้ำมัน สุรา เมื่อแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ แล้วแต่

ละส่วนก็ยังคงเป็นข้าวสาร น้ำตาลทราย น้ำมัน สุราอยู่ตามเดิม ผ้าม้วนเป็นพบๆ ก็สามารถตัด

แบ่งเป็นเมตรหรือเป็นหลาได้ ที่ดินสามารถแบ่งเป็นไร่หรือตารางวาได้ แต่ละส่วนได้รูปบริบูรณ์ลำพง

ตัว หมายความว่าแยกออกไปแล้วลักษณะคุณสมบัติแห่งความเป็นทรัพย์นั้นยังอยู่ แต่ขนาดหรือ

ปริมาณอาจลดลง เช่น ที่ดินแปลงหนึ่ง เนื้อที่ 10 ไร่ แบ่งออกเป็นสองแปลงได้เนื้อที่แปลงละ 5 ไร่


แปลงที่แบ่งออกไปนั้นก็ยังคุณลักษณะแห่งความเป็นที่ดินเหมือนเดิม หรือผ้าม้วนเป็นพบจำนวน 1
พับ ตัดแบ่งออกมา 10 เมตร ส่วนที่แบ่งออกมายังคงเป็นผ้าอยู่ แต่ถ้าเอาผ้านี้ไปตัดเป็นเสื้อ 1 ตัว เสื้อ

นั้นไม่สามารถแบ่งได้อก เพราะแบ่งแล้วไม่มสภาพแห่งการเป็นเสื้อ เสื้อจึงเป็นทรัพย์แบ่งไม่ได้ แต่ถ้ามี


เสื้อ 10 ตัวสามารถนำแบ่งกันเป็นตัวๆ ได้

24





ทรัพย์แบ่งไม่ได้

ทรัพย์แบ่งไม่ได้ หมายความว่า ทรัพย์อนจะแยกออกจากกันไม่ได้นอกจากเปลี่ยนแปลง

ภาวะของทรัพย์ และหมายความรวมถึงทรัพย์ที่มีกฎหมายบัญญัติว่าแบ่งไม่ได้ด้วย ตามมาตรา 142

ซึ่งทรัพย์แบ่งไม่ได้ มีความหมาย 2 ประการ ดังนี้


1. แบ่งไม่ได้โดยสภาพ กล่าวคือหากมีการแบ่งแล้วจะให้ทำให้ไม่มีสภาพเป็นทรัพย์อก

ต่อไป เช่น ถ้วย จาน แกวน้ำ รถยนต์ อาคารบ้านเรือน วัว กระบือ เป็นต้น ถ้าแบ่งวัวออกเป็นหัวเป็น
หาง เป็นเขา เป็นขา วัวนั้นจะเสียภาวะไป ไม่เป็นวัวต่อไป หรือถ้าแบ่งอาคารบ้านเรือนออกเป็นอฐ

เป็นปูน เป็นเหล็ก เป็นไม้ เป็นกระเบื้อง อาคารบ้านเรือนนั้นก็จะเสียภาวะไม่เป็นอาคารบ้านเรือน


ต่อไป แกวน้ำ 1 ใบถ้าแบ่งออกแล้วก็จะแตกเป็นส่วนๆ ไม่เป็นแก้วน้ำ ผลไม้ลูกหนึ่งถ้าเอามีดผ่าเป็น 2
ซีก ผลไม้ก็จะเสียรูปทรงไป ไม่เป็นผลไม้เต็มลูกต่อไป

2. แบ่งไม่ได้โดยกฎหมาย แม้ว่าโดยสภาพแล้วอาจสามารถแบ่งได้ แต่หากกฎหมาย

บัญญัติไม่ให้แบ่งแยกสิ่งนั้นก็จะไม่สามารถแบ่งได้ เช่น หุ้นตามมาตรา 1118 ส่วนควบตามมาตรา

144 สิทธิในภาระจำยอมตามมาตรา 1394, มาตรา 1395 และสิทธิจำนองตามมาตรา 717 เป็นต้น

(ประมูล สุวรรณศร. 2541 : 30)


หุ้นตามมาตรา 1118 บัญญัติไว้ว่าหุ้นนั้นจะแบ่งแยกไม่ได้ เช่น นายปฐพและนายวายุซื้อ
หุ้นของบริษัทแห่งหนึ่ง 1 หุ้นราคาหุ้นละ 1,000 บาท โดยออกเงินคนละครึ่ง นายปฐพและนายวายุ

จะแบ่งหุ้นนั้นออกเป็น 2 ส่วนๆ ละ 500 บาทไม่ได้ เพราะมาตรา 1118 บัญญัติไว้ว่าหุ้นนั้นจะ

แบ่งแยกไม่ได้ นายปฐพีและนายวายุ จะต้องเป็นเจ้าของหุ้นนั้นร่วมกัน

ส่วนควบของทรัพย์ ตามมาตรา 144 คือส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีต

ประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจาก

จะทำลาย ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป เช่น หลังคาบ้านเป็น

ส่วนควบของบ้าน จึงเป็นทรัพย์แบ่งไม่ได้

สิทธิในภาระจำยอมตามมาตรา 1394 และมาตรา 1395 หมายความว่า แม้ว่าตัวทรัพย์จะ

ถูกแบ่งแต่สิทธิแบ่งไม่ได้ ยังมีสิทธิอยู่เหมือนเดิม เว้นแต่ ถ้าส่วนใดของภาระจำยอมใช้ไม่ได้ เจ้าของจะ

เรียกให้พนจากภาระจำยอมได้ หรือหากมีการจำหน่ายสามยทรัพย์ ภาระจำยอมก็ติดไปกับ

สามยทรัพย์นั้นด้วย จะจำหน่ายสามยทรัพย์โดยไม่ขายภาระจำยอมด้วยได้ เพราะภาระจำยอม

สามารถยกเลิกได้ แต่ขายสามยทรัพย์โดยไม่ให้ภาระจำยอมติดไปด้วยไม่ได้

25





สิทธิจำนองตามมาตรา 717 วรรคแรก หมายความว่า สิทธิที่เจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้
จากลูกหนี้เหนือทรัพย์ที่จำนอง แม้ทรัพย์ที่จำนองจะถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม สิทธิจำนองของ


เจ้าหนี้ก็ยังคงมีอยู่เหนือทรัพย์ทุกส่วนนั้น ทุกชิ้นต้องรับภาระจำนองเหมือนกัน



ทรัพย์นอกพาณิชย์


ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายความว่าทรัพย์ที่ไม่สามารถถอเอาได้ และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้
โดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 143 ทรัพย์นอกพาณิชย์แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

1. ทรัพย์ที่ไม่อาจถือเอาได้ กล่าวคือสิ่งนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินเพราะไม่อาจถือเอาได้ จึงขาด

องค์ประกอบของทรัพย์สิน ตามมาตรา 137 และมาตรา 138 จึงไม่อาจเป็นวัตถุแห่งสิทธิได้ เป็นผลให้

จำหน่ายจ่ายโอนไม่ได้ เช่น สายลม แสงแดด ก้อนเมฆ อวกาศ ดวงอาทิตย์ เงา กลิ่น เสียง แรง

(Force) เป็นต้น

2. ทรัพย์ที่ไม่อาจโอนแก่กันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือสิ่งนั้นเป็นทรัพย์ที่ไม่

สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ตามกฎหมาย แม้ว่าโดยสภาพแล้วสามารถถือเอาได้และอาจมีราคาก็


ตาม แต่หากมีกฎหมายห้ามโอนจึงเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ เช่น โบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ห้ามทำ
การค้าตามประกาศกรมศิลปากร ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ศาสนสมบัติกลาง และทรัพย์สินที่เป็นสาธารณ


สมบัติของแผ่นดิน เป็นต้น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ เพราะมีกฎหมายบัญญัติห้ามโอน ห้าม


ยกอายุความและห้ามยึดเอาไว้ สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้
เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ได้แก ่


1. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดิน
โดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน


2. ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ
ื่
3. ทรัพย์สินใช้เพอประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร สำนัก

ราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธ ยุทธภัณฑ ์


จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินที่ระบุไว้ในมาตรา 1304 (1)-(3) นั้นเป็นเพยงตัวอย่างของสาธารณ

สมบัติของแผ่นดินเท่านั้น ซึ่งอาจมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอื่นอก เช่น หนองน้ำธรรมชาติที่ราษฎร

ใช้ประโยชน์ร่วมกันมาช้านาน ที่ซึ่งเป็นป่าดอนชาวบ้านใช้เลี้ยงสัตว์เก็บฟืนมากว่า 40 ปี ที่พพาทเป็น

26





ส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งสาธารณชนใช้เผาและฝังศพมาหลายสิบปีจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่
ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น (เรืองยศ แสนภักดี. 2526 : 42)


เมื่อทรัพย์สินใดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะมีผลตามกฎหมาย ดังนี้
1. ห้ามโอน ตามมาตรา 1305 กล่าวคือ สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้


ยกเว้นจะมีกฎหมายเฉพาะ ถ้ารัฐอยากขายให้เอกชนต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือพระราช

กฤษฎีกา ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังได้

ทำสัญญาจะซื้อจะขายให้เอกชน แม้ยังไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเพอออกเป็นพระราชกฤษฎีกา
ื่
สัญญาจะซื้อขายนั้นมีผลสมบูรณ์ แต่จะมีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว

ดังนั้นเอกชนยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ไปถึงแม้จะทำสัญญาแล้วก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ต้องรอเป็นกฎหมายก่อน

ตามมาตรา 1305 หรือแม้แต่ผู้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากการขายทอดตลาด แต่ปรากฏว่าเป็นที่ สา

ธารณสมบัติของแผ่นดินผลก็คือว่าผู้ซื้อไม่อาจได้กรรมสิทธิ์

2. ห้ามยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน ตามมาตรา 1306 กล่าวคือผู้ใดจะ

ครอบครองปรปักษ์ในสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้ แม้ครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

ื่

หมายความเฉพาะกรณีการครอบครองที่ใช้ยันกับรัฐ เช่น ที่ดินราชพสดุซึ่งเป็นที่สวนของจังหวัด เพอ
ื่
ใช้เป็นสวนยางของโรงเรียนเกษตรกรรมประจำจังหวัดจึงเป็นที่ดินซึ่งทางราชการสงวนหวงห้ามไว้เพอ
ประโยชน์ของทางราชการ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ครอบครองมา 30 ปีเศษก็ไม่ได้สิทธิโดย

อายุความ

3. ห้ามยึด ตามมาตรา 1307 กล่าวคือ ห้ามยึดสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมถึงการ


ื่
ห้ามยึดทรัพย์สินทั้งหมดของแผ่นดินด้วย คำว่า ยึด หมายถึงการยึดเพอการบังคับคดีตามคำพพากษา
แม้ว่าขณะยึดจะไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินก็ไม่ทำให้การยึดนั้นมีผลยันต่อแผ่นดินได้ การยึด

ทรัพย์เช่นว่านี้จึงไม่มีผลตามกฎหมายแต่ประการใด การนำทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดตามคำสั่ง


ศาล แม้จะมีผู้ซื้อไปโดยสุจริต ผู้ซื้อก็ไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1330 ผู้ซื้อจึงไม่มกรรมสิทธิ์หรือ
สิทธิใดๆ ในทรัพย์สินของแผ่นดินที่ซื้อมา

การสิ้นสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมีดังนี้

ื่
1. โดยการเลิกใช้ สาธารณสมบัติของแผ่นดินอาจสิ้นสภาพไปโดยการเลิกใช้เพอ
สาธารณประโยชน์โดยเด็ดขาด หรือได้มีการเลิกสงวนสิทธิไว้เพอประโยชน์ร่วมกันโดยเด็ดขาด ซึ่งจะ
ื่
ทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นมีสภาพเป็นเพยงทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาเท่านั้น ตามมาตรา


27





8 (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 บัญญัติว่า “ที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ถ้าทบวง
การเมือง รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนจัดหาที่ดินมาให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว การถอนสภาพหรือโอน


ให้กระทำโดยพระราชบัญญัติ แต่ถ้าพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นหรือที่ดินนั้นได้เปลี่ยน
สภาพไปจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และมิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใดตามอำนาจ


กฎหมายอื่นแล้ว การถอนสภาพให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา” แต่ต้องมิใช่การเลิกใช้หรือเลิกสงวน


ไว้เพอประโยชน์ร่วมกันเพยงชั่วคราว หรือมีเหตุให้ไม่ได้ใช้เพยงชั่วคราว (บัญญัติ สุชีวะ. 2544 :
ื่

