The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน (Community-based Tourism : CBT) เกี่ยวกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของความเป็นปกาเกอะญอ องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน พบว่า 1. ศักยภาพของพื้นที่และทรัพยากร ชุมชนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ 2. ศักยภาพของคนและองค์กร ชุมชนมีองค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการให้การสนับสนุน มีปราชญ์ท้องถิ่น และมีจิตอาสาพัฒนาชุมชน 3. การบริหารจัดการ ชุมชนมีกฎกติกาในการจัดการสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว 4. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม กิจกรรมการท่องเที่ยวสร้างการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวปกาเกอะญอ และ 5. ผลกระทบการท่องเที่ยว ผลกระทบด้านบวก คือ ชุมชนมีจิตสำนึกรักวัฒนธรรม การพึ่งพาตนเอง ส่วนผลกระทบด้านลบ ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคิดการพัฒนาสินค้าโอทอป (OTOP) พบว่า การใช้หลักปรัชญา OVOP 3 ประการ ได้แก่ 1. ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local Yet Global) 2. ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ (Self-reliance and Creativity) 3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development), การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน มีเงื่อนไข 3 อย่าง คือ 1. คุณภาพสินค้าคงที่ 2. สินค้าผลิตสม่ำเสมอ 3. สินค้าผ่านการรับรองมาตรฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืนในอนาคต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2020-12-30 10:26:28

การพัฒนาชุมชนน่าเที่ยวและผลิตภัณฑ์บนพื้นที่สูง

กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นฐาน (Community-based Tourism : CBT) เกี่ยวกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของความเป็นปกาเกอะญอ องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน พบว่า 1. ศักยภาพของพื้นที่และทรัพยากร ชุมชนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ 2. ศักยภาพของคนและองค์กร ชุมชนมีองค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการให้การสนับสนุน มีปราชญ์ท้องถิ่น และมีจิตอาสาพัฒนาชุมชน 3. การบริหารจัดการ ชุมชนมีกฎกติกาในการจัดการสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว 4. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม กิจกรรมการท่องเที่ยวสร้างการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวปกาเกอะญอ และ 5. ผลกระทบการท่องเที่ยว ผลกระทบด้านบวก คือ ชุมชนมีจิตสำนึกรักวัฒนธรรม การพึ่งพาตนเอง ส่วนผลกระทบด้านลบ ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคิดการพัฒนาสินค้าโอทอป (OTOP) พบว่า การใช้หลักปรัชญา OVOP 3 ประการ ได้แก่ 1. ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local Yet Global) 2. ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ (Self-reliance and Creativity) 3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development), การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน มีเงื่อนไข 3 อย่าง คือ 1. คุณภาพสินค้าคงที่ 2. สินค้าผลิตสม่ำเสมอ 3. สินค้าผ่านการรับรองมาตรฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืนในอนาคต

Keywords: การท่องเที่ยว,ผลิตภัณฑ์ชุม,ชนชน,ปกาเกอะญอ

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เท่ยี วและผลติ ภัณฑบ์ นพ้นื ทสี่ ูง

การพัฒนาขดี ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ด้วยการอาศัยการ
พ่ึงพาเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศควบคู่กันด้วย ซ่ึงการที่จะพัฒนาให้
ผลิตภณั ฑ์ OTOP มลี ูท่ างการส่งออกสดใสจาํ เปน็ ที่ภาครฐั ต้องให้การสนับสนุนและ
แก้ไขปัญหาอุปสรรคท่ีเกี่ยวข้องอย่างต่อเน่ือง พร้อมกับสร้างจุดแข็งและ
เอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ OTOP เพ่ือดึงดูดความสนใจจากตลาดต่างประเทศให้
มากข้นึ ซึง่ นอกจากจะเป็นส่วนหนึง่ ของการเสรมิ รายได้ สง่ เสรมิ การใช้ภูมิปัญญา
ทอ้ งถนิ่ และสร้างความแข็งแกร่งแก่ชุมชนระดับฐานรากแล้ว ในระดับมหภาคยัง
เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่าง
ม่ันคงและยั่งยืนมากข้ึน ดังนั้น การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP เพ่ือการส่งออก
จึงเป็นแนวทางสําคัญที่จะช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของไทยให้ขยายตัวได้
อย่างตอ่ เน่ืองควบคกู่ ับการพัฒนาขดี ความสามารถการแข่งขันในเชิงเศรษฐกิจทุกๆ
ด้าน เพื่อก้าวให้ทันกับความเคลื่อนไหวในตลาดโลกอันจะนําไปสู่การสร้าง
เสถยี รภาพและความมนั่ คงแกร่ ะบบเศรษฐกิจของประเทศตอ่ ไปในภายหนา้

หลักการของโครงการหนึง่ ผลติ ภณั ฑ์หนึง่ ตาบล

ทาดาชิ อูชิดะ ประธานโครงการ OVOP (Mr. Tadashi Uchida,
President of International OVOP Exchange Committee) เล่าถึงภูมิหลัง
ของ OVOP ซงึ่ เรม่ิ ต้นในเมืองโออิตะ บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของญ่ีปุน ว่าที่น่ัน
เป็นเมืองเล็กๆ ในชนบทที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม ทําให้ภาค
เกษตรกรรมซ่ึงเป็นพื้นฐานของชุมชนถูกลืม คนหนุ่มสาวย้ายเข้าสู่เมืองใหญ่ ท้ิง
ผู้สูงอายุไว้เช่นเดียวกับภูมิปัญญาต่างๆ ท่ีไม่ได้รับการสานต่อ ชนบทจึงขาด
พละกําลัง เกิดความยากจน กระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนในปี 2512 ด้วยการสร้างรายได้
ให้ชุมชน เขากล่าวว่า “การทําให้ชุมชนมีรายได้จะต้องสร้างสถานที่ข้ึนมาให้
ชุมชนหารายได้ได้เอง จึงเกิดการรณรงค์ตั้งแต่ปี 2512 เพื่อทําให้เกิดเศรษฐกิจ
หมุนเวียน โดยมี OVOP เป็นศูนย์กลางที่กระตุ้นให้คนในชุมชนของโออิตะสร้าง
งานจนมีรายได้เข้ามา แต่ไม่จําเป็นต้องเร่งให้มีรายได้สูงมาก เพราะน่ันไม่ใช่
เปาู หมายของเรา”

เปูาหมายของ OVOP ต้องยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” มากกว่า
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับประเทศไทยซึ่งนับว่าโชคดีที่

-95-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลิตภณั ฑบ์ นพ้นื ทสี่ งู

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือรัชกาลที่ 9 ได้ทรงให้
แนวทางไว้ ซึ่งการจะทําให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืนได้ ต้องอาศัยความพอใจและ
ความพอเพียง OVOP จึงเน้นให้ชุมชนทําส่ิงที่มีความสุข โดยใช้ส่ิงท่ีมีในท้องถิ่น
ซงึ่ ใช้งบประมาณไม่มากในการทําผลติ ภัณฑ์ต่างๆ บนหลักการพ่ึงพาตัวเองที่ใครก็
ทําได้ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ เขากล่าวว่า “เรามีเทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาใน
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่นํามาใช้เหมือนกับท่ัวโลก ได้แก่ 1.การหมัก เช่น เหล้า
สาเก 2.การตากแห้ง เช่น เห็ดอบแห้ง 3.การดอง เช่น ผักดองนํ้าส้มสายชู 4.
การรมควัน เช่น ไส้กรอก แฮม 5.การน่ึง 6.การทอด 7.การคั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น
กรรมวิธีที่แทบจะไม่ต้องใช้เงินก็สามารถทําได้ หรืออาจจะเป็นกิจกรรมที่ต่อ
ยอดจากภาคเกษตรกรรม เช่น Green Tourism หรือ Agritourism ที่เป็นการ
ท่องเท่ียวเชงิ เกษตรนั่นเอง”

จุดเร่ิมต้นของ OVOP ท่ีเกิดจากคนในหมู่บ้านริเริ่มทําสินค้าเอง เช่น
เกษตรกรแมบ่ ้าน Megumi-Kai ที่รวมกลมุ่ กนั เพื่อปลูกมะเขอื เทศสดและนํามาทํา
ซอสมะเขือเทศ ซึ่งหากพวกเขาคิดว่าจะต้องสู้กับตลาดใหญ่ๆ คงจะไม่สามารถทํา
จนประสบความสําเร็จได้ แต่ทุกคนกลับลองทําจริงจนซอสมะเขือเทศท่ีทําด้วยมือ
และไม่มีส่วนผสมอ่ืนๆ สามารถขายได้ถึง 50,000 ขวดต่อปี สร้างมูลค่าเป็นเงิน
ไดถ้ ึง 20 ล้านเยน โดยทท่ี ุกคนต่างมีความสุขกบั การทํางานร่วมกับเพ่ือนในชุมชน
และยังคงทาํ มาจนถงึ ทกุ วันน้ี

ส่ิงที่ OVOP ทํา ไม่ใช่นโยบายจากภาครัฐแต่เป็นการเคล่ือนไหวของ
ชุมชน โดยมีผู้ว่าเมืองโออิตะช่วยต่อยอด โดยผลิตภัณฑ์ต้องมีเง่ือนไข 3 อย่าง
คือ 1.คุณภาพต้องคงท่ี 2.สามารถผลิตได้สม่ําเสมอ เพราะ OVOP มีคุณลักษณะ
อยู่ระหว่างอุตสาหกรรมข้ันพ้ืนฐาน (Primary Industry) และอุตสาหกรรมขั้นทุ
ติยะ (Secondary Industry) ที่นาํ ผลผลิตจากอุตสาหกรรมขั้นพ้ืนฐานมาแปรรูป
3.ผ่านการรับรองมาตรฐาน และทดลองขายในตลาดก่อนอย่างน้อย 2-3 ปี โดย
ชมุ ชนต้องอดทนรอ และศึกษาการทําบัญชีและเงินสดหมุนเวียนด้วย กระทั่งเมื่อมี
การถามหาสินค้าเกิดข้ึน ตลาดก็จะตามมาแบบปากต่อปาก ส่วนองค์กรปกครอง
ส่วนทอ้ งถ่นิ กค็ วรสนบั สนุนโอกาส เชน่ การจัดงานออกร้านประจําปี การจัดตั้งเป็น
นติ บิ คุ คลเพื่อการผลิต หรอื การมีรา้ นค้าปลกี ซ่งึ ไมต่ ้องใช้งบประมาณมาก

-96-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพนื้ ทสี่ งู

จากนั้นสิ่งที่จะตามมา คือ การท่องเที่ยว ซ่ึงปัจจุบัน OVOP มีอยู่ 3
รูปแบบ ได้แก่ การเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ การศึกษาดูงาน และการแลกเปลี่ยน
ทางวัฒนธรรม โดยชุมชนโออิตะพบว่านักท่องเท่ียวส่วนใหญ่จะท่องเท่ียวในสอง
รปู แบบแรกมากกว่า จึงควรเน้นการสร้างความรู้และแรงบันดาลใจให้ผู้คนอยากมา
ท่องเท่ียว เช่นเดียวกับประเทศไทย เพ่ือให้คนอ่ืนๆ ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตและ
วัฒนธรรมท้องถ่ิน และทําให้รายได้เกิดการกระจายไปถึงชุมชน ซ่ึงจากการเยี่ยม
ชมการทาํ ผลิตภณั ฑ์และพูดคุยกับชุมชนในภาคเหนือแล้ว พบว่า การพัฒนาสินค้า
ชมุ ชนของไทยมีทศิ ทางท่ดี ีเพราะมีหลายภาคส่วนสนับสนุน และยังหวังว่าประเทศ
ไทยจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน เพื่อจุดประกายให้อาเซียนเป็น
ศูนย์กลางในการนําพลังชุมชนมาร่วมขับเคล่ือนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดข้ึนได้
อย่างสมบรู ณแ์ บบต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยเรื่อง A Comparative Analysis of One
Village One Product (OVOP) and its Replicability in International
Development ของ Yamazaki ได้เสนอผลของการศึกษา การเปรียบเทียบ
โครงการ OVOP ของญี่ปุน ไทย และมาลาวี โดยกระบวนการ OVOP ของโออิตะ
มีเปูาหมาย ในการพัฒนาในการฟ้ืนฟูท้องถิ่น ท้ังทางเศรษฐกิจและสังคม OTOP
ของไทยเน้นไปท่ีการสร้างรายได้ พัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่น และพัฒนาชุมชน
OVOP ของโออติ ะ มกี ารพฒั นาและนิยามไปทีส่ ินค้าที่ หลากหลาย ไม่ว่าจะสินค้า
ทเ่ี ป็นวตั ถุ และสินคา้ ที่วฒั นธรรมและสถานที่ทอ่ งเท่ยี ว ในขณะที่ OTOP ของไทย
มุ่งไปท่ีสินค้าที่จับต้องได้ ส่วน OVOP ของมาลาวี เน้นไปที่การพัฒนาสินค้า
ประเภทอาหารและหัตถกรรม36

สอดคล้องกบั ผลงานของ Tanwattana และ Korkietpitak ซ่ึงได้ทํา
การวิเคราะห์ถึงผลกระทบ ของโครงการ OTOP ทั้งเชิงบวกและเชิงลบในประเทศ
ไทย โดยเชิงบวกนั้นเป็นความสําเร็จของโครงการ OTOP ท่ีว่าด้วยความสินค้าที่
จับต้องได้ภายใต้ความสาํ เรจ็ ในการสรา้ งรายได้และส่งออกสนิ ค้า OTOP สําหรับใน
แง่ลบ ประกอบไปด้วย สินค้า OTOP ขาดซ่ึงคุณภาพ ขาดนวัตกรรมในการ

36 Yamazaki, J., A Comparative Analysis of One Village One Product (OVOP)
and its Replicability in International Development, Thesis (MA), (Institute of Social
Studies, The Hague, 2010), p.21.

-97-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลิตภณั ฑบ์ นพน้ื ทสี่ งู

พัฒนาสินค้า ปัญหา การมีสินค้าท่ีคล้ายคลึงกันมากเกินไป และการมีปริมาณ
สนิ ค้า OTOP ล้นตลาด หรืออกี นัยหน่ึง กค็ ือ โครงการ OTOP น้ันไม่อาจก้าวข้าม
วาทกรรมความเป็นสินค้าออกไปได้37 เช่นเดียวกับความเห็นของศาสตราจารย์
Murayama ผู้เช่ียวชาญเก่ียวกับนโยบาย OVOP ซึ่งปัจจุบันดํารงตําแหน่ง
ประธาน International OVOP Policy Association (IOPA) ที่ว่า “การ
นาํ เอา แนวทาง OVOP ไปปรบั ใชใ้ นพนื้ ท่ปี ระเทศกําลังพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
เคนยา มาลาวี อกู นั ดา อินโดนเี ซีย ฟลิ ปิ ปินส์ ไทย และเวียดนามต่างก็ประสบกับ
ปัญหาร่วมกัน ก็คือ ทุกประเทศต่างมุ่งเน้นไปท่ีการพัฒนาสินค้ามากกว่าท่ีจะมุ่ง
ไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อันเป็นเปูาหมายสูงสุดของโครงการ OVOP”38
จากสภาพปัญหาข้างต้น ทําให้ผู้วิจัยเกิดประเด็นของการศึกษาที่ว่า มีกระบวนการ
เชิงอํานาจอันใด ท่ีกระทําการกําหนด จัดระเบียบ ครอบงํา และสถาปนาโครงการ
OTOP ให้ต้องตกอยู่ภายใต้วาทกรรมของความเป็นสินค้า39 ในขณะเดียวกัน
กระบวนการดังกล่าวมีการดําเนินการกดทับและปิดก้ันต่อสิ่งที่แตกต่างไป จาก
กระแสหลกั อย่างไร ตลอดจนทําให้การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ การพ่ึงตนเองและ
คิดอย่างสร้างสรรค์ และการพัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ระดับสากล กลายเป็น
อืน่ ในการรับรู้ (perception) ของประชาชน

สรุปได้ว่า โครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตําบล (OTOP) มีหลักการ
พ้ืนฐาน 3 ประการ คือ 1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local Yet Global) 2)
พ่ึงตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ (Self-Reliance-Creativity) 3) การสร้าง
ทรพั ยากรมนุษย์ (Human Resource Development)

37 Tanwattana, P. and Korkietpitak, W., “The background to understanding
One Tumbon One Product in Thailand” in Significance of the regional one-product
policy: How to use the OVOP/OTOP movements, Hiroshi Murayama (eds.),
(Pathumthani: Thammasat Printing House, 2012),p.24.

