๔๖
๒.๕ อานสิ งส์ของการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน
สติปัฏฐาน หมายความว่า อารมณ์อันเป็นท่ีต้ังแห่งสติ เรียกว่าสติปัฏฐาน เช่น กายเป็น
ท่ีตั้งของสติ และสติน้ันก็เป็นที่ต้ังได้ด้วยและเป็นตัวสติด้วย คาว่าสติ คือการระลึกได้ ฉะนั้น สติปัฏ
ฐานจงึ มงุ่ หมายถงึ สตทิ ่ีมกี ารระลึกไดใ้ น กาย เวทนา จิต ธรรม เหตทุ พ่ี ระพุทธองคท์ รงตรัสสติปัฏฐาน
ไว้เพียง ๔ อย่าง กเ็ พราะทรงเก้ือกลู แกเ่ วไนยสตั วท์ มี่ จี ริตตา่ งกัน คือ
๑. ตัณหาจริตอย่างอ่อน มีกายานุปัสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ที่หยาบจะเป็นหนทาง
แห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดท่ีมีนิมิตเกิดขึ้นได้ไม่
ยากนกั ก็เหมาะสมกับพวกสมถยานกิ ะประเภทยังอ่อน (พวกท่ีปฏบิ ัตสิ มถะ)
๒. ตัณหาจริตอย่างกล้า มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซ่ึงเป็นอารมณ์ที่ละเอียดจะเป็น
หนทางแห่งการปฏบิ ัติแลว้ เกิดผลได้ และเหมาะสมกบั พวกสมถยานิกะประเภทแก่กล้า
๓. ทิฏฐิจริตอย่างอ่อน มีจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ละเอียดแต่ก็แยก
รายละเอียดออกไปไม่มากนัก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ท่ีเป็น
วปิ สั สนายานกิ บุคคลประเภทยงั อ่อน
๔. ทิฏฐิจริตแก่กล้า มีธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซ่ึงมีอารมณ์อันละเอียดลึกซ้ึงแยก
ประเภทออกไปมาก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ท่ีเป็นวิปัสสนา
ยานกิ บุคคลประเภทแก่กลา้
สติปัฏฐาน ๔ เป็นขอ้ ปฏิบัติเพอื่ ละสภุ วิปัลลาส สุขวิปัลลาส นิจจวิปัลลาส และอัตตวิปัล
ลาส เป็นทางสายเอกที่จะนาเหล่าเวไนยสัตว์ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ ข้ามพ้นโสกะปริเทวะ ดับทุกข์
โทมนสั บรรลเุ ญยยธรรม แจ่มแจ้งในพระนพิ พาน
ข้อเปรียบเทียบ พระนิพพาน เหมือนพระนคร โลกุตตรมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
เหมือนประตูพระนคร
ผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ต้องปฏิบัติด้วยการระลึก เช่น การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏ
ฐาน โดยวิธี ๑๔ อย่างแล้ว(มีอานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ เป็นต้น) ก็จะไปรวมลงสู่ท่ีเดียวกัน คือ
พระนิพพานน่ันเอง ด้วยอริยมรรคท่ีเกิดข้ึน ด้วยอานุภาพของกายานุปัสสนา เหมือนคนท้ังหลาย
เดนิ ทางมาจากทศิ ตะวันออก ถอื เอาส่งิ ของท่ีมีในทศิ ตะวนั ออก ก็เข้าพระนครได้ ฉะน้ัน
๒.๕.๑ อานิสงสข์ องการปฏบิ ตั ิ
ทาใหส้ ุขภาพทางร่างกายและจิตใจดขี ึ้น ทาใหจ้ ิตใจเบิกบาน เอิบอิ่มแช่มช่ืน ความวิตก
กังวลและความเครียดลดลงอย่างมาก เป็นผู้มีสติรู้เท่าทัน มีความผิดพลาดน้อย มีประสิทธิภาพใน
การทาหน้าที่ต่างๆ ดีขึ้น ไม่ตกใจกลัวเพราะเจริญสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ มีความกล้าหาญในการ
กระทาคุณงามความดีอย่างสม่าเสมอไม่ท้อถอยเบือหน่าย ความยึดมั่นถือมั่นลดลง เพราะเข้าใจใน
สภาพท่ีแท้จริงของชีวิต ( ขันธ์ ๕ ) สามารถทาลายความโลภ ( อภิชฌา ) ความโกรธ ( โทมนัส ) ให้
๔๗
ลดลงหรือหมดไปได้ ช่อื ว่าเป็นการเตรียมความพร้อม และได้สะสมเหตุปัจจัย เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจ
๔ อันจะนาไปสู่การบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ซ่ึงเป็นท่ีส้ินไปแห่งกิเลส ( ความยึดมั่นถือมั่นด้วยโมหะ)
และกองทุกข์ทั้งมวล ได้ในปัจจุบันชาติน้ี หรือถ้าผู้ปฏิบัติกระทาอย่างต่อเนื่อง จะไม่เกิน ๗ ปี เป็น
อย่างช้าควรจะได้บรรลุ อริยมรรค อริยผลอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ดังพระพุทธพจน์ท่ีปรากฏอยู่ใน
ท้ายสติปฏั ฐานสูตร คัมภีร์มัชฌิมนกิ าย มลู ปัณณาสก์๓๗มเี นอ้ื ความโดยสงั เขป ดงั นี้
ดูกอ่ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ๗ ปีจงยกไว้ ก็ผู้ใดผู้หน่ึง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่าน้ี ดังกล่าวมา
นน้ั ตลอด ๖ ปี ผ้นู นั้ พงึ หวงั ไดซ้ ึง่ ผลอยา่ งใดอย่างหน่ึงใน ๒ อย่าง คือ บรรลุพระอรหันต์ หรือเม่ือยังมี
อุปาทเิ หลืออยู่ ก็บรรลุความเปน็ อนาคามี ในชาตปิ จั จบุ นั นีแ้ ล
ดูก่อนภกิ ษุทั้งหลาย ๖ ปีจงยกไว้ ก็ผู้หน่ึงผู้ใด พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่าน้ี ดังกล่าวมา
นน้ั ตลอด ๕ ปี ผนู้ ้นั พึงหวงั ไดซ้ งึ่ ผล อย่างใดอย่างหน่งึ ใน ๒ อย่างคือ บรรลุพระอรหันต์ หรือเม่ือยังมี
อุปาทิเหลืออยู่ กบ็ รรลคุ วามเปน็ อนาคามี ในปัจจุบนั ชาตนิ แ้ี ล
ดกู อ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย ๕ ปี จงยกไว้... ๔ ปี... ๓ ป.ี .. ๒ ปี... ๑ ปี... ๗ เดือน... ๖ เดือน... ๕
เดอื น... ๔ เดอื น... ๓ เดอื น... ๒ เดือน... ๑ เดือน... จงยกไว้
ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย ครึง่ เดือน จงยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้หนึ่งผู้ใด พึงเจริญสติปัฏ
ฐาน ๔ เหล่าน้ี ดังกล่าวมาน้ัน ตลอด ๗ วัน ผู้น้ันพึงหวังได้ ซ่ึงผลอย่างใดอย่างหน่ึงใน ๒ อย่าง คือ
บรรลุพระอรหนั ต์ หรอื เมื่อยงั มอี ปุ าทิเหลืออยู่ กบ็ รรลุเปน็ พระอนาคามี ในชาตปิ ัจจุบันนีแ้ ล
เพราะอาศัยคากล่าวน้ี ตถาตคจงึ กล่าวคา ซ่งึ ไดก้ ล่าวมาแลว้ (ขา้ งตน้ ) น้ันว่า
ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพ่ือความบริสุทธิ์ของสัตว์ท้ังหลาย เพ่ือระงับ
ความโศก และความคร่าครวญ เพ่ือดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุอริยมรรค เพื่อแจ้งพระนิพพาน
ทางเดยี วน้ี คือ สติปฏั ฐาน ๔ ด้วยประการฉะนแ้ี ลฯ
เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดน้ัน ชี้ให้เห็นว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก
ทกุ คนสามารถกระทาได้ในชีวติ ประจาวัน ของแต่ละคนเพียงแต่ให้เรามี สติ สัมปชัญญะ สังเกตอากัป
กริยาหรือการเคล่ือนไหวต่างๆ อย่างต่อเน่ือง ไม่ว่าท่านจะกาลังกระทาอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าเป็นคนช่ัง
สงั เกตสตปิ ญั ญากจ็ ะเกิดขึน้ ตลอดเวลา กิเลสตณั หาจะไม่สามารถเขา้ มาบงการชีวติ ทา่ น ให้เป็นไปตาม
อานาจของมันได้ ขณะที่ท่านกาหนดอยู่ กุศล (ความดีงาม) ก็เกิดข้ึนในจิตใจอย่างสม่าเสมอ ความช่ัว
หรอื บาปกห็ ลีกไป ถ้าหมน่ั กาหนดอยู่เสมอๆ เท่ากับว่าเราได้พัฒนาความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และยังได้ชื่อ
ว่ารักษาความดเี อาไวด้ ้วย
การเจริญสติปฏั ฐาน ๔ คอื หลกั การปฏิบัติท่ีมี ๔ ระดับ แต่ละระดับก็มีความสัมพันธ์กัน
โดยตรงกบั ฐานของสติ ถ้าฝกึ ปฏิบัติไปตลอดสายแลว้ ผลทจี่ ะปรากฏเกดิ ข้ึนได้ คือ
๓๗ ม.ม. (ไทย) ๑๒/๑๐๓ /๑๒๗.
๔๘
- ระดับท่ี ๑ รู้ว่ากายไม่ใชต่ ัวตน
- ระดับท่ี ๒ รู้วา่ ความร้สู กึ สุข ทุกข์ เฉยๆ ไมใ่ ช่ตวั ตน
- ระดับที่ ๓ รวู้ ่าจติ ไม่ใช่ตวั ตน
- ระดับท่ี ๔ รู้ว่าธรรมท้งั ปวงเปน็ อนัตตา ไมม่ ีบุคคล เราเขา หญิงชาย
ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติถ้าผู้ปฏิบัติศึกษาเข้าใจดีแล้วทดลองฝึกหัดปฏิบัติในแต่ละหมวดแล้วก็
อาจสลับรู้ระหว่างธรรมหยาบกับละเอียดเพื่อความประจักษ์แจ้งย่ิงๆ ข้ึนไปได้ แต่ท่ีสาคัญ คือ ทุก
ระดบั ในการปฏบิ ตั ิ แม้ในกายานปุ ัสสนาอันเป็นการพิจารณาสภาพธรรมท่ีหยาบท่ีสุด ก็อาจมีผลส่งให้
จิตทาลายอุปาทานในตัวตน เข้าถึงมรรคผลได้ทั้งส้ิน จึงไม่มีส่ิงใดที่จะบอกได้ว่าการรู้สภาพธรรมท่ี
หยาบกับละเอียดน้ันอย่างไหนท่ีมีคุณภาพย่ิงหย่อนกว่ากัน หากพิจารณาแนวปฏิบัติท่ีพระพุทธองค์
ทรงวางไว้แล้วก็จะพบว่าเป็นข้ันตอนที่เหมาะสม คือทรงสอนให้รู้ในส่ิงท่ีรู้ได้ง่ายก่อน ในตอนแรกมี
การแบ่งรูป แบ่งนามเพื่อง่ายต่อการเอาสติไปกาหนดรู้ว่าส่ิงน้ีคือรูป สิ่งนี้คือนาม แต่สุดท้ายก็ลงเอย
ด้วยการเห็นรปู นามควบคู่กันเปน็ “ธรรม” น่ันเอง
สรุป กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกาหนดพิจารณากายอยู่เน่ืองๆ โดยเห็น
ตามความเป็นจริงว่ากายนี้เป็นที่รวมลงของอวัยวะน้อยใหญ่ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาและมี
ลักษณะไม่เท่ียงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ และคาว่า กาย ในท่ีน้ีได้แก่ รูปกาย หมายถึง
เป็นที่รวมอยู่แห่งอาการ ๓๒ มีผม เป็นต้น มีมูตรเป็นท่ีสุด เมื่อกล่าวโดยนัยแห่งพระอภิธรรมกายนี้
ได้แกร่ ูป ๒๘ คอื มหาภตู รูป ๔ และอุปาทายรปู ๒๔ เมอ่ื กล่าวโดยขนั ธไ์ ด้แก่ รูปขันธ์ กายดังที่กล่าวมา
นี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งปราศจากจิต เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เจตสิก หมายความว่า กายน้ันไม่มีการรู้
อารมณ์และไม่สามารถจะรับรู้อารมณ์ใดๆได้ การรู้อารมณ์ต่างๆ นั้นเป็นหน้าที่ของจิตและเจตสิก จิต
และเจตสกิ รบั รอู้ ารมณต์ า่ งๆไดเ้ จรญิ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีวัตถุประสงค์เดียว คือ เพ่ือละสุภวิปัล
ลาส ความสาคัญผดิ วา่ งามในสิ่งท่ไี ม่งาม
หลักการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแบ่งออกเป็น ๖ หมวด ๑๔ วิธีคือ ๑.อานา
ปานปพั พะ, ๒. อิริยาปถปัพพะ, ๓. สัมปชัญญปัพพะ, ๔. ปฏิกูลมนสิการปัพพะ, ๕. ธาตุมนสิการปัพ
พะ, ๖. นวสีวถิกาปัพพะ ใน ๑๔ วิธีน้ันที่เป็นท้ังสมถะและวิปัสสนามีอยู่ ๓ หมวด คือหมวดที่ ๑,๔,๖
และหมวดที่เป็นวิปัสสนาอย่างเดียว คอื หมวดท่ี ๒, ๓, ๕
ผลทไี่ ด้จากการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเม่ือตามเห็นกายในกายภายในอยู่
และตามเห็นกายในกายภายนอกอยู่เสมอๆ ตลอดถึงการตามเห็นกายทั้งภายในและภายนอกอยู่อย่าง
นี้ย่อมเห็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนในกายและเห็นส่ิงท่ีดับไปในกายและย่อมเห็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนและดับไป ในกายอยู่
ย่อมรู้ชดั ดว้ ยปญั ญาวา่ กายมีอยู่เพียงเพ่ือรู้ไว้เท่าน้ันและเพียงเพ่ือระลึกไว้เฉพาะหน้าเท่าน้ันย่อมเป็น
ผู้ไม่มีตัณหาและทิฏฐิอาศัยอยู่ด้วยและไม่ยึดม่ันถือมั่นอะไรๆ ในโลก (คือกาย) พระพุทธองค์ตรัสว่านี้
๔๙
แลภิกษุชื่อว่าย่อมตามเห็นกายในกายอยู่เนื่องๆ และในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานน้ีมีวิธีปฏิบัติอยู่ ๖
หมวดดังกลา่ วมาแลว้ ในบทต่อไปจะได้กลา่ วถงึ หลกั การกาหนดในวปิ ัสสนาเป็นลาดับไป
บทท่ี ๓
หลักการกาํ หนดในวปิ สั สนากรรมฐาน
ความนาํ
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นกระบวนการขัดเกลาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
มนุษย์จากความเป็นปุถุชนให้เป็นกัลยาณชนและเป็นอริยบุคคลในที่สุดโดยอาศัยหลักการกําหนด
(โยนิโสมนสิการ) ในรูปนามขันธ์ห้าตามแนวสติปัฏฐานท่ีพระพุทธองค์ทรงประทานไว้ในมหาสติปัฏ
ฐานสตู รทปี่ ระกอบดว้ ยองค์ ๓ อย่างคอื อาตาปี สตมิ า สัมมชาโน ด้วยจุดมุ่งหมายของการกําหนดน้ัน
ให้เป็นไปเพียงแต่สักว่ารู้ในอารมณ์ที่กําลังปรากฎเท่าน้ันไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย
และใจ จนสามารถแยกแยะได้ระหว่างอารมณ์บัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์ก็เป็นการพัฒนาปัญญาไป
ตามวถิ ีทางญาณ ๑๖ เริ่มตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณ ไปจนถึง ปัจจเวขณะญาณในท่ีสุดซ่ึงเป็นระบบ
การขัดเกลาของวปิ สั นนาปัญญาตามหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาซ่ึงจะได้นาํ เสนอเปน็ ลาํ ดับไป
๓.๑ ความหมายของการกาํ หนด
คําว่า “กําหนด” เป็นศัพท์ท่ีคุ้นเคยกันดีในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมชาวไทยตรงกับคําใน
ภาษาอังกฤษว่า Bare attention ซึ่งแปลว่า การให้ความใส่ใจเฉยๆ หรือเพียงแต่เฝ้าดู การกําหนด
คือการตระหนักรู้ท่ีชัดเจนและแน่วแน่อยู่กับส่ิงท่ีเกิดข้ึนจริงๆ กับตัวเราหรือในตัวเราตามที่ปรากฏข้ึน
เปน็ ขณะๆ ตามลําดับในความรบั รู้ของเรา ที่เรียกว่ารู้เฉยๆ หรือเพียงแต่รู้เพราะกําหนดอยู่แต่ที่ความ
จรงิ แทๆ้ ท่ปี รากฏขึน้ ไมว่ า่ ทางทวารท้งั หก (ตา หู จมกู ลิ้น กาย ) หรอื ใจ ซึ่งพระพุทธศาสนาจัดไว้ว่า
เป็นทวารท่ีหก เม่ือใส่ใจอยู่กับส่ิงที่มากระทบทวารทั้งหกดังกล่าว ความใส่ใจหรือสติจะบันทึกเฉพาะ
ความจริงท่ีสังเกตได้เท่าน้ัน โดยไม่มีการตอบสนองต่อความจริง ด้วยการกระทํา การพูด หรือการคิด
เพราะการตอบสนองน้ันอาจกลายเป็นการเอาตัวตนเข้าไปพัวพันเช่นชอบหรือไม่ชอบ ( Self-
reference) และจะต้องไม่มีการลงความเห็นหรือคิดใคร่ครวญใดๆ ท้ังส้ิน ถ้าระหว่างที่เรากําลัง
กําหนดไม่ว่าจะในช่วงเวลาสั้นๆ หรือในเวลานานๆ หากมีความคิดเห็นอย่างที่กล่าวแล้วเข้ามา
สอดแทรกในใจ เราก็หันมากําหนดความคิดเห็นที่สอดแทรกเข้ามานั้นอย่าปัดออกไปหรืออย่าตามไป
เม่อื กําหนดสงิ่ น้ันแลว้ กป็ ล่อยไปเสียอยา่ คดิ ถงึ อีก๑
การกําหนดเป็นการบันทึกอารมณ์ไว้อย่างบริสุทธิ์และเท่ียงตรงโดยปลดป้ายช่ือต่างๆ ที่
ติดไว้เดิมออกหมด จะเป็นการเปิดโลกใหม่ให้แก่มนุษย์ คร้ังแรกเขาจะพบว่าในขณะท่ีเขาคิดว่าเขา
๑ พระญาณโปนิกเถระ (ชาญ สุวรรณวิภัช แปล), หัวใจกรรมฐาน, พิมพ์คร้ังที่ ๕ (กรุงเทพมหานคร :
สํานักพิมพศ์ ยาม,๒๕๔๑),หนา้ ๒๙ - ๓๒.
