หลักการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ปุญฺธโร ภิกขุ
หลักการปฏบิ ตั ิในกายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน
พระบุญทรง ปญุ ฺ ธโร, ดร.
ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๓๐๐-๒๖๑-๔
พิมพ์คร้งั แรก : ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
จานวนทีพ่ มิ พ์ : ๕๐๐ เลม่
บรรณาธกิ ารดาเนินงาน : พระบุญทรง ปุญฺ ธโร, ดร.
ออกแบบปก : พระอธิวัฒน์ รตนวณฺโณ
โทรศพั ท์ : ๐๘๔ – ๕๐๑๑๒๗๗
สานกั พิมพณ์ ัฐพลการพมิ พ์
ที่อยู่ ๒๐๔ ถนนรอบเมอื งนอก อ.ในเมือง จ.ลาพนู
โทรศัพท์ : ๐๕๓ – ๕๖๐๕๑๔ , ๐๕๓ – ๕๑๑๒๑๖
ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของห้องสมุดแหง่ ชาติ
พระบุญทรง ปญุ ฺ ธโร, ดร.
หลักการปฏิบตั ใิ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน--พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑.—ลาพูน : ๒๕๖๐.
๑๒๔ หนา้
๑. หลกั การปฏิบตั ใิ นกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน . I. ช่ือเรือ่ ง ๒๙๔.๓๒
ISBN ๙๗๘-๖๑๖-๓๐๐-๒๖๑-๔
จดั ทาโดย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
จัดจาหนา่ ย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเชตเชยี งใหม่
โทรศัพท์ ๐๕๓ ๒๗๘๙๖๗
www.cmmcu.com
ราคา ๑๘๐ บาท
คำนำ
ทุกสรรพส่ิงที่เกิดมาบนโลกใบน้ีล้วนตกอยู่ในลักษณะท่ีเหมือนๆ กัน คือ ไม่เท่ียง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษท่ีสามารถพัฒนาตนเองได้จากความปุถุชนให้เป็นกัลยาณชน
และเปน็ อริยบุคคลในท่สี ดุ ก็ดว้ ยการพัฒนาปัญญาไปตามลาดับดังน้ันมนุษย์เมื่อพบกับปัญหาของชีวิต
แลว้ พยายามหาทางออกด้วยการเข้าไปศึกษาค้นคว้าทดลองหาทางออกของชีวิตคนแล้วคนเล่าจึงเป็น
พัฒนาการมาโดยลาดับด้วยการฝึกฝนอบรมจิตใจของตนให้บริสุทธิ์แต่กว่าจะมามีผู้ค้นพบได้ก็ต้องใช้
เวลาอันยาวนามดังพระสมณะโคดมพุทธเจ้าทรงบาเพ็ญบารมีนานถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ที่
ทรงค้นพบทางออกแห่งสังสารวัฏฏ์ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถทาให้พระองค์อยู่
เหนือสิ่งท่ีไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แล้วนาธรรมะท่ีพระองค์ทรงค้นพบมาชี้แจงมาแสดง
ให้แก่เวไนยสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ด้วยวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งมี
พัฒนาการมาจากประเทศอนิ เดียแล้วมาสนู่ านาอารยะประเทศทั่วโลกตลอดถึงประเทศไทยก็เป็นหน่ึง
ในการรักษาหลักธรรมคาสัง่ สอนไว้ไดอ้ ย่างมน่ั คงและสมบรู ณท์ ่สี ุดก็ด้วยอาศัยหลักการปฏิบัติสืบๆ กัน
มาในบริบทของวปิ ัสสนากรรมฐานจงึ ทาให้พระพทุ ธศาสนามน่ั คงถาวรมาจนถงึ ปัจจุบนั
หลักการปฏบิ ตั ใิ นกายานุปัสสนาสติปฏั ฐานเปน็ หนงั สือทกี่ ลา่ วถึงพฒั นาการของวิปัสสนา
กรรมฐานมาสปู่ ระเทศไทยหลงั พทุ ธปรินิพพานและกล่าวถึงหลักการกาหนดในวิปัสสนาเพียงแต่สักว่า
รู้อย่างมีสติและบริบทของการปฏบิ ัตินัน้ ธรรมะท่ีเปน็ แรงผลักดันให้ปัญญาพัฒนาข้ึนไปได้ก็ต้องเร่ิมต้น
ท่ีไตรสิกขาคือการพัฒนาจากศีลและสมาธิเมื่อคุณธรรมทั้งสองน้ีม่ันคงหนักแน่นดีแล้วก็จะพัฒนา
ปญั ญาให้เกดิ ขนึ้ ไปตามลาดับจนเห็นลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนอย่างแท้จริงซ่ึงเป็นตัว
ปัญญาญาณตามหลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานซ่ึงมีอานิสงส์เพ่ือความบริสุทธ์ิ
ของเหลา่ สัตว์เพ่อื ระงบั ความเศรา้ โศกและความค่าครวญ เพือ่ ดบั ทกุ ขแ์ ละโทมนสั เพ่ือบรรลุอริยมรรค
เพอ่ื ทาให้แจง้ ซงึ่ พระนพิ พาน อันเปน็ จดุ มงุ่ หมายของการประพฤติพรหมจรรย์ของเหล่าพุทธบริษัททุก
ท่าน ผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มน้ีจักเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเก่ียวกับการปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานแก่สาธารณชนทัว่ ไปท่สี นใจหลกั การปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานแนวมหาสติปฏั ฐานต่อไป
(พระบุญทรง ปญฺ ธโร, ดร.)
อาจารย์ประจา คณะพุทธศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
วทิ ยาเขตเชยี งใหม่
สารบญั หน้า
ก
เรอื่ ง
คานา ข
สารบญั
บทท่ี ๑ พฒั นาการของวปิ สั สนากรรมฐาน ๑
๑.๑ ความเป็นมาของวิปัสสนา ๑
๑.๒ ความหมายของวปิ สั สนา ๖
๑.๓ วิปัสสนาภูมิ ๖
๑.๔จุดมุ่งหมายของวิปสั สนา ๘
๑.๕ สทุ ธิวปิ ัสสนา
๑.๖ ทาไมตอ้ งเจริญวิปัสสนา ๙
๑.๗ ประโยชน์ของวปิ สั สนา ๑๗
๑๘
สรุป ๒๐
บทที่ ๒ หลกั การปฏบิ ตั ิในกายานปุ สั สนสตปิ ฏั ฐาน
๒๓
๒.๑ กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ๒๕
๒.๒ หลักการปฏิบัตใิ นกายานปุ สั สนา
๒.๓ หลักการสงั เกตในกายานุปัสสนา ๒๕
๒.๔ วิธปี ฏบิ ัตใิ นกายานปุ สั สนา ๒๗
๒.๕ อานิสงส์ของการเจริญสตปิ ฏั ฐาน ๓๐
๓๒
สรุป ๔๖
บทท่ี ๓ หลกั การกาหนดในวปิ สั สนากรรมฐาน
๔๘
๓.๑ ความหมายของการกาหนด ๕๐
๓.๒ มนสกิ ารในวปิ ัสสนากรรมฐาน
๓.๓ มนสิการในพาหิยะสูตร ๕๐
๓.๔ มนสิการในมาลุกยปุตตสตู ร ๕๓
๓.๕ มนสิการในพระตจุ โฉโปฐิละ ๕๗
๓.๖ วิถีจิตทางปัญจทวารและมโนทวาร ๖๐
๓.๗ มนสกิ ารกบั วถิ ีจติ ๖๓
๖๔
๖๘
๓.๘ อารมณบ์ ญั ญตั แิ ละอารมณป์ รมัตถ์ ๒
๓.๙ มนสกิ ารกบั องคค์ ุณแห่งแมไ่ ก่ ๕
๗๒
สรุป ๗๔
บทที่ ๔ หลกั ธรรมกับการกา้ วไปตามมรรควิธี
๗๕
๔.๑ ความหมายของสิกขา ๗๗
๔.๒ จุดมุ่งหมายของไตรสิกขา
๔.๓ ความสาคญั ของไตรสกิ ขา ๗๗
๔.๔ ประเภทของไตรสิกขา ๘๐
๔.๕ ไตรลักษณะ ๘๑
๔.๖ วิชชา ๓ ๘๔
๘๘
สรุป ๙๔
บทท่ี ๕ วปิ สั สนากรรมฐานภาคปฏบิ ตั ิ
๑๐๑
๕.๑ วปิ สั สนากรรมฐาน ๑๐๓
๕.๒ หลกั การปฏิบัติในอิรยิ าบถ ๔
๕.๓ การนงั่ กาหนด ๑๐๓
๕.๔ การส่งและสอบอารมณ์ ๑๐๖
๑๑๔
สรุป ๑๑๗
บรรณานกุ รม ๑๒๔
ประวัตผิ ้เู ขยี น
๑๒๗
๑๓๐
บทที่ ๑
พฒั นาการของวปิ สั สนากรรมฐาน
ความนา
พระพุทธองคท์ รงเผยแผ่พระสทั ธรรมแกเ่ หล่าบรรดาพุทธบริษัท ๔ น้ันเม่ือว่าโดยย่อแล้ว
มเี พียงบทเดยี ว คอื ความไม่ประมาท ในความไม่ประมาทนั้นพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนาไว้
เป็น ๒ อย่าง คือ (๑) คนั ถธรุ ะ หมายถงึ การศึกษาเลา่ เรยี นปรยิ ตั ิธรรม หรือ การศึกษาพระธรรมวินัย
ให้เข้าใจถึงเหตุผลและรวบรวมเอาสาระท้ังหลายมาไว้ในตนเพ่ือปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง (๒)
วิปัสสนาธุระ หมายถึง การเจริญวิปัสสนาภาวนา เป็นการปฏิบัติตนให้เกิดปัญญารู้สภาพตามความ
เป็นจริงของชีวติ เพราะวปิ สั สนาน้ันมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่าน้ันไม่มีในคาสอนของศาสนาอื่นใด
ในโลกเนือ่ งจากศาสนาอื่นๆ ไม่มีหลักอนัตตา ซ่ึงเป็นหลักธรรมท่ีนาไปสู่การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ในสงิ่ ทงั้ ปวง ดังนน้ั แนวทางของการปฏิบตั วิ ปิ สั สนาทัง้ หลายทท่ี าใหแ้ จง้ สจั ธรรม กล่าวคือ นามรูปและ
สามญั ลักษณะ ๓ คือ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา และเป็นสภาวะทีพ่ น้ ไปจากตัณหา คือ นิพพานได้ในท่ีสุด
ในบทนี้จะนาเสนอ ความเป็นมาของวิปัสสนา ความหมายและความสาคัญ อารมณ์และจุดมุ่งหมาย
ของวิปสั สนา ตลอดถึงประโยชนข์ องวิปสั สนาเปน็ ลาดับไปดังน้ี
๑.๑ ความเปน็ มาของวปิ สั สนา
หลังจากพระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ดับขันธปรินิพพานไปแล้วราวพุทธศักราช ๒๓๕ พระโมคคัลลี
บตุ รติสสะเถระพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูปได้ร่วมกระทาตติยสังคายนาท่ีเมืองปาฏลีบุตรเมือง
หลวงของแคว้นมคธ โดยมีพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์ หลังจากเสร็จส้ินในการทา
สังคายนาครั้งที่สามแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็มีจิตผ่องแผ้วค่อยพิจารณาดูความเป็นไปของพระพุทธศาสนา
จึงเห็นแจ้งชัดด้วย อนาคตังสญาณว่าในอนาคตกาลพระพุทธศาสนาอันมีคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
เปน็ หลกั จักประดิษฐานอยไู่ ดแ้ ต่ในปัจจันตชนบทของประเทศเทา่ นั้นจึงเป็นการสมควรท่ีเราจักส่งพระ
อรหันต์ทั้งหลายให้ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในปัจจันตชนบทสืบไป พระมหาโมคคัลลีเถระซ่ึง
เป็นพระอรหันต์วัยชรา ๗๒ พรรษา ได้ส่งสาวก คือ พระโสณะอรหันต์และพระอุตตระอรหันต์นา
พระพุทธศาสนามาประดิษฐานที่เมืองตะโทง (Thaton) หรือเมืองสุธรรมนครในประเทศพม่าตาม
ประวัติได้มีการสืบทอดวิปัสสนาวงศ์พระอรหันต์เรื่อยมาไม่ขาดสายจนถึงสมัยของวิปัสสนาจารย์ติรง
คะสะยาดอ พระมโนอรหันต์ พระมิงกุลโตญสะยาดอ พระมิงกุลเชตะวันสะยาดอ และท่านมหาสีสะ
ยาดอ (พระโสภณมหาเถระ) ตามลาดับ เม่ือวิปัสสนาวงค์ประดิษฐานม่ันคงในแผ่นดินสุวรรณภูมิเป็น
เวลาเกือบ ๒,๐๐๐ ปี คือต้ังแต่สองพระอรหันต์ท่านพระโสณะอรหันต์และพระอุตตระอรหันต์นา
พระพุทธศาสนามาประดิษฐานไว้เป็นเบ้ืองแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๕ เป็นต้นมาบรรดาพุทธ
๒
บริษัทศิษยานุศิษย์ผู้มีจิตหวั่นเกรงภัยในวัฏสงสารปรารถนาจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็พากัน
อุตสาหะบาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานสืบต่อกันมาไม่ขาดสายจวบจนถึงสมัยพระธรรมทัสสีอรหันต์ทา
การยกย่องปกป้องพระพุทธศาสนาและขยายวิปัสสนาวงศ์ให้กว้างขวางออกไปในปีพุทธศักราช
๑๕๔๑ ซง่ึ ในตอนนีน้ ยิ มเรียกวิปัสสนาวงศด์ ้ังเดิมเพ่มิ เตมิ เปน็ วา่ วปิ ัสสนาวงศ์อรหันต์
และสมยั น้นั ปรากฏว่ามีพระภิกษุสองรูปเป็นสหายกันรปู หน่งึ มีนามวา่ พระเขมภิกขุกับอีก
รูปหนึ่งมีนามว่าพระติรงคะภิกขุตั้งแต่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเธอทั้งสองก็ต้ังใจศึกษาพระบาลี
พระไตรปิฎกอรรถกถาตลอดท้ังนานาพระคัมภีร์จนมีความรู้สูงสุดตามหลักสูตรการศึกษาในสมัยนั้น
แลว้ ปรึกษากนั วา่ ต่อไปน้เี ราทัง้ สองจะทาอะไรกันดีพระเขมภิกขุผู้มีบุรพวาสนาว่าเราท้ังสองควรจะตั้ง
หน้าบาเพ็ญวิปัสสนาธุระต่อไปเพ่ือบรรลุมรรคผลนิพพานในชาติน้ีให้จงได้พระติรงคะภิกขุได้ฟังก็
หัวเราะแล้วค้านว่าอะไรกันมรรคผลนิพพานสมัยน้ีจะมีท่ีไหนกันมรรคผลนิพพานเป็นของไกลเกินฝัน
หากจะมีอยู่ก็เห็นมีแต่ในพระคัมภีร์ปัจจุบันน้ีไม่มีใครเขาสนใจเร่ืองวิปัสสนาหรือมรรคผลนิพพานกัน
แล้วเรามาเป็นพระอาจารย์ด้านคันถธุระบอกพระคัมภีร์กันดีกว่าต่อไปภายหน้าจะได้เป็นใหญ่มี
เกียรติยศชื่อเสียงเกรียงไกรพระเขมภิกขุหนุ่มผู้มีใจหนักแน่นประดุจภูผาได้ฟังดังน้ันก็ส่วยหน้ากล่าว
ย้าวา่ มรรคผลนิพพานในสมัยน้ีจะมีหรือไม่มีมีใครเล่าจะรู้ได้หากว่าไม่มีการบาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน
กล่าวเท่านั้นแล้วท่านก็เดินทางออกจากมหาวิหารบ่ายหน้าเข้าป่าไป กาลต่อมาพระติรงคมหาเถระผู้
เป็นใหญซ่ ่ึงบดั นี้วัยเข้าเกณฑ์ชรา ๗๐ พรรษาเศษแล้วท่านได้มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกภิกขุผู้มีพรรษา
เสมอกนั รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสหายจากกนั ไปนานหลายปกี ็คือพระเขมภกิ ขทุ ีบ่ อกว่าจะบาเพ็ญวิปัสสนาแล้ว
หายหน้าเข้าป่าไปเมื่อได้พบปะสนทนากันในท่ีรโหฐานโดยลาพังตัวต่อตัวแล้วแทนท่ีจะสนทนากันให้
สนกุ สนานด้วยเรื่องเก่าๆ สมัยยังหนุ่มอยู่แต่กลับชวนให้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาท่าเดียวโดยอ้างว่าตัวท่าน
จะเปน็ พระอาจารยบ์ อกพระกรรมฐานใหเ้ องพระติรงคมหาเถระคณาจารย์ใหญ่จะได้เลื่อมใสเช่ือฟังคา
ก็หาไม่คร้ันจะปฏิเสธไปตรงๆ ก็เกรงจะเสียน้าใจกันจึงกล่าวอ้างว่าตนเองแก่แล้วเกิดมาชาติน้ีได้มี
เกยี รตยิ ศชื่อเสยี งเทา่ น้ีก็เป็นที่พอใจแล้วจะเอาอะไรกันอีกเมื่อเห็นว่าสุดท่ีจะเค่ียวเข็ญให้สหายปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานได้แล้ว พระเขมมหาเถระจึงกล่าวว่าถ้าเช่นน้ันก็ไม่เป็นไรแต่ขอร้องให้จดจาวิธีการ
ปฏิบัติกรรมฐานไว้จะได้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาต่อไปจะเอาไว้ใช้ประกอบการสอนในด้าน
คนั ถธุระกไ็ ด้หรอื เผ่ือวา่ ในวันขา้ งหนา้ หากมผี ูม้ ีวาสนามาขอเรยี นวธิ กี ารปฏบิ ัติวิปสั สนากรรมฐานจะได้
บอกเขาไดถ้ กู ต้องโดยบอกเขาไป
พระเขมมหาเถระบอกวิธีการบาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอย่างย่อแล้วก็อธิบายวิธีปฏิบัติ
ตลอดจนสภาวะวิปัสสนาญาณโดยพิสดารเสร็จแล้วจึงถามขึ้นว่าจาได้หรือยังท่ีเราบอกมานี่เม่ือเห็น
สหายเก่ารับคาด้วยดีก็ลุกขึ้นจัดแจงห่มจีวรอันเก่าคร่าคร่าพร้อมกับบอกว่าจะขอลาจากไปแล้วต่อไป
คงไม่ได้พบกันเพราะฉะน้ันจึงขอให้เดินไปส่งที่ชายป่าใกล้มหาวิหารด้วยพระติรงคมหาเถระเม่ือได้ฟัง
สหายเก่ามาอ้างว่าต่อไปภายหน้าคงจะไม่ได้พบกันเช่นนั้นก็พยุงสังขารอันชราเดินตามส่งถึงบริเวณ
๓
ชายป่าแล้วพระเขมมหาเถระก็หยุดเดินหันหลังมามองหน้าแล้วถามขึ้นอีกว่าจาได้แน่นอนแล้วหรือ
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาท่ีเราบอกไว้น่ันพระติรงคมหาเถระก็รับรองจาได้เอาเถอะน่าไม่ต้องห่วงขอให้
เดินทางไปโดยสวัสดีเถิด พระเขมมหาเถระผู้มาจากแดนไกลจึงกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายว่าจาได้ก็ดีแล้ว
น่ันเป็นวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอันประเสริฐต่อจากน้ันเราจะ
แสดงผลดีผลพลอยได้เล็กน้อยของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุมรรคผลนิพพานว่าจะเป็น
ประการใดขอจงตั้งใจดูให้ดีๆ ว่าเท่านี้แล้วพระเขมมหาเถระผู้เชี่ยวชาญในอภิญญาญาณก็อธิษฐานให้
เกิดอิทธิวิธีอภิญญาเหาะทะยานข้ึนฟ้าหายวับไปต่อหน้า กาลต่อมายังมีพระภิกษุผู้มีบุญวาสนาอีกรูป
หนึ่งนามว่าพระนโมภิกขุ ผู้มีจิตมุมานะไม่ท้อถอยหลังจากศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์จบแล้วออกเดินทาง
จากวิหารปัจจันตชนบทมุ่งหน้าไปหาพระอาจารย์ติรงคมหาเถระเรียนบทพระกรรมฐานแล้วจึงบ่าย
หน้าไปยังวิหารปัจจันตชนบทท่ีท่านเคยพักอาศัยเป็นสุขสบายด้วยความตั้งใจว่าจะเข้าถ้าบาเพ็ญ
วปิ ัสสนากรรมฐานให้สาเรจ็ ผลจงได้ครัน้ เดนิ ทางมาถึงวิหารนั้นแล้วก็แจ้งความให้พระมิงกุลโตญผู้เป็น
ศิษย์และประชาชนชาวบ้านได้ทราบทั่วกันพร้อมกับขอความกรุณาให้ช่วยอนุเคราะห์ในเร่ืองอาหาร
บิณฑบาตเหมือนเชน่ เดมิ แลว้ กร็ ีบเขา้ ถา้ ทีเ่ คยอยู่มาเรมิ่ ปฏบิ ัติวปิ สั สนากรรมฐานทนั ที
ล่วงไปได้ประมาณ ๗ ปี วันนี้เป็นวันธรรมสวนะที่วิหารปัจจันตชนบทใกล้ถ้านั้นมี
ชาวบ้านทายกทายิกาพากันมาทาบุญถวายทานมากมายในขณะที่เขาเหล่านั้นกาลังจัดแจงภัตตาหาร
ล้วนแต่ประณีตเพ่ือนาไปถวายพระนโมเถระผู้เป็นเจ้าท่ีเข้ากรรมฐานอยู่ในถ้าอันเป็นกิจวัตรประจา
วันที่ช่วยกันทามานานหลายปีแล้วอยู่ๆ พวกเขาก็ได้เห็นพระผู้เป็นเจ้าพระนโมเถระน้ันเดินเข้ามายัง
วหิ ารดว้ ยอาการผ่องใส ก็เกิดโกลาหนตน่ื เต้นยินดปี รีดากนั ยกใหญต่ ่างพากันเข้าไปกราบนมัสการท่าน
อย่างชุลมุนวุ่นวายบ้างก็ไต่ถามความเป็นไปอยู่อึงคะนึงเม่ือการถวายทานให้พระสงฆ์ฉันภัตตาหาร
เสร็จส้ินลงแล้วท่านก็บอกว่าต่อไปนี้ทุกๆ วันธรรมสวนะท่านจะออกจากถ้ามาแสดงธรรมแก่ชาวบ้าน
เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณท่ีเฝ้าผลัดเปล่ียนเวียนเวรส่งภัตตาหารไปให้ท่านเป็นเวลานานหลายปี
และโดยเหตุท่ีพระธรรมเทศนาที่จะแสดงนี้จะมีประโยชน์แก่ชาวโลกต่อไปในวันข้างหน้าฉะนั้นจึง
ขอให้พระมงิ กุลโตญศิษย์ของท่านชว่ ยจดบันทกึ ข้อความสาคัญในพระธรรมเทศนาไว้ด้วย นับต้ังแต่วัน
นนั้ เป็นต้นมาพอถึงวนั ธรรมสวนะท่านอาจารย์นโมเถระก็ออกจากถ้ามาแสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วย
เรอื่ งการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาตามวิปัสสนาวงศ์พระอรหนั ต์ซ่งึ มใี จความทเี่ ป็นสาระสาคัญว่าเม่ือโยคีบุคคลผู้
เห็นภัยในวัฏสงสารเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ววิปัสสนาญาณจักเกิดขึ้นในขันธสันดาน
ตามลาดับนับตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณจนกระท่ังถึงมรรคญาณผลญาณและปัจจเวกขณญาณเป็น
ที่สุดและอธิบายสภาวะแห่งวิปัสสนาญาณเหล่านั้นออกไปอย่างกว้างขวางพิสดารยิ่งนักโดยยกเอา
คัมภีร์วิสุทธิมรรคและข้อความท่ีปรากฎมีในพระบาลีมหาสติปัฏฐานสูตรพร้อมท้ังอรรถกถาฎีกามา
เป็นหลักใหญ่แล้วก็ลงท้ายด้วยคาว่าพระปริยัติธรรมและพระปฏิบัติธรรมจะต้องตรงกันพระปฏิเวธ
ธรรมคือมรรคผลนิพพานจงึ จะบังเกิดข้ึนได้ในวันธรรมสวนะสุดท้ายเม่ือจบการแสดงพระธรรมเทศนา
๔
แล้วพระอาจารย์นโมเถระก็กวักมือเรียกพระมิงกุลโตญผู้เป็นศิษย์ให้นาเอาบันทึกพระธรรมเทศนา
เร่ืองการปฏิบัติวิปัสสนาที่ท่านแสดงติดต่อกันหลายวันธรรมสวนะนั้นมาพิจารณาตรวจตราแก้ไขจน
ถูกต้องดีแล้วก็บอกว่าจงเก็บรักษาไว้ให้ดีน่ีคือวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาวงศ์พระอรหันต์แล้วก็หันมาถาม
ชาวบ้านที่ประชุมกันอยู่ท่ีน่ันว่าบรรดาท่านทั้งหลายเคยได้ยินคาว่าอรหันต์กันบ้างหรือไม่คร้ันได้รับ
คาตอบว่าเคยได้ยินท่านจึงถามต่อไปว่าแล้วท่านท้ังหลายมีใครเคยเห็นองค์พระอรหันต์กันบ้างหรือไม่
เม่ือได้รับคาตอบว่าไม่เคยเห็นท่านจึงถามต่อไปว่าขณะนี้อยากจะเห็นองค์พระอรหันต์หรือไม่เขา
เหล่าน้ันก็ตอบพร้อมกันว่าอยากเห็นท่านจึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นเพลาปฐมยามแห่งราตีน้ีขอให้ท่าน