142)
2. โดยผลแห่งกฎหมาย เช่นเมื่อมีการออกกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ให้เป็น

ของเอกชนตามมาตรา 1305 นอกจากนี้สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) หากบุคคล

เข้าถือเอาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ก็อาจสิ้นสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้

เช่นเดียวกัน

3. โดยธรรมชาติ หมายถึงทำให้หมดสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่น ทาง

ื้
น้ำ อาจตื้นเขินกลายเป็นพนดิน หากไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ ก็จะกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เรียกว่าที่ดินรกร้างว่างเปล่า (ประมูล สุวรรณศร. 2541 : 41) แต่หากทางน้ำตื้นเขินออกจากฝั่งไป

หาน้ำย่อมกลายเป็นที่งอกริมตลิ่ง หากงอกจากที่ดินเอกชน ที่ดินบริเวณนั้นย่อมเป็นของเอกชน ตาม

มาตรา 1308 ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น



บทสรุป

ในบทนี้กล่าวถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับประเภทของทรัพย์สิน 5 ประเภท ได้แก่


อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์แบ่งได้ ทรัพย์แบ่งไม่ได้ และทรัพย์นอกพาณิชย์ ซึ่งเป็นการให้
ความหมายคำศัพท์ทางเทคนิคดังกล่าว ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ในบรรพ 1


ตั้งแต่มาตรา 139 ถึงมาตรา 143 นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามบรรพ 4

ตั้งแต่มาตรา 1304 ถึงมาตรา 1307 ด้วย ทั้งนี้การมีความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของทรัพย์สินนั้นย่อม

ส่งผลต่อการศึกษาหลักกฎหมายในบรรพ 4 ต่อไป เช่น การทำตามแบบของสัญญาซื้อขาย

อสังหาริมทรัพย์ การโอนกรรมสิทธิ์ในสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ การแบ่งแยกทรัพย์แบ่งได้ การถือ

กรรมสิทธิ์รวมกันในทรัพย์แบ่งไม่ได้ และการใช้ประโยชน์ร่วมกันในทรัพย์นอกพาณิชย์ที่เป็นสาธารณ

สมบัติของแผ่นดิน เป็นต้น

28





คำถามทบทวน

1. ทรัพย์สินมีกี่ปะเภทอะไรบ้าง

2. อสังหาริมทรัพย์ หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย

3. สังหาริมทรัพย์ หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย

4. ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายความว่าอย่างไร จงอธิบาย

5. ให้อธิบายความแตกต่างระหว่างคำว่า “ที่งอกริมตลิ่ง” กับคำว่า “ที่ชายตลิ่ง”

6. ให้อธิบายข้อแตกต่างระหว่างทรัพย์แบ่งได้กับทรัพย์แบ่งไม่ได้

7. สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หมายความว่าอย่างไร และให้อธิบายผลของการเป็นสา

ธารณสมบัติของแผ่นดิน

8. นายศิลาเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดอยู่ติดกับแม่น้ำมูล และได้เกิดที่ตื้นเขินชายตลิ่งจาก

ที่ดินของนายศิลาซึ่งน้ำท่วมถึงราวปีละ 3 เดือน ต่อมานายอัคนีได้เข้ามาครอบครองทำประโยชน์ในที่

ตื้นเขินนั้นมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ทั้งนายอคนีและนายศิลาต่างกอางกรรมสิทธิ์เหนือที่ตื้นเขินดังกล่าว



ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายอัคนีและนายศิลาจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ชายตลิ่งดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด

29





บทที่ 3

ความเกี่ยวพันระหว่างทรัพย์





ี่

ถ้ามทรัพย์ตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไปมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เรียกว่า ความเกยวพันระหว่างทรัพย์
ซึ่งลักษณะการเกี่ยวพนกันนั้นกฎหมายบัญญัติรูปแบบของการเกี่ยวพนกันระหว่างทรัพย์ไว้ 3 รูปแบบ



คือ ส่วนควบ อุปกรณ์ และดอกผล ในบทนี้จะได้กล่าวถึงลักษณะแห่งความเกี่ยวพนกันและผลในทาง
กฎหมาย



ส่วนควบ


ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณี

แห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย

ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป และผลในทางกฎหมายกำหนดให้

เจ้าของทรัพย์ย่อมเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

1. ลักษณะของส่วนควบ

ลักษณะของส่วนควบ ตามมาตรา 144 ประกอบด้วย ส่วนซึ่งเป็นสาระสำคัญในความ

เป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้น

เปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป ดังนี้

1.1 ส่วนซึ่งเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์ หมายถึงส่วนประกอบของ

ทรัพย์ซึ่งขาดจากกันไม่ได้ หากขาดส่วนนั้นไปก็จะไม่เป็นทรัพย์นั้นหรือเป็นทรัพย์นั้นแต่ยังไม่สมบูรณ์

ส่วนควบของทรัพย์ต้องเป็นทรัพย์ที่ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ ตั้งแต่สองส่วนขึ้นไปประกอบกันอยู่

เช่น รถยนต์ 1 คัน ย่อมประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ หลายส่วนมาประกอบกันจึงเรียกว่ารถยนต์ เช่น

ตัวถังรถ กระจก ล้อ เครื่องยนต์ พวงมาลัย เบาะนั่ง ส่วนต่างๆ ของรถยนต์นี้เป็นสาระสำคัญในความ

เป็นอยู่ของรถยนต์ ถ้าเอาล้อออกรถยนต์ก็จะแล่นไม่ได้ หรือบ้านประกอบไปด้วยประตู หน้าต่าง เสา

บันได ฝาห้อง กระเบื้องมุงหลังคา ถ้าแยกส่วนหนึ่งส่วนใดออกไป บ้านก็จะขาดสาระสำคัญไปไม่เป็น

บ้านที่สมบูรณ์

การเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์อาจเป็นกรณีต่างๆ ดังนี้

30





1.1.1 โดยสภาพแห่งทรัพย์นั้น เป็นการพจารณาตามสภาพของทรัพย์นั้นว่า

ี้
จำเป็นต้องมีส่วนควบนั้นหรือไม่ เช่น เก้าอ ไม้เป็นส่วนควบของเก้าอ เพราะถ้าเอาไม้ออกแล้วก็จะ
ี้
ี้
ี้
ไม่ใช่เก้าอ หรือไม่อาจใช้งานแบบเป็นเก้าอได้ หรือล้อรถยนต์ หากถอดล้อออกรถยนต์ก็ไม่สามารถ
แล่นได้ หลังคาบ้านหากไม่มีก็ไม่เป็นบ้านที่เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น ไม้ ล้อรถ หรือหลังคา ย่อมเป็นส่วน

ควบของเก้าอ รถยนต์ หรือบ้าน เป็นต้น แต่เครื่องปรับอากาศที่ติดกับอาคารไม่เป็นสาระสำคัญใน
ี้

ความเป็นอยู่ของอาคารอันไมอาจแยกจากกันได้ จึงไม่เป็นส่วนควบของอาคาร
1.1.2 โดยจารีตประเพณี กล่าวคือมีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่ประพฤติปฏิบัติ

สืบต่อกันมานมนานแล้วเห็นว่ามันเป็นส่วนซึ่งเป็นสาระสำคัญของทรัพย์นั้น เช่น ที่ดินและบ้าน ตาม

จารีตประเพณีบ้านเป็นสาระสำคัญของที่ดิน แม้โดยสภาพที่ดินที่ไม่มีบ้านจะยังคงคุณสมบัติของความ

เป็นที่ดิน แต่จารีตประเพณีของไทยถือว่าที่ดินที่ไม่มีบ้านอยู่จะเป็นที่ดินที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ บ้าน

จึงเป็นส่วนควบของที่ดิน

1.2 ส่วนควบนั้นต้องมีการรวมสภาพจนแยกออกจากกันไม่ได้ นอกจากจะทำลาย ทำ

ให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป ส่วนควบจึงต้องมีลักษณะการติด

พันกับทรัพย์ที่แน่นหนา กลมกลืนจนเป็นอนหนึ่งอันเดียวกันกับทรัพย์ แต่การรวมสภาพของส่วนควบ

อาจไม่จำเป็นต้องมีการรวมสภาพเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแน่นหนา เช่น กระเบื้องมุงหลังคาบ้านอาจจะ

เพยงเกี่ยวไว้กับโครงเหล็ก ไม่ได้ตอกติดตรึงอย่างแน่นหนาหรือเชื่อมต่อเข้ากัน ทั้งนี้ส่วนควบอาจเกิด

จากการกระทำของบุคคลก็ได้ เช่น บ้าน ตึก อาคาร รถยนต์ เป็นต้น หรืออาจเป็นการรวมสภาพโดย

ธรรมชาติ เช่น ที่งอกริมตลิ่ง เป็นต้น ทรัพย์ที่รวมสภาพกันนั้นเดิมต้องมีลักษณะสภาพความเป็นอยู่

ต่างหากจากกัน ต่อมาได้รวมสภาพเข้าด้วยกัน เช่น ก่อนจะกลายเป็นบ้าน มีการนำหลายๆ สิ่งมา


รวมกัน ประกอบด้วย อฐ หิน ปูน ทราย ไม้ กระเบื้อง เหล็ก แต่ไม่ได้หมายความรวมถึงทรัพย์ที่มี
ส่วนประกอบต่างๆ มาตั้งแต่เริ่มแรกที่เกิดขึ้น เช่น หัว หู ขา งา และหางช้าง ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบ

ของช้าง เพราะอวัยวะของช้างเหล่านี้ไม่เคยมีลักษณะสภาพความเป็นอยู่ต่างหากจากตัวช้างมาก่อน

นอกจากนี้ต้องพจารณาว่าส่วนนั้นอยู่ในสภาพใด เช่น น้ำมันที่อยู่ในรถยนต์นั้นเป็นสาระสำคัญที่ทำให้

รถมันเคลื่อนที่ไปได้ แต่น้ำมันมีผลต่อการใช้งานเท่านั้นและนำมันสามารถแยกกันได้ไม่ทำให้เสียหาย

บุบสลายเปลี่ยนแปลงสภาพ สภาพของรถยนต์ก็ตามเดิม ตัวน้ำมันเองก็ไม่เปลี่ยนไปโดยไม่ปกติ ก็เป็น

ปกติของเหลว ดังนั้นน้ำมันไม่เป็นส่วนควบ แต่ถ้าน้ำมันอยู่ในไม้บรรทัดจับระดับ ถ้าแยกออกมาต้องทุบ

ท่อแก้วให้แตก เกิดการเสียหาย เสียรูปทรงไป เช่นนี้น้ำมันจึงเป็นส่วนควบ

31





ดังนั้น ทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนควบ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบทั้ง 2 ประการ
ดังกล่าว หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ทรัพย์นั้นย่อมไม่เป็นส่วนควบของทรัพย์ เช่น เครื่องเสียงที่ติดอยู่ใน


รถยนต์ หากถอดออกมารถยนต์ต้องเสื่อมสภาพเสียรูปทรงไปบ้าง เพราะทำให้เกิดช่องว่างหลังจาก
ถอดออกไป แต่เมื่อพจารณาองค์ประกอบข้อแรกแล้วจะเห็นว่า เครื่องเสียงไม่เป็นส่วนซึ่งเป็น


สาระสำคัญสำหรับรถยนต์เพราะแม้รถยนต์ไม่มีเครื่องเสียง รถยนต์ยังสามารถขับขี่ใช้งานได้ตามปกติ

เครื่องเสียงจึงไม่เป็นส่วนควบของรถยนต์

จากบทบัญญัติมาตรา 144 วรรคสอง ที่ว่า “เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ใน

ส่วนควบของทรัพย์นั้น” แสดงให้เห็นว่ากฎหมายต้องการให้ทรัพย์ชิ้นหนึ่งสำคัญกว่าทรัพย์อีกชิ้นหนึ่ง

และเจ้าของทรัพย์ชิ้นที่สำคัญกว่าจะเป็นเจ้าของทรัพย์และส่วนควบของทรัพย์นั้น การพจารณาว่า

ทรัพย์ใดเป็นทรัพย์ประธานหรือทรัพย์หลัก มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1.2.1 เป็นส่วนประกอบหลัก เช่น เรือยนต์ที่ใช้เหล็กและวัสดุอะลูมิเนียมเป็น

ส่วนประกอบมากกว่าไม้ เหล็กและวัสดุอะลูมิเนียมจึงเป็นทรัพย์ประธาน ไม้จึงเป็นส่วนควบของเรือ