๕๑
กาํ ลงั พจิ ารณาวัตถุ (อารมณ)์ สง่ิ หนง่ึ ซึ่งเขาคิดว่าส่ิงนั้นเป็นหน่วยเดียว คือ มีวัตถุ (อารมณ์) อันเดียว
ในการรับรู้คร้ังหนึ่งแต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยความหลากหลาย คือ มีกระบวนการท้ังทางกายและ
ทางจิตต่างๆ มากหลายเกิดขึ้นพร้อมตรงกันกับขณะแห่งการรับรู้ท้ังหลายซ่ึงเกิดขึ้นติดต่อกันอย่าง
รวดเร็ว เมื่อกําหนดต่อไปเขาก็เกิดความตกใจอย่างมากเม่ือได้พบความจริงว่า เมื่อมีสิ่งมากระทบกับ
ความรับรู้เข้า ความจริงที่เขารู้น้ันมีจํานวนน้อยคร้ังเหลือเกินที่จะไม่ถูกเสริมแต่งด้วยความรู้
แปลกปลอมต่าง ๆ ตัวอย่างเมื่อการรับรู้ทางตา (เห็นรูป) เกิดข้ึนถ้าภาพน้ันเป็นส่ิงที่เขามีความสนใจ
ภาพทปี่ รากฏในความรบั รู้จะไม่ใช่ภาพทแี่ ท้และบรสิ ทุ ธิ์ แต่ภาพนน้ั จะปรากฏพร้อมกับความคิดตัดสิน
ของตนเองเสรมิ ลงไปวา่ สวยหรือนา่ เกลยี ด น่าพอใจหรอื น่าเบือ่ หน่าย เป็นคุณหรือเปน็ โทษ
การกําหนดจะทําหน้าท่ีช่วยกําจัดส่ิงแปลกปลอมที่เสริมแต่งทั้งหลายออกไปให้เลือก แต่
ตัวอารมณ์แท้ๆ ในการรับรู้ส่ิงแปลกปลอมเสริมแต่งเหล่านั้นเราอาจนํามาพิจารณาภายหลังก็ได้ถ้า
ต้องการ แต่อารมณ์ที่เข้ามาในการรับรู้คร้ังแรกจะต้องไม่มีส่ิงเจือปนเหล่านี้ การทําได้เช่นน้ีจะต้อง
อาศัยการฝึกอย่างสม่าํ เสมอ จนการกาํ หนดบอ่ ยๆ มีพลังแหลมคมมากย่ิงขึ้น สามารถกรองได้ละเอียด
มากย่ิงขน้ึ โดยครงั้ แรกจะกรองสิ่งหยาบๆ ออกกอ่ น ต่อมาก็แยกสง่ิ ละเอียดอ่อนออกไปจนเหลือแต่ตัว
อารมณ์แทๆ้
คุณค่าของการกําหนดเพ่ือการขัดเกลาจิต ความทุกข์ในโลกน้ีเกิดจากการกระทําของ
มนษุ ย์เอง ส่วนใหญไ่ มไ่ ดเ้ กดิ จากการทําความชั่วโดยจงใจ แต่เกิดจากอวิชชา ความประมาท ขาดการ
ไตร่ตรอง ผลุนผลัน และขาดการควบคุมตนเองบ่อยๆ คร้ังถ้าใช้สติเพียงขณะเดียว ก็จะป้องกันผล
ต่อเนื่องอันยาวไกลซึ่งเป็นความผิดไม่ให้เกิดข้ึน ด้วยการหยุดชะงักก่อนทํา ซ่ึงเป็นลักษณะนิสัยของ
การกาํ หนด เรากจ็ ะสามารถฉวยโอกาสทส่ี ําคัญถึงแม้จะสั้นนิดเดียว ซ่ึงเป็นขณะที่จิตยังไม่ได้ตัดสินใจ
เลือกวิธีปฏิบัติทีชัดเจนออกไปขณะสั้นๆ น้ัน ยังเปิดโอกาสเพื่อช้ีนําที่ถูกต้องขณะต่อไปอาจเปล่ียน
ฐานการณ์โดยส้ินเชิง โดยสามารถเอาชนะต่อแรงกระตุ้นของอาสวะกิเลส และอคติจากภายในตนที่
เป็นอันตรายจากภายนอก การกําหนดทําให้การเปล่ียนจากช่วงการคิดเป็นการกระทําช้าลง ทําให้มี
เวลาพอเพียงสําหรับการตัดสินใจท่ีรอบคอบ การช้าลงเช่นน้ีเป็นสิ่งสําคัญอย่างย่ิงตราบเท่าที่คําพูด
และการกระท่ีเป็นอกุศล เป็นอันตรายหรือชั่วร้ายท่ียังมีเรี่ยวแรงสามารถแสดงออกมาได้โดยฉับพลัน
นน่ั คืออกศุ ลธรรมเหล่านัน้ ยังสามารถสนองตอบโดยทันทีต่อเหตุการณ์โดยไม่เปิดโอกาสให้แรงหยุดยั้ง
จากปัญญา การควบคุมตนเองมีโอกาสทํางานได้ทัน เมื่อฝึกจนเกิดนิสัยช้าลง ก็จะเป็นอาวุธที่มี
ประสิทธิภาพตอ่ ต้านความผลนุ ผลนั ทั้งทางคาํ พูดและการกระทําโดยการเรียนรู้จากการกําหนด ซ่ึงทํา
ให้รู้จักหยุดยั้ง รู้จักช้าลง และรู้จักหยุดเลิกได้ ก็จะทําให้ความอ่อนสลวยของจิต (มุทิตา) และความ
พร้อมในการรับรู้ของจติ เจริญงอกงามมากยงิ่ ขึ้น ทําให้ปฏิกิริยาท่ีไม่พึ่งปรารถนาไม่มีโอกาสเกิดข้ึนเอง
๕๒
บ่อยครั้งเหมือนแต่ก่อน ความมีอํานาจเหนือปฏิกิริยาท่ีเคยชินเป็นนิสัย อันไม่เคยถูกขัดขวางหรือถูก
ทบทวนมากอ่ น เมื่อถูกตอ่ ต้านบอ่ ยๆ เข้าก็จะค่อยๆ หมดกาํ ลังลงไปในที่สดุ
การกําหนดจะสร้างเคร่ืองมือท่ีสําคัญขึ้นมาคือการแทงตลอดความจริง ซึ่งในทางธรรม
เรียกเคร่ืองมือนี้ว่า วิปัสสนา และวิปัสสนานี้เท่าน้ันคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของวิธีการปลดเปลื้องจิต
เพราะวิปัสสนาเป็นการรู้เห็นแจ้งโดยตรงและแทงตลอดในลักษณะ ๓ ประการของสิ่งต่างๆ (ไตร
ลกั ษณ์) กล่าวคือ ความไมเ่ ทยี่ ง (อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) ความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ไม่ใช่เพียงแต่
รู้สัจจะธรรมเหล่านี้ด้วยความซึมซาบเหตุผลหรือเพียงด้วยปัญญาที่เข้าใจความหมายเท่าน้ัน แต่
จะตอ้ งรู้เห็นจริงดว้ ยประสบการณท์ ่ีมัน่ คงปราศจากความสงสัยดว้ ยตนเองประสบการณ์ในสัจจะธรรม
น้ีจะเกิดขนึ้ ได้ และเจรญิ กา้ วหนา้ จนสกุ งอมถงึ ข้ันก็ด้วยการปฏบิ ัตกิ รรมฐาน เผชิญหน้ากับความจริงท่ี
รองรบั สจั จะธรรมเหล่านี้ครั้งแล้วคร้ังเล่า วิปัสสนาเป็นความรู้ประเภทเปลี่ยนแปลงชีวิตสภาวะท่ีเป็น
แก่นแท้ของวิปัสสนาจะช่วยเพ่ิมพูนความไม่ยึดมั่นและเพิ่มคว ามเป็นอิสระจากความทะยานอยาก
ตา่ งๆ จนบรรลุถงึ ความหลุดพน้ ของจติ ขัน้ สดุ ท้ายจากทุกส่ิง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเป็นทาสต่อความ
ทุกขท์ ั้งมวลในโลกนี้
วิปสั สนามีหนา้ ทีป่ ลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ทํา
ให้มองเห็นชัดเจนทุกส่ิง ทั้งโลกภายในและโลกภายนอก ตามสภาพที่เป็นจริงแท้ ของมัน คือเป็น
กระบวนธรรมล้วนๆ ไม่มีตัวตนบุคคลเข้าแทรกและนั่นก็คือลักษณะอย่างเดียวกันกับการกําหนด
ดังน้ันการปฏิบัติจึงเป็นการสร้างความเคยชินทีละน้อยเพื่อก้าวข้ึนไปสู่การเจริญวิปัสสนาในระดับสูง
จนถึงข้ันหลุดพ้นในที่สุด จุดมุ่งหมายสูงสุดของวิปัสสนาละความไม่ยึดมั่นอย่างสมบูรณ์ อาจจะอยู่
ห่างไกลสําหรับผู้ที่เร่ิมปฏิบัติ แต่จากประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการกําหนด จะทําให้ตนเกิด
ความเคยชินข้ึน ผู้ปฏิบัติจะเกิดความคุ้นเคยใกล้ชิดกับเป้าหมายขึ้น และเกิดแรงดึงดูดให้เดินเข้าสู้
เป้าหมายมากขึ้น แรงดึงดูดดังกล่าวจะมีไม่ได้ถ้าตัวเขามีเพียงแต่ความคิดแต่ไม่ได้ปฏิบัติเพ่ือหา
ประสบการณ์ภายในของตัวเอง สําหรับผู้ทีปฏิบัติตาม ทางแห่งสติ จุดหมายจะปรากฏให้เห็นเหมือน
เส้นแสดงรูปร่างของทิวเขาที่ขอบฟ้าในระยะไกล ภาพนี้จะค่อยๆ คุ้นตามากยิ่งข้ึน เมื่อผู้เดินทาง
เฝ้าคอยจ้องอยู่ขณะท่ีกําลังเดินทางด้วยความเมื่อยล้า บนหนทางอันยังอยู่ห่างไกลจากยอดเขาสูงน้ัน
จริงอย่คู วามสนใจหลักของผู้เดินทางจะอยู่ท่ีหนทางอันขรุขระ อุปสรรคต่างๆ รวมทั้งทางแยกที่สับสน
แต่ก็ยังจําเป็นท่ีจะต้องคอยจ้องมองยอดเขาที่ปรากฏให้เห็นเส้นขอบฟ้าเป็นระยะๆ ไปทั้งน้ีเพื่อเป็น
การรักษาใจของตัวเองให้มุ่งตรงทิศทางและช่วยให้ค้นหาทางที่ถูกต้องเม่ือเกิดหลงทาง จุดหมายที่
มองเห็นจะคอยเพ่ิมหลังให้ใหม่แก่เท้าที่อ่อนเพลียให้ความกล้าหาญแก่ดวงจิตและให้ความหวังซึ่ง
อาจจะสูญเสียไปได้ หากยอดเขาถูกบงั อยู่ตลอดเวลา หรือหากรู้จักยอดเขาแต่เพียงจากการได้ยินหรือ
การอา่ นถึงเท่านน้ั ภาพที่เห็นนน้ั จะคอยเตือนไมใ่ ห้เขาลมื เป้าหมายคอื ยอดเขา พร้อมท้ังปีติสุขทีละเล็ก
๕๓
ละน้อยท่ีมีอยู่เรื่อยๆ ตลอดทาง ก็จะคอยเตือนไม่ให้เขาลืมสมบัติประเสริฐสุดบนยอดเขาท่ีกําลังรอ
คอยเขาอยู่เบอ้ื งขอบฟ้าโน้น
๓.๒ มนสิการในวปิ ัสสนากรรมฐาน
๓.๒.๑ ความหมายของมนสิการ
คําว่า “โยนิโสมนสิการ” ว่าโดยรูปศัพท์ ประกอบด้วย โยนิโส กับ มนิการ มาจาก โยนิ
ซ่ึงแปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง๒ ส่วน มนิการ แปลว่า การทําในใจ การคิด
คํานึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา๓ เมื่อรวมเข้าเป็นโยนิโสมนสิการ ท่านแปลสืบๆ กันมาว่า การทําในใจ
โดยแยบคาย การทําในใจโดยแยบคาย มคี วามหมายแคไ่ หนเพยี งใด คมั ภรี ์ชนั้ อรรถกถาและฎีกาได้ไข
ความไว้ โดยวธิ ีแสดงไวพจน์ให้เหน็ ความหมายแยกเป็นแง่ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. อุบายมนสิการ แปลว่า คิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือคิดอย่างมีวิธี หรือคิดถูกวิธี
หมายถึง คดิ ถกู วธิ ที ีจ่ ะให้เข้าถงึ ความจริง สอดคล้องเข้าแนวกับสัจจะ ทําให้หยั่งรู้สภาวะลักษณะและ
สามญั ลกั ษณะของสิง่ ท้ังหลาย
๒. ปถมนสิการ แปลว่า คิดเป็นทาง หรือคิดถูกทาง คือคิดได้ต่อเน่ืองเป็นลําดับ
จัดลาํ ดับได้ หรอื มลี าํ ดบั มีขั้นตอน แล่นไปเป็นแถวเป็นแนว หมายถึง ความคิดเป็นระเบียบ ตามแนว
เหตผุ ล เป็นต้น ไมย่ งุ่ เหยิงสับสน ไม่ใช่ประเด๋ียววกเวียนติดพันเร่ืองน้ี ท่ีนี้ เด๋ียวเตลิดออกไปเรื่องนั้น
ท่ีโน้น หรือกระโดดไปกระโดดมา ต่อเป็นช้ินเป็นอันไม่ได้ ทั้งน้ีรวมทั้งความสามารถที่จักชักความนึก
คดิ เขา้ สแู่ นวทางทถ่ี กู ต้อง
๓. การณมนสิการ แปลว่า คิดตามเหตุ คิดค้นเหตุ คิดตามเหตุผล หรือคิดอย่างมี
เหตุผล หมายถึง การสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดกันแห่งเหตุปัจจัย พิจารณาสืบสาวหา
สาเหตุ ให้เข้าใจถงึ เค้า หรอื แหล่งท่มี า ซงึ่ สง่ ผลตอ่ เน่ืองมาตามลําดบั
๔. อุปปาทกมนสกิ าร แปลว่า คดิ ใหเ้ กิดผล คอื ใชค้ วามคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์ เล็ง
ถึงการคดิ อย่างมเี ป้าหมาย ท่านหมายถึง การคิดการพิจารณาท่ีทําให้เกิดกุศลธรรม เช่น ปลุกเร้าให้
เกิดความเพียร การรู้จักคิดในทางที่ทําให้หายหวาดกลัว ให้หายโกรธ การพิจารณาท่ีทําให้มีสติ หรือ
ทาํ ให้ใจเขม้ แข็งม่นั คง เป็นต้น
๒ พระพรหมคุณาภรณ์ อ.ป. ปยุตฺโต, พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์คร้ังที่ ๒๓, ( กรุงเทพมหานคร :
สํานักพมิ พ์ผลิธมั ม,์ ๒๕๕๕), หน้า ๖๒๑.
๓ ไวพจน์ของมนสิการ คือ อาวัชชนา อาโภค สมันนาหาร ปัจจเวกขณ์ ( ที. อ. ๒/๓๒๓; ม. อ. ๑/๘๘;
อิต.ิ อ. ๘๐; วสิ ทุ ธ.ิ ๒/๖๓; ๑๓๘)
๕๔
โยนิโสมนสิการ ที่โบราณแปลสืบมาว่า “ทําในใจโดยแยบคาย” หรือมนสิการโดยแยบ
คาย หรือง่ายๆ ว่าคิดแยบคาย เป็นการใช้ความคิดอย่างถูกวิธี หรือคิดอย่างมีวิธี ตามความหมายท่ี
กลา่ วมาเม่ือเทียบในกระบวนการพัฒนาปญั ญา โยนิโสมนสิการ อยใู่ นระดับเหนือศรทั ธาเพราะเป็นขั้น
ท่ีเริ่มใช้ความคิดของตนเองเป็นอิสระ ส่วนในระบบการศึกษาอาบรม โยนิโสมนสิการเป็นการฝึก
ความคิด ให้รู้จักคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ รู้จักคิดวิเคราะห์ ไม่มองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างต้ืนๆ
ผิวเผิน เป็นขั้นสําคัญในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์เป็นอิสระ ทําให้พึ่งตนได้ และนําไปสู่จุดหมายของ
พุทธธรรมอย่างแท้จริง
๓.๒.๒ ความสาํ คญั ของโยนิโสมนสกิ าร
“ภิกษทุ ั้งหลาย เม่ือดวงอาทติ ย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรณุ ข้นึ มาก่อน เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความถงึ พรอ้ มดว้ ยโยนิโสมนสกิ าร ก็เป็นตัวนํา เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดข้ึนของอริยอัษฏางคิกมรรค
แก่ภิกษุ ฉันนั้น ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ พึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทําให้มากซึ่ง
อรยิ อษั ฏางคิกมรรค๔
“ภิกษุท้ังหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงเงินแสงทอง เป็นบุพนิมิตมาก่อน
ฉันใด โยนิโสมนสิการก็เปน็ ตัวนาํ เปน็ บพุ นมิ ิตแหง่ การเกิดขน้ึ ของโพชฌงค์ ๗ แก่ภิกษุ ฉันน้ัน ภิกษุ
ผูถ้ ึงพรอ้ มด้วยโยนโิ สมนสกิ าร พึงหวังส่งิ นไ้ี ด้ คอื จักเจรญิ จกั ทําให้มากซ่งึ โพชฌงค์ ๗”๕
“ภิกษุท้ังหลาย ร่างกายน้ี ดํารงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจึงดํารงอยู่ได้, ไม่มีอาหาร
หาดาํ รงอย่ไู ด้ไม่ ฉันใด นวิ รณ์ ๕ กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกัน ดาํ รงอยู่ด้วยอาหาร อาศัยอาหารจงึ ดํารงอยู่ได้,
ไม่มีอาหาร หาดาํ รงอย่ไู ด้ไม่; อะไรเลา่ คอื อาหาร...ก็คอื การกระทําให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ...
“ภิกษทุ ง้ั หลาย ร่างกายน้ี ดํารงอย่ดู ว้ ยอาหาร อาศัยอาหารจึงดํารงอยู่ได้, ไม่มีอาหารหา
ดํารงอยู่ได้ไม่ ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็ฉนั น้ันเหมือนกัน ดํารงอยดู่ ว้ ยอาหาร อาศยั อาหารจึงดํารงอยู่ได้
, ไมม่ อี าหาร หาดาํ รงอยูไ่ ด้ไม,่ อะไรเล่าคอื อาหาร...ก็คือ การกระทําใหม้ ากซงึ่ โยนโิ สมนสิการ...”๖
“ภิกษุทงั้ หลาย เพราะโยนโิ สมนสิการ เพราะโยนิโสสัมมัปปธาน (การตั้งความเพียรชอบ
ถูกวิธี) เราจึงได้บรรลุอนุตรวิมุตติ จึงได้ประจักษ์แจ้งอนุตรวิมุตติ, แม้เธอทั้งหลายก็จะบรรลุอนุตร
วิมุตติได้ ประจกั ษแ์ จง้ อนตุ รวิมตุ ติได้ เพราะโยนโิ สมนสิการ เพราะโยนโิ สสัมมัปปธาน”๗
๔ สํ. ม. ๑๙/ ๑๓๖/๓๗.
๕ ส.ํ ม. ๑๙/๔๑๔/๑๑๓.
๖ ส.ํ ม. ๑๙/ ๓๕๗-๓๗๒/๙๔-๙๘
๗ วนิ ย. ๔/๓๕/๔๒; สํ. ส. ๑๕/๔๒๕/๑๕๓.
๕๕
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรากลา่ วความส้ินไปแหง่ อาสวะท้ังหลาย (ว่าสําเร็จได้) แก่ผู้รู้ผู้เห็น มิใช่
แก่ผู้ไม่รู้ มิใช่แก่ผู้ไม่เห็น; เม่ือรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงจะมีความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย เมื่อรู้เห็น
(วธิ ที ําใหเ้ กดิ และไม่ให้เกิด) โยนิโสมนสกิ าร และอโยนิโสมนสิการ; เม่ือมนสิการโดยไม่แยบคายอาสวะ
ทย่ี งั ไมเ่ กิด ย่อมเกดิ ข้ึน และอาสวะท่เี กิดข้ึนแล้ว ย่อมเจรญิ เพ่มิ พนู , เม่ือมนสิการโดยแยบคาย อาสวะ
ทีย่ ังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดข้ึน และอาสวะที่เกิดขนึ้ แล้ว ยอ่ มถูกละได้”๘
“ภิกษุทง้ั หลาย ธรรมท้ังหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่เป็นกุศล อยู่ในภาคกุศล อยู่ใน
ฝ่ากุศล ธรรมเหล่าน้ันทั้งหมด มีโยนิโสมนสิการเป็นมูลราก ประชุมลงในโยนิโสมนสิการ, โยนิโส
มนสกิ าร เรยี กว่าเปน็ ยอดของธรรมเหล่านน้ั ”๙
“ดูกรมหาลิ โลภะ...โทสะ...โมหะ...อโยนิโสมนสกิ าร...จติ ที่ตั้งไว้ผิด เป็นเหตุ เป็นปัจจัย
เพือ่ การกระทํากรรมชั่ว เพ่ือความเป็นไปแห่งกรรมช่ัว, อโลภะ...อโทสะ...อโมหะ...โยนิโสมนสิการ...
จิตที่ต้ังไว้ชอบ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อการการะทํากัลยาณกรรม เพื่อความเป็นไปแห่งกัลยาณ
กรรม”๑๐
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอ่ืน แม้สักอย่างหน่ึง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมท่ียังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือ
ให้อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการ กุศลธรรมที่ยัง
ไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกศุ ลธรรมทีเ่ กดิ ขึน้ แล้ว ยอ่ มเสือ่ มไป”๑๑
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่าง ที่เป็นไปเพ่ือประโยชน์ย่ิงใหญ่๑๒ ...ที่เป็นไปเพ่ือ
ความดาํ รงม่นั ไม่เสอื่ มสญู ไม่อันตรธานแกง่ สัทธรรม๑๓ เหมอื นโยนโิ สมนสิการ”
“โดยกําหนดว่าเป็นองค์ประกอบภายใน เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบอ่ืนแม้สักข้อหนึ่ง ท่ี
เปน็ ไปเพื่อประโยชน์ เหมือนโยนโิ สมนสกิ าร”
“สําหรับภิกษุผู้เสขะ ยังไม่บรรลุอรหันผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ อันยอดเย่ียม
เราไมเ่ ล็งเหน็ องค์ประกอบภายในอย่างอ่ืนแม้สักอย่าง ท่ีมีประโยชน์มาก เหมือน โยนิโสมนสิการเลย
ภกิ ษผุ ู้ใช้โยนิโสมนสิการ ย่อมกําจดั อกศุ ลได้ และบําเพญ็ กศุ ลใหเ้ กดิ ขึน้ ”๑๔
๘ ม. มู. ๑๒/๑๑/๑๒.
๙ สํ. ม. ๑๙/๔๖๕/๑๒๙.
๑๐ องฺ ทสก. ๒๔/๔๗/๙๐.
๑๑ อง.ฺ เอก. ๒๐/๖๘/๑๕.
๑๒ องฺ เอก. ๒๐/ ๙๒/๒๐.
๑๓ องฺ เอก / ๑๒๔/๒๔.
๑๔ ขุ. อติ .ิ ๒๕/๑๙๔/๒๓๖.
๕๖
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซ่ึงเป็นเหตุให้สัมมาทิฐิท่ียังไม่เกิดได้เกิดข้ึน
หรือให้สมั มาทิฐิท่เี กิดขึ้นแล้ว เจริญย่ิงข้ึน เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เม่ือมีโยนิโสมนสิการ สัมมาทิฐิ
ที่ยังไม่เกิด ยอ่ มเกิดขน้ึ และสัมมาทิฐทิ ่ีเกดิ ข้ึนแลว้ ย่อมเจริญยิง่ ขน้ึ ”๑๕
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้โพชฌงค์ท่ียังไม่เกิด ได้เกิดข้ึน หรือ
ให้โพชฌงค์ท่ีเกิดข้ึนแล้ว ถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เม่ือมีโยนิโสมนสิการ
โพชฌงคท์ ย่ี งั ไม่เกดิ ยอ่ มเกิดขึ้น และโพชฌงคท์ ี่เกดิ ขึ้นแลว้ ย่อมถงึ ความเจรญิ เตม็ บริบรู ณ์”๑๖
“เราไม่เล็งเหน็ ธรรมอื่นแม้สักข้อหนงึ่ ท่ีจะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดข้ึน
หรือท่เี กิดข้ึนแลว้ กถ็ กู กําจดั ได้ เหมอื นโยนโิ สมนสกิ ารเลย”๑๗
“โยนิโสมนสิการในอสุภนิมิต เป็นเหตุให้ราคะไม่เกิด และราคะที่เกิดข้ึนแล้ว ก็ถูกละได้
โยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตติ เป็นเหตุให้โทสะไม่เกิด และโทสะท่ีเกิดแล้ว ก็ถูกละได้ โยนิโส
มนสิการ (โดยทัว่ ไป) เปน็ เหตใุ หโ้ มหะไมเ่ กิด และโมหะทีเ่ กิดแล้ว ก็ถกู ละได้”๑๘
เมือ่ โยนิโสมนสิการ นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่เกิด ท่ีเกิดแล้ว ก็ถูกกําจัดได้ ในขณะเดียวกันก็เป็น
เหตุใหโ้ พชฌงค์ ๗ เกิดขึน้ และเจริญเตม็ บริบูรณ์๑๙
“ธรรม ๙ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่ ธรรม ๙ อย่าง ซ่ึงมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล
กล่าวคือ เม่ือโยนิโสมนสิการ ปราโมทย์ย่อมเกิด เม่ือปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจปีติ กายย่อม
สงบผ่อนคลาย (ปสั สทั ธิ) เมื่อกายสงบผ่อนคลาย ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีสุข จิตย่อมเป็นสมาธิ ผู้มีจิตเป็น
สมาธิ ยอ่ มรเู้ ห็นตามเป็นจริง เมอ่ื ร้เู หน็ ตามเปน็ จริง ยอ่ มนพิ พิทาเอง เมือ่ นิพพิทา ก็วิราคะ เม่ือวิราคะ
ก็วมิ ุตต”ิ ๒๐
ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานสิ่งท่ีโยคีหรือผู้ปฏิบัติจะได้ยินอยู่เสมอคือ “การกําหนด”
วิปัสสนาจารยจ์ ะคอยเตือนโยคีตลอดเวลาวา่ ใหก้ ําหนดทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งที่เกิดขึน้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
และใจ ตัวอย่าง เมื่อตาเห็นรูป ให้กําหนดว่า “เห็นหนอ ๆ” เมื่อหูได้ยินเสียง ให้กําหนดว่า “ได้ยิน
หนอ” เม่ือจมูกได้กล่ิน ให้กําหนดว่า “กล่ินหนอๆ” เมื่อลิ้นรู้รส ให้กําหนดว่า “รสหนอๆ” เมื่อกาย
ถูกต้องสิ่งที่สัมผัส (โผฏฐัพพารมณ์) ให้กําหนดว่า “ถูกหนอๆ” และเมื่อใจนึกคิดสิ่งท่ีนึกคิด (ธัมมา
รมณ์) ให้กําหนดว่า “คิดหนอๆ” อย่างไรก็ตามหลายคนยังไม่เข้าใจว่าการกําหนดมีต้นตอมาจาก
๑๕ อง.ฺ เอก ๒๐/๑๘๖/๔๑.
๑๖ องฺ. เอก ๒๐/ ๗๖/๗๑.
๑๗ องฺ. เอก. ๒๐/๒๑/๕.
๑๘ อง.ฺ ติก. ๒๐/๕๐๘/๒๕๘.
๑๙ ส.ํ ม. ๑๙/๔๔๖-๗/๑๒๒.
๒๐ ท.ี ปา.๑๑/๔๕๕/๓๒๙.
๕๗
อะไร วิธกี ําหนดทถ่ี ูกตอ้ งนน้ั ประกอบด้วยปัจจยั อะไรบ้างและจะตอ้ งทําอย่างไร คําว่า “กําหนด” เป็น
ศัพท์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป หมายถึง “หมายไว้ หรือ “ตราไว้” ความจริงแล้วการกําหนดแปลมาจากคําว่า
“attention” ในภาษาอังกฤษ ในหนังสือ “หัวใจกรรมฐานแบบพุทธ (The Heart Of Buddhist
Meditation)” ผู้รจนาคือพระญาณโปนิกเถระ ใช้คําว่า “bare attention” ซึ่งพอจะแปลเป็น
ภาษาไทยได้วา่ “การกาํ หนดเฉยๆ” หรือ “การกาํ หนดสกั แตว่ ่ารู้”
๓.๓ มนสกิ ารในพาหยิ สตู ร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตกรุงสาวัตถี คร้ังนั้น บุรุษช่ือพาหิยะ ทารุจิริยะ ๒๑ อาศัยอยู่ ณ ท่าสุปการกะ ใกล้ฝ่ังทะเล มีคน
จํานวนมากพากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อม จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน
ปัจจยั เภสัชบริขาร ครัง้ น้ันเมอ่ื พาหยิ ะ ทารจุ รี ิยะอยใู่ นทีล่ ับหลีกเร้นอยู่๒๒ เกิดความคิดคํานึงอย่างนี้ว่า
“เราเป็นคนหน่งึ ในบรรดาคนในโลกทเี่ ปน็ พระอรหนั ต์ หรือวา่ เป็นผ้บู รรลุอรหนั ตมรรค”
คราวนน้ั เทวดาท่ีเปน็ ญาติสาโลหติ ๒๓ ในปางก่อนของเขา มีปกติอนุเคราะห์ปรารถนาจะ
ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ได้ทราบความคิดคํานึงของเขา จงึ เขา้ ไปหาเขาถึงท่ีอยู่ได้พูดดังนี้ว่า “พาหิยะ ท่านไม่
เปน็ พระอรหันต์ หรอื ไม่เป็นผบู้ รรลุอรหตั ตมรรคเลย แม้ปฏปิ ทาทจ่ี ะเปน็ พระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุ
อรหัตตมรรคของทา่ นกไ็ มม่ ี”
พาหิยะ ทารุจิริยะจึงถามว่า “เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดน้ี ใคร่เล่าเป็นพระอรหันต์หรือเป็นผู้
บรรลอุ รหตั ตมรรค ในโลกพร้อมท้งั เทวโลก”
เทวดาน้ันตอบว่า “พาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีเมืองชื่อว่าสาวัตถีพระผู้มีพระภาค
อรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา้ พระองค์นัน้ ประทับอยู่ ณ ท่ีนั้น พาหิยะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงเป็น
พระอรหันต์ ท้ังทรงแสดงธรรมเพื่อความเปน็ พระอรหนั ต์ด้วย”
๒๑ ท่ีชื่อว่า พาหิยะ เพราะเกดิ ในแควน้ พาหยิ ะ ทชี่ อื่ วา่ ทารุจิริยะ เพราะเป็นผู้นุ่งผ้าเปลือกได้ พาหิยะ ทา
รจุ ิริยะนี้เคยตั้งความปรารถนาว่าขอให้ตรัสรู้เร็วพลัน ในศาสนาของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า (ขุ. อุ. อ. ๑๐/
๘๑ – ๘๒.