ท้ังหลายไปประชุมกนั ดทู ่ปี ากถา้ ก็คงจะได้เหน็ องค์พระอรหนั ต์
ราตรีนนั้ คร้ันถึงเพลาปฐมยามท่านพระมิงกุลโตญพร้อมกับประชาชนชาวบ้านมากหลาย
ได้พากันมายืนอออยู่ท่ีปากถ้าสนทนาไต่ถามกันพึมพาอยู่ว่าองค์พระอรหันต์ท่ีท่านอาจารย์พระนโม
เถระบอกให้มาคอยดูนั้นจะเป็นท่านผู้ใดมาจากไหนรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรบางคนก็ว่าคงจะเป็น
พระอรหันต์ท่านเหาะมาจากฟากฟ้าป่าหิมพานต์และบางคนว่าไม่ใช่คงจะเป็นท่านอาจารย์นโมเถระ
พระผู้เป็นเจ้าของเราเสียกระมังเพราะว่าเท่าที่สังเกตุดูวันน้ีเห็นท่านมีกายินทรีย์ผ่องใสนักในขณะท่ี
ชาวบ้านกาลังวภิ ากษ์วจิ ารณก์ นั อย่นู ้นั ก็ให้มีอันเกิดโอภาสแสงสว่างจ้าข้ึนมาในบริเวณถ้าในท่ามกลาง
แสงสว่างน้ันก็พลนั ปรากฎร่างของพระอาจารยน์ โมเถระกาลังนั่งตั้งกายตรงดารงสติมั่นและหลับตาใน
ท่านั่งกรรมฐานอยู่แลดูงามสง่าน่าเคารพบูชาเลื่อมใสยิ่งนักปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์แก่ตามหาชน
อยู่ชั่วขณะใหญ่ๆ แล้วก็เกิดเตโชธาตุลุกข้ึนไหม้ชายจีวรและกายของท่านอย่างน่าตกใจผู้คนทั้งหลาย
เห็นเหตุร้ายเช่นน้ันก็พากันว่ิงถลันเข้าไปเพ่ือจะช่วยดับไฟแต่ก็สายไปเสียแล้วด้วยว่าเตโชธาตุน้ันเมื่อ
ต้งั ข้นึ ไหมอ้ ยชู่ วั่ อดึ ใจแลว้ ก็ไพโรจน์โชติชว่ งชัชวาลเข้าสังหารเผาผลาญสรีระกายของท่านอาจารย์มโน
เถระผู้เป็นเจ้าให้ย่อยยับยุบลงโดยเร็วพลันทันใดเมื่อผู้คนท้ังหลายว่ิงเข้าไปถึงน้ันก็ได้เห็นแต่เพียงอัฐิ
ธาตุของท่านเหลือเป็นกองขาวโพลนอยู่ พระมิงกุลโตญศิษย์ของท่านเม่ือได้เห็นปาฏิหาริย์มหัศจรรย์
เกิดข้ึนกับตาเช่นน้ันก็ทราบได้ทันทีว่าพระนโมเถระอาจารย์ตนเป็นพระอรหันต์ก็เกิดโสมนัสย่ิงหนัก
หนาจึงประกาศแก่ประชาชนชาวบ้านเหล่านั้นซ่ึงล้วนแต่เป็นญาติของท่านให้ได้ทราบโดยท่ัวกันครั้น
กลบั มาถึงวหิ ารแล้วกน็ าเอาบันทึกพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาวงศ์พระอรหันต์มา
พิจารณาศึกษาจนเป็นที่เข้าใจดีแล้วจึงบอกลาญาติโยมชาวบ้านแล้วเดินเข้าถ้าไปบาเพ็ญวิปัสสนา
กรรมฐานอนั เป็นการเจรญิ รอยตามพระอาจารย์นโมเถระอรหันต์ทันที การบาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน
ของท่านพระมิงกุลโตญนี้ปรากฏว่าท่านอุตสาหะบาเพ็ญอยู่นานหลายปี โดยมีญาติโยมทายกทายิกา
ผลัดเปลี่ยนเวียนกันนาเอาภัตตาหารไปถวายท่านท่ีถ้าเช่นเดียวกับท่ีเคยนาไปถวายพระนโมเถระ
อรหันต์ทุกวันเมื่อบาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่นานจนได้ผลเป็นท่ีพอใจก็ออกจากถ้าที่บาเพ็ญ
กรรมฐานมายังวิหารตั้งสานักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นโดยตัวท่านเองเป็นพระวิปัสสนาจารย์บอก
กรรมฐานตามวิธีการวิปัสสนาวงศ์พระอรหันตะท่ีท่านบันทึกไว้และเคยปฏิบัติมาประชาชนชาวบ้าน
๕
ต่างพากันศรัทธาเล่ือมใสมาเข้าปฏิบัติวิปัสสนกรรมฐานมากมายไม่นานเท่าใดช่ือเสียงสานักวิปัสสนา
กรรมฐานของทา่ นอาจารยพ์ ระมงิ กุลโตญก็คอ่ ยขจรขจายแผ่กว้างออกไป
สมัยนั้นยังมีภิกษุหนุ่มอีกรูปหนึ่งนามว่าพระนารทภิกขุเป็นผู้มีบุรพวาสนาควรแก่การ
บาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานคร้ันศึกษาในวิชาการทางพระพุทธศาสนาเช่ียวชาญดีแต่แทนที่จะมีความ
พอใจใฝ่หาเกียรติยศชื่อเสียงในด้านคันถธุระกับมีความพอใจใคร่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็น
การนาตนออกจากกองทุกขใ์ นวฏั ฏสงสารเพ่อื ไม่ให้เสียทีท่ีเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาก็พอดี
ไดส้ ดับข่าวอันเป็นมงคลว่าพระอาจารย์มิงกุลโตญเพ่ือสอบถามให้แน่ใจก่อนว่าสานักปฏิบัติกรรมฐาน
ท่ีตั้งขึ้นมานี้เป็นสานักปฏิบัติสมถกรรมฐานหรือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานคร้ันได้ความแจ้งชัดว่าเป็น
สานักวิปัสสนากรรมฐานตามวิปัสสนาวงศ์อรหันตะซ่ึงสืบเช้ือสายมาจากพระโสภณะอรหันต์และพระ
อตุ ตรอรหันต์ พระนารทภิกขกุ ็ให้ดีดใี จสดุ ประมาณรับอภิวันท์ขอกรรมฐานจากพระอาจารย์แล้วก็เร่ิม
บาเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานทันที พระนารทภิกขุผู้มีบุรพวาสนาอุตสาหะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่
เปน็ เวลาชา้ นานโดยมีพระอาจารย์มงิ กุลโตญเปน็ พระวิปัสสนาจารย์ผู้บอกกรรมฐานและเป็นผู้ควบคุม
ในขณะปฏิบัติอย่างเข้มงวดกวดขัน ในท่ีสุดก็ได้ผลสมความมุ่งหมายทาให้ท่านหมดความสงสัย ใน
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพราะว่าพระวิปัสสนาญาณต่างๆ ปรากฏอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งจน
ทา่ นไดบ้ รรลอุ มตธรรมในพระพทุ ธศาสนาพระอาจารย์มิงกุลโตญพิจารณาเห็นว่าพระนารทภิกขุผู้เป็น
ศิษย์ของท่านรูปน้ีมีสติปัญญามากทั้งสภาวะพระวิปัสสนาญาณก็ปรากฎข้ึนในขันธสันดานชัดเจน
แจ่มใสควรจะเป็นหลักสาคัญในพระศาสนาด้านวิปัสสนาธุระต่อไปภายหน้าจึงมีคาสั่งกาชับให้ท่าน
ทบทวนพระวิปัสสนาญาณจนเช่ียวชาญแม่นยาในสภาวะวิปัสสนาญาณอยู่เป็นเวลานานเม่ือเป็นที่
พอใจท่านแลว้ กใ็ หอ้ อกจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพ่ือสอนวิชาวิปัสสนาจารย์ต่อไป กาลต่อมา
ปรากฏว่าพระอาจารย์นารทเถระน้ันท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ท่ีมีช่ือเสียงเป็นหลักสาคั ญใน
พระพุทธศาสนาด้วนวิปัสสนาธุระตามท่ีพระอาจารย์มิงกุลโตญคาดหวังไว้ทุกประการมหาชนเรียก
ท่านอีกนามหน่ึงว่าพระมิงกุลเชตะวันสะยาดอร์ที่สานักปฏิบัติวิปัสสนาของท่านมีศิษยานุศิษย์ทั้ง
บรรพชติ และคฤหัสถม์ ากมายในบรรดาศิษยานุศษิ ยจ์ านวนมากน้ันปรากฎว่ามีศิษย์บรรพชิตท่ีสาคัญที่
มีชอ่ื เสยี งโดง่ ดงั ในสมยั ปจั จุบนั อยูร่ ปู หนึง่ นามว่า “พระโสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑติ ๑
จากหลักฐานท่ีได้กล่าวมานี้จะเห็นได้ชัดว่าวิธีการสอบแบบนี้มีมาต้ังแต่โบราณกาลเป็น
แนวปฏิบัติท่ีนิยมแพร่หลายในประเทศสหภาพพม่าเป็นระยะเวลานานก่อนท่ีพระอาจารย์มหาสีสะ
ยาดอจะนามาใช้สอนศิษยานุศิษย์ฉะน้ันการกาหนดในใจว่า “พองหนอ –ยุบหนอ” ท่ีบริเวณท้องคือ
การสังเกตธาตุลม (วาโยธาตุ) ท่ีมีสภาวะลักษณะคือการเคล่ือนไหวอย่างชัดเจนเป็นแนวทางปฏิบัติ
๑ ดูรายละเอียดในหนังสือ “๑๐๐ ปี อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ”, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย, พมิ พท์ ีบ่ ริษทั อมรินทรพ์ ริน้ ต้ิงแอนด์พบั ลิชช่งิ จากดั (มหาชน), กรุงเทพมหานคร , ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔.
๖
วิปัสสนากรรมฐานท่ีสอดคล้องกับหลักคาสอนในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่าด้วยการมีสติตามดูกาย (กา
ยานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ในข้อกาหนดเกี่ยวกับการพิจารณากายโดยความเพียรเป็นธาตุท้ัง ๔ (ธาตุ
มนสิการปัพพะ) อาการพอง-อาการยุบ คือ รูปท่ีเกิดจากการสัมผัสของธาตุลมน้ีเรียกว่า วาโยโผฏฐัพ
พรปู เป็นรูปปรมัตถ์ทมี่ ีลักษณะของวาโยธาตุชัดเจน คือ การเคลื่อนไหวพระพุทธองค์ทรงเทศนาไว้ใน
บาลีสังยุตตนิกายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีโยนิโสมนสิการ ตั้งสติ กาหนดท่ีรูป ถ้ามี
สมาธิแล้ว รูปนั้นอนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนแน่นอน” ยังทรงเทศนาอีกว่า
“โยคบี ุคคลทโ่ี ผฏฐพั พารมณ์ถูกต้องสัมผัสนั้นต้ังสติกาหนดรู้เห็นอยู่ว่าไม่เที่ยงบุคคลน้ันอวิชชาหายไป
วิชชาญาณปรากฎ” ดังน้ันการกาหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” จึงเป็นการสังเกตวาโยโผฏฐัพพรูปด้วย
โยนิโสมนสิการ อันประกอบด้วย อตาปีหรือวิริยะ (ความเพียร) สติ (ความระลึกได้) และสัมปชัญญะ
(ความรู้ตัวทั่วพร้อม) มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นคาสอนของพระพุทธองค์ท่ีตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
เม่ือพลงั ของปจั จยั ดังกล่าวแก่กลา้ พอเพยี งแล้วผูป้ ฏิบตั จิ ะเห็นความไม่เท่ียง ความเป็นทุกข์ และความ
ไม่ใช่ตัวตนของรูปธรรมและนามธรรมมีสัมมาทิฏฐิและวิชชาญาณเกิดข้ึนจนสามารถบรรลุมรรค ผล
นิพพานได้ในทสี่ ุด
๑.๒ ความหมายของวปิ ัสสนา
คาว่า “วิปัสสนา” ตามคัมภีร์ไวยากรณ์ มาจาก วิ + ทิส + ยุ แปลง ทิส เป็น ปสฺส๒
แปลง ยุ เปน็ อน๓ ลง อา อิตถโิ ชตกปจั จัย๔ และคาวา่ “วปิ ัสสนา” เปน็ ชือ่ ของปัญญา มีความหมาย
ตามศัพท์ดังนี้ “วิ” แปลว่า โดยประการต่างๆ “ปัสสนา” แปลว่า หยังรู้ หย่ังเห็น เห็นแจ้ง ดังนั้น
รวมความแล้ว “วิปัสสนา” แปลว่า ปัญญาหยั่งรู้ หย่ังเห็น เห็นแจ้งโดยประการต่างๆ ในสภาวะ
ลักษณะรูปธรรมและนามธรรม ตามความเป็นจริงว่า สภาวธรรมทั้งหลายไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา ไม่ใชส่ ัตว์ ไม่ใชบ่ ุคคล ตัวตน เรา เขา ไมอ่ ยู่ในบงั คับบัญชา
วเิ คราะหศ์ ัพทว์ า่ “อนิจฺจาทิวเสน วิวิธาการเรน ปสฺสตีติ วิปัสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนาทิกา
ภาวนาปญญฺ า”๕ ธรรมชาติท่ชี ื่อว่า วปิ ัสสนา เพราะวิเคราะหว์ า่ เหน็ สังขารธรรมโดยอาการต่างๆ ด้วย
อานาจอนจิ จลักษณะเปน็ ต้น ได้แก่ ภาวนาปัญญา มอี นิจจานุปัสสนาเป็นต้น. วิวิธ อนิจฺจาทิก สงฺขาเร
สุ ปสฺสตีติ วิปสฺสนา. วิปัสสนา คือ ปัญญาที่เห็นสภาวะต่างๆ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ในสังขาร
๒ คัมภีร์บาลมี ลู กจั จายนสตู ร. สตู รที่ ๔๗๑ : ทสิ สสฺ ปสสฺ ทสิ สฺ ทกขฺ า วา.
๓ คัมภีรบ์ าลมี ลู กัจจายนสูตร. สูตรท่ี ๖๒๒ : อนกา ยณุ วฺ นู .
๔ คัมภรี ์บาลีมูลกัจจายนสตู ร. สตู รท่ี ๒๓๗ : อิถยิ มโต อาปจจฺ โย.
๕ วิภาวิน.ี (บาล)ี ๒๖๗.
๗
ท้ังหลาย๖ คัมภีร์อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ให้ความหมายว่า วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้ง หรือวิธีทา
เกิดการเห็นแจ้ง มีบทบาลีวิเคราะห์ว่า อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธน อากาเรหิ ธมฺม ปสฺสตีติ วิปสฺสนา๗
ปัญญาใด ย่อมเห็นสังขตธรรมมีขันธ์เป็นต้น ด้วยอาการต่างๆ มีความไม่เที่ยงเป็นต้น ฉะนั้น ปัญญา
น้ัน ชื่อว่า วิปัสสนา อรรถกถาในมัชฌิมนิกายอธิบายว่า วิปัสสนา คือ การพิจารณาเห็นลักษณะของ
สภาวธรรมทปี่ รากฏ ๗ ประการ คอื
๑) อนิจจานุปัสสนา พิจารณาเห็นความไมเ่ ทีย่ ง
๒) ทุกขานปุ ัสสนา พิจารณาเห็นความเปน็ ทกุ ข์
๓) อนตั ตานุปสั สนา พิจารณาเหน็ ความไม่มตี ัวตน
๔) นพิ พิทานุปสั สนา พจิ ารณาเห็นความนา่ เบอ่ื หน่าย
๕) วิราคานปุ ัสสนา พจิ ารณาเหน็ ความคลายกาหนดั
๖) นโิ รธานปุ ัสสนา พิจารณาเหน็ ความดับกเิ ลส
๗) ปฏนิ สิ สัคคานุปสั สนา พิจารณาเห็นความสลัดท้งิ กเิ ลส๘
สรุปความวา่ วิปัสสนา คือการเห็นประจักษ์แจ้งพระไตรลักษณ์ในรูปท่ีเห็น อาการที่
เคลือ่ นไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวะดับ สงบเย็น (นิพพาน) ได้๙ ถ้าต้องการ
สุขแท้ สุขถาวรท่ีไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดาเนินไปตามหนทางน้ีเท่านั้น ไม่มีทางอื่น๑๐ เป็นข้อปฏิบัติ
ต่างๆ ในการอบรมปัญญาให้เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เห็นตามท่ีเราวาดภาพให้เป็นด้วย
ความชอบ ความชัง ความอยากได้ หรือความขัดใจของเรา รู้แจ้งชัดเข้าใจจริง จนถอนความหลงผิด
และความยึดติดในสิ่งทั้งหลายได้ ถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ ความรู้ความเข้าใจถูกต้องท่ี
เกิดเพมิ่ ขนึ้ เร่อื ยๆ มคี วามสุขสงบผ่องใสและเป็นอสิ ระ เพราะพน้ จากอานาจครอบงาของกิเลสที่สุดคือ
นาไปสู่ความหลุดพน้ ทแี่ ทจ้ รงิ ย่งั ยนื ถาวรเป็นสมุจเฉทวิมตุ ติ หลุดพน้ อย่างเด็ดขาด๑๑
๖ พระมหาสมปอง มุทโิ ต แปลเรยี บเรียง, คมั ภรี ์อภิธานวรรณนา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ธรรมสภา,
๒๕๔๒), คาถาที่ ๑๕๓ หน้า ๒๐๖.
๗ ข.ุ ป.อ. (บาล)ี ๑/๑๕๕/๓๒๘, อภิ.สง.ฺ อ. (บาล)ี ๑/๑๐๐/๑๐๐.
๘ ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๖๕/๑๖๙.
๙ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๒๔๘.
๑๐ ที.ม.อ. (บาล)ี ๓๗๓/๗๕๙.
๑๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต), พุทธธรรม, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
,๒๕๔๕), หน้า ๓๐๖.
๘
๑.๓ วปิ ัสสนาภมู ิ ๖
ในคัมภรี พ์ ระสตุ ตนั ตปฎิ กขุททกนิกายอิติวุตตกเล่ม ๑ ภาค๔๑๒ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาภูมิ
ว่า ขันธปัญจกะ (ภูต ) เพราะเกิดด้วยปัจจัยและเพราะมีอยู่โดยปรมัตถ์ด้วยเหตุน้ันพระผู้มีพระภาค
เจา้ จึงตรัสว่า ‚ภูตมิท ภิกฺขเวสมนุปสฺสถ แปลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงพิจารณาขันธปัญจ
กะนี้๑๓ การเห็นโดยความเป็นจริงโดยไม่วิปริตโดยมีลักษณะ และโดยสามัญลักษณะเพราะขันธปัญจ
กะนเ้ี ป็นเพียงนามรปู หมายความว่าการพิจารณาเห็นขันธปัญจกะนเ้ี ปน็ เพยี งนามรูปโดยความเป็นนาม
รปู พร้อมด้วยปจั จยั อย่างน้ใี นนามรปู นนั้ ธรรมท้ังหลายมีปฐวีธาตุเป็นต้นเหล่าน้ีเป็นรูปธรรมท้ังหลายมี
ผัสสะเป็นต้นเหล่าน้ีเป็นนามขันธปัญจกะเหล่านี้เป็นลักษณะเป็นต้นของนามรูปเหล่าน้ันอวิชชาเป็น
ต้นเหล่านั้นเป็นปัจจัยของนามรูปเหล่านั้นและด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นอย่างน้ีว่า ‚ธรรมเหล่านี้
ทั้งหมดไม่มแี ลว้ เกิดมีมแี ลว้ เสื่อมเพราะธรรมท้งั หลายไม่เที่ยงเพราะไม่เทย่ี งจึงเป็นทุกข์เพราะเป็นทุกข์
จึงเป็นอนัตตา๑๔ ด้วยเหตุน้ีะได้แสดงวิปัสสนาภูมิ ดังต่อไปนี้ คือ วิเคราะห์ศัพท์คาว่า ‚วิปัสสนาภูมิ‛
วิปัสสนาภูมิ มาจากคาว่า วิ + ปัสสนา+ภูมิ วิ แปลว่า วิเศษ (ญาณข้ามโคตร ได้มรรค ได้ผล) แจ้ง
(นาม-รูป) ต่าง (นาม-รูป ปรากฏเป็นไตรลักษณ์)๑๕ ปัสสนา แปลว่า เห็น (ปัญญา) ส่วน ภูมิ แปลว่า
พ้ืนที่ให้จิตเข้าไปยึด ให้จิตเข้าไปต้ังพิจารณา ตั้งฐานพิจารณา๑๖หรืออารมณ์ เม่ือรวมคาท้ัง ๓ แล้ว
วิปัสสนาภูมิ ๖ หมายถึง อารมณ์ ๖ ประเภทท่ีเป็นเคร่ืองยึดหน่วงให้จิตเข้าไปยึดต้ังพิจารณา เพ่ือให้
ประจกั ษ์แจ้งนามรูปว่าเป็นไตรลกั ษณท์ าให้สามารถเกิดปัญญาญาณข้ามโคตรจากปุถุชนเข้าสู่อริยะได้
อารมณ์ของวิปัสสนาภมู ิแยกไดด้ งั นี้ คอื
(๑) ขนั ธ์ ๕๑๗ ไดแ้ ก่ รูปขันธ์ เป็นรปู , เวทนาขนั ธ์, สญั ญาขนั ธ์, สังขารขันธ์, วญิ ญาณขนั ธ์
, เปน็ นาม
๑๒ ขุ.อิติ.อ. (ไทย) ๔๕/๑/๔/๓๓๕.
๑๓ ขุ.อติ ิ.อ. (ไทย) ๔๕/๑/๔/๓๓๕.
๑๔ ข.ุ อิติ.อ. (ไทย) ๔๕/๑/๔/๓๓๕.
๑๕ พระอุดรคณาธกิ าร (ชวนิ ทร์ สระคา) ดร.จาลอง สารพัดนึก, พจนานุกรม บาลี-ไทย, พิมพ์
คร้งั ที่ ๕, อ้างแล้ว, หนา้ ๔๑๖.
๑๖ จิตวณฺโณ ภกิ ขุ, วปิ สั สนาภาวนา พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย
, ๒๕๔๔), หนา้ ๑๓๓.
๑๗ ส .นิ. (ไทย) ๑๖/๒๑-๒๓/๓๗-๔๓.
๙
(๒) อายตนะ ๑๒๑๘ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ จัดเป็นคู่ได้ดังนี้
ตากับรูป, หูกับเสียง, จมูกกับกลิ่น, ล้ินกับรส, กายกับโผฏฐัพพารมณ์, มโนกับธัมมารมณ์, เป็นท้ังรูป
ทัง้ นาม
(๓) ธาตุ ๑๘๑๙ ได้แกจ่ กั ขธุ าตุ รูปธาตุ จักขวุ ญิ ญาณธาตุ ฯลฯ เป็นท้ังรูปทง้ั นาม
(๔) อินทรีย์ ๒๒๒๐ ได้แก่ จักขุนทริยัง โสตินทริยัง ฆานินทริยัง ชิวหินทริยัง กายินทริยัง
มนินทริยังฯลฯ เป็นทัง้ รูปทัง้ นาม
(๕) อรยิ สจั ๔๒๑ ได้แก่ ทุกข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค เปน็ ทั้งรปู ทง้ั นาม
(๖) ปฏิจจสมุปบาท ๑๒๒๒ หมายถึง การท่ีธรรมท้ังหลายอาศัยกันเกิดขึ้นเพราะอาศัย
อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุ
ปายาสจงึ มี ความเกดิ ขน้ึ แห่งกองทุกข์ท้ังมวลมดี ้วยประการฉะนเ้ี ป็นท้ังรูปและนาม
เมอ่ื กล่าวโดยสรุป วปิ ัสสนาภูมิ ๖ หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า อารมณ์ของวิปัสสนามีถึง ๖
ภูมิ แต่เมื่อสงเคราะห์แล้วเหลือเพียง รูปกับนาม ผู้เจริญวิปัสสนาต้องกาหนดนามรูป เพราะนามรูป
เป็นสภาวธรรมท่ีต้องพิสูจน์ด้วยวิปัสสนาปัญญา เมื่อผู้เจริญวิปัสสนาปฏิบัติจนเกิดปัญญาแล้ว จะ
พิสจู นไ์ ด้ดว้ ยตนเองว่านามรูปนี้ ไม่เทยี่ ง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นปัญญาท่ีไปประจักษ์แจ้งความจริง
เรียกว่า‚วิปัสสนาปัญญา เมื่อวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วจะไปทาลายกิเลสลงได้ ทาให้ความทุกข์เบาบาง ผู้
เจริญวิปัสสนาปฏิบัติต่อไปจนครบมัคคญาณเกิดข้ึน จะเกิดปัญญาไปปหานกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ทา
ใหก้ ิเลสและความทุกข์หมดส้นิ ไปในทสี่ ุด
๑.๔ จุดมุ่งหมายของวิปสั สนา
การเจรญิ วปิ ัสสนา คอื การใคร่ครวญธรรม หมายถึง การเพ่งพินิจพิจารณาเห็นธรรมโดย
ความเป็นไตรลักษณ์๒๓ตามความเป็นจริง แต่ท่ีเราไม่เห็นรูป-เห็นนามตามความเป็นจริงได้โดยง่าย ทา
ให้มีความเห็นผิด เข้าใจผิด จาผิด ไม่แจ้งในไตรลักษณ์ท่ีไม่แจ้งในไตรลักษณ์ ก็เพราะมีสิ่งที่ปิดบังไตร
๑๘ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๕๔-๑๖๑/๑๑๒-๑๑๖.
๑๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๘๓-๑๘๔/๑๔๒-๑๔๖.
๒๐ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๑๙-๒๒๐/๑๙๗-๒๐๒.
๒๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๑๘๙-๒๐๕/๑๖๓-๑๗๓.
๒๒ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๕-๒๔๒/๒๑๙-๒๒๓.
๒๓ อง.ฺ สตฺตก. อ. (บาล)ี ๓/๒๐/๑๖๕.