38 Murayama, H., International OVOP Policy Association, The7th
International OVOP in Vietnam, IOPA (International OVOP Policy Association) annual
conference, 2010),p.10.

39 วทญั ญู ใจบรสิ ุทธ์ิ, การศกึ ษาโครงการหนงึ่ ตาํ บลหนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ (OTOP) ภายใต้วาทกรรม
ความเป็นสนิ คา้ , (กรงุ เทพมหานคร: สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2560), หน้า
15.

-98-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เที่ยวและผลติ ภณั ฑบ์ นพื้นทส่ี ูง

-99-

การพัฒนาชุมชนนา่ เท่ียวและผลติ ภณั ฑบ์ นพน้ื ทสี่ ูง

ารใช้แนวคิดการท่องเท่ียวโดยชุมชนเป็นฐาน (Community-based
Tourism : CBT) เป็นเครื่องมือในการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับ

กชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม โดย

กระบวนการมสี ่วนรว่ มของคนในชุมชน ในการกําหนดทิศทางการพัฒนาและได้รับ
ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบนฐานคิดที่เน้นถึงความสําคัญของการฟ้ืนฟู และ
อนุรักษ์สภาพแวดล้อม รวมท้ังอัตลักษณ์ วิถีชีวิต จารีตประเพณีที่แตกต่างกัน
จุดมุ่งหมายให้คนในชุมชนรู้จักสํานึกท้องถิ่นมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม
ประเพณีของตน และสามารถอธิบายให้กับนักท่องเที่ยวเข้าใจวิถีชีวิตวัฒนธรรม
ท้องถิ่นได้ จากผลการจัดเวทีสนทนากลุ่มเพ่ือถอดบทเรียน ณ วัดห้วยบง ต.บ้าน
จนั ทร์ อ.กลั ยาณวิ ฒั นา จ.เชยี งใหม่ จํานวน 2 คร้งั ไดแ้ ก่

คร้ังท่ี 1 วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2563 การจัดเตรียมพื้นที่จัดตั้ง
ศูนยว์ จิ ยั ชุมชน อาทิ อาคารสถานท่ี ห้องปฏิบัติการ และวัสดุอุปกรณ์ โดยเชิญผู้มี
สว่ นได้สว่ นเสียและเครือขา่ ยในพ้นื ท่ีเข้าร่วมการจัดเวทีถอดบทเรยี น

คร้ังท่ี 2 วันที่ 29-30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 การจัดเตรียมพ้ืนที่
จัดต้ังศูนย์วิจัยชุมชน อาทิ อาคารสถานท่ี ห้องปฏิบัติการ และวัสดุอุปกรณ์ โดย
เชญิ ผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสียและเครอื ข่ายในพนื้ ทีเ่ ข้าร่วมการจดั เวทถี อดบทเรียน

จากผลการจัดเวทีสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการสัมภาษณ์เชิง
ลึก (In-depth interview) ณ วัดห้วยบง ต.บ้านจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.
เชียงใหม่ โดยใช้แนวคิด SWOT Analysis เพื่อวิเคราะห์ S คือ การวิเคราะห์จุด
แข็ง หรือจุดเด่น (Strength) W คือ การวิเคราะห์จุดอ่อนหรือจุดด้อย
(Weakness) O คือ การวิเคราะห์โอกาส (Opportunity) และ T คือ การ
วเิ คราะห์ข้อจาํ กดั (Threat) มีผลสรปุ จากการประชุมร่วม ดังนี้

S คอื การวเิ คราะหจ์ ุดแขง็ หรือจดุ เดน่ W คอื การวเิ คราะหจ์ ดุ ออ่ นหรือจดุ ด้อย
(Strength) (Weakness)

1.วถิ ีชวี ิตและวฒั นธรรมของความเป็นป 1.การถา่ ยทอดและการสือ่ สาร
กาเกอะญอ บ้านห้วยบง ประชาสัมพันธ์ยงั ไมต่ ่อเน่ืองและ
2.อาคาร สถานท่ี อาศรมของวัดบ้าน กวา้ งขวาง
ห้วยบงเป็นศนู ย์กลางชุมชน 2.พืน้ ที่หมบู่ ้าน บางสว่ นต้ังอยูใ่ นเขต

-100-

การพฒั นาชุมชนนา่ เท่ยี วและผลิตภัณฑบ์ นพ้ืนทสี่ งู

3.ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมมี ปุาสงวน
ความอุดมสมบรู ณ์
4.ความซือ่ สตั ยส์ ุจริตและความจริงใจ T คอื การวเิ คราะหข์ อ้ จาํ กดั
ของชาวบ้าน (Threat)

O คอื การวเิ คราะหโ์ อกาส 1.งบประมาณมีจาํ กัด
(Opportunity) 2.เส้นทางคมนาคม บางแหง่ ยงั ไม่
สะดวก
1.มีองคก์ รและหนว่ ยงานภาครฐั ในการ
สนับสนุนผลติ ภณั ฑแ์ ละผลผลิตใน
ชุมชน เชน่ ศูนยพ์ ัฒนาโครงการหลวง
วดั จันทร์
2.มวี สิ าหกจิ ชุมชน
3.มสี ถาบันการศึกษาทั้งในระดบั สพฐ.,
สพม. และอดุ มศึกษาในการสนับสนนุ
ดา้ นความรู้และวชิ าการ

-101-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลติ ภณั ฑบ์ นพื้นทส่ี งู

การจัดเวทวี ิเคราะห์ SWOT Analysis
แนวโน้มประการหนึ่งของการท่องเที่ยวชุมชน คือ นักท่องเท่ียวใน
ปั จ จุ บั น มุ่ ง เ น้ น แ ล ะ ใ ห้ ค ว า ม สํ า คั ญ อ ย่ า ง ยิ่ ง ต่ อ ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม ยั่ ง ยื น ใ ห้ แ ก่
ทรัพยากรธรรมชาติ สังคม ตลอดจนวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวจึงเสาะแสวงหา
“ความจริงแท้” เอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของพ้ืนที่นั้นๆ ซ่ึงเป็นจุดแข็ง หรือ
จุดเด่น (Strength) ท่ีสําคัญ เช่น วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของความเป็นปกา
เกอะญอของบ้านห้วยบง และความต้องการมีส่วนร่วมในการได้ลงมือเพื่อ
สรา้ งสรรคค์ วามยัง่ ยืน เชน่ การอนรุ ักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม อาทิ ปลูกปุา สร้างฝาย ดับไฟ
ปุา ทําแนวกันไฟ หรือการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทางวัฒนธรรม หรือ
การพัฒนาชมุ ชนในด้านอนื่ ๆ ทัง้ น้ี นกั ท่องเทีย่ วต้องการเรียนรู้ในส่ิงท่ีตนเองสนใจ
จากความเปน็ ธรรมชาตขิ องพ้นื ท่ี ไม่ปรุงแต่ง เพ่มิ เติม หรือสร้างเพ่ือการท่องเท่ียว
แต่อาศัยความพร้อมของสถานท่ีท่ีมีอยู่แล้วเป็นหลัก เช่น อาคาร สถานท่ี อาศรม
ของวัดบ้านห้วยบง ซ่ึงถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนแห่งน้ี ประกอบกับ
ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ และความซื่อสัตย์สุจริตและความจริงใจ
ของชาวบ้านท่ีมตี ่อนกั ทอ่ งเท่ียวและผมู้ าเยี่ยมเยือน

-102-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทีย่ วและผลิตภัณฑบ์ นพนื้ ทส่ี งู

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนหรือจุดด้อย (Weakness) คือ ชาวบ้านยังขาด
ความสามารถในการถ่ายทอดและการส่ือสารประชาสัมพันธ์ยังไม่ต่อเนื่องและ
กว้างขวาง ประกอบกับพ้ืนที่หมู่บ้าน บางส่วนตั้งอยู่ในเขตปุาสงวน ซึ่งต้องอาศัย
การทาํ ความตกลงและความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในดูแล
รักษาเขตปุาอุทยานในพ้ืนที่ ในการเข้าไปใช้ประโยชน์เพ่ือการท่องเที่ยวอย่างใด
อย่างหนึ่ง แต่มีโอกาส (Opportunity) ที่เป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุน คือ มี
องค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์และผลผลิตในชุมชน เช่น
ศูนยพ์ ฒั นาโครงการหลวงวัดจันทร์ มีวิสาหกิจชุมชน และมีสถาบันการศึกษาท้ังใน
ระดบั สพฐ.,สพม. และอดุ มศกึ ษาในการสนับสนุนด้านความรู้และวิชาการ แต่ยังมี
ข้อจํากัด (Threat) คือ งบประมาณมีจํากัด ประกอบกับเส้นทางคมนาคม บาง
แห่งยงั ไม่สะดวก

-103-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลิตภัณฑบ์ นพืน้ ทส่ี ูง

สรุปได้ว่า การท่องเที่ยวโดยชุมชน (community base sustainable
tourism) เป็นการท่องเที่ยวที่คํานึงถึงความย่ังยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และ
วัฒนธรรม กําหนดทิศทางโดยชุมชน จัดการโดยชุมชนเพื่อชุมชน และชุมชนมี
บทบาทเป็นเจ้าของมีสิทธิในการจัดการดูแลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แก่นักท่องเท่ียว
และผู้มาเยือน โดยมองว่าการท่องเท่ียวต้องทํางานครอบคลุมพร้อมกัน คือ
การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สถาบันการศึกษา และส่ิงแวดล้อม โดยมี
ชมุ ชนเปน็ เจา้ ของและมีสว่ นในการบรหิ ารจดั การ สรปุ เปน็ แผนภูมิได้ดงั น้ี

แผนภมู ิที่ 1 ปจั จยั การมีสว่ นร่วมของการท่องเทีย่ วโดยชมุ ชน
การท่องเที่ยวสามารถเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาในด้านอื่นๆ โดยใช้
การทอ่ งเท่ียวเปน็ เงือ่ นไขและสรา้ งโอกาสใหอ้ งคก์ รชุมชนเขา้ มามีบทบาทสําคัญใน
การวางแผนทิศทางการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในชุมชนท่ีมีแนวโน้มว่า
การท่องเท่ยี วจะรุกคืบเข้าไปถึง หรือต้องการเปิดเผยชุมชนของตนให้เป็นท่ีรู้จักใน

-104-

การพัฒนาชุมชนนา่ เท่ียวและผลติ ภัณฑบ์ นพืน้ ทส่ี งู

วงกว้าง ให้มีการสร้างให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เก่ียวกับการวางแผน การบริหาร
จัดการทรัพยากร และการกระจายอํานาจการตัดสินใจโดยเน้นความสําคัญของการ
จดั การธรรมชาติแวดล้อมและใช้การท่องเท่ียวเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาชุมชนไป
พร้อมกัน โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน ควบคู่ไปกับการ
ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ และ/หรือทรัพยากรทางวัฒนธรรม ในการ
จัดการทรัพยากร ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่า สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อมอย่างย่ังยืนนําไปสู่คุณภาพชีวิต ความสุขของคนใน
ชุมชน นักท่องเท่ียวและผู้มาเยือน เช่น การจัดการด้านโฮมสเตย์ ที่ต้องมี
"ชุมชน" เป็นผ้ทู ่ีมสี ่วนร่วมสาํ คัญ

ดังน้ัน การพัฒนาการท่องเท่ียวชุมชน (Community tourism
development) ชาวบ้านในชุมชนหว้ ยบงจะต้องเรม่ิ ตน้ ขนั้ ตอน ดังนี้

1. การค้นหาความเป็นตนเองที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตน (Identity)
เรียกง่ายๆ ว่า “ของดี” ของชุมชน โดยมีหน่วยงานและภาคีที่เกี่ยวข้องเข้ามามี
ส่วนร่วม ในฐานะหนุนเสริม และพัฒนา เพ่ือให้ชุมชนสามารถดําเนินการจัดการ
ท่องเที่ยวภายในพ้ืนที่ตนเองได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเป็น
กําลังสําคัญในการช่วยพัฒนาชุมชน โดยการทดลองกิจกรรมและเส้นทางการ
ท่องเที่ยว พร้อมให้ข้อเสนอแนะที่เหมาะสมต่อการพัฒนาต่อไปในอนาคต อีกทั้ง
เป็นส่ือกลางระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยวอีกด้วย เช่น การเดินทาง ท่ีพัก การ
ซ้ือของท่ีระลึก ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ ท่ีพักแบบพ้ืนบ้านท่ีเรียกว่า โฮมสเตย์
การเพิ่มขึ้นของร้านอาหาร และแหล่งบริการอื่นๆ เพ่ือดึงดูดความสนใจของ
นักทอ่ งเท่ียวทัง้ ในและตา่ งประเทศ ซึ่งผู้ดูแลหรอื เป็นเสมือนเจา้ ของกค็ ือประชาชน
ท่ีอยู่ในชุมชนนั้นๆ ว่าจะมีการบริหารจัดการการท่องเท่ียวได้อย่างไร เพราะ
ทรัพยากรทุกอย่างต้องมีข้อจํากัดในการใช้ทั้งส้ิน อย่างไรคือการใช้อย่างยั่งยืน
และเป็นไปได้หรือไม่ท่ีจะดําเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และควรทํา
อย่างไร เมื่อ "ชุมชน" กลายเป็น "สินค้า" หรือ "เคร่ืองมือ" ท่ีเป็นท้ังผู้กระทํา
และผู้ถูกกระทํา ในขณะเดียวกันเป็นสิ่งท่ีท้าทายและละเอียดอ่อนอย่างย่ิง เสมือน
กับการท่ีต้องคํานึงถึงความรู้สึก ความยินดีของผู้เก่ียวข้อง ทั้งยังเป็นผู้ที่ถูกกล่าว
อ้างถึงอยู่ตลอดเวลาในการท่ีรัฐบาลจะดําเนินการพัฒนาใดๆจึง "ต้องให้
ความสาํ คญั ต่อชมุ ชนในระดบั ตน้ ๆ และชุมชนต้องไดร้ บั ประโยชน์" อยเู่ สมอ

-105-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทีย่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพนื้ ทสี่ ูง

2. การให้ความสําคัญกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) การ
ท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในแหล่งธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และ
แหล่งวัฒนธรรมที่เก่ียวเนื่องกับระบบนิเวศ ส่ิงแวดล้อม โดยมีกระบวนการเรียนรู้
รว่ มกนั ของผทู้ ่ีเกยี่ วข้อง ภายใต้การจัดการอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่นเพ่ือมุ่งเน้น
ใหเ้ กิดจิตสํานึกต่อการรักษาระบบนิเวศอย่างย่งั ยนื

3. การผสมผสานกับการทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural tourism)
เป็นอีกรูปแบบหน่ึงของการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชน เพราะเป็นการศึกษาหา
ความรู้ในพ้ืนที่หรือบริเวณที่มีคุณลักษณะที่สําคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ของชุมชน โดยมีการบอกเล่าเรื่องราวในการพัฒนาทางสังคมและมนุษย์ผ่านทาง
ประวตั ศิ าสตร์อันเปน็ ผลเก่ยี วเนือ่ งกบั วฒั นธรรม องค์ความรู้ และการให้คุณค่าของ
สังคมที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิต และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคน ใน
พื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี
นับเป็นกระบวนการจัดการการท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่ใช้ในการปูองกันและลด
ผลกระทบส่ิงแวดล้อมจากการท่องเที่ยว โดยให้ความสําคัญต่อการเรียนรู้ร่วมกัน
และการมีสว่ นรว่ มของผู้เกยี่ วข้อง โดยเฉพาะอย่างย่งิ ชุมชนท้องถ่ิน สิ่งสําคัญท่ีทํา
ให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศแตกต่างจากการท่องเที่ยวรูปแบบอ่ืนก็คือ เป็นการ
ท่องเท่ียวและศึกษาเรียนรู้ในแหล่งท่องเท่ียวที่เกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศ ซึ่งส่วน
ใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีความดั้งเดิมของระบบนิเวศ หรือมีระบบ
ชมุ ชน และวฒั นธรรมที่เกย่ี วเน่อื งกบั ระบบนเิ วศเปน็ หลัก

4. การใช้สังคมสารสนเทศ (Social Media) ผ่านช่องทางออนไลน์
(Online) ในยุคปัจจุบันการแข่งขันในตลาดโลกได้ให้ความสําคัญในการนําเอา
วัฒนธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตนจําหน่ายเพ่ือสร้างความ
แตกต่างจากคู่แข่ง ซ่ึงสอดคล้องกับกระแสเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative
Economy) ที่กําลังมาแรง ดังน้ัน การเข้าถึงนักท่องเท่ียวเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้
ส่ือสารสนเทศในการค้นหาและรับข้อมูลข่าวสาร และอื่นๆ ผ่านอุปกรณ์มือถือหรือ
คอมพวิ เตอร์ นักท่องเท่ียวตอ้ งการอะไรจากการท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ ความเป็น
เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และความด้ังเดิม ปราศจากการปรุงแต่ง เสาะแสวงหาวิถี
ชมุ ชน วฒั นธรรมและประเพณี

-106-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลติ ภณั ฑบ์ นพน้ื ทส่ี งู

5. คุณภาพของนกั ทอ่ งเที่ยว (Quality of tourists) โดยนักท่องเท่ียว
เหล่าน้ีล้วนเป็นนักท่องเท่ียวท่ีมีคุณภาพ “เท่ียวเป็น เรียนรู้เป็น” เคารพในความ
เป็นธรรมชาติและของดั้งเดิมในพื้นที่ กลุ่มนักท่องเท่ียวท่ีมีคุณภาพ และมี
พฤติกรรมการท่องเท่ียวที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ มีทัศนคติท่ีดี
ต่อการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อพื้นท่ีน้ันๆ รวมทั้งมีความเข้าใจแก่นแท้
ของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมที่ตนเองนั้นต้องการคือ “ไม่ปรุงแต่ง สด ดิบ สัมผัสได้
ถึงแก่นแท้ของชุมชน” สินค้าทางการท่องเท่ียวก็มีลักษณะเดียวกัน คือ สามารถ
สร้างจุดขายและเป็นเครื่องการันตีได้ว่า การไม่เปล่ียนแปลงอะไรเลย คงไว้ซึ่ง
ความเปน็ ตวั ตนของพน้ื ที่ จะนาํ พามาซง่ึ “ความยงั่ ยืน”

อย่างไรก็ตาม การท่องเท่ียวเช่นน้ี ควรเป็นการท่องเที่ยวอย่างมีความ
รับผิดชอบในแหล่งธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และแหล่งวัฒนธรรมท่ี
เกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศในพ้ืนที่ โดยมีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ที่เก่ียวข้อง
ภายใต้การจัดการส่ิงแวดล้อม เป็นการท่องเท่ียวอย่างมีส่วนร่วมของท้องถ่ิน เพ่ือ
มงุ่ เนน้ ให้เกิดจิตสํานึกต่อการรักษาระบบนิเวศอย่างย่ังยืน ซ่ึงมองว่าคนและชุมชน
เข้าไปมีบทบาทในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใน
ลักษณะของการเข้าไปมีส่วนร่วมกับส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีแหล่งธรรมชาติ
เป็นฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ การท่องเที่ยวท่ีคํานึงถึงความย่ังยืนของ
ส่ิงแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม กําหนดทิศทางโดยชุมชน จัดการโดยชุมชน
เพ่ือชุมชนและชมุ ชนมบี ทบาทเป็นเจา้ ของมีสทิ ธใิ นการจัดการดูแล เพื่อให้เกิดการ
เรียนรู้แก่ผู้มาเยือน เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชนท้องถ่ินและผู้มาเยือน
ในการที่จะดูแลรักษาทรพั ยากรด้านต่างๆ ของชมุ ชนทม่ี อี ยูแ่ ล้ว

6. คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา (People-centered development)
เพื่อให้กิจกรรมการท่องเท่ียว เป็นกิจกรรมที่เช่ือมโยงกับกิจกรรมการพัฒนาชุมชน
ในรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องเอื้ออํานวยการเรียนรู้ต่อการกันและกันได้ เช่น การ
ทอ่ งเท่ยี วโดยชุมชนที่ไปเยอื นชมุ ชนชาตพิ ันธุ์บนพื้นที่สงู นกั ท่องเที่ยวควรเกิดการ
เรยี นรู้บทบาทของชาตพิ นั ธุบ์ นพ้ืนทสี่ ูงทที่ าํ หนา้ ทอี่ นรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติดว้ ย

7. การเรียนรู้วัฒนธรรม (Cultural learning) เพื่อให้กิจกรรมการ
ท่องเท่ียวเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริมให้ชุมชนโดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นหนุ่มสาวได้

-107-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลิตภัณฑบ์ นพ้นื ทส่ี ูง

เข้าใจ ให้คุณค่า ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีของชุมชนให้กลับฟ้ืนคืน
สภาพไดใ้ นระยะต่อไป

8. ผลกระทบการท่องเท่ียว (Tourism impact) เพ่ือก่อให้เกิดการ
รวมตัวกนั ของคนในชมุ ชน ท่เี ผชิญตอ่ ผลกระทบทางการท่องเทย่ี วแบบเดิม ให้เข้า
มีส่วนร่วมจัดการลดผลกระทบดังกล่าว และจัดระเบียบชุมชนให้เป็นระบบท่ีทําให้
ชมุ ชนอยรู่ ่วมกันอยา่ งสนั ตสิ ุข

9. การประชาสัมพันธ์การท่องเท่ียว (Tourism public relations)
เพ่ือเป็นเคร่ืองมือการเผยแพร่ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องของวัฒนธรรม ประเพณี
วถิ ีชีวติ กับสาธารณชนภายนอก

จะเห็นได้ว่า ในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยมิติของชุมชนไม่ได้มอง
เร่ืองรายได้เป็นเร่ืองหลัก หากเอาคุณค่า วิธีคิดท่ีเป็นพื้นฐานท่ีสําคัญในสังคมไทย
อันได้แก่ การมีน้ําใจ ความเอ้ืออารี ประกอบกับการมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับ
ธรรมชาติ ความรักในศิลปวัฒนธรรม อันเป็นทุนทางสังคม จะทําให้การริเร่ิมและ
มองการทอ่ งเทย่ี วชุมชนได้ถูกทศิ ทางยงิ่ ข้ึน ดงั แผนภมู ิ

-108-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เท่ียวและผลิตภณั ฑบ์ นพืน้ ทส่ี ูง

-109-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลติ ภณั ฑบ์ นพ้ืนทสี่ งู

แผนภมู ิท่ี 2 ข้ันตอนการพัฒนาการท่องเท่ียวโดยชุมชน
อย่างไรก็ตาม ชุมชนห้วยบงมีข้อคํานึงถึงวิสัยทัศน์ในการจัดการ
ท่องเท่ยี วโดยชมุ ชนท่มี ี 3 ประการสําคญั ด้วยกัน คอื

-110-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทยี่ วและผลิตภัณฑบ์ นพืน้ ทสี่ ูง

1. การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ส่ิงท่ีดีในชุมชนสู่สังคม
ภายนอก คือ การมองกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือหน่ึงในการเผยแพร่
ข้อมูลข่าวสารกับคนภายนอก ให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อสภาพปัญหาชุมชนท่ี
ประสบอยู่ และหวังว่าจะได้เพ่ือนท่ีเข้าใจร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน อันเป็น
การเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างวัฒนธรรม เพ่ือประสานการมีส่วนร่วม
แกไ้ ขปัญหาของชุมชนน้นั

2. การท่องเท่ียวทําให้เกิดผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม และ
สิง่ แวดลอ้ ม ดงั นั้น จาํ เป็นท่ีชุมชนต้องรวมตัวกันเข้ามาจัดการให้นักท่องเที่ยวและ
ผู้ท่ีเก่ียวข้องให้ปฏิบัติอยู่ในกฎ กติกาของชุมชน การจัดระเบียบการแบ่งปัน
ผลประโยชน์แก่ผู้คนท่ีเกี่ยวข้องและผลประโยชน์ในชุมชน การสร้างมาตรฐาน
ต่างๆ ของการท่องเท่ียวโดยชุมชนเอง ทั้งเพ่ือไม่ให้เกิดผลกระทบมากเกินขีด
ความสามารถทช่ี ุมชนจะจัดการได้

3. การท่องเท่ียวเป็นกระบวนการเรียนรู้ระหว่างคน วัฒนธรรม กับ
ธรรมชาติ เป็นการสร้างโอกาสในการฟื้นฟูวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และส่ิงแวดล้อม
โดยมองที่รายได้เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้จากกระบวนการเรียนรู้ท่า มกลางการ
ทอ่ งเทีย่ ว

วิสัยทัศน์ทั้ง 3 ข้อน้ี มีพ้ืนฐานการคิดมาจากความคิดของชาวบ้าน
ชุมชนห้วยบง ที่มคี วามภมู ใิ จในวฒั นธรรมปกาเกอะญอ และภูมิปัญญาของตนเอง
ที่พร้อมจะสื่อต่อคนภายนอก โดยใช้การท่องเท่ียวเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอด
นอกจากน้ันแล้ว ชุมชนเองยังยอบรับถึงผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม และ
สิ่งแวดล้อมที่ตามมาจากการท่องเที่ยว ดังนั้น ต้องมีการสื่อสารทําความเข้าใจเพื่อ
ขอความร่วมมือจากนักท่องเท่ียวในเคารพต่อกฎกติกาหรือจารีตที่ชุมชนร่วมกัน
สร้างไว้เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของคนต่างวัฒนธรรม โดยมีหลักการทํางานที่
เน้นการมองชุมชนเป็นศูนย์กลางหรือฐานเพื่อกําหนดทิศทาง แผนงาน
แผนปฏิบัติการของตนเอง จึงจะทําให้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นส่วนหน่ึงของ
กระบวนการพัฒนาแบบองค์รวมท่ีเก่ียวข้องกับกลุ่มคนต่างๆ จํานวนมาก เม่ือมอง
ในบริบทของการพัฒนาการท่องเท่ียวท่ีต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วมและได้
ประโยชน์จากการท่องเทย่ี ว ตอ้ งมหี ลกั การร่วมกัน 10 หลกั การ ดังนี้

-111-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลติ ภัณฑบ์ นพ้นื ทสี่ งู

1. ความต้องการที่แท้จริงของชุมชน การท่องเท่ียวโดยชุมชนต้องมา
จากความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ชุมชนได้มีการพินิจพิเคราะห์สภาพ
ปัญหา ผลกระทบการท่องเท่ียวอย่างรอบด้านแล้ว ชุมชนร่วมตัดสินใจลงมติที่จะ
ดาํ เนินการตามแนวทางท่ีชมุ ชนเห็นสมควร

2. การมสี ่วนรว่ มของสมาชิกในชมุ ชน ทง้ั การคดิ ร่วม วางแผนร่วม ทํา
กจิ กรรมร่วม ตดิ ตามประเมนิ ผลรว่ มกัน เรียนรรู้ ว่ มกันและรบั ประโยชนร์ ว่ มกัน

3. ชุมชนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ชมรม สมาคม หรือองค์กร หรือจะเป็น
องค์กรชุมชนเดิมท่ีมีอยู่แล้ว เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน
เพื่อใช้กลไกการบริหารที่ทําหน้าที่แทนสมาชิกทั้งหมดในระดับหน่ึง และ
ดําเนินการด้านการกําหนดทิศทาง นโยบายการบริหาร การจัดการ การ
ประสานงาน เพ่ือใหก้ ารท่องเท่ียวโดยชุมชนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาชิกใน
ชุมชนทเี่ ห็นร่วมกัน

4. รูปแบบ เน้ือหา กิจกรรมของการท่องเที่ยวมีความเท่าเทียม การอยู่
ร่วมกันอยา่ งมศี กั ดศ์ิ รี มคี วามเป็นธรรม และสง่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ
การเมอื ง สังคม และวฒั นธรรมในเชิงสร้างสรรคแ์ ละลดผลกระทบในเชงิ ลบ

5. กฎกติกาของชุมชน ท่ีมาจากความเห็นร่วมกันของชุมชน สําหรับ
การจดั การท่องเท่ียวทช่ี ดั เจน และสามารถกํากับดูแลให้เปน็ ไปตามกตกิ าท่วี างไว้

6. มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน จะต้องมีมาตรฐานที่มาจาก
ข้อตกลงร่วมภายในชุมชนด้วย เช่น ความสะอาด ความปลอดภัย การกระจาย
รายไดท้ ่เี ปน็ ธรรมของผูท้ เ่ี กยี่ วขอ้ ง และพิจารณาร่วมกันถึงขีดความสามารถในการ
รองรบั

7. กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว ชุมชนท่ี
จัดการท่องเท่ียว สมาชิกในชุมชน ชาวบ้านทั่วไปและนักท่องเท่ียว ควรมี
กระบวนการเรียนรู้ระหว่างกันและกันอย่างต่อเน่ือง เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนา
กระบวนการทาํ งานการทอ่ งเทยี่ วโดยชุมชนใหถ้ ูกต้องเหมาะสม และมคี วามชัดเจน

8. การจัดสรรรายได้ที่เป็นธรรม รายได้ที่ได้รับจากการท่องเที่ยว มี
สว่ นไปสนับสนนุ การพฒั นาชมุ ชนและรักษาส่งิ แวดล้อม

9. การท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพรอง การท่องเท่ียวชุมชน
จะตอ้ งไม่ใช่อาชีพหลักของชมุ ชน และชุมชนต้องดํารงอาชีพหลักของตนเองไว้ได้

-112-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทีย่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพื้นทส่ี ูง