๒๒ หลีกเร้นอยู่ หมายถึง การอยู่ผู้เดียว การอยู่โดยเพ่งพินิจธรรม หรืออยู่ด้วยผลสมาบัติ อีกนัยหน่ึง
หมายถึง การทํานิพพานให้เป็นอารมณ์ เข้าผลสมาบัติในเวลาเช้า (วิ.อ. ๑/๒๒/๒๐๔, สํ.สฬา. อ. ๓/๘๗/๒๐, องฺ
ฉกฺก. อ. ๓/๑๗/๑๐๖-๑๐๗) แตใ่ นท่ีนี้เปน็ เพยี งกิรยิ าเลยี นแบบดว้ ยประสงค์จะให้เขายกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ (ขุ.
อุ. อ. ๑๐/๘๔).
๒๓ ญาติ หมายถงึ บิดามารดาและเครือญาติฝ่ายบิดามารดาของสามี หรือบิดามารดาและเครือญาติฝ่าย
บดิ ามารดาของภรรยา สาโลหิต หมายถึง ผู้ร่วมสายเลือดเดียวกันได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พอ่ แม่ พ่ีสาว นอ้ งสาว พช่ี าย
น้องชาย เปน็ ต้น (องฺ. ติก. อ. ๒/๗๖/๒๒๗).
๕๘
ลําดับนั้น พาหิยะ ทารุจิริยะถูกเทวดานั้นทําให้สังเวชแล้ว จึงหลีกไปจากท่าสุปปารกะ
ในทันใดน้ันเองไปยังเมืองสาวัตถีทันที โดยพักแรมสิ้นราตรีเดียวในท่ีทั้งปวง ได้เข้าไปยังพระเชตวัน
อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถที พ่ี ระผมู้ ีพระภาคประทับอยู่
สมัยน้ัน ภิกษุจํานวนมาก กําลังจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยะ ทารุจิริยะได้เข้าไปนหา
ภิกษุเหล่าน้ันถึงท่ีจงกรม ได้พูดดังน้ีว่า “ท่านขอรับ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ
เจ้าประทับอยู่ ณ ท่ีไหน กระผมต้องการจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
น้ัน” ภิกษเุ หลา่ นั้นตอบวา่ “พาหิยะพระผมู้ พี ระภาคเสด็จเขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั ละแวกบา้ น”
ลําดับน้ัน พาหิยะ ทารุจิริยะรีบด่วนออกจากพระเชตะวัน เข้าไปยังกรุงสาวัตถีได้เห็น
พระผู้มีพระภาคผู้กําลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ผู้น่าเลื่อมใส ทรงเป็นท่ีต้ังแห่งความ
เล่ือมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ทรงบรรลุทมถะและสมถะที่สุดแล้ว ทรงฝึกฝนแล้ว ทรง
ค้มุ ครองแลว้ ทรงสาํ รวมอินทรีย์ ทรงเปน็ พระนาคะ๒๔ ครัน้ เห้นแลว้ จงึ เขา้ ไปเฝา้ หมอบลงแทบพระ
ยคุ ลบาทพระผ้มู ีพระภาคได้กราบทูลพระผมู้ พี ระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระ
ภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมท่ีจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพ่อื ความสขุ แกข่ า้ พระองค์ตลอดกาลนานเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
เมอ่ื พาหยิ ะ ทารจุ ิริยะกราบทลู อยา่ งนีแ้ ล้ว พระผ้มู ีพระภาคจงึ ตรัสกับพาหิยะทารุจิริยะ
ดังน้ีว่า “พาหิยะ เวลาน้ยี งั ไมส่ มควร เพราะเรากาํ ลงั เที่ยวบิณฑบาตตามละแวกบ้านอยู่”
แม้คร้ังท่ี ๒ พาหิยะ ทารุจิริยะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังน้ีว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิต
ของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้า
พระองค์ ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมท่ีจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์
ตลอดกาลนานเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”
พระผ้มู ีพระภาคจงึ ตรสั กบั พาหยิ ะ ทารุจิริยะดงั นี้ว่า “พาหิยะ เวลาน้ียังไม่สมควรเพราะ
เรากาํ ลังเท่ียวบิณฑบาตตามละแวกบา้ นอยู่”
แม้ครัง้ ที่ ๓ พาหิยะ ทารจุ ิรยิ ะได้กราบทลู พระผูม้ ีพระภาคเจ้าดังน้ีว่า “ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิต
ของขา้ พระองคก์ ็ดี รไู้ ดย้ าก ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญขอพระผ้มู ีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
๒๔ ที่ทรงพระนามว่า “นาคะ” เพราะเหตุ ๔ ประการ คือ (๑) เพราะไม่ถึงอคติ ๔ มฉี นั ทาคติ เปน็ ตน้ (๒)
เพราะไม่ทรงกลบั ไปหากเิ ลสท่ีทรงละได้แลว้ (๓) เพราะไมท่ าํ ความชั่วอะไรๆ (๔) เพราะไม่ไปเกิดในภพใหญ่ (ขุ. อุ.
อ. ๑๐/๙๑).
๕๙
ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมท่ีจะเป็นไปเพ่ือประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาล
นานเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”
พระผ้มู พี ระภาคจงึ ตรสั วา่ “พาหยิ ะ เพราะเหตุน้ัน เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่าเม่ือเห็นรูปก็
สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้๒๕ก็สักแต่ว่ารับรู้ เม่ือรู้แจ้ง
ธรรมารมณท์ ร่ี แู้ จ้งก็สกั แต่วา่ รแู้ จ้ง พาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
เม่ือใด เธอเม่ือเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เม่ือฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เม่ือรับรู้อารมณ์ท่ีได้
รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เม่ือรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อน้ัน เธอก็จะไม่มี เมื่อใด เธอ
ไมม่ ี เมื่อนน้ั เธอก็จะไม่ยึดติดในส่ิงนั้น๒๖ เมื่อใด เธอไม่ยึดติดในส่ิงน้ัน เม่ือน้ัน เธอจักไม่มีในโลกน้ี
ไม่มีในโลกอื่น ไมม่ ีในระหว่างโลกทั้งสอง นเี้ ป็นท่ีสุดแหง่ ทุกข์”
ลําดับนั้น ด้วยพระธรรมเทศนาย่อน้ีของพระผู้มีพระภาค จิตของพาหิยะ ทารุจิริยะจึง
หลดุ พ้นจากอาสวะทง้ั หลาย เพราะไมถ่ ือมัน่
ครนั้ พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยะ ทารุจิริยะด้วยพระโอวาทโดยย่อน้ีแล้วก็เสด็จจาก
ไป
เมอ่ื พระผูม้ ีพระภาคเสด็จจากไปไม่นาน โคแมล่ กู อ่อนได้ขวิดพาหิยะ ทารุจิริยะจนล้มลง
เสียชวี ิต
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เสด็จกลับจากบิณฑบาต
หลังจากเสวยกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุจําน วนมาก ได้
ทอดพระเนตรเห็นพาหิยะ ทารุจิริยะเสียชีวิตแล้ว จึงรับส่ังเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุ
ท้ังหลาย เธอทั้งหลายจงช่วยกันยกร่างพาหิยะ ทารุจิริยะข้ึนวางบนเตียงแล้วนําไปเผา และจงทํา
สถูปไว้ เพ่อื นพรหมจารขี องเธอทง้ั หลายเสียชีวิตแลว้ ”
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดํารัสแล้ว ช่วยกันยกร่างพาหิยะ ทารุจิริยะข้ึนวางบน
เตียงแล้วนําไปเผา ทําสถูปไว้แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทพระผู้มี
๒๕ อารมณ์ที่ได้รับรู้ แปลจากคําว่า มุตะ หมายถึง อารมณ์ ๓ คือ คันธารมณ์ (กล่ิน) รสารมณ์ (รส)
โผฆฐพั พารมณ์ (การสมั ผัส) (อภิ. สงฺ. อ. ๙๖๖/๓๙๖).
๒๖ คาํ วา่ “เม่ือใดเธอ เม่ือเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ เมื่อน้ัน เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งน้ัน” น้ี พระผู้มีพระ
ภาคทรงแสดงภมู แิ ห่งพระขณี าสพ มคี วามหมายดังน้ี คือ เมือ่ เห็นรูปกส็ กั แต่ว่าเห็น ฯลฯ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ก็สัก
แต่ว่ารู้แจ้งแล้ว ก็จักไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เม่ือไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ก็จักไม่มีความยึดติดด้วยอํานาจตัณหา
“น่นั ของเรา” ไม่มีความยึดติตด้วยอํานาจมานะว่า “เราเป็นนั่น” และไม่มีความยึดติดด้วยอํานาจทิฏฐิว่า "น่ันเป็น
อัตตาของเรา” อีกนัยหนึ่ง คําว่า “เธอก็จะไม่มี” เป็นคําแสดงมรรค คําว่า “เธอก็จะไม่ยึดติดในส่ิงนั้น” เป็นคํา
แสดงผล คําว่า “เธอก็จะไม่มีในโลกนี้ เป็นต้น” เปน็ คําแสดงอนุปาทเิ สสนิพพานธาตุ (ข.ุ อุ. อ. ๑๐/๘๗-๘๘).
๖๐
พระภาคแล้วนั่ง ณ ท่ีสมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระองค์ทงั้ หลายเผารา่ งพาหิยะ ทารุจิริยะและทําสถูปไว้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า เขามีคติเป็นอย่างไร
มภี พเบื้องหนา้ เปน็ อยา่ งไร พระพุทธเจ้าขา้ ”
พระผูม้ พี ระภาคตรัสว่า “ภกิ ษุท้งั หลาย พาหยิ ะ ทารุจิริยะเป็นผู้ดําเนินชีวิตด้วยปัญญา
ดําเนินตามธรรมที่สมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทําให้เราลําบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม ภิกษุ
ท้งั หลาย พาหยิ ะ ทารจุ ิริยะปรนิ ิพพานแลว้
๓.๔ มนสิการในมาลุกยปตุ ตสูตร
ครั้งหน่ึง ท่านมาลุกยบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ ฯลฯ นั่ง ณ ท่ี
สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังน้ีว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานวโรกาส ขอพระผู้มี
พระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ซ่ึงข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงหลีกออกไปอยู่คน
เดียว ไม่ประมาท มคี วามเพยี ร อุทศิ กายและใจอยู่เถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “มาลุกยบุตร ในการขอโอวาทของเธอน้ี ในบัดน้ีเราจักบอก
พวกภกิ ษหุ นุ่มอย่างไรวา่ เธอเป็นภิกษุผู้ชรา สูงอายุ เป็นผู้เฒ่า ล่วงกาลมามาก ผ่านวัยมามาก ขอ
โอวาทโดยย่อ”
ทา่ นพระมาลุกยบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นผู้ชรา สูงอายุ
เป็นผู้เฒ่า ล่วงกาลมามาก ผ่านวัยมามากก็จริง ถึงกระนั้นขอพระผู้มีพระภาคผู้สุคตโปรดแสดง
ธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อเถิด ทําอย่างไรข้าพระองค์พึงรู้ท่ัวถึงเน้ือความแห่งพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาค พงึ เป็นผูส้ บื ตอ่ พระภาษติ ของพระผมู้ ีพระภาค”
“มาลกุ ยบุตร เธอเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตาเหล่าใดเธอไม่ได้
เห็น ไม่เคยเห็นแล้ว ย่อมไม่เห็น (ทั้งการกําหนด) ว่า “เราพึงเห็น” ก็ไม่มีแก่เธอ เธอจะมีความ
พอใจ กาํ หนดั หรอื รักใครใ่ นรปู เหลา่ นน้ั หรอื ”
“ไมม่ ีเลย พระพทุ ธเจ้าขา้ ”
เสียงทพ่ี ึงร้แู จ้งทางหูเหล่าใด เธอไม่ได้ฟัง ไม่เคยฟังแล้ว ย่อมไม่ฟัง ท้ังการกําหนดว่า
“เราพึงฟงั ” กไ็ มม่ แี ก่เธอ เธอจะมีความพอใจ กาํ หนดั หรอื รกั ใครใ่ นเสยี งเหล่านน้ั หรอื ”
“ไม่มเี ลย พระพุทธเจ้าข้า”
“กลนิ่ ทีพ่ งึ รู้แจง้ ทางจมกู เหล่าใด เธอไม่ได้ดม ไม่เคยดมแล้ว ย่อมไม่ดมท้ังการกําหนด
วา่ “เราพงึ ดม” ก็ไมม่ ีแกเ่ ธอ เธอจะมคี วามพอใจ กาํ หนัด หรอื รกั ใคร่ในกลิ่นเหล่านัน้ หรอื ”
“ไม่มีเลย พระพทุ ธเจ้าข้า”
“รสทีพ่ งึ รูแ้ จง้ ทางลนิ้ เหลา่ ใด เธอไม่ได้ล้ิม ไม่เคยลิ้มแล้ว ย่อมไม่ล้ิม ทั้งการกําหนดว่า
“เราพงึ ลิ้ม” กไ็ มม่ ีแกเ่ ธอ เธอจะมีความพอใจ กําหนัด หรอื รักใครใ่ นรสเหลา่ น้ันหรอื ”
๖๑
“ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าขา้ ”
“โพฏฐัพพะท่ีพึงรู้แจ้งทางกายเหล่าใด เธอไม่ได้ถูกต้อง ไม่เคยถูกต้อง ย่อมไม่ถูกต้อง
ทั้งการกําหนดว่า “เราพึ่งถูกต้อง” ก็ไม่มีแก่เธอ เธอจะมีความพอใจ กําหนัด หรือรักใคร่ใน
โผฏฐพั พะเหลา่ นั้นหรอื ”
“ไมม่ ีเลย พระพุทธเจา้ ขา้ ”
“ธรรมารมณ์ทีพ่ ึงรแู้ จง้ ทางใจเหล่าใด เธอไม่ได้รู้แจ้งไม่เคยรู้แจ้งแล้ว ย่อมไม่รู้แจ้ง ท้ัง
การกาํ หนดวา่ “เราพึงรูแ้ จ้ง” ก็ไม่มีแกเ่ ธอ เธอจะมีความพอใจ กาํ หนดั หรือรักใคร่ในธรรมารมณ์
เหล่านนั้ หรือ”
“ไม่มีเลย พระพุทธเจา้ ขา้ ”
“มาลุกยบุตร บรรดาธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่เธอเห็น เสียงท่ีเธอฟัง อารมณ์ที่เธอทราบ
และธรรมที่เธอพึงรู้แจ้ง ในรูปท่ีเห็นจักเป็นเพียงสักว่าเห็น ในเสียงท่ีฟังจักเป็นเพียงสักว่าฟัง ใน
อารมณท์ ี่ทราบจักเป็นเพียงสักวา่ ทราบ ในธรรมทรี่ ู้แจ้งเปน็ เพียงสกั ว่ารู้แจง้
เม่ือใดบรรดาธรรมทั้งหลาย คือ รูปท่ีเธอเห็น เสียงท่ีเธอฟัง อารมณ์ที่เธอทราบ และ
ธรรมที่เธอพงึ ร้แู จ้ง ในรปู ท่ีเห็นจักเป็นเพียงสักว่าเห็น ในเสียงที่ฟังจักเป็นเพียงสักว่าฟัง ในอารมณ์
ท่ีทราบจักเป็นเพียงสักว่าทราบ ในธรรมที่รู้แจ้งจักเป็นเพียงสักว่ารู้แจ้ง เม่ือน้ันเธอจักไม่ถูกส่ิงนั้น
ครอบงาํ
เมื่อใดเธอจักไม่ถูกสิ่งนั้นครอบงํา เม่ือน้ันเธอจักไม่พัวพันในสิ่งน้ัน เม่ือใดเธอจักไม่
พัวพันในส่ิงน้ัน เมื่อน้ันเธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง น้ีเป็นท่ีสุด
แห่งทกุ ข”์
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ท่ัวถึงเนื้อความแห่งธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคทรง
แสดงแลว้ อย่างยอ่ โดยพิสดารอย่างนวี้ า่
“เพราะเห็นรูปจึงหลงลืมสติ เมื่อใส่ใจนิมิตท่ีน่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ท้ัง
ติดในอารมณ์น้ันอยู่ เวทนาที่เกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูกอภิชฌาและ
วหิ ิงสาเขา้ ไปกระทบเมือ่ เขาสง่ั สมทกุ ข์อยอู่ ย่างน้ี บณั ฑิตกล่าวว่า ยงั ห่างไกลนพิ พาน”
“เพราะฟังเสียงจึงหลงลืมสติ เม่ือใส่ใจนิมิตท่ีน่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวยอารมณ์นั้น ท้ัง
ติดในอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาที่เกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูกอภิชฌาและ
วิหิงสาเข้าไปกระทบเมื่อเขาสั่งสมทุกข์อย่อู ย่างน้ี บณั ฑิตกลกลา่ ววา่ ยงั ห่างไกลนพิ พาน”
“เพราะดมกล่ินจึงหลงลืมสติ เมื่อใส่ใจนิมิตท่ีน่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ท้ัง
ติดในอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาที่เกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูกอภิชฌาและ
วหิ งิ สาเข้าไปกระทบเมือ่ เขาสง่ั สมทกุ ข์อยอู่ ย่างน้ี บณั ฑติ กลา่ วว่า ยงั หา่ งไกลนิพพาน”
๖๒
“เพราะลิ้มรสจึงหลงลมื สติ เมือ่ ใสใ่ จนมิ ติ ทน่ี า่ รกั ก็มจี ติ กําหนัดเสวยอารมณ์นั้น ท้ังติด
ในอารมณ์นน้ั อยู่ เวทนาทีเ่ กิดจากรปู จํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจติ ของเขาก็ถูกอภิชฌาและวิหิงสา
เข้าไปกระทบเมื่อเขาสั่งสมทกุ ข์อยู่อย่างนี้ บัณฑติ กล่าววา่ ยงั ห่างไกลนพิ พาน”
“เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะจึงหลงลืมสติ เม่ือใส่ใจนิมิตที่น่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวย
อารมณ์น้ัน ทัง้ ตดิ ในอารมณน์ นั้ อยู่ เวทนาท่ีเกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูก
อภิชฌาและวหิ ิงสาเขา้ ไปกระทบเม่อื เขาสงั่ สมทุกข์อยู่อย่างนี้ บณั ฑิตกลา่ ววา่ ยังห่างไกลนพิ พาน”
“เพราะรู้ธรรมารมณ์จึงหลงลมื สติ เมอื่ ใส่ใจนิมิตท่ีน่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน
ทง้ั ตดิ ในอารมณน์ ั้นอยู่ เวทนาที่เกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูกอภิชฌาและ
วิหงิ สาเข้าไปกระทบเมอื่ เขาสั่งสมทกุ ข์อย่อู ย่างนี้ บณั ฑติ กลา่ วว่า ยงั หา่ งไกลนพิ พาน”
“บคุ คลนน้ั เห็นรูปแลว้ มสี ติไม่กาํ หนดั ในรูป มจี ติ คลายกําหนดั เสวยอารมณ์น้ัน ท้ังไม่ติด
ใจอารมณ์นน้ั อยู่ เมือ่ เขาเห็นรปู และเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมส้ินไปไม่ถูกส่ังสมไว้ ฉันใด เขาก็เป็นผู้
มสี ตเิ ท่ียวไป ฉนั น้นั เม่อื เขาไม่สงั่ สมทกุ ข์อยู่อย่างนี้ บัณฑติ กลา่ ววา่ อยู่ใกลน้ ิพพาน”
“บคุ คลนั้นฟังเสียงแลว้ มีสติไมก่ าํ หนดั ในเสยี ง มีจิตคลายกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ทั้งไม่
ติดใจอารมณ์น้ันอยู่ เมื่อเขาเห็นรูปและเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมส้ินไปไม่ถูกส่ังสมไว้ ฉันใด เขาก็
เปน็ ผู้มีสติเท่ียวไป ฉันน้นั เมื่อเขาไม่สัง่ สมทกุ ข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิตกลา่ ววา่ อยูใ่ กลน้ ิพพาน”
“บุคคลนนั้ ดมกลิ่นแลว้ มสี ติไมก่ ําหนัดในกล่ิน มีจิตคลายกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ทั้งไม่
ติดใจอารมณ์น้ันอยู่ เมื่อเขาเห็นรูปและเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมสิ้นไปไม่ถูกส่ังสมไว้ ฉันใด เขาก็
เปน็ ผ้มู ีสติเที่ยวไป ฉนั นัน้ เม่ือเขาไม่ส่ังสมทกุ ข์อยอู่ ยา่ งน้ี บัณฑิตกลา่ ววา่ อยู่ใกล้นิพพาน”
“บคุ คลนั้นล้ิมรสแล้วมีสติไม่กําหนัดในรส มีจิตคลายกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ท้ังไม่ติด
ใจอารมณ์นั้นอยู่ เมือ่ เขาเหน็ รูปและเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมสิ้นไปไม่ถูกส่ังสมไว้ ฉันใด เขาก็เป็นผู้
มีสติเทีย่ วไป ฉันน้ัน เมือ่ เขาไมส่ ่งั สมทกุ ขอ์ ยอู่ ย่างน้ี บณั ฑิตกลา่ ววา่ อยู่ใกลน้ พิ พาน”
“บคุ คลนน้ั ถกู ต้องผัสสะแล้วมีสติไม่กําหนัดในผัสสะ มีจิตคลายกําหนัดเสวยอารมณ์นั้น
ท้ังไม่ติดใจอารมณ์น้ันอยู่ เม่ือเขาเห็นรูปและเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมสิ้นไปไม่ถูกสั่งสมไว้ ฉันใด
เขากเ็ ปน็ ผูม้ ีสตเิ ท่ยี วไป ฉันน้นั เม่ือเขาไม่สง่ั สมทกุ ข์อยู่อย่างนี้ บณั ฑิตกลา่ ววา่ อยู่ใกล้นิพพาน”
“บุคคลนั้นรู้ธรรมารมณ์แล้ว มีสติไม่กําหนัดในธรรมารมณ์ มีจิตคลายกําหนัดเสวย
อารมณ์น้ัน ท้ังไม่ติดใจอารมณ์นั้นอยู่ เมื่อเขารู้ธรรมารมณ์และเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมสิ้นไปไม่ถูก
สง่ั สมไว้ ฉนั ใด เขาเปน็ ผมู้ ีสติเที่ยวไป ฉันนั้น เม่ือเขาไม่ส่ังสมทุกข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิตกล่าวว่า อยู่
ใกลน้ พิ พาน”
ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เจริญ ขา้ พระองค์รู้ท่วั ถงึ เนื้อความแหง่ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
แล้วอย่างย่อโดยพสิ ดารอย่างนี้
๖๓
“ดีละ ดีละ มาลุกยบุตร ดีแล้วท่ีเธอรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วอย่าง
ย่อโดยพสิ ดารอยา่ งนี้ว่า
“เพราะเห็นรูปจึงหลงลืมสติ เม่ือใส่ใจนิมิตท่ีน่ารัก ก็มีจิตกําหนัดเสวยอารมณ์น้ัน ท้ัง
ติดใจอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาที่เกิดจากรูปจํานวนมากก็เจริญแก่เขาและจิตของเขาก็ถูกอภิชฌาและ
วหิ งิ สาเข้าไปกระทบเมื่อเขาส่งั สมทุกข์อยู่อย่างนี้ เรากลา่ ววา่ ยงั หา่ งไกลนิพพาน ฯลฯ”
“บุคคลน้ันรู้ธรรมารมณ์แล้ว มีสติไม่กําหนัดในธรรมารมณ์ มีจิตคลายกําหนัดเสวย
อารมณ์นั้น ท้ังไม่ติดใจอารมณ์น้ันอยู่ เม่ือเขารู้ธรรมารมณ์และเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมส้ินไปไม่ถูก
ส่ังสมไว้ ฉันใด เขาเป็นผู้มีสติเที่ยวไป ฉันนั้น เมื่อไม่ส่ังสมทุกข์อยู่อย่างนี้ เรากล่าวว่า อยู่ใกล้
นิพพาน”
มาลุกยบุตร เธอพึงเห็นเน้ือความแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างย่อโดยพิสดารอย่างน้ี
เถดิ ” ท่านพระมาลุกยบตุ รชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกข้ึนจากอาสนะ ถวายอภิวาท
กระทําประทักษิณแล้วจากไป ต่อมา ท่านพระมาลุกยบุตรก็หลีกออกไปอยู่คนเดียว ไม่ประมาท มี
ความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ไม่นานนักได้ทําให้แจ้งซึ่งประโยชน์ยอดเย่ียมอันเป็นที่สุดแห่ง
พรหมจรรยท์ เี่ หล่ากลุ บตุ รออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชติ โดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันย่ิงเองเข้าถึง
อยู่ในปัจจุบัน รู้ชัดว่า “ชาติส้ินแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล้วไม่มีกิจอื่นเพ่ือ
ความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป ท่านพระมาลุกยบุตรได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์
ท้ังหลาย
๓.๕ มนสิการของพระตจุ โฉโปฐลิ ะ
ในสมัยหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังดํารงพระชนม์ชีพอยู่ มีพระเถระอาวุโสผู้คงแก่เรียน
รูปหนึ่งนามว่า โปฐิละ เป็นผ้าท่ีงพระไตรปิฎกอย่างยอดเยี่ยม แต่กลับละเลยการเจริญกรรมฐาน ทุก
ครัง้ ทเี่ ข้าเฝา้ พระพทุ ธเจ้าๆ ไดต้ รสั วา่ “พระภกิ ษคุ มั ภรี (์ ใบลาน)เปล่ามาแลว้ ” เวลากลับพระพุทธเจ้าก็
ตรัสว่า “พระภิกษุคัมภีร์เปล่ากลับแล้ว” ต่อมาท่านเข้าใจสิ่งท่ีพระพุทธองค์ตรัสและดําริท่ีจะเจริญ
วปิ ัสสนากรรมฐานจงึ เดนิ ทางไปหาพระอรหนั ต์ ๓๐ รปู ในป่าเพื่อขอให้ช่วยสอน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
และได้รบั คําแนะนําให้ไปหาพระองค์อื่นท่ีอาวุโสน้อยกว่า สุดท้ายก็เหลือแต่สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ
ผู้เป็นพระอรหันต์ สามเณรน้อยบอกว่าท่านอายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์ ท่านโปฐิละก็ยัง
คะย้ันคะยอให้ท่านช่วยสอนกรรมฐานให้เณรน้อยทําการทดสอบท่านโปฐิละจนเห็นว่าท่านมีความ
ต้ังใจอย่างแทจ้ ริงและละมานะทิฏฐใิ นตนแลว้ จึงได้สอนว่า “ทา่ นอาจารย์ มจี อมปลวกอยู่แห่งหนึ่งและ
มีรูอยู่ ๖ รู ภายในมีตัวเหี้ยอาศัยอยู่ ถ้าท่านอาจารย์ต้องการจับเห้ียตัวน้ี ให้ปิดรู้ทั้ง ๕ รู้ เหลือไว้แต่
เพียงรู้เดียว คอยจ้องจับเวลาสัตว์ตัวนี้ออกมา คนเราก็มีประตูใจ (มโนทวาร) ซ่ึงทําหน้าที่รับอารมณ์
๖๔
ทางประตู (ทวาร) ทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปิดประตูท้ัง ๕ ให้เหลือแต่ประตูใจเพียง
อยา่ งเดยี ว หนา้ ท่ีของท่านก็จะบรรลุผลสาํ เรจ็ ”
ท่านโปฐิละเข้าใจส่ิงที่สามเณรน้อยอรหันต์พูดทันที และรีบลงมือปฏิบัติตามอย่าง
เครง่ ครัดเมอ่ื มอี ารมณ์หรือส่ิงเร้าใด ๆ มากระทบกับทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็รีบ
ทําการกําหนดพร้อมด้วยสติเพ่ือให้วิถีจิตที่เกิดข้ึนหยุดลงท่ีขณะจิตของโวฏฐัพพนะเป็นการกําหนด
ไมใ่ ห้ชวนจิตเกิดข้ึนในปัญจทวาร ไม่ให้เลยไปถึงขณะจิตของชวนะท่ีมีการเสพอารมณ์ซึ่งหมายถึงการ
ปิดทวารทัง้ ๕ แล้วเปิดมโนทวารเอาไว้ การ “เปิดมโนทวาร” เช่นน้ี หมายถึงการให้เกิดวิปัสสนาชวน
จิตทางมโนทวารนั่นเอง ซ่ึงก็เป็นไปตามแนวคําสอนท่ีพระพุทธองค์ตรัสแก่พาหิยะว่า “เห็นสักแต่ว่า
เหน็ ไดย้ นิ สกั แตว่ ่าได้ยนิ รูส้ กั แตว่ า่ รู้ และคิดสกั แตว่ า่ คิด”
๓.๖ วถิ จี ิตทางปัญจทวารและมโนทวาร
วธิ จี ติ ทางปญั จทวาร และมโนทวาร
ปญั จทวารวิถี อติมหนั ตารมณ์
๑. อดตี ภวงั ค์ ภวงั คจ์ ากอดตี
วิบากพ้นวิถี ... ... ๒. อดตี ภวังค์ ภวังค์จากอดตี
-กริ ยิ า
-วิบาก ๓. อดตี ภวงั ค์ ภวังคจ์ ากอดตี
-กิรยิ า
๔. ปัญจทวาราวัชชนะ การรับอารมณใ์ หม่ทม่ี ากระทบ
กศุ ล
อกุศล ๕. ปญั จวิญญาณ (จักข,ุ โสต,ฆาน,ชวิ หา,กาย)
หรอื กริ ยิ า
๖. สัมปฏิจฉันนะ การรับอารมณต์ อ่ จากปญั จวญิ ญาณ
-วิบาก......