๑๐
ลักษณ์อยู่ ส่ิงปิดบังไตรลักษณ์ คือ สันตติปิดบังอนิจจัง อิริยาบถปิดบังทุกข์ ฆนสัญญาปิดบัง
อนตั ตา๒๔
๑. สันตติ ปิดบงั อนจิ จัง
สันตติ คือ ความสืบต่อของรูปนามท่ีเกิดขึ้นต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วเหลือเกินจึงทา
ใหไ้ มเ่ หน็ ความเกดิ ข้ึนและความดับไปของนามและของรูป ทานองเดียวกับที่เห็นแสงไฟที่ธูป ซึ่งแกว่ง
หมุนเป็นวงกลมอย่างเร็วๆ ในท่ีมืดๆ จึงทาให้เห็นไปว่าแสงไฟน้ันติดกันเป็นพืด เป็นวงกลมไปเลย
ฉะน้ันเมื่อไม่เห็นความเกิดดับก็ทาให้เข้าใจผิดไปว่ารูปนามนี้ไม่มีการเกิดดับ เป็นของท่ีเท่ียง เป็นสุข
เป็นตัวตนเราเขา เป็นของสวยงามน่าช่ืนชมยินดี ต่อเมื่อได้กาหนดจนเกิดปัญญาเห็นความดับไปของ
นามของรปู อยา่ งชัดเจนแจ่มแจง้ แล้วจึงจะทาลายวปิ ลาสท่เี หน็ ว่าเทยี่ งย่ังยนื และประหาณมานะได้
๒. อิรยิ าบถ ปิดบงั ทกุ ข์
อิริยาบถ หมายถึง ทุกขเวทนาทั้งหลาย ตามปกติเป็นส่วนมากนั้นเกิดจากอิริยาบถ
เช่น นั่งมากก็เมื่อยเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาแล้วทนอยู่ไม่ได้ เดินมาก็เม่ือยทนไม่ได้ ยืนมากก็ทนไม่ไหว
แม่แต่นอนมาก็ลาบากทนอยู่ไม่ได้นานเหมือนกัน อิริยาบถเก่าเป็นทุกข์น้ันย่อมรู้เห็นกันทั่วไปได้
โดยง่าย เมื่อนั่งนานก็เมื่อยทนไม่ได้จึงลุกเดิน ก็นึกว่าการเดินน้ันเป็นสุขสบายเพราะหายเม่ือย เดิน
นานหน่อยก็เหน่ือยทนไม่ได้อีกจึงนอน ก็นึกว่านอนน้ันเป็นสุขสบายเพราะหายเหนื่อย คือเห็นว่า
อิริยาบถทเี่ ปลี่ยนใหมน่ ั้นเป็นสุข เพราะขณะทีเ่ ปลย่ี นใหม่ๆ น้ที กุ ขเวทนายงั ไม่ทันเกิด แท้จริงอิริยาบถ
เก่าเป็นทกุ ข์ อิริยาบถท่ีเปลยี่ นใหมก่ จ็ ะเปน็ ทกุ ขอ์ กี เหมือนกัน
รวมความว่า หนีทุกข์เก่าไปสู่ทุกข์ใหม่น่ันเอง อิริยบถเก่านั้นเห็นทุกข์ได้ง่ายเพราะ
ทุกขเวทนากาลังมีอยู่ แต่อิริยาบถใหม่ก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ไปได้ จะต้องสาแดงให้ทุกข์ปรากฏข้ึนมา
อยา่ งแน่นอนไม่เร็วก็ช้า อิริยาบถเก่าท่ีกาลังมีทุกขเวทนาอยู่ เป็นท่ีต้ังแห่ง โทมนัส อิริยาบถใหม่ท่ีนึก
ว่าเป็นสุขนั้นก็เป็นท่ีต้ังแห่ง ตัณหา คือ อภิชฌา แต่ว่าการเจริญวิปัสสนาน้ันเพื่อกาจัด อภิชฌาและ
โทมนัส ท้งั สองอย่างท่กี ลา่ วมานี้เปน็ การกล่าวถึงการเห็นทุกขเวทนา ซ่ึงผู้ท่ีเจริญวิปัสสนาย่อมจะเห็น
ทกุ ขเวทนากอ่ นเป็นเบ้อื งต้น เพราะทุกขเวทนาเป็นของหยาบ เห็นได้ง่าย ทุกขลักษณะ คือ ความเกิด
ดับเป็นขั้นที่สาม และจะปรากฏทุกขสัจจ เป็นข้ันสุดท้าย ทุกขเวทนา เห็นได้ในอิริยาบถเก่า เห็น
สังขารทุกข์ได้ในอิริยาบถใหม่ เห็นทุกขลักษณะได้เม่ือกาหนดนามรูปจนสันตติขาด และจะเห็นทุกข
สัจจ ได้ในสังขารุเปกขาญาณท่ีแก่กล้า มีกาลังพอที่จะอนุโลมให้เห็นอริยสัจจท้ัง ๔ ได้ เม่ือเห็นทุกข์ก็
ทาลายวปิ ัลลาสธรรมทีเ่ ห็นวา่ สุขสบายนนั้ ไดแ้ ละประหาณตณั หาลงได้
๒๔ องฺ. สตฺตก.ฎกี า. (บาล)ี ๑/๓๔๑.
๑๑
๓. ฆนสัญญา ปดิ บงั อนตั ตา
ฆนสัญญา คือ ความสาคัญว่าเป็นก้อน เป็นแท่ง ความสาคัญว่าเป็นก้อนเป็นแท่งนั้น
เปน็ ส่งิ ทท่ี าให้เห็นว่าเปน็ ตัวเป็นตน เป็นคนเปน็ สัตว์ ทว่ี า่ เปน็ คนก็สาคัญเอาหมดทั้งก้อนหมดทั้งแท่งน้ี
ว่าเปน็ คน ถา้ ยอ่ ยกอ้ นนแี้ ทง่ นอ้ี อกไปแล้วก็จะมีแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเท่านั้นเอง หา
สงิ่ ที่เป็นคนเป็นตนเป็นตัวนั้นไม่มีเลยถ้ายังถือท้ังก้อนท้ังแท่งว่าเป็นคนอยู่ก็ย่อมจะเข้าใจผิดไปว่าเป็น
ของเที่ยง เพราะยั่งยืนอยู่นับสิบๆ ปี เป็นสุข เป็นสาระ สวยงามน่ารักใคร่ เมื่อเห็นอนัตตา ก็ทาลาย
วปิ ลาสว่า เปน็ ตัวเป็นตนบงั คบั บญั ชานัน้ ได้ และประหาณทิฏฐลงได้ การทาลายสิ่งที่ปกปิดไตรลักษณ์
เพ่อื ให้เหน็ ไตรลกั ษณ์นน้ั มวี ิธีเดียว คือ การกาหนดเพ่งรูปนามตามวิธีที่เรียกว่า เจริญวิปัสสนาภาวนา
ที่กาลงั ศึกษาอยู่ ณ บัดน้ี๒๕’
วธิ ีทาลายเคร่อื งปดิ บงั ไตรลกั ษณ์ทัง้ ๓ ประการนีไ้ ดม้ อี ยู่เพียงทางเดยี วเทา่ น้ันก็คือปฏิบัติ
ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ นอกจากน้ีไม่มีทางอื่นใดอีกเลย๒๖ สติปัฏฐาน ๔ เท่าน้ันที่สามารถทาลาย
วิปลาสและทาให้เกิดวิปัสสนาปัญญาเห็นความจริงของรูปนามได้ อีกนัยหน่ึง วิปัสสนา หมายถึง เห็น
ตามเหตุ ตามการณ์ ด้วยปัญญาตามความเป็นจริง๒๗ แต่ท่ีมนุษย์เห็นผิดไปจากความเป็นจริงน้ันก็
เพราะวิปลาสธรรม ๓ ประการ คือ ทิฏฐิวิปลาส (ความเห็นผิด) จิตวิปลาส (รู้ผิด) และสัญญาวิปลาส
(จาผิด) องค์ของวิปลาสมี ๔ คือ
๑) สุภวปิ ลาส สาคัญผิดว่ารูป-สงั ขาร เปน็ ของสวยงาม
๒) สขุ วปิ ลาส สาคญั ผิดว่ารูป-นามเป็นสุข
๓) นิจจวปิ ลาส สาคญั ผดิ ว่ารูป-นามสงั ขารเทยี่ ง
๔) อัตตวิปลาส สาคญั ผิดวา่ รปู -นามสังขารเป็นตัวตน บญั ชาด่ังใจได้๒๘
วิปลาสธรรมนเ้ี กดิ ขึ้นเพราะไมไ่ ด้กาหนดรคู้ วามจรงิ ของรปู -นาม การทจี่ ะละวิปลาสธรรม
น้ีได้ก็โดยการกาหนดนามรูปตามนัยของสติปัฏฐาน ๔ เท่าน้ัน ในคัมภีร์อรรถกถา๒๙ กล่าวว่า สติปัฏ
ฐาน ๔ มุ่งแสดงการละหรือทาลายวปิ ัลลาสธรรมท้งั ๔ เป็นหลกั คือ
๑) สุภวปิ ัลลาส กาจัดได้ดว้ ยกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน คือละความสาคัญผิดว่ารูป-
นามเปน็ ของสวยงามเสียได้
๒๕ วสิ ทุ ธ.ิ (บาลี) ๓/๒๗๕/
๒๖ ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๑๐๖/๒๕๔.
๒๗ ม.อุ.อ. (บาล)ี ๓/๓๙๙/๒๔๗.
๒๘ อง.ฺ จตุ (ไทย) ๒๑/๔๙/๔๔.
๒๙ ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๙.
๑๒
๒) สุขวปิ ัลลาส จาจัดได้ด้วยเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือละความสาคัญผิดว่า
รปู -นามเปน็ สุขเสยี ได้
๓) นจิ จวปิ ลั ลาส จาจดั ไดด้ ว้ ยจิตตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน คอื ละความสาคัญผิดว่ารูป-
นามเปน็ ของเท่ียงเสยี ได้
๔) อตั ตวปิ ัลลาส จาจัดได้ด้วยธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือละความสาคัญผิดว่า
รูป-นามเปน็ ตวั เปน็ ตนเสยี ได้
๑.๔.๑ การเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปฏั ฐาน ๔
สตปิ ัฏฐาน แปลว่า ธรรมเปน็ ท่ีตงั้ แห่งสติ หรือการปฏิบัติมีสติเป็นประธาน๓๐ อีกนัยหน่ึง
แปลว่า ธรรมอันเป็นอารมณ์ของสติ สาระสาคัญของสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ภิกษุ
ทั้งหลายทางนี้เป็นทางสายเดียว เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและ
ปริเทวะ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุอริยมรรค เพ่ือทาให้แจ้งพระนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏ
ฐาน ๔ คอื
๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียง มีสัมปชัญญะ มีสติกาจัดอภิชฌาและ
โทมนสั ในโลกได้
๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายอยู่ มีความเพียง มีสัมปชัญญะ มีติดกาจัด
อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได้
๓. พิจารณาเห็นจติ ในจิตอยู่มีเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ได้
๔. พิจารณาเห็นธรรมสนธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกาจัด
อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก๓๑
๑.๔.๒ ความสาคัญของสติปฏั ฐาน ๔
๑. กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน หมายถึง การมีสติตั้งม่ันอยู่ในการพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งกาย
คือ รูปขันธ์ ด้วยความเพียร ด้วยสัมปชัญญะ ด้วยสติและไม่ยินดียินร้าย พระพุทธองค์ทรงจาแนกไว้
เป็น ๖ หมวดคือ
๑) พิจารณาลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ให้เห็นการไหลเข้า ไหลออก ติดต่อกันเป็นลา
ยาว ส้ัน สลบั กันไป
๓๐ ที.ม.อ. (บาลี) ๓๖๗-๓๖๘
๓๑ ที.ม.(ไทย) ๑๒/๑๑๔/๑๑๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕.
๑๓
๒) พจิ ารณาอิรยิ าบถ คอื พจิ ารณาการเดนิ ยืน นง่ั นอน ใหร้ คู้ วามเปน็ ไปของอิรยิ าบถ
๓) พิจารณาสัมปชัญญะ คือ พิจารณาความรู้สึกตัวในการเคล่ือนไหวทางกาย เช่น การ
ก้าวไป การถอยกลบั การคแู้ ขนเขา้ การเหยยี ดแขนออก โดยกาหนดใหร้ ูท้ ันทกุ อากปั กิริยาน้นั ๆ
๔) พิจารณาสิ่งปฏิกูล คือพิจารณาความอาการ ๓๒ ในกายของตนมี ผม ขน เล็บ ฟัน
หนงั เป็นต้น ใหเ้ ห็นวา่ เป็นของน่าเกลยี ด
๕) พิจารณาธาตุ คือ พิจารณาดิน น้า ไฟ ลมในกายของตน ให้เห็นโดยความเป็นธาตุ
เหมือนคนฆา่ โค แบ่งอวัยวะของโคทีฆ่ ่าแล้ว ออกเปน็ สว่ นๆ อยา่ งชานาญ
๖) พิจารณาซากศพ ซ่ึงมีลักษณะต่าง ๆ กัน ถึง ๙ ลักษณะ เช่นซากศพท่ีตายแล้ว ๑ วัน
ถึง ๓ วนั แล้วนามาเปรยี บเทยี บกบั กายของตนวา่ มสี ภาพอยา่ งเดยี วกัน๓๒
๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การมีสติตั้งม่ันอยู่ในการพิจารณาเนือง ๆ ซึ่ง
เวทนา คือ ความร้สู ึกเป็นสุขเปน็ ทุกข์หรอื เฉย ๆ เมื่อคราวได้เห็นรูปได้ยินเสียงได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้
ถกู ตอ้ งสิง่ สัมผัสด้วยกาย และไดน้ กึ ถงึ สิง่ ตา่ ง ๆ ท่ีเคยสัมผัสมาแล้วทางประสาทสัมผัสท้ัง ๕ คือ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย โดยพจิ ารณาให้เห็นความเปน็ จริงว่าเป็นแต่เพียงความรู้สึกไม่ใช่ส่ิงท่ีเที่ยงแท้ยั้งยืนไม่ใช่
ตัวตน พระพุทธองคท์ รงจาแนกไว้ ๙ ประการคือ
๑) เสวยสุขเวทนาอยู่ มสี ตริ ะลึกรู้ชัดวา่ กาลงั เสวยสุขเวทนา
๒) เสวยทกุ ขเวทนาอยู่ มสี ติระลกึ รู้ชัดว่า กาลังเสวยทุกขเวทนา
๓) เสวยอเุ บกขาเวทนาอยู่ มีสติระลึกรูช้ ดั วา่ กาลังเสวยอเุ บกขาเวทนา
๔) เสวยสุขเวทนามีอามิสอยู่ มสี ติระลกึ รูช้ ดั วา่ กาลังเสวยสุขเวทนามอี ามสิ
๕) เสวยทกุ ขเวทนามอี ามสิ อยู่ มสี ตริ ะลึกรชู้ ัดวา่ กาลงั เสวยทุกขเวทนามีอามิส
๖) เสวยอเุ บกขาเวทนามสิ อยู่ มสี ติระลึกรู้ชัดว่า กาลังเสวยอุเบกขาเวทนามีอามิส
๗) เสวยสุขเวทนาไมมอี ามิสอยู่ มสี ติระลึกร้ชู ัดวา่ กาลงั เสวยสุขเวทนาไมม่ ีอามสิ
๘) เสวยทกุ ขเวทนาไมม่ อี ามสิ อยู่ มสี ตริ ะลกึ รูช้ ดั วา่ กาลงั เสวยทกุ ขเวทนาไม่มีอามสิ
๙) เสวยอุเบกขาเวทนาไม่มีอามิสอยู่ มีสติระลึกรู้ชัดว่า กาลังเสวยอุเบกขาเวทนาไม่มี
อามิส
๓. จติ ตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน หมายถงึ การมีสติตง้ั ม่นั อยู่ในการพิจารณาเนอื งๆ ซึ่งจิต คือ
ความคดิ ต่างๆ เชน่ พิจารณาดูวา่ จติ มีราคะหรือไม่มีราคะ จิตไม่โทสะหรือไม่มีโทสะ จิตมีโมหะหรือไม่
มีโมหะ โดยพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงความคิดไม่ใช่สิ่งที่เท่ียงแท้ยั่งยืนไม่
ตัวตน พระพุทธองคท์ รงจาแนกไว้ ๑๖ ประการ
๑) เม่ือจิตมรี าคะเกดิ ข้ึน สตติ ามกาหนดรวู้ า่ จติ มรี าคะ
๓๒ ท.ี ม.(บาล)ี ๑๐/๓๗๕/๒๔๙.
๑๔
๒) เมื่อจิตปราศจากราคะ สตติ ามกาหนดรวู้ า่ จติ ปราศจากราคะ
๓) เม่ือจิตมโี ทสะเกิดขน้ึ สตติ ามกาหนดรวู้ า่ จติ มโี ทสะ
๔) เมื่อจติ ปราศจากโทสะ สตติ ามกาหนดรู้วา่ จติ ปราศจากโทสะ
๕) เม่อื จติ มีโมหะเกิดขนึ้ สตติ ามกาหนดรู้วา่ จติ มโี มหะ
๖) เม่อื จิตปราศจากโมหะ สติตามกาหนดร้วู ่า จติ ปราศจากโมหะ
๗) เมื่อจิตหดหแู่ ละทอ้ ถอย สติตามกาหนดรู้วา่ จิตหดหู่ และท้อถอย
๘) เมอ่ื จิตฟุง้ ซ่าน สติตามกาหนดรูว้ า่ จิตฟุ้งซ่าน
๙) เมือ่ จติ เปน็ มหคั คตะ สตติ ามกาหนดรูว้ า่ จติ เปน็ มหัคคตะ
๑๐) เมื่อจิตไมเ่ ป็นมหัคคตะ สตติ ามกาหนดรวู้ า่ จิตไมเ่ ปน็ มหคั คตะ
๑๑) เมอ่ื จติ มจี ติ อน่ื ย่ิงกวา่ (สอุตตร) ใหเ้ อาสติกาหนดรวู้ ่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกวา่
๑๒) เมอ่ื จติ ไมม่ ีจติ อื่นยิง่ กว่า (อนุตตร) สตกิ าหนดร้วู า่ จติ ไมม่ จี ติ อ่นื ยิ่งกว่า
๑๓) เมื่อจติ สงบแล้ว (สมหติ จติ ) สตติ ามกาหนดรวู้ ่า จติ สงบ
๑๔) เมอ่ื จิตไมส่ งบ (อสมาหิตจติ ) สตติ ามกาหนดรูว้ า่ จติ ไมส่ งบ
๑๕)เมอ่ื จิตพ้นจากกเิ ลสแล้ว (วมิ ุตตจติ ) สติตามกาหนดรู้ว่า จิตพ้นจากกิเลส
๑๖) เมอ่ื จิตไม่พ้นจากกิเลส( อวมิ ตุ ต) สตติ ามกาหนดรู้ว่า จติ ไม่พ้นจากกิเลส๓๓
๔. ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน หมายถงึ การพจิ ารณาธรรมอันเปน็ สภาวะ
โดยรวมทั้งรูปธรรมและนามธรรมทั้งภายในภายนอก ต้องกาหนดรู้ไปตามลาดับต้ังแต่
อย่างหยาบ ไปจนถึงอย่างละเอียดท่ีสุดซ่ึงเป็นข้อปฏิบัติท่ีลึกซ้องกว่าการพิจารณาเห็นกาย เวทนา
และจิต อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้ปฏิบัติมา ให้รู้ความจริงแบบอริยสัจ คือ การปฏิบัติไม่ใช่แค่ให้กา
หดรเู้ ร่อื งสภาวธรรมอนั เปน็ ทุกข์ทง้ั ปวงเท่านั้น แต่ต้องมีการกาหนดรู้ทางดับทุกข์รวมไว้ด้วยพระพุทธ
องค์ทรงจาแนกไว้ ๕ หมวด คือ
๑) หมวดนิวรณ์ คือธรรมเป็นเครื่องกั้นหรือห้ามไม่ให้บรรลุกุศลธรรม มี๕ ประการคือ
กามฉันทะ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อทุ ธัจจกุกกุจจะ วจิ ิกจิ ฉา
๒) หมวดขันธ์ คอื กองอุปาทานขันธ์ ๕ กอง คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ
๓) หมวดอายตนะ คือ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะ
ภายนอก ๖ คือ รปู เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธมั มารมณ์
๔) หมวดโพชฌงค์ คือ องค์แห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ ๗ ประการคือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ
ปตี ิ ปสั สัทธิ สมาธิ อุเบกขา
๓๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕.
๑๕
๕) หมวดสัจจะ คือ สภาวธรรมที่เป็นจริงอันประเสริฐ มี ๔ ประการ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ
มรรค๓์ ๔
๑.๔๓ การเจรญิ วิปัสสนา ๔ ประเภท
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาแสดงถึงการเจริญวิปัสสนาหลังจากบรรลุฌานท่ี ๔ โดยออก
จากฌานแล้วกาหนดรู้ลักษณะลมหายใจ เวทนาหรือจิตในปัจจุบันขณะหรือตามรู้องค์ฌานที่ปรากฎ
ชัดในฌานท่ีตนบรรลุแล้วแต่ถ้าผู้โยคี๓๕ ผู้ปฏิบัติไม่อาจทาอย่างนั้นได้ก็สามารถทาตามขั้นตอนใด
ข้นั ตอนหนึ่งตอ่ ไปนี้
- เจริญวิปสั สนาเมือ่ ออกจากตติยฌาน
- เจรญิ วปิ ัสสนาเมื่อออกจากทตุ ิยฌาน
- เจรญิ วปิ สั สนาเมื่ออกจากปฐมฌาน
- เจรญิ วปิ ัสสนาเม่ือบรรลปุ ฐมฌาน
- เจรญิ วปิ สั สนาเม่ือบรรลุอปุ จารสมาธิ
- เจริญวิปัสสนาตั้งแต่กาหนดรูป-นาม (เช่น พอง-ยุบ เป็นต้น) ที่ระงับความฟุ้งซ่านได้
แล้วเป็นอารมณ์ น่ันคอื ตั้งแตส่ มาธริ ะดับขณิกสมาธิเปน็ ต้นไป ในคัมภรี ์อรรถกถาอธิบายว่า โส ฌานา
วุฏฺฐหิตฺวา อสฺสาสปสฺสาเส วา ปริคฺคณฺหาติ ฌานงฺคานิ วา.๓๖ แปลว่า “ภิกษุน้ันออกจากฌานนั้น
แล้ว ย่อมกาหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือองค์ฌาน” ข้อความน้ีกล่าวระบุถึงผู้บรรลุฌานด้วยการ
เจริญอานาปานสติแล้วเจริญวิปัสสนาด้วยการกาหนดรู้ลมหายใจเข้าออกหรือองค์ฌาน แต่ความจริง
แลว้ มิไดม้ งุ่ แสดงว่า ถา้ ไม่บรรลุฌานก็เจรญิ วปิ ัสสนาไมไ่ ด้ เพราะสัณฐานยาวสั้นของลมหายใจเข้าออก
ซึ่งจัดเป็นบัญญัติ เป็นอารมณ์ของสมถยานิก ส่วนวิปัสสนายานิกกาหนดรู้สภาวะเคลื่อนไหวของลม
หายใจทก่ี ระทบจมูก ซ่ึงจัดเป็นโผฏฐัพพารมณ์อันเป็นการกระทบระหว่างวาโยธาตุกับปลายจมูกหรือ
ริมฝีปากบน โดยโผฏฐัพพารมณ์นับเข้าในธรรมานุปัสสนา (โผฏฐัพารมณ์เป็นปรมัตถ์)๓๗การเจริญ
วิปัสสนา จาแนกรูปแบบออกได้เป็น ๔ ประเภท ดังน้ี
๑) สมถปพุ พังคมวิปสั สนา วิปัสสนามสี มถะนาหน้า เรียกเต็มว่า สมถปุพพังคมวิปัสสนา
ภาวนา การเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะนาหน้า๓๘ ความท่ีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอานาจ
๓๔ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๓/๒๕๗.
๓๕ โยคี หมายถงึ ผปู้ ระกอบความเพยี รในกมั มฏั ฐาน เป็นผฉู้ ลาดเฉียบแหลมในการประคองจิต ข่มจติ ทา
จิตให้รา่ เริง จิตตงั้ มน่ั และวางเฉบ(ขุ.ม.อ.(บาลี) ๒๑๐/๔๗๙-๔๘๐.
๓๖ที.ม.อ.(บาล)ี ๒/๓๙๗.
๓๗ พระญาณธชเถระ (เลดสี ยาดอ), อานาปานทีปน,ี หนา้ ๕๕.
๓๘ ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๕๓๕/๔๓๓.
๑๖
แห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธิน้ัน โดย
ความไมเ่ ที่ยง โดยความเปน็ ทกุ ข์ โดยความเป็นอนตั ตา สมถะจึงมีกอ่ น วปิ สั สนามีภายหลัง๓๙
๒) วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ สมถะมีวิปัสสนานาหน้า เรียกเต็มว่า วิปัสสนาปุพพังคม
สมถะภาวนา การเจรญิ สมถะโดยมีวปิ ัสสนานาหน้า๔๐ มีสภาวะพิจารณาเห็นโดยความไม่เท่ียง ชื่อว่า
วปิ สั สนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเหน็ โดยความเปน็ ทุกข์ ชื่อวา่ วิปสั สนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็น
โดยความเปน็ อนัตตา สภาวะท่ีจิตปล่อยธรรมทั้งหลายท่ีเกิดในวิปัสสนาน้ันเป็นอารมณ์ และสภาวะที่
จติ เปน็ เอกคั คตารมณ์ไมฟ่ ุง้ ซ่าน เป็นสมาธิวปิ สั สนาจงึ มีก่อน สมถะมีภายหลัง๔๑
๓) ยุคนัทธสมถวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนาเข้าคู่กัน เรียกเต็มว่า สมถวิปัสสนายุคนัทธ
ภาวนาการเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่ไปด้วยกัน๔๒ การเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป ด้วย
อาการ ๑๖ อยา่ ง
๑. ดว้ ยมีสภาวะเปน็ อารมณ์ ๒. ดว้ ยมีสภาวะเปน็ โคจร
๓. ด้วยมสี ภาวะละ ๔. ด้วยมสี ภาวะสละ
๕. ดว้ ยมสี ภาวะออก ๖. ดว้ ยมสี ภาวะหลีกออก
๗. ด้วยมสี ภาวะเป็นธรรมละเอียด ๘. ดว้ ยมสี ภาวะเปน็ ธรรมประณีต
๙. ด้วยมีสภาวะหลุดพน้ ๑๐. ดว้ ยมีสภาวะไม่มีอาสวะ
๑๑. ดว้ ยมีสภาวะเปน็ เคร่อื งขา้ ม ๑๒. ด้วยมีสภาวะไม่มีนมิ ติ
๑๓. ด้วยมสี ภาวะไมม่ ปี ณิหติ ะ ๑๔. ดว้ ยมีสภาวะเปน็ สญุ ญตะ
๑๕. ดว้ ยมสี ภาวะมรี สเปน็ อย่างเดียวกัน ๑๖. ดว้ ยมสี ภาวะเป็นค่กู ันไมล่ ่วง
เม่ือละอุทธัจจะ จึงมีสมาธิ คือ ความที่จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็น
อารมณ์ เมื่อภิกษุน้ันละอวิชชา จึงมีวิปัสสนา เพราะมีสภาวะพิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นอารมณ์ด้วย
ประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีรสเป็นอย่างเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเลยกันด้วยมีสภาวะเป็น
อารมณ๔์ ๓
๔) ธัมมุธัจจวิคคหิตมานัส วิธีปฏิบัติเม่ือจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์ คือความฟุ้งซ่าน
ธรรมหรือต่ืนธรรม (ความเข้าใจผิดยึดเอาผลท่ีประสบในระหว่างว่าเป็นนิพพาน)๔๔ มีใจถูกอุทธัจจะ
๓๙ ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๒/๔๑๔
๔๐ ม.อุ.อ.(บาล)ี ๑/๑๐๕,วสิ ุทฺธ.ิ (บาล)ี ๒/๓๓๓.