ทั้งน้ีหากอาชีพของชุมชนเปล่ียนเป็นการจัดการท่องเท่ียว จะเป็นการทําลายชีวิต
และจติ วญิ ญาณดง้ั เดมิ ของชมุ ชนอย่างชัดเจน

10. องค์กรชุมชนมีความเข้มแข็ง ความเข้มแข็งภายในชุมชนมีมาก
พอท่ีจะจัดการกับผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนได้ และพร้อมจะหยุดเม่ือเกิน
ความสามารถในการจดั การ ซ่งึ ส่ิงเหล่าน้หี ากมองในแง่ความพร้อมของชุมชนและ
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทอ่ งเท่ยี วในมิตขิ องชมุ ชนแล้ว การท่องเท่ียวโดย
ชุมชนจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้นยังต้องพิจารณาจากมิตินอกชุมชนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยได้แก่ การตลาด นโยบายรัฐที่เข้ามาสนับสนุน และพฤติกรรมของ
นกั ท่องเที่ยว เป็นต้น

กระบวนการทํางานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการ
จัดการท่องเท่ียว ชุมชนห้วยบงมีการเตรียมความพร้อมและปัจจัยที่เอ้ืออํานวยต่อ
การเข้ามีบทบาทจัดการการท่องเที่ยว หลายด้าน ประกอบด้วย ผู้นําชุมชนและ
แกนนําชุมชนของกลุ่มต่างๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลุ่มออม
ทรัพย์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ฯลฯ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เช่น องค์การบริการส่วนตําบล เจ้าหน้าท่ีปุาไม้ ครูอาจารย์ในโรงเรียน เป็นต้น มี
การประชุมสัมมนาร่วมกันเพื่อสร้างวิสัยทัศน์การท่องเท่ียวโดยชุมชน ซ่ึงเป็นการ
ผนึกกําลังความคิดสร้างสรรค์ ประสานแนวคิดของทุกคนให้เห็นเป็นภาพเดียวกัน
ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และนําวิสัยทัศน์ที่ได้มากําหนดเป็นเปูาหมาย
เป็นทิศทางของการดําเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในระยะต่อไป โดย
สามารถสรุปวิสัยทัศน์ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนและหลักการทํางาน ดัง
แผนภูมิ

-113-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลิตภณั ฑบ์ นพื้นทส่ี งู

แผนภมู ทิ ่ี 3 หลกั การ 10 ประการในการจดั การท่องเท่ยี วโดยชมุ ชน
การประเมินความเป็นไปได้ของการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชน

เนื่องจากการจัดการท่องเท่ียวของชุมชนห้วยบงเป็นสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคล
และส่วนงานภายนอก ดังนั้น ทักษะความสามารถ ความรู้ในการบริหารจัดการที่
เหมาะสม จึงเป็นเร่ืองท่ีชาวบ้านชุมชนห้วยบงเองยังมีความกังวลอยู่พอสมควร
แม้ว่าจะมีปัจจัยท่ีเอื้อ และการสนับสนุนจากภายนอกพอสมควร แต่ชาวบ้านใน
ชุมชนต้องสามารถคาดการณ์ และประเมินว่า วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ ของการ
จัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนน้ัน มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร โดยการร่วมกัน
อภิปราย ระดมความคิดเห็น จากชุมชนให้กว้างขวางจนสามารถสรุปด้วยมติของ
ชุมชน มอี งค์ประกอบการประเมนิ อยู่ 7 ประการด้วยกนั คือ

1. ผู้นาํ ชมุ ชนและแกนนําชมุ ชน สามารถวิเคราะหส์ ถานการณ์ภายนอก
และสภาพปญั หาชุมชนตลอดจนมองแนวทางแกไ้ ขปญั หาได้แบบชัดเจน และมอง
กจิ กรรมการท่องเท่ยี วเป็นกิจกรรมหนึ่ง หรือกิจกรรมร่วมเชื่อมต่อทิศทางการแก้ไข

-114-

การพฒั นาชุมชนนา่ เท่ยี วและผลิตภัณฑบ์ นพ้ืนทส่ี ูง

ปัญหาโดยภาพรวมของชุมชนได้ แล้วจึงได้กําหนดเป็นวัตถุประสงค์เปูาหมายการ
ทํากจิ กรรมการท่องเท่ยี ว

2. การมีส่วนร่วมของประชาคมในชุมชน เนื่องจากเป็นเรื่องท่ีต้อง
เก่ียวข้องกับสิทธิของชุมชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมชุมชนที่ชุมชนต้องมีการคิดไตร่ตรองวินิจฉัย
และร่วมตัดสินใจจะเปิดหมู่บ้านรองรับอย่างไร ควรเป็นรูปแบบใด ใครบ้างที่
เก่ยี วขอ้ ง ใครมีบทบาทจัดการอยา่ งไร และภายหลังนักท่องเที่ยวกลับแล้วมีการลด
ผลกระทบอย่างไร ด้วยวธิ กี ารใด ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ภายในชมุ ชน

3. การจัดตั้งองค์กรภายในชุมชน เพื่อรับผิดชอบภารกิจสําคัญน้ี หรือ
ผลักดนั ให้องคก์ รชุมชนอื่นทพ่ี ิจารณาแลว้ ว่า มคี วามพร้อมทําหน้าที่รับผิดชอบเป็น
หน่วยงานหน่ึงขององค์กรน้ันๆ แต่ท้ังนี้การดําเนินการขององค์กรต้องเป็นไปด้วย
ความโปรง่ ใส เพราะมีผลประโยชน์ท่เี ข้ามาเก่ยี วขอ้ ง

4. การพจิ ารณาอัตลักษณ์เฉพาะถิน่ หรือของดีในชุมชน เพ่ือจัดปรับเป็น
กิจกรรมท่องเที่ยวให้สอดคล้องต่อชุมชน ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและ
วฒั นธรรมให้น้อยท่สี ุดเท่าท่ีสามารถจะทําได้

5. ความพร้อมของผู้ที่สนใจจะเก่ียวข้องกับกิจกรรมท่องเท่ียว จะมี
บทบาทหลากหลายมากข้ึน คือจะมีผู้ที่เก่ียวข้องกับที่พัก อาหาร การดูแลความ
ปลอดภัย การนําพานักท่องเท่ียว การส่ือความหมาย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ตอ้ งไมใ่ ช่กระจกุ ตวั อย่เู ฉพาะกลมุ่ แกนนําภายในชุมชนเท่าน้ัน ควรมีระบบกระจาย
ทีท่ ่ัวถงึ และเป็นธรรม

6. การเสริมสรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ที่จะรองรับ
นักท่องเที่ยวเพ่ือสามารถจัดปรับกระบวนการให้เหมาะสม สอดคล้องยิ่งข้ึน และ
ร่วมแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการลดผลกระทบของการท่องเท่ียวในครั้ง
ตอ่ ไป

7. ประสบการณ์ทักษะในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ท่ีต้องบูรณา
การความต้องการความเพลิดเพลิน ความต่ืนตัวและการเรียนรู้ ให้เป็นโปรแกรม
และกจิ กรรมการท่องเทยี่ วทีเ่ หมาะสมของแตล่ ะพ้ืนท่ี

ดังน้ัน ชุมชนห้วยบงจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมของการจัดการการ
ทอ่ งเทีย่ วโดยชุมชน และให้ถือวา่ การท่องเท่ียวเป็นเสมือนงานพัฒนาชุมชนอย่าง

-115-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลิตภณั ฑบ์ นพืน้ ทสี่ ูง

หนึ่ง เป็นสิ่งท่ีดูเหมือนง่ายแต่ทํายาก ท่ีว่ายากน้ันก็เพราะการท่องเที่ยวเป็นการ
พฒั นาทตี่ อบสนองกระแสบริโภคนิยม การท่องเที่ยวทําให้ชุมชนหลุดออกจากฐาน
การผลิตเดิมในภาคการเกษตร สู่ธุรกิจด้านบริการ กําลังซื้อท่ีสูงกว่าของ
นักท่องเที่ยวจึงสามารถกําหนด “สินค้า” และ “บริการ” ได้ตามความต้องการ
ทําให้สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมในแหล่งท่องเท่ียวมักถูกครอบงํา จาก
วฒั นธรรมภายนอกท่ีเข้ามาพร้อมกับนักท่องเท่ยี ว เปน็ ดาบสองคมและมีความเสี่ยง
อย่างย่ิงในการนําไปใช้ในการพัฒนา อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเปิดหมู่บ้านต้อนรับ
นักท่องเท่ียว ชุมชนควรจะต้อง “รู้ตัว” เข้าใจและตระหนักต่อการท่องเท่ียวนี้
ตลอดจนการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยการเตรียมความพร้อมชุมชน ซ่ึงผู้ดําเนินการ
พฒั นาการทอ่ งเที่ยวโดยชุมชนควรมกี ระบวนการทาํ งาน ดงั นี้

ขั้นท่ี 1 การให้ข้อมูลด้านการท่องเท่ียวให้ชุมชนพิจารณาทั้งด้านบวก
และลบของการท่องเทยี่ ว ซึ่งในข้นั ตอนนอ้ี าจจะมเี ฉพาะผู้นําหรือกลมุ่ สนใจ

ขั้นท่ี 2 การสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มองค์กรในชุมชน เป็นการดึง
เอากลุ่มท่ีสนใจการท่องเที่ยวโดยชุมชน และกลุ่มองค์กรต่างๆ ในชุมชน เช่น
กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลุ่มออมทรัพย์ และผู้นําที่เป็นทางการและผู้นําทาง
ธรรมชาติมาพดู คยุ เรอ่ื งผลดี-ผลเสยี อีกครงั้ เพ่อื ให้เขาเหล่าน้ันได้ร่วมกันตัดสินใจ
เรอ่ื งน้รี ่วมกนั

ขั้นท่ี 3 การศึกษาชุมชนร่วมกับชาวบ้าน โดยการทํางานร่วมกับ
ชาวบ้านเพื่อศึกษาในหัวข้อดังน้ี การสํารวจทางกายภาพ ทําแผนที่รอบนอก
(แสดงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินทํากิน) แผนที่รอบในหมู่บ้าน (แสดง
ที่ต้ังของบ้านเรือน ทรัพยากรคนสร้างและทรัพยากรธรรมชาติ) การศึกษา
ประวัติศาสตร์ชุมชน ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณีของชุมชน การศึกษา
ความสัมพันธ์ของชุมชนกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรเพื่อการ
ท่องเท่ยี ว การศึกษากลุ่มต่างๆ ในชุมชน ซ่ึงผลการศึกษาน้ีจะทําให้เห็นศักยภาพ-
ขอ้ จาํ กัดของชมุ ชน และปัญหาของชมุ ชนรว่ มกนั

ข้ันที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล SWOT Analyze ร่วมกันทั้งในด้าน
ศักยภาพ-ข้อจํากัด โอกาสและความเส่ียง ในข้ันตอนนี้จะทําให้ชุมชนได้มองเห็น
ได้ด้วยตนเอง และสามารถเชื่อมโยงเร่ืองท่องเท่ียวกับการพัฒนาชุมชนได้ การ
วิเคราะห์ข้อมูลในครั้งน้ีจะทําให้เกิดการจัดลําดับความสําคัญของปัญหา และอาจ

-116-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทีย่ วและผลิตภัณฑบ์ นพื้นทส่ี งู

พบว่าเพ่ือแก้ปัญหาให้ตรงจุด อาจจะไม่จําเป็นต้องใช้เรื่องการท่องเท่ียวเลยก็
เป็นได้

ข้ันที่ 5 การพัฒนาศักยภาพและแก้ไขจุดอ่อน อาทิ รวบรวมองค์
ความรู้ ซ่ึงแต่ละชุมชนจะแตกต่างกันออกไปมีเอกลักษณ์เฉพาะ ชุมชน เช่น บาง
ชุมชนเด่นด้านการพัฒนาชุมชน บางชุมชนเด่นระบบการจัดการนิเวศท่ีใช้ภูมิ
ปัญญาท้องถ่ินได้เหมาะสม เป็นต้น ซ่ึงชุมชนต้องร่วมกันดึงเอกลักษณ์ ให้เห็น
ร่วมกันก่อนนําสู่การเผยแพร่ออกไป ปรับปรุงแหล่งท่องเท่ียวให้เหมาะสม
สอดคลอ้ ง ปลอดภยั ไม่ทําลายระบบนิเวศเดิมมากนัก เช่น การปรับทางเดินในปุา
เขา เป็นต้น ปรับปรุงบ้านพักและความสะอาดภายในชุมชนให้เป็นมาตรฐานของ
ชุมชนแต่ละแห่งท่ีตกลงร่วมกัน โดยมีคณะกรรมการของชุมชน ตรวจสอบอย่าง
สมํ่าเสมอ การฝึกอบรมบุคลากรด้านการท่องเท่ียวในชุมชน เช่น นักส่ือ
ความหมาย การสร้างเวทีเรียนรู้กับนักท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเห็น
ความสามารถของชุมชน ในการรองรบั การทอ่ งเท่ียวท้ังความพร้อมจํานวนบุคลากร
และขีดความสามารถในการรองรับทั้งพ้ืนท่ีทางธรรมชาติ และรูปแบบกิจกรรมที่
สอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวิตของชมุ ชน

ขน้ั ที่ 6 การวางรปู แบบการบรหิ ารจัดการท่องเที่ยว ในข้ันตอนนี้จะเป็น
การจัดต้ังองค์กรข้ึนมาทํางาน หรืออาจใช้องค์การท่ีชุมชนมีอยู่เดิมแต่เพ่ิมเติม
บทบาทหน้าท่ี มีการกําหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน กําหนดรูปแบบของการ
ท่องเท่ียว โปรแกรมและราคาการจัดสรรผลประโยชน์ สู่ชาวบ้านและชุมชน และ
มาตรการในการปูองกันผลกระทบ โดยอาจจะเป็นการสร้างกฎกติกา เพื่อเป็น
แนวทางปฏิบตั ิท้ังชาวบา้ นและนักทอ่ งเท่ยี ว

ข้ันท่ี 7 การประสานงานกับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือให้รับรู้และช่วย
ใหข้ อ้ มูลแก่ผทู้ ่ีสนใจ

ขั้นท่ี 8 การทดลองดาํ เนนิ กจิ กรรมการท่องเท่ียว ในข้ันตอนน้ีอาจมีการ
จัดท่องเท่ียวนําร่อง เพื่อทดสอบความพร้อมของชุมชน โดยการเชิญบุคคลหรือ
หน่วยงานภายนอกที่มีประสบการณ์หรือเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยชุมชนเข้า
ร่วมกิจกรรม ให้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นทิศทางต่อไปใน
อนาคต

-117-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภณั ฑบ์ นพืน้ ทสี่ งู

ข้ันที่ 9 การประเมินผลการท่องเที่ยว ในขั้นตอนประเมินผล อาจแยก
ออกมาเป็น 2 ส่วน คือ การประเมินผลและสรุปบทเรียนหลังเสร็จกิจกรรมทุกครั้ง
และการประเมนิ ผลเปน็ ชว่ งๆ ทกุ ๆ 3-6 เดือน เป็นต้น ซ่ึงการประเมินผลจะช่วย
ให้เกดิ การทบทวนตนเอง และแก้ไขข้อบกพรอ่ ง