๗. สันตรี ณะ การพิจารณาไตส่ วนอารมณ์
๘. โวฏฐพั พนะ การตดั สนิ อารมณ์
๙. ชวนะ
๑๐. ชวนะ
๑๑. ชวนะ
๑๒. ชวนะ การเสพอารมณ์
๑๓. ชวนะ
๑๔. ชวนะ
๑๕. ชวนะ
๑๖. ตทาลัมพนะ การยดึ หน่วงอารมณ์ต่อจากชวนะ
๑๗. ตทาลัมพนะ
๖๕
- วบิ าก... ... - ภวังค์
- ภวงั ค์
วถิ จี ิตทางปญั จทวารและมโนทวาร
จากรูปที่ ๑ แสดกระบวนการของจิต(thought process) ท่ีเกิดทางปัญจทวาร เช่น
โสตทวาร (ทางทวารห)ู
หมายเลข ๑ อดีตภวังค์ ซึ่งเป็นภวังค์จากอดีต (past bhavanga) ภวังค์จิต หมายถึง
จิตท่ีทําหน้าท่ีรักษาภพชาติ หรือการสืบต่อของชีวิต จึงนิยมใช้คําว่า “life-continuum”ใน
ภาษาอังกฤษ มีลักษณะคล้ายกับจิตไร้สํานึก (the unconscious) หรือจิตใต้สํานึก (the
subconscious) ในจิตวิเคราะห์หรือจิตวิทยาตะวันตกเป็นจิตที่เกิดข้ึนในขณะไม่รู้สึกตัว เช่น หลับ
สนิท (โดยไม่มีการฝนั ) สลบ เป็นต้น ภวังคจติ มอี ารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึงที่สืบเนื่องมากแต่ภพก่อน ซ่ึง
เรียกว่าอารมณ์เก่าหรืออดีตอารมณ์ได้แก่ กรรม กรรมนิมิต และคตินิมิต อย่างใดอย่างหน่ึงท่ีจิตเร่ิม
รบั มาตง้ั แต่ปฏิสนธวิ ญิ ญาณ ปรากฏขึ้นแล้วดังลง ตอ่ จากนั้นปฐมภวังค์ คือ ภวังคจิตดวงแรกท่ีเกิดข้ึน
ในภพใหม่ก็จะเกดิ ขึน้ และรบั อารมณน์ นั้ สืบตอ่ จากปฏิสนธิวิญญาณ แล้วภวงั คจิตดวงอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้น
รบั อารมณ์เช่นเดยี วกันนีเ้ ร่อื ยไปจนกวา่ จะสนิ้ ชีวติ ภวงั คจติ เช่นนี้เองเรียกว่า อดีตภวังค์ จิตในขณะน้ี
ยังไมข่ ึน้ สวู่ ถิ ี คือเป็นวิถีมุตตจิตหรือจิตท่ีพ้นจากวิถี อามรมณ์ (หรือส่ิงเร้า) ท่ีมากระทบทางทวารหูจะ
ก่อให้เกดิ การหว่นั ไหวตอ่ ภวงั ค์เก่าหรอื ภวงั ค์เดมิ จนกลายเป็น
หมายเลข ๒ ภวังคจลนะ หมายถึง ภวังค์ไหว จิตเตรียมท้ิงอารมณ์อารมณ์เก่าเพื่อจับ
อารมณ์ใหม่ที่มากระทบ
หมายเลข ๓ ภวังค์คุปัจเฉทะ หมายถึง การตัดกระแสภวังค์เก่าจะขึ้นวิถีแล้ว แต่ยังมิได้
พน้ จากภวังค์ หมายเลข ๔ ปัญจทวาราวชั ชนะ หมายถงึ จิตท่พี ิจารณาอารมณ์ใหม่ทางทวารประตูรับ
อารมณ์ทง้ั ๕ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ในกรณีนี้เป็นตัวอย่างของเสียงที่มากระทบกับหูก็จะเปิด
ประตู หู เพ่ือใหโ้ สตวิญญาณเกดิ ขึ้น
หมายเลข ๕ โสตวิญญาณ การไดย้ ินทาง หู หมายความว่า เสียงได้เกิดขึ้นทางหูแล้ว ขั้น
นม้ี เี พียงรูไ้ ด้ยนิ เทา่ นน้ั ยงั ไม่รู้ว่าเปน็ เสียงอะไร หรือเรอ่ื งอะไร
หมายเลย ๖ สัมปฏจิ ฉนั นะ จติ ดวงนีเ้ พยี งแต่รบั อารมณต์ ่อจากโสตวิญญาณเพื่อส่งมอบ
ให้สันตีรณพิจารณา ภวังคจิตมีสังขารเป็นปัจจัย เช่นเดียวกับ โสตวิญญาณจิตและสัมปฏิจฉันนะจิต
จิตเหล่าน้ีเป็นวิบาก ซึ่งอาจเป็นกุศลวิปากจิตและอกุศลวิปากจิตก็ได้แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของ กุศล
สังขารหรืออกุศลสังขาร แต่อาวัชชนะจิตน้ัน ไม่จัดเป็นกุศลหรืออกุศล และไม่จัดเป็นวิบากด้วย แต่
๖๖
จัดเป็นกิริยาจิต คือไม่ส่งผล เป็นกุศลหรืออกุศล สัมปฏิจฉันนะจิต เป็นจิตท่ีทําหน้าที่รับจากโสต
วญิ ญาณเพือ่ ส่งต่อใหก้ บั สันตีรณจติ ตอ่ ไป
หมายเลย ๗ สันตีรณะ ได้แก่ จิตที่มีหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ได้รับจากสัมปฏิจฉันนะว่า
เปน็ เสียงอะไร เป็นเสยี งดหี รอื ไมด่ ี แล้วประมวลส่งตอ่ ใหโ้ วฏฐัพพนะเป็นผู้ตัดสินตอ่ ไป
หมายเลข ๘ โวฏฐัพพนะ หมายถึงจิตที่ทําหน้าท่ีตัดสินอารมณ์ กล่าวคือเป็นการตัดสิน
อารมณ์เด็ดขาดแล้วว่า เสียงท่มี ากระทบน้ันเปน็ เสียงดจี ะทาํ ให้จติ เป็นกุศลหรืออกศุ ลเป็นบุญหรือบาป
ถ้าเปรยี บเทยี บกบั คนกเ็ หมือนผู้พพิ ากษาตัดสินคดีคว่าผิดหรือไม่ผิด เม่ือตัดสินลงไปแล้ว โจทย์จําเลย
ไม่อาจโตแ้ ย้งต่อไป
หมายเลข ๙- ๑๕ ชวนะ หมายถึง การเสพอารมณ์หรือกินอารมณ์เม่ือโวฏฐัพพนะตัดสิน
แล้วก็ลงมือกินทันที ถ้าเป็นเสียงท่ีดี เช่นคํายกย่องชมเชย ก็เกิดความยินดี ถ้าเป็นเสียงด่าก็โกรธ
ความยนิ ดีหรือความโกรธ บาปหรอื บุญ อกุศลหรอื กุศล โลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโม
หะ ก็เกดิ ขึน้ ทช่ี วนะทั้ง ๗ ดวงน้ี จิตดวงอ่ืนไม่เกิดเป็นบุญเป็นบาปเลย ดังน้ันการกระทําบุญหรือบาป
จะปรากฏทีช่ วนจิตนีเ้ ท่านั้น
หมายเลข ๑๖ และ ๑๗ ตทาลัมพนะ เป็นจิตที่รับหรือหน่วงอารมณ์ต่อจากชวนะ
หลังจากน้ันจิตก็เป็นภวังค์ต่อไป หมุนเวียนกันอยู่อย่างน้ีอย่างรวดเร็วมาก หมายความว่า วิถีจิตที่
เกิดข้ึน ๑๗ ขณะน้ีเม่ือครบ ๑๗ ขณะแล้วก็เป็นภวังค์ต่อไป ก็ขึ้นวิถีอีก สลับกันอยู่อย่างน้ีไม่ขาด
สายตัวอยา่ งของปัญจทวารวถิ ที ่แี สดงใหด้ นู เี้ ป็นอตมิ หนั ตารณ์ คอื เปน็ อารมณ์ท่ีมีวิถีจิตเกิดมากที่สุดได้
ถึง ๗ วิถีและจะตอ้ งอยใู่ นอารมณไ์ ด้มากถงึ ๑๔ ขณะจิต เม่อื รวมจิตท่ีพ้นวิถีอีก ๓ ขณะจิตก็จะได้เป็น
๑๗ ขณะจิตพอดี
แม้วิถีจิตทางปัญจทวารจะมีการเกิดข้ึนของจิตถึง ๑๗ ขณะ และมีการทํางานท่ีละเอียด
ซับซ้อนเป็นลําดับขั้นรวมท้ังมีการเสวยอารมณ์เป็นบุญบาปเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม จะต้องมีการ
ทํางานของจิตทางมโนทวารร่วมด้วย ตัวอย่าง การได้ยินเสียง จะรู้ว่าเป็นเสียงคน เสียงสัตว์หรือ
เสียงเพลงเพราะหรือไม่เพราะชอบหรือไม่ชอบได้นั้นจะต้องมีวิถีจิตทางมโนทวารเกิดต่อไปด้วย
มิฉะนั้นก็จะไม่ร้าว่าเป็นเสียงอะไรนอกจากน้ันบาปหรือบุญท่ีเกิดขึ้นทางปัญจทวาร ก็มีกําลังไม่สู้มาก
หรือไมแ่ รงพอทจี่ ะนําไปสกู่ ารปฏิสนธิในชาติหน้าได้
อนึ่งการตดั สนิ วา่ เสยี งที่ไดย้ นิ เปน็ เสียงคน เสยี งสัตว์ หรือเสียงเพลงก็ต้องอาศัยสัญญาคือ
ความจําไดห้ มายรู้ ในอดีตเขา้ มาเก่ียวข้องด้วย ถ้าเสียงที่ได้ยินตรงกับสัญญาเดิมว่าเป็นเสียงคน จึงจะ
ตัดสินใจลงไปอย่างเด็ดขาดว่าเป็นเสียงคน ไม่ใช่เสียงสัตว์หรือเสียงเพลง ดังน้ันอดีตกรรมหรือ
ประสบการณ์เก่าในอดีตจึงมีบทบาทสําคัญในการตัดสิ้นด้วย รวมความว่าปรากฏการณ์ของอารมณ์ท่ี
๖๗
เกิดขึ้นทางตา หู จมกู ล้ิน และกายที่เรยี กว่า ปญั จทวารวิถนี น้ั จะตอ้ งมกี ารเกดิ ขึ้นของอารมณ์ทางใจท่ี
เรยี กวา่ มโนทวารวิถีร่วมดว้ ยเสมอ มฉิ ะน้ันแลว้ ก็จะไม่มีการรอู้ ารมณ์จรงิ ๆ ได้เลย
มโนทวารวิถีเป็นจิตท่ีเกิดข้ึนมาทํางานทางประตูใจหรือมโนทวาร และวิถีน้ีเป็นวิภูตา
รมณ์คืออารมณ์ที่มีกําลังมากเม่ือจิตรับกระทบอารมณ์ที่เกิดทางใจมักจะมีการกระทบกระเทือนอย่าง
แรง เช่น ดีใจ เสยี ใจ ตกใจ เศร้าใจ โกรธ วิตกกังวลอย่างท่วมท้น ดังน้ันวิภูตารมณ์ในมโนทวารจึงมีต
ทาลัมพนะอีก ๒ ดวง (ดวงที่ ๑๑, ๑๒) เพราะตทาลัมพนะเป็นวิบากจิตหรือเป็นผลของกรรมทีได้ทํา
มาแล้วในอดีต เข้ามาช่วยรองรับอารมณ์ที่กําลังแรงเหล่าน้ันให้เบาบางลงเสียก่อนแล้วจึงตกภวังค์ได้
ต่อไปจะเป็นรายละเอียดของจติ ทีเกิดข้ึนทางมโนทวารวิถีภตู ารมณต์ ั้งแต่หลายเลข ๑ เปน็ ตน้ ไป
มโนทวารวถิ ี วภิ ตู ารมณ์
๑. ภวังคจลนะ ภวังค์ไหว
วบิ ากพ้นวถิ ี ... ... ๒. ภวังค์คุปัจเฉทะ ตดั กระแสภวังค์
กุศล
๓. มโนทวาราวชั ชนะ รับพจิ ารณาและ
กาํ หนดอารมณ์ทางใจ
๔. ชวนะ
๕. ชวนะ
๖. ชวนะ
อกศุ ล ๗. ชวนะ การเสพอารมณ์
หรือกิรยิ า ๘. ชวนะ
๙. ชวนะ
วิบากในวิถี ๑๐. ชวนะ
วิบากพน้ วิถี ๑๑. ตทาลัมพนะ
๑๒. ตทาลมั พนะ
- ภวงั ค์
- ภวังค์
รปู ที่ ๒ กระบวนการของจติ ทางมโนทวารวถิ ี
จิตดวงแรก ภวังคจลนะ หรือภวังค์ไหว คือภวังคจิตที่ได้รับการกระทบของอารมณ์จน
เกิดการไหวตัวข้ึนมา มีข้อสังเกตว่าในมโนทวารวิถีไม่มีอดีตภวังค์เหมือนอย่างในปัญจทวารวิถี การ
กระทบของอารมณ์ทางปัญจทวารวิถีคือ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกายนั้น อารมณ์ที่มากระทบเป็น
๖๘
อารมณ์ที่หยาบ เชน่ รูป (คลื่นแสง) เสียง (คลน่ื เสยี ง) กลน่ิ รสหรือสิ่งสัมผัส อารมณ์ทางปัญจทวารยัง
เป็นอารมณ์ท่ีมาจากภายนอน ไม่เหมือนกับอารมณ์ท่ีเข้ามากระทบทางมโนทวารซ่ึงเป็นอารมณ์ท่ี
ละเอยี ดและประณตี กวา่ และยังเป็นอารมณ์ที่รับช่วงต่อมาจากปัญจทวารอีกทีบางครั้งอารมณ์ยังเป็น
ปัจจยั มากระทบกบั มโนทวารโดยตรง ดังนนั้ วถิ ีจติ ทางมโนทวารจึงไม่ต้องมีอดีตภวังค์แต่จะเริ่มต้นโดย
ภวังคจลนเลยทเี ดยี ว
จิตดวงท่ี ๒ ภวังค์คุปัจเฉทะ เป็นการตัดกระแสภวังค์จิตดวงน้ีก็เหมือนกับจิตภวังคุปัจเฉท
ทางปัญจทวารน่นั เอง เปน็ จิตดวงสดุ ทา้ ยทีเ่ ป็นวิบากจิตซงึ่ เปน็ จิตทร่ี บั ผลของกรรมสืบต่อมาเป็นภวังค์
ดวงสุดทา้ ยกอ่ นทีจ่ ิตจะข้นึ วิถที ํางาน
จติ ดวงที่ ๓ มโนทวาราวชั ชนะ จนถงึ จิตดวงที่ ๑๒ ท่ีมีชื่อว่าตทาลัมพนะ รวมเรียกว่า “วิถี”
หมายถึงจติ ทก่ี าํ ลงั ทํางาน เช่น การเหน็ การไดย้ ิน การได้กลิ่น เป็นต้น ท่ีรับเอามาทางปัญจทวารหรือ
เป็นการทํางานท่ีเกิดข้ึนมาจากมโนทวาร (ธัมมารมณ์ หรืออารมณ์ท่ีเกิดข้ึนทางใจ) โดยตรง จิตดวงที
๓ เป็นกริ ิยา
จติ ดวงที่ ๔ ถงึ ๑๐ เป็นกศุ ล อกศุ ล หรือเปน็ กิริยา (สาํ หรบั พระอรหนั ต)์
จิตดวงที่ ๑๑ และ ๑๒ เป็นวิบาก เมื่อพิจารณาดูวิถีทางมโนทวารแล้วจะเห็นว่าจิตหลาย
ประเภทไม่มีอยู่ในมโนทวารวิถี เช่น ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ มีแต่
มโนทวาราวชั ชนะแล้วกเ็ ข้าถงึ ชวนะซง่ึ เป็นตวั เสพอารมณ์เลยทีเดยี ว
ชวนะทง้ั ๗ ดวงนี้ไม่ใช่วิบาก ไม่ใช่กิริยา (ยกเว้นพระอรหันต์) หากแต่เป็นจิตท่ีได้ทําบุญหรือ
ทาํ บาปแลว้ เปน็ จติ ทีแ่ สดงออกซ่ึงพฤตกิ รรมทางมโนทวาร ถ้ามีความยินดีติดใจก็เป็นโลภะ ถ้ามีความ
ไมช่ อบใจกเ็ ป็นโทสะ ถ้ามีความหลงก็เป็นโมหะ ชวนะจิตจึงเป็นตัวเสพอารมณ์ท่ียินดีหรือยินร้ายหรือ
เฉยๆ ดังน้ันวิภูตารมณ์วิถีน้ี สามารถรับอารมณ์อันต่อเนื่องจากปัญจทวารวิถี และยั้งสามารถรับ
อารมณ์ทางมโนทวารวถิ ีท่ีเปน็ อดตี ปัจจุบัน อนาคต และกาลวมิ ตุ ไดท้ ้ังทีเ่ ปน็ ปรมัตถ์และบัญญัติธัมมา
รมณ์
๓.๗ มนสิการกับวิถีจติ
ได้กลา่ วมาแลว้ ว่า เม่ือปญั จทวารวิถีเกดิ ขึ้นทางตา หู จมกู ลิ้น หรือกาย กระบวนการทางจิต
อีกอย่างหน่ึงท่ีเกิดตามมาคือ มโนทวารวิถี ตัวอย่าง เม่ือมีรูป (คล่ืนสีหรือแสง) มากระทบกับตาและ
เกิดการเห็นจะมีวิถีจิตเกิดข้ึนกับอารมณ์ ๑๔ ขณะจิต โดยมีจิตท่ีพ้นวิถีเสีย ๓ ขณะ รวมเป็นขณะจิต
๑๗ ขณะ (ดูรูปท่ี ๑ ) จิตท่ีข้ึนวิถีจะเริ่มต้ังแต่จิตดวงที่ ๔ คือ ปัญจทวาราวัชชนะเป็นต้น เป็นปัญจ
ทวาราวชั ชนจิตนัน้ เป็นจิตดวงแรกที่ขึ้นสู่วถิ รี ับอารมณใ์ หม่ เปน็ ปัจจยั หรอื เหตุหนุนแก่จิตดวงต่อ ๆ ไป
ใหร้ บั อารมณท์ ัง้ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งจนส้นิ สดุ วถิ ี
๖๙
ปัญจวิญญาณ คือ จิต ๕ ดวง ท่ีเกิดข้ึนต่อมาเพื่อรับอารมณ์ท้ัง ๕ ดวงใดดวงหนึ่ง
แลว้ แตอ่ ามรมณท์ ีม่ ากระทบในขณะนัน้ ได้แก่
๑. จักขุวญิ ญาณ เกดิ ขึน้ เมอ่ื ตาเห็นรูป
๒. โสตวญิ ญาณ เกิดขึ้นเม่ือหไู ด้ยินเสียง
๓. ฆานวิญญาณ เกิดขึน้ เม่ือจมูกได้กลิน่
๔. ชิวหาวญิ ญาณ เกิดขน้ึ เมื่อล้ินรับรส
๕. กายวิญญาณ เกิดข้ึนเมือ่ กายถูกกับสิ่งทม่ี ากระทบ
ดังนั้นเม่ือมีรูป เช่น ผู้หญิงมากระทบกับจักขุประสาท จักขุวิญญาณ หรือการเห็นก็
เกดิ ขึ้น
แลว้ ดบั ลง เป็นปจั จัยให้เกดิ สมั ปฏิจฉันนะ คือจิตทร่ี บั อารมณ์
แล้วดบั ลง เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสนั ตรี ณะคือจติ ท่ไี ต่สวนอารมณ์
แลว้ ดับลง เปน็ ปัจจัยให้เกดิ โวฏฐพั พนะคือจิตที่ตัดสินอารมณ์
แลว้ ดบั ลง เปน็ ปัจจยั ให้เกิดชวนะคือจติ ที่เสพอารมณ์ ๗ ขณะ
แลว้ ดับลง เปน็ ปัจจัยใหเ้ กิดตทาลัมพนะคือจติ ทีห่ น่วงและเก็บอารมณ์
ภวงั คค์ ือจิตทที่ ําหนา้ ทีเ่ ป็นองคแ์ ห่งภพจะเดตอ่ ไปจนมวี ถิ จี ิตเกิดขึ้นอีกวนเวียนกันอยู่เช่นน้ีถ้า
ไม่มีการกําหนดรูปผู้หญิงท่ีเห็นด้วยสติ อาจเกิดความพอใจว่าเป็นสาวสวย น่ารัก แต่งตัวดูเก๋ และมี
เสน่ห์ ราคะหรือโลภะ อันเป็นความยินดีในกามย่อมเกิดขึ้นเม่ือโวฏฐัพพนะตัดสินอารมณ์อันนั้น
แล้วชวนะก็จะทําหน้าท่ีเสพราคะกับอารมณ์แล้วส่งต่อตทาลัมพนะเพื่อเก็บลงสู่ภวังค์จนกาลายเป็น
กิเลสอยา่ งละเอยี ดทเ่ี รยี กว่า ราคานสุ ยั และภวราคานสุ ัย
ถา้ บงั เอิญเปน็ ผหู้ ญิงท่ีเราไม่ชอบ เคยมีเร่ืองขัดเคืองกันมาก่อน โทสะ อันเป็นความโกรธ
ย่อมเกิดขน้ึ เมื่อโวฏฐัพพนะตัดสินอารมณ์อันนั้นแล้ว ชวนะก็จะทําหน้าท่ีเสพโทสะกับอารมณ์แล้วส่ง
ตอ่ ตทาลมั พนะเพ่อื เกบ็ ลงสู่ภวงั ค์จนกลายเปน็ กิเลสอย่างละเอียดเรยี กว่า ปฏิฆานุสยั
ถ้าไม่มีการกําหนดรูปผู้หญิงที่เห็นด้วยสติ แล้วเกิดมีความรู้สึกเฉยๆ แบบไม่ยินดีไม่ยิน
ร้ายความรู้สึกเฉย ๆ แต่ก็มีความรู้สึกว่าตัวฉันเป็นผู้เห็น มีส่วนทําให้เกิด โมหะ ที่จะนําไปสู่ทิฏฐิ
(ความเห็นผิด) วิจิกิจฉา (ความสงสัย) มานะ(ความถือตัว) และอวิชชา (ความไม่รู้) เมื่อโวฏฐัพพนะ
ตัดสนิ อารมณอ์ ันใดอนั หนึ่งแล้วชวนะทั้ง ๗ ก็จะทําหน้าที่เสพทิฏฐิ วิจิกิจฉา มานะ และอวิชชา อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง แล้วส่งต่อตทาลัมพนะเพื่อเก็บลงสู่ภวังค์จนกลายเป็นกิเลสอย่างละเอียดเรียกว่า ทิฏฐา
นสุ ยั วจิ กิ ิจฉานุสยั มานานุสยั และอวชิ ชานุสยั ตามลําดบั
ตามปกติวถิ จี ติ ทางปญั จทวาร คือ ตา หู จมูก ล้ิน และกาย ทางทวารใดทวารหนึ่งเกิดข้ึน
แล้ว จะตามมาด้วยวิถที างมโนทวาร (มโนทวารวถิ ี) เสมอ ในขณะท่ีกระแสภวังค์กําลังดําเนินไปอยู่น้ัน
๗๐
จะเกิดอารมณ์ปรากฏข้ึนทางใจ ซึ่งอาจเป็นอารมณ์ท่ีบุคคลน้ันเคยหรือไม่เคยประสบมาก่อนก็ได้
หลงั จากนน้ั ภวงั ค์ก็ถกู ตัดไปด้วยมโนทวาราวชั ชนจิตทีท่ าํ หน้าที่เหมือนโวฏฐัพพนจิต คือตัดสินอารมณ์
แล้วเกิดชวนจิต ๗ ขณะเสพอารมณ์ต่างๆ เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ดังกล่าวแล้วเป็นต้น ชวนวิถีท่ี
ปรากฏทางมโนทวารน้ีมีพลังมากกว่าชวนวิถีท่ีเกิดข้ึนทางปัญจทวาร สามรถส่งผลให้ปฏิสนธิทั้งดีและ
ไม่ดีได้และทําให้เกิดวิบากอย่างอ่ืนได้อีกด้วยดังนั้นจึงจําเป็นต้องคอยควบคุมชวนะที่เกิดขึ้นทางมโน
ทวารอยา่ งระมดั ระวงั หลังเกดิ ชวนจติ ๗ ขณะแล้วตามมาด้วยตทาลัมพนะ ๒ ขณะแล้วจิตก็ตกภวังค์
ไป
ในทางตรงกนั ขา้ มเมื่อมกี ารกาํ หนดรปู ผ้หู ญิงท่ีเห็นด้วยสติสมาธิและปัญญาพร้อมกับการ
กําหนดในใจว่า “เห็นหนอๆ” ไปเรื่อยๆ วิถีจิตของการเห็นทางจักขุทวารก็จะหยุดลงท่ีโวฏฐัพพนจิต
ซึง่ เป็นตวั อย่างของการปิดทวารหรือประตูตา แลว้ เปดิ แต่เพียงประตูใจเอาไว้เพ่ือให้วิปัสสนาชวนจิต
เกิดขนึ้ จนกระท่ังบรรลถุ ึงฉพงั คุเบกขา การเห็นในลักษณะเช่นนี้จะเป็น “การเห็นสักแต่ว่าเห็น” เห็น
แต่เพียงรูปเท่าน้ันวิถีจิตจะหยุดลงท่ีโวฏฐัพพนจิตไม่เคยไปถึงชวนจิตที่มีการเสพอารมณ์ทางตา ส่วน
วิถีจิตทางมโนทวารที่เกิดตามมา จะมีการรับอารมาณ์ท่ีประกอบด้วยสติ สมาธิและปัญญา เร่ือยมา
จนถึงชวนจติ ทีเ่ รียกวา่ วปิ ัสสนาชวนจติ
ดังนั้นในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเม่ือมีอารมณ์หรือส่ิงเร้าเกิดข้ึนทางทวารใดทวาร
หนง่ึ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิดงั นี้
๑. เมื่อมีการเห็นเกิดขึ้นทางตา (จักขุวิญญาณ) ให้รีบกําหนดทันทีว่า “เห็นหนอๆ”
พร้อมด้วยสติ สมาธิ และปญั ญา
๒. วิถีจิตท่ีเกิดทางจักขุทวารจะหยุดลงท่ีโวฏฐัพพนจิตไม่เลยไปถึงชวนจิตนี้คือการปิด
ประตตู าแลว้ เปดิ ประตใู จเอาไว้