ยนต์ เกวียนมีไม้เป็นส่วนประกอบหลัก แม้จะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบบ้างส่วน ทรัพย์ประธานคือไม้

ส่วนเหล็กเป็นส่วนควบของเกวียน

1.2.2 มูลค่าของทรัพย์ชิ้นนั้น เช่น นาฬิกาฝังเพชร ตัวเรือนเป็นนาฬิกาธรรมดา

และมีเพชรประดับอยู่บนตัวเรือนราคาเพชร 10 ล้านบาท กรณีนี้เพชรย่อมมีราคาแพงกว่า จึงเป็น

ทรัพย์ประธาน

1.2.3 จุดมุ่งหมายในการใช้ทรัพย์นั้น เช่น แจกันปิดทองลงยาลักลวดลายไทย แต่

จุดมุ่งหมายหรือความสำคัญของแจกันเพอใช้ใส่ดอกไม้ประดับบ้าน แจกันจึงเป็นทรัพย์ประธาน ทอง
ื่
ลงยาเป็นส่วนควบ (มานิตย์ จุมปา. 2543 : 88)

กรณีที่ไม่อาจหาทรัพย์ประธานได้ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง คนหนึ่งเป็นเจ้าของ

มะม่วง คนหนึ่งเป็นเจ้าของข้าวเหนียว อกคนเป็นเจ้าของกะทิ และอกคนเป็นเจ้าของน้ำตาล เมื่อ


นำมารวมกนทำข้าวเหนียวมะม่วง แต่ละส่วนสำคัญเทาๆ กัน ไม่อาจหาทรัพย์ประธานได้ เช่นนี้จึงต้อง


บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 1316 วรรคแรก กล่าวคือ ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมา

รวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ บุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน

ื่
แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อน สำหรับกรณีส่วนควบใน
อสังหาริมทรัพย์นั้นที่ดินถือเป็นทรัพย์ประธานเสมอ สิ่งที่มาติดกับที่ดินจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน เช่น

32






บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบของที่ดิน หอนาฬกาเป็นส่วนควบของที่ดิน เป็นต้น
เช่นนี้แล้วทรัพย์ที่ติดกับที่ดินจึงอาจเป็นได้ทั้งส่วนควบและอสังหาริมทรัพย์ โดยพจารณาจากลักษณะ



และสภาพของตัวทรัพย์นั้นเองว่าเป็นทรัพย์อนติดอยู่กับที่ดินที่มีลักษณะเป็นการถาวร ตามความใน

มาตรา 139 และต้องพจารณาตามมาตรา 144 มาตรา 145 และมาตรา 146 ว่าเป็นส่วนซึ่งเป็น

สาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นและไม่สามารถแยกออกจากกันได้

2. วัตถุประสงค์ของการให้เป็นส่วนควบ

เมื่อเป็นส่วนควบของทรัพย์แล้ว ตามมาตรา 144 วรรคสอง กำหนดให้ส่วนควบนั้น

เป็นของเจ้าของทรัพย์นั้น เจ้าของทรัพย์จึงมีกรรมสิทธิ์เหนือส่วนควบโดยผลของกฎหมายทันที เว้นแต่

จะมีกฎหมายหรือข้อตกลงไว้เป็นอย่างอนในการต้องจ่ายค่าทดแทน เช่น ผู้อาศัยในบ้านทำการ
ื่
ซ่อมแซมต่อเติมบ้านเพื่อความสะดวกสบายของตน ไม่อาจถือว่าซ่อมแซมเพื่อใช้อยู่ชั่วคราวเท่านั้น สิ่ง

ที่ทำขึ้นตกเป็นส่วนควบของบ้าน เมื่อถูกเรียกบ้านคืนจะเรียกค่าทดแทนมิได้ เว้นแต่มีข้อตกลงเป็น

พเศษในสัญญาเช่า หรือกรณีผู้เช่าก่อสร้างสิ่งใดลงในที่ดินที่เช่าจนเป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว

สิ่งก่อสร้างนั้นย่อมตกเป็นของเจ้าของที่ดิน

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบนั้นเป็นการได้มาโดยผลของกฎหมายตาม

มาตรา 144 วรรคสอง จึงไม่ต้องจดทะเบียนการได้มา เช่น เช่าที่ดินเพอปลูกสร้างตึกแถว โดยตกลง
ื่
กันว่าครบกำหนดแล้วจะให้ตึกแถวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน เมื่อถึงกำหนดแล้วตึกแถวย่อม

เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินโดยไม่ต้องจดทะเบียน หรือกรณีการจำนองหรือการโอนที่ดิน ถ้าไม่

ปรากฏว่ามีเงื่อนไขว่าไม่รวมถึงบ้านอันเป็นส่วนควบของที่ดินด้วยแล้ว ก็ถอได้ว่ามีการจำนองหรือโอน

บ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นในลักษณะส่วนควบด้วย ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำนองหรือโอนบ้านในที่ดิน

นั้นด้วย

กรณีทมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบ
ี่
ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์อาจไม่ได้กรรมสิทธิ์ในส่วนควบ หรือได้กรรมสิทธิ์ในส่วนควบแต่อาจต้องจ่ายค่า

ทดแทน ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบต่อไป

นอกจากนี้ผลของส่วนควบตามมาตรา 145 วรรคแรก กำหนดให้ไม้ยืนต้นเป็นส่วน

ควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ แต่ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ไม้ยืนต้นมีลักษณะติด

ตรึงตรากับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่แต่ไม่ใช่สาระสำคัญของที่ดิน ต้นไม้จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตาม

มาตรา 144 แต่ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบตามที่กฎหมายมาตรานี้ ซึ่งตามประกาศสำหรับการเพาะปลูก

33





สวนใหญ่ ร.ศ.129 ได้ให้ความหมายคำว่า ไม้ล้มลุก คือ ไม้ที่ตายเองภายใน 3 ปี (ม.ร.ว. เสนีย์
ปราโมช. 2521 : 63) ดังนั้นไม้ยืนต้นจึงหมายถึงต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า 3 ปีและเป็นต้นไม้ที่มีเนื้อไม้


หรือลำต้นด้วย เช่น ต้นมะม่วง ต้นฝรั่ง ต้นไผ่เป็นไม้ยืนต้น เป็นต้น ทั้งนี้ถ้าไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้โดยมี
วัตถุประสงค์ให้ติดกับที่ดินชั่วคราวและตัด ต้นไม่ก็ไม่เป็นส่วนควบ


3. ข้อยกเว้นของส่วนควบ


ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคสองและมาตรา 146 เป็น
ข้อยกเว้นการเป็นส่วนควบของทรัพย์

มาตรา 145 วรรคสอง บัญญัติว่า “ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราว

หนึ่งหรือหลายคราวต่อปีไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน”

มาตรา 146 บัญญัติว่า “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่า

เป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้

มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย”

กฎหมายกำหนดให้ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบของที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ แต่ไม้ล้มลุกหรือธัญ


ชาติไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน รวมทั้งทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพยงชั่วคราวไม่เป็นส่วน
ควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น หรือมีสิทธิในที่ดินของผู้อนใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้น ทั้งนี้ตาม
ื่
คำพิพากษาศาลฎีกากล่าวไว้ว่าไม้ยืนต้นที่ปลูกเพื่อตัดขายไม่ถอเป็นส่วนควบ ดังนี้


3.1 ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอนจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี ไม่
เป็นส่วนควบของที่ดิน ตามมาตรา 145 วรรคสอง ไม้ล้มลุก หมายถึงพรรณไม้ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี


รวมถึงต้นไม้ที่ไม่มีเนื้อไม้ให้เห็นเด่นชัด เช่น ต้นถั่วเขียว แตงกวา มะเขือ คะน้า พชผักสวนครัวต่างๆ

เป็นต้น คำว่า ธัญชาติ หมายถึงพชจำพวกข้าว งา ถั่ว เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสาลี ข้าวโอต ข้าวโพด

ข้าวฟาง ข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ กฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ให้เป็นส่วน

ควบของที่ดิน ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในไม้ล้มลุก ธัญชาติ จึงเป็นของผู้ปลูก ไม่อาจตกเป็นของเจ้าของที่ดิน

โดยอาศัยหลักส่วนควบ แม้จะเพาะปลูกในที่ดินของผู้อื่น กรรมสิทธิ์ก็เป็นของผู้ปลูกเสมอ


3.2 ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพยงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับ
ที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ตามมาตรา 146 ทั้งนี้การติดชั่วคราวอาจเกิดขึ้นโดยถือเอาเจตนาของผู้ปลูกมา

ื่
กำหนด เช่น การปลูกสร้างร้านค้าชั่วคราวเพอใช้ในงานแสดงสินค้า ระเบียงที่ต่อออกไปเป็นพิเศษเพอ
ื่


ใช้ในงานมงคลสมรส ผู้ปลูกไม้ยืนต้นมีเจตนาจะปลูกลงในดินโดยมีช่วงระยะเวลาอนเพยงจำกัด

34






ชั่วคราว ถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพยงชั่วคราว ไม่กลายเป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 146
หรือเกิดโดยข้อตกลงตามสัญญา เช่น สัญญาเช่า ซึ่งตกลงให้ผู้เช่ามีสิทธิปลูกสร้าง ต่อเติมทรัพย์ที่เช่า


เพอใช้อยู่ระหว่างอายุสัญญาเช่า ถือได้ว่าเป็นการติดกับที่ดินหรือโรงเรือนชั่วคราว ส่วนที่ต่อเติมไม่เป็น
ื่
ส่วนควบ


3.3 การปลูกสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้อนโดยมีสิทธิปลูกสร้าง ทำ
ื่
ให้โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 146 ตอนท้าย

“ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือซึ่งปลูกสร้างอย่างอน ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อนใช้สิทธินั้น
ื่
ื่
ปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย” ทั้งนี้การปลูกสร้างโดยมีสิทธิ ได้แก สิทธิในลักษณะที่เป็นบุคคลสิทธิ เช่น

สิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินเพอปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ หรือสัญญาเช่าต่างตอบแทนชนิดพเศษยิ่งกว่า

ื่
สัญญาเช่าธรรมดา ตกลงให้ผู้เช่าปลูกสร้างอาคารบนที่ดิน เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่าจึงจะให้

อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินผู้ให้เช่า เป็นต้น หรือสิทธิที่เกิดจากความยินยอมหรือได้รับ

อนุญาต โดยมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่ามีการยินยอมให้มีการปลูกสร้าง เช่น ให้บุตรปลูกบ้านบน

ที่ดินสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย แม้บ้านจะมีลักษณะติดที่ดิน แต่เมื่อตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าบิดา

ยินยอมให้ปลูกเพื่ออยู่อาศย บ้านจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน หรือกรณีเป็นสามีภรรยาโดยไม่ชอบด้วย

กฎหมาย ได้ร่วมกันปลูกบ้านลงในที่ดินของสามี พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าสามียินยอมให้ใช้ที่ดินของ

สามีปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยของภรรยาและสามีร่วมกัน บ้านไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน แต่เป็น

กรรมสิทธิ์ของสามีและภรรยาร่วมกัน นอกจากนี้ข้อยกเว้นอาจเกิดจากสิทธิที่เป็นทรัพยสิทธิ เช่น สิทธิ

ื้
เหนือพนดิน ตามมาตรา 1410 บัญญัติว่า “เจ้าของที่ดินอาจก่อให้เกิดสิทธิเหนือพนดินเป็นคุณแก่
ื้
ื่
บุคคลอน โดยให้บุคคลนั้นมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งเพาะปลูกบนดินหรือใต้ดิน
นั้น”

คำพพากษาศาลฎีกาที่ 688/2517 โจทก์ซื้อฝากเรือนจากผู้ขายโดยจดทะเบียนต่อ

อำเภอถูกต้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อมาผู้ขายได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย โดย


จดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน ดังนี้ตราบใดที่เรือนพพาทยังปลูกอยู่บนที่ดินที่จำเลยซื้อมา เรือนย่อม
เป็นส่วนควบของที่ดิน การก่อสร้างกรรมสิทธิ์ในเรือนพพาทแยกต่างหากจากที่ดินจะทำได้ก็แต่โดย


การก่อสร้างสิทธิเหนือพนดิน เมื่อโจทก์เพยงแต่จดทะเบียนซื้อขายเรือนพพาทเท่านั้น จำเลยซึ่งซื้อ
ื้

ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และจดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว สิทธิของจำเลยในเรือนพิพาทย่อมดีกว่าโจทก์