ข้ันท่ี 10 การปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องและการพัฒนาองค์กรและ
บุคลากร เช่น การฝึกอบรม เช่น การบริหารจัดการ การสร้างการมีส่วนร่วม การ
ส่ือความหมาย เป็นต้น การศึกษาดูงาน สําหรับแกนนําองค์กรชุมชนเพ่ือจัดการ
ท่องเท่ียว เพ่ือเสริมโลกทัศน์ การพัฒนาทักษะการบริหาร การจัดการในชุมชน
อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน เพื่อเป็นตัวอย่างนําไปประยุกต์ หรือเป็นบทเรียนที่
ชุมชนต้องพึงระวังผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นได้ และวางมาตรการปูองกันไว้แต่
เร่มิ แรก

กระบวนการท้ัง 10 ข้นั ตอน ดเู หมือนการทํางานพัฒนาปกตินั่นเอง แต่
ส่ิงท่ียากก็คือเร่ืองท่องเท่ียวเป็นเรื่องที่ชาวบ้านไม่คุ้นเคยมาก่อน และไม่ม่ันใจว่า
ตนเองจะทําได้ แต่ละคําถามในแต่ละขั้นตอนในกระบวนการเตรียมชุมชน จะต้อง
เป็นการปลุกระดมสํานึกของท้องถ่ิน ให้คนท้องถ่ินอยากรู้จักตนเอง และเกิดความ
ภาคภูมิใจในตนเอง การท่องเท่ียวก็จะเกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า เป็นการเข้ามา
เพื่อให้ชุมชนได้นําเสนอตัวอย่างต่อสาธารณะ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นหัวใจ
สําคัญของการท่องเที่ยว นอกจากปลุกสํานึกของชุมชนแล้วยังเป็นการสร้าง
จิตสํานึกของนักท่องเท่ียวต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม และการเห็นคุณค่าทาง
วฒั นธรรมของชมุ ชนทไ่ี ด้เขา้ มาเยีย่ มเยือน โดยสรุป มีองค์ประกอบการประเมิน 7
ประการ และการเตรียมความพร้อมของการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน 10
ข้ันตอน ดงั นี้

-118-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลิตภัณฑบ์ นพน้ื ทสี่ งู

แผนภูมทิ ่ี 4 การเตรียมความพรอ้ ม 10 ขน้ั ตอนของการจดั การท่องเท่ียวโดย
ชุมชน

องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ของการท่องเที่ยวโดยชุมชน
(Community-based Tourism : CBT) มีองคป์ ระกอบท่ีสําคัญคอื

1. ศักยภาพของพ้ืนที่และทรัพยากร หมายรวมถึง ทรัพยากรธรรมชาติ
และวัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีสืบสานต่อกันมา คนในชุมชนต้องรู้จัก
ต้องรักและหวงแหนเห็นคุณค่าของทรัพยากรในชุมชนของตน สามารถที่จะนํามา
จัดการได้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ทั้งนี้แล้วชุมชนต้องมีความพร้อมในการเรียนรู้
ตลอดจนมคี วามรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องแนวคิด พื้นฐานทางด้านการท่องเท่ียวโดย
ชมุ ชน และการจดั การในพน้ื ท่ไี ด้ด้วย

2. ศักยภาพของคนและองค์กร ต้องเริ่มที่คนในชุมชนหรือองค์กรใน
ชุมชนที่จะต้องรู้จักรากเหง้าของตนเองให้ดีเสียก่อน เพ่ือความพร้อมในการบอก

-119-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทีย่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพน้ื ทสี่ ูง

เล่าข้อมูลและคนในชุมชนต้องมีความพร้อมท่ีจะเรียนรู้ มีความสามัคคี ทํางาน
ร่วมกันได้

3. การบริหารจัดการ เป็นเร่ืองที่ไม่ง่ายนักท่ีจะทําอะไร เพื่อให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด เกิดความย่ังยืน สมดุลในกลุ่มคนหมู่มาก ดังน้ันชุมชนท่ีจะ
สามารถบริหารจัดการการท่องเท่ียวโดยชุมชน (Community-based Tourism :
CBT) ได้ต้องเป็นชุมชนท่ีมีผู้นําที่เป็นที่ยอมรับ มีความคิด มีวิสัยทัศน์ ความ
เข้าใจเรื่องการท่องเท่ียวโดยชุมชน ทั้งยังต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานท้ัง
ภาครัฐที่เกีย่ วขอ้ ง ต้องมกี ารพดู คุยกาํ หนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมชุมชน
รู้ว่าพื้นท่ีของตนจะมีรูปแบบการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืนได้อย่างไร ควรมีกิจกรรม
อะไรบา้ ง และจะมีการกระจาย จัดสรรรายไดอ้ ยา่ งไร ท้ังหลายทง้ั ปวงทกี่ ล่าวมานั้น
ส่ิงสําคัญท่ีสุดของชุมชนก็คือการมีส่วนร่วม อันหมายรวมถึง ร่วมในทุกๆสิ่ง ทุก
อยา่ งเพื่อส่วนรวม

4. การเรียนรูแ้ บบมสี ่วนร่วม มไี ด้อยา่ งไร การสื่อสารพูดคุย เป็นการสื่อ
ความคิดเห็น การถกปัญหา รวมถึงการหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆจากการระดม
ความคิดจากประสบการณ์ของนักวิจัยท้องถ่ินพบว่าชุมชนจัดให้มีเวทีพูดคุย
ร่วมกันคิดวางแผนดําเนินการ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในการ
ทาํ งานร่วมกัน สรา้ งกฎระเบยี บของชุมชนทางด้านตา่ งๆเพือ่ ให้คนในชุมชนรวมถึง
ผู้มาเยอื นปฏิบัตติ าม

5. ผลกระทบการท่องเท่ยี ว กิจกรรมท่ีเกิดข้ึนจากการท่องเที่ยวทุกอย่าง
ที่ดําเนินการย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งที่ตั้งอยู่ โดยเฉพาะส่ิงแวดล้อมโดยรอบทั้งสิ้น
ซงึ่ มีผลกระทบด้านบวกและดา้ นลบ

จากผลการจัดเวทีสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการสัมภาษณ์เชิง
ลึก (In-depth interview) ณ วัดห้วยบง ต.บ้านจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.
เชยี งใหม่ สามารถสรุปองค์ประกอบหลักของกระบวนการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็น
ฐานของหมู่บ้านห้วยบง 4 ดา้ นกลา่ วคือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม 2.
องค์กรชุมชน 3. การจัดการ 4. การเรียนรู้ 5. ผลกระทบ ซ่ึงประเด็นสําคัญของ
แต่ละองค์ประกอบของการท่องเท่ยี ว ประกอบดว้ ย

1. ศกั ยภาพของพ้นื ท่แี ละทรพั ยากร

-120-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทีย่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพืน้ ทสี่ งู

1.1) ชุมชนห้วยบงมีฐานทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์ มี
แหล่งเรียนรู้เส้นทางธรรมชาติ และมีวิถีการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง และการ
ใชท้ รพั ยากรธรรมชาติอย่างย่ังยืน

1.2) ชุมชนปกาเกอะญอบ้านห้วยบงมีวัฒนธรรมประเพณีท่ี
เป็นอัตลกั ษณ์เฉพาะถิ่นชัดเจน

2. ศักยภาพของคนและองค์กร
2.1) ชุมชนมีองค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการสนับสนุน

ผลติ ภณั ฑ์และผลผลติ ในชุมชน เชน่ ศูนย์พฒั นาโครงการหลวงวดั จนั ทร์ วิสาหกิจ
ชุมชน สถาบนั การศกึ ษาทงั้ ในระดับ สพฐ.,สพม. และอุดมศึกษาในการสนับสนุน
ดา้ นความรแู้ ละวิชาการ

2.2) มีปราชญ์ท้องถ่ินหรือผู้มีความรู้และทักษะในเรื่องต่าง ๆ
หลากหลายทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม อาชีพท่ีเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ิน เช่น ทอผ้า
เคร่อื งจกั สาน ภูมปิ ญั ญาด้านการเกษตร

2.3) ชุมชนมีความรักในวัฒนธรรมท้องถิ่น มีความรู้สึกเป็น
เจ้าของและมีจติ อาสาเขา้ มามีสว่ นร่วมในกระบวนการพฒั นาในชมุ ชน

3. ดา้ นการจดั การ
3.1) มกี ฎกติกาในการจัดการสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และการ

ทอ่ งเที่ยว
3.2) มีองค์กรหรือกลไกในการทํางานเพ่ือจัดการการท่องเที่ยว

และสามารถเชอ่ื มโยงการท่องเท่ยี วกบั การพฒั นาชมุ ชนโดยรวมได้
3.3) มีการกระจายผลประโยชน์ทีเ่ ป็นธรรม
3.4) มีกองทุนท่ีเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

ของชุมชน
4. ดา้ นการเรยี นรู้
4.1) ลักษณะของกิจกรรมการท่องเท่ียวสามารถสร้างการรับรู้ และ

ความเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่าง โดยมีอาศรมของวัดบ้านห้วยบง
เป็นศูนย์กลางชุมชน

4.2) มีระบบจัดการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างชาวบ้านกับ
นักท่องเท่ียวและผู้มาเยือน

-121-

การพัฒนาชุมชนนา่ เที่ยวและผลติ ภัณฑบ์ นพื้นทสี่ งู

4.3) มีการสร้างจิตสํานึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
วฒั นธรรม ทงั้ ในส่วนของชาวบา้ น นกั ท่องเทีย่ วและผู้มาเยอื น

5. ดา้ นผลกระทบ
5.1) ผลกระทบด้านบวก ส่งผลให้ชุมชนมีจิตสํานึกเกิดการพัฒนา

ตนเอง พ่ึงพาตนเอง คิดเป็นทําเป็น มีความพยายามในการเรียนรู้พัฒนา เกิด
รายได้เพ่ิมข้ึนมีการรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งในชุมชน นําไปสู่การพัฒนาที่
ย่งั ยนื ตามความคาดหวังและความพยายามทจ่ี ะดาํ เนนิ การเพอ่ื ให้เป็นตามหลักการ
พัฒนาอย่างย่ังยืน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคมวัฒนธรรม 3)
สิ่งแวดล้อม และส่ิงสําคัญประการหนึ่งที่จะนําไปสู่ความยั่งยืนคือการรวบรวมองค์
ความรู้ ภมู ิปญั ญา สืบสานสืบทอด ตลอดจนการนําไปใช้ประโยชน์ได้ เกิดความรัก
ความภาคภูมิในความรู้สึกเป็นเจ้าของ มีส่วนร่วมในทรัพยากรของชุมชน และเกิด
กระบวนการเรยี นรู้การทาํ งานร่วมกันในท่สี ุด

5.2) ผลกระทบด้านลบ เกิดปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม อาทิ จํานวน
ขยะท่ีเพ่ิมมากข้ึนจากนักท่องเที่ยว การใช้น้ํา ระบบนิเวศธรรมชาติ การรั บ
วัฒนธรรมท่ีเข้ามาอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสการเลียนแบบ มีความขัดแย้งทาง
ความคิด เสียความเป็นส่วนตัวในการที่จะต้องรองรับนักท่องเท่ียว และท่ีสําคัญคือ
อาจถึงกับสูญเสียเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หากมีการตอบสนองความต้องการของ
นกั ทอ่ งเท่ยี วมากเกนิ ไป

สรุปเป็นแผนภูมิ องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ของการท่องเท่ียว
โดยชุมชน (Community-based Tourism : CBT) และผลกระทบจากการ
ทอ่ งเท่ียวโดยชุมชนเปน็ ฐาน (Community-based Tourism : CBT) ได้ดงั นี้

-122-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพ้ืนทส่ี งู

แผนภมู ิที่ 5 องคป์ ระกอบของกระบวนการเรยี นรขู้ องการท่องเท่ยี วโดยชุมชน

-123-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพื้นทสี่ ูง

การจัดประชุมสนทนากลุ่มร่วมกบั ผู้นําชมุ ชน ชาวบ้าน และผูท้ ี่มสี ่วนเกี่ยวขอ้ ง
สรุปได้ว่า การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีเปูาหมายอยู่ท่ีการอยู่

ร่วมกบั ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ภายใต้เง่ือนไขการบีบค้ันจากนโยบายที่ทํา
ให้มีการแย่งชิงทรัพยากร เช่น ความขัดแย้งเรื่องไร่หมุนเวียน การจัดการ
ท่องเทยี่ วโดยชุมชนถูกมองว่าเป็นทัวร์เถื่อน ดังน้ัน การจัดการทรัพยากรควรมองท่ี
ความเป็นชุมชนเป็นหลัก เช่น วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์บนพ้ืนที่สูง กฎหมาย
บางอย่างไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ต้องสร้างกฎระเบียบเฉพาะ
หรือการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับพ้ืนท่ีหรือสภาพความเป็นจริง การสร้าง
เครือข่ายการจัดการท่องเที่ยว การสร้างรายได้เสริม การสร้างแผนงานการทํางาน
ท่องเท่ียว อาทิ เตรียมความพร้อมชุมชน สร้างเครือข่าย พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน
/ ของที่ระลึก เช่น การสํารวจผลิตภัณฑ์ชุมชนและตลาด การช่วยชุมชนพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ การจัดต้ังร้าน การแสวงหาทุน มีวิธีการทํางาน เช่น ศึกษาศักยภาพ
ของตนเอง การประเมินผลความเป็นไปได้ การฝึกอบรมการบริหารจัดการ การ
เตรยี มการดา้ นแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วและบริการต่างๆ อบรมการจัดการท่องเที่ยว จัดทัวร์
นํารอ่ ง จัดทัวร์ประเมินผล การสร้างเครือข่ายการท่องเท่ียวระหว่างหมู่บ้าน องค์กร

-124-

การพฒั นาชุมชนนา่ เที่ยวและผลิตภณั ฑบ์ นพน้ื ทสี่ งู

ท้องถิ่น ภาคเอกชน มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสารสนเทศ (Website) และสื่อ
ต่างๆ ในส่วนการตลาดนั้นแต่ละชุมชนจะต้องให้ข้อมูลแนะนําชุมชนตนเองและ
ชุมชนอ่ืนที่ถูกต้องและน่าสนใจแก่นักท่องเที่ยว และท่ีน่าภูมิใจสําหรับชุมชน คือ
การอนรุ ักษแ์ ละหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมปิ ญั ญาบรรพ
บุรุษท่ีสืบต่อกันมา และชุมชนไม่ได้ละท้ิงพ้ืนฐานเดิม หรือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไป
ตามกระแสวัฒนธรรม และไม่ได้มุ่งหวังรายได้จากการท่องเที่ยวท่ีจะได้ให้เป็น
รายได้หลักของชุมชน โดยละทิ้งอาชีพดั้งเดิมท่ีจะเป็นการท่ีจะปรับตัวเพ่ือรองรับ
กระแสการทอ่ งเที่ยวท่เี ขา้ ไปในชุมชน

กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคดิ การ

พฒั นาสนิ ค้าโอทอป (OTOP)

การจัดเวทีสนทนากลุ่ม (Focus Group) และการสัมภาษณ์เชิงลึก
(In-depth interview) โดยใช้กระบวนการ OVOP เพ่ือวิเคราะห์ ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นสู่ระดับสากล (Local to International) การพ่ึงตนเองและคิดอย่าง
สร้างสรรค์ (Self-Reliance Creativity) และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
(Human Resource Development) มีผลสรุปดังน้ี

ประเด็น ปัจจบุ นั ความต้องการ
อาชีพ
1.ผลผลิตทางการเกษตร 1.ช่องทางการจําหนา่ ยผลผลิต
ปัญหา
เช่น เคพกูสเบอร์ร่ี อโวคาโด และสินคา้ ทางออนไลน์