๓. พยายามแยกใหร้ วู้ ่าอะไรคือรูปและอะไรคือนาม ตัวอย่างเมื่อมีการเห็นเกิดข้ึนทางตา
ผู้หญิงท่ีเห็นเป็นเพียงแต่รูป (คล่ืนแสง) มากระทบกับตา หรือประสาทตาซึ่งเป็นรูปการเห็นหรือจักขุ
วิญญาณทเ่ี กดิ ข้ึนเป็นนาม ดงั น้นั ทุกครงั้ ท่มี ีการเห็นเกิดขึ้นมีแต่เพียงรูปกับนามเท่านั้น เกิดข้ึนและดับ
ไปอย่างถี่ยิบจะไม่มีคําว่า “ฉันเห็นเธอ” “เธอเห็นฉัน” “เธอสวยเหลือเกิน” แม้แต่คําว่า สัตว์ บุคคล
ตวั ตน เราเขา กไ็ ม่มเี ช่นกนั
๔. สังเกตสามัญลักษณะ หรือพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง (ความไม่เท่ียง) ทุกขัง (ความ
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนและความไม่สามารถบังคับบัญชาได้) ที่เกิดขึ้นใน
ขณะท่ีกําลังกําหนดรูปนามอยู่ ธรรมดาลายเสือย่อมอยู่กับตัวเสือ เม่ือเห็นเสือก็เห็นลายเสือฉันใดผู้
เจริญวิปัสสนากรรมฐานเม่ือรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ด้วยการกําหนดสักแต่ว่ารู้จนเห็นรูปนามมีลักษณะ
๗๑
ของการเกดิ และการดับอย่างตอ่ เนื่อง เมือ่ นั้นก็จะเห็นสามัญลักษณะของรูปนามอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ่ึง
เรียกว่าพระไตรลกั ษณ์
ในมุมมองของการปฏิบัติ เมื่อโยคีปฏิบัติจนถึงภังคญาณ (ญาณที่ ๕ ) คือญาณกําหนดรู้
ความดับของรูปนามจะเห็นการดับของรูปนามเร็วและถีข้ึน เม่ือญาณนี้แก่กล้าจะมีแต่อารมณ์ปรมัตถ์
ล้วน ๆ อารมณป์ รมตั ถ์จะเกิดขึ้นตอนทีโ่ ยคีกาํ หนดอาการพอง-ยุบ-น่ัง-ถูก แล้วไม่มี คือหายไปหมดจะ
กําหนดอาการอยา่ งไรก็ไม่ได้เลย กําหนดได้แต่เพียงว่า “รู้หนอๆๆ” แสดงว่าอารมณ์บัญญัติได้หายไป
และอารมณ์ปรมัตถ์มาปรากฏแทน ถ้าการปฏิบัติยังคงดําเนินก้าวหน้าต่อไปก็จะเข้าสู่ภยญาณ (ญาณ
ท่ี ๖ ) คือ ญาณ กําหนดรู้โดยความน่ากลัวของรูปนาม อาทีนวญาณ (ญาณท่ี ๗) คือ ญาณกําหนดรู้
โทษหรือความเลวร้ายของรูปนาม นิพพิทาญาณ (ญาณที่ ๘ ) คือ ญาณที่กําหนดรู้ในความเบ่ือหน่าย
ของรูปนาม มญุ จิตกุ ัมมยตาญาณ (ญาณท่ี ๙ ) คอื ญาณทกี่ ําหนดรู้พระไตรลกั ษณ์อกี ครัง้ หนึ่ง
ต่อจากน้ันจะมาถึงญาณที่สําคัญเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑ ) คือ ญาณที่
กาํ หนดร้คู วามวางเฉยในรปู นามสงั ขาร บางทีเรียกว่า ฉพังคเุ ปกขาวปิ สั สนาญาณ ทกี่ ล่าวมานีเ้ ปน็ แนว
ปฏิบัติวิปัสสนากรรฐานที่สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ พระอรหันต์ได้สอนพระอาจารย์โปฐิละว่าให้ปิด
ทวารทั้ง ๕ ซ่ึงหมายถึงการไม่ให้ชวนจิตเกิดขึ้นในทวารท้ังทางตา หู จมูก ลิ้นและกายแต่เปิดประตูใจ
เอาไว้ ซ่ึงหมายถงึ โยคีตอ้ งทําการภาวนาใหช้ วนจติ อยู่ในทวารนี้เท่านั้นจนกระทั่งบรรลุถึงฉพังคุเบกขา
กลา่ วคอื เป็นการเกดิ วิปสั สนาชวนจติ ทปี่ ระกอบด้วยอุเบกขา (equanimity) หรือตัตรมัชฌัตตา ซ่ึงทํา
ให้อนิ ทรยี ์สมดลกนั ฉพงั คุเบกขา คืออุเบกขามีองค์ ๖ หมายถึง ความวางเฉย ความไม่ยินดีและไม่ยิน
รา้ ยในอารมณท์ ้ัง ๖ ทม่ี าปรากฏทางทวารทงั้ ๖ โดยองคธ์ รรมได้แก่ ตัตรมัชฌัตตาเจตสิกนน่ั เอง
สามัญลักษณะ ๓ อย่างคือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เป็นลักษณะเฉพาะของรูปนาม
และยังเป็นอาวุธอันสําคัญที่ป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดข้ึนทางตา หู จมูก ล้ิน กายและใจ ตามปกติเมื่อ
กิเลสเกิดข้ึนแล้วย่อมไม่หายไปไหนแต่จะค่อยๆ ส่ังสมกลายเป็นอนุสัยหรือกิเลสอย่างละเอียดใน
ภวังคจิตต่อไป นอกจากนั้นการกําหนดรูปนามจนเห็นพระไตรลักษณ์อย่างหนึ่งอย่างใดยังสามารถขุด
ทําลายอนุสัยที่นอนเน่ืองอยู่ในสันดานได้ อุปมาเหมือนการขุดรากของต้นหญ้าฉะนั้น เพราะเม่ือ
ทําลายรากเหง้าของต้นหญ้าได้ส้ินเชิงเมื่อใด หญ้าก็จะไม่งอกข้ึนมาอีกเลย ดังนั้นทุกครั้งท่ีมีอารมณ์
เกิดข้ึนไม่วา่ จะทางทวารใดกต็ าม ถ้ามกี ารกําหนดรูเ้ ฉยๆ ดว้ ยสติ สมาธิ และปญั ญา จนเกดิ ความรู้แจ้ง
ในรูปนามว่ามีลักษณะของอนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตา เม่ือใดเม่ือน้ันวิปัสสนาชวนจิตหรือชวนะท้ัง ๗
ทางมโนทวารวิถีจะเสพพระไตรลักษณ์เป็นอารมณ์เสร็จแล้ว ตทาลัมพนะก็เก็บลงสู่ภวังค์ ตัดราคะ
โทสะและโมหะมิให้กลายเป็นอนุสัยกิเลสอีกต่อไป นอกจากน้ันการเห็นพระไตรลักษณ์ย่ิงมากเท่าใด
อนุสยั ก็จะคอ่ ยๆ เบาบางลง จนหมดสน้ิ ไปในท่สี ดุ เม่ือการปฏบิ ัตเิ ขา้ สมู่ รรคญาณและผลญาณ
๗๒
๓.๘ อารมณบ์ ัญญตั ิและอารมณ์ปรมัตถ์
ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมจะต้อง
พยายามกําหนดที่อารมณ์ปรมัตถ์ ไม่ใช่ท่ีอารมณ์บัญญัติ อารมณ์ปรมัตถ์บางทีเรียกว่าปรมัตถ์สัจจะ
(ultimate realities or truths )เป็นความจรงิ สงู สุดทีไ่ ม่มกี ารเปลย่ี นแปลง เป็นอย่างไรก็เป็นอยู่อย่าง
นั้น เป็นสภาวะท่ีมีอยู่ตามความเป็นจริง ไม่มีการวิปริตแปรฝันเป็นอย่างอื่น มีอยู่เพียงสี่อย่างเท่านั้น
คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในทางปฏิบัติได้แก่รูป (materiality or matter) และนาม (mentality
or mind) ซ่งึ เปน็ อารมณข์ องวปิ สั สนากรรมฐาน
ส่วนอารมณ์บัญญัติซึ่งบางทีเรียกว่า สมมุตสัจจะ(conventiomal realities or truths)
น้ัน แม้จะเป็นความจริงก็ตาม แต่เป็นความจริงโดยสมมุติ เป็นโวหารหรือคําพูดที่ชาวโลกบัญญัติ
ขน้ึ มาเพื่อใช้ในการตดิ ต่อสอ่ื สารซึ่งกนั และกัน เช่น ภาษาหรือสัญลกั ษณต์ ่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
มกี ารเรยี กชือ่ ส่ิงของแต่ละอยา่ งแตกตา่ งกันไป ทาํ ใหเ้ กิดมโนทัศน์หรือมโนภาพ (cinerpt) ซึ่งเป็นภาพ
ท่ีเกิดข้ึนในใจและเป็นตัวแทนของสิ่งท้ังหลาย เช่น สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา และอ่ืนๆ และมี
รายละเอยี ดลงไปกว่านั้นอกี เช่น ชื่อคน นายสนุ ทร นางสนุ ทรีย์ นางสาวเพลินพิศ ช่ือสัตว์ สุนัข แมว
หนู เป็ด ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย หรือช่ือต้นไม้ มะขาม มะม่วง จามจุรี เป็นต้น อารมณ์ของสมถกรรม
ฐานตา่ งก็เปน็ บัญญัติ
ไฟยอ่ มมีสภาพรอ้ นเปน็ ธรรมดา ไมม่ ีการเปลยี่ นแปลงเป็นอย่างอ่ืน ไฟจะอยู่ท่ีใดก็ตามไม่
วา่ ข้ัวโลกเหนือหรือขัว้ โลกใต้ แม้จะอยใู่ นสถานทีเ่ ย็นจดั จนเป็นหิมะ ไฟก็ยังมีความร้อนอยู่ ความร้อน
นีค้ อื ปรมตั ถสจั จะเปน็ ความจรงิ ท่ีไมม่ กี ารวปิ ริตแปรผันเปน็ อยา่ งอน่ื แตค่ าํ ว่าไฟไม่ใชป่ รมัตถสัจจะเป็น
เพียงบัญญัติหรือสมมุติสัจจะคือเป็นคําท่ีสมมุติขึ้นมาเพ่ือก่อให้เกิดความเข้าใจในการสื่อสารกัน
ระหว่างมนุษย์จําพวกหน่ึง คนพวกอ่ืน ๆ อาจเรียกไฟว่า “อัคคี” บ้าง หรือ “fire” บ้าง เป็นต้น
ฉะน้ัน คําว่าไฟจึงแปรผันเปลี่ยนแปลงไปตามภาษาแต่ละภาษาที่ใช้ แต่ความร้อนเป็นสภาวะที่ไม่มี
การเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ความแตกต่างระหว่างรูปนามปรมัตถ์และรูปนามบัญญัติจะเห็นได้
ชัดเจนข้ึนดงั ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี
รปู นามปรมตั ถ์
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
ตา (จกั ขปุ สาทรปู ) รูปารมณ์ (วัณณะหรอื คลื่นแสง)
หู (โสตปสาทรูป) สทั ทารมณ์ (เสียงหรือคล่นื เสยี ง)
จมกู (ฆานปสาทรปู ) คันธารมณ์ (กลน่ิ )
ลิน้ (ชิวหาปสาทรูป) รสารมณ์ (รส)
กาย (กายปสามรปู ) โผฏฐพั พารมณ์ (ส่งิ กระทบ)
๗๓
ใจ (หทัยรปู ) ธัมมารมณ์ (สงิ่ ที่ใจนึกคิด)
วญิ ญาณ ๖
(เกิดจากการกระทบกนั ของอายตนะภายใน ๖ กบั อายตนะภายนอก ๖ )
จกั ขุวิญญาณ (การเหน็ )
โสตวิญญาณ (การไดย้ นิ )
ฆานวิญญาณ (การไดก้ ลน่ิ )
ชวิ หาวญิ ญาณ (การรรู้ ส)
กายวิญญาณ (การถกู ตอ้ ง)
มโนวญิ ญาณ (การคิด)
สงเคราะห์อายตนะ ๑๒ ลงเป็นรูปนามปรมัตถ์ได้ดังน้ี ทุกอย่างเป็นรูปปรมัตถ์หมด
ยกเว้นใจเป็นนามปรมัตถ์ และธัมมารมณ์ เป็นท้ังรูปปรมัตถ์และนามปรมัตถ์ ส่วนวิญญาณท้ัง ๖ เป็น
นามปรมัตถ์ทั้งส้ิน เพราะว่าเป็นการเห็นสักแต่ว่าเห็น การได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน การได้กล่ิน สักแต่ว่า
การได้กลิน่ การรรู้ ส สักแต่ว่ารูร้ ส การถูกต้องสกั แต่วา่ ถูกตอ้ ง และการนกึ คิดสักแตว่ ่านึกคิด โดยสรุป
เป็นการสกั แตว่ า่ รู้ทางทวารทั้ง ๖ เทา่ นัน้ เอง
รูปนามบญั ญัติ
ทางตา : การกําหนดเนอ้ื หาหรอื รายละเอยี ดของรปู เชน่ รูปคน ผูห้ ญงิ ผู้ชาย สวย
ไมส่ วย ชอบ ไมช่ อบ แต่งตวั เรยี บรอ้ ย ทา่ ทางมอซอ ช่อื นายสมศักดิ์
ทางหู : การกําหนดเนอื้ หาหรอื รายละเอยี ดของเสียง เช่น เสยี งเพลง เสยี งระฆงั
เสยี งคน เสียงเพราะ เสยี งหนวกหู เสียงนนิ ทา เป็นต้น
ทางจมูก : การกําหนดเนอื้ หาหรอื รายละเอียดของกล่ิน เช่น กลิ่นดอกไม้ กล่ินนํ้าหอม
กลนิ่ เน่า กลิ่นสนุ ัข กล่นิ อุจจาระ เป็นตน้
ทางลน้ิ : การกําหนดเน้ือหาหรือรายละเอียดของรส เช่น รสอาหาร รสแกง รส
อรอ่ ย รสระดับเชลลช์ วนชมิ รสเปบิ พิสดาร เป็นต้น
ทางกาย : การกาํ หนดเนอื้ หาหรือรายละเอียดของสิ่งกระทบหรือสิ่งสัมผัส (เย็น ร้อน
อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เคล่ือนไหว) เช่น อากาศร้อน ลมเย็นสบาย ที่นอน
อ่อนนมุ่ ทอ้ งตงึ ขากําลงั กา้ ว เป็นตน้
ทางใจ : การกําหนดเน้ือหาหรือรายละเอียดของความนึกคิด เช่น คิดเร่ืองงาน คิด
เร่อื งเงิน คิดเร่ืองครอบครัว คิดถงึ ปญั หาเศรษฐกจิ เปน็ ตน้
การกาํ หนดเน้อื หาหรอื รายละเอยี ดของอารมณ์หรือสิ่งเร้าที่เกิดข้ึนทางทวารทั้ง ๕ คือ ตา หู
จมกู ลน้ิ และกาย จัดว่าเป็นการกําหนดรูปบัญญัติท้ังสิ้น ส่วนการกาํ หนดนามบัญญัติมีเพียงทวารเดียว
๗๔
คือใจ (มโนทวาร) ดงั น้ันทุกครั้งทม่ี กี ารรบั อารมณ์ทางทวารท้ัง ๖ ทวารใดทวารหน่ึง ถ้ามีการกําหนดรู้
เฉยๆ พรอ้ มดว้ ยสติ สมาธิ และปญั ญา จะมีแต่เพียงรูปนามปรมัตถ์เท่าน้ันที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเม่ือใดมีการ
กําหนดที่ขาดสติรูปนามบัญญัติก็จะเกิดข้ึน อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานต้องเป็นรูปนามปรมัตถ์หรื
อปรมัตถอารมณท์ ี่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพระไตรลักษณ์ที่ปรากฏเป็นวิปัสสนาญาณได้นั้นจะต้องเกิดจาก
ปรมตั ถอามรมณ์ไม่ใชบ่ ญั ญัตอิ ารมณ์
๓.๙ มนสิการกับองคค์ ณุ แหง่ แม่ไก่ ๕
ในหนังสือปัญหาพระยามิลินท์ พระนาคเสนได้อธิบายให้พระเจ้ามิลินท์ฟังว่า ในการ
เจรญิ วิปัสสนากรรมฐานเพือ่ ให้บรรลผุ ลสงู สดุ นน้ั ผ้ปู ฏบิ ัตติ ้องประกอบดว้ ยคณุ สมบัตทิ เ่ี ปรียบเทียบได้
กับองคค์ ณุ แกแ่ ม่ไก่ ๕ ประการ ดังนี้
๑. เมื่อเวลายังมืดอยู่ ไม่จะยังไม่ลงหากิน หมายความว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องตื่นแต่เช้ามืด
ตื่นด้วยสติพร้อมด้วยการกําหนด เวลาล้างหน้า แปรงฟัน หรืออาบน้ํา ให้กําหนดอิริยาบถย่อยอย่าง
ละเอียดและต่อเนื่อง ทําความสะอาดและปัดกวาดบริเวณที่นอนให้เรียบร้อย นุ่งห่มเสื้อผ้าและ
เตรยี มพร้อมทจี่ ะทําวตั รสวดมนตรแ์ ละเจริญวิปสั สนากรรมฐานต่อไป
๒. พอสว่างไก่ก็บินลงไปหากิน ผู้ปฏิบัติก็เริ่มทําหน้าท่ีของตนนับต้ังแต่การนั่งและการ
เดินจงกรมสลับกันไป พยายามปฏิบัติให้ติดต่อกันอย่าให้ขาดสายต้ังใจกําหนดอารมณ์ท่ีเกิดขึ้นไม่ว่า
เป็นทางตา หู จมกู ลิน้ กาย หรือใจ
๓. เวลาไก่จะกินอาหารก็ใช้ตีนเขี่ยแล้วจึงจิกกิน ฉันใด ผู้ปฏิบัติต้องทําดุจไก่ เวลา
รับประทานอาหารย่อมพิจารณาเสียก่อนเพ่ือให้เกิดความเข้าใจว่าอาหารท่ีรับประทานแต่ละม้ือน้ัน
เพอ่ื บํารุงร่างกายให้แข็งแรงและเพอ่ื ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม เพ่ือระงับเวทนาเก่าคือความหิวเสีย
มิให้เวทนาใหม่เกิดข้ึน ไม่ใช่รับประทานเพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อความมัวเมา หรือเพ่ือตกแต่งให้
ร่างกายอ้วนพีสวยงาม สมดังพุทธภาษิตว่า “ผู้บริโภคอาหารพึงพิจารณาเห็นเหมือนคนบริโภคเน้ือ
บุตรของตนในทางกนั ดาร ไม่เป็นผู้มัวเมา มุ่งแต่จะดํารงชีวิตอยู่สืบต่อไปเพ่ือประโยชน์สุขของตนและ
ผู้อนื่ ”
๔. แม้ว่าไก่จะมีตาอันใสสว่าง มองเห็นอะไรได้ชัดในเวลากลางวัน แต่เวลามือค่ําลง ตา
กลับฝ้าฟาง เหมือนคนตาบอด ฉันใด ผู้ปฏิบัติต้องทําตาให้มืดบอด เหมือนไก่ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด พึง
สาํ รวมอนิ ทรยี ์ อย่าได้ยินดียินร้ายในรูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัส อันเป็นที่ต้ังแห่งความกําหนัดยินดี
พึงประพฤตดิ ุจคนตามืด หูหนวก คนใบ้ และไม่พงึ ถอื นมิ ิต ไมพ่ งึ ถืออนุพยัญชนะในรูป เป็นต้นว่าสวย
วา่ งาม วา่ ดี ฉนั นัน้
สมดังภาษิตของพระมหากัจจายนะเถระว่า “ผู้ปฏิบัติพึงทําตนเป็นคนตาบอดมืด มีหูได้
ยินกพ็ ึงเป็นเหมือนคนหูหนวก มีล้ินเจรจาได้ก็พึงเป็นเหมือนคนใบ มีกําลังแข็งแรงก็พึงเป็นเหมือนคน
๗๕
อ่อนเพลียทุพพลภาพเม่ือมีเรื่องร้ายเกิดข้ึนก็พึงนอนเสียเหมือนมารดากกลูกให้นอนหรือเหมือนคน
ตายนอนเฉยอยู่”
๕. ธรรมดาเมื่อไก่ถูกขว้างปาด้วยไม้หรือก้อนหินหรือถูกไล่ตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ไก่ย่อมไม่
ทิ้งรังของตน ฉันใด ผู้ปฏิบัติพึงกําหนดพร้อมด้วยสติและสัมปชัญญะต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
รวมท้ังการกระทําท้ังทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่พึงละเว้นในการกําหนดดุจไก่ที่ไม่ยอมท้ิงรัง
ของตนฉนั น้ัน สมดังพุทธดํารัสว่า “ผู้ปฏิบัติท้ังหลายพึงตั้งสติไว้ที่ฐานท้ัง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และ
ธรรม ในสิง่ ใดสิง่ หน่ึงซึง่ เป็นโคจรเปน็ ทีอ่ ย่แู ละเป็นอารมณ์ของตน”
จากเร่อื งที่กล่าวมาน้จี ะเหน็ ได้ชัดวา่ ความสําคัญขององค์คุณแห่งไก่ ๕ ประการ คือ การ
กําหนรู้เฉยๆ หรือการกําหนดสักแต่ว่ารู้(bare attention) นั่นเอง เป็นการกําหนดแต่เพียงอารมณ์
ปรมตั ถ์ โดยมใิ หเ้ ลยไปถึงอารมณบ์ ญั ญตั ิ ตามนยั ทว่ี า่ เหน็ สักแตว่ า่ เหน็ ไดย้ นิ สกั แต่ว่าได้ยิน ได้กล่ินสัก
แต่ว่าได้กล่ิน ลิ้มรสสักแต่ว่าล้ิมรส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส และนึกคิดสักแต่ว่านึกคิด ไม่มีการยึดถือใน
รายละเอียดประกอบคืออนุพยัญชนะของรูป (คลื่นแสง) เสียง (คลื่นเสียง) กล่ิน รส ส่ิงท่ีสัมผัส และ
ความนกึ คดิ การกําหนดเฉพาะอารมณ์ปรมัตถ์เช่นนี้จะนําไปสู่ความรู้ชัดว่าส่ิงเร้า (อายตนะภายนอก)
กับอวัยวะรับสัมผัส (อายตนะภายใน) เม่ือกระทบกันแล้วมีแต่เพียงรูปกับนามเท่าน้ันท่ีเกิดขึ้น ต้ังอยู่
และดับไปรูปนามดังกล่าวมาเป็นรูปนามปรมัตถ์ เม่ือวิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาแก่กล้าพอแล้วผู้
ปฏิบัติจะเห็นการเกิดดับของรูปนาม ตลอดจนสามัญลักษณะของรูปนามคือพระไตรลักษณ์ อันได้แก่
ความไม่เท่ียง (อนิจจัง) ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) และความไม่ใช่ตัวตนหรือความไม่
สามารถบังคับบัญชาได้ (อนัตตา) ปัญญาญาณที่เกิดข้ึนนี้เมื่อมีพัฒนาการเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ สามารถนําผู้
ปฏิบตั ิไปส่เู ป้าประสงคข์ องวปิ สั สนากรรมฐานคอื มรรค ผล นพิ พานไดใ้ นทส่ี ดุ
สรุป การกําหนด หมายถึง การตระหนักรู้ที่ชัดเจนและแน่วแน่อยู่กับส่ิงท่ีเกิดขึ้นจริงๆ
กับตัวเราหรือในตัวเราตามที่ปรากฏข้ึนเป็นขณะๆ ตามลําดับในความรับรู้ของเรา ที่เรียกว่ารู้เฉยๆ