๔๑ ขุ.ป. (บาล)ี ๓๑/๔/๓๑๐, ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๔/๔๑๘.
๔๒ ม.อุ (ไทย) ๑๔/๑๕๓-๖๕/๑๑๖-๑๒๒.
๔๓ ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๕/๔๒๐-๔๒๔.
๔๔ ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๔๒-๓/๔๔๕-๘.
๑๗
ในธรรมกั้นไว้ ในเวลาท่ีจิตตั้งม่ันสงบอยู่ภายใน มีสภาวะท่ีจิตเป็นหน่ึงผุดข้ึน ตั้งมั่นอยู่มรรคก็เกิดแก่
เธอ..๔๕ จิตย่อมกวัดแกว่ง หว่ันไหว เพราะโอภาส เพราะญาณ เพราะปีติ เพราะปัสสัทธิ เพราะสุข
เพราะอธิโมกข์ เพราะปัคคหะ เพราะอุปัฏฐาน เพราะอุเบกขา เพราะน้อมนึกถึงอุเบกขาและนิกัน
๑.๕ สุทธวิปัสสนา
สุทธวิปัสสนาภาวนา คือ การเจริญวิปัสสนาล้วนๆ ผู้ปฏิบัติจนเห็นแจ้งแล้วเรียกว่า
สุกขวิปัสสกบุคคล หรือวิปัสสนายานิบุคคล คือแม้แต่จิตที่สงบช่ัวขณะก็สามารถนามาเป็นพื้นฐาน
เจริญวิปัสสนาได้๔๗ คัมภีร์มูลปัณณาสฎีกากล่าวว่า “น หิ ขณิกสมาธึ วินา วิปนฺสนา สมฺภวติ”๔๘
แปลวา่ หากขาดขณกิ สมาธิ วปิ สั สนาก็เกิดไม่ได้ คือต้องอาศัยขณิกสมาธิเป็นบาทจึงจะเจริญวิปัสสนา
ได้ เมื่อวิปัสสนาญาณสูงขึ้นตามลาดับ การเพ่งลักษณะอารมณ์ก็จะแนบแน่นขึ้นเช่นกัน เมื่อมรรคจิต
เกิดข้ึนก็ย่อมบริบูรณ์พร้อมด้วยองค์ฌานท้ัง ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) จัดว่าเป็นปฐมฌานโส
ตาปัตติมัคจิต สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ของสุขวิปัสสกบุคคล ก็จัดเข้าเป็น
ปฐมฌานด้วยกันทง้ั สนิ้ ตามที่ปรากฎในคมั ภรี ์อรรถกถาวา่ “วิปสฺสนานยิ เมน หิ สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺ
นมคโฺ คปิ สมาปตตฺ ิลาภโิ น ฌาน ปาทก อกตฺวา อปุ ฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌาน ปาทก กตฺวา ปกิณฺณกสงฺ
ขาเร สมมฺ สิตวฺ า อปุ ปฺ าทติ มคฺโคปิ ปฐมชฌฺ านโิ กว โหติ สพฺเพสุ สตฺต โพชฺฌงฺคานิ อฏฐฺ มคฺคงฺคานิ ปญฺจ
ฌานงคฺ านิ โหติ.๔๙
แปลว่า มรรคท่ีเกิดข้ึนแก่พระสุกขวิปัสสกโดยกาหนดวัสสนาก็ดี, มรรคที่ไม่ทาฌานให้
เป็นบาทเกิดขึ้นแก่ผู้ได้สมาบัติก็ดี, มรรคท่ีภิกษุทาปฐมฌานให้เป็นบาทแล้วพิจารณาสังขารเล็กๆ
นอ้ ยๆ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ก็ด,ี ในมรรคทงั้ หมดน้ัน มโี พชฌงค์ ๗ องค์มรรค ๘ องคฌ์ าน ๕ อยู่ดว้ ย
แสดงว่าแม้มรรคที่เกิดข้ึนแล้วแก่ผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ก็ย่อมประกอบด้วยองค์
ปฐมฌาน คอื วติ ก วิจาร ปตี ิ สุข เอกคั คตา อย่างครบถว้ น
ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลผู้ควรรับทักษิณาทาน ๑๐ จาพวก
บุคคลประเภทที่ ๔ คือ ผู้ที่บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาล้วนหรือที่เรียกว่า
สุกขวปิ สั สกบุคคล๕๐คือทา่ นผู้เปน็ ปัญญาวิมุตติ (ผหู้ ลุดพน้ ดว้ ยปญั ญา) หมายถึง พระอรหันต์ผู้บาเพ็ญ
๔๕ ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๕/๔๒๕-๔๒๖.
๔๖ ข.ุ ป. (ไทย) ๓๑/๗/๔๒๖.
๔๗ ขุ. เถร.อ. (บาล)ี ๒/๑๒๘๘/๖๐๓.
๔๘ วิสทุ ธฺ .ิ มหาฎกี า (บาลี) ๑/๓/๑๕, ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๔๙/๒๕๗.
๔๙ ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑ / ๓๒๔, อภิ.สง.ฺ อ. (บาลี) ๑/๔๔๓.
๕๐ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๖/๒๙.
๑๘
วิปัสสนาล้วนๆ มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ แต่ส้ินอาสวะเพราะเห็นด้วยปัญญา๕๑ สมัยพุทธกาลพระอริยะ
ประเภทปัญญาวิมุตติมีมากกว่าฌานลาภี พระอริยะท่ีเป็นสุกขวิปัสสกบุคคล เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า
ปัญญาวิมุตติมีจานวนมากพระอริยะที่เป็นฌานลาภีบุคคล เรียกอีกช่ือหน่ึงว่าเจโตวิมุตติ น้ันมากมาย
ในคัมภีร์สังยุตนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า “อิเมส หิ สารีปุตฺต ปญฺจนฺน ภิกฺขุสตาน
สฏฐฺ ิ ภิกฺขู เตวิชชฺ า สฏฐฺ ิ ภกิ ขฺ ู ฉฬภิญญฺ า สฏฺฐิ ภกิ ขฺ ู อุภโตภาควิมตุ ตฺ า อถ อิตเร ปญญฺ าวมิ ตุ ฺตา”๕๒
แปลว่า ดูก่อนสารีบุตร ในพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ๖๐ รูป เป็นเตวิชชบุคคล ๖๐ รูปเป็นฉฬ
ภญิ ญาบุคคล ๖๐ รปู เป็นอุภโตภาควมิ ุตติบุคคล เหลือนอกน้นั ทงั้ หมดเปน็ ปญั ญาวิมตุ ตบิ ุคคล๕๓
พระพุทธเจ้าตรัสสภาวะจิตของพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะว่า “ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเม่ือ
มนสิการสักกายะ จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ไม่เล่ือมใส ไม่ต้ังอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ แต่ เม่ือ
มนสิการถึงความดับสักกายะ จติ ของเธอจงึ แล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ น้อมไปในความดับสักกายะ จิตน้ัน
ของเธอช่อื ว่าเป็นจติ ดาเนนิ ไปดแี ลว้ เจรญิ ดแี ล้ว ต้ังอยดู่ ีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากสักกา
ยะ เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ และความเร่าร้อนท่ีก่อความคับแค้นซ่ึงเกิดข้ึนเพราะสักกายะเป็น
ปจั จยั ยอ่ มไมเ่ สวยเวทนานน้ั เรียกว่า ธาตทุ ่ีสลดั สักกายะ”๕๔
คัมภีร์อรรถกถาอธิบายเสริมว่า “นี่เป็นวิธีการที่พระอรหันต์ผู้บาเพ็ญวิปัสสนาล้วนๆ ส่ง
จิตในอรหัตตผลสมาบัติไปยงั อุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเพื่อจะทดสอบ
ดูวา่ ความยดึ ม่ันในรูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณว่าเปน็ อัตตา ยงั มีอย่หู รือไม่”๕๕
๑.๖ ทาไมตอ้ งเจริญวิปสั สนา
ความเข้าใจของผู้ปฏิบัติหลายท่านคิดว่า การปฏิบัติสมถภาวนาดีกว่าวิปัสสนาภาวนาเพราะ
สมถะฝึกแล้วทาให้เราเหาะได้ รู้ใจคนอ่ืนได้ เสกมนต์คาถาอาคมขลัง ส่วนวิปัสสนาล้วนๆทาเช่นน้ัน
ไมไ่ ด้ แต่ถงึ อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็นเพียงปุถุชนที่ยังต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ใน
ภูมิท้ัง๕ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้องตกอบาย ทรมานในนรกอีกนับชาติไม่ถ้วน ส่วนผู้ที่ปฏิบัติ
วิปัสสนาน้ันถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถาไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง และ
ตง้ั แต่ชาติน้ีเปน็ ต้นไปจะไมต่ กอบายภูมอิ กี เลยไมว่ ่าในอดตี เคยทาปาบอกุศลไวม้ ากมายปานใดกต็ าม
๕๑ องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑
๕๒ ส.ส. (บาล)ี ๑๕/๒๑๕/๒๓๐.
๕๓ ส.ส.(ไทย) ๑๕/๒๑๕/๓๑๓.
๕๔ องฺ.ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๒๐๐/๓๔๑.
๕๕ อง.ฺ ปญจฺ ก.อ.(บาล)ี ๓/๒๐๐/๘๓.
๑๙
ผลจากสมถะไม่ว่าจะเป็นฌานสมาบัติหรือภิญญาก็ตามยังเป็นเพียงโลกีย์ เป็นของปุถุชน
เส่ือมถอยได้ เช่น ฤทธ์ิท่ีพระเทวทัติได้ เจโตวิมุติของพระโคธิกะ และฌานสมาบัติของภิกษุสามเณร
ฤาษีและคฤหัสถ์ บางท่านท่ีเล่าต่อกันมาในคัมภีร์ต่างๆเป็นของมีมาก่อนพุทธกาล เช่น อาฬารดาบส
กลามโคตรได้ถึงอรูปฌานที่๓ อุททกดาบสสรามบุตรได้ถึงอรูปฌานท่ี๔เป็นต้น เป้นของมีได้ในลัทธิ
ภายนอกพระพุทธศาสนา มิใช่จุดหมายของพระพุทธศาสนา เพราะไม่ทาให้หลุดพ้นจากกิเลสทุกข์ได้
อย่างแท้จริง นักบวชบางลัทธิทาสมาธิได้ฌาน ๔ แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิเกี่ยวกับเร่ืองอัตตาและยึดถือใน
ฌานน้ันว่าปน็ นิพพานกม็ ี ลัทธิเชน่ น้ีพระพุทธเจ้าทรงปฏเิ สธ
ผลท่ีต้องการจากสมถะตามหลักพระพุทธศาสนาคือการสร้างสมาธิเพ่ือใช้เป็นบาทฐาน
วิปัสสนาจุดหมายสุงสุดของพระพุทธศาสนาสาเร็จด้วยวิปัสสนาคือการฝึกอบรมปัญญาที่มีสมาธินั้น
เป็นบาทฐาน หากบรรลุจุดหมายสูงสุดด้วยและยังได้ผลพิเศษแห่งสมถะด้วยก็จัดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติ
พิเศษได้รับการยกยอ่ งถือนับอย่างสงู แต่หากบรรลุจุดหมายแห่งวิปัสสนาอย่างเดียวไม่ได้ผลวิเศษแห่ง
สมถะ กย็ ังเลศิ กว่าได้ผลวิเศษแห่งสมถะคือไดฌ้ านสมาบัติและอภิญญา ๕ แต่ยังไม่พ้นจากอวิชชาและ
กเิ ลสตา่ งๆไมต่ ้องพดู ถึงจดุ หมายสูงสดุ แมแ้ ต่เพยี งข้ันสมาธิ ทา่ นก็กล่าวว่า พระอนาคามีถึงแม้จะไม่ได้
ฌานสมาบตั ิ ไมไ่ ด้อภิญญา ก็ชื่อว่าเป็นผู้บาเพ็ญสมาธิบริบูรณ์๕๖ เพราะสมาธิของพระอนาคามีผู้ไม่ได้
ฌานสมาบตั ิ ไมไ่ ด้อภญิ ญานั้น แม้จะไม่ใช่สมาธิท่ีสูงวิเศษอะไรนักแต่ก็เป็นสมาธิที่สมบูรณ์ในตัวย่ังยืน
คงระดับมีพื้นฐานม่ันคงเพราะไม่มีกิเลสท่ีจะทาให้เสื่อมถอยหรือรบกวนได้ตรงข้ามกับสมาธิของผู้
เจริญสมถะอย่างเดียวจนได้ฌานสมาบัติและอภิญญาแต่ไม่ได้เจริญวิปัสสนาไม่ได้บรรลุมรรคผลแม้
สมาธินั้นจะเป็นขั้นสูงมีผลพิเศษแต่ขาดหลักประกันที่จะทาให้ย่ังยืนมั่นคงผู้ได้สมาธิอย่างนี้ถ้ายังเป็น
ปุถุชนก็อาจถูกกิเลสครอบงาทาให้เส่ือมถอยได้ การทาบุญกุสลย่อมนาความสุขความเจริญมาให้
ผู้กระทาในชาติต่อๆไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การทาบุญให้ทานที่ชาวพุทธนิยมทาอยู่ทุกวันน้ี ส่งผลให้
ได้ไปเกิดเพยี งแคส่ วรรค์ ๖ ชน้ั เทา่ นน้ั เม่ือหมดบุญก็ต้องกลบั มาเกิดเป็นคนอีก และถ้าเคยทาบาปไว้ก็
ต้องไปทรมานในนรกอีกหลายแสนโกฏิปี ไปเกดิ เปน็ เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง ในพระไตรปิฎกบอก
ว่า เทวดาและเวหัปผลาพรหมเม่ือเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ยังต้องไปตกนรกหมกไหม้เสียส่วนมาก
น่นั แสดงว่าแมแ้ ตพ่ รหมและเทวดาก็ยงั ไมพ่ น้ นรก แลว้ มนุษยอ์ ยา่ งเราๆ จะเหลอื อะไร?
ด้วยเหตุผลดังกล่าวน้ี การท่ีเราได้สั่งสมบุญไว้มาก จึงไม่ได้รับประกันว่าเราจะหลุดพ้น
จากทกุ ข์ใหป้ ระสบสุขช่ัวนริ ันดร์ หรอื ไม่ตอ้ งกลับไปตกนรกอีกได้ แต่ถึงกระนั้น บุญก็เป็นปัจจัยสาคัญ
ในหลายเหตปุ ัจจัยทีจ่ ะเปน็ บนั ไดใหเ้ ราก้าวไปส่คู วามพน้ ทกุ ข์ได้
๕๖ ขุ.ป.อ.(บาลี) ๑/๑๐๘/๒๐๙, อภ.ิ ส.อ.(บาล)ี ๑/๗๐๔/๒๘๕.
๒๐
ครั้งหนึ่ง อุตตรเทพบุตรเข้าไปอวดความรู้กับพระพุทธเจ้าว่า‛ชีวิตถูกชรานาไป อายุจึง
ส้ัน ไม่มีผู้ใดต้านทานความชราท่ีจะมาถึงได้ บุคคลเมื่อพิจารณาเห็นภัยในความตายแล้วควรเร่ง
บาเพ็ญบญุ ซึ่งจะนาความสขุ มาให้“แตพ่ ระพุทธเจา้ ตรสั แยง้ วา่
‛ชีวิตถูกชรานาเข้าไป อายุจึงส้ัน ไม่มีผู้ใดต้านทานความชราท่ีจะมาถึงได้ บุคคลเม่ือ
พิจารณาเห็นภัยในความตายแล้ว ควรละความปรารถนาในโลกเสยี แล้วมงุ่ สพู่ ระนิพพานเถิด
หมายความว่า ถึงเราได้ทาบุญไว้มายมายปานใดก็ตาม ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากทุกข์และ
นรกได้ เหมอื นกบั แสงสว่างในกลางวันย่อมตามมาด้วยความมืดมิดในยามค่าคืนเสมอ จนกว่าจะเข้าสู่
มรรค ผล นิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง หรือ โยคีบุคคลผู้เจริญวิปัสสนา
ถงึ ญาณท๑ี่ ๔ แล้ว โสดาปัตติมรรคญาณจะทาหน้าที่ประหาณมิจฉาทิฏฐิและวิจิกิจฉาได้เด็ดขาด เป็น
ผู้มีศีล ๕ อยู่โดยปกติ มีศรัทธาตั้งม่ันในพระรัตนตรัย ไม่ตกไปในนรกอีกแล้ว มีความแน่นอนที่จะ
สาเร็จสัมโพธิอีกไม่เกิน ๗ ชาติ
๑.๗ ประโยชน์ของวิปัสสนา
การเจริญวิปัสสนาแลว้ มีประโยชน์ทเ่ี กิดขึน้ จากการปฏิบัติสมาธิภาวนามีมากมายจนยาก
ท่ีจะอธิบายให้เห็นจริงได้จนกว่าผู้ปฏิบัตินั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเองพอกล่าวเป็น
ตวั อยา่ งได้ดังนี้
๑. ทาใหจ้ ติ ใจเกดิ ความสงบเยือกเย็นเปน็ สุข๕๗
๒. ปิดประตูอบาย คือ เม่ือบรรลุโสดาบันแล้ว ต้ังแต่ชาติน้ีเป็นต้นไปจะไม่ตกนรก๕๘ไม่
เกิดเปน็ เปรต อสุรกาย และสตั ว์เดรัจฉานอีกเลย๕๙
๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้วทาให้โรค
บางอย่างหายได้ เช่น โรคมะเรง็ โรคหวั ใจ ต่อมไทรอย โรคเก่ียวกับลมและเลือด๖๐
๔. ถ้ามีเหตุใหป้ ฏิบตั ิไม่สาเรจ็ ไปตดิ อยเู่ พียงแคญ่ าณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่าเพราะจะเกิด
ปัญญาญาณที่จะใชใ้ นการแกป้ ญั หาตา่ งๆ ในโลกได้
๕. แกอ้ าถรรพ์ มนต์ดาได้ ไม่ว่าจะถูกของหรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เม่ือปฏิบัติจนถึงสังขา
รุเปกขาญาณแลว้ อาถรรพ์จะหายไปจนเกล้ียง
๕๗ อง.ฺ อฏฐฺ ก.อ. (บาล)ี ๓/๖๕-๖/๒๗๐-๒.
๕๘ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๓/๑๔๑.
๕๙ ส.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๖/๕๐๙.
๖๐ พนิ จิ รตั นกุล.ศ.ดร. สวดมนต์ สมาธิ วิปัสสนา รักษาโรคได้. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๓ นนทบรุ ี, บริษัทเพชรรุ่งการ
พมิ พ์จากดั , ๒๕๔๗.
๒๑
๖. บรรลุมรรค ผล นพิ พานได้๖๑ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกใน ๓๑ ภูมิ หรือในสังสารวัฏฏ์อีก
อนั เปน็ จดุ ประสงคส์ งู สุดอย่างแทจ้ ริงในพระพุทธศาสนา๖๒
อานิสงสจ์ ากการเจริญวปิ สั สนา ๔ ประการ คอื
๑. มีสตมิ ั่นคงไม่ตายดว้ ยความหลง๖๓
๒. ได้เกิดอยูใ่ นสคุ ตภิ มู ิ (คือมนุษย,์ สวรรค)์
๓. ถา้ อุปนสิ ัยยงั อ่อนอยู่ กจ็ ะเป็นอุปนสิ ยั ติดขนั ธสันดานไปในภพหน้า๖๔
๔. ถ้ามีอุปนิสัยและอินทรีย์แก่กล้า ก็จะทาพระนิพพานให้แจ้งด้วยปัญญาภายใน ๗ วัน
หรอื ๗ เดอื น หรือ ๗ ปี พระอรหันต์หรอื พระอนาคามี พงึ หวงั ได้๖๕
ผลสาเร็จของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือ ญาณ มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเป็นผลมา
จากแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพียงหน่ึงเดียวเท่านั้น (เอกายนมรรค๖๖) ประกอบด้วยช่วงแห่งความ
บริสุทธ์ิ ๗ ทอด๖๗ อันจาแนกออกได้เป็นการศึกษา ๓ ข้ันตอน คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ปรากฎผล
เปน็ สภาวะญาณ
ญาณ คอื ปญั ญาหรืออโมหะ ซงึ่ ทัง้ สามคานีต้ ่างกนั แต่พยัญชนะเท่าน้ัน แต่โดยองค์ธรรม
เป็นอันเดียวกัน คือปัญญาเจตสิก จิตที่ประกอบกับปัญญาเรียกว่าญาณสัมปยุต๖๘หรือปัญญินทรีย์
(ภาวะรู้ ภาวะทฉ่ี ลาด ภาวะที่รูล้ ะเอยี ด ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ความเห็น
แจง้ ความรดู้ ี)๖๙
ในคัมภรี ว์ ิสุทธมิ รรคแสดงลักษณะของญาณไวด้ งั นวี้ า่ “ญาณมีการตรสั รู้สภาวะแห่งธรรม
เป็นลักษณะ มีการกาจัดเสียซ่ึงความมืด คือโมหะ อันปิดบังสภาวะแห่งธรรมท้ังหลายเป็นรส มีความ
หายหลงเป็นผล ส่วนสมาธิจัดเป็นปทัฏฐาน (คือเหตุใกล้) ของญาณนั้น๗๐ ซ่ึงมีพระบาลีรับรองว่า
๖๑ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๙๗/๒๓๕-๒๓๗, ม.ม.(บาล)ี ๑๓/๑๙๗/๑๗๕-๖.
๖๒ บรรลอุ รหตั ตผลแล้ว ไม่กลับมาเกิดในครรภอีกตอ่ ไป ขุ.ขุ.อ.(บาล)ี ๙/๒๒๕.
๖๓ ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๘๙/๔๗๕.
๖๔ ส.ม. (ไทย) ๑๙/๔๙๔/๓๐๔.
๖๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๓๘.
๖๖ องฺ.ทุกฺก. (ไทย) ๒๐/๘๘/๓๑๕.
๖๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๕๗-๒๕๙/๒๗๗-๒๘๓.
๖๘ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกาแปล, พิมพ์คร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์มหามกุฏราช
วิทยาลยั ,๒๕๓๕),หนา้ ๙๖.
๖๙ อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/๓๔/๓๓.
๗๐ วิสุทธฺ .ิ (ไทย) ๓/๕.
๒๒
“สมาหิโต ยถาภูต ชานาติ ปสสฺ ติ แปลวา่ ผมู้ ีจติ ตง้ั ม่ันแล้ว (เป็นสมาธิ) ยอ่ มรู้เห็นตามเป็นจริง๗๑ คือ
ธรรมชาติท่ีรู้แจ้งตามความเป็นจริงที่เรียกว่ารู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีลักษณะแห่ง
การรู้สภาวธรรมตามแหง่ ธรรมทง้ั หลาย คอื ลักษณะ ๓ มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีลักษณะส่องแสงให้
ความสว่าง และกาจัดความมดื หรือกาจัดอวชิ ชา คือความไม่รู้ซึ่งเป็นเหมือนกับความมืดอันทาให้หลง
ให้ส้ินสูญในขณะเดียว ก็ทาวิชชา คือความรู้ซ่ึงเปรียบเสมือนแสงสว่างให้เกิดข้ึน ทาให้หายจากความ
หลงมีลกั ษณะรู้ทั่วถงึ ธรรมท้งั หลาย มลี กั ษณะการแทงตลอดสภาวธรรม ช่อื วา่ ญาณ
สภาวญาณในการเจริญวิปัสสนาจาแนกประเภทตามท่ีรู้จักกันท่ัวไปออกได้เป็น ๒ กลุ่ม
ใหญ่ ๆ คือ วปิ สั สนาญาณ ๙ และวปิ ัสสนาญาณ ๑๖๗๒
๑) ในคมั ภีร์วิสทุ ธิมรรคแสดงลาดบั ญาณไว้ ๑๖ ญาณ นับตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณไป
จนถงึ ปัจจเวกขณญาณ ซงึ่ บังเกดิ แก่ผู้เจริญวิปสั สนาแบบวปิ สั สนายานกิ หรอื สุทธิวิปสั สนา
ญาณ ๑๖ คือ ลาดับญาณที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงแก่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาล้วนหรือท่ี
เรยี กวา่ การเจรญิ สทุ ธญาณกิ วิปัสสนา ตามลาดับมี ๑๖ ประการ แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คอื
๑. ญาณระดับต้น เป็นญาณเห็นรูป-เห็นนาม ได้แก่ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคห
ญาณ และสัมมสนญาณ ยังเป็นญาณท่ีเป็นไปด้วยอานาจสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญาอยู่ ยังมี
อารมณเ์ ปน็ สมถะ คือเปน็ บญั ญตั ิอารมณผ์ สมอยมู่ าก
๒. ญาณระดับกลาง เปน็ ญาณเห็นไตรลักษณ์ในรูปนาม ได้แก่ อุทยัพพยญาณ เป็นญาณ
ที่เปน็ ไปด้วยอานาจภาวนามยปญั ญา แตย่ งั มจี ินตามยปญั ญาผสมอยู่บ้าง มีอารมณ์เป็นวิปัสสนา คือมี
รปู นามปรมตั ถเ์ ป็นอารมณ์
๓. ญาณระดับสูง เป็นญาณรู้แจ้งพระไตรลักษณ์ เห็นความไม่เท่ียง เห็นความทนสภาพ
อยู่ไม่ได้ เห็นความไม่ใช่ตัวตนในทุกรูป-ทุกนามที่กาหนดรู้ ได้แก่ ภังคญาณเป็นต้นไป เป็นไปด้วย
อานาจภาวนายปญั ญาโดยแท้ มอี ารมณป์ รมัตถเ์ ท่านั้น๗๓
๒) ในคัมภีร์พระไตรปิฎกแสดงวิปัสสนาญาณ ๙ ขั้น คือ ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา
สามารถนาบุคคลผู้ปฏิบัตินนั้ ไปสโู่ ลกุตตรปญั ญาไดห้ ลดุ พ้นจากกิเลสอาสวะทัง้ ปวง นับตั้งแต่ญาณท่ี ๔
อุทยพั พยญาณ จนถึงญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ เพราะอุทยัพพยญาณเป็นญาณแรกท่ีรู้เห็นไตรลักษณ์
๗๑ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๗/๑๘.