เสาวรส กาแฟ ชา ผักปลอด 2.สนิ คา้ ของทรี่ ะลกึ ท่เี ปน็

สารพิษ ฯลฯ เอกลักษณ์

2.สินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้า 3.สถานท่บี ริการยาสมุนไพรและ

ทอปกาเกอะญอ เคร่ืองจัก นวดแผนโบราณ

สาน

3.ความรูด้ ้านยาสมุนไพรและ

การนวดแผนโบราณ

1.ปัญหาด้านการเกษตร เช่น 1.สถานทีจ่ ําหน่ายสินคา้

-125-

การพัฒนาชุมชนนา่ เท่ียวและผลติ ภณั ฑบ์ นพนื้ ทสี่ งู

ดนิ เส่ือมโทรม ขาดนํ้าในช่วง 2.การฝึกอบบรมและพฒั นา

ฤดูแลง้ ความรู้ด้านการผลิตและบรกิ าร

2.การพัฒนาปรับปรุงสถานที่ ของของบุคลากร

จําหนา่ ยสินคา้ บุคลากร และ 3.ช่องทางในการประชาสัมพนั ธ์

สารสนเทศในการนําเสนอ ทางสือ่ ออนไลน์

ทางสื่อออนไลน์

การปรบั ตัว 1.การแปรรูปผลผลิตทาง 1.การพัฒนาความรู้และทักษะ
ความรว่ มมือ
การเกษตร อาชีพในการแปรรูปผลผลิตทาง

2.ความรูใ้ นด้านสือ่ สาร การเกษตร

สนเทศออนไลน์ 2 . วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ์ ใ น ก า ร แ ป ร รู ป

และการผลิต

1.มีความรว่ มมือกบั 1.การพฒั นาความรว่ มมือ

หนว่ ยงานภาครัฐในการ กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

จาํ หน่ายและผลิต เช่น ศนู ย์ อ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้องในด้านการค้า

พฒั นาโครงการหลวงวัด แ ล ะ พ า ณิ ช ย์ เ พื่ อ เ พ่ิ ม ช่ อ ง

จันทร์ ทางการจาํ หน่ายสนิ คา้

2.มกี ลมุ่ วิสาหกจิ ชมุ ชนใน 2.การพัฒนาความร่วมมือกับ

หมู่บ้าน ก ลุ่ ม วิ ส า ห กิ จ ชุ ม ช น ห มู่ บ้ า น

ใกลเ้ คยี ง

-126-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เที่ยวและผลิตภณั ฑบ์ นพ้ืนทส่ี ูง

การจัดเวทีสนทนากลมุ่ (Focus Group) และการสมั ภาษณ์เชิงลึก (In-depth
interview) โดยใช้กระบวนการ OVOP

-127-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลิตภัณฑบ์ นพ้นื ทสี่ งู

การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ชุมชน หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product) เป็น
ผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการท่ีมีแนวคิดใหม่ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างใน
ผลิตภัณฑ์สินค้าหรือท่ีมีอยู่แล้ว อาทิ ผลผลิตทางการเกษตร เช่น เคพกูสเบอร์ร่ี
อโวคาโด เสาวรส กาแฟ ชา ผักปลอดสารพิษ ฯลฯ สินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้า
ทอปกาเกอะญอ เครื่องจักสานและการให้บริการ เช่น ความรู้ด้านยาสมุนไพรและ
การนวดแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการสามารถนํามาต่อยอดพัฒนาให้
ผู้บริโภคหรือลูกค้าเกิดความพึงพอใจในตัวผลิตภัณฑ์สินค้าให้มากกว่าการบริโภค
ผลิตภัณฑ์สินค้าชนิดเดิม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมท่ีนําเสนอในตลาดใหม่ๆ
เพ่ิมช่องทางการจําหน่ายสินค้าท้ังภายในชุมชนท่ีเป็นแหล่งท่องเท่ียวหรือนอก
ชุมชนที่เป็นตลาดการค้า ซ่ึงปัจจุบันสภาพตลาดมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก
ข้ึน ตลอดจนมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทําให้มีผลิตภัณฑ์สินค้า
ใหมๆ่ ในตลาดจาํ นวนมากเกดิ ขึน้ อยา่ งรวดเร็วและไปเร็วด้วยเช่นกัน ดังน้ัน ทําให้
วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์สินค้าส้ันลง ผลิตภัณฑ์สินค้าท่ีออกสู่ตลาดใหม่ จะอยู่รอด
ไดใ้ นตลาด จึงตอ้ งเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าที่มี “ความใหม่” ท่ีแตกต่างและสอดคล้อง
กับความต้องการของผู้บริโภคหรือลูกค้าเท่าน้ัน ดังน้ัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
(New Product) หรอื ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม เพ่ือเพิ่มมูลค่าการแข่งขันให้มีความ
แตกตา่ งจากคแู่ ข่งขนั มี 3 ลกั ษณะ คือ

1. ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ (Innovative Product) หมายถึง
ผลิตภณั ฑใ์ หม่ท่ยี ังไมม่ ผี ้ใู ดนาํ เสนอในตลาดมาก่อนหรือเป็นแนวคิดใหม่ท่ีผู้บริโภค
อาจยงั คาดไม่ถงึ

2 . ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ป รั บ ป รุ ง ใ ห ม่ โ ด ย ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น ดั ด แ ป ล ง
(Replacement Product of Modify Product) หมายถึง เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ท่ี
พัฒนาเปล่ียนแปลงปรับปรุงมาจากผลิตภัณฑ์เดิมที่ขายอยู่แล้วในตลาดทําให้
สามารถตอบสนองความต้องการ และสรา้ งความพงึ พอใจแก่ผูบ้ ริโภคไดม้ ากขน้ึ

3. ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบหรือการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์
(Imitative or Me-too-Product) หมายถงึ ผลิตภณั ฑ์ใหม่สําหรับกิจการ แต่ไม่
ใหม่ในท้องตลาด เกิดจากการที่กิจการเห็นว่า เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการที่
ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคหรือลูกค้าเป็นหลัก ทําให้กิจการมี

-128-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เที่ยวและผลติ ภณั ฑบ์ นพนื้ ทส่ี ูง

โอกาสทํากําไรสูง จึงเสนอผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ เพื่อเข้าสู่ท้องตลาดโดยมี
สว่ นแบง่ ทางการตลาดขององคก์ รหรือบรษิ ัท

การสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าจึงเป็นส่ิงจําเป็นอย่างมากในโลกยุค
ปัจจุบัน ท่ีมีการแข่งขันภายใต้สภาวะตลาดท่ีเปิดกว้าง การทําธุรกิจย่อมต้อง
“คิด” ให้เหนือช้ันกว่าท่ีเคยเป็น การสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
เร่มิ มีบทบาทสําคัญในการช่วยเรยี กความสนใจของกลุ่มผ้บู ริโภคกลุ่มใหม่ๆ และยัง
สามารถรกั ษากลมุ่ ผบู้ รโิ ภครายเดิมใหอ้ ย่ตู ่อไปนาน ๆ โดยในอดตี ที่ผ่านมาน้ันหาก
ผลิตภัณฑ์หรือบริการหนึ่งจะประสบความสําเร็จได้ในท้องตลอด ส่ิงที่สําคัญท่ีสุดก็
คงจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักนั่นเอง ที่ต้องมีคุณภาพที่เยี่ยมยอดกว่า
คู่แข่ง และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบัน
คุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักอาจจะยังเป็นเร่ืองที่สําคัญมาก แต่มีอีกส่ิง
หน่ึงที่ก้าวขึ้นมามีส่วนสําคัญมากขึ้นเร่ือย ๆ ควบคู่ไปเช่นกัน ก็คือ เร่ืองของ
“มลู คา่ เพิ่ม” ที่ติดมากับตัวผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักนั้น ๆ ในบางกรณีส่วนของ
มูลค่าเพ่ิมจะเป็นตัวดึงดูดผู้บริโภคให้สนใจ หรือ ตัดสินใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ หรือ
บริการหลัก

การประชุมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน

-129-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เท่ียวและผลิตภัณฑบ์ นพ้ืนทส่ี งู

ดังน้ัน ธุรกิจในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เป็นเพียงการขายตัว
ผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักเพยี งอย่างเดียว แต่จะต้องมีส่วนของการเพิ่มมูลค่าท่ีจะ
ทําให้ผู้บริโภครู้สึกได้ประโยชน์มากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการเหล่านั้น จึงจะ
ประสบความสําเร็จได้อยา่ งทค่ี วรเปน็ ซ่งึ การสร้างสินคา้ มูลค่าเพิ่ม สามารถสร้างได้
ในหลายทาง เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้าง
มูลค่าเพ่ิมจากกระบวนการผลิต ซึ่งบางครั้งต้องกระทําไปพร้อมๆ กันเพ่ือให้
ผลสําเรจ็ สุดท้าย คือการได้ผลิตภัณฑ์และบริการท่ีมี “คุณค่าเพิ่ม” ท่ีสอดคล้องกับ
ความตอ้ งการของผบู้ ริโภคทเ่ี ปน็ กลุ่มเปูาหมาย ดงั แผนภูมิ

-130-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลติ ภัณฑบ์ นพ้ืนทส่ี งู

แผนภมู ทิ ่ี 6 หลักการในการสรา้ งมลู ค่าเพ่มิ ของผลิตภัณฑ์ชมุ ชนและการบริการ

-131-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลิตภณั ฑบ์ นพื้นทสี่ ูง

หลักการในการพิจารณาหาแนวทางในการสรา้ งมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์
ชมุ ชนและการบรกิ าร คือ

1. การเพิ่มมูลค่า จะต้องพิจารณาจากความต้องการและรสนิยมของ
ผู้บริโภคเป็นหลัก โดยต้องศึกษาทําความเข้าใจว่า ผู้บริโภคมีทัศนคติอย่างไรใน
การบริโภคผลติ ภณั ฑ์ หรือบรกิ ารนัน้ ๆ ทั้งดา้ นกายภาพและด้านอารมณ์ ความรู้สึก
ปัจจัยใดบ้างท่ีทําให้ผู้บริโภคเลือกหรือไม่เลือกส่ิงใดเพื่อการดํารงชีวิต เมื่อศึกษา
ข้อมูลครบถ้วนจนเข้าใจผู้บริโภค จึงจะพิจารณาโอกาสต่างๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพ่ิม
เพอื่ ใหต้ รงกับความตอ้ งการของผู้บริโภค

2. ผลิตภัณฑ์หรือบริการ การพิจารณาแนวคิด (Concept) เป็นเรื่องท่ี
สําคญั ท่สี ดุ ในการบริหารธุรกิจเชิงกลยุทธ์ ท้ังน้ีต้องมีความรู้ (Knowledge) ความ
เข้าใจพื้นฐานเรื่องของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์และบริบทของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี
และต้องใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และความคิดเชิงกล
ยุทธ์ (Strategic Thinking) ในการสร้างสรรค์แนวคิดที่แตกต่างและโดดเด่น
เช่น ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ (Innovative Product) ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงใหม่
โดยการปรับเปลี่ยน ดัดแปลง (Replacement Product of Modify Product)
ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบหรือการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ (Imitative or Me-
too-Product)

3. วัตถุดิบ การพิจารณาวัตถุดิบ คัดเลือกวัตถุดิบที่มีเรื่องราวท่ีจะสร้าง
มลู ค่าเพ่มิ เช่น การเลอื กวัตถดุ บิ ท่ีเปน็ ของท้องถิ่น ซงึ่ มีเร่อื งราวและความแตกต่าง
ทโี่ ดดเด่น และเป็นคุณค่า

4. กระบวนการผลิต การพิจารณาวิธีกระบวนการผลิต หรือวิธีการผลิต
ท่ีอาจจะดัดแปลงให้เกดิ คณุ ค่ามากขน้ึ

5. บรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภณั ฑห์ รือการนําเสนอให้ผู้บริโภครับรู้
ถึง คณุ ค่าของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่สัมผัสแรก ซ่ึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจจะสร้าง
มูลค่าเพิ่ม ในเรื่องของความสะดวก การรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ หรือความ
สวยงาม

6. การบริการ การพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงบริการให้กับ
ผลิตภัณฑ์ หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้กับบริการ เช่น การบริหารช่องทางการจําหน่าย

-132-

การพฒั นาชุมชนนา่ เท่ยี วและผลติ ภัณฑบ์ นพื้นทสี่ ูง

เพื่อให้ผู้บริโภคซ้ือได้ง่าย การบริการจัดส่ง การให้บริการข้อมูลเพ่ิมเติม หรือการ
รับคนื เมอ่ื ไม่พงึ พอใจ เป็นตน้

7. การสร้างแบรนด์ เป็นประเด็นท่ีสําคัญที่สุด ในการเสริมสร้างคุณค่า
ให้กับผลิตภัณฑ์ต้องดําเนินควบคู่กับการสื่อสารแบรนด์ การสร้างแบรนด์เป็นการ
เสริมสร้างอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และบริการน้ันๆ ในภาพรวม เป็นการนํา
มลู ค่าเพม่ิ มาแปลงเปน็ คุณค่า เพอื่ ให้ผบู้ ริโภคไดร้ บั รู้

8. การโฆษณา การพิจารณาสร้างมูลค่าเพ่ิมเร่ืองการนําผลิตภัณฑ์และ
บริการน้ัน ให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเปูาหมาย ที่เป็นการเพิ่มคุณค่าต่อผู้บริโภคใน
ด้านความสะดวก

9. การรักษามาตรฐานหรือคุณภาพ การสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าและ
บริการให้มีมาตรฐานอยู่เสมอเป็นเร่ืองสําคัญ เพราะจะทําให้ฐานลูกค้าเดิมคงอยู่
ตอ่ ไปและสรา้ งความเชือ่ ม่ันให้กับลกู ค้าใหมเ่ ปน็ อย่างดี

ในปัจจุบันการดําเนินธุรกิจมีการแข่งขันอย่างรุนแรงและพฤติกรรม
ผู้บริโภค เปล่ียนแปลงไป ดังน้ันธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงแนวคิด กล
ยุทธ์ใหท้ นั ตอ่ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถทําให้
ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซ่ึงการสร้างมูลค่าเพ่ิมมีความสําคัญต่อการ
ดาํ เนนิ ธุรกจิ ดังตอ่ ไปน้ี

1. การสร้างมูลค่าเพิ่ม ท่ีมากกว่าคู่แข่ง จะทําให้สามารถตอบสนอง
ความต้องการ และทําให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจมากยิ่งข้ึน ซ่ึงการสร้าง
มูลคา่ เพิม่ อาจทําได้ดว้ ยการเสนอผลประโยชนท์ ี่ผ้บู ริโภคต้องการ

2. การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถสร้างความเช่ือม่ัน และความไว้วางใจ
จากผู้บริโภคท่ีดีท่ีสุด เพราะทําให้ผู้บริโภคเช่ือมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือ
บริการท่ธี รุ กจิ มอบให้

3. การสร้างมลู คา่ เพม่ิ ทาํ ให้ธรุ กิจสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในภาวะ
ที่มกี ารแข่งขันอย่างรุนแรงได้ และทําใหธ้ ุรกิจมีความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขัน

จะเห็นได้ว่า การสร้างมูลค่าเพ่ิม คือส่ิงที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ
ทางการแข่งขันโดยผ่านการสร้างคุณค่าสําหรับลูกค้าที่ดีข้ึน (Customer Value)
โดยมีข้ันตอนการผลิต หรือบริการท่ีดีกว่า เพ่ือการเป็นผู้นําในผลิตภัณฑ์น้ัน ๆ
นอกจากการสร้างความแตกต่างในตลาดแล้ว การสร้างมูลค่าเพิ่มจะเป็นตัวช่วยใน