หรอื เพียงแตร่ ู้เพราะกาํ หนดอย่แู ตท่ ่คี วามจริงแท้ๆ ท่ีปรากฏข้ึน ไม่ว่าทางทวารทั้งหก (ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ) ซ่งึ พระพทุ ธศาสนาจัดไว้ว่าเป็นทวารที่หก เมื่อใส่ใจอยู่กับส่ิงที่มากระทบทวารท้ังหกดังกล่าว
ความใส่ใจหรือสตจิ ะบันทึกเฉพาะความจรงิ ท่ีสงั เกตได้เท่าน้ัน จุดมุ่งหมายของการกําหนดดังปรากฏท่ี
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระพาหิยะว่าเม่ือเห็นเธอ สักแต่ว่าเห็น เม่ือเธอได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน เป็นอาทิ
นั้น หมายถึง วิธีการกําหนดอารมณ์หรือสิ่งเร้าท่ีเกิดขึ้นทางทวารท้ัง ๖ เป็นการกําหนดที่เรียกว่าการ
กําหนดรู้เฉยๆ หรือการกําหนดสักแต่ว่ารู้ หรือโยนิโสมนสิการ ในทางปฏิบัติท่ีกล่าวว่า “เมื่อเธอเห็น
สกั แตว่ า่ เหน็ ” จะต้องประกอบด้วย (๑) การเฝ้าดู (๒) การสังเกต (๓) การระบุช่ือในใจ ตัวอย่าง การ
เห็นที่เกิดทางตาน้ัน ตาจะต้องเฝ้าดูรูปหรือคลื่นสี่แสงท่ีมากระทบกับตา มีการสังเกตรูปท่ีเห็นทางตา
และในเวลาเดียวกันก็ต้องกําหนดในใจว่า เห็นหนอๆ การกําหนดในใจให้ใช้คําสั้นๆ เพ่ือแสดงถึง
๗๖
อาการของการเห็นที่กําลังเกิดขึ้นเท่าน้ัน ไม่ต้องไประบุอย่างชัดเจนว่า ฉันเห็นคน ฉันเห็นสุนัขกําลัง
เหา่ ฉันเหน็ รถยนต์รุน่ ใหม่สุด
การกําหนดจะสร้างเครื่องมือท่ีสําคัญขึ้นมาคือการแทงตลอดความจริงซ่ึงในทางธรรม
เรียกเครื่องมือน้ีว่า วิปัสสนา และวิปัสสนานี้เท่าน้ันคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของวิธีการปลดเปลื้องจิต
เพราะวิปัสสนาเป็นการรู้เห็นแจ้งโดยตรงและแทงตลอดในลักษณะ ๓ ประการของสิ่งต่างๆ กล่าวคือ
ความไม่เท่ียง (อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) ความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ไม่ใช่เพียงแต่รู้สัจจะธรรม
เหล่านี้ด้วยความซึมซาบเหตุผลหรือเพียงด้วยปัญญาที่เข้าใจความหมายเท่านั้น แต่จะต้องรู้เห็นจริง
ด้วยประสบการณ์ที่ม่ันคงปราศจากความสงสัยด้วยตนเองประสบการณ์ในสัจจะธรรมนี้จะเกิดขึ้นได้
และเจริญก้าวหน้าจนสุกงอมถึงข้ันก็ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน เผชิญหน้ากับความจริงท่ีรองรับสัจจะ
ธรรมเหล่าน้ีคร้ังแล้วคร้ังเล่า วิปัสสนาเป็นความรู้ประเภทเปล่ียนแปลงชีวิตสภาวะท่ีเป็นแก่นแท้ของ
วิปัสสนาจะช่วยเพิ่มพูนความไม่ยึดมั่นและเพ่ิมความเป็นอิสระจากความทะยานอยากต่างๆ จนบรรลุ
ถงึ ความหลดุ พ้นของจติ ข้ันสุดท้ายจากทุกส่ิง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเป็นทาสต่อความทุกข์ทั้งมวลใน
โลกนี้ต่อไป
๗๗
บทท่ี ๔
หลักธรรมกบั การกา้ วไปตามมรรควธิ ี
ความนา
หลักธรรมคาสอนของพระพุทธองค์ท่ีทรงแสดงไว้มีท้ังสิ้นแปดหม่ืนสี่พันพระธรรมขันธ์ดู
เหมือนว่าคาสอนของพระองค์นั้นมีมากมายนักยากท่ีจะศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจและครบตามจานวนท่ี
ทรงแสดงไว้ได้ ความจริงแล้วคาสอนของพระพุทธองค์เริ่มจากจุดเล็กๆ คือธาตุรู้หรือญาณ แล้วขยาย
ออกไปเปน็ แปดหมืน่ สพี่ ันพระธรรมขันธ์และหลักคาสอนของพระองค์นั้นก็สามารถย่อให้เหลือน้อยลง
ตามลาดับได้ คือ ย่อให้เหลือสาม ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ย่อให้เหลือสอง ได้แก่ พระธรรมและ
วินัย ย่อให้เหลือหนึ่ง ได้แก่ สติ หรือความไม่ประมาท การศึกษาหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า
นนั้ มี ๒ แบบ คือ ศกึ ษาแบบไปตามลาดบั และศกึ ษาแบบสนั โดษ ศึกษาแบบไปตามลาดับน้ัน หมายถึง
การศึกษาพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าให้ครบทั้งหมดท่ีเรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ ได้แก่ สุตตะ
เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม และเวทัลละ การศึกษาอย่างนี้
เรียกวา่ ศึกษาไปตามลาดับ ส่วนการศึกษาแบบสันโดษน้ันเป็นการศึกษาเฉพาะเรื่องท่ีต้องการรู้เหมาะ
สาหรับผู้มีเวลาน้อยเหมือนพระจักขุบาลเถระท่ีบวชเมื่อมีอายุแล้วก็ขอศึกษาเฉพาะเท่าท่ีจาเป็น เช่น
วิปัสสนาคืออะไร มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร? อารมณ์ของวิปัสสนามีเท่าไร? มีอานิสงส์ของวิปัสสนามี
อย่างไร? การเรียนรู้อย่างนี้เรียกว่าการเรียนแบบสันโดษเพราะจริงๆ แล้วการศึกษาทั้งสองอย่างที่
กล่าวมานั้นเป็นการศึกษาหลักการ (ทฤษฎี) และวิธีการ (ปฏิบัติ) ส่วนการศึกษาไปตามลาดับนั้นเป็น
เสมือนการศึกษาแผนท่ีอันเป็นส่วนของทฤษฎีสาหรับการเดินทางไปสู่จดมุ่งหมาย ส่วนการศึกษาใน
เรื่องของวิปัสสนาภูมิคืออะไร? มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร? และมีประโยชน์อย่างไร? แล้วลงมือปฏิบัติไป
พร้อมกันตามที่ได้ศึกษามาจนสามารถเห็นตามความเป็นจริงซึ่งเป็นส่วนของวิธีการในบทนี้เป็น
การศกึ ษาหลกั ธรรมท่นี ักศึกษาควรรู้ซง่ึ เรยี งไปตามลาดบั ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นเหตุ
เปน็ ผลของกนั และกันตามขั้นตอนของหลกั กลั ยาณธรรม คือมคี วามงามในเบ้ืองต้น (อาทิกลฺยาณ) งาม
ในท่ามกลาง (มชฺเฌกลยฺ าณ) งามในทส่ี ดุ (ปรโิ ยสานกลฺยาณ) เป็นการฝึกฝนไปตามหลักของไตรสิกขา
ว่าด้วยเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา โดยฝึกและพัฒนาจิตใจของตนให้เห็นความจริงของชีวิตว่าทุก
สิ่งทุกอย่างมีเกิดข้ึนตั้งอยู่แล้วก็ดับไปบนพื้นฐานของไตรลักษณ์เป็นอยู่อย่างน้ีใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
ธรรมชาติของธรรมก็จะเป็นอยู่อย่างน้ีเองต่อไปก็จะได้กล่าวถึงหลักธรรมท่ีควรรู้ตามบทเรียนน้ีเ ป็น
ลาดับไป
๔.๑ ความหมายของสิกขา
๔.๑.๑ ความหมายของสกิ ขา
๗๘
คาว่า ศึกษา มาจากภาษาบาลีว่า สิกฺขา แปลว่า การเล่าเรียนการฝึกฝน และการอบรม
ท่านพุทธทาสภิกขุให้ความหมาย คาว่า สิกขา หรือศึกษา ในภาษาบาลีหมายถึงการ ประพฤติ
ปฏิบัติการทาเพ่ือให้ดับทุกข์โดยส้ินเชิงรวมถึงความรู้ด้วย๑ เพราะฉะนั้นความรู้กับการปฏิบัติต้องไป
ด้วยกนั ไม่แยกกันโดยทา่ นได้วิเคราะห์ศัพท์ไว้ดังนี้ คาว่า การศึกษา มาจาก คาว่า สิกขา ในภาษาบาลี
ซ่ึงแยกได้เป็น สะ กับ อิกขะ สะ แปลว่าเอง ตัวเอง อิกขะ แปลว่าเห็นการเห็นเม่ือ รวมความกันแล้ว
แปลว่าการเห็นตนเอง โดยตนเอง เพ่ือประโยชน์แก่ตนเอง หรือเพ่ือเข้าใจในตนเอง ให้แจ่มแจ้งและ
ถูกต้องได้แก่การมีสัมมาทิฏฐิคือเข้าใจเรื่องความดับทุกข์ความรู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้จักการดับ
ทุกข์และความรู้จักทางให้ถึงความดับทุกข์และยังได้ให้ความหมายของการศึกษาใน พระพุทธศาสนา
หมายถึง Training เปน็ อย่างน้อย คือ การทาลงไปจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาเล่า เรียนให้รู้เข้าใจจดจา
ได้เท่าน้ันแต่จะต้องมีการปฏิบัติพร้อมกันไปด้วยจนเกิดเป็นความเห็นแจ้ง เป็นปัญญาในขั้นสูงเพื่อ
ทาลายอาสวกิเลส๒
คาว่า สิกขา หมายถึงการอบรม การฝึกฝนการพัฒนาตนสาเหนียกโดยท่านให้
ความสาคัญสองอย่างคือ ๑. ตะหนักถงึ เปาู หมาย ๒. นาเอาส่งิ ที่เปน็ ประโยชนเ์ ป็นตัวในการเรยี นรู้๓
คาว่า สิกขา หรือศึกษาว่าคือการศึกษาวิถีชีวิตที่ดี ประกอบด้วยระบบการอยู่ร่วมกันท่ีดี
คือศีลหมายถึงการอยู่ร่วมกันด้วยความปกติระบบการอยู่ ร่วมกันของชีวิตควรจะต้องประกอบด้วย
การพฒั นาจิตและพฒั นาปญั ญาให้ยงิ่ ๆขนึ้ ไปดว้ ยทาให้ระบบการอย่รู ่วมกันดีย่ิงๆ ข้ึนศีลสิกขา จิตตสิก
ขา และปัญญาสิกขา ที่เรียกว่าการศึกษาท้ัง ๓ หรือ ไตรสิกขานั้นเพราะเป็นวิถีชีวิตท้ังหมด วิถีชีวิต
ทัง้ หมดคอื การศกึ ษา การศกึ ษาจึงไมเ่ พยี งแตก่ ารเรียนวชิ า๔
คาว่า ศึกขา ในวิมุตติมรรคหมายถึงการศึกษาเร่ืองที่ควรศึกษา การศึกษาอันยอดเยี่ยม
และการศกึ ษาเพ่ือ ความเปน็ พระอเสขะ (ผู้ไม่ต้องศกึ ษา) ๕
๑ พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน, พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์พลับบลิเคชัน่ ,
๒๕๔๖), หนา้ ๔๘๔.
๒ พทุ ธทาสภิกขุ, การศกึ ษาคอื อะไร, (กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พธ์ รรมบูชา, ม.ป.ป.), หนา้ ๑๙๙-
๒๐๐.
๓ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), การพฒั นาตน, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑๑, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ บรษิ ทั
สหธรรมจากัด ๒๕๔๔,), หนา้ ๒๘ - ๒๙.
๔ ศ.ประเวศ วะส,ี “พทุ ธธรรมกบั อดุ มการณ์สาหรับศตวรรษท่ี ๒๑”, ใน พุทธธรรมกบั อดุ มการณ์
สาหรบั ศตวรรษที่ ๒๑ ปาฐกถาครบรอบ ๖๐ ปพี ระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) , (กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์ มูลนิธิ
โกมลคมี ทอง, ๒๕๔๒), หน้า ๑๑๕ ๑๑๖.
๕ พระอปุ ตสิ สเถระ, วมิ ตุ ตมิ รรค, แปลโดย พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต) และคณะ,
(กรงุ เทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หนา้ ๕.
๗๙
สรุปได้ว่าสิกขา หรือ ศึกษา หมายถึงการเรียนรู้การฝึกฝน การ อบรม ซึ่งแบ่งเป็นสอง
คือการศึกษาเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีอยู่รอบข้าง และการเรียนรู้ จากธรรมชาติภายใน
เพือ่ ส้ินไปแหง่ กิเลสซ่งึ การศกึ ษาประเภทนเี้ รยี กว่าอเสขะ
๔.๑.๒ ความหมายไตรสิกขา
คาว่า ไตรสิกขา มีรากศัพท์มาจากสองคา คือ ๑) ไตร หรือตรี ในภาษา สันสกฤต ซึ่ง
ตรงตามภาษาบาลีว่า ติ แปลว่า สาม หรือ ๒) คาว่า สิกฺขา ภาษาบาลีซึ่งตรงกับภาษา สันสกฤตว่า
ศึกษฺ า หมายถึงการศึกษาการปฏิบัตแิ ละการอบรมตามความประพฤติใหบ้ รสิ ทุ ธิ์๖
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายไตรสิกขาที่ปรากฏในพจนานุกรมพุทธ
ศาสตร์ฉบับประมวลธรรมว่าข้อปฏิบัติท่ีเป็นหลักสาหรับศึกษา ๓ ประการ เพ่ือฝึกหัดอบรม กาย
วาจา จิตและปัญญาให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุเปูาหมายสูงสุดคือพระนิพพาน๗ ในหนังสือการพัฒนาตน๘
ท่านใหค้ วามหมายวา่ การฝึกอบรมท้ังหมดในทางพระพุทธศาสนากระบวนการทางการปฏิบัติ ทั้งหมด
ในหนังสือสามไตร๙ท่านใหค้ วามหมายว่าเป็นหลักการศึกษาแบบพุทธหรือการศึกษาแบบธรรมชาติ ๓
อย่างคอื
๑) ศลี หมายถึงขนั้ ตอนประพฤตเิ บ้อื งต้นในการดาเนินชีวิตโดยมีพฤติกรรมที่ ถูกต้อง
ในการสมั พันธก์ บั สง่ิ แวดล้อม และเพ่ือนมนุษย์ตั้งแต่การดูการฟังการกินอยู่บริโภค ซ่ึง ความหมายใน
ท่ีนคี้ ือหมายถงึ ศีล๕
๒) สมาธิหมายถึงการฝึกฝนจิตให้ยิ่งข้ึนด้วยสภาพจิตท่ีหนักแน่นม่ันคง มีความสุข
ความสงบ มคี วามแนว่ แนเ่ รียกวา่ ใจอยู่กับกิจจิตอยูก่ ับงานเป็นต้น
๓) ปัญญา หมายถึงความรู้ความเข้าใจเหตุผล รู้ความจริงของโลก และชีวิต
จนกระทงั่ สามารถทาจติ ใจใหเ้ ป็นอิสระได้ไม่ตกอยู่ใต้การครอบงาของสงิ่ ทัง้ หลาย
พระพุทธโฆษาจารย์ ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์วิสุทธมรรคว่าไตรสิกขาเป็นท้ังหลักการ
และวิธีปฏิบัติเพื่อให้สามารถล่วงพ้นจากอบาย, กามธาตุและภพทั้งปวง โดยมีเปูาหมายท่ีการบรรลุ
พระนิพพานอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินไตรสิกขาเป็นแนวปฏิบัติในทางสายกลางที่มิใช่ การปรนเปรอ
ตนด้วยกามสุขและการทรมานตน มีศีลเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสที่แสดงออกทางกาย วาจา สมาธิเป็น
๖ องตฺ ิก.ไทย. ๒๐/ ๙๑/ ๓๒๐.
๗ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต ), พจนานุกรมพทุ ธศาสตรฉ์ บบั ประมวลธรรม, พมิ พ์คร้ังท่ี ๑๒ ,
(กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐๗.
๘ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต) การพฒั นาตน.,พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑๑, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์
บริษทั สหธรรมจากดั ๒๕๔๔,), หนา้ ๑๕.
๙ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), สามไตร, พมิ พ์คร้ังที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัทพมิ พส์ วย
จากัด ๒๕๕๐), หนา้ ๔๐ - ๔๔.
๘๐
ปฏิปักษ์ต่อกิเลสที่กลุ้มรุมจิต และปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่ออนุสัยกิเลสที่แอบแนบอยู่ในจิตสามารถ
พัฒนาบุคคลให้เป็นพระอริยะผูม้ คี วามบริบูรณ์ดว้ ยศีลไดแ้ กร่ พระโสดาบันและพระสกทาคามีบริบูรณ์,
ด้วยสมาธิได้แก่พระอนาคามีและบริบูรณ์ด้วยปัญญา ได้แก่พระอรหันต์นอกจากน้ีองค์ธรรมท้ัง ๓ ยัง
เปน็ เคร่อื งอดุ หนุนให้บรรลคุ ณุ วิเศษอันหาไดย้ ากในบุคคลทั้งไปดังมีวิชชา ๓ เปน็ ตน้ ๑๐
จากนิยามข้างต้นสรุปได้ว่าไตรสิกขา หมายถึงการศึกษาสามอย่าง ท่ีเป็นทั้งหลักการ
และวิธีปฏิบัติได้แก่ ๑) ศีลสิกขา คือการศึกษาและปฏิบัติด้วยการเว้นชั่วประพฤติความดี ๒) จิต
สิกขาคือศึกษาดว้ ยการฝกึ อบรมจิตและ ๓) ปญั ญาสกิ ขาคือการศึกษาเพื่อปัญญารู้แจ้งตามความเป็น
จริงที่ให้ความสาคัญหลักการปฏิบัติซึ่งเป็นตัวควบคุ้มพฤติกรรมด้านกาย วาจา และจิตพัฒนาในทาง
ทถี่ ูกตอ้ ง
๔.๒ จุดมงุ่ หมายของไตรสกิ ขา
จุดมุ่งหมายของไตรสิกขา หรือการศึกษาในพระพุทธศาสนาน้ีย่อมคล้อยตาม
จุดมุ่งหมายระดับต่างๆ ของพระพุทธศาสนา เนื่องจากการศึกษาเป็นวิธีการท่ีมุ่งประสงค์ไปสู่
อุดมการณ์หรือจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนา และจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาก็มีหลากหลาย
ระดับ ซ่ึงขึ้นอยู่กับเปูาหมายของปัจเจกบุคคลอีกชั้นหนึ่งฉะนั้นในที่น้ีจึงขอกล่าวถึงจุดมุ่งห มาย
โดยท่วั ไปของการศึกษาในพระพุทธศาสนาไว้ดงั น้ี
จดุ มุง่ หมายท่เี ปน็ ประโยชน์แก่ชีวิต ๓ อย่างตามแนวต้ังคือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัต
ถะ และปรมตั ถะจดุ มุ่งหมายหรือประโยชน์ท่ีบคุ คลควรเข้าถึงและสร้างสรรค์ข้ึนแบ่งได้ ๓ ระดับโดยที่
แต่ละบุคคลอาจจะเข้าถึงและสร้างสรรค์ได้ไม่เท่ากันทว่าเป็นสิ่งที่บุคคลแต่ละคนควรมี ให้ครบทุก
ระดบั ถึงแม้วา่ จะมากหรอื นอ้ ยแตกตา่ งกันไป อีกทัง้ ควรพฒั นาตนใหเ้ ขา้ ถงึ ใหม้ าก ย่ิงๆ ขน้ึ ไปคือ๑๑
๑) ประโยชน์ในปัจจุบันหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ได้แก่ ทรัพย์สิน
เกียรติยศ หรือฐานะในสังคม ไมตรีหรือมิตรบริวาร และชีวิตครอบครัวท่ีเป็นสุขหรือความสามารถ
พึ่งพาตนเองได้ในทางเศรษฐกิจและสังคม ประโยชน์ในระดับนี้จะต้องให้เกิดมีขึ้นหรือให้เป็นการ
แสวงหาด้วยกาลังความเพียรพยายามและสติปัญญาของตนโดยทางชอบธรรมไม่เกิดจากการ
เบียดเบียนผู้อื่นหรือสร้างความเดือดร้อนแก่สังคม จึงอาศัยการศึกษาในด้านท่ีทาหน้าที่ถ่ายทอด
ศลิ ปวิทยาหรอื วชิ าการและวชิ าชีพตา่ งๆ เปน็ หลักประโยชนใ์ นระดบั นี้เรียกว่า ทฏิ ฐธมั มิกัตถะ
๑๐พระพทุ ธโฆษาจารย,์ วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑, พมิ พ์ครั้งท๘ี่ , (กรงุ เทพมหานคร: มหามกุฎ
ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘), หนา้ ๔, ๙-๑๒.
๑๑ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนญู ชวี ติ : พทุ ธจรยิ ธรรมเพอ่ื ชวี ติ ทด่ี งี าม, พิมพค์ รัง้ ท่ี ๕๗,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖), หนา้ ๑๓- ๑๔,๔๗ - ๔๙.