35





คำพพากษาศาลฎีกาที่ 114/2499 ซื้อโรงเรือนโดยทำสัญญาซื้อขายที่อำเภอ และมี

ข้อตกลงว่าผู้ซื้อจะรื้อไปภายใน 3 วัน เป็นการขายสังหาริมทรัพย์ กรรมสิทธิ์ผ่านมือไปยังผู้ซื้อโดย


สมบูรณ์แล้วมิใช่เปลี่ยนมือเมื่อรื้อถอน ผู้ซื้อไม่ยอมรื้อถอนตามข้อตกลง กลับยอมให้ผู้ขายเช่าเรือน
ื้

ต่อไปอีก 10 ปี ถือว่าผู้ซื้อไม่มสิทธิเหนือพนดินในอันที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น เพราะมิได้จด
ทะเบียนการได้มาตามมาตรา 1299 วรรคแรก เรือนจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน หากมีผู้ซื้อที่ดินที่ปลูก

เรือนจากเจ้าของคนเดิมโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว ผู้ซื้อย่อมได้

กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนด้วย

4. การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบ

การได้กรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบ มีบัญญัติไว้ตั้งแต่มาตรา 1308 ถึงมาตรา 1317

แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ ส่วนควบในอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นธรรมชาติและโดยการปลูกสร้าง และส่วน

ควบในสังหาริมทรัพย์ คือ การเอาทรัพย์ของหลายคนมารวมกัน ผลในทางกฎหมายทำให้ทราบว่า

บุคคลใดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และจะต้องเสียค่าตอบแทนหรือไม่เพียงใด ซึ่งจะได้กล่าวถึงการได้มาซึ่ง

กรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์ ดังต่อไปนี้

4.1 ที่งอกริมตลิ่ง กล่าวคือ ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สิน

ของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น ทั้งที่ดินที่เป็นของรัฐหรือเอกชนที่มีโฉนดหรือสิทธิครอบครองก็ตาม

สามารถที่จะเกิดเป็นที่งอกริมตลิ่งได้ ลักษณะของที่งอกจะต้องงอกไปจากตลิ่งและเวลาน้ำขึ้น

ตามปกติน้ำจะท่วมไม่ถง และต้องเป็นการงอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่การนำดินมาถมลงไปในทาง


น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ดินนั้นย่อมมใช่ที่งอกริมตลิ่ง หากที่งอกริมน้ำถูกน้ำเซาะหายไป

หมด แต่ไปเกิดที่งอกจากที่ดินฝั่งตรงข้าม เช่นนี้เจ้าของเดิมอางกรรมสิทธิ์ไม่ได้ หากแต่ต้องพจารณา

ก่อนว่าที่งอกใหม่ติดกับที่ดินแปลงใด ถ้าที่ดินเดิมมีกรรมสิทธิ์ที่งอกก็มีกรรมสิทธิ์ ถ้าที่ดินเดิมมีเพยง

สิทธิครอบครอง ที่งอกก็มีสิทธิครอบครอง ซึ่งจะมีผลในเรื่องการแย่งการครอบครองว่าต้องแย่ง 10 ปี

หรือเจ้าของเดิมต้องฟ้องเอาคืนภายใน 1 ปี



คำพพากษาศาลฎีกาที่ 2885/2535 ที่พพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งจากที่ดินมีโฉนด
ของนาย ล. โจทก์ได้ครอบครองที่พพาทไว้โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ


ติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมานาย ล. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้จำเลย ก่อนจำเลยจะ

ซื้อที่ดินจำเลยได้ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินและได้สอบถามโจทก์ว่าที่พพาทเป็นของใครด้วย


36





แสดงว่าจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวได้เกิดที่งอกริมตลิ่งและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่
พพาท การที่จำเลยรู้แล้วว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พพาทยังขืนซื้อจึงเป็นการไม่สุจริต


โจทก์จึงยังมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามมาตรา 1382 ตลอดมา
4.2 เกาะและทางน้ำตื้นเขิน กล่าวคือ เกาะที่เกิดในทะเลสาบหรือในทางน้ำ หรือใน


เขตน่านน้ำของประเทศ และท้องทางน้ำที่เขินขึ้น เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่ถ้าประชาชนใช้

ประโยชน์ร่วมกันในเกาะหรือทางน้ำที่เขินขึ้นนั้นย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ื่

4.3 การสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อนนั้น สามารถแยกพจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ
การปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตตามมาตรา 1310 และการปลูกสร้างโรงเรือนโดยไม่สุจริตตามมาตรา

1311 ดังนี้

ื่
4.3.1 การสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อนโดยสุจริต กล่าวคือ บุคคลใดสร้าง
โรงเรือนในที่ดินของผู้อนโดยสุจริต โดยไม่รู้ว่าที่ดินเป็นของผู้อน ผู้ปลูกสร้างเข้าใจว่าตนมีสิทธิที่จะ
ื่
ื่
ปลูกสร้างได้ และผู้ปลูกสร้างต้องมีความสุจริตอยู่ตั้งแต่ลงมือก่อสร้างจนกระทั่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ด้วย

ื่
ผลของการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อนโดยสุจริต กฎหมายกำหนดให้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของ
โรงเรือนนั้นๆ แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพยงที่เพมขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้นให้แก่ผู้สร้าง แต่ถ้าเจ้าของ
ิ่

ที่ดินสามารถแสดงได้ว่ามิได้มีความประมาทเลินเล่อจะบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือนนั้นและเรียกให้

ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมก็ได้ เว้นแต่ถ้าการรื้อถอนนั้นจะทำไม่ได้โดยใช้เงิน

พอควร เจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามราคาตลาดก็ได้ ทั้งนี้ต้อง


พจารณาข้อเท็จจริงว่าที่ดินส่วนที่เหลือเจ้าของที่ดินจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ เช่น นายธิวาปลูกสร้าง
บ้านในที่ดินของนายธนาซึ่งมีเนื้อที่ 150 ตารางวา และใช้พนที่ปลูกสร้างบ้านไป 130 ตารางวา เช่นนี้
ื้
นายธนาเจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกให้นายธิวาผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมด แต่ถ้าเป็นกรณีของนายวายุปลูก

ื้

สร้างบ้านในที่ดินของนายศิลาซึ่งมีเนื้อที่ 350 ตารางวา แต่ใช้พนที่ปลูกสร้างบ้านไปเพยง 80 ตาราง
วา อยู่ตรงบริเวณมุมหนึ่งของที่ดินเท่านั้น เช่นนี้นายศิลาเจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกให้นายวายุผู้สร้างซื้อ

ที่ดินเพยงบางส่วนเท่านั้น จะบังคับให้ซื้อทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามการขอให้ซื้อไม่ได้หมายความ

ว่า ผู้ปลูกสร้างต้องซื้อ เพราะกฎหมายใช้คำว่าก็ได้ ไม่มีตัวบทบังคับให้ผู้สร้างต้องซื้อและไม่บังคับ

เจ้าของที่ดินต้องขาย

4.3.2 การสร้างโรงเรือนในที่ดินผู้อนโดยไม่สุจริต กล่าวคือ บุคคลใดสร้าง
ื่
โรงเรือนในที่ดินของผู้อนโดยไม่สุจริต โดยที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ที่ดินของตนเอง เช่น ขณะเริ่มสร้าง
ื่

37





เจ้าของที่ดินได้ตรวจสอบเขตและแจ้งให้รื้อ ผู้สร้างยังขืนสร้างต่อ ซึ่งผลทางกฎหมายกำหนดให้บุคคล
ี่
นั้นต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามทเป็นอยู่ ในกรณี


ิ่
เช่นนี้เจ้าของที่ดินมีสิทธิเลือกว่าจะใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพยงที่เพมขึ้นเพราะสร้าง
โรงเรือนนั้นแล้วแต่จะเลือก คำว่า สุจริตหรือไม่สุจริตนั้นต้องเป็นเรื่องที่รู้หรือไม่รู้ว่าเป็นที่ดินของคน

อื่น ซึ่งต่างจากคำว่าสุจริต ตามมาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

4.4 การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินผู้อน หมายถึง สร้างโรงเรือนในที่ดินของตนหรือใน
ื่
ื่
ที่ดินที่ตนมีสิทธิปลูกสร้าง แต่ปรากฏว่ามีบางส่วนของโรงเรือนนั้นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อน ทั้งนี้
ื่
โรงเรือนส่วนที่รุกล้ำต้องเป็นส่วนน้อยอยู่ในที่ดินผู้อน โดยส่วนที่อยู่ในที่ดินของตนเองต้องเป็นส่วน
ใหญ่ และใช้เฉพาะกรณีตัวโรงเรือนรุกล้ำเท่านั้น ทั้งนี้การรุกล้ำต้องเป็นการรุกล้ำมาตั้งแต่ปลูกสร้าง

ื่
หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่รุกล้ำที่ดินผู้อน ต่อมามีการต่อเติมโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินผู้อน
ื่
ดังนี้จะนำมาตรา 1312 มาใช้บังคับตามมาตรา 4 โดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งไม่ได้ แต่

ถ้าเป็นกรณีเจ้าของที่ดินสร้างตึกในที่ดินของตน ต่อมาแบ่งแยกที่ดินขาย ปรากฏว่าโรงเรือนรุกล้ำเข้า

ไปในอกแปลงที่แบ่ง ไม่ใช้มาตรา 1312 แต่เมื่อไม่มีกฎหมายที่จะนำมาบังคับใช้กับข้อเท็จจริงได้จึง

ื่
ต้องเทียบเคียงบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 เพอให้นำมาตรา 1312 มาใช้บังคับ จึงไม่มี
สิทธิให้รื้อ มีเพียงสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้แดนแห่งกรรมสิทธิ์และนำไปจดทะเบียนภาระจำยอมเท่านั้น

ผลของการสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริต ตามมาตรา 1312 วรรคแรก เจ้าของ

โรงเรือนยังเป็นเจ้าของส่วนที่รุกล้ำ แต่ต้องเสียค่าใช้ที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน และมีสิทธิเรียกให้เจ้าของ

ที่ดินจดทะเบียนสิทธิในการใช้ที่ดินส่วนนั้นเป็นภาระจำยอม ทั้งนี้ค่าใช้ที่ดินต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ

อื่นด้วย เช่น จำนวนเนื้อที่ดิน ทำเล การใช้สอยประโยชน์ ลักษณะการรุกล้ำ เป็นต้น และสามารถตก

ลงกันจ่ายเพยงครั้งเดียว จ่ายเป็นรายปีหรือรายเดือนก็ได้ แต่เมื่อโรงเรือนสลายไปทั้งหมดหรือส่วนที่

รุกล้ำสลายไป เจ้าของที่ดินจะเรียกให้รื้อถอนภาระจำยอมก็ได้ ส่วนผลของการสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดย

ไม่สุจริตตามมาตรา 1312 วรรคสอง สิทธิเจ้าของที่ดินนี้เป็นสิทธิตามมาตรา 1336 ที่เจ้าของมีอยู่แล้ว

ส่วนผู้รุกล้ำนั้นมารอนสิทธิของเจ้าของทำให้เกิดภาระจำยอมตามกฎหมาย โดยให้เลือกว่าจะให้

ผู้สร้างรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปหรือเจ้าของที่ดินจะเลือกใช้สิทธิให้ผู้สร้างจ่ายค่าใช้ที่ดินและจด

ทะเบียนภาระจำยอม ทั้งนี้การได้มาซึ่งภาระจำยอมในกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริตตาม

มาตรา 1312 นี้ อาจได้มาโดยอายุความครอบครองปรปักษ์จนครบ 10 ปีตามมาตรา 1382 ประกอบ

มาตรา 1401

38





4.5 สร้างโรงเรือนในที่ดินโดยมีเงื่อนไข กล่าวคือ ถ้าผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไข
สร้างโรงเรือนในที่ดินนั้น และภายหลังที่ดินตกเป็นของบุคคลอื่นตามเงื่อนไขบังคับหลังสำเร็จแล้วย่อม


ทำให้นำเรื่องลาภมิควรได้มาใช้ เช่น สัญญาขายฝาก ผู้ซื้อฝากปลูกสร้างโรงเรือนแล้วเป็นเจ้าของ แต่
เมื่อผู้ขายฝากมาไถ่ก็ต้องชำระราคาที่เพมขึ้นให้ผู้ซื้อฝากเท่าที่ผู้ขายฝากได้ลาภงอกจากการมีโรงเรือน
ิ่

หรือนายวิชัยตกลงยกที่ดินให้แก่นายวิชิต โดยมีเงื่อนไขว่าถ้านายวิชิตสอบบรรจุเป็นข้าราชการไม่ได้ให้