๗๒ ข.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๕๕.
๗๓ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสั สนานยั เลม่ ๑, พระพรหมโมลี (สมศกั ด์ิ อุปสโม ป.ธ.๙, M.
A.Ph.D.), ตรวจชาระ, หนา้ ๖๙.
๒๓
ด้วยปัญญาชนิดท่ีเรียกว่าภาวนามยปัญญาโดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยจินตามยปัญญาเข้ามาช่วย
ปรากฏแกผ่ ู้เจรญิ วปิ ัสสนาแบบสมถยานิก๗๔
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาญาณ ๙ ผ่านมาแล้วจะเกิดความรู้แจ้ง เห็นจริง คือเข้าถึงญาณทัสนะวิ
สุทธิและในระหว่างนนั้ จะเกิดญาณหนึ่งคือโคตรภูญาณ แปลว่า ญาณครอบโคตร หมายถึง ญาณที่อยู่
ท่ามกลางระหวา่ งเป็นปุถุชนกับอริยชน เปรียบเหมือนคนข้ามเรือ เมื่อเรือเข้าเทียบท่าแล้วก้าวขาข้าง
หน่ึงลงไปเหยียบบนเรือ ส่วนขาข้างหน่ึงยังอยู่บนบก จะกล่าวว่าบุรุษผู้น้ีอยู่บนบกหรือในน้าอย่างใด
อย่างหน่งึ เพยี งอย่างเดียวยอ่ มไม่ได้ เพราะตามสภาพท่ีเป็นจริง บรุ ษุ คนน้ไี ดอ้ ยู่ในนา้ และบนบก สภาพ
จิตของผู้เข้าถึงโคตรภูญาณน้ีเป็นเบื้องต้นแห่งโสดาปัตติมรรค ญาณเปรียบเหมือนแสงเงินแสงทอง
เป็นนิมิตหมายแห่งพระอาทิตย์กาลังจะข้ึน ตัววิปัสสนาญาณ ๙ และโคตรภูญาณน้ีจะเรียงลาดับ
ขั้นตอนที่จะให้จิตเข้าถึงตัววิปัสสนาผู้ปฏิบัติเมื่อผ่านข้ันตอนมาโดยลาดับแล้วจะได้บรรลุมรรคผลอัน
เป็นเปา้ หมายสงู สดุ แห่งชีวติ ๗๕
สรุป พฒั นาการของวปิ ัสสนากมั มัฏฐานมมี าตั้งแต่สมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงค้นพบ
วธิ กี ารเจริญวปิ ัสสนาหลังจากศกึ ษาอยู่เปน็ เวลา ๖ ปีและได้วางหลักการและวิธีการปฏิบัติไว้จนม่ันคง
จึงทรงปรินิพพานหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วพุทธศาสนาได้แผ่ไพศาลออกมาหลังจากการทาตติย
สังคายนาเสร็จส้ินแล้วมีพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณะฑูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายัง
ประเทศต่างๆ ถึง ๙ สาย จึงทาให้พุทธศาสนามาประดิษฐานอย่างม่ันคงในถิ่นสุวรรณภูมิมีท้ังคันถะ
ธุระและวิปัสสนาธุระแต่ส่วนใหญ่สนใจเร่ืองคันถะธุระกันมากเพราะเห็นผลเป็นรูปธรรมทาให้มีลาภ
สักการะยศตาแหน่งช่ือเสียงทางสังคมส่วนวิปัสสนาธุระน้ันเป็นเร่ืองของนามธรรมโดยใช้รูปนามขันธ์
ห้าเป็นอุปกรณ์ในการฝึกฝนอบรมตนไปตามมรรควิธีของแนวสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนา
เวทนานุปัสสนา จิตตานุปสั สนา และธัมมานุปัสสนา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปทาลายความเห็นผิดท่ีว่า
กายนี้เป็นของงาม (สุภวิปลาส) เป็นสุข (สุขวิปลาส) เท่ียงแท้ (นิจจะวิปลาส) และบังคับบัญชาได้
(อัตตะวิปลาส) เม่ือได้อบรมจิตในเส้นทางของวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่แล้วปัญญา
ญาณกจ็ ะเกิดขน้ึ ไปตามลาดบั ตงั้ แต่นามรูปปรทิ เฉทญาณ ปจั จยปรคิ คหญาณ ไปจนถึงปัจจเวขณญาณ
ในทีส่ ดุ จนเหน็ ความจริงของชีวิตว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนได้อย่างแท้จริงก็จะได้รับประโยชน์
จากการเจริญวิปัสสนาท่ีพระพุทธองค์ทรงตรัสไวว่าเพื่อความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพื่อระงับความ
๗๔ ฝ่ายวชิ าการอภธิ รรมโชตกิ ะวิทยาลัย. วิปสั สนากรรมฐาน. (กรงุ เทพฯ : พมิ พท์ ่ีมูลนิธิสทั ธัมมโชตกิ ะ
,๒๕๒๘), หนา้ ๒.
๗๕พระครูปลัดสมั พิพฒั นธรรมาจารย,์ . ป.ธ. ๘. เอกสารประกอบการสอน สมั มนาวปิ สั สนาภาวนา, บณั ฑติ
วทิ ยาลัย,(นคนปฐม : ศูนยบ์ ณั ฑติ ศกึ ษาวทิ ยาเขตบาฬีศกึ ษาพุทธโฆส,๒๕๕๕),หน้า ๑๐๕.
๒๔
เศร้าโศกและความคร่าครวญ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุอริยมรรค เพื่อทาให้แจ้งซ่ึงพระ
นิพพานชื่อว่าอยจู่ บพรรมจรรย์ของภกิ ษุบรษิ ัทอนั เปน็ จุดมงุ่ หมายสงู สุดในพระพุทธศาสนา
บทที่ ๒
หลักการปฏิบตั ใิ นกายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน
ความนา
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจาเป็นจะต้องศึกษาหลักการและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา
กัมมัฏฐานให้ถูกต้องหลักการนั้นเปรียบเสมือนแผนที่ส่วนวิธีการน้ันเปรียบเสมือนการเดินทางไปสู่
จุดหมาย หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐานน้ันไม่มีในศาสนาอื่น จึงเป็นหลักการ
ปฏบิ ัติเฉพาะในพระพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่าน้ันซ่ึงเป็นหลักการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญารู้เท่าทัน
สภาวธรรมตามความเป็นจริงสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง และสามารถละสังโยชน์คือ
กิเลสท่ีผูกใจสัตว์ไว้ซ่ึงเป็นอาสวะที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของมนุษย์เราได้อย่างแท้จริง หลักการ
ปฏิบัติวิปัสสนาจึงเป็นลักษณะพิเศษที่ต้องทาความรู้และความเข้าใจด้วยการศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน
แล้วเร่ิมลงมือปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามจุดมุ่งหมายทางพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเห็นคุณค่าและความสาคัญของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงจัดเป็น
หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิตให้พระนิสิตได้ศึกษาและปฏิบัติ ซึ่งเป็นจุดเด่นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย ซ่ึงเป็นภาระท่ีต้องผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความ
ประพฤติที่ดีงามอันประกอบด้วย วิชชาและจรณะ ตามหลักคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน
โอวาทปาตโิ มกข์ว่า “การไม่ทาบาปท้ังปวง การทากุศลให้ถึงพร้อม การชาระจิตของตนให้ขาวรอบ น้ี
เป็นหลักคาสอนของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย” หลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาน้ันลุ่มลึกลงตามลาดับ
เปรยี บเหมอื นการเดนิ ทางลงส่ทู ะเลการเรียนวชิ าธรรมภาคปฏบิ ัตกิ ็เช่นกันลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ เช่นช้ันปี
๑ เทอมแรก พระนิสิตจะต้องศึกษาถึงพัฒนาการของกรรมฐานในแต่ละสมัยเป็นต้นว่า “สมัยก่อน
พุทธกาล สมัยพุทธกาลและสมัยหลังพุทธกาล” ไปตามลาดับส่วนในเทอมท่ีสองน้ันจะต้องศึกษา
เก่ียวกับเร่ืองของสติปัฏฐาน ๔ เริ่มต้ังแต่กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นต้นไปซ่ึงมีหลักการและวิธีการ
ปฏบิ ัติตามทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงวางหลักไว้ คือ ๖ หมวด ๑๔ วิธี แต่ให้นามาปฏิบัติเพียงหมวดใดหมวด
หนึ่งตามอุปนิสันของตนโดยมีวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว คือ เพื่อละสุภวิปัลลาสให้เห็นความไม่งาม
แห่งกายน้เี ปน็ ตน้ ซง่ึ จะกลา่ วเป็นลาดบั ไป
๒.๑ กายานุปสั สนาสติปฏั ฐาน
คาว่า กาย แปลว่า หมู่, กอง, ท่ีรวม หมายความว่า กายนี้เกิดจากการรวมตัวของธาตุ
ต่างๆ ท่ีสาคัญ คือ ธาตุดิน ธาตุน้าธาตุลม ธาตุไฟ จึงเรียกว่า กาย หรือว่า ที่สะสมของไม่สะอาด,ท่ี
๒๖
เติบโตขึ้นแห่งของน่ารังเกียจ คือ ผม ขน เล็บ น้ามูก น้าลาย อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น สะสมและ
เติบโตอยู่ในสรีระของคนฉะนนั้ จงึ เรียกวา่ กาย๑
๒.๑.๑ ความหมายของกายานปุ สั สนาสติปัฏฐาน
กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน เมอ่ื แยกบทออกเป็น ๓ บท คือ กาย + อนุ + ปสั สนา + สติ +
ปฏั ฐาน มีรายละเอียดดังน้ี
๑. คาวา่ กาย ในท่ีนไ้ี ด้แก่ รปู กาย รปู กายนัน้ เม่อื กล่าวโดยนยั แห่งพระสูตร (สุตตันตนัย)
หมายถึง เป็นที่รวมอยู่แห่งอาการ ๓๒ มีผม เป็นต้น มีมูตรเป็นท่ีสุด๒ เมื่อกล่าวโดยนัยแห่งพระ
อภธิ รรม(อภธิ รรมมนัย) กาย ได้แก่รูป ๒๘ คือ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ เม่ือกล่าวโดยขันธ์
ได้แก่ รูปขันธ์ ๓ กายดังท่ีกล่าวมานี้พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งปราศจากจิตเป็นส่ิงท่ีไม่ใช่เจตสิก
หมายความว่า กายน้ีไม่มีการรู้อารมณ์และไม่สามารถจะรับรู้อารมณ์ใดๆ ได้ การรู้อารมณ์ต่างๆ เป็น
หนา้ ท่ีของจิตและเจตสกิ จติ และเจตสิกรับรู้อารมณ์ต่างๆ ได้
๒. คาว่า “อนุปัสสนา” หมายความว่า การรู้เห็นเนืองๆ ชื่อว่า อนุปัสสนา เมื่อแยกบท
แล้วได้ ๒ บท คือ อนุ + ปัสสนา อนุ แปลว่า เนืองๆ ปัสสนา แปลว่า การรู้เห็น เม่ือรวมแล้วเป็น
อนุปสั สนา แปลว่า การร้เู ห็นเนอื งๆ ดงั นนั้ คาวา่ อนุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาเจตสิก คือ วิปัสสนาญาณท่ี
มีการพิจารณารู้เห็นในขันธ์ ๕ โดยความเป็น อนิจจัง -ทุกขัง-อนัตตา เหตุนี้แหละ อนุปัสสนา จึงมี ๓
คอื ๔
๑) อนจิ จานปุ ัสสนา หมายความว่า ปัญญาที่พิจารณาเห็นความไม่เท่ียงของรูป นาม
ที่เน่ืองมาจากการเห็นเป็นประจักษ์แห่งความเกิดข้ึนและดับไป ในขณะที่กาหนดรู้รูปนาม อยู่นั้น
แหละปัญญาอย่างน้ีช่ือวา่ อนิจจานปุ สั สนา๕
๒) ทุกขานุปัสสนา หมายความว่า ปัญญาท่ีพิจารณาเห็นความทนอยู่ไม่ได้ของรูป
นาม ที่เน่ืองมาจากการพบเห็นเป็นประจักษ์แห่งการเบียดเบียน โดยอาการเกิดข้ึนแล้วก็ดับไป
ติดตอ่ กันอยู่อยา่ งไมข่ าดสายในขณะทก่ี าหนดรู้รปู นามตามสภาว อยู่นั้นแหละปัญญาอย่างน้ีช่ือว่า ทุก
ขานปุ ัสสนา๖
๑ พระธรรมกิตติ, พจนานกุ รม เพ่อื การศกึ ษาพทุ ธศาสน์, พมิ พค์ รั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและ
สถานบันบนั ลือธรรม, ๒๕๕๑), หน้า ๕๗.
๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๗/๓๐๖.
๓ พระราชวรมุนี (ประยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี
๑๐,(กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๙), หน้า ๘๒ – ๘๓.
๔ พระอาจารยส์ ัทธมั มโชติกะ, วปิ สั สนากรรมฐาน, หน้า ๒๘.
๕ เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า ๓๑.
๖ พระอาจารยส์ ทั ธัมมโชตกิ ะ, วปิ สั สนากรรมฐาน, หนา้ ๖๒.
๒๗
๓) อนัตตานุปัสสนา หมายความวา่ ปัญญาท่พี ิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา ไม่มี
แก่นสารปราศจากการบังคับบัญชาของรูปนามที่เน่ืองมาจากการพบเห็นเป็นประจักษ์แห่งความไม่ใช่
ตน เรา เขา โดยอาการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปติดต่อกันอยู่ไม่ขาดสายในขณะท่ีกาหนดรู้รูปนามตามสภา
วอยู่ ปญั ญาอยา่ งนี้ชอ่ื วา่ อนตั ตานปุ ัสสนา๗
๓. คาว่า สติปัฏฐาน มาจาก สติ คือ การรับรู้ ปัฏฐาน คือเข้าไปต้ังไว้ สติปัฏฐาน
หมายถึง การระลึกรู้ที่เข้าไปต้ังไว้ในกองรูป เวทนา จิต และสภาวธรรม อีกนัยหนึ่ง หมายถึง การ
ระลึกรอู้ ย่างมั่งคงในกองรูป เวทนา จติ และสภาวธรรม๘
สรุปกายานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน หมายถึง การตงั้ สตกิ าหนดพจิ ารณากายหรือการตดิ ตามดู
กายเนืองๆให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นท่ีรวมลงแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา
เขา มีลักษณะแตกดับเป็นอนิจจัง (ไม่เท่ียง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (บังคับบัญชาไม่ได้) และเป็น
อสภุ ะเป็นของไมง่ าม
๒.๒ หลักการและวิธีการปฏิบตั ิในกายานุปัสสนา
๒.๒.๑ หลักการปฏิบตั ิในกายานปุ สั สนา
การปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพ่ือรู้ หมายถึง รู้ความ
จริงของชีวิต เพื่อละ หมายถึง ละเหตุแห่งทุกข์คือกิเลสตัณหาทั้งหลาย และเพ่ือแจ้ง หมายถึง รู้แจ้ง
ทางปญั ญาเกยี่ วกบั ความจริงของชีวิต ทาใหผ้ ปู้ ฏบิ ัติเข้าใจถกู ต้องตรงตามความเป็นจริงของชีวิต ได้แก่
เห็นวา่ รูปนาม มีสภาพที่ไม่เท่ียง มีสภาพท่ีเป็นทุกข์ และมีสภาพท่ีเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถบังคับ
บญั ชาได้ การปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาหรือสตปิ ัฏฐาน ๔ นี้เป็นวชิ าที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นวิชาท่ีไม่ลึกลับ
ไมใ่ ช่ของยากและไม่ง่ายนัก เป็นสิ่งทที่ าไดท้ ุกเพศทุกวัย ไม่จากัดด้วยกาล ด้วยสถานท่ีและผู้ปฏิบัติพึง
รู้ได้ด้วยตนเองได้ผลทันตา ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าด้วยการศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยชีวิตของเราก็ คือ
ร่างกายและจิตใจของเราท่ีกว้างศอก ยาววา หนาคืบการปฏิบัตินี้ยังเป็นยอดแห่งการบูชาเป็นการ
ปฏิบัติตามรอยยุคลบาทของพระพุทธองค์เป็นทางนาไปสู่ความดับสงบระงับสังขารดังพุทธพจน์ว่า
“อานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใดก็ตามปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบย่ิง
ปฏิบัติธรรมตามอยู่ผู้น้ันช่ือว่าได้สักการะเคารพนับถือบูชา (เรา) ตถาคตด้วยการบูชาสูงสุด อานนท์
๗ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , เล่ม ๑๒,
หน้า ๑๑๙.
๘ พระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ) รจนา, แปลและเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ์,พระพรหมโมลี
ตรวจชาระ, มหาสตปิ ัฏฐานสตู ร ทางสพู่ ระนพิ พาน, หน้า ๒๔.
๒๘
เพราะฉะน้ันเธอพึงกาหนดใส่ใจว่าเราจะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรม
อยู่”๙
การกาหนดสกั แตว่ า่ รูเ้ ฉยๆ เพียงอย่างเดียว หมายถึง การเฝูาดูและการพิจารณารูปนาม
หรือขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา รูป คือสิ่งท่ีรู้อะไรไม่ได้แก่ ธาตุ ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ ส่วน
นาม คอื สตทิ ร่ี ู้อารมณ์หรือสิง่ ท่รี สู้ ึกนกึ คดิ ไดน้ ามนี้เป็นธรรมชาติท่ีน้อมไปสู่อารมณ์เสมอได้แก่จิตหรือ
วิญญาณด้วยเหตุน้ีเบ้ืองแรกของการปฏิบัติจึงจาเป็นต้องกาหนดรู้ตามความเป็นจริงของกายก่อนซ่ึง
เปน็ ส่วนของรูปเพราะกายมีรูปพรรณสัณฐานให้สัมผัสจับต้องได้และการกาหนดกิริยาอาการทางกาย
ทาได้ง่ายและการกาหนดน้ันต้องประกอยด้วยองค์คุณ ๓ อย่างดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ดูก่อน
ภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ยอ่ มพิจารณาเห็นกายในกายเนอื งๆ อยู่ (กาเยกายานุปสฺสี วิหรติ)...
ยอ่ มพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาเนอื งๆ อยู่ (เวทนาสุ เวทนานปุ สฺสี วหิ รติ)... ย่อมพิจารณาเห็นจิตใน
จิตเน่ืองๆ อยู่ (จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ) ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ (ธมฺเมสุ ธมฺมา
นุปสสฺ ี วิหรติ)...มคี วามเพียงยังกเิ ลสใหเ้ รา่ รอ้ น (อาตาปี) มสี ัมปชัญญะ (สมฺปชาโน) มีสติ (สติมา) ย่อม
กาจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสยี ได้ (วิเนยยฺ โลเก อภชิ ฺฌาโทมนสฺส)๑๐
พระองค์ทรงแสดงองค์ประกอบหรือส่ิงที่ร่วมอยู่ในกระบวนการปฏิบัติสติปัฏฐานมี ๒
ฝุาย คือ ฝุายทกี่ ระทา (ตวั การทคี่ อยกาหนดหรอื คอยสงั เกตเพ่งพิจารณา)และฝุายท่ีถูกกระทา(ส่ิงที่ถูก
กาหนดหรือถูกสังเกตเพ่งพิจารณา) ๑. ฝุายที่กระทา คือ ส่ิงธรรมดาสามัญท่ีมีอยู่กับตัวของทุกคน
น่ันเอง เช่น รา่ งกาย การเคลอ่ื นไหวของร่างกาย ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เฉพาะท่ีเป็นปัจจุบัน คือกาลัง
เกิดขึ้น เป็นไปอยู่ ในขณะน้ันๆ เท่านั้น ๒. ฝุายท่ีถูกกระทา คือ สิ่งที่ถูกกาหนดเพ่งพิจารณาเป็น
ตัวการหลักของสติปัฏฐานได้แก่ สติกับสัมปชัญญะ, สติเป็นตัวเกาะจับส่ิงที่จะพิจารณาเอาไว้
สัมปชัญญะ เป็นตัวปัญญาตระหนักรู้ส่ิงหรืออาการที่ถูกพิจารณาน้ันว่าคืออะไร? มีความมุ่งหมาย
อย่างไร? เช่น เม่ือกาหนดพิจารณาการเคล่ือนไหวของร่างกาย เช่น การเดิน ก็รู้ตัว ว่าเดินทาไม เพื่อ
ไปไหน เป็นตน้ การกระทาตามความเป็นจริงโดยไม่เอาความรู้สึกเป็นของตนเข้าเคลือบกิเลสท่ีสติปัฏ
ฐานมุ่งละหากถือตามพทุ ธพจน์ที่เป็นหัวข้อหลัก (อุเทส) ก็ตรัสให้ “กาจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก”
เป็นการแสดงถึงท่าทีท่ีเป็นผลจากการมีสติสัมปชัญญะว่าเป็นกลาง เป็นอิสระไม่ถูกกิเลสผูกพันทั้งใน
แง่ติดใจอยากได้และขัดเคืองเสียใจในกรณีนั้นๆ เข้ามาครอบงารบกวน คาว่า โลก ในท่ีน้ีได้แก่
อุปาทานขันธ์ ๕ ซึ่งอภิชฌาหรือความยินดีด้วยตัณหายึดติดอยู่ทั้งความเป็นโทมนัส คือ ทุกขเวทนาก็
ตัง้ อยใู่ นอุปาทานขนั ธ์ ๕ การปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนากรรมฐานทีใ่ ห้กาหนดรูปกอ่ นเพราะรูปเป็นส่ิงท่ีปรากฏได้
๙ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ธรรมภาคปฏิบัติ ๒, พิมพ์คร้ังท่ี ๓ (กรุงเทพมหานคร: ไทย
รายวนั การพมิ พ์, ๒๕๕๐),หนา้ ๓.
๑๐ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑.
๒๙
ง่ายเห็นได้ชัด ถ้ากาหนดอรูป (นาม) น้ันไม่ปรากฏชัด ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคตอนทิฏฐิวิ
สทุ ธวิ ่า
“สเจ ปนสฺส เตน มุเขน รปู ํ ปริคคฺ ณหฺ โิ ต สขุ ุมตฺตา อรูปํ น อุปฏฐฺ าฺ ติ เตน ธุรนกิ เฺ ขปํ อกตฺ
วา รูปเมว ปุนปฺปุน สมฺมสิตพฺพ ปริคฺคเหตพฺพ ววฏฺฐฺเปตพฺพ ยถา ยถา หิสฺส รูปํ สุวิกฺขาลิต โหติ
นชิ ฺชฏ สปุ รสิ ุทฺธ ตถา ตถา ตทารมฺมณา อรปู ธมมฺ า สยเมว ปากฎา โหนฺติ”๑๑
แปลว่า หากว่า โยคีกาหนดรูปโดยมุขนั้นแล้วกาหนดอรูปอยู่แต่รูปยังไม่ปรากฏขึ้นมา
เพราะอรูปเป็นของละเอียดอ่อนโยคีน้ันไม่ควรละเลิกกาหนดเสีย ควรพิจารณาใส่ใจใคร่ครวญกาหนด
รปู นนั้ แหละซ้าแลว้ ซา้ เล่า เพราะว่ารูปทช่ี าระลา้ งดีแล้วสะสางออกแล้วบริสุทธิ์แล้วด้วยอาการใดๆ ส่ิง
ที่เป็นอรูปทั้งหลายซึ่งมีรูปน้ันเป็นอารมณ์ก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยแท้ด้วยอาการนั้นๆโยคีผู้ปฏิบัติ
โปรดสาเหนยี กความทวี่ า่ ตทารมมฺ ณา อรูปธมฺมา สยเมว ปากฏา โหนฺติ สิ่งท่ีเป็นอรูปท้ังหลายซ่ึงมีรูป
นนั้ เปน็ อารมณ์ก็ปรากฏขึ้นมาเองเพราะตลอดเวลาปฏิบัติจะมีสภาวะต่างๆ เกิดและปรากฏให้เห็นใน
มโนทวารอยู่เน่อื งๆ และตลอดไป
ข้อเปรียบเทียบสาหรับภิกษุผู้มีความเพียรอย่างไม่ย่อท้อในการกาหนดรูปซ้าแล้วซ้าอีก
โดยไมท่ อดท้งิ อรปู จะปรากฏข้ึนมาเองดังอปุ มา ๓ ประการ คือ
๑. เหมือนเงาใบหน้าในกระจกถ้าคนเรามีดวงตามองดูเงาหน้าของตนเองในกระจกท่ีมัว
ใบหน้าก็ไม่ปรากฏแต่ถ้าเราไม่โยนกระจกเงานั้นท้ิงไปเสียก่อนเช็ดกระจกนั้นแล้วหลายๆ รอบจน
กระจกเงานัน้ ใสดแี ลว้ เงาใบหนา้ เราก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยแท้
๒. เปรียบเหมือนคนที่ต้องการน้ามันงาเอาเมล็ดงาโยนไปในชามอ่างแล้วเอาน้าอุ่นปะ
พรมลงไป บีบค้ันเมล็ดงาเพียงคร้ังสองคร้ังน้ามันงาก็จะยังไม่ไหลออกมาต่อเมื่อเอาน้าอุ่นพรมลงไป
แลว้ ขยาบีบค้ันบ่อยๆ ทาอยู่อย่างนนี้ า้ มันงาที่ใสเป็นอยา่ งดกี ็จะไหลออกมา
๓. เปรียบเหมือนผูท้ ีจ่ ะทาน้าขนุ่ ให้ใสหยิบเอาเมล็ดกะใส่ลงไปในหม้อเอามือถูไปมาเพียง
คร้ังสองครั้งน้าจะยังไม่ใสแต่ถ้าไม่เทน้าทิ้งเสีย แล้วถูไปถูมาบ่อยๆ ทาอย่างนี้โคลนตมก็จะลงนอนก้น
ภาชนะน้าก็ใสสะอาด
ภกิ ษนุ ้ันก็เหมือนกนั ไมค่ วรละเลิกการปฏบิ ตั ิเสยี ควรพิจารณาใส่ใจ ใคร่ครวญกาหนดรูป
นั้นซ้าแล้วซ้าอีก เพราะว่า รูปอันภิกษุนั้นชาระล้างดีแล้ว สะสางออกแล้วบริสุทธ์ิโดยอาการน้ันๆ
บรรดากิเลสทั้งหลายท่ีเป็นข้าศึกก็จะสงบระงับลงไป จิตก็จะผ่องใสเหมือนน้าท่ีอยู่บนโคลนตมอรูป
ท้ังหลายท่ีมีอยู่เป็นอารมณ์ก็จะปรากฏข้ึนมาเอง ด้วยเหตุน้ีพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจึงนาเอาการ
๑๑ พระพทุ ธโฆสะเถระ, คัมภรี ว์ สิ ทุ ธมิ รรค, แปลโดย สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), พมิ พ์ครั้ง
ที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: ประยูรวงศ์พริ้นตง้ิ ,๒๕๔๗),หนา้ ๙๕๓.