๘๑
๒) ประโยชนใ์ นอนาคต หรือประโยชน์เบื้องหน้า เป็นประโยชน์ด้านคุณค่าของ ชีวิต
ด้านในทก่ี ้าวหนา้ พัฒนาขึน้ ด้วยคุณธรรม เชน่ ศรทั ธา ความสุจริตมีศีลความเสียสละ ความสงบสุขของ
จิตใจ การดารงอยู่ในศีลธรรม การได้สร้างสรรค์บาเพ็ญประโยชน์เป็นต้นจนม่ันใจในความมีชีวิตท่ีดี
ของตน ไม่ต้องหวั่นกลัวต่อความตายและปรโลกประโยชน์ในระดับน้ีเก่ียวกับคุณธรรมภายในจิตใจ
และความประพฤติท่ีชอบธรรม จึงอิงอยู่กับการศึกษาในด้านทาหน้าที่แนะนาวิธีดาเนินชีวิตที่ถูกต้อง
และพัฒนาตนใหเ้ ปน็ คนทส่ี มบูรณป์ ระโยชน์ขนั้ น้เี รียกวา่ สัมปรายกิ ตั ถะ
๓) ประโยชน์สูงสุดหรือประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิตคือความมีจิตใจ เป็น
อิสระปลอดโปร่งผ่องใส เบิกบาน สามารถแก้ปัญหาในจิตใจได้ส้ินเชิงไม่ถูกบีบค้ันคับข้องจากัด ด้วย
ความยึดติดถอื มัน่ หวั่นหวาดและกังวล ปราศจากกเิ ลสเผาลนท่ีทาให้เศร้าหมองขุ่นมั่วอยู่อย่างไร้ ทุกข์
ได้ประจักษ์ความสุขประณีตภายในที่บริสุทธิ์สงบ เย็นสว่างไสว เบิกบานโดยสมบูรณ์ซ่ึงเป็นภาวะท่ี
เข้าถึงได้ด้วยการรู้จักสภาวะของส่ิงทั้งหลายตามความเป็นจริงรู้เท่าทันคติธรรมดาของสังขาร ธรรม
ทั้งหลาย ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิตจึงต้องอาศัยการศึกษาในด้านท่ีทาหน้าที่อย่างท่ี ๒ ในระดับ
ของการพัฒนาปัญญาอย่างสูงสุดประโยชน์ขั้นน้ีเรียกว่า ปรมัตถะไตรสิกขาก็คือมุ่งให้เกิดการดาเนิน
ชวี ิตหรือวิถีชีวิตที่เข้าสู่มรรคาอันประเสริฐเป็นไปเพื่อความดับทุกข์จนกระทั่งบรรลุเปูาหมายสูงสุดใน
พระพุทธศาสนาหรือพระนพิ พาน
สรุปได้ว่าคุณสมบัติของผู้ได้รับการศึกษาคือ ๑) เป็นการมอง เชิงผลสัมฤทธิ์ของการ
พฒั นาตามหลักการพฒั นาคน ๔ อย่าง คือมีการเจริญด้ายกายภาพ การมี ศีลธรรม การอบรมจิตและ
เจริญปัญญา ๒) มองในลักษณะการดาเนินชีวิตด้วยการถึงพร้อมในการทาประโยชน์ตนและสังคม
และ ๓) มองในแงค่ ุณธรรม คือการมีปัญญารอบขอบในแก้ปัญหาทั้งปวงด้วยหลักเหตุผลและ การใช้
ความรกั ความเมตตาแด่ผมู้ ีสว่ นเกีย่ วข้องอยา่ งทัว่ ถงึ
๔.๓ ความสาคัญของไตรสิกขา
ไตรสิกขาเป็นกระบวนการท่ีสาคัญในการพัฒนามนุษย์คือการจัดต้ังระบบระเบียบแบบ
แผนเกี่ยวกับการดาเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ซ่ึงเนื้อหาสาระท่ีสาคัญของไตรสิกขาน้ันได้
สอดแทรกอยู่ในหลักธรรมต่างๆ เช่นโอวาทปาติโมกข์ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงจาแนกพุทธโอวาทที่แสดงถึง
ความสาคญั ของไตรสิกขาออกเปน็ ดา้ นตา่ งๆ ดงั นี้
๑. ไตรสิกขาเป็นหลักธรรมใหญ่เพื่อกาจัดกิเลส ดังอนุพุทธสูตร๑๒ กล่าวถึง หลักธรรมสี่
ประการเพื่อถอนภวตณั หาคอื อริยศีลอรยิ สมาธอิ รยิ ปญั ญาและอริยวิมตุ ติ
๑๒ องฺ. จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑/๑-๒.
๘๒
๒.ไตรสิกขารากฐานท่ีสาคัญของพระวินัยดังวัชชีปุตตสูตร๑๓ ได้กล่าวถึงแนว ทางการ
ปฏิบัติตามสิกขาบท โดยพระพุทธทรงตรัสว่า“หากปฏิบัติตามไม่ครบถ้วนบริบูรณ์พึงศึกษา ปฏิบัติ
ไตรสกิ ขาคือศลี สมาธิและ ปัญญาเพ่ือการละราคะโทสะ และโมหะ”
๓.ไตรสิกขาเป็นกระบวนการฝึกศึกษาพัฒนามนุษย์ดังปฐมสิกขาสูตร๑๔ กล่าวถึงผู้ ที่
ปฏิบัติตามไตรสิกขาบริบูรณ์แล้วจะสามารถบรรลุขั้นใดขนหน่ึงและย่อมหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้ง
ปวง
ความสาคัญของไตรสิกขาพอสรุปได้ว่าไตรสิกขานี้เมื่อนามาแสดงเป็นคาสอนใน
ภาคปฏบิ ตั ทิ ัง่ ๆ ไป ไดป้ รากฏในหลกั ทีเ่ รียกว่าโอวาทปาติโมกข์เปน็ หลกั ใหญ่ ๓ อยา่ ง คือ๑๕
๑) การไมท่ าความชวั่ ท้งั ปวงทง้ั ทางกายทางวาจาจดั เป็น ศีล
๒) การบาเพ็ญความดีใหเ้ พยี บพร้อมจดั อยู่ในการปฏบิ ตั ิจิตขน้ั ทเ่ี รียกว่า สมาธิ
๓) การทาจติ ของตนใหผ้ ่องใสจดั เป็นการฝกึ ปฏบิ ตั ิในข้นั สูงสุดเรียกว่าปัญญาในพุทธ
ธรรม๑๖ ทา่ นให้ความสาคัญของไตรสิกขาวา่
๑) สาระของอธศิ ลี คอื การดารงตนอยดู่ ว้ ยดีมชี วี ิตทีเ่ กือ้ กลู ท่ามกลางสภาพแวดล้อมท่ี
ตนมีส่วนช่วยสร้างสรรค์รักษาให้เอื้ออานวยแก่การมีชีวิตท่ีดีงามร่ วมกันเป็นพ้ืนฐานท่ีดีสาหรับการ
พัฒนาคุณภาพจิตและการเจริญปัญญา ศีลจึงกินความถึงการจัดสรรสภาพแวดล้อมท้ังทางวัตถุและ
ทางสังคมที่ปิดก้ันโอกาสใน การทาช่ัวและส่งเสริมโอกาสในการทาความดีเฉพาะอย่างย่ิงการจัด
ระเบียบชีวิตและระเบียบสังคม โดยวางหลักเกณฑ์กฎข้อบังคับบทปัญญัติต่าง เพื่อควบคุ้มความ
ประพฤติของบุคคล จดั กจิ การของ สว่ นรวม สง่ เสรมิ ความอยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยดปี ิดกนั้ โอกาสสาหรับการทา
ชว่ั และส่งเสรมิ โอกาสการทาความดี
๒) สาระของอธิจิตต์คือการพัฒนาคุณภาพจิตหรือปรับปรุงจิตให้มีคุณภาพ และ
สมรรถภาพสูงซึ่งเอือ้ แก่การมีชีวติ ที่ดีงามและพร้อมทจี่ ะใช้งานในทางปัญญาอย่างได้ผลดีที่สุด อธิจิตต์
หรือสมาธิในความหมายคือสมถวิธีซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยจูงจิตใจของคนให้สงบ และยึดม่ันใน
คุณธรรมเร้าใจให้ฝักใฝุและมีวีริยะอุตสาหะในการสร้างความดีงามย่ิงข้ึนไป ตลอดจนอุบายวิธีต่างๆท่ี
จะชว่ ยส่งเสริมคณุ ภาพจติ
๓) สาระของอธิปัญญา คือการมองดูรู้จักและเข้าใจสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง
หรือ รู้เท่าทันธรรมดาของสังขารธรรมทั้งหลาย ที่ทาให้เป็นอยู่และทาการต่างๆ ด้วยปัญญา คือรู้จัก
๑๓ องฺ. ตกิ . (ไทย) ๒๐/๘๕/๓๑๐ – ๓๑๑.
๑๔ องฺ. ตกิ .(ไทย) ๒๐/๘๗/ ๓๑๒ – ๓๑๔.
๑๕ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ), พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์
บรษิ ทั สหธรรมกิ จากดั ๒๕๔๔), หน้า ๒๒๗.
๑๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยายความ, หน้า, ๖๐๔ - ๖๐๖.
๘๓
วางใจ วางท่าทีและปฏิบัติต่อโลกและชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ในทางท่ีเป็นไปเพื่อแผ่ขยาย
ประโยชน์ สุขมีจิตใจผ่องใสไร้ทุกข์เป็นอิสรเสรีและสดช่ืนเบิกบาน อธิปัญญา เป็นตัววิปัสสนาภาวนา
ซ่ึงมีวิวัฒนาการในด้านวิธีฝึกปฏิบัติจนเป็นแบบแผนทานองเดียวกับสมถวิธีแต่มีประเด็นสาคัญท่ี
ตวั ปญญาโดยการฝกึ คดิ เรียนร้ซู ึ่งมีส่วนเก่ียวข้องกับ การเสพคบกลั ยาณมติ ร
พระบญุ ชู กัลณา ได้กล่าวถึงความสาคัญของหลักไตรสิกขากับการพัฒนาบุคคลอย่างมี
บรู ณาการว่า๑๗
๑) ศีลเป็นเร่ืองของการฝึกในด้านพฤติกรรมโดยเฉพาะพฤติกรรมเคยชินเคร่ืองมือท่ีใช้
ในการฝึกศลี ก็คอื วนิ ัยวนิ ัยเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการศึกษาและการพัฒนามนุษย์เพราะว่าวินัยเป็น
ตัวการจัดเตรียมชีวิตให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการพัฒนาโดยจัดระเบียบความเป็นอยู่การดาเนินชีวิต
และการอยู่ร่วมกันในสังคมให้เหมาะกับการพัฒนา และให้เอื้อโอกาสในการที่จะพัฒนา เมื่อฝึกได้ผล
จนคนมีพฤติกรรมเคยชินที่ดีตามวินัยน้ันแล้วก็เกิดเป็นศีลดังน้ันโดยสรุปวินัยจะมาในรูปของการฝึก
พฤติกรรมเคยชินที่ดีและการจัดสภาพแวดล้อมท่ีจะปูองกันไม่ให้มีพฤติกรรมท่ีไม่ดีและเอื้อต่อการมี
พฤติกรรมท่ีดีท่ีพึงประสงค์ การฝึกคนให้คุ้นกับพฤติกรรมท่ีดีตลอดจนการจัดระเบียบระบบท้ังหลาย
ทั้งปวงในสังคมมนุษย์
๒) สมาธิเปน็ เร่ืองของการฝึกในด้านจิตหรือระดับจิตใจ ได้แก่การพัฒนาคุณสมบัติ ของ
จิตท้ังในด้านคุณธรรมเช่นความเมตตากรุณาความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ในด้านความสามารถของจิต เช่น
ความเข้มแข็งมั่นความเพียรพยายามความรับผิดชอบความแน่วแน่ม่ันคงความมีสติสมาธิและในด้าน
ความสุขเช่นความอิ่มใจความร่าเริงเบิกบานใจความสดช่ืนผ่องใสความรู้สึก พอใจ พูดสั้นๆ ว่าพัฒนา
คุณภาพสมรรถภาพ และสุขภาพของจิต
๓) ปัญญา เป็นเรื่องของการฝึกหรือพัฒนาในด้านการรู้ความจริง เริ่มต้ังแต่ความเช่ือ
ความเห็นความรู้ความเข้าใจ ความหย่ังรู้เหตุผล การรู้จักวินิจฉัยไตร่ตรอง ตรวจสอบ คิดการต่างๆ
สร้างสรรค์เฉพาะอยา่ งย่ิงเนน้ การร้ตู รงตามความเป็นจริงหรือรู้เห็นตามท่ีมันเป็นตลอดจนรู้แจ้ง ความ
จริงที่เปน็ สากลของส่ิงท้ังปวงจนถงึ ข้ันร้เู ท่าทันธรรมดาของโลกและชีวิตท่ีทาให้จิตใจเป็นอิสระ ปลอด
ปัญหาไรท้ ุกข์เขา้ ถงึ อิสรภาพโดยสมบูรณ์
หลักท้ัง ๓ ประการที่กล่าวมาน้ีเป็นส่วนประกอบของชีวิตท่ีดีงาม เราก็ฝึกคนให้เจริญ
งอกงามในองค์ประกอบเหล่านี้และให้องค์ประกอบเหล่านี้นาเขาสู่การเข้าถึงอิสรภาพ และสันติสุขท่ี
แท้จริงตัวการฝึกท่ีจะให้มีชวี ติ ทีด่ งี ามเปน็ สกิ ขาตวั ชวี ิตท่ีดีงามทเี่ กิดจากการฝึกน้นั ก็เป็นมรรค
๔.๔ ประเภทของไตรสกิ ขา
๑๗ พระบญุ ชู กลั ณา, การวิเคราะหก์ ารศึกษาตามหลักไตรสิกขาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท, วิทยานพิ นธ์
ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (พุทธศาสนศกึ ษา), บณั ฑิตวทิ ยาลัย:มหาวิทยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๕๑), หนา้ ๗๑ - ๗๒.
๘๔
จากการให้นิยามไตรสิกขาโดยเฉพาะสิกขาหมายถึงการศึกษาการสาเหนียก การเรียน
การฝึกฝนปฏิบัติการเล่าเรียนให้รู้เข้าใจและฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคุณสมบัติที่เกิดมีขึ้นในตนหรืให้ทาได้
ทาเปน็ ตลอดจนแก้ไขปรบั ปรุงหรือพฒั นาให้ดยี ง่ิ ข้นึ จนถึงความสมบรู ณแ์ บง่ ออกเป็น ๓ อยา่ งคอื ๒๗
๔.๔.๑ อธศิ ีลสิกขา
๑) อธิศีลสิกขา หมายถึงสิกขาคือศีลอันย่ิงเป็นข้อที่จะต้องศึกษา ข้อปฏิบัติเพ่ือการ
ฝึกอบรมพัฒนาศีลอย่างสูง ศีล หมายถึง ความประพฤติดีทางกายและวาจารักษากายวาจาให้
เรียบร้อย ข้อ ปฏิบัติสาหรับควบคุมกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดี การรักษาปกติตามระเบียบวินัย
ปกติมารยาทท่ี ปราศจากโทษ ข้อปฏิบัติในการฝึกหัดกายวาจาให้ดีย่ิงข้ึน ความสุจริตทางกายวาจา
และอาชพี สว่ น อธศิ ีลสิกขา เปน็ การศึกษาในอธศิ ลี ข้อปฏบิ ัติสาหรับฝึกอบรมพัฒนาศีลอย่างสูงท่ีจะให้
ต้ังอยู่ในวินัย รู้จักใช้อินทรีย์และมีพฤติกรรมทางกายวาจาดีงามในการสัมพันธ์ที่จะอยู่ร่วมสังคมกับ
ผู้อื่นและอยใู่ นส่งิ แวดล้อมด้วยดีให้เป็นประโยชน์เกื้อกูไม่เบียดเบียนไม่ทาลายและให้เป็นพ้ืนฐานแห่ง
การฝึกอบรมพัฒนาจติ ใจในอธิจิตตสกิ ขา๒๘
๑ ระดับของศลี
๑. ศีล ๕ เป็นศีลสาหรับชาวบ้านผู้อยู่ครองเรือนทั่วๆ ไป ท่ีเรียกว่าคฤหัสถ์ศีล ๕ นี้
บางทเี รียกวา่ นจิ ศีลคอื ศลี ที่รักษาไวเ้ ป็นประจา
๒. ศีล๘ เป็นศีลสาหรับคฤหัสถ์หรือฆราวาสผู้ตั้งใจปฏิบัติให้สูงข้ึนจากศีล ๕ โดย
ปกตจิ ะถือปฏิบัติกนั เปน็ คร้ังคราวในวนั ขึ้นแรม ๘ ํคา่ และขึ้นแรม ๑๔-๑๕ ค่าเดือนละ ๔ คร้ังผู้ปฏิบัติ
จะพานกั อย่ทู ่วี ดั หรือที่บา้ นก็ได้เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ “ศลี อุโบสถ”
๓. ศีล ๑๐ เป็นศลี สาหรับสามเณรและสามเณรีคือผู้บวชท่ีอายุไม่ถึง ๒๐ ปีหรืออายุ
ถงึ แลว้ แต่ยงั มิไดข้ อบวชเป็นพระภิกษุณี)
๔. ศีล๒๒๗ เป็นศีลสาหรับพระภิกษุถือเป็นข้อปฏิบัติที่ละเอียดลงไปอันที่จริงแล้ว
ศีล๒๒๗ นกี้ ็คอื ศีล ๕ ศลี ๘ และ ศีล ๑๐ นี้เองเพียงแต่เป็นข้อปฏิบัติท่ีแยกย่อยละเอียดลงไปอีกผู้ถือ
ปฏิบัติต้องสารวมระวังมิให้เกิดการละเมิดหากเกิดการละเมิดเรียกว่าต้องอาบัติคือต้องโทษซ่ึงถือเป็น
โทษทางใจผลู้ ะเมิดย่อมรูเ้ องเห็นเองและอาบัตนิ นั้ ไดทรงบัญญัติไว้เป็นกลุ่มๆ ตามความหนกั เบา
๕. ศีล ๓๑๑ เป็นศีลสาหรับภิกษณุ ีแมป้ ัจจบุ ันภิกษุณีจะไมไ่ ดม้ แี ลว้ กต็ ามแต่บัญญัติท่ี
เปน็ สกิ ขาบทก็ยงั คงมีอยู่แตอ่ ยา่ งไรก็ตามแม้จะมศี ลี หรือสิกขาบทท่ีวางกาหนดไว้สาหรับภิกษุณีแต่เมื่อ
ไมภ่ กิ ษณุ ีกย็ อ่ มถอื วา่ หมดสน้ิ ไปโดยปริยาย
๔.๔.๒ ความหมาย อธจิ ติ สกิ ขา
อธิจิตหรืออธิจิตต์จิตอันยิ่งเรื่องของการเจริญสมาธิอย่างสูงหมายถึงฌาน สมาบัติที่เป็น
บาทแห่งวิปัสสนา หรือแม้สมาธิที่เจริญด้วยความรู้เข้าใจโดยมุ่งให้เป็นปัจจัยแห่งการ ก้าวไปในมรรค
ส่วนคาว่าอธิจิตตสิกขานั้นพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺดต) ให้ความหมายว่า เป็นเรื่องอธิจิตต์อัน
๘๕
จะต้องศึกษา การศึกษาในอธิจิตต์ข้อปฏิบัติสาหรับฝึกอบรมพัฒนาจิตใจอย่างสูง เพื่อให้เกิดสมาธิ
ความเข้มแข็งม่ันคงพร้อมทั้งคุณธรรมและคุณสมบัติที่เกื้อกูลท้ังหลาย เช่นสติขันติ เมตตา กรุณา สด
ช่นื เบกิ บาน เปน็ สขุ ผ่องใส อันจะทาใหจ้ ติ ใจมีสภาพท่ีเหมาะแก่การใช้งาน เฉพาะ อย่างย่ิงให้เป็นฐาน
แหง่ การเจรญิ ปญั ญา๖๒
อธิจิตตสิกขา ในพุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ป
ยุตฺโต)ใหว้ ่าคอื การฝกึ ปรอื ในด้านคณุ ภาพ และสมรรถภาพของจติ ไดแ้ ก่รว่ มเอาองค์ มรรค ข้อสัมมาวา
ยามมะ สัมมาสติและสัมมาสมาธิเข้ามา ว่าโดยสาระก็คือการฝึกให้มีจิตใจเข้มแข็ง มั่งคงแน่วแน่
ควบคมุ ตนไดด้ มี ีสมาธมิ ีกาลังใจสูงให้เปน็ จิตทีส่ งบ ผ่องใส เป็นสุขบริสุทธิ์ปราศจาก สิ่งรบกวนหรือทา
ให้เศร้าหมอง อยู่ในสภาพเหมาะแก่การใช้งานมากท่ีสุดโดยเฉพาะการใช้ปัญญาลึกซ้ึงและตรงตาม
ความเปน็ จรงิ ๖๓
อธจิ ิตตสกิ ขาข้างตน้ หมายถึงสมาธโิ ดยเฉพาะสมาธินี้ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)๖๔
ได้ให้ความหมายว่าความตั้งม่ันของจิตหรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อส่ิงท่ีกาหนด ซ่ึง หมายถึงจิตท่ีเป็น
เอกัคคตาจิตโดยจติ มีอารมณเ์ ป็นหน่งึ ไมฟ่ ูุงซาน หรือส่ายไป ท่านได้นาเอาเน้ือหา ในคัมภีร์วิสุทธมรรค
บาลวี ่าสมาธคิ อื ภาวะมีอารมณ์หน่ึงเดียวของกุศลจิตกล่าวคือการดารงจิตและ เจตสิกไว้ในอารมณ์หนึ่ง
เดียว อย่างเรียบสม่าเสมอ และด้วยดี๖๕ ส่วนใน พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับ ประมวลศัพท์ ท่านให้
ความหมายว่าความมีใจต้ังม่ัน,ความตั้งมันแห่งจิต, การทาให้จิตสงบแน่วแน่ ไม่ฟูุงซาน, ภาวะที่จิตต้ัง
เรยี บแนว่ อยใู่ นอารมณ์คอื สิ่งอนั หน่งึ อันเดยี ว นอกจากนท้ี า่ นใหค้ วามหมาย
๔.๔.๓ อธิปัญญาสิกขา
อธิปัญญาสิกขา คือปัญญาอนั ย่งิ เป็นข้อท่ีจะต้องศึกษา ฝึกอบรม พัฒนา ปัญญาอย่างสูง
(ความรู้เข้าใจหลักเหตุผลถูกต้องอย่างสามัญอันเป็นกัมมัสสกตาญาณคือความรู้จักว่า ทุกคนเป็น
เจ้าของแหง่ กรรมของตนเป็นปญั ญาวปิ สั สนาปัญญาที่กาหนดรู้ความจรงิ แห่งไตรลกั ษณ์
พระอุปติสสเถระในคัมภีร์วิตติมรรค ได้ให้จากัดความว่าปัญญาสิกขาหมายถึงโลกิย
ปัญญาส่วนอธิปัญญาสิกขาหมายถึงญาณหยั่งรู้อริยสัจ ๔ โพธิปักขิยธรรมญาณและมรรคญาณ
นอกจากนี้พระอุปตสิ สะเถระได้ให้ความหมายปัญญาไว้อีกว่าหมายถึงความรอบรู้ญาณ การวิจัยธรรม
การจาแนกการกาหนดหมายการวิจัยที่เป็นการศึกษาอันชานาญและชาญฉลาดในการพิจารณาก็เป็น
การเห็นชัดเจนและได้ความรู้ปัญญาคือความฉลาด ปัญญินทรีย์ปัญญา พละ ปัญญาเหมือนศาสตรา
ปัญญาเหมือนปราสาท ปัญญาคือประทีปปัญญาคือรัตนะ ความไม่หลง ธรรมวิจัยสัมมาทิฎฐิส่วน
ปญั ญาในความหมายญาณนั้นคอื หมายถงึ การสลัดตนออกจากวัฎฎะ๑๘
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต)ให้ความหมายอธิจิตตสกิ ขาวา่ เปน็ การศึกษาอธิปัญญา
ขอ้ ปฏิบัตสิ าหรับฝึกอบรมพฒั นาปัญญาอย่างสเู พอ่ื ให้เกิดความรู้แจ้งมองเห็นสิ่งท้ังหลายตาม เป็นจริง
๑๘ พระอปุ ตสิ สเถระ, วมิ ตุ ตมิ รรค, หน้า ๕,๒๗๔,๒๗๕.