-133-

การพัฒนาชุมชนนา่ เที่ยวและผลติ ภณั ฑบ์ นพื้นทส่ี ูง

การสร้างคุณค่าท่ีส่งผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคท่ีสูงกว่า ซึ่งนําไปสู่ความมั่นใจใน
การตัดสินใจเลอื กหรือซื้อผลติ ภัณฑ์และบรกิ ารนัน้ ๆ ตอ่ ไป

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพ่ือการท่องเที่ยว มีบทบาทสําคัญมาก
โดยเฉพาะในระดับนโยบายของท้องถิ่น ซึ่งถ่ายเทมาจากโครงการภาครัฐ คือ โอ
ทอปนวัตวิถี (OTOP Innovative) ที่มีงบประมาณสนับสนุนมากกว่า 3,000
ชุมชน ส่ิงท่ีเป็นหัวใจสําคัญของผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์
ชุมชนเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับการท่องเที่ยว ในเมืองท่องเท่ียวช้ันนําทั่วโลกให้
ความสําคัญกับส่ิงเหล่าน้ี เพราะเป็นส่ิงที่สร้างรายได้ในภาคอุตสาหกรรมการ
ทอ่ งเทย่ี วและกระจายรายได้สู่ท้องถ่นิ สรา้ งงาน สร้างอาชพี ที่ชัดเจนทสี่ ุด

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเท่ียว จึงเป็นกระบวนการที่
สําคญั และมรี ายละเอยี ด เพราะจะต้องเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นมาและอัตลักษณ์
ของท้องถิ่นน้ันได้อย่างชัดเจน มีเร่ืองราวท่ีน่าสนใจ สอดคล้องกับบริบททาง
นิเวศน์และวัฒนธรรมของพ้ืนท่ี เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมาจากฐานความรู้เดิมหรือภูมิ
ปัญญาท้องถ่ิน และต้องมีการต่อยอดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องความ
สนใจของผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ได้แค่วางจําหน่าย
แต่ต้องเป็นส่ิงท่ีนําไปสู่กิจกรรมการเรียนรู้ด้วย ท้ังในด้านของคุณค่า แหล่งท่ีมา
และข้ันตอนการผลิต ผ่านประสาทสัมผัสท้ัง 6 ท่ีก่อให้เกิดประสบการณ์แก่
นักทอ่ งเท่ยี ว หรืออาจจะเปน็ ผลติ ภัณฑท์ ีเ่ คลอ่ื นยา้ ยกระบวนการเรยี นรู้ไปได้ทุกหน
แห่ง

คําถามที่หลายชุมชนพบจากผู้ส่งเสริมหรือนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ คือ มี
ของดีอะไรบ้าง ? อัตลักษณ์ของชุมชนคืออะไร ? คําถามน้ีต้องอาศัยข้อมูลและ
การวิเคราะห์ยกตัวอย่าง เช่น อําเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ีมีชื่อเสียง
ในด้านใด อาทิ แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติ เช่น ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัด
จันทร์ อ่างเก็บนํ้า ของปุาสนท่ีใหญ่ที่สุดในประเทศไทย น้ําพุร้อน น้ําตก และ
อุทยานแห่งชาติหว้ ยนํา้ ดงั ซึ่งมีทิวทศั นธ์ รรมชาตสิ วยงาม และแหล่งท่องเท่ียวทาง
วัฒนธรรม เช่น วัดห้วยบง อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ได้จัดวัดให้เป็นแหล่ง
เรียนรวู้ ถิ ีวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ คอื จัดตงั้ ศนู ย์ปกาเกอะญอศึกษา โดยมีการสร้างแหล่ง
เรียนรู้ผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณศาลาบาตรรอบพระวิหาร วัดห้วยบง
จํานวนกว่า 50 ภาพ เพ่ือถ่ายทอดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ

-134-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทีย่ วและผลติ ภณั ฑบ์ นพน้ื ทส่ี งู

และแหลง่ เรยี นรทู้ เี่ ปน็ อาคารบา้ นเรือนของชาวปกาเกอะญอ พร้อมทั้งภายในมีการ
จัดแสดงสื่อท่ีเป็นวิถีชีวิต เครื่องมือเคร่ืองใช้ในชีวิตประจําวันและการทํามาหากิน
และคติความเช่ือของชาวปกาเกอะญอในด้านต่างๆ โดยมีกลุ่มประชาชน
หน่วยงานและสถานศึกษาต่างๆ ที่สนใจเข้ามาแวะเยี่ยมชมเรียนรู้วิถีปกาเกอะญอ
ท้ังนี้เป็นการสร้างจิตสํานึกให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่า และความสําคัญภูมิปัญญา
ท้องถ่ิน วัฒนธรรมประเพณอี ันดีงาม ช่วยสนับสนุนส่งเสริมอนุรักษ์ฟื้นฟูภูมิปัญญา
ท้องถ่ิน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมประเพณีของชุมชน นอกจากน้ียังมีวัด
จันทร์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของอําเภอกัลยาณิวัฒนา เป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุ
จอมแจ้ง จุดชมวิวบนเนินเขาที่ประดิษฐาน “พระธาตุจอมแจ้ง” อีกหน่ึงในพระ
ธาตุศักดิ์สิทธิ์สําคัญของเมืองนี้ เป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิคู่บ้าน และมีวิหารที่เป็นแลนด์
มารค์ คือ “วหิ ารแวน่ ตาดํา” หรอื “วิหารเรย์แบน”

อย่างไรก็ตาม ชุมชนบ้านจันทร์ แม้จะมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
และธรรมชาติที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ีสําคัญของอําเภอกัลยาณิ
วัฒนาได้หลายแห่ง แต่ยังขาดการพัฒนาปรับปรุงพื้นท่ี บุคลากร และสารสนเทศ
ในการนําเสนอแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นท่ีรู้จักของนักท่องเท่ียว การท่องเที่ยวของ
อาํ เภอกัลยาณิวัฒนาเติบโตไปตามกระแสนิยมอยู่ช่วงหน่ึง เพราะความงดงามและ
ความสงบของแหล่งท่องเทย่ี วท่ียังไม่ถูกรบกวนมากนัก แต่ด้วยเส้นทางยากลําบาก
ในอดีตทําให้การเดินทางเข้ามาค่อนข้างยาก ประกอบกับต้ังอยู่ไม่ไกลจากแหล่ง
ท่องเที่ยวท่ีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก คือ อําเภอปาย จึงทําให้อําเภอกัลยาณิ
วัฒนาเป็นเหมือนทางผ่าน ไม่สามารถเป็นจุดรวมหรือศูนย์กลางการท่องเที่ยว
เรียกว่าเป็น Unseen ในแถบน้ีได้ ประกอบกับการท่องเท่ียวยังไม่ได้สร้างการ
เรียนรู้และเปิดโอกาสให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการนําเสนอเรื่องราวของ
ตนเอง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่นําเสนอกิจกรรมการ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กิจกรรมการท่องเท่ียวในชุมชน การบริการโฮมสเตย์ และ
กิจกรรมการเรียนรู้ของคนในชุมชน ทั้งเกษตรกร ผู้สูงอายุ เยาวชน และวัด เข้าสู่
การบรหิ ารจดั การการท่องเทยี่ วทีเ่ กดิ จากการมสี ่วนรว่ ม

ผลผลิตในชุมชนส่วนใหญ่ เป็นผลผลิตทางด้านการเกษตร อาทิ กาแฟ
ชา และผลไม้เมืองหนาว เช่น อโวคาโด เสาวรส เคพกูสเบอร์รี่ และพืชผักต่างๆ
แต่ส่วนใหญ่ เป็นการจําหน่ายในรูปแบบผลผลิตสด ไม่ได้มีการแปรรูปผลผลิตใน

-135-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภณั ฑบ์ นพ้นื ทส่ี ูง

รูปแบบอื่นๆ ทําให้ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้นาน ต้องจําหน่ายตามราคาที่ตลาด
กําหนด และมีช่องทางการตลาดท่ีแคบ ดังนั้น จึงมีความต้องการในการพัฒนา
ฝีมอื และเคร่ืองมือในการแปรรูปผลผลิตและพัฒนาช่องทางการตลาดให้กว้างขวาง
มากข้ึน

อย่างไรก็ตาม ชุมชนห้วยบงยังขาดเคร่ืองดื่มท่ีมีเอกลักษณ์ในการ
ให้บริการนักท่องเที่ยว จึงควรหาสินค้าที่เป็นจุดเริ่มต้นก่อนเป็นอันดับแรก จาก
ผลผลิตในชุมชน เช่น ชา กาแฟ ท่ีเป็นพืชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถ่ิน ท้ังทางด้าน
ภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาชาวบ้านเหล่านี้ เม่ือได้วัตถุดิบและเน้ือหาท่ีจะเป็นส่ิงตั้ง
ต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเท่ียว แล้วกระบวนการต่อไปคือการ
แปรรูปและยกระดับ โดยเลือกใช้กระบวนการท่ีไม่ซับซ้อนและประหยัดที่สุดก่อน
เช่น การคั่วกาแฟ จึงนําไปสู่กระบวนการทดลองได้เริ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กับการ
เรยี นร้ขู องชาวบ้าน ท่รี ว่ มกันในทกุ ขัน้ ตอน คนละไม้คนละมือ บ้างก็ล้าง บ้างก็ห่ัน
บ้างก็เตรียมอุปกรณ์ หลังจากนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ วิธีการและเทคนิคในการค่ัว
กาแฟ การศึกษาคุณสมบัติเพื่อจัดทําการประชาสัม พันธ์ ซ่ึงเม่ือทราบถึง
คณุ ลักษณะสาํ คัญของผลิตภัณฑ์แลว้ ขนั้ ตอนตอ่ ไปคอื การพัฒนาระบบการผลิตท่ีมี
มาตรฐาน และการค้นหาข้อมูลประกอบ เช่น คุณลักษณะของรสชาติเฉพาะ
สรรพคุณที่เป็นประโยชน์ ข้อมูลทางพันธุ์พืช และการพัฒนาแหล่งผลิตและแหล่ง
เรียนรู้ ตลอดจนบรรจุภัณฑ์และการรักษาผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า
ให้เป็นที่ยอบรับในระดับอําเภอว่า หากได้มาที่อําเภอกัลยาณิวัฒนา จะต้องได้ดื่ม
กาแฟห้วยบง ส่ิงนีถ้ ือเป็นหวั ใจสาํ คัญของการยกระดับมาตรฐานสนิ ค้า

อีกประการหน่ึง ส่วนหนึ่งของชาวบ้านห้วยบง ตําบลบ้านจันทร์
ประกอบอาชีพวิสาหกิจชุมชนด้านหัตถกรรม เช่น ผ้าทอแบบปกาเกอะญอ เคร่ือง
จักสาน สนิ คา้ ของทรี่ ะลกึ แต่ยงั ขาดช่องทางการจําหน่ายและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ตามความต้องการของตลาด ดังน้ัน จึงมีความต้องการพัฒนาสินค้าเหล่าน้ีให้เป็นที่
ต้องการของตลาดและเพ่มิ ชอ่ งทางการจําหนา่ ยใหม้ ากขนึ้

นอกจากนแ้ี ลว้ ชาวบ้านห้วยบง ตําบลบ้านจันทร์ ยังมีกลุ่มชาวบ้านท่ีมี
ภูมปิ ญั ญาความรูด้ ้านยาสมุนไพรและการนวดแผนโบราณ แต่ยังขาดแหล่งสถานที่
การใหบ้ รกิ ารและสถานประกอบการภายในชมุ ชน และขาดการประชาสัมพันธ์ไปสู่
สังคมในวงกว้างมากข้ึน ดังนั้น สิ่งสําคัญของกระบวนการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

-136-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพ้นื ทสี่ งู

ชุมชนเพ่ือการท่องเท่ียว คือ ต้องเร่ิมจากค้นหาข้อมูลเสียก่อน ท้ังจากการระดม
ความคิด การลงพื้นท่ีเพ่ือสํารวจ การลงพูดคุยกับผู้รู้ เจ้าของภูมิปัญญา เจ้าของ
ทรัพยากร ทําความเข้าใจถึงท่ีมาที่ไปในส่ิงน้ัน และจําเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมอง
ผ่านแนวคิดหลายแบบ เช่น แนวคิดเชิงประวัติศาสตร์ แนวคิดเชิงภูมิศาสตร์
แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ แนวคิดเชิงสังคมวิทยา เป็นต้น โดยทําในรูปแบบ
กระบวนการมีส่วนร่วม คือ ให้ผู้ท่ีเป็นชาวบ้าน เป็นผู้เรียนรู้ศึกษาและวิเคราะห์
ข้อมูล เพราะในท้ายท่ีสุดแล้ว ชาวบ้านคือผู้ถ่ายทอดเรื่องราวในตัวผลิตภัณฑ์นั้น
ข้อมูลที่ได้ให้นํามาวิเคราะห์ผ่านแนวคิดต่างๆ แล้วเลือกสรรส่ิงท่ีจะเป็นตัวแทนใน
การอธิบายความเป็นตัวตนของชุมชนได้ดีที่สุด และสามารถเชื่อมโยงไปได้หลาย
มิติ จากกระบวนการน้ี จะทําให้อัตลักษณ์ของชุมชนชัดเจนขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวท่ีมีอัตลักษณ์และเชื่อมโยงกับแหล่ง
ทอ่ งเที่ยวของชมุ ชน ดงั นั้น การพัฒนาความรู้เหล่าน้ี ชาวบ้านในชุมชนจะเป็นผู้ที่
ค้นหา เขา้ ใจ และสามารถบอกกล่าวเรื่องราวหรือส่ือสารให้กับสาธารณชนให้รู้และ
เขา้ ใจได้ โดยต้ังอยู่บนฐานหลกั ปรชั ญา OVOP 3 ประการ ได้แก่

1. ภูมิปัญญาท้องถ่ินสู่สากล (Local Yet Global) คือการผลิตหรือ
สร้างสินค้าให้ได้มาตรฐานในระดับสากล แต่ยังคงสะท้อนวัฒนธรรมท้องถ่ิน ไม่ว่า
จะเป็นรปู รส กล่ิน สี เอาไว้

2. ลดการพ่ึงพาจากภาครัฐ (Self-reliance and Creativity ) คนใน
ชุมชนจะต้องพึ่งพาตนเองได้ ไม่ผูกติดกับนโยบายของภาครัฐ มีอิสระในการคิด
สรา้ งสรรค์ และตัดสินใจด้วยตนเอง เน้นไปที่การรวมตัวกันของคนชุมชนเป็นหลัก
ในการสร้างสินค้าของชุมชนโดยใช้ผลิตผลทางเกษตรในพื้นท่ีมาเป็นวัตถุดิบหลัก
ในการดําเนินธุรกิจ เพอื่ ให้เกิดการพง่ึ พาตนเองให้มากท่ีสุด

3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
ชมุ ชนมีความกล้าท้าทายและมวี สิ ัยทศั นก์ ว้างไกลสามารถเปน็ ผู้นําของชมุ ชนได้