๓๐
กาหนดสง่ิ ทเี่ ปน็ รูปและเห็นได้ชัดขึ้นแสดงให้เห็นเป็นเบ้ืองต้นก่อน เพ่ือจะได้เข้าใจและเห็นชัดในส่ิงที่
เป็นนามธรรมไดใ้ นภายหลังในที่น้จี ะไดแ้ สดงในสว่ นของกายานปุ ัสสนาสติปฏั ฐานเปน็ ลาดบั ไป๑๒
๒.๓ หลักการสังเกตในหมวดกายานปุ สั สนา
หลักการสาคัญที่ผู้ปฏิบัติจะต้องใส่ใจในส่วนท่ีจะต้องถูกค้นคว้าก่อนฐานใดท้ังสิ้นเพราะ
เป็นส่วนที่หยาบปกปิดส่วนละเอียดเอาไว้ด้วยการมีสติดูกายเพ่ือจะให้เห็นความไม่เที่ยงท่ีอยู่ในกาย
เมือ่ ความไมเ่ ทย่ี งเกดิ ข้ึนกท็ าให้เกิดทุกข์ซ่ึงก็อยู่ท่ีกายอีกเช่นกันและกายของเราต้ังแต่ศีรษะจรดปลาย
เท้าท้ังท่ีเป็นวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในมิได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใครๆ ทั้งส้ิน คาว่า
“กาย” ตัวเดียวนี้มีทั้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เท่ียง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่ใช่
ฉัน ไม่ใช่ของของฉัน สักแต่ว่าเกิดข้ึนตามกรรมชรูปจากเหตุปัจจัยเดิม ตราบใดเรายังพ้นทุกข์ก็ต้องมี
การเกิดอีก การเกิดต้องมีรูปกายดังน้ันหลักการและวิธีการปฏิบัติจึงให้กาหนดท่ีใจว่าไม่มีเราไม่มีของ
ของเราและในที่สดุ ก็ถกู ทาลายความทุกขท์ ง้ั ปวงได้ดังรายละเอยี ดตามตารางแสดงหลักการและวิธีการ
ปฏิบัตทิ ่จี ะกล่าวต่อไป
๒.๓.๑ หลกั การสงั เกตในหมวดกายานปุ สั สนา
อานาปานบรรพและสงั เกตอะไรบา้ ง อริ ยิ าปถบรรพและสงั เกตอะไรบา้ ง
ลมหายใจ รใู้ นอาการทีก่ าลงั
ลักษณะลมหายใจเขา้ ลกั ษณะลมหายใจออกการ ๑. ยืน ๒. เดิน
หายใจเข้านนั้ สนั้ /ยาว การหายใจออกนนั้ สน้ั /ยาว ๓. นั่ง ๔. นอน
สมั ปชัญญะบรรพและสังเกตอะไรบา้ ง ปฏกิ ลู มนสิการและสังเกตอะไรบา้ ง
อะไรบ้าง
รู้ในอิริยาบถย่อยของ ท่าทาง: การก้าวไปข้างหน้า, พิจารณาร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ (ไม่ใช่
การถอยกลับ การเหลียวซ้ายแลขวา การกิน การพูด คน/สัตว์) อวยั วะภายนอก ผม ขน เลก็ ฟัน
การนิ่ง เหยียดคู้ ก้มเงย เดิน ยืน น่ัง นอน อุจจาระ หนัง อวัยวะภายใน มันสมอง หัวใจ ปอด
ปัสสาวะ บาตร จีวร เครื่องนุง่ ห่ม ตับ ไต ลาไส้ ฯลฯ น้าที่แทรกตามอวัยวะ
ต่างๆ นา้ เลือด นา้ ดี นา้ หนอง ฯลฯ
ธาตมุ นสกิ ารและสงั เกตอะไรบ้าง นวสวี ถิกาบรรพและสงั เกตอะไรบ้าง
ธาตดุ ิน สว่ นของรา่ งกายที่จบั ต้องได้ อวัยวะทั้ง พจิ ารณาการกลายสภาพของซากศพตง้ั แต่
๑๒ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ธรรมภาคปฏบิ ตั ิ ๒, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๓ (กรุงเทพมหานคร: ไทย
รายวันการพิมพ์, ๒๕๕๓), หนา้ ๗.
๓๑
ภายนอก/ภายใน ตัง้ แต่ผิวหนังจนถงึ กระดูก เพ่ิงตายใหม่ๆ ทิ้งไวน้ านจนสลายเปน็ ผง มี
ธาตนุ า้ ท่ชี ว่ ยยดึ โยงหลอ่ เลยี้ งอวัยวะเหลา่ น้ัน ๙ ข้ันตอน
ธาตุไฟ ความเย็น ความรอ้ นในรา่ งกายการเผาผลาญ
อาหาร
ธาตุลม ทีท่ าให้รา่ งกายเคลื่อนไหว โยกคลอนได้
วิธีการสงั เกตและสงั เกตอยา่ งไร
การกาหนดตาม เมือ่ จิตประกอบไปด้วยสติกบั สมั ปชัญญะบริสุทธิ์น้อมไปกาหนดตามฐานทั้ง
๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทาให้เกิดความรู้สึกตามความเป็นจริงได้ จะต้องเข้าใจว่าการ
กาหนดตามนั้นต้องถือหลักว่ากาหนดตามอาการหนึ่งอาการใดในอาการท้ังหมดท่ีปรากฏอยู่เสมอ
ไปทีละอาการ มอี ยู่ ๓ อย่าง คอื
๑. กาหนดตามฐานท่ีเปน็ ภายใน
๒. กาหนดตามฐานที่เป็นภายนอก
๓. กาหนดเทียบกันท้ังภายในและภายนอก สกนธ์กายของเราเรียกว่า ภายใน ในตัวเราน้ีเรียกว่า
ภายใน ส่วนตัวผู้อื่นเรียกว่า ภายนอก เมื่อกาหนดฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละ
อย่างๆ ท่ีมีอยู่ในกายตัวเองและผู้อ่ืน กาหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก คร้ันเม่ือกาหนด
ได้ ๒ ลักษณะ คือ เง่ือน ๒ อันน้ีได้บริสุทธ์ิดี ก็ให้เอาใจน้อมเอาฐานเหล่านั้นท่ีปรากฏ ในตน
และผูอ้ ืน่ มาเทยี บเคยี งกัน ดูจนรู้ประจักษ์แน่ชัดว่ามีความเป็นไปอย่างเดียวกัน โดยเงื่อนเหล่าน้ี
ประชุมลงใน
ลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง-ไม่เที่ยง ทุกขัง-เป็นทุกข์ อนัตตา-ไม่ใช่ตัวตน จึงได้
ช่ือว่ากาหนดเห็นทั้งภายในและภายนอกได้ น่ีคือ การกาหนดตามอาการและตามฐานต่างๆ เมื่อ
กาหนดตามได้แล้วก็เป็นการกาหนดที่ถูกต้องขึ้นมา ดังนั้น การกาหนดท่ีถูกต้องจะมีลักษณะ
ดงั น้คี อื
๑. มสี ตกิ าหนดร้วู า่ สิง่ เหลา่ น้นั มีอยหู่ รือไม่
๒. ความรู้นั้นสักแตว่ ่าเป็นความรู้ อยา่ ไปไหวตาม
ความรหู้ รือไหวตามสงิ่ ใดทัง้ สน้ิ
๓. สติก็สกั แตว่ า่ เปน็ สติ เปน็ ขณะ และทกุ ขณะ อย่าหลงฟ่ันเฟือนตามอาการของทุกสง่ิ ทุกอย่าง
๔. ระวังใจมิใหอ้ าศัยติดอยใู่ นสิง่ เหลา่ นน้ั
๕. ไม่ใหย้ ดึ ม่ัน ถอื ม่นั วา่ ท้งั หมดเป็นเรา เป็นของของเรา
หลักธรรมท้ัง ๕ ข้อนี้ เป็นหลักใหญ่และสาคัญมากสาหรับผู้เจริญตามหลักสติปัฏฐาน ๔ หลัก
ของความจริงทีจ่ ะต้องคน้ คว้าใหป้ ระจกั ษม์ ีอยเู่ พียง ๓ ประการเทา่ นน้ั คือ
๓๒
สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า
การทจี่ ะเกดิ มวี ปิ สั สนากต็ รงทไี่ ด้เหน็ ว่า สงั ขารท้งั หมดไม่เทย่ี ง สงั ขารท้ังหมด
๒.๔ วธิ ปี ฏิบัติในหมวดกายานปุ สั สนา
หลกั คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ องค์
๓ ประการเป็นเหตุเป็นผลซ่ึงกันและกันดังน้ันท่านอุปมาปริยัติเปรียบเหมือนกับคนท่ีอ่านสลากยา
ปฏิบัติเปรียบเหมือนคนปุวยผู้กินยา ปฏิเวธเปรียบเหมือนคนปุวยท่ีหายจากโรค เมื่อหายจากโรคแล้ว
สานึกถึงคุณของผู้ปรุงยาที่ทาให้ตนหายจากความทุกข์ในกายานุปัสสนาก็เช่นกันเม่ือศึกษาแล้วก็ต้อง
ลงมือปฏบิ ตั ิดว้ ยแล้วปฏิเวธจงึ จะเกิดผลเป็นลาดับไป
๒.๔.๑ อานาปานสติ
อานาปานสติ หมายถึง สติที่ต้ังอยู่กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออกหรือสติที่มีนิมิตใน
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์๑๓การต้ังสติกาหนดลมหายใจเข้าออก จิตใจจดจ่ออยู่กับ
ลมหายใจอย่างแนว่ แน่ ไมเ่ ผลอ เป็นการเจริญสมาธิได้เป็นอย่างดี อานาปานสตินี้ สามารถเจริญให้ได้
ถึงตง้ั แต่ปฐมฌานขน้ึ ไปตามลาดับจนถึงปญั จมฌาน
ก) การปฏบิ ตั ิอานปานสติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสข้อความถึงลักษณะและกิริยาอาการของบุคคลผู้เริ่ม เจริญอา
นาปานสติแล้วทรงตรัสถึงลาดับแห่งการกาหนดลมหายใจ และสิ่งที่เนื่องกับการกาหนดลมหายใจ
สืบไปว่า “ภิกษุน้นั มีสตอิ ยู่ ย่อมหายใจเข้า มสี ตอิ ยู่ ย่อมหายใจออก
๑. เม่ือหายใจเข้ายาว ย่อมรู้ว่าหายใจเข้ายาว เม่ือหายใจออกยาว ย่อมรู้ว่าหายใจออก
ยาว
๒. เมื่อหายใจเข้าสัน้ ยอ่ มรู้วา่ หายใจเขา้ ส้ัน เมื่อหายใจออกส้นั ย่อมรวู้ า่ หายใจออกส้นั
๓. เธอย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้ชัดกองลมท้ังปวง ขณะหายใจเข้า เธอย่อมสาเหนียกว่า
เราจกั รูช้ ดั กองลมทง้ั ปวงขณะหายใจออก
๔. เธอย่อมสาเหนียกว่าเราจักระงับกายสังขาร ขณะหายใจเข้า เธอย่อมสาเหนียกว่าเรา
ระงบั กายสังขาร ขณะหายใจออก”๑๔
๑๓ พระพทุ ธโฆสาจารย์, คมั ภรี ว์ สิ ทุ ธมิ รรค, แปลและเรยี บเรียงโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหา
เถร), พมิ พค์ ร้ังท่ี ๖, ๒๕๔๘), หนา้ ๔๔๒.
๑๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๒
๓๓
ท้ัง ๔ ข้อนี้ เรียกว่า อานาปานบรรพ เป็นการปฏิบัติท่ีสมบูรณ์ขั้นหนึ่งอยู่ในตัวเองหรือผู้
ปฏิบตั ิอาจจะอยากไปสู่การปฏิบัติที่เป็นวิปัสสนาโดยตรงต่อไป โดยไม่ต้องผ่านจตุกกะท่ีสอง ท่ีสาม ก็
สามารถปฏิบัตไิ ด้การเจริญวปิ สั สนาด้วยการตามรู้ลมหายใจ แบง่ ออกเปน็ ๒ วิธี๑๕
๑) สมถยานิกะ คือผู้เจริญสมถะแล้วอาศัยสมถะเป็นบาทของวิปัสสนาบุคคลนี้เจริญอา
นาปานสตภิ าวนาแบบสมถะ คือ กาหนดร้สู ณั ฐานยาวส้นั ของลมหายใจเขา้ ออกซึ่งจัดเป็นบัญญัติ เมื่อ
ลมหายใจปรากฏชัดเป็นปฏิภาคนิมิต คือ อารมณ์บัญญัติใหม่ท่ีปรากฏทางใจที่เหมือนอารมณ์เดิม ผู้
ปฏิบัติย่อมบรรลุอุปจารสมาธิ คือ สมาธิใกล้จะแนบแน่นและอัปปนาสมาธิคือสมาธิแนบแน่นได้แก่
ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน หรือ จตุตถฌาน ตามลาดับ หลังออกจากฌานแล้วกาหนดรู้สภาวะ
สัมผสั ของลมหายใจเข้าออก หรือกาหนดรู้องคฌ์ านอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏชัดในปัจจุบันขณะก็จะ
ประสบความก้าวหน้าในการปฏิบตั ิตามลาดับวิปัสสนาญาณ
๒) วิปัสสนายานิกะ คือผู้เจริญวิปัสสนาโดยตรงเจริญอานาปานสติแบบวิปัสสนา คือ
กาหนดรู้สภาวะสัมผัสของลมหายใจที่กระทบจมูกซึ่งจัดเป็นโผฏฐัพพารมณ์ เป็นการกระทบระหว่าง
วาโยธาตุกับปลายจมูกหรือริมฝีปากบน ย่อมหยั่งเห็นว่ามีเพียงสภาวะสัมผัสของลมหายใจท่ีไม่ใช่
ตัวตนของเรา ไม่มีตัวตนของเราในลมหายใจ หลังจากนั้นจะเกิดปัญญาหย่ังเห็นความเกิดขึ้นและดับ
ไปของลมหายใจ สภาวะสมั ผัส หรือจิตที่กาหนดรู้ตามสมควรในที่สุดย่อมรู้แจ้งพระนิพพานด้วยมรรค
ญาณและผลญาณ ปราศจากตัณหาและทิฏฐิ ไม่ถือมนั่ อะไรในโลก
ข) ผลของการปฏิบตั ิ
ผลของอานาปานสตทิ ่ีถงึ อัปปนาสมาธดิ ังน้ี
๑) ทาใหจ้ ิตใจสงบ ประณีต เป็นสุข
๒) กาจัดอกศุ ลวิตกทัง้ หลาย ทท่ี าให้จิตฟุงู ซา่ นไปในอารมณต์ ่างๆ ได้
๓) เปน็ เหตเุ ป็นปัจจัยให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุ
ท้งั หลาย อานาปานสติอนั ภกิ ษอุ บรมแล้วทาใหม้ ากแลว้ ยอ่ มยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์สติปัฏฐาน ๔
อนั ภิกษเุ จรญิ แล้วทาให้ มากแลว้ ยอ่ มยังโพชฌงค์ ๗ ใหบ้ รบิ รู ณ์ โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วทามาก
แล้ว ยอ่ มยังวชิ ชาและวิมตุ ติใหบ้ ริบูรณ์”๑๖
๔) ทาให้รูอ้ ายุสังขารวา่ จะดับลงเมอื่ ไร และรู้การทีจ่ ะปรนิ พิ พานดังพระเถระรูปหน่ึงอยู่ที่
จิตตบรรพตวหิ ารกลา่ วกับภิกษุสงฆ์ว่าจะปรินิพพานในขณะจงกรมถึงรอยขีดท่ีท่านขีดไว้ท่ีพื้นนั้นครั้น
ทา่ นจงกรมถงึ รอยขดี ก็ปรินพิ พานแลว้ ส่วนอานิสงส์อน่ื ๆ เช่น ผู้บาเพ็ญสมาธถิ ึงอัปปนาสมาธิควรได้รับ
เชน่ ข่มนวิ รณท์ ง้ั หลายได้ หรือหลังตายแล้วไปเกิดทีพ่ รหมโลก เปน็ ต้น
๑๕ พระโสภณมหาเถระ(มหาสสี ยาดอ) รจนา, แปลและเรยี บเรยี งโดย พระคันธสาราภิวงศ,์ พระพรหมโมลี
ตรวจชาระ, มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ทางสพู่ ระนพิ พาน, หนา้ ๖๘ – ๖๙.
๑๖ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๗/๑๘๗.
๓๔
รวมความว่าการปฏิบัติอานาปานสติทาให้จิตใจสงบ ประณีต เป็นสุขทาลายอกุศลวิตก
ท้ังหลายทีท่ าให้จิตฟงูุ ซา่ นไปในอารมณต์ ่างๆ ได้ เป็นเหตปุ ัจจยั ให้วิชชาและวมิ ตุ ตบิ รบิ ูรณ์
๒.๔.๒ อิริยาบถ
คาว่า อิริยาบถ หมายถึง กิริยา อาการ และท่าทาง หรืออาการเคล่ือนไหวของกาย
ขณะทก่ี าลังเป็นปจั จุบัน เชน่ ขณะน้นั กายตั้งอยู่ หรอื ดารงอยู่ โดยอาการใดก็ให้รู้ในอาการของกายใน
ขณะน้นั ว่าเปน็ อริ ยิ าบถอนั นนั้ ซึ่งจาแนกออกเป็น ๒ สว่ น คือ ๑) อริ ิยาบถใหญ่ ๒) อิรยิ าบถยอ่ ย
๑. อิริยาบถใหญ่ หรือ อาการเคลื่อนไหวใหญ่ๆ น้ัน จาแนกออกเป็น ๔ อย่าง คือ
อริ ิยาบถยืน อิริยาบถเดิน อิริยาบถนั่ง อิริยาบถนอน ดงั มหี ลักฐานแสดงไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย อีกอย่าง
หนึง่ ภกิ ษเุ มอ่ื เดินอยูก่ ร็ ชู้ ดั วา่ เดินอยเู่ มื่อยืนอยู่ก็รู้ชัดว่ายืนอยู่ เมื่อน่ังอยู่ก็รู้ชัดว่าน่ังอยู่ เม่ือนอนอยู่ก็รู้
ชัดว่านอนอยู่๑๗ หมายความว่า ในขณะ ท่ีกายทรงอยู่ หรือเคลื่อนไหวนั้น มิใช่เคล่ือนไหวไปเฉพาะ
สว่ นใดส่วนหน่ึง โดยจะเคล่ือนไหวไปด้วยกันทั้งหมด อย่างนี้เรียกว่า อิริยาบถใหญ่และในแต่อิริยาบถ
น้ันก็มีลักษณะท่ีแตกต่างกันออกไปซึ่งทุกคนก็เคยใช้อิริยาบถท้ัง ๔ นี้อยู่ประจา และจะต้องใช้
อิริยาบถดงั กลา่ วน้ีไปเรอื่ ยๆ จนกวา่ ชวี ิตจะหาไม่
๒. อิริยาบถย่อยหรืออาการเคลื่อนไหวย่อยๆ หรือน้อยๆ น้ันมีจานวนมากดังมีหลักฐาน
แสดงไว้วา่ “กายของโยคาวจรดารงอย่โู ดยอาการใดๆ ก็ร้ชู ัดโดยอาการนั้น”ๆ หมายความว่าในขณะท่ี
เคลื่อนไหวอิริยาบถ มิได้เคลื่อนไหวไปด้วยกันท้ังหมดจะเคลื่อนไหวไปเฉพาะบางส่วนเท่านั้นการ
ปฏิบัติวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติมีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องรู้จักลักษณะของแต่ละอิริยาบถดังกล่าวนี้
เพ่ือความสะดวกในการกาหนดและการท่ีจะทาให้รู้จักลักษณะของอิริยาบถต่างๆ ได้ มีอยู่วิธีหน่ึง คือ
การแบ่งกายออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ส่วนบนตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงสะดือและส่วนล่างตั้งแต่สะดือลงมา
จนถึงปลายเท้าการแบ่งกายออกเป็นส่วนๆ นี้จะทาให้เราสามารถกาหนดได้ว่า อิริยาบถต่างๆ นั้นมี
ลักษณะแตกต่างกันอย่างไรนอกจากน้ี อิริยาบถใหญ่ยังสามารถแบ่งออกได้อีกเป็น ๒ ประเภท คือ
อิริยาบถไหว และอิริยาบถนิ่งอิริยาบถไหว ไดแก่ อิริยาบถเดิน ส่วนอิริยาบถน่ิง ได้แก่ อิริยาบถยืน
อริ ิยาบถนง่ั และอริ ยิ าบถนอน ซง่ึ รายละเอยี ดของแตล่ ะอริ ยิ าบถดงั จะได้กลา่ วอธิบายต่อไป
ก) แนวการปฏบิ ัติ
การยืน เดิน น่ัง นอน เป็นสงิ่ ที่มีอยแู่ ล้วเหมอื นลมหายใจ หน้าท่ีของผู้ปฏิบัติมีเพียงตามรู้
ให้ตรงตามความเป็นจริงในขณะปัจจุบันผู้ปฏิบัติย่อมเข้าใจว่ามีเพียงสภาวะเดินและจิตที่ต้องการจะ
เดินเกิดก่อนเดินไม่มีสัตว์บุคคล ผู้เดิน และไม่ใช่การเดินของสัตว์ หรือบุคคล เป็นต้นการเดินเกิดจาก
จิตทีต่ อ้ งการจะทาอากัปกิริยานั้นๆ เป็นเหตุ วิธีการกาหนดใน การเดิน การยืน การนั่ง และการนอน
มีดังน้ี คือ การเดิน หมายถึง อาการเคลื่อนร่างกายทั้งหมดไปข้างหน้า การยืน คือ การเหยียดทั้ง ตัว
ในแนวต้ัง ซึง่ เป็นการต้งั ตรงของรา่ งกายอันจัดเป็นสภาวะตึงของธาตุลม การนั่ง คือ การคู้เข้าของการ
๑๗ ท.ี ม (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๒๔๙.