ที่ดินแปลงนั้นกลับมาเป็นของนายวิชัย แต่ในระหว่างที่นิติกรรมยังไม่สิ้นผล นายวิชิตได้สร้างบ้านใน

ที่ดินแปลงนั้น ดังนี้แล้วถ้านายวิชิตสอบบรรจุข้าราชการไม่ได้ บ้านหลังนั้นย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน

เป็นของนายวิชัย ซึ่งกฎหมายให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ได้แก่ มาตรา 406

มาตรา 413 และมาตรา 414 โดยบุคคลที่ได้ที่ดินคืนไปต้องชดใช้ค่าโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างให้แก่

ผู้สร้าง

4.6 สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ หรือธัญชาติ กฎหมายกำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา 1310

มาตรา 1311 และมาตรา 1313 ใช้บังคับกับการก่อสร้างใดๆ ซึ่งติดที่ดิน เช่น สะพาน อนุสาวรีย์ หอ

ื่
นาฬิกา และใช้กับการเพาะปลูกต้นไม้หรือธัญชาติด้วยโดยอนุโลม แต่ถ้าเป็นข้าวหรือธัญชาติอย่างอน

อนจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี เจ้าของที่ดินต้องยอมให้บุคคลผู้กระทำการ
โดยสุจริต หรือผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไขซึ่งได้เพาะปลูกลงไว้นั้นคงครองที่ดินจนกว่าจะเสร็จการ

เก็บเกยวโดยใช้เงินคำนวณตามเกณฑ์ค่าเช่าที่ดินนั้น หรือเจ้าของที่ดินจะเข้าครอบครองในทันทีโดยใช้
ี่
ค่าทดแทนให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้

4.7 การใช้สัมภาระผู้อนสร้างโรงเรือน สิ่งก่อสร้างหรือปลูกต้นไม้ในที่ดินตนเอง
ื่
ื่
กล่าวคือ บุคคลใดสร้างโรงเรือน หรือทำการก่อสร้างอย่างอนซึ่งติดที่ดิน หรือเพาะปลูกต้นไม้หรือธัญ
ชาติในที่ดินของตนด้วยสัมภาระของผู้อื่น ผลทางกฎหมายกำหนดให้บุคคลนั้นเป็นเจ้าของสัมภาระแต่

ต้องใช้ค่าสัมภาระ แต่บทบัญญัติมาตรา 1315 นี้ไม่ยกเว้นความรับผิดทางอาญา กล่าวคือถ้าไปขโมย



เอาสัมภาระของผู้อนมาปลูกสร้างในที่ดินของตนเอง จะอางว่ากฎหมายแพงรับรองว่าให้ผู้สร้างเป็น
ื่
เจ้าของสัมภาระที่นำมาปลูกสร้างไม่ได้ และยังต้องรับผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 334 เพราะแพงกับอาญาเป็นคนละเรื่องกันเป็นคนละกรรมกัน ขโมยผิด

กฎหมายอาญาต้องคืนทรัพย์สินนั้น แต่เมื่อเอาของมาปลูกสร้างในที่ดินของตนไม่ต้องคืนของแต่ต้องใช้

เงิน

39





4.8 การเอาสังหาริมทรัพย์หลายคนมารวมเป็นส่วนควบ กล่าวคือ ถ้ามีการเอา
สังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ ถ้าแยกจะทำให้


บุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงสภาพไปตามมาตรา 144 วรรคแรก ผลทางกฎหมายกำหนดให้ทุก
ื่
คนเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อน แต่ถ้า

ทรัพย์อนหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน เจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้

ื่
เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อนๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้นๆ เช่น เอาตัวถังรถยนต์ต่อขึ้นกับรถยนต์
ผู้อน โดยมีตัวรถยนต์เป็นทรัพย์ประธานเพราะฉะนั้นตัวถังจึงเป็นส่วนควบกับรถยนต์ ตามมาตรา
ื่
1316 วรรคสอง ทั้งรถยนต์และตัวถังเป็นของเจ้าของรถยนต์ แต่เจ้าของรถยนต์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) ต้องจ่าย

ค่าตัวถังและจ่ายเท่าที่ตนเองได้ลาภงอกด้วย ผู้เช่าซื้อใช้ตัวถังไปหลายปีต้องหักค่าเสื่อมด้วย

4.9 เอาสัมภาระผู้อนมาทำสิ่งใดขึ้นใหม่ กล่าวคือ เป็นกรณีที่นำสัมภาระของคนอน
ื่
ื่
ทั้งหมดที่ไม่ใช่ของผู้ทำมาทำให้เกิดเป็นทรัพย์ใหม่ โดยผู้ทำออกแรงงานด้วยตนเอง ผลทางกฎหมาย

ย่อมทำให้เจ้าของสัมภาระ เป็นเจ้าของทรัพย์ใหม่ แต่ต้องใช้ค่าแรงงานให้แก่ผู้ทำ ถ้าแรงงานมีค่า

มากกว่าค่าสัมภาระหลายเท่า ย่อมทำให้ผู้ทำเป็นเจ้าของทรัพย์ใหม่ แต่ต้องใช้ค่าสัมภาระ เช่น นาย

เพลิงซึ่งเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังของประเทศ ได้นำผ้าไหม ด้าย กระดุมและของประดับตกแต่งต่างๆ ของ

นายศิลา มาสร้างสรรค์ออกแบบเป็นชุดแต่งงาน ซึ่งชุดนี้มีมูลค่า 1 ล้านบาท เช่นนี้ชุดแต่งงานจะเป็น

ของนายเพลิง แต่นายเพลิงต้องใช้ค่าผ้าไหม ด้าย กระดุมและของประดับตกแต่งให้แก่นายศิลา แต่

วัตถุดิบต้องมีมูลค่าไม่เกิน 250,000 บาท ค่าแรงงงานต้องมากกว่าค่าสัมภาระ 2-3 เท่า ค่าสัมภาระ

400,000 บาท ชุดแต่งงานต้องเป็นของเจ้าของสัมภาระ

ทั้งนี้สัมภาระที่นำมาทำสิ่งใหม่ต้องเป็นของผู้อนขณะทำ เพราะถ้าสัมภาระเป็น
ื่
ื่
ของผู้ทำอยู่ก่อนแล้ว จะไม่สามารถใช้มาตรา 1317 ได้ เช่น ยืมแผ่นไม้และสังกะสีผู้อนมาปลูกบ้าน
เป็นการทำสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองที่กรรมสิทธิ์ในแผ่นไม้และสังกะสีตกเป็นของผู้ยืมตามมาตรา 650

แล้ว ผู้ยืมมีหน้าที่คืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิดและปริมาณเดียวกันให้แก่ผู้ให้ยืมตามสัญญา



อุปกรณ ์



อปกรณ์ หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพาะถิ่นหรือโดยเจตนาชัดแจ้ง
ื่
ของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธาน เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณ เพอ
ประโยชน์แก่การจัดดูแล ใช้สอย หรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน และเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่

40





เป็นประธานโดยการนำมาติดต่อหรือปรับเข้าไว้ หรือทำโดยประการอนใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบ
ื่

กับทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น ทั้งนี้อปกรณ์ที่แยกออกจากทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นการชั่วคราวก็ยังไม่



ขาดจากการเป็นอปกรณ์ของทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น รวมทั้งอปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ที่เป็น
ประธาน เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

1. ลักษณะของอุปกรณ์

อปกรณ์ของทรัพย์เป็นความเกี่ยวพนระหว่างทรัพย์ที่เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์


ื่
ประธาน เพอประโยชน์ในการดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ประธาน โดยเจ้าของทรัพย์ประธานนำมา
ติดต่อกับทรัพย์ประธานไว้เพอให้อปกรณ์เป็นของใช้อยู่กับทรัพย์ประธานเป็นอาจิณ เช่น ล้ออะไหล่
ื่

แม่แรง เครื่องมือต่างๆ ไขควง ประแจ เป็นอปกรณ์ของรถยนต์ ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 147

อุปกรณ์จึงมีลักษณะดังต่อไปนี้


1.1 เป็นสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ทรัพย์ที่จะเป็นอปการณ์ต้องเป็นทรัพย์ที่
เคลื่อนที่ได้ตามมาตรา 140 เท่านั้น ส่วนทรัพย์ประธานจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้


เช่น ล้ออะไหล่ แม่แรงเป็นอปกรณ์ของรถยนต์ กรงนกเป็นอปกรณ์ของนก กลอนประตูเป็นอปกรณ์


ของบ้าน เป็นต้น แต่คอกม้าไม่เป็นอุปกรณ์ของม้าเพราะคอกม้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ (มานิตย์ จุมปา.
2543 : 92-93)

1.2 ต้องมีทรัพย์ประธาน หมายความว่า ทรัพย์นั้นจะเป็นอปกรณ์ได้ต้องมีทรัพย์

ประธานที่เจ้าของนำอปกรณ์นั้นมาสู่ทรัพย์ประธาน เช่น รถยนต์เป็นทรัพย์ประธาน แม่แรงและล้อ

อะไหล่เป็นอุปกรณ์ที่เจ้าของรถยนต์เอามาไว้ในรถยนต์เพื่อประโยชน์ดูแลรถยนต์หากต้องมีการเปลี่ยน

ยางรถยนต์เมื่อยางรั่ว ทั้งนี้อปกรณ์จะสำคัญเท่ากับทรัพย์ประธานไม่ได้ เช่น ช้อนไม่เป็นอปกรณ์ของ




ส้อม ตะเกียบข้างหนึ่งไม่เป็นอปกรณ์ของอกข้างหนึ่ง ร้องเท้าข้างซ้ายและข้างขวาไม่เป็นอปกรณ์ของ

กันและกัน เป็นต้น
1.3 เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ประธานเป็นอาจิณ หมายความว่า เจ้าของเอา


อุปกรณ์มาสู่ทรัพย์ประธานเพอใช้สอยดูแลรักษาทรัพย์นั้นเป็นปกติ เช่น เครื่องมือแกรถยนต์เป็นของ
ื่
ใช้ประจำอยู่กับรถยนต์เป็นอาจิณ หรือลูกกุญแจเป็นของใช้ประจำอยู่กับแม่กุญแจเป็นอาจิณ แต่


อปกรณ์นั้นไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเสมอไป อาจจะแยกจากกันได้ เช่น เมื่อใส่
กุญแจประตูบ้านแล้ว ก็เอาลูกกุญแจติดตัวไปได้ หรือเจ้าของรถลืมเครื่องมือแก้รถยนต์ไว้ที่บ้านไม่ได้

ใส่ไว้ในรถยนต์ แต่เครื่องมือแก้รถยนต์นั้นก็ยังคงเป็นอปกรณ์ของรถยนต์คันนั้นอยู่ แต่ถ้าเป็นการ


41





นำมาใช้เพยงชั่วคราวก็ไม่ถือว่าเป็นอปกรณ์ เช่น นายอำพลไปขอยืมเครื่องมือแก้รถยนต์ของนาย


นิพนธ์มาใช้กับรถยนต์ของตนชั่วคราว เครื่องมือแก้รถยนต์นั้นไม่เป็นอปกรณ์ของรถยนต์ เพราะเป็น




การยืมใช้เพยงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้อปกรณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นอปกรณ์ของทรัพย์นั้นอยู่ตลอดไป เช่น
เครื่องมือแก้รถยนต์เป็นอปกรณ์สำหรับรถยนต์ ต่อมารถยนต์คันนี้พงใช้ขับไม่ได้ต่อไปก็อาจนำ


เครื่องมือแก้รถยนต์นี้ไปใช้กับเรือยนต์ก็ได้ เครื่องมือแก้รถยนต์จึงกลายเป็นอปกรณ์สำหรับเรือยนต์


ต่อไป การพิจารณาว่าอปกรณ์เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณหรือไม่นั้น แยก
พิจารณาได้เป็น 2 กรณี ดังนี้

1.3.1 ปกตินิยมเฉพาะถิ่น กล่าวคือ วิญญูชนทั่วไปใช้กันอยู่เป็นปกติ เช่น ไม้พาย

เรือเป็นอุปกรณ์ของเรือ ที่ชาร์ทแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ของโทรศัพท์มือถือ เครื่องมือแก้รถยนต์เป็นของ