เป็นที่ทราบกันดีว่า โครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นนโยบาย
หลักของรัฐบาลในการเพ่ิมอาชีพและรายได้ให้กับชุมชนในระดับรากหญ้า ซ่ึง
ประกอบไปด้วยผู้รับผิดชอบท้ังในส่วนของกระทรวง ทบวง กรม และฝุาย
สนับสนุนที่เป็นภาคเอกชน และถือเป็นรูปแบบของการกระจายรายได้สู่ชุมชนที่ดี
ที่สุดรูปแบบหนึ่ง ดังท่ีกล่าวไปแล้วว่า ประเทศไทยรับแนวคิดการดําเนินโครงการ

-137-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เทย่ี วและผลิตภัณฑบ์ นพน้ื ทสี่ ูง

OTOP มาจากเมืองโออิตะ ประเทศญ่ีปุน (Oita International Center: OIC)
และนํามาปรับใช้กับประเทศไทย โดยภาครัฐเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่
การต่อยอดภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน และการบริหารจัดการเพื่อเช่ือมโยงสินค้าจากชุมชน
สู่ตลาดท้ังในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่ายและอินเตอร์เน็ต
พัฒนาผลติ ภัณฑ์และบรกิ ารทมี่ ีคณุ ภาพ มจี ดุ เด่นและมลู ค่าเพม่ิ เปน็ ท่ตี ้องการของ
ตลาด ท้ังในและต่างประเทศ กล่าวได้ว่า “หน่ึงตําบล หน่ึงผลิตภัณฑ์” เป็น
แนวทางประการหน่ึง ที่จะสรา้ งความเจรญิ แก่ชมุ ชนให้สามารถยกระดับฐานะความ
เป็นอย่ขู องคนในชมุ ชนใหด้ ขี ้ึน โดยการผลติ หรือจัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น
ให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองท่ี สอดคล้องกับ
วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น สามารถจําหน่ายในตลาดท้ังภายในและต่างประเทศ
ซงึ่ คาํ วา่ ผลิตภณั ฑ์ ไม่ไดห้ มายถึงตวั สนิ ค้าเพยี งอยา่ งเดียวแตเ่ ป็นกระบวนการทาง
ความคิด รวมถึงการบริการ การดูแลการอนุรักษ์ทรั พยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม การรักษา ภูมิปัญญาไทย การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพ่ือให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมี
คุณภาพ มีจดุ เด่น จดุ ขายทรี่ ู้จักกนั แพรห่ ลายไปทัว่ ประเทศและท่ัวโลก

อีกประการหนึ่ง เม่ือกล่าวถึงโครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ
OTOP ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะคํานึงถึงแต่ภาพสัญญะของความเป็นสินค้าท่ีจับต้อง
ได้ (tangible product) เช่น ผลผลิตทางการเกษตร อาหารแปรรูปต่างๆ
เคร่ืองใช้ไม้สอย ผ้าทอ หมอน ตะกร้า ไวน์พื้นบ้าน ฯลฯ จนกล่าวได้ว่าโครงการ
OTOP น้ันดําเนินอยู่ภายใต้การขาดซึ่งความเข้าใจในหลักปรัชญาทั้งสามประการ
ของ OVOP ส่งผลให้ทุกฝุายที่เก่ียวข้องกับโครงการ OTOP ล้วนแล้วแต่มีความ
เข้าใจถึงความหมายของคําว่าผลิตภัณฑ์ของ OVOP อย่างคลาดเคล่ือน โดยต่างก็
ให้การนิยามคําว่า ผลิตภัณฑ์ไปถึงแต่เพียงความเป็นสินค้าของชุมชนเท่าน้ัน หา
ได้นิยามไปถึงความหมายที่แท้จริงของคําว่า ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวทางของ
OVOP ที่หมายถงึ สิ่งท่เี กดิ มาจากการพัฒนาทางด้านทรพั ยากรมนุษยภ์ ายในชมุ ชน

เปูาหมายของ OVOP ต้องยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” มากกว่า
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซ่ึงการจะทําให้ชุมชนมีรายได้ท่ีย่ังยืน ต้องอาศัย
ความพอใจและความพอเพียง OVOP จงึ เน้นให้ชมุ ชนทาํ สิ่งทม่ี ีความสขุ โดยใช้สิ่ง
ที่มีในท้องถ่ินซ่ึงใช้งบประมาณไม่มากในการทําผลิตภัณฑ์ต่างๆ บนหลักการ

-138-

การพัฒนาชมุ ชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภัณฑบ์ นพื้นทส่ี ูง

พงึ่ พาตัวเองทใี่ ครก็ทําได้ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ สิ่งที่ OVOP ทํา ไม่ใช่นโยบาย
จากภาครฐั แต่เปน็ การเคล่ือนไหวของชุมชน โดยผลิตภัณฑ์ต้องมีเง่ือนไข 3 อย่าง
คอื

1. คุณภาพสินค้าคงท่ี มีการรักษามาตรฐานของสินค้าอยู่เสมอ ท้ังใน
ด้านรสชาติ เม่ือเป็นสินค้าประเภทอาหารหรือเคร่ืองด่ืม ด้านคุณภาพสินค้า เม่ือ
เป็นสนิ ค้าประเภทผลติ ภณั ฑ์ เป็นต้น

2. สินค้าผลิตสม่ําเสมอ เพราะ OVOP มีคุณลักษณะอยู่ระหว่าง
อุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน (Primary Industry) และอุตสาหกรรมขั้นทุติยะ
(Secondary Industry) ที่นาํ ผลผลิตจากอตุ สาหกรรมขั้นพนื้ ฐานมาแปรรูป

3. สินค้าผ่านการรับรองมาตรฐาน และทดลองขายในตลาดก่อนอย่าง
น้อย 2-3 ปี โดยชุมชนต้องอดทนรอ และศึกษาการทําบัญชีและเงินสดหมุนเวียน
ด้วย กระทั่งเม่อื มีการถามหาสนิ คา้ เกดิ ข้นึ ตลาดกจ็ ะตามมาแบบปากตอ่ ปาก

-139-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เที่ยวและผลิตภัณฑบ์ นพื้นทสี่ ูง

แผนภูมทิ ี่ 7 หลักปรัชญา OVOP (One Village One Product)

-140-

การพัฒนาชุมชนนา่ เทยี่ วและผลติ ภณั ฑบ์ นพ้ืนทสี่ งู

สรุปได้ว่า โครงการหน่ึงผลิตภัณฑ์หนึ่งตําบล (OTOP) มีหลักการ
พ้ืนฐาน 3 ประการ คือ 1) ภูมิปัญญาท้องถ่ินสู่สากล (Local Yet Global) 2)
พ่ึงตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ (Self-Reliance-Creativity) 3) การสร้าง
ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) การนําเอาแนวทาง
OVOP ไปปรบั ใชใ้ นพ้ืนท่ีหลายแห่ง ต่างก็ประสบกับปัญหาร่วมกัน ก็คือ ทุกพื้นที่
ตา่ งมงุ่ เน้นไปที่การพฒั นาสินค้ามากกว่าที่จะมุ่งไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อัน
เป็นเปูาหมายสูงสุดของโครงการ OVOP ทําให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การ
พึ่งตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ และการพัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ระดับ
สากล กลายเป็นอื่นในการรบั รู้ (perception) ของประชาชน ส่วนองค์กรปกครอง
สว่ นท้องถน่ิ กค็ วรสนับสนุนโอกาส เชน่ การจัดงานออกร้านประจําปี การจัดต้ังเป็น
นิติบุคคลเพ่ือการผลิต หรือการมีร้านค้าปลีก ซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณมาก
หลงั จากนัน้ ส่งิ ทจี่ ะตามมา คือ การท่องเทีย่ ว ซ่ึงปัจจุบัน OVOP มีอยู่ 3 รูปแบบ
ได้แก่ การเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ การศึกษาดูงาน และการแลกเปลี่ยนทาง
วัฒนธรรม โดยนักท่องเท่ียวส่วนใหญ่จะท่องเที่ยวในสองรูปแบบแรกมากกว่า จึง
ควรเน้นการสร้างความรู้และแรงบันดาลใจให้ผู้คนอยากมาท่องเที่ยว เพ่ือให้คน
อื่นๆ ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถ่ิน และทําให้รายได้เกิดการกระจาย
ไปถึงชมุ ชน ซงึ่ จากการเยยี่ มชมการทําผลิตภัณฑ์และพูดคุยกับชุมชน พบว่า การ
พัฒนาสินค้าชุมชนมีทิศทางท่ีดีเพราะมีหลายภาคส่วนสนับสนุน และยังหวังว่า
ชุมชนแห่งนีจ้ ะมกี ารพฒั นาอยา่ งรวดเร็วและย่งั ยืนต่อไปในอนาคต

-141-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เท่ยี วและผลติ ภัณฑบ์ นพนื้ ทสี่ ูง

บทที่ 7

บทสรุป

-142-

การพฒั นาชมุ ชนนา่ เท่ยี วและผลิตภณั ฑบ์ นพนื้ ทสี่ ูง

นย์วิจัยชุมชนจัดต้ังข้ึนโดยมีเปูาหมายในการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้

ศูด้านการวิจัย ที่มุ่งเน้นการบริการข้อมูลด้านการวิจัยเป็นหลัก การบริการ
วชิ าการแก่สังคม และการทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม และมีระบบกลไก
ในการจดั เก็บรวบรวมข้อมูลและการติดตามผลการนําไปใช้ประโยชน์ต่อยอดของผู้
เข้ามารับบริการ เพื่อจัดทําเป็นฐานข้อมูล (Database) ในการให้บริการที่เป็น
ต้นแบบและเครือข่ายต่อไป รวมท้ังเป็นศูนย์ในการพัฒนาฝึกอบรมนักศึกษา
บัณฑิตจบใหม่ และนักวิจัยรุ่นใหม่ (ต้นกล้า) ในการทํางานวิจัยชุมชน ร่วมกับ
อาจารย์ของมหาวิทยาลัยและนักวิชาการในชุมชน ผลการดําเนินงานตาม
เปูาหมาย มีประเด็นในการนําเสนอ ดังน้ี

1. กิจกรรมการถอดบทเรียนโดยใช้แนวคิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็น
ฐาน (Community-based Tourism : CBT) จากผลการจัดเวทีสนทนากลุ่ม
(Focus Group) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) มีผลสรุป
ดงั นี้

นักท่องเที่ยวในปัจจุบันมุ่งเน้นและให้ความสําคัญอย่างย่ิงต่อการสร้าง
ความยั่งยืนให้แก่ทรัพยากรธรรมชาติ สังคม ตลอดจนวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวจึง
เสาะแสวงหา “ความจริงแท้” เอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ ซ่ึงเป็นจุด
แข็ง หรือจุดเด่น (Strength) ที่สําคัญ เช่น วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของความ
เป็นปกาเกอะญอของบ้านห้วยบง และความต้องการมีส่วนร่วมในการได้ลงมือเพ่ือ
สร้างสรรคค์ วามยั่งยนื เช่น การอนุรักษ์สงิ่ แวดล้อม อาทิ ปลูกปุา สร้างฝาย ดับไฟ
ปุา ทําแนวกันไฟ หรือการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูทางวัฒนธรรม หรือ
การพฒั นาชมุ ชนในด้านอ่ืนๆ ทัง้ น้ี นักทอ่ งเทีย่ วตอ้ งการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ
จากความเปน็ ธรรมชาติของพ้ืนท่ี ไมป่ รุงแตง่ เพิ่มเติม หรือสร้างเพื่อการท่องเที่ยว
แต่อาศัยความพร้อมของสถานท่ีท่ีมีอยู่แล้วเป็นหลัก เช่น อาคาร สถานที่ อาศรม
ของวัดบ้านห้วยบง ซ่ึงถือเป็นศูนย์กลางของชุม ชนแห่งนี้ ประกอบกับ
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมท่ีมีอยู่ และความซ่ือสัตย์สุจริตและความจริงใจ
ของชาวบา้ นที่มตี ่อนกั ทอ่ งเทย่ี วและผูม้ าเยี่ยมเยอื น

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนหรือจุดด้อย (Weakness) คือ ชาวบ้านยังขาด
ความสามารถในการถ่ายทอดและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ยั งไม่ต่อเนื่องและ
กว้างขวาง ประกอบกับพ้ืนท่ีหมู่บ้าน บางส่วนตั้งอยู่ในเขตปุาสงวน ซึ่งต้องอาศัย

-143-

การพฒั นาชุมชนนา่ เทย่ี วและผลิตภัณฑบ์ นพน้ื ทส่ี งู

การทําความตกลงและความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบในดูแล
รักษาเขตปุาอุทยานในพื้นท่ี ในการเข้าไปใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างใด
อย่างหน่ึง แต่มีโอกาส (Opportunity) ที่เป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุน คือ มี
องค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์และผลผลิตในชุมชน เช่น
ศนู ย์พฒั นาโครงการหลวงวัดจันทร์ มีวิสาหกิจชุมชน และมีสถาบันการศึกษาท้ังใน
ระดับ สพฐ.,สพม. และอุดมศกึ ษาในการสนบั สนุนด้านความรู้และวิชาการ แต่ยังมี
ข้อจํากัด (Threat) คือ งบประมาณมีจํากัด ประกอบกับเส้นทางคมนาคม บาง
แห่งยังไม่สะดวก

องค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ของการท่องเท่ียวโดยชุมชน
(Community-based Tourism : CBT) มอี งค์ประกอบทีส่ าํ คัญคอื

1. ศักยภาพของพ้ืนท่ีและทรัพยากร พบว่า ชุมชนห้วยบงมีฐาน
ทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งเรียนรู้เส้นทางธรรมชาติ และมีวิถีการ
ผลติ แบบเศรษฐกิจพอเพยี ง และการใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างย่ังยืน ชุมชนปกา
เกอะญอบา้ นหว้ ยบงมวี ฒั นธรรมประเพณที ีเ่ ป็นอตั ลักษณเ์ ฉพาะถ่ินชัดเจน

2. ศักยภาพของคนและองค์กร พบว่า ชุมชนมีองค์กรและหน่วยงาน
ภาครัฐในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์และผลผลิตในชุมชน เช่น ศูนย์พัฒนาโครงการ
หลวงวัดจันทร์ วิสาหกิจชุมชน สถาบันการศึกษาทั้งในระดับ สพฐ.,สพม. และ
อดุ มศึกษาในการสนบั สนนุ ด้านความรู้และวิชาการ มีปราชญ์ท้องถ่ินหรือผู้มีความรู้
และทักษะในเร่ืองต่าง ๆ หลากหลายท้ังในด้านศิลปวัฒนธรรม อาชีพท่ีเป็นภูมิ
ปัญญาทอ้ งถนิ่ เชน่ ทอผา้ เคร่ืองจกั สาน ภูมปิ ญั ญาด้านการเกษตร ชุมชนมีความ
รักในวัฒนธรรมท้องถิ่น มีความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมใน
กระบวนการพัฒนาในชุมชน

3. การบริหารจัดการ พบว่า มีกฎกติกาในการจัดการส่ิงแวดล้อม
ศลิ ปวฒั นธรรม และการทอ่ งเที่ยว มีองค์กรหรอื กลไกในการทํางานเพ่ือจัดการการ
ท่องเท่ียว และสามารถเช่ือมโยงการท่องเที่ยวกับการพัฒนาชุมชนโดยรวมได้ มี
การกระจายผลประโยชน์ท่ีเป็นธรรม มีกองทุนท่ีเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมของชุมชน

4. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม พบว่า ลักษณะของกิจกรรมการท่องเที่ยว
สามารถสร้างการรับรู้ และความเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท่ีแตกต่าง โดยมี

-144-


Click to View FlipBook Version