๓๕
ครึ่งล่างและการเหยียดต้ังของกายคร่ึงบน เป็นสภาวะหย่อนหรือตึงของธาตุลม การนอน คือ การ
เหยียดทางขวางโดยวางราบทงั้ ตัว จัดเปน็ สภาวะตึงของธาตุลม ผู้ปฏิบัติพึงรับรู้สภาวะในขณะเดิน ว่า
เวลายกเท้าสภาวะเบาปรากฏ เพราะธาตุไฟที่มีสภาวะเบาเป็นหลักในขณะนั้น เวลาย่างเท้า สภาวะ
ผลักดันปรากฏ เพราะธาตุลมมสี ภาวะผลกั ดันเป็นหลักในขณะน้ันเวลาเหยียดเท้า สภาวะหลักปรากฏ
เพราะธาตุน้าที่มีสภาวะหนักเป็นหลักในขณะนั้น เวลาวางเท้าเสมอพื้น สภาวะสัมผัสที่แข็งหรืออ่อน
ปรากฏเพราะธาตดุ นิ ทีม่ สี ภาพสมั ผัสความแข็งหรอื ออ่ นเป็นหลักในขณะนัน้
ข) การเดินจงกรม
คาว่า จงกรม หมายถึง การเดินไปมาในสถานที่แห่งเดียว เพื่อผ่อนคลายความเม่ือยล้า
จากการน่ัง หรือเพ่ือเจริญสติระลึกรู้ปัจจุบันพระพุทธองค์ทรงแสดงถึงการเดินจงกรมเป็นเบื้องแรก
เพ่ือเน้นการเดินจงกรมก่อนจะน่ังกรรมฐานในการเจริญวิปัสสนา ดังพระพุทธพจน์ว่า “เธอทั้งหลาย
ควรสาเหนียกอย่างน้ีว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ประกอบความเพียรในธรรมเป็นเครื่องต่ืนอยู่อย่าง
ต่อเนื่อง จกั ชาระจติ ให้บรสิ ุทธจิ์ ากธรรมอันเปน็ เครอื่ งขดั ขวางด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดวัน
จักชาระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเป็นเครื่องขัดขวาง ด้วยการเดินจงกรมด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่ง
ราตรสี าเร็จการนอนดุจราชสีห์โดยตะแคงข้างเบ้ืองขวา ซ้อนเท้าเหลือมเท้า มีสติสัมปชัญญะหมายใจ
วา่ จะลกุ ขนึ้ ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ลุกขน้ึ ชาระจติ ใหบ้ รสิ ุทธ์จิ ากธรรม เปน็ เครื่องขดั ขวางด้วยการ
เดินจงกรม ด้วยการน่ังตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี”๑๘สาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงเน้นการเดินจงกรม
กอ่ นท่ีจะนัง่ กรรมฐาน เพราะวา่ การเดินจงกรมน้ันทาให้เกิดสมาธไิ ดเ้ ร็วกวา่ การน่ังกรรมฐาน เนื่องจาก
สภาวะเดินที่ประกอบด้วยการยกยา่ งและเหยียบประจักษ์ชัดกว่าสภาวะพอง-ยุบ สภาวะน่ังท่ีเป็นการ
คู้เข้าของร่างกายส่วนล่างและตั้งตรงของร่างกายส่วนบน และสภาวะสัมผัสของนิ้วมือหรือริมฝีปาก
เป็นตน้ ทีผ่ ูป้ ฏบิ ตั ิกาหนดร้ใู นขณะนัง่ การเดินจงกรมมีประโยชนอ์ ยู่ ๕ ประการ๑๙ คือ
๑) เป็นผู้อดทนตอ่ การเดนิ ทางไกล
๒) เปน็ ผู้อดทนตอ่ การบาเพญ็ เพียร
๓) เปน็ ผู้มีอาพาธนอ้ ย
๔) อาหารที่กนิ ดื่ม เค้ียว ลิม้ แลว้ ยอ่ ยไดง้ า่ ย
๕) สมาธิทีไ่ ดจ้ ากกการเดนิ จงกรมย่อมตัง้ อยู่ไดน้ าน
พระพุทธองค์ทรงสอนให้กาหนดรู้อิริยาบถที่เกิดด้วยกายน้ีนับตั้งแต่ เดิน ยืน น่ังไป
จนกระท่ังนอนท่ีเคยสาคัญว่า เรา ของเรา บุรุษ สตรี ในข้ันน้ีต้องรู้ได้ว่าเป็นสภาวธรรมหนึ่งเช่น การ
เดินเป็นเพียงสภาวะเบา ผลักดัน หนัก และสัมผัสแข็งอ่อนของเท้าท่ีเคล่ือนไปข้างหน้าเกิดจากจิตที่
ต้องการจะเดินซึ่งเกดิ ขนึ้ กอ่ นกริ ยิ าเดนิ และกิริยาเดินมคี วามเกิดข้ึนและดับไปเป็นธรรมดาเม่ือสภาวะ
๑๘ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๓๒/๔๕๖-๔๕๗.
๑๙ องฺ. ปจฺ จฺ ก.(ไทย) ๒๒/๒๙/๔๑.
๓๖
ยกสิน้ สุดแล้วสภาวะยา่ งยอ่ มเกดิ ขึ้น เม่ือสภาวะย่างสิ้นสุดแล้วสภาวะเหยียบย่อมเกิดข้ึนในสภาวะยก
ไม่มีสภาวะย่างหรือเหยียบแม้ในสภาวะย่างไม่มีสภาวะเหยียบเช่นกันความเข้าใจอย่างน้ีจัดเป็นการ
ตามรูใ้ นกองรูปภายในชอื่ วา่ ปัจจกั ขญาณ คอื ปญั ญาหยัง่ เห็นโดยประจักษ์
สรุป อิริยาบถใหญ่ท้ัง ๔ คือ การยืน เดิน น่ังนอน เป็นธรรมชาติท่ีมีประจาของทุกคน
และง่ายต่อการกาหนดรู้ในปัจจุบันขณะ ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐานหมวดอิริยาบถเป็นการปฏิบัติท่ี
สะดวกเพ่อื ความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสาร
๒.๔.๓ สัมปชญั ญะ
ก) สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว๒๐ ความรู้ตัวท่ัวพร้อม ความรู้ตระหนักรู้ ความรู้ชัดเข้าใจ
ชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้๒๑ ความรู้ตัว ความรู้ตัวท่ัวพร้อม ความรู้ชัด ความตระหนัก๒๒สัมปชาโน แปลว่ามี
สัมปชญั ญะ สัมปชญั ญะน้ีเปน็ ธรรมท่ีปรากฏค่กู บั สติ สมั ปชญั ญะก็คอื ปญั ญา ดังนั้น การฝึกฝนในเรื่อง
สตนิ ีจ้ ึงเป็นส่วนหนึง่ ในกระบวนการพัฒนาปัญญา สมั ปชัญญะ ก็คอื ความรู้ความเข้าใจตระหนักชัดใน
สิ่งท่ีสติกาหนดไว้ หรือการกระทาในกรณีนั้นว่า มีความมุ่ง หมายอย่างไร ส่ิงท่ีทาน้ันเป็นอย่างไร
ปฏิบตั ิต่อมนั อยา่ งไร และไม่เกดิ ความหลงหรือความเขา้ ใจผิดใดๆ ขึน้ มาในกรณีนน้ั ๒๓
ข) คาวา่ "สมั ปชญั ญะ" มคี วามหมาย ๕ ประการไดแ้ ก่
๑) ความรู้ชอบโดยประการต่างๆ คือความรู้อย่างถูกต้องโดยสภาวลักษณะคือลักษณะ
พิเศษ หมายถึงลักษณะเฉพาะของรูปนามแต่ละอย่าง เช่น ปฐวีธาตุ มีลักษณะแข็งอ่อนอาโปธาตุ มี
ลักษณะไหล เกาะกุม เป็นต้น สังขตลักษณะ คือ ลักษณะของสังขตธรรม หมายถึง ความเกิดข้ึน
ตั้งอยู่ และดบั ไปของสังขตธรรม สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไปของรูปนาม หมายถึง ไตรลักษณ์
อนั ไดแ้ ก่ ความไมเ่ ทยี่ ง เป็นทุกข์ และไม่ใชต่ ัวตน
๒) ความรู้ชอบโดยพิเศษ คือความรู้อย่างถูกต้องโดยลักษณะทั้งสามอย่างน้ันซ่ึงพิเศษ
กว่าความรโู้ ดยสมมตบิ ญั ญตั ขิ องคนทั่วไป
๓) ความรู้อย่างบริบูรณ์โดยประการต่างๆ คือ ความรู้อย่างถ้วนทั่วไม่ขาดไม่เกิน โดย
สามญั ลกั ษณะ คือ ๑) อนจิ จลกั ษณะ คอื มีลกั ษณะท่ไี ม่เท่ียง ๒) ทุกขลักษณะ คือมีลักษณะท่ีทนอยู่ใน
สภาพเดิมไม่ได้ ๓) อนตั ตลกั ษณะ คอื มลี กั ษณะทม่ี ใิ ชต่ ัว มิใชต่ น
๒๐ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, นวโกวาท, พิมพ์คร้ังท่ี ๘๐, (กรุงเทพมหานคร:
มกฏุ ราชวิทยาลยั ,๒๕๕๐), หนา้ ๒๘.
๒๑ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท์, หน้า ๓๒๗.
๒๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลธรรม, หน้า ๑๗๐.
๒๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์คร้ังท่ี ๙,
(กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๓), หน้า ๘๑๓.
๓๗
๔) ความรเู้ องโดยประการตา่ งๆ คอื ความร้จู ากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ใช่ความรู้จาก
การฟังผ้อู ื่น หรอื นกึ คดิ ใคร่ครวญ
๕) ความรู้อย่างบริบูรณ์โดยพิเศษ คือความรู้อย่างถ้วนทั่วซึ่งพิเศษกว่าความรู้โดยสมมติ
บัญญตั ิ
ค) ประเภทของสัมปชญั ญะ
สัมปชญั ญะนีแ้ บ่งออกเป็น ๔ ประการ คือ๒๔
๑) สาตถกสัมปชญั ญะ คอื ความรชู้ ัดสิ่งท่ีมีประโยชน์ หมายความว่า ก่อนท่ีจะทาสิ่งใดส่ิง
หน่ึง เช่นการเดิน ยืน เป็นต้น ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาว่ามีประโยชน์หรือไม่ ถ้ามีประโยชน์ก็ควรทา ถ้า
ไมม่ ปี ระโยชนก์ ็ไม่ควรทา
๒) สัปปายสัมปชัญญะ คือ ความรู้ชัดสิ่งท่ีเหมาะสม หมายความว่า แม้ส่ิงท่ีจะทานั้นได้
ประโยชน์ ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเหมาะสมก็ควรทา ถ้าไม่เหมาะสมก็ไม่ควรทา
เชน่ การเดนิ ทางไปไหวพ้ ระเจดียเ์ ป็นส่ิงมปี ระโยชนแ์ ตห่ ากไปในเวลามีงานสมโภชที่มีคนมากมายย่อม
ไมเ่ หมาะสม เป็นต้น
๓) โคจรสัมปชัญญะ คือ ความรู้ชัดอารมณ์กรรมฐาน หมายถึง การกาหนดรู้สมถารมณ์
ของผู้เจริญสมถภาวนา หรือการกาหนดรู้วิปัสสนารมณ์ คืออุปาทานขันธ์ ๕ ของผู้ท่ีเจริญวิปัสสนา
ภาวนา การกาหนดรู้ดังกล่าว คือการเจริญสติระลึกรู้อย่างต่อเนื่องสม่าเสมอ อน่ึงตามหมวด
สัมปชญั ญะเปน็ การกาหนดรู้ในการก้าวและถอยโดยรับรู้สภาวะยก ย่าง และเหยียบ บัญญัติธรรม คือ
สิ่งท่ีบัญญัติข้ึน สมมุติขึ้น ไม่ได้มีอยู่จริงๆ เป็นการ สมมุติข้ึนเพ่ือเรียกขานกันของชาวโลก เพ่ือให้รู้ได้
ว่าเรียกส่ิงใด เช่น คาว่า “คน” ผู้เรียกจะช้ีส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายว่า“คน”ไม่ได้เพราะเป็นการ
เรียกโดยสมมุติ เป็นต้น ความจริงแล้วอารมณ์ของสติปัฏฐาน ๔ คือ กองรูป เวทนา จิต และ
สภาวธรรมจัดเป็นอารมณ์ปัจจุบันของผู้เจริญสติปัฏฐาน ดังนั้น สติท่ีกาหนดรู้อารมณ์ ๔ เหล่านั้น จึง
ช่ือว่า โคจรสัมปชัญญะ สาคัญที่สุดในสัมปชัญญะทั้ง ๔ เพราะเป็นแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องตาม
มหาสติปัฏฐานสูตร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนาให้ภิกษุเจริญโคจรสัมปชัญญะ ดังปรากฏ
ในสตปิ ัฏฐานสงั ยตุ ตไ์ วว้ า่ “ภกิ ษุท้ังหลายพวกเธอจงเที่ยวไปในโคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตนเมื่อ
พวกเธอเท่ียวไปในโคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน มารจักไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาสโคจรอันเป็นมรดก
แหง่ บิดาของตนคือสติปัฏฐาน๔”๒๕
๔) อสัมโมหสัมปชัญญะ คือ ความรู้ชัดโดยไม่หลงผิด โดยหยั่งเห็น สภาวลักษณะและ
สามัญญลกั ษณะของรูปนาม เข้าใจว่ามีเพียงรปู นามปรากฏในปัจจบุ ันขณะ ไมม่ ตี วั เราของเราไม่มีบุรุษ
หรือสตรี และมีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ว่าสภาวะก้าวไปและถอย
๒๔ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม, หน้า ๑๗๐-๑๗๒.
๒๕ ส. ม. (ไทย) ๑๙/๓๗๒/๒๑๗-๒๑๘.
๓๘
กลับ เป็นต้น เกิดจากจิตที่ต้องการทาอากัปกิริยานั้น เมื่อจิตเกิดข้ึน แล้วดับไปในแต่ละระยะ เมื่อ
ระยะหน่ึงส้นิ สุดแล้วจงึ เกิดระยะอื่นขน้ึ ได้ ไมม่ บี ุคคลผู้ก้าว และไม่มีการก้าวของบุคคลใด การเดิน ยืน
นงั่ นอน เป็นเพียงอาการของธาตทุ ัง้ ๔ ทปี่ รากฏในแตล่ ะขณะดังพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “ใน
รูปนามท่ีเกิดดับอย่างรวดเร็วนั้น บุคคลหนึ่งผู้ก้าวอยู่เป็นใครเล่าหรือการก้าวย่อมมีเพียงการเดิน ยืน
นั่ง นอน ของธาตุโดยปรมัตถ์ ภิกษุย่อมรู้ชัดรูป (ที่ยก ย่าง เหยียบ) ในระยะนั้นๆ และรู้ชัดว่าจิตดวง
อ่ืนย่อมเกิดขึ้น จิตดวงอื่นย่อมดับไป คือจิตที่ต้องการจะยกและจิตท่ีตามรู้กิริยายกเกิดข้ึนแล้วดับไป
จึงเกิดจิตท่ีต้องการจะย่าง และจิตที่ตามรู้กิริยาย่าง เป็นต้น จิตย่อมดาเนินไปเหมือนกระแสน้าที่ไหล
ไปไม่ขาดชว่ งความไมห่ ลงในการกา้ วเป็นต้นอย่างนี้ ชื่อว่า อสมั โมหสัมปชัญญะ๒๖
ง) วธิ ปี ฏบิ ตั ิในสมั ปชัญญะ
พระพุทธองค์ตรัสเก่ียวกับสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตรมีใจความว่า“ภิกษุทาความ
รู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทาความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู ทาความรู้สึกตัวในการคู้
เขา้ การเหยียดออก ทาความร้สู ึกตวั ในการครองสงั ฆาฏิ บาตร และจวี ร ทาความรู้สึกตวั ในการฉันการ
ดม่ื การเคยี้ ว การลม้ิ ทาความรูส้ ึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปสั สาวะ ทาความรูส้ ึกตวั ในการเดิน การ
ยืน การน่ังการนอน การตื่นการพูด การน่ิง”๒๗ จากพระดารัสน้ี สามารถแยกประเด็นเกี่ยวกับวิธีการ
ปฏิบตั ิสัมปชญั ญะไดด้ งั น้ี
๑) ในขณะท่ีก้าวหรือถอยผู้ปฏิบัติธรรมต้องตามรู้สภาวะก้าวหรือถอย โดยกาหนดว่า
“ก้าวหนอ” “ เดินหนอ” “ย่างหนอ” หรือ “ถอยหนอ” เมื่อวิปัสสนาญาณมีกาลังมากข้ึน จะรับรู้ถึง
จิตที่ต้องการจะก้าวหรือถอย พร้อมท้ัง สภาวะก้าวหรือถอยที่เป็นสภาวะเคล่ือนไหวอย่างชัดเจน
ปราศจากตัวตน เรา ของเรา
๒) ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเจริญสติตามรู้ในขณะแลและเหลียวว่า “อยากดูหนอ” “ดู
หนอ”“เห็นหนอ” เป็นต้น พระพุทธองค์ทรงแสดงการแลและเหลียวไว้ในที่น้ี เพราะเป็นกิริยาที่
เหมาะสมแกผ่ ูป้ ฏบิ ตั ธิ รรม อย่างไรกต็ าม แมก้ ิริยากม้ ดู แหงนดู หรือหนั ดู ผู้ปฏบิ ัติธรรมก็ควรกาหนดรู้
เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรละสติในการมองดูการเจริญสติรับรู้สภาวะแลและเหลียวนี้จัดเป็น
โคจรสัมปชัญญะเม่ือโคจรสัมปชัญญะมีกาลังแก่กล้า อสัมโมหะสัมปชัญญะก็ปรากฏขึ้น ส่งผลให้ผู้
ปฏิบัตเิ หน็ วา่ สภาวธรรมทางกายและจติ ท่ีเกย่ี วกบั การเห็น คือ การลืมตา การกรอกตา การขยับศีรษะ
หรือใบหน้า การแลดู การเหลียวดู การเห็น เกิดมาจากจิตที่ต้องการจะดู เมื่อเกิดขึ้น แล้วย่อมดับไป
ทันที ไมม่ ีตวั เรา ของเรา อยู่ในสภาวธรรมทางกายและจิตเหล่าน้ี
๓) ทุกขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมเหยียดแขน คู้แขน เหยียดขา คู้ขา เหยียดร่างกาย หรือ คู้
ร่างกาย ต้องกาหนดตามอากัปกิริยาน้ันๆ เสมอ เช่น “เหยียดหนอ” “คู้หนอ” “ดันหนอ” “ดึงหนอ”
๒๖ ที. อ. (ไทย) ๒/๑๗๔.
๒๗ ที. ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๖/๓๐๕.
๓๙
“เคลือ่ นหนอ” “สั่นหนอ” เมือ่ วิปัสสนาญาณแก่กล้าแลว้ ผ้ปู ฏิบัติจะสามารถรับรู้ถึงจิตท่ีต้องการจะ
เหยียดและคู้ได้อีกด้วย การรับรู้ถึงสภาวะคู้เหยียดพร้อมทั้ง จิตที่ต้องการจะทาอากัปกิริยาเหล่าน้ีช่ือ
ว่าโคจรสัมปชัญญะ เม่ือวิปัสสนาญาณแก่กล้าข้ึน ผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้ชัดว่าไม่มีตัวตนผู้ทาการ
เคลื่อนไหวมีเพียงสภาวะเคลื่อนไหวจากระยะหน่ึงไปสู่อีกระยะหนึ่ง โดยเกิดจากจิตที่ต้องการทาซึ่ง
เกิดข้ึนก่อนแล้วดับไป และย่อมเกิดปัญญาหยั่งเห็นว่าสภาวะเคลื่อนไหวในการคู้เข้าและเหยียดออก
นั้นเกิดข้ึนแล้วดับไปทีละช่วงในสภาวะคู้ไม่มีสภาวะเหยียดในสภาวะเหยียดไม่มีสภาวะคู้ปัญญา
ดังกล่าวย่อมรู้แจ้งในพระไตรลักษณ์คือความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เรียกว่า อสัมโมหะ
สัมปชญั ญะ
๔) ในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมเวลานุ่งห่มจีวร ทรงผ้าสังฆาฏิ ต้องกาหนดตามสภาวะน้ันๆ
เช่น “นุ่งหนอ” “ห่มหนอ” “ คลุมหนอ” เป็นต้น หรือแม้แต่เวลาถือภาชนะ เช่น บาตร ถ้วยจาน
ช้อน ต้องกาหนดว่า “จับหนอ” “ถือหนอ” “วางหนอ” “ถูกหนอ” เม่ือวิปัสสนาญาณแก่กล้าข้ึน ผู้
ปฏบิ ตั จิ ะรู้จิตทีต่ อ้ งการจะทาอากัปกริ ิยาน้นั ๆ พร้อมท้ัง อากัปกิริยาเคล่ือนไหว และสภาวะสัมผัสทาง
รา่ งกาย
๕) ในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมฉัน (รับประทานอาหาร) ต้องกาหนดว่า “ฉันหนอ” “ดื่ม
หนอ” “เค้ียวหนอ” “ล้ิมหนอ” “กลืนหนอ” เม่ือวิปัสสนาญาณแก่กล้าข้ึน ผู้ปฏิบัติจะรับรู้จิตท่ี
ต้องการทาอากัปกิริยานั้นๆพร้อมท้ังสภาวะเคล่ือนไหวและการรับรู้รสด้วยชิวหาวิญญาณ เม่ือโคจร
สมั ปชญั ญะแกก่ ลา้ ขนึ้ ด้วยการกาหนดว่า “ฉันหนอ” “ดืม่ หนอ” “เค้ียวหนอ” “ล้ิม หนอ” เป็นต้น ผู้
ปฏิบัติอาจเกิดความรู้สึกรังเกียจอาหารว่าเป็นสิ่งปฏิกูล และเห็นว่าเป็นภาระในการเค้ียวกิน
ความสาคัญวา่ อาหารว่าเป็นส่ิงท่ปี ฏิกลู น้เี กิดข้ึนเม่อื โคจรสมั ปชญั ญะมีกาลงั แกก่ ล้าแลว้
๖) ในขณะท่ีผู้ปฏิบัติธรรมขับถ่ายถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ต้องกาหนดว่า “ถ่ายหนอ”
เป็นตน้ ความจรงิ แล้วการเจรญิ วิปัสสนาเป็นการรับรรู้ ปู นามตามความเปน็ จริง ไม่มีการเลือกอารมณ์ที่
ดีเลิศหรือต่าทราม เพราะอารมณ์ทุกอย่างเหมือนผ้าขาวที่มาปรากฏในจิต ถ้าเรารับรู้อารมณ์ด้วยสติ
และปญั ญา กเ็ หมือนการจบั ผา้ ด้วยมือท่ีสะอาด ถ้ารับรู้อารมณ์ด้วยความโลภเป็นต้น ก็เหมือนการจับ
ผ้าด้วยมือท่ีสกปรก เม่ือวิปัสสนาญาณแก่กล้าข้ึน ผู้ปฏิบัติจะรับรู้จิตท่ีต้องการจะขับถ่าย และสภาวะ
เคลอื่ นไหวของรปู นาม พรอ้ มดว้ ยทุกขเวทนาทเี่ กิดข้นึ ในขณะน้นั
๗) พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุย่อมทาความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ
การต่นื การพูด การนิ่ง หมายความว่า ผู้ปฏิบัติควรกาหนดรู้ในขณะเดิน ยืน และน่ัง เหมือนอิริยาบถ
ดังท่ีกล่าวมาแล้ว ในขณะง่วงนอน พึงกาหนดว่า “ง่วงหนอ” เป็นต้น เมื่อง่วงนอนมากพึงเหยียดกาย
นอนแลว้ กาหนดวา่ “นอนหนอ” เปน็ ต้น โดยรับรูร้ ูปนามทปี่ รากฏชัดในแตล่ ะขณะ
กล่าวโดยสรุปแล้วผู้ปฏิบัติธรรมต้องกาหนดรู้ในทุกๆ อิริยาบถท่ีร่างกายเคลื่อนไหวหรือ
ทากจิ ใดๆ ผ้ปู ฏบิ ัตธิ รรมตอ้ งมสี ัมปชญั ญะตลอดเวลา
๔๐
๒.๔.๔ ปฏกิ ลู มนสิการ
ก) ปฏิกูล หมายถึง สิ่งสกปรกน่ารังเกียจ นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฯลฯ เรื่อยไปจนถึง
ปัสสาวะพระพุทธองค์ตรัสสอนให้พิจารณาส่ิง เหล่านี้ว่าสกปรก น่ารังเกียจ เพ่ือกาจัดความติดใจใน
กามผู้ที่รวู้ ่ารา่ งกายน้ี เม่อื แยกช้ิน ส่วนออกแล้ว มีเพียง ผม ขน เล็บ ฯลฯ ก็จะคลายความติดใจในรูป
ของตนและบุคคลอ่ืน โดยเห็นว่าร่างกายนี้สกปรกไร้แก่นสาร แต่คนท่ัวไปสาคัญผิดว่าดีงาม จึงรักษา
ดูแลส่วนประกอบรูปกายและบารุงแต่งเติมด้วยวิธีการต่างๆ เพ่ือให้ดูสวยงามไม่ทรุดโทรมตาม
กาลเวลาส่ิงปฏิกูลท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ มี ๓๒ อย่าง เป็นส่วนประกอบสาคัญของร่างกายท้ังหมด
รวมกันเรียกวา่ อาการ ๓๒ การพิจารณาสง่ิ ปฏกิ ูลน้ี ในบางแหง่ เรยี กว่า ทวัตตงิ สาการ คือ อาการ ๓๒
บางแห่งเรียกว่าโกฎฐาสกรรมฐาน คือ กรรมฐานท่ีพิจารณาอวัยวะของร่างกายบางแห่ง เรียกว่า
กายคตาสติ ๒๘ หมายถงึ การพจิ ารณาร่างกายว่าเปน็ ส่ิงปฏกิ ลู น่ารังเกยี จ
ข) วธิ ปี ฏิบัติในปฏกิ ูลมนสกิ าร
การพจิ ารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เปน็ ตน้ นี้มแี นวทางในการปฏบิ ตั ิ ๓ นัย คือ
๑) การพิจารณาโดยความเป็นสิ่งปฏิกูล๒๙ คือ พิจารณาว่า ผม เป็นต้น เป็นสิ่งที่ไม่
สะอาด ไม่สวยงาม โดยสี สัณฐาน กลิ่นที่อาศัย และที่ต้ัง การปฏิบัติตามแนวน้ีเป็นการเจริญสมถ
ภาวนาโดยตรง ส่งผลให้บรรลุเพียงปฐมฌานเท่านั้น เพราะจิตต้ัง มั่นในอารมณ์เดียวได้ด้วยกาลังของ
วิตกเน่ืองจากอารมณ์มีกาลังน้อย คือ จิตท่ีปราศจากวิตกท่ีทาหน้าที่ยกจิตขึ้นไปสู่อารมณ์ไม่ได้ เมื่อผู้
ปฏิบัติบรรลุอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิแล้ว พึงยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนา ด้วยการกาหนดรู้จิตท่ีบรรลุ
อุปจารสมาธิหรือจิตที่ออกจากอัปปนาสมาธิโดยบริกรรมว่า “รู้หนอๆ” คือ รู้ว่ามีจิตดังกล่าวปรากฏ
ขน้ึ ในปจั จุบันขณะ เม่ือนนั้ ยอ่ มเกิดปญั ญาหยั่งเห็นความเกิดดับของรูปธรรม คือ ผม เป็นต้น และของ
นามธรรม คือ จิตที่หยั่งเห็นความเกิดดับเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๔ช่ือว่าอุทยัพพยญาณ ต่อจากน้ันย่อม
บรรลวุ ิปัสสนาญาณขนั้ สูงขนึ้ ไปตามลาดับ จนกระทงั่ บรรลมุ รรคผล นิพพานในทส่ี ุด
๒) การพิจารณาโดยความเป็นธาตุ๓๐ คือ พิจารณาว่า อาการ ๒๐ มี ผม เป็นต้นมี
ลกั ษณะแขง็ หรืออ่อน (ปฐวีธาตุ) ส่วนอาการ ๑๒ มี ดี เป็นต้น มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม (อาโปธาตุ)
ส่ิงเหล่าน้ีเป็นเพียงธาตุที่ดาเนินไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา บุรุษ หรือสตรี ผู้ปฏิบัติธรรม
ควรบริกรรมว่า ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เป็นต้น ตามลาดบั ให้รบั รู้ลักษณะของธาตุเป็นหลัก การปฏิบัติ
อยา่ งนเ้ี ป็นการเจรญิ วปิ ัสสนาภาวนาโดยตรง ผ้ปู ฏบิ ัติย่อมเกดิ ปญั ญาหย่ังเห็นความเกิดดับของสภาวะ
แข็งหรอื อ่อน เปน็ ต้น ในธาตทุ ่ีปรากฏชัด
๒๘ ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๑๕๓ – ๑๕๙ /๑๙๖ – ๒๐๗.