ใช้ประจำกับรถยนต์ ปลอกแว่นตาเป็นของใช้ประจำอยู่กับแว่นตา เป็นต้น

1.3.2 เจตนาชัดแจ้งของเจ้าของทรัพย์ประธาน กล่าวคือ เป็นเจตนาของเจ้าของ

ที่ต้องการเอาทรัพย์ที่เป็นอปกรณ์มาสู่ทรัพย์ประธานแม้ว่าวิญญูชนจะไม่ใช้ตามปกติก็ตาม เช่น

เจ้าของรองเท้าเอาสายไฟมาเป็นเชือกผูกรองเท้า เจ้าของรถยนต์เอาเครื่องดูดฝุ่นมาไว้ในรถยนต์ กรณี

ที่นายสมชายผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้น ปกติแล้วรถยนต์ไม่ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่น แต่นายสมชายเอา


เครื่องดูดฝุ่นมาใช้ประจำในรถยนต์ ดันนี้ เครื่องดูดฝุ่นจึงเป็นอปกรณ์ของรถยนต์โดยเจตนาของ
เจ้าของ เป็นต้น

ื่
1.4 มีไว้เพอจัดการดูแล ใช้สอย หรือรักษาทรัพย์ประธาน เช่น เรือพายมีไม้พายเป็น
อุปกรณ์ ไม้พายมีไว้เพอใช้สอยเรือได้ รถยนต์มีเครื่องมือแก้รถยนต์เป็นอุปกรณ์ เครื่องมือแกรถยนต์มี

ื่
ไว้เพอดูแลรถยนต์เมื่อเครื่องยนต์ขัดข้อง ปลอกแว่นตามีไว้เพอรักษาแว่นตามิให้แว่นตาแตกง่าย
ื่
ื่

กระเป๋าคอมพวเตอร์ notebook เป็นอปกรณ์สำหรับ notebook มีไว้เพอรักษาป้องกันการกระแทก

ื่
แต่ทรัพย์บางอย่างไม่ถือเป็นอุปกรณ์ เช่น ตุ๊กตาที่แขวนไว้ในรถยนต์ไม่เป็นอุปกรณ์ของรถยนต์ เพราะ
ไม่ได้มีไว้เพอดูแลรักษารถยนต์แต่มีไว้เพอความสวยงามเท่านั้น หรือเครื่องเสียงติดรถยนต์ ไม่เป็น
ื่
ื่
อุปกรณ์ของรถยนต์เพราะมีไว้เพื่อความบันเทิงของเจ้าของรถยนต์ โคมไฟประดับหรือช่อไฟฟ้าประดับ


ื่
ื่
มีไว้เพอความสวยงามเป็นพเศษเท่านั้น จึงไม่ได้ใช้เป็นของประจำอยู่กับบ้านเป็นอาจิณ เพอประโยชน์
แก่การดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ประธานแต่อย่างใด จึงไมเป็นอุปกรณ์ของบ้าน

1.5 เจ้าของทรัพย์ประธานเป็นผู้นำมาสู่ทรัพย์ประธาน หมายความว่า เจ้าของทรัพย์


ประธานเป็นผู้นำอปกรณ์มาสู่ทรัพย์ประธานในฐานะที่เป็นเครื่องใช้สอยประกอบกับตัวทรัพย์ที่เป็น

42





ประธาน อปกรณ์และทรัพย์ที่เป็นทรัพย์ประธานจึงต้องเป็นของเจ้าของคนเดียวกัน แต่ถ้าเป็นของคน

ละเจ้าของกัน ก็ไม่ถือว่าทรัพย์สิ่งนั้นเป็นอปกรณ์ เช่น นายอคนียืมเรือของนายศิลามารับคนข้ามฟาก


แต่เรือนั้นไม่มีไม้พาย นายอคนีต้องไปซื้อไม้พายใหม่เพอมาใช้กับเรือที่ยืมมา เช่นนี้ไม้พายนั้นไม่เป็น
ื่

อุปกรณ์ของเรือ เพราะเรือและไม้พายไม่ได้เป็นของเจ้าของคนเดียวกัน หรือนายปฐพีเช่ารถแท็กซี่ของ

นายวายุมาขับ แล้วซื้อเครื่องมือแก้รถเอาไว้ในรถแท็กซี่นั้น เครื่องมือนั้นก็ไม่เป็นอปกรณ์ เพราะ

เจ้าของรถแท็กซี่ไม่ได้เป็นผู้นำมาสู่ทรัพย์ประธาน ทั้งนี้การนำอปกรณ์มาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธานใน

ฐานะเครื่องใช้ประกอบนั้นต้องนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบแล้วจริงๆ ด้วย เช่น นายนิติไปซื้อที่เติมลม


ื่
ยางมาไว้ในรถจักรยานยนต์ เพอเอามาไว้ใช้กับรถจักรยานยนต์ของตนเนื่องจากอนเดิมหายไป เมื่อ


นายนิติซื้อที่เติมลมยางอนใหม่มาแล้ว จึงพบที่เติมลมยางอนเดิมที่หายไป นายนิติได้เอาที่เติมลมอนที่


ซื้อมาใหม่เก็บไว้ และนำอนเดิมมาใช้ตามปกติ เช่นนี้ที่เติมลมยางอนใหม่นั้นไม่ถือว่าเป็นอปกรณ์


เพราะยังไม่ได้นำมาใช้เป็นเครื่องประกอบกับรถจักรยานยนต์คันนั้นจริงๆ

1.6 สามารถแยกออกจากทรัพย์ที่เป็นประธานได้ กล่าวคือ แม้จะแยกอปกรณ์ออก

จากทรัพย์ประธานเพยงชั่วคราว ก็ไม่ทำให้ขาดจากการเป็นอปกรณ์ของทรัพย์เป็นประธานนั้น เช่น

นายนุติมีเครื่องมือไว้สำหรับแก้รถยนต์ของตนเอง แต่ได้ให้นายนิติยืมไปใช้ชั่วคราว เครื่องมือนั้นก็

ยังคงเป็นอุปกรณ์สำหรับรถยนต์ของนายนุติอยู่ หรือนายพายุเอาล้ออะไหล่ที่ใช้สำหรับรถยนต์ของตน

ไปซ่อมแซมชั่วคราว ล้ออะไหล่นั้นก็ยังคงเป็นอปกรณ์สำหรับรถยนต์ของนายพายุอยู่ แต่ถ้าหากนายนุ


ติเอาเครื่องมือแก้รถยนต์ขายให้นายนิติเครื่องมือแก้รถยนต์นั้นก็หมดลักษณะของการเป็นอปกรณ์
สำหรับรถยนต์ เพราะเจ้าของเป็นของคนละคนกัน

2. ผลทางกฎหมายของการเป็นอุปกรณ์

อปกรณ์ของทรัพย์นั้นย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้นำมาสู่ทรัพย์

ประธาน อปกรณ์สามารถแยกออกจากทรัพย์ประธานได้ แต่ถ้ามีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ประธาน

อุปกรณ์นั้นก็จะตกติดไปกับทรัพย์นั้นด้วย เว้นแต่จะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ดังนี้


2.1 แยกออกจากกันชั่วคราวก็ยังคงเป็นอปกรณ์อยู่ ตามมาตรา 147 วรรคสอง เช่น

เจ้าของอาจไม่เอาแม่แรงและเครื่องมือติดไปกับรถด้วย แต่แม่แรงและเครื่องมือก็ยังคงเป็นอปกรณ์
ของรถยนต์คันนั้นอยู่ หรือลักษณะการใช้งานของอปกรณ์ต้องใช้แบบแยกจากทรัพย์ประธาน เช่น แม่



กุญแจกับลูกกุญแจ แต่หากอปกรณ์แยกจากทรัพย์ประธานแบบถาวรก็จะขาดจากการเป็นอปกรณ์
เช่น เจ้าของรถเอาล้ออะไหล่ไปขาย ล้ออะไหล่ก็ขาดจากการเป็นอุปกรณ ์

43





ื่
2.2 อปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ประธาน เว้นแต่ตกลงกันเป็นอย่างอน กล่าวคือ


หากมีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ประธานโดยมิได้มีการตกลงในเรื่องอปกรณ์เอาไว้ กฎหมายถือว่า

อปกรณ์ได้โอนไปพร้อมกับทรัพย์ประธานนั้นด้วย เช่น นายพายุขายรถยนต์ให้นายวายุ โดยไม่มีการ
ตกลงกันไว้แต่อย่างใด เช่นนี้ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์และล้ออะไหล่ เครื่องมือ แม่แรงย่อมโอนไปเป็นของ



นายวายุทั้งหมด นายพายุผู้ขายจะเอาล้ออะไหล่ เครื่องมือ แม่แรงไว้ไม่ได้ โดยอางว่าไม่อยากขายจะ

เก็บไว้ใช้กับรถยนต์คันใหม่ เว้นแต่จะตกลงตั้งแต่แรกว่าจะขายแบบไม่รวมอปกรณ์ ซึ่งกรณีเช่นนี้ย่อม
สามารถที่จะแยกล้ออะไหล่ เครื่องมือ แม่แรงเอาไว้ได้



ดอกผลของทรัพย์

ดอกผลของทรัพย์นั้นเป็นความเกี่ยวพนระหว่างทรัพย์ในลักษณะที่งอกเงยเพมพนจาก

ิ่

ทรัพย์อีกอันหนึ่งที่เป็นแม่ทรัพย์ โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้น เช่น ลูกช้างเป็นดอกผลธรรมดาที่เกิดจาก
แม่ช้าง ค่าเช่าเป็นดอกผลนิตินัยที่เกิดจากผู้เช่าได้ใช้สอยบ้านเช่า เป็นต้น

1. ความหมายของดอกผล


ดอกผลของทรัพย์ในความหมายหนึ่ง หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ ซึ่ง
ได้มาจากตัวทรัพย์โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์



นั้น เรียกว่าดอกผลธรรมดา ส่วนอกความหมายหนึ่งหมายถึงทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาเป็น
ื่
ครั้งคราวแกเจ้าทรัพย์จากผู้อนเพอการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น และสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวัน
ื่

หรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เรียกว่า ดอกผลนิตินัย
2. ประเภทของดอกผล


ดอกผลของทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย ซึ่ง
จะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามบทบัญญัติมาตรา 148 วรรคสองและวรรคสาม ดังนี้


2.1 ดอกผลธรรมดา หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ ซึ่งได้มาจาก
ตัวทรัพย์โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น ตาม


มาตรา 148 วรรคสอง กล่าวคือ ดอกผลธรรมดามีลักษณะเป็นการงอกเงยตามธรรมชาติ เช่น เจ้าของ

เลี้ยงวัวตัวหนึ่งตกลูกออกมา ลูกวัวย่อมเป็นดอกผลธรรมดาของแม่วัว แต่ต้องหลุดจากทองแม่วัวก่อน

ปลูกมะม่วงย่อมออกผลมะม่วงสุกเต็มต้นเช่นนี้ผลมะม่วงเป็นดอกผลธรรมดา เลี้ยงแกะเพื่อตัดขนดังนี้

ขนแกะจึงเป็นดอกผลของแกะ เป็นต้น หลักสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ดอกผลต้องได้มาโดยการมีหรือ

44





ใช้ทรัพย์นั้น เช่น เลี้ยงไก่ย่อมได้ไข่ เลี้ยงหมูย่อมได้ลูกหมู ปลูกต้นยางพาราย่อมได้น้ำยางพารา ดังนั้น
ไข่ไก่ ลูกหมู น้ำยางพารา เป็นสิ่งที่ได้มาโดยการมีหรือใช้แม่ทรัพย์ จึงเป็นดอกผลธรรมดา แต่ทรัพย์ใด


ที่งอกเงยออกจากตัวแม่ทรัพย์และเมื่อหลุดออกจากตัวแม่ทรัพย์แล้ว ทำให้แม่ทรัพย์บกพร่องเสียหาย
สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ดอกผลธรรมดา เช่น เขาวัว หางวัว เนื้อวัว เพราะเมื่อตัดออกแล้วทำให้สัตว์นั้นเสีย



สภาพไป ไม่สามารถงอกออกมาได้อก แต่ขนแกะเป็นดอกผลธรรมดาของแกะ เพราะเมื่อตัดขนแกะ
ออกแล้ว ขนแกะนั้นก็งอกขึ้นมาใหม่ ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผลิตจากเครื่องจักรในโรงงานไม่เป็น

ดอกผลธรรมดาของเครื่องจักร เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเครื่องจักร หรือ

ต้นข้าวที่ปลูกในนาเกิดจากแรงงานของมนุษย์ มิได้เกิดจากธรรมชาติของที่นา จึงมิใช่ดอกผลของนา

ดังนั้นข้าวก็ไม่ใช่ดอกผลของที่นา

ดอกผลธรรมดาจะถือเอาได้เมื่อขาดตกออกจากสิ่งนั้นๆ ตราบใดที่ยังติดอยู่กับตัวแม่

ทรัพย์ก็ยังไม่เป็นดอกผลธรรมดา เช่น ไข่ทอยู่ในท้องแม่ไก่ ลูกหมูที่อยู่ในท้องแม่หมู มะม่วงที่อยู่ติดกับ
ี่
ต้นยังไม่เป็นดอกผล เพราะยังไม่ขาดตกออกจากตัวแม่ทรัพย์ การขาดตกออกจากตัวแม่ทรัพย์นั้น

อาจจะขาดตกลงด้วยวิธีใดๆ ก็ได้ อาจจะเป็นโดยธรรมชาติหรือการกระทำของมนุษย์ เช่น ไก่ออกไข่

หมูตกลูก คนใช้ไม้สอยผลมะม่วงให้หลุดจากต้น ลมพดผลมะม่วงที่สุกจนหลุดจากต้นถือว่าเป็นการ

ื่
ขาดจากตัวแม่ทรัพย์แล้ว แต่ถ้าเจ้าของฆ่าไก่เพอเอาไข่ ตัดต้นมะม่วงเพื่อทำถ่าน ไข่ที่ผ่าออกจากท้อง
แม่ไก่ ถ่านไม้ที่ได้จากการตัดต้นมะม่วง ไม่ถือว่าเป็นดอกผลธรรมดา เพราะไม่ได้ขาดจากตัวแม่ทรัพย์

ตามธรรมชาติ แต่เป็นการทำให้แม่ทรัพย์ถูกทำลายไปด้วย

2.2 ดอกผลนิตินัย หมายความว่า ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอนที่ได้มาเป็นครั้งคราว
ื่
ื่
ื่
แกเจ้าทรัพย์จากผู้อนเพอการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น และสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตาม

ระยะเวลาที่กำหนดไว้ กล่าวคือ ดอกผลนิตินัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย เกิดจากกฎหมาย
ื่
ให้การรับรองและคุ้มครองตามมาตรา 148 วรรคสาม ดอกผลนิตินัยเป็นทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอน
ที่เจ้าของทรัพย์ได้มาจากผู้อนเป็นครั้งคราวเพอตอบแทนการที่ผู้อนได้ใช้แม่ทรัพย์นั้น เช่น นายพายุ
ื่
ื่
ื่
นำเงินไปฝากธนาคารไว้เป็นเวลา 3 ปี เมื่อครบ 3 ปีแล้ว นายพายุย่อมได้ดอกเบี้ยจากธนาคาร เพราะ
ธนาคารได้นำเงินฝากของนายพายุไปลงทุนหาประโยชน์ในระหว่าง 3 ปีนั้น ดังนี้ดอกเบี้ยจึงเป็นดอก

ผลนิตินัย หรือนายวายุให้นายศิลาเช่ารถยนต์ นายวายุย่อมได้ค่าเช่าจากนายศิลา เพราะนายศิลาได้ใช้


สอยรถยนต์ของนายวายุ ดังนี้ ค่าเช่าจึงเป็นดอกผลนิตินัย หรือกรณีนายอคนีนำเงินไปลงทุนในห้าง
หุ้นส่วนจำกัด เมื่อถึงสิ้นปีห้างหุ้นส่วนจำกัดมีกำไร ได้แบ่งเงินส่วนแบ่งของกำไรให้นายอคนี ส่วนแบ่ง


45






ของกำไรที่นายอคนีได้รับจึงเป็นดอกผลนิตินัย เพราะห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ใช้เงินของนายอคนีในการ

ดำเนินกิจการเพอแสวงหากำไร หรือกรณีนายปฐพีได้ไปซื้อหุ้นในบริษัทจำกัด เมื่อถึงสิ้นปีบริษัทมีกำไร
ื่


จึงได้จ่ายเงินปันผลให้แก่นายปฐพตามจำนวนหุ้น เงินปันผลที่นายปฐพได้รับจึงเป็นดอกผลนิตินัย
เพราะบริษัทได้ใช้เงินของนายปฐพในการประกอบธุรกิจเพอแสวงหากำไรแล้วแบ่งเงินปันผลให้กับผู้

ื่
เข้าชื่อซื้อหุ้นของบริษัทจำกัด ดังนั้น ดอกเบี้ย ค่าเช่า กำไร เงินปันผล จึงเป็นดอกผลนิตินัย

แต่ถ้าไม่ใช่ประโยชน์ตอบแทนจากการใช้ทรัพย์นั้น เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ที่ให้แก่

ื่
คนงานหรือลูกจ้างย่อมไม่เป็นดอกผลนิตินัย เพราะไม่ใช่เป็นการใช้ทรัพย์แต่เป็นการใช้แรงงานเพอให้
ได้มาซึ่งเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือกรณีค่าแท็กซี่นั้นเป็นการตอบแทนการใช้บริการขนส่งขนส่งคน

โดยสาร ไม่ใช่ตอบแทนการใช้รถแท็กซี่ ค่าแท็กซี่จึงไม่เป็นดอกผลนิตินัย ต่างจากค่าเช่ารถแท็กซี่ซึ่ง

คนขับรถแท็กซี่จ่ายให้เจ้าของรถเป็นการตอบแทนที่เอารถมาใช้ขับรับจ้าง ซึ่งเป็นดอกผล เช่น นาย

พายุให้นายศิลาเช่ารถแท็กซี่ ค่าเช่าที่นายพายุได้รับจากนายศิลา เป็นดอกผลนิตินัย แต่ค่าโดยสารที่

นายศิลาได้รับจากผู้โดยสารไม่เป็นดอกผลนิตินัย

ลักษณะของดอกผลนิตินัย มีหลักเกณฑ์ที่ต้องพจารณา ดังนี้ (มานิตย์ จุมปา. 2543 :

104-109)

2.2.1 ดอกผลนิตินัยเป็นทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอน นอกจากหมายถึงทรัพย์แล้วยัง
ื่
ื่
รวมไปถึงประโยชน์ที่ได้รับอย่างอนด้วย เช่น เจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งเอาที่ดินให้เช่า ได้ค่าเช่าเป็นเงิน
ตอบแทนมาจึงเป็นดอกผลนิตินัย แต่ถ้าผู้เช่าไม่มีเงินจ่าย จึงให้เจ้าของที่ดินเอารถยนต์ไปใช้ประโยชน์


ได้ แม้ไม่ได้เป็นตัวทรัพย์แต่ได้เป็นประโยชน์กลับมาก็ถอว่าเป็นดอกผล
ื่
2.2.2 เป็นทรัพย์หรือประโยชน์ที่ตกได้แก่เจ้าของทรัพย์ แต่ถ้าตกได้แก่คนอนจะไม่ถือ
ว่าเป็นดอกผลนิตินัย เช่น ผู้เช่าจ่ายเงินตอบแทนแก่ผู้ที่ช่วยหาบ้านเช่าให้ เงินตอบแทนนั้นไม่เป็นดอก

ผล เพราะไม่ได้ให้แก่เจ้าของบ้านเช่า แต่ถ้าตกลงจะจ่ายแก่เจ้าของทรัพย์แล้ว แม้การจ่ายจริงจะจ่าย

ให้ผู้อนก็ยังคงถือว่าเป็นดอกผล เช่น เจ้าของบ้านเช่าบอกให้ผู้เช่าเอาค่าเช่าไปจ่ายให้แก่ลูกชาย
ื่
ื่
เพอให้ลูกชายเอาเงินไปใช้ลงทะเบียนเรียน เป็นต้น ทั้งนี้ดอกผลนิตินัยไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินเสมอ
ื่
ไป อาจเป็นทรัพย์อนก็ได้ เช่น เช่าสวนปลูกกะเทียม ให้กะเทียมเป็นค่าเช่า เช่านาให้ข้าวเปลือกเป็น
ค่าเช่า กะเทียมและข้าวเปลือกถือเป็นดอกผลนิตินัยได้

2.2.3 เป็นการตอบแทนที่ผู้อนได้ใช้ทรัพย์ กล่าวคือ ดอกผลนิตินัยต้องเป็นการตอบ
ื่
แทนที่ผู้อื่นได้ใช้ทรัพย์นั้นของเจ้าของทรัพย์ แต่ถ้าเจ้าของทรัพย์ใช้เองไม่เป็นดอกผล เช่น นายพายุกับ

46





นายศิลาเข้าหุ้นกันซื้อรถยนต์ 1 คัน โดยมีข้อตกลงว่าจะผลัดกันใช้คนละสัปดาห์ สัปดาห์แรกให้นาย
พายุเอาไปใช้ สัปดาห์ที่ 2 ให้นายศิลาเอาไปใช้ แต่การเอาไปใช้ของนายศิลานั้น นายศิลาเอาไปให้นาย


อัคนีเช่า ได้ค่าเช่า 5,000 บาท ค่าเช่าเป็นของนายศิลาคนเดียว ไม่เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างนายพายุ
กับนายศิลา เพราะเป็นการใช้ทรัพย์ของนายศิลา ตามข้อตกลงให้ผลัดกันใช้ เป็นการใช้โดยเอาออกให้


เช่า

2.2.4 ต้องได้มาเป็นครั้งคราว หมายถึงได้มาโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่น

ดอกเบี้ยคิดเป็นเดือน เป็นปี ค่าเช่าคิดเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี (ประมูล สุวรรณศร. 2525 : 119)

เช่น นายศิลากู้เงินจากนายพายุ แต่ค้างดอกเบี้ยเป็นเวลาหลายเดือน นายศิลาเอาดอกเบี้ยที่ค้าง

ทั้งหมดมาชำระแก่นายพายุในคราวเดียว เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการได้มาเป็นครั้งคราว เพราะดอกเบี้ยนั้น

สามารถกำหนดชำระได้เป็นรายเดือน แต่ถ้าทรัพย์ใดที่ควรได้เป็นครั้งเดียว แต่ได้แบ่งชำระเป็นคราวๆ

ก็ไม่ถือว่าทรัพย์นั้นเป็นดอกผลนิตินัย เช่น นายพายุขายรถยนต์ให้นายศิลา แม้นายศิลาจะแบ่งชำระ

เป็นงวดๆ เงินที่ชำระเป็นงวดนั้นก็ไม่เป็นดอกผลนิตินัย เพราะเงินนั้นสามารถที่จะชำระได้ทั้งหมดใน

คราวเดียว ทั้งนี้ต้องสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ กล่าวคือ

ดอกผลที่ได้มานั้นต้องคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น นายพายุ

ให้นายศิลา เช่าบ้านในราคาเดือนละ 3,000 บาท ค่าเช่านั้นก็สามารถคำนวณได้เป็นรายวันๆ ละ 100

บาท ถ้านายพายุขายบ้านให้นายอคนีในวันที่ 16 ของเดือน นายพายุย่อมมีสิทธิได้ค่าเช่าเพียง 15 วัน

เป็นเงิน 1,500 บาท อีก 1,500 บาทนั้นเป็นของนายอัคนีซึ่งเป็นเจ้าของคนใหม่

3. ผลของการเป็นดอกผล

ดอกผลของทรัพย์จะเป็นของผู้ใดตามบทบัญญัติมาตรา 148 ไม่ได้บัญญัติไว้อย่าง


ชัดเจนว่าให้ตกเป็นสิทธิของผู้ใด เมื่อพจารณาตามมาตรา 1336 แล้วพบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ย่อมมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายและมีสิทธิได้ดอกผล รวมทั้งตามมาตรา 1360 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า

เจ้าของรวมมีสิทธิได้ดอกผลของตนในทรัพย์สินนั้น นอกจากนี้ตามมาตรา 666 ยังกำหนดว่าถ้ามีดอก

ผลเกิดแก่ทรัพย์ที่ฝาก ผู้รับฝากต้องคืนดอกผลให้แก่ผู้ฝาก และตามมาตรา 810 กำหนดให้เงินและ

ทรัพย์สินอนที่ตัวแทนรับไว้ในฐานะตัวแทนต้องส่งให้ตัวการทั้งสิ้น รวมทั้งตามมาตรา 1474 (3)
ื่
กำหนดให้ดอกผลของสินส่วนตัวให้เป็นสินสมรส (บัญญัติ สุชีวะ. 2540 : 50-51) ดังนั้นผลของการ

ื่
เป็นดอกผล คือ ตกเป็นของเจ้าของแม่ทรัพย์ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะเพอ
กำหนดให้เจ้าของแม่ทรัพย์ไม่ได้เป็นเจ้าของดอกผล ดังนี้