๒๙ ท.ี ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๗/๓๐๖-๓๐๗.
๓๐ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๐๒-๓๐๕/๓๓๐-๓๓๗.
๔๑
๓) การพิจารณาโดยสี๓๑ คือ การพจิ ารณาอาการ ๓๒ ตามลาดับว่าเป็นสีเขียวสีเหลือง สี
แดง หรือสีขาว โดยความเป็นกสิณสีเขียว (นีลกสิณ) พบในสีผม ขน น้าดี และสีตาดีกสิณสีเหลือง (ปี
ตกสิณ) พบในสีมันข้น และสีตาเหลือง กสิณสีแดง (โลหิตกสิณ) พบในสีเนื้อเลือด และสีตาแดง และ
กสิณสขี าว (โอทาตกสณิ ) พบในสเี ล็บ ฟัน หนัง กระดกู และสีตาขาว การปฏบิ ัติอย่างน้ีเป็นการเจริญ
สมถภาวนาโดยตรง ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติบรรลุฌาน ๔ ตามจตุกกนัย หรือฌาน ๕ ตามปัญจกนัย เม่ือผู้
ปฏบิ ัตไิ ดบ้ รรลฌุ านแล้วก็ออกจากฌาน แลว้ เจรญิ วปิ ัสสนาโดยอาศยั ฌานเป็นบาท
ค) ประโยชนข์ องการปฏิบัติ
การปฏิบัติกายคตาสติมีประโยชน์ ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “กายคตาสติเป็นธรรมท่ี
บคุ คลเจรญิ ทาใหม้ ากแล้ว ย่อมเปน็ ไป เพ่อื ความสังเวชอนั ใหญห่ ลวง เพอ่ื ประโยชน์อันใหญ่หลวง เพ่ือ
ความหลุดพน้ จากกิเลสอันใหญ่หลวง เพื่อสติสัมปชัญญะอันใหญ่หลวง เพ่ือได้รับปัญญารู้เห็น เพ่ืออยู่
สาราญในอัตภาพนี้ และเพ่ือรู้แจ้งวิชชา วิมุตติ และผล”๓๒ การพิจารณาอาการ ๓๒ นี้ เป็นสมถ
ภาวนา แต่จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ คือการปล่อยวาง ไม่เพลิดเพลินร่างกายด้วยตัณหา และไม่ยึด
ติดรา่ งกายว่าเปน็ ตวั ตนด้วยทฏิ ฐิ
สรุปขอ้ ความของหมวดน้ีตามวิปัสสนานัย ท่ีเน้นให้รับรู้ความไม่เท่ียงเป็นหลัก เม่ือความ
ไม่เทย่ี งปรากฏชัดแก่ผูป้ ฏบิ ัติแล้ว ไตรลักษณ์อกี สองประการ คือ ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตน
ยอ่ มประจักษ์ชดั แก่ผู้ปฏิบัตติ ามสมควร เพราะผู้หยั่งเหน็ รูปนามว่าไม่เที่ยง ย่อมเกิดปัญญาหยั่งเห็นว่า
รูปนามเป็นสภาพบีบคั้น เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดดับ และเป็นสภาพไม่ใช่ตัวตนเพราะไม่อยู่ใน
อานาจของใครๆ
๒.๔.๕ ธาตุมนสิการ
ก) ธาตมุ นสกิ าร๓๓ หมายถงึ การพจิ ารณาธาตุ หรือ จตธุ าตุววตั ถาน เป็นการกาหนดธาตุ
๔ ธาตกุ รรมฐาน คือ กรรมฐานที่กาหนดธาตุ คาวา่ ธาตุ แปลวา่ สภาวะ คือสิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่
เองตามธรรมดาของเหตุปัจจยั สภาพท่ีว่างเปล่าไม่ใช่บุคคลตัวเราของเราธาตุในทางธรรมน้ันเป็นเพียง
สภาวธรรม ไมใ่ ชส่ มมุติบญั ญัติซึ่งใชส้ ื่อสารกันจนเขา้ ใจกันวา่ เป็นก้อนอัตภาพมนุษย์ การพิจารณาธาตุ
นี้มปี ระโยชน์เพอื่ ใหล้ ะวางความเห็นผดิ ว่าเป็นตัวตนโดยให้เข้าใจว่ามีเพยี งธาตเุ ท่าน้ัน ไม่ใช่ตัวเรา ของ
เรา บรุ ุษ หรอื สตรี ธาตุดงั กล่าวไมใ่ ชธ่ าตุทางเคมรี ้อยกวา่ ชนดิ ในจักรวาล หรือธาตุท่ีอาจถูกสงเคราะห์
ขน้ึ ดว้ ยฝมี ือของมนษุ ย์ ธาตุ ๔ ประกอบด้วย
๑) ปฐวธี าตุ ธาตุดิน มลี ักษณะแข็ง หรอื ออ่ น
๒) อาโปธาตุ ธาตุน้า มลี กั ษณะไหล หรือเกาะกมุ
๓๑ ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๑๕๓-๑๕๙/๑๙๖-๒๐๗.
๓๒ องฺ.เอกก.(ไทย) ๒๐/๕๖๓-๒๙๙/๕๑-๕๔.
๓๓ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลธรรม, หนา้ ๑๓๙ – ๑๔๑.
๔๒
๓) เตโชธาตุ ธาตุไฟ มีลกั ษณะเยน็ หรอื รอ้ น
๔) วาโยธาตุ ธาตลุ ม มลี ักษณะหยอ่ นหรอื ตึง
อาการ ๓๒ ก็แบ่งตามธาตไุ ดเ้ ปน็ ๒ ลักษณะ รวมได้อาการ ๓๒ อย่าง คือ
๑) ธาตุดิน คือ อาการ ๒๐ อย่างได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เน้ือ เอ็น กระดูก ไข
กระดกู ม้าม หวั ใจ ตบั พงั ผืด ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ ้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มนั สมอง
๒) ธาตนุ ้า คือ อาการ ๑๒ อยา่ งไดแ้ ก่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงอื่ มันข้น นา้ ตา มันเหลว
น้าลาย นา้ มกู ไขขอ้ ปสั สาวะ
๓) ธาตุไฟ ไดแ้ ก่ ไออุ่น ไฟทาให้เสอ่ื มโทรม ไฟแผดเผา และไฟท่ยี ่อยอาหาร
๔) ธาตุลม ได้แก่ ลมพัดข้ึน เบ้ืองบน ลมพัดลงเบ้ืองต่า ลมในท้อง ลมในลาไส้ ลมพัดไป
ตามอวยั วะนอ้ ยใหญ่ และลมหายใจ
ข) วธิ ีปฏิบัตใิ นหมวดธาตุมนสิการ
การปฏบิ ัตธิ าตุกรรมฐานมี ๒ นัยคอื
๑) นัยโดยย่อ เปน็ วิธีปฏบิ ตั ิทเี่ หมาะสมแก่บุคคลผูม้ ีปญั ญามาก กาหนดรู้สภาวะอ่อนแข็ง
เป็นตน้ ในร่างกาย บรกิ รรมว่า สภาวะแข็งเปน็ ธาตุดิน สภาวะเกาะกุมเป็นธาตุน้าสภาวะร้อนเป็นธาตุ
ไฟ สภาวะตงึ เปน็ ธาตุลม
๒) นัยโดยพิสดาร เป็นวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมแก่บุคคลผู้มีปัญญาน้อย กาหนดรู้สภาวะ
อ่อนแข็ง เป็นต้น ของอวัยวะทีละส่วนในร่างกาย บริกรรมอาการ ๓๒ โดยวาจาและใจตามลาดับ
อนุโลมนัย ปฏิโลม และทั้งอนุโลมปฏิโลม เมื่อสาธยายอาการ ๓๒ ตามลาดับอย่างนี้ จิตของผู้ปฏิบัติ
ย่อมรับรู้อาการอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีเด่นชัดมากท่ีสุด ในขณะนั้น จิตย่อมต้ังมั่นในสภาวะของธาตุ
บรรลุขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะในวิปัสสนา ซ่ึงมีกาลังเทียบเท่าอุปจารสมาธิ เพราะมีอารมณ์เป็น
สภาวธรรมตามความจริงสมาธิของวิปัสสนาน้ันมีกาลังเสมอกับอุปจารสมาธิในขณะบรรลุวิปัสสนา
ญาณและเทียบเท่าปฐมฌานในขณะบรรลุมรรคผล แต่เพราะวิปัสสนามีอารมณ์หลากหลายตาม
ปัจจุบันขณะน้ันๆ ดังนั้น จึงเรียกว่า ขณิกสมาธิ ต่างจากสมาธิในสมถะท่ีมีอารมณ์อย่างเดียว เช่นลม
หายใจหรือกสิณ เป็นต้นการตามรู้สภาวะพองยุบของท้องจัดเป็นธาตุกรรมฐานเพราะสภาวะพองยุบ
เป็นลักษณะตึงหย่อนของลมในท้องนอกลาไส้ ที่เรียกว่า กุจฉิสยวาโย ความจริงลมหายใจที่สูดเข้าไป
ในปอด ไม่ได้เคล่ือนไปในท้อง ดังที่เข้าใจกันโดยท่ัวไป การหายใจน้ัน เป็นกระบวนการท่ีเกิดจากการ
ทางานของกล้ามเนื้อกะบงั ลม ทรวงอก และกระดกู ซโ่ี ครง กะบังลมกนั้ อยู่ระหว่างช่องอกและช่องท้อง
โดยอยู่ด้านล่างของปอด ตามปกติเมื่อเราหายใจเข้า กะบังลมจะหดตัวกดอวัยวะในช่องท้องส่งผลให้
ลมในทอ้ งพองออกมา และเมื่อหายใจออก กะบังลมจะยืดขึ้นส่งผลให้ลมในท้องยุบลงพร้อมกับดันลม
ออกจากปอด
๔๓
ดังน้ัน สภาวะพองยุบจึงเป็นลมในท้องท่ีมีอยู่เดิมและเป็นอารมณ์กรรมฐานอย่างหน่ึง
ตามหลักกายานุปัสสนาการหยั่งเห็นกายโดยความเป็นธาตุ ๔ นี้เป็นปัญญาแยกแยะว่าร่างกายน้ีเป็น
เพยี งสมมตุ ิบญั ญตั ิ เปน็ ท่ปี ระชมุ ของอวัยวะน้อยใหญ่ ความจริงกายน้ีประกอบมาจากธาตุ ๔ โดยมีใจ
เปน็ ประธาน เปน็ ผคู้ วบคมุ ให้มหาภูตรปู ทาอากปั กริ ิยานั้นๆ ทงั้ อริ ิยาบถใหญ่ คือ การยืนเดิน นั่ง นอน
และอิริยาบถย่อย คือ การเหยียด คู้ ยกข้ึน วางลง ฯลฯ เมื่อพิจารณาโดยแยบคายจนกระท่ังเกิด
ปัญญาหยั่งเห็นตามความเป็นจริง จะเห็นว่ากายมนุษย์ที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ในการปรากฏนี้ไม่
แตกต่างจาก ดนิ นา้ ไฟ และลมภายนอกแตอ่ ย่างใด
สรุปวิธีการปฏบิ ตั ใิ นการพิจารณาธาตุ มี ๒ วิธี คือวิธีโดยย่อ เป็นวิธีท่ีเหมาะสมแก่บุคคล
ผู้มปี ญั ญามาก ส่วนวิธีโดยพสิ ดาร เปน็ วธิ ที ่ีเหมาะสมแก่บคุ คลผู้มีปัญญาไมม่ าก
ค) ประโยชนใ์ นการกาหนดธาตุมนสิการ
พระภิกษุผู้หมั่นประกอบจตุธาตุวัฏฐานนี้ย่อมหย่ังลงสู่ความเป็นของว่างเปล่าย่อมเพิก
ถอนความสาคัญหมายว่าสัตว์ พระโยคีนั้นไม่ถึงความกาหนดแยกว่าเนื้อร้ายและยักษ์และผีเส้ือน้า
เป็นต้น เพราะเปน็ ผู้เพกิ ถอนสัตตสัญญาเสยี ได้ จึงเป็นผทู้ นตอ่ ภัยและสิ่งที่น่าพึงกลัว ทนต่อความยินดี
ยินร้าย ไม่ถึงความฟูุงซ่านและความอึดอัดใจ เพราะอารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา ก็แลท่าน
ย่อมเป็นผู้มีปัญญามาก มีพระนิพพานเป็นที่สุดมิฉะนั้นก็เป็นผู้มีสุคติเป็นท่ีไป๓๔ ในเบ้ืองต้นผู้ปฏิบัติ
ย่อมหยง่ั เหน็ ลักษณะของธาตทุ ี่เด่นชัดว่ามีลักษณะแข็งหรืออ่อนเป็นต้น หลังจากนั้นย่อมหยั่งเห็นเหตุ
ปจั จยั ของรปู วา่ อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน และกรรม เป็นเหตุในอดีตก่อให้เกิดรูป ส่วนอาหารเป็นเหตุ
อุปถัมภ์ในปัจจุบัน ถ้าปราศจากเหตุในอดีต ๔ และเหตุปัจจุบัน ๑ รูปย่อมเกิดข้ึน ไม่ได้ ต่อมาย่อม
หย่ังเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของธาตุท่ีเด่นชัด พร้อมด้วยจิตท่ีกาหนดรู้ หลังจากน้ันจะเกิด
ปัญญาหย่ังเห็นความเกิดดับอย่างรวดเร็วของรูปและจิตท่ีกาหนดรู้ การหยั่งเห็นดังกล่าวทาให้ไม่ห่วง
หาอาลัย ไม่ติดใจธาตุใดธาตุหนึ่งว่าเป็นเรา เป็นของเรา ย่อมปล่อยวางความยึดม่ันถือม่ันอย่าง
เด็ดขาด
๒.๔.๖ นวสวิ ถิกาปัพพะ
ก) นวสิวถิกะ แปลว่า “ปุาช้าท้ัง ๙” หมายถึง ซากศพ ๙ ลักษณะในปุาช้าสาหรับทิ้ง
ซากศพในร่างกายของคนสัตว์ที่มีชีวิตจะมีองค์ประกอบ ๓ อย่าง ทาให้เคลื่อนไหวร่างกายกระทา
อิริยาบถต่างๆ ได้ซึ่งไม่มีในคนตาย คือ อายุ ไออุ่น วิญญาณ ทาให้ส่ิงท่ีมีชีวิตแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิต
และไม่ใช่สิ่งท่ีย่ังยืนคงอยู่ตลอดไป ในอนาคตร่างกายของเราก็จะเหมือนศพท่ีพองอืด เมื่อถึงเวลาจะ
ดับสูญไปตามครรลองของธรรมนิยามผู้ท่ีเจริญวิปัสสนาไม่จาเป็นต้องไปดูซากศพในปุาช้าเพราะ
วิปัสสนาเน้นการน้อมความน่าเกลียดมาสู่ตนเองว่าส่ิงนี้จะเกิดขึ้น กับร่างกายของเราและคนอ่ืน แล้ว
๓๔ พระพุทธโฆสาจารย์ , คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หนา้ ๖๔๕.
๔๔
คลายความยึดมน่ั ถอื มน่ั ลงได้ย่ิงในสมยั ปัจจุบันซากศพหาดูยาก ผู้ปฏิบัติจึงอาจพิจารณานึกถึงซากศพ
ทพ่ี องอืดเปน็ ตน้ แล้วน้อมมาสู่ตนดจุ วา่ ได้เจรญิ วิปสั สนาตามหมวดปาุ ชา้ ทัง้ ๙๓๕ ประกอบด้วย
๑) ศพที่ตายแล้ววันหน่ึงบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพองมีสีเขียว น้าเหลืองไหล
นา่ เกลียด
๒) ศพท่ีฝงู กาจิกกนิ อยูบ่ ้าง ฝงู เหยี่ยวจกิ กินอยูบ่ า้ ง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกอีลุ้มจิกกิน
อยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่พยัคฆ์กัดกินอยู่บ้าง หมู่เสือดาวกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจ้ิงจอกกัดกิน
อยูบ่ า้ ง หมหู่ นอนต่างๆ กดั กนิ อยบู่ ้าง
๓) ศพท่เี ปน็ โครงกระดกู ยังมีเนื้อและเลือด ยังมเี สน้ เอน็ ผกู รัดอยู่
๔) ศพท่ีเป็นโครงกระดกู ปราศจากเนอ้ื และเลือดแล้ว ยงั มีเส้นเอน็ ผกู รดั อยู่
๕) ศพท่ีเปน็ โครงกระดูก ปราศจากเน้ือแตย่ ังเป้อื นเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรดั อยู่
๖) ศพท่ีเป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว เรี่ยรายไปในทิศใหญ่ทิศน้อยคือ
กระดูกมือไปทางหน่ึงกระดูกเท้าไปทางหนึ่งกระดูกข้อเท้า ไปทางหนึ่งกระดูกแข้งไปทางหนึ่งกระดูก
ขาไปทางหน่ึงกระดูกสะโพกไปทางหน่ึงกระดูกสีข้างไปทางหนึ่งกระดูกหลังไปทางหนึ่งกระดูกไหล่ไป
ทางหน่งึ กระดกู คอไปทางหนึ่งกระดูกคางไปทางหนึง่ กระดูกฟันไปทางหนึง่ กะโหลกศีรษะไปทางหน่งึ
๗) ศพทีเ่ ป็นกระดกู มีสขี าว เปรียบดว้ ยสสี ังข์
๘) ศพที่เป็นกระดกู กองเรยี งรายอยแู่ ล้วเกินหนึ่งปขี ้นึ ไป
๙) ศพทเ่ี ปน็ กระดูกผุ เปน็ จณุ แลว้
ข) วธิ ปี ฏิบัติวิธีปฏิบัตใิ นการเพง่ ซากศพ๓๖ประกอบดว้ ยคอื
๑) การเดินไปดูซากศพ คือ ผู้ปฏิบัติธรรมควรเดินไปดูซากศพเพียงคนเดียวในขณะเดิน
ไป ควรใส่ใจกรรมฐานหลักอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ระลึกถึงพระพุทธคุณ แผ่เมตตาพิจารณาว่าร่างกาย
ไมส่ วยงาม หรอื ระลกึ ถึงความตายของตน ควรสารวมอนิ ทรีย์ และสังเกตทิศทางท่ไี ปว่าอยทู่ างทิศใด
๒) การแลดูซากศพ คือ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรอยู่ตามลม เพ่ือไม่ให้ได้กล่ินศพและไม่ควร
อยู่เหนือลม เพราะกล่ินตัวมนุษย์อาจทาให้อมนุษย์ท่ีสิงอยู่ในศพไม่พอใจ จึงควรยืนหรือน่ัง อย่าง
เหมาะสม ไม่ใกล้นัก ไม่ไกลนัก ถ้าอยู่ใกล้ศพเกินไป อาจทาให้เกิดความกลัว ถ้าอยู่ไกลเกินไปอาจทา
ให้มองดูไม่ชัดเจน และควรน่ังหรือยืนดูตรงกลางลาตัว เพ่ือให้เห็นศพได้ทั้งหมด ไม่ควรอยู่ทางศีรษะ
หรอื ปลายเท้าของศพ
๓) การกาหนดสง่ิ ทีอ่ ยรู่ อบซากศพ คอื เม่อื ผ้ปู ฏบิ ตั ธิ รรมเดินไปพบซากศพแล้วควรสังเกต
ว่าในบริเวณน้ันมีก้อนหิน จอมปลวก ต้นไม้ กอไม้หรือไม้เถา เม่ือจิตของผู้ปฏิบัติตั้งมั่นในความไม่
สวยงามของซากศพได้แล้ว อาจเห็นซากศพลุกขึ้นเดินมาหาและตกใจกลัวในขณะน้ันควรพิจารณาว่า
๓๕ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๙/๓๐๘-๓๑๓.
๓๖ พุทธโฆสาจารย์, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หนา้ ๓๑๘๒-๓๓๘.
๔๕
ซากศพไม่มีชีวิตเหมือนก้อนหินเป็นต้น ถ้าซากศพลุกเดินได้ก้อนหินก็เคลื่อนไหวได้เช่นกัน นักปฏิบัติ
ควรดาริว่ากรรมฐานของเราปรากฏความเป็นอุคคหนิมิต คือนิมิตติดตา และเขาย่อมบรรลุ
ความกา้ วหนา้ ในการปฏบิ ัติธรรมต่อไป
๔) การสงั เกตลกั ษณะ ๖ ประการของซากศพ ประกอบด้วย สีผิว คือ ศพมีผิวสีดาหรือสี
ขาว เพศคือ วยั ของศพในแต่ละวัย สณั ฐาน คือ สัณฐานศรี ษะ สณั ฐานคอ สณั ฐานมือสัณฐานเท้า เป็น
ต้น ทิศ คือ ส่วนล่างหรือส่วนบนของศพ ส่วนล่างคือ ที่ใต้สะดือลงไป ส่วนบนคือ ที่เหนือสะดือข้ึนไป
หรือเราอยู่ทางทิศตะวันออก ศพอยู่ทางทิศตะวันตก สถานท่ี คือ มืออยู่ในท่ีน้ี เท้าอยู่ในที่น้ีศีรษะอยู่
ตรงนี้กายทอ่ นกลางอยตู่ รงน้ี หรอื เราอยู่ในที่นี้ ศพอยู่ในท่ีนั้นขอบเขต คือ ซากศพนั้น กาหนดด้วยพื้น
เท้าในเบื้องลา่ ง เบอ้ื งบนกาหนดดว้ ยปลายผม เบื้องขวางกาหนดด้วยหนัง เต็มไปด้วยอาการ ๓๒ ที่ไม่
สะอาด หรือนั่นเปน็ สว่ นมือ เท้า ศีรษะ กายทอ่ นกลาง
๕) การพิจารณาแบ่งออกเป็นท่ีต่อ คือ ท่ีต่อทางมือขวา ๓ ท่ีต่อทางมือซ้าย ๓ ที่ต่อทาง
เท้าขวา ๓ ทีต่ อ่ ทางเทา้ ซา้ ย ๓ ท่ตี ่อคอ ๑ ที่ต่อเอว ๑ เป็นต้น ช่องว่าง มือ เท้า ท้อง หู เป็นต้น ที่เว้า
คือ เบ้าตา ข้างในปาก หลุมคอ หรอื เรายนื อยูใ่ นทีล่ มุ่ ซากศพอยใู่ นที่ดอน เป็นต้น ที่นูน คือ หัวเข่า อก
หน้าผาก หรือเรายนื อยู่ในทด่ี อนซากศพอยใู่ นทล่ี ุ่ม เป็นต้น ท่ีรอบตัว คือ ร่างกายโดยรอบของซากศพ
หรืออาจเพ่งดูร่างส่วนบนของศพตั่ง แต่ศีรษะจนถึงท้องซ่ึงมักปรากฏชัดกว่าร่างส่วนล่าง เป็นต้นผู้
เจริญสมถะได้บรรลุ อัปปนาสมาธิแล้วอาจกาหนดรู้องค์ฌานอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีปรากฏชัดในองค์
ฌาน ๕ ย่อมหยั่ง เห็นความเกิดดับขององค์ฌานหรือจิตที่กาหนดรู้องค์ฌานน้ันส่วนผู้เจริญวิปัสสนา
เมื่อกาหนดรู้สภาวธรรมปัจจุบันที่ปรากฏชัดทางทวารท้ัง ๖ อยู่ ในบางขณะอาจเห็นตนเป็นซากศพ
พองอืด เปน็ กระดกู ขาวโพลน หรือในบางขณะอาจจะตง่ั ใจพิจารณาซากศพแล้วน้อมมาสู่ตนก็ได้ เม่ือ
นน้ั ควรกาหนดว่า “เหน็ หนอ” แลว้ รบั รูส้ ภาวะเกดิ ดบั ของสงิ่ ท่พี บเห็นอยู่ ความจริงแล้วนิมิตที่พบเห็น
ทางใจนัน้ แมจ้ ะไม่ใช่สภาวธรรมโดยตรง กเ็ นื่องดว้ ยบัญญตั ทิ อ่ี าศัย เหมือนนามบัญญัติ ซึ่งเนื่องด้วยส่ิง
ท่ีถูกเรียก และอากาศบัญญัติ ซึ่งเนื่องด้วยส่ิงโล่งว่าง อีกท้ังเป็นสภาวะที่ประจักษ์ความเกิดดับแก่ผู้
ปฏิบตั ิอยา่ งชดั เจนนอกจากน้ันผู้ปฏิบัติอาจหย่ังเห็นความเกิดดับของจิตที่กาหนดรู้นิมิตอารมณ์น้ันซึ่ง
เปน็ ปรมัตถ์อยา่ งแท้จริงได้ การหยั่งเห็นดังกล่าวทาให้ผู้ปฏิบัติไม่ห่วงหาอาลัย ไม่ติดใจ นิมิตและจิตที่
กาหนดรู้นิมิตวา่ เป็นเรา เป็นของเรา ยอ่ มปล่อยวางความยึดมน่ั ถอื ม่นั อยา่ งเดด็ ขาด
รวมความว่าการเจริญสติปัฏฐานในหมวดนี้เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาถ้าผู้ปฏิบัติมุ่ง
เพ่งความน่าเกลียดของซากศพ ก็จาเป็นต้องพบเห็นซากศพในลักษณะต่างๆ ด้วยตาตนเองเสียก่อน
การปฏิบัติตามนัยนี้จัดเป็นสมถะท่ีทาให้จิตต่ังมั่นมีสมาธิในอารมณ์บัญญัติคือซากศพ ส่งผลให้บรรลุ
ปฐมฌานเหมือนการพิจารณาอาการ ๓๒ แต่ถ้ามุ่งน้อมความน่าเกลียดมาสู่ตนโดยเข้าใจว่าตนย่อมไม่
ลว่ งพน้ สภาวะเชน่ นี้กจ็ ัดเป็นวปิ สั สนา