47





3.1 มาตรา 415 วรรคแรก กำหนดให้บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริตย่อมจะได้
ื่
ดอกผลอันเกิดแก่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่ เช่น แม่ไก่ของผู้อนหลงมา ผู้เลี้ยงไว้ย่อมได้

เป็นเจ้าของไข่ไก่ หรือลูกไก่ในระหว่างที่เลี้ยงไว้ก่อนเจ้าของมาตามเอาคืน
3.2 มาตรา 1376 กำหนดว่าถ้าจะต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่บุคคลผู้มีสิทธิเอาคืน


กฎหมายให้นำบทบัญญัติมาตรา 412 ถึง 418 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ

โดยอนุโลม โดยให้คืนเท่าที่เหลือหากได้ลาภนั้นมาโดยสุจริต

3.3 มาตรา 537 ผู้เช่ามีสิทธิได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าจึงรวมทั้งดอก

ผลด้วย สัญญาเช่าที่ดินย่อมครอบคลุมไปถึงต้นไม้ที่อยู่ในดินที่เช่าด้วย ถ้าผู้ให้เช่ามีความประสงค์จะ

สงวนใช้สอยเก็บกินส่วนตัว จึงต้องมีการระบุไว้ในสัญญาเช่าให้ชัดแจ้ง มิฉะนั้นผู้เช่าย่อมมีสิทธิเก็บ

ผลไม้อันเป็นดอกผลตามธรรมชาติของต้นไม้ในที่ดินที่เช่าได้

3.4 มาตรา 1406 กำหนดว่าถ้าผู้ให้อาศัยมิได้ห้ามไว้ชัดแจ้ง ผู้อาศัยจะเก็บเอาดอกผล

ธรรมดาหรือผลแห่งที่ดิน มาใช้เพียงที่จำเป็นแก่ความต้องการของครัวเรือนก็ได้ เช่น เก็บผลมะม่วงกิน

เก็บฟืนมาก่อไฟ เป็นต้น

3.5 มาตรา 1417 วรรคสาม กำหนดให้ผู้ทรงสิทธิเก็บกินในป่าไม้ เหมืองแร่ หรือที่ขุด

หิน มีสิทธิทำการแสวงประโยชน์จากป่าไม้ เหมืองแร่ หรือที่ขุดหินนั้น

3.6 มาตรา 245 กำหนดว่าผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจะเก็บดอกผลแห่งทรัพย์สินที่ยึดหน่วง

ื่
ื่
ไว้และจัดสรรเอาไว้เพอการชำระหนี้แก่ตนก่อนเจ้าหนี้คนอนก็ได้ ดอกผลเช่นว่านี้จะต้องจัดสรรเอา
ชำระดอกเบี้ยแห่งหนี้นั้นก่อนถ้ายังมีเหลือจึงให้จัดสรรใช้ต้นเงิน

3.7 มาตรา 721 จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง เว้นแต่ในเมื่อ

ผู้รับจำนองได้บอกกล่าวแก่ผู้จำนองหรือผู้รับโอนแล้วว่าตนมีความจำนงจะบังคับจำนอง

ื่
3.8 มาตรา 761 ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอนในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจาก

ทรัพย์สินนั้นอย่างไร กฎหมายให้ผู้รับจำนำจัดสรรให้เป็นค่าดอกเบี้ยอนค้างชำระแก่ตน และถ้าไม่มี
ดอกเบี้ยค้างชำระก็ให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อนได้จำนำทรัพย์สินเป็นประกันนั้น (มานิตย์ จุมปา.

2551 : 114-116)

48





บทสรุป


ส่วนประกอบของทรัพย์สินเป็นเรื่องของความเกี่ยวพนธ์ระหว่างทรัพย์สินตั้งแต่ 2 อย่าง
ขึ้นไป ถ้ามารวมกันจนแยกกันไม่ออกเป็นเรื่องส่วนควบ ถ้าเวลาใช้ต้องใช้ด้วยกันเป็นเรื่องอปกรณ์

ื่
และถ้าเป็นเรื่องการงอกเงยจากอกทรัพย์สินหนึ่งเป็นเรื่องดอกผล ซึ่งจุดมุ่งหมายเพอไม่ให้เกิดความ


สูญเปล่าทางเศรษฐกิจ จึงให้เจ้าของเจ้าทรัพย์ประธานเป็นเจ้าของส่วนควบ ส่วนอปกรณ์เมื่อโอน
ทรัพย์ประธานสิ่งที่ใช้กับทรัพย์ประธานเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาทรัพย์ประธานก็ควรโอนไปด้วย

ื่
ส่วนสิงที่งอกเงยมาจากทรัพย์สินอน เจ้าของทรัพย์สินย่อมเป็นเจ้าของสิ่งที่งอกเงยมา (ตามมาตรา
144 วรรคสอง, มาตรา 147 วรรคท้าย และมาตรา 1336)



คำถามทบทวน


1. ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่าอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร

2. อุปกรณ์ หมายความว่าอย่างไร และให้ยกตัวอย่างอุปกรณ์ของรถยนต์

3. จงบอกความแตกต่างของดอกผลธรรมดากับดอกผลนิตินัยว่าต่างกันอย่างไรบ้าง

4. ที่ดินเป็นส่วนควบของบ้านหรือไม่ เพราะเหตุใด

5. ไม้ยืนต้นกับไม้ล้มลุก หมายความว่าอย่างไร และเป็นส่วนควบของที่ดินหรือไม่

6. นายพุธเป็นเจ้าของรถยนต์และมีเครื่องมือซ่อมรถยนต์ประจำอยู่กับรถยนต์ของนายพธ

อยู่แล้ว นายจันทร์ไปขอยืมเครื่องมือแก้รถยนต์ของนายพธมาใช้กับรถยนต์ของตนชั่วคราว หลังจาก

นั้นอก 3 วัน นายจันทร์จึงขายรถยนต์ให้กับนายศุกร์ นายพธทราบจึงมาติดตามเอาเครื่องมือแก้


รถยนต์คืนจากนายศุกร์ ถามว่านายพธสามารถเอาเครื่องมือแก้รถยนต์คืนจากนายศุกร์ได้หรือไม่

เพราะเหตุใด


7. นายแดนไปซื้อแม่แรง เพอเอามาไว้ใช้กับรถยนต์ของตนเนื่องจากแม่แรงอนเก่าหายไป
ื่


เมื่อนายแดนซื้อแม่แรงใหม่มาแล้ว ปรากฏว่าได้ค้นหาแม่แรงอนเก่าพบ จึงเอาแม่แรงอนที่ซื้อมาใหม่
เก็บไว้ก่อน แล้วเอาแม่แรงเก่ามาใช้ตามเดิม ต่อมาอกกว่า 3 เดือน นายแดนได้ขายรถยนต์ให้กับนาย

บีม นายบีมจึงเรียกเอาแม่แรงอันที่ซื้อมาใหม่นี้ด้วย โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ของรถยนต์ที่ตนเองซื้อจาก

นายแดน เช่นนี้แล้วข้ออ้างของนายบีมฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

49





บทที่ 4

ทรัพยสิทธิ





ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน กล่าวถึงการก่อตั้งทรัพยสิทธิ

การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์ และ

ทรัพยสิทธิต่างๆ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือ



พ้นดินและภาระติดพนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้การก่อตั้งทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้นจะก่อตั้งขึ้นได้แต่
ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์หรือกฎหมายอน ซึ่งการได้มาโดยนิติกรรมซึ่ง

ื่
อสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไมบริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็น

หนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ต้องไม่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้

ื่

หรือกฎหมายอนบัญญัติถึงการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับ
อสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นการเฉพาะ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาแลกเปลี่ยน หรือสัญญาให้


อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ส่วนการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
โดยทางอนนอกจากนิติกรรม ผู้ได้มาจะมีสิทธิในทรัพย์สินนั้นต้องจดทะเบียนการได้มาก่อน หากยังไม่
ื่
มีการจดทะเบียนจะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะยกขนเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิ
ึ้
มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ส่วนกรณีมีบุคคล

หลายคนเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกัน ถ้าทรัพย์สินตกอยู่ใน

ครอบครองของบุคคลใด บุคคลนั้นมีสิทธิยิ่งกว่าบุคคลอนๆ แต่ต้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยมีค่าตอบแทน
ื่
และได้การครอบครองโดยสุจริต ดังจะได้กล่าวต่อไป



ความหมายทรัพยสิทธิ


ทรัพยสิทธิ (Real right) หมายถึง สิทธิที่มีวัตถุเป็นทรัพย์สิน เป็นสิทธิของบุคคลที่มีอยู่

เหนือตัวทรัพย์ เป็นสิทธิที่บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์สินโดยตรง ทรัพยสิทธิจะก่อตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยประมวล


ื่
กฎหมายนี้หรือกฎหมายอนเท่านั้น กฎหมายนี้ได้แก่ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ เช่นในบรรพ

4 ได้แก กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน และภาระ

ติดพนในอสังหาริมทรัพย์ ในบรรพ 2 ได้แก่ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วง และในบรรพ 3 ได้แก่ สิทธิ

50





ื่
จำนอง สิทธิจำนำ ส่วนทรัพยสิทธิตามกฎหมายอน ได้แก่ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า
เป็นต้น (บัญญัติ สุชีวะ. 2544 : 65)


บุคคลสิทธิ (Personal right) หมายถึง สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทำหรืองดเว้น
การกระทำ เรียกว่าสิทธิเรียกร้อง ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องในทางหนี้มีอำนาจบังคับเหนือตัวบุคคลที่เป็น


คู่สัญญาเท่านั้น โดยการใช้อำนาจบังคับด้วยการใช้สิทธิทางศาล บุคคลสิทธิมีบ่อเกิดจากนิติกรรมและ

สัญญา หรือเกิดจากนิติเหตุ เช่น ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ หรืออาจเกิดจากกฎหมาย

บัญญัติ เช่น หนี้ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หนี้เกิดจากบิดามารดาต้องอปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น (บัญญัติ สุชีวะ. 2544 : 65-66)


ข้อแตกต่างระหว่างทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ มีดังนี้

1. ทรัพยสิทธิมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน เช่น เจ้าของกรรมสิทธิ์มีอำนาจใช้สอย

จำหน่ายจ่ายโอน ได้ดอกผล ติดตามเอาคืนและขัดขวางหวงกันทรัพย์ของตนได้ หรือกรณีสิทธิจำนอง

ผู้รับจำนองก็สามารถบังคับจำนองเอากับทรัพย์สินที่จำนองนั้นได้โดยตรง โดยไม่คำนึงว่าใครเป็น

เจ้าของหรือใครจะครอบครองอยู่ เพราะสิทธิมีอยู่เหนือตัวทรัพย์แล้ว แต่บุคคลสิทธิมีวัตถุแห่งสิทธิ

เป็นการกระทำหรืองดเว้นการกระทำหรือส่งมอบทรัพย์สิน โดยบังคับที่ตัวบุคคลให้ทำตามสัญญาที่ได้

ตกลงกัน

2. ทรัพยสิทธิก่อตั้งได้โดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเท่านั้นตามมาตรา 1298 บัญญัติว่า

“ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือ

กฎหมายอน”เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิอาศัย ภาระจำยอม สิทธิยึดหน่วง
ื่
บุริมสิทธิ สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ เป็นต้น แต่บุคคลสิทธิเกิดขึ้นได้โดยนิติกรรมสัญญาหรือนิติเหตุ ซึ่ง

คู่กรณีสามารถตกลงกันด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย หรือมีกฎหมายการรับรองและคุ้มครองให้

ว่ามีสิทธิเรียกร้องได้


3. ทรัพยสิทธิก่อให้เกิดหน้าที่แกคนทั่วไปที่จะไม่ขัดขวางการใช้ทรัพยสิทธิของเจ้าของ ซึ่ง
บุคคลอื่นต้องเคารพสิทธิในความเป็นเจ้าของสามารถยันกับบุคคลอนได้ทั่วไป เช่น เจ้าของกรรมสิทธิ์
ื่
ในที่ดินมีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ที่มาบุกรุกได้ หรือสิทธิจำนองไม่ว่าทรัพย์ที่จำนองตกไปเป็นของใคร ก็ไม่อาจ

ขัดขวางการบังคับจำนองของผู้รับจำนองได้ ส่วนบุคคลสิทธิก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลโดย

เฉพาะเจาะจงกับคู่สัญญาเท่านั้น ไม่อาจบังคับบุคคลอื่นได้ทั่วไป


Click to View FlipBook Version