๘๖
อนั จะทาให้จติ ใจหลุดพน้ เปน็ อสิ ระ ปราศจากกิเลศและความทุกข์นอกจากนี้ท่านได้ให้ ความหมายใน
พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม ว่าเปน็ ข้อปฏิบัติสาหรับอบรมปญั ญา เพ่ือให้เกิดความรู้แจ้
อยา่ งสูง ในคัมภรี ์ปกรณ์วิเสสชือ่ วสิ ทุ ธมิ รรค๑๙ ไดอ้ ธบิ ายความหมายของปญั ญาไว้ว่าปัญญา คือ ความ
รอบรู้ท่ีเกิดจากการเจริญวิปัสสนาภาวนา เรียกว่าปัญญา ความรอบรู้ที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา
ภาวนาหรือวิปัสสนาญาณท่ีสัมปยุต (ประกอบ) ด้วยกุศลจิตพิจารณาไตรลักษณ์คืออนิจจังทุกขัง
อนัตตาอย่างแจ่มแจ้งช่ือว่าปัญญา ความรู้ท่ัวคือเข้าใจดีโดยประการต่างๆ ย่ิงกว่าการรู้ด้วยสัญญา
และวญิ ญาณ ความรู้นพี้ ึงทราบว่า เปน็ ความรทู้ วั่ คาที่วา่ “ได้ช่ือวาปัญญาเพราะอรรถว่ารู้ทั่ว”๒๐ กิริยา
ทีร่ ู้ชอบ รู้ดีร้พู เิ ศษ เรยี กว่า ปัญญา มีการรอู้ าการต่างๆ ถ้าจะกล่าวถึงธรรมชาติท่ีจะทาให้กิริยาอาการ
ตา่ งๆ นน้ั มี ๓ ประการ คอื
(๑) สัญญา คือ การรู้จักอารมณ์สีเขียวสีเหลืองเป็นต้น (๒) วิญญาณ คือ รู้อารมณ์
เขียวเหลอื งเปน็ ตน้ ทาใหเ้ ขา้ ใจถึงไตรลกั ษณ์ (๓) ปญั ญา คือ ความรูท้ ั่วร้โู ดยประการตา่ งๆ
ทัง้ ๓ ประการนี้มีกริ ยิ าใหร้ ูอ้ ารมณเ์ หมอื นกันแตส่ ญั ญากับวิญญาณ ๒ ประการ เบื้องต้น
นั้นไม่รู้พิเศษเหมือนปัญญา ๔ สรุปแล้วปัญญาท่ีพระพุทธโฆษาจารย์ได้อธิบายไว้น้ันจึง หมายถึง
ความร้ทู ่วั
ในหนังสือพจนานุกรมธรรมของพุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมายของคาว่าปัญญาไว้ ว่า
ปัญญา หมายถงึ ความรู้ครบถ้วนในสิง่ ที่ควรรู้, ญา แปลว่า รู้,แปลว่าทั่วถึงหรือครบถ้วน, คาว่า ปัญญา
นี้ต้องนิยามความหมายว่าเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างถูกต้อง ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในหน้าที่การ งาน
เพราะถ้าไม่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้อง ใช้ปัญญา ปัญญาเป็นเรื่องของความรู้ต้องมี ความรู้
คือมีความรู้จักมคี วามเข้าใจ มีความเหน็ แจง้ อย่างถูกตอ้ ง ในสิ่งน้นั ๆ ทางจติ ใจตลอดถึงทั้ง ฝุายถูกฝุาย
ดีท้ังฝุายบาปฝุายผิดท้ังฝุายสุขฝุายทุกข์ท้ังฝุายอิสระหลุดพ้นอันเป็นไปเพื่อพระนิพพาน จึงเรียกว่า
ปัญญา๒๑ ท่านยังให้ความหมายในหนังสือค่มู นษุ ย์๒๒ว่าปญั ญา หมายถึง การฝึกฝนอบรม
เพื่อทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องสมบูรณ์ถึงท่ีสุดในสิ่งท้ังปวงตามความเป็น
จริง คนเรา โดยปกติไม่สามารถรู้สิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้คือมักรู้ตามความเข้าใจของ
ตนเอง หรอื ตามท่ีสมมติกันจึงไม่ใช่ความรู้ตามความเป็นจริง ด้วยเหตุน้ีพระพุทธศาสนาจึงมีระเบียบ
ปฏิบัติที่ เรียกว่า ปัญญา อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนสุดท้าย สาหรับฝึกฝนอบรมจิตใจให้เกิดความรู้แจ้ง ใน
๑๙ วสิ ทุ ธฺ ิ ๓/๔.
๒๐ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสนฉ์ บบั ประมวลศพั ท์, หนา้ ๔๗๘. พระพรหม
คณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, หนา้ ๑๐๗.
๒๑ พุทธทาสภิกขุ, พจนานุกรมธรรมของพทุ ธทาส, (กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพธ์ รรมสภา ,๒๕๔๕), หน้า
๒๑๓ - ๒๑๔.
๒๒ พุทธทาสภิกขุ, คมู่ อื มนษุ ํย:์ ฉบบั สมบรู ณ,์ (กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พธ์ รรมสภา, ๒๕๓๔.), หนา้ ๒๘.
๘๗
ส่ิง ทั้งหลายตามความเป็นจริงได้จิตท่ีรู้แจ้งเห็นส่ิงทั้งหลายทั้งปวงตามความเป็นจริงไม่มีอะไรชัดแจ้ง
ไป ยิ่งกว่า ความรู้แจ้งท่ีเกิดมาจากปัญญา จิตที่เข้าถึงความว่างปราศจากกิเลสตัณหา เป็นจิตท่ี
ประกอบด้วยปัญญาอย่างย่ิงจิตท่ีเข้าถึงความว่างจากกิเลสอย่างย่ิงคือจิตท่ีเข้าถึงพระนิพพานดังนั้น
ปญั ญาท่สี ูงสุดในทางพระพทุ ธศาสนาคอื ปัญญารู้แจงพระนิพพาน (โลกตุ ตรปญั ญา)
สรุปได้ว่าปัญญา หมายถึงความรอบรู้ความรู้ชัดความรู้แจ้งคือรู้เหตุรู้ผล รู้ในส่ิงที่เป็น
ประโยชน์และส่ิงทมี่ ิใช้ประโยชน์รู้ในส่ิงท่คี วรและส่งิ ท่ไี มค่ วร ในพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ ปญั ญาเป็นสิ่งท่ี
สาคัญทส่ี ดุ ประการหนึง่ เพราะการกระทาทกุ อย่างลว้ นต้องอาศยั ปัญญาทง้ั ท่ีเป็น โลกิยะและปัญญาท่ี
เป็นโลกุตระทั้งน้ันเมื่อมนุษย์มีปัญญาทาให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขผลของ การพัฒนาปัญญา
(วิปัสสนาปัญญา) ทาให้ได้บรรลุปัญญาข้ันสูงท่ีเรียกว่า ญาณ ทั้งปัญญาเป็น กระบวนการพัฒนาสู่
จุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาไตรสิกขาถือว่าเป็นระบบการปฏิบัติธรรมท่ีครบถ้วนสมบูรณ์มี
ขอบเขตครอบคลุมมรรค ทั้งหมด และเป็นการนาเอาเน้ือหาของมรรคไปใช้อย่างหมดสิ้นบริบูรณ์จึง
เป็นหมวดธรรมมาตรฐาน สาหรบั แสดงหลกั การปฏบิ ตั ิธรรม
๑. อธิศีลสิกขา การฝึกอบรมในด้านความประพฤติระเบียบวินัยให้มีสุจริตทางกาย วิจา
และอาชวี ะ (Training in higher morality)
๒. อธจิ ติ ตสกิ ขาการอบรมทางจติ ใจการปลูกฝังคุณธรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตและ รู้จาก
ใช้ความสามารถในกระบวนสมาธิ (Training in higher mentality)
๓. อธปิ ญั ญาสิการฝึกอบรมทางปัญญาอย่างสูงขาทาให้เกิดปัญญารู้แจงท่ีสามารถ ชาระ
จิตใหบ้ ริสทุ ธ์หิ ลุดพน้ เป็นอสิ ระโดยสมบูรณ์ (Training in higher wisdom)
พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความได้ให้ความสาคัญระหว่างไตรสิกขากับมรรค ว่า
ไตรสิกขาเกี่ยวข้อกับบุคคลในฐานะเวทีสัมพันธ์ขององค์ธรรมต่างๆ ตามแบบของมรรคออกมาสู การ
เกี่ยวข้องกับบุคคลในฐานะมนุษย์ท่ีอยู่กลางสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคม หรือก้าวจากจุดเน้นท่ี
ภายในจิตของบุคคลออกมาสู่จุดเน้นด้านภายนอก เพราะเหตุน้ันจึงจัดเรียนมรรคทั้ง ๘ ข้างต้นเข้าใน
ไตรสิกขาดังท่ีกล่าวมา เป็นการจัดเรียงจากง่ายไปสู่ส่ิงทีประณีตลึกซึ้งคือเริ่มด้วยจากการฝึกกายเข้า
ไปหาจิตใจและปัญญา๒๓
ในคัมภีร์วิมุตติมรรคได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไตรสิกขาว่า“ผู้ที่บาเพ็ญไตรสิกขา
สมบูรณแ์ ลว้ จะได้บรรลุความหลุดพ้นสูงสุดของพระอรหันต์” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ ไตรสิกขาว่าศีล
เปน็ ความงามเบ้อื งต้นผู้มศี ลี ย่อมไม่เดอื ดร้อน เข้าถึงปราโมทย์ปีติเกิดกายปัสสัทธิ และเข้าถึงความสุข
สมาธเิ ป็นความงามในทา่ มกลาง ส่วนปัญญาเป็นความงามในท่ีสุดคือรู้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง
พรอ้ มทงั้ ลดความกาหนดั ทั้งปวงซง่ึ เป็นส่วนเหตุนาไปสกู่ ารหลนุ พ้น๒๔
๒๓ พระธรรมปฎิ ก(ป.อ.ปยตุ โฺ ตพทุ ธธรรม),ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยายความ,หนา้ ๖๐๓ - ๖๐๘.
๒๔ พระอุปติสสเถร, วมิ ตุ ตมิ รรค,หน้า ๗ - ๘.
๘๘
จากการกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่าตัวองค์มรรคมีความสัมพันธ์กับไตรสิกขาอย่างลึกซึ้ง โดย
ร่วมบริบทภายนอกอย่างกวา้ งขว้าง หรือสังคมภายนอกสัมพันธ์กับบรบิ ทภายใน โดยเริ่มจากศีล ซึ่งมุ่ง
ฝึกอบรมการแสดงออกทางกายวาจาที่เป็นช้ันภายนอกเก่ียวกับสังคม เป็นชั้นหยาบแล้วก้าว ต่อไปสู่
สมาธิฝึกอบรมจิตทอ่ี ย่ภู ายในและละเอียดกวา่ เพื่อสนับสนุนการปรือปัญญาให้ใชง้ านไดผ้ ลมากที่สดุ
สรุปไตรสิกขาสาม คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา และปัญญาสิกขา ซึ่งไตรสิกขาท้ังสามนี้เป็น
หลัก สาคัญในทางพระพุทธศาสนาซ่ึงมีความสัมพันธ์ท้ังสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอก โดยจุดเด่น
ของ ไตรสิกขาคือควบคุมพฤติกรรม และการทาให้เจริญงอกงาม โดยอยู่ภายใต้กฎแห่งสัจธรรม
เปูาหมาย หลักของไตรสิกขาคือประโยชน์ซ่ึงประโยชน์ในที่น้ีหมายถึงประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์
ส่วนร่วม ประโยชน์ท่ียิ่งกวานี้คือประโยชน์เพื่อหลีกพ้นจากบาปธรรมหรือทาให้เห็นแจ้งซึ่งสัจธรรม
เรยี ก ประโยชน์นี้ว่าปรมัตถะประโยชน์
๔.๕ ไตรลกั ษณ์
๔.๕.๑ ความหมายสามญั ญลกั ษณะ
สามัญญลักษณะ หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการแห่งสังขารธรรมท้ังหลาย คือ ความไม่
เที่ยง ๑(อนิจจตา) ความเป็นทุกข์ ๑ (ทุกขตา) ความเป็นอนัตตา ๑ (อนัตตตา) ของสังขารท่ัวๆ ไป
สามัญญลักษณะ ยงั เรยี กว่า ไตรลักษณ์ หรือ ธรรมนิยาม หรอื ธรรมฐีติ
ไตรลักษณ์ มาจากคา ๒ คือ คาว่า ไตร + ลักษณะ ภาษาบาลีว่าติ + ลกฺขณานิ คาว่า
ไตร หรือ ติ แปลว่า ๓ คาว่า ลักษณะ หรือ ลกฺขณานิ แปลว่า อาการ หรือ ลักษณะ ดังนั้น เม่ือนา
คาทั้งสองมารวมเข้าด้วยกันแล้วก็จะได้ คาว่า ไตรลักษณ์ หรือ ติลกฺขณานิ ซ่ึงแปลว่า ลักษณะ ๓
อย่าง คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ตรงกับ
ภาษาอังกฤษว่า (Three Characterist ics of Exi stence) แปลว่า ลักษณะ ๓ อย่าง ซึ่ง
หมายถึงลักษณะของส่ิงทงั้ หลาย ท้ังที่เปน็ สังขตธรรมและอสังขตธรรม
ไตรลักษณ์๒๕ คือ ลักษณะสามัญทั่วๆ ไป ๓ ประการ คือ ความไม่เท่ียง ความเป็นทุกข์
ความ มิใช่ตวั ตน สังขารทั้งปวงไม่เท่ียง เรียกตามคาบาลีว่าเปน็ อนจิ จะ แตใ่ นภาษาไทยนิยมใช้คาว่า
อนิจจัง หมายถึง สิ่งท่ีไม่เที่ยง ภาวะท่ีเป็นอนิจจังน้ัน เรียกเป็นคาศัพท์ตามบาลีว่า อนิ จจตา
หมายถึง ลักษณะที่ แสดงถึงความไม่เท่ียง เรียกเป็นศัพท์ว่า อนิจจลักษณะ สังขารท้ังหลายเป็นทุกข์
ในภาษาไทย บางท่ใี ชอ้ ย่างภาษาพูดว่าทกุ ขัง เป็นทุกข์ เป็นของคงทนอยู่มิได้ มีสภาวะแห่งความบีบ
คัน้ ขัดแย่ง หรือภาวะทเ่ี ป็นทุกข์นนั้ เรียกเปน็ คาศัพท์ตามบาลีว่า ทุกขตา หมายถึง ลักษณะที่แสดงถึง
๒๕ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิ ตยสถาน ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คสพ์ ับลเิ คชั่นส์ , ๒๕๔๖),
หนา้ ๔๘๔.
๘๙
ความเปน็ ทกุ ข์ เรียกเป็น ศัพท์ว่า ทุกขลักษณะ ธรรมท้ังปวงเป็นอนัตตา๒๖ ความเป็นของมิ ใช่ตัวตน
ภาวะที่เป็นอนัตตาน้ันเรียกเป็นคาศัพท์ตามบาลีว่า อนัตตตา หมายถึง ลักษณะที่แสดงถึงความเป็น
อนัตตา มใิ ช่ตัวมใิ ช่ตน เรยี กเปน็ คาศพั ท์วา่ อนัตตลักษณะ
สรุปสามัญญลักษณะ หมายถึง ลักษณะท่ีเสมอกันของสิ่งท้ังหลาย ๓ ประการคือ อนิจฺจ
ตา ความไม่เทย่ี ง ทกุ ขฺ ตา ความเปน็ ทุกข์ อนัตตตา ความมิใช่ตวั ตนลักษณะท้ังสามอย่างน้ีก็คงมีอยู่
เป็นธรรมดาพระพทุ ธเจา้ เปน็ แตท่ รงค้นพบและนามาเปิดเผยนามาแสดงแก่เวไนยสัตว์ให้รบั รู้เท่านัน้
๔.๕.๒ ลกั ษณะของไตรลักษณ์
๑. อนิจจลกั ษณะ (อนิจจตา) จากการศึกษาค้นคว้าในพระไตรปฎิ กจะเห็นไดว้ า่ ตา
หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ กลา่ ว คือสงั ขารทงั้ ปวงที่ปจั จัยปรุงแต่งเป็นของไม่เที่ยง๒๗ คืออยู่นอกเหนือการ
บงั คับบญั ชาของเราขนั ธห์ า้ ที่ เรียกว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยงแท้๒๘ อันประกอบข้ึนจากมหาภูตรูป๒๙๔
เกิดจากบิดามารดา๓๐ เจริญวัยเพราะข้าวสุกและขนมสดไม่เท่ียงแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟูน มีอันแตก
กระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา๓๑ ก็ด้วยมูลเหตุแห่งปัจจัยทั้งหลายที่เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท
จงึ ได้บญั ญัติ อัตตาในสง่ิ ท่ตี นเหน็ วา่ เป็นสภาพที่เที่ยงแต่เมื่อเห็นปัญญาดีแล้วสังขารท้ังหลายท้ังที่เป็น
สงั ขตธรรมหรอื อสังขตธรรมก็ตามย่อมเป็นส่ิงที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน๓๒ดังท่ีปรากฏในอัชฌัตตานิจจสูตร
กลา่ วไว้ว่า ข้าพเจ้าไดส้ ดบั มาแล้วอย่างน้ี สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของทา่ นอนาถบิณฑกิ เศรษฐี ใกล้ พระนครสาวัตถี ณ ท่ีนน้ั แล พระผมู้ ี พระภาคตรัส เรียกภิกษุ
ทง้ั หลายวา่ ดูกรภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษุเหล่าน้ันทูลรับสนองพระผู้มีพระภาค แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัส
วา่ “ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย อายตนะทัง้ หลาย เป็นของไมเ่ ท่ียง ส่ิงใดไม่เที่ยงส่ิงน้ันเป็นทุกข์ ส่ิงใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา๓๓ ส่ิงน้ันเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า น่ัน
ไมใ่ ช่ของเรา เราไม่เปน็ น่นั น่นั ไม่ใชอ่ ตั ตาของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในอายตนะท้ังหลาย เม่ือเบ่ือหน่าย ย่อมคลาย กาหนัด เพราะคลายกาหนัด
ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่
จบแล้ว กจิ ทค่ี วรทา ทาเสร็จแล้ว กิจอ่นื เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
๒๖ อง.ฺ ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕.
๒๗ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๕๗/๓๔๒, อง.ฺ ติ ก. (ไทย) ๒๐/๔๗/๒๐๘.
๒๘ ที.สี . (ไทย) ๙/๔๙/๒๐.
๒๙ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๐๑-๓๐๖/๓๓๐-๓๓๙.
๓๐ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๘-๔๐๙/๔๔๓-๔๔๕, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๑๑/๕๑๔.
๓๑ ที.สี . (ไทย) ๙/๔๗๒/๒๐๕.
๓๒ ที .ม. (ไทย) ๑๐/๙๕-๑๓๐/๕๗-๗๖.
๓๓ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๒๐-๒๓/๒๗-๓๐,.
๙๐
๒. ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา) จะเห็นได้ว่าทุกส่ิงอย่างที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้มีความ
เกี่ยวเน่ืองกัน เมื่อมีการกระทบสัมผัสก็ย่อมเสวยอารมณ์ท้ังท่ีเป็นสุขเป็นทุกข์๓๔ คือมีความเกิดข้ึนใน
เบ้ืองต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุดซ่ึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีสภาวะหน่ึงเกิดข้ึน
เรียกว่า ทุกขลักษณะ “สัตว์ โลกน้ี ถึงความ คับแค้น จึงเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ จึงไม่พ้นจาก
ทกุ ข”์ ๓๕ ความพลดั พราก ทอดทิง้ เปลยี่ นแปลงจากของรักของชอบใจทุกอย่างเป็นทุกข์ ควรพิจารณา
ในธรรมทั้งหลาย คืออริยสัจอย่างน้ี๓๖แม้ อุปธิทั้งหลาย หมายเอาขันธ์ กิเลสอภิสังขาร และกามคุณ
เปน็ เหตแุ ห่งทกุ ข๓์ ๗ ตลอดถงึ อายตนะท้ังหลายกเ็ ป็นเหตุแหง่ ทกุ ข์ ดังที่ปรากฏในอัชฌตั ตทกุ ขสูตรวา่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะทั้งหลายเป็นทุกข์๓๘ ส่ิงใดเป็นทุกข์ส่ิงนั้นเป็นอนัตตา ส่ิงใด
เป็น อนัตตา สิ่งน้ันท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม เป็นจริงอย่างนี้ว่า น่ันไม่ใช่ของเรา
นน่ั ไมเ่ ป็น เรา นัน่ ไมใ่ ช่ตัวตนของเรา
ดูกรภิกษุท้ังหลายอายตนะท้ังหลายเป็นทุกข์ แม้เหตุ และปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง
อายตนะทั้งหลายน้ันก็เป็นทุกข์ อายตนะท้ังหลายอันเกิดแต่เหตุท่ีเป็นทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า ดูกร
ภกิ ษุทง้ั หลาย อริยสาวกผู้ ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างน้ี ย่อมเบื่อหน่ายแม้ ในอายตนะท้ังหลาย เม่ือเบ่ือ
หน่ายย่อมคลายกาหนัด เพราะคลายกาหนัดจึงหลุดพ้น เม่ือหลุดพ้นแล้วย่อมมี ญาณหย่ังรู้ว่า หลุด
พน้ แลว้ รู้ชดั วา่ ชาตสิ ้ินแลว้ พรหมจรรย์อย่จู บแลว้ กิจท่คี วรทาทาเสรจ็ แล้วกิจอ่นื เพ่ือความเป็นอย่างนี้
มิได้มีพระผู้มีพระภาคตรัสตาหนิพระอริฏฐะท่ีมีทิฏฐิบาปว่า ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมเหล่าน้ันอาจทา
อันตรายแก่ผู้เสพไดจ้ รงิ กามทั้งหลายเรากล่าวว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
โทษในกามท้ังหลายน้ีมากยิ่งนัก กามท้ังหลายเรากล่าวว่า เปรียบเหมือนร่างกระดูก...เปรียบเหมือน
ชิ้นเน้ือ...เปรียบเหมือนคบหญ้า... เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง...เปรียบเหมือนความฝัน ...เปรียบ
เหมือนของยืม ...เปรียบเหมือนผลไม่ ... เปรียบเหมือนเขียงสาหรับสับเน้ือ ... เปรียบเหมือนแหลน
หลาว ... เปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมากโทษในกามท้ังหลายน้ีมากยิ่งนัก๓๙
เม่ือเป็นเช่นน้ัน เธอชื่อว่า กล่าวตู่เรา ด้วยทิฏฐิ คือกิเลสเครื่องผูกสัตว์ย่อมไม่พ้นจากทุกข์๔๐ ที่ตน
ยึดถือไว้ผิด ชื่อว่าทาลายตนเองและชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็นอย่างมาก เพราะข้อนั้นแหละจัก
เป็นไปเพื่อผลไมเ่ ป็นประโยชนเ์ กือ้ กูลเพ่อื ผล เป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน การกระทาของเธอนั่น ไม่
๓๔ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๔/๖๓-๖๕.
๓๕ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๕๗/๓๑.
๓๖ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๖๗-๒๖๘/๑๙๙-๒๐๐.
๓๗ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๔ -๑๕๕/๑๗๑-๑๗๔.
๓๘วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๑-๒๔/๒๘-๓๑.
๓๙ส.น.ิ (ไทย) ๑๓/๔๒ -๔๘/๔๓-๔๖.
๔๐ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๔-๒๓๘/๒๔๕-๒๕๓.
๙๑
เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนท่ียังไม่เลื่อมใสหรือเพ่ือความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว๔๑
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นไปเพ่ือเบียนตนเองและผู้อื่นกรรมเหล่าน้ี เป็นอกุศลมีทุกข์เป็น
กาไร มที กุ ข์เปน็ วบิ าก พงึ พจิ ารณาพึงสาเหนียกอย่าทาเดด็ ขาด๔๒
ดกู รภกิ ษทุ ัง้ หลายข้อน้ีเป็นทุกขอริยสัจ๔๓ คือแม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจบ็ ไข้กเ็ ป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัด
พรากจากส่ิงเป็นท่ีรักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาส่ิงใดไม่ได้สิ่งน้ันก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็น
ทุกข์ที่ควรกาหนดรู้ดว้ ยปัญญาอันยิ่ง๔๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อน้ีเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหาอัน
ทาให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและกาหนัด มีปกติ เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ
กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตัณหา๔๕ธรรม ๓ ประการนแ้ี ลท่เี ธอทั้งหลายควรละ๔๖
๓. อนัตตลักษณะ(อนตฺตตา) อนตฺตตา คือ สภาวะของความไม่ใช่ตัวตนน้ันเองพึง
เจริญอนัตตสญั ญา กาหนดหมายความ เป็นอนตั ตา แห่งธรรมทงั้ ปวง๔๗ขน้ึ ช่อื วา่ ขนั ธห์ ้า แล้วทั้งท่ีเป็น
อดีต อนาคตและปัจจุบัน ภายในภายนอก หยาบละเอียด เลวหรือประณีตใกล้ไกลก็ตาม ควร
พจิ ารณาตามความเปน็ จริงด้วยปัญญาอัน ชอบอย่างน้ีว่านั่นไม่ใช่ของเราเราไม่เป็นน่ัน น่ันไม่ใช่อัตตา
ของเรา๔๘แมธ้ รรมท้งั ปวงไม่ควรยึดมั่นว่า๔๙
ดูกรภิกษุท้ังหลาย อายตนะทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา ส่ิงน้ันท่านท้ังหลาย
พงึ เห็น ด้วยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจริงอย่างน้วี า่ นัน่ ไม่ใช่ของเรา น่ันไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะท้ังหลายท่ีเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นอนัตตา จะ
กล่าวไปใยถึงอายตนะทั้งหลายที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างน้ีย่อม ไม่มีเย่ือใยในอายตนะทั้งหลาย ท่ีเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไม่เพลิดเพลินอายตนะ
ทงั้ หลาย ที่เปน็ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ย่อมปฏิบัติ เพ่อื ความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกาหนัด เพ่ือดับ
ซึ่งอายตนะ ท้ังหลายท่ีเปน็ อดีต ปจั จุบนั และอนาคต ทเี่ ป็นอนัตตา
๔๑วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๑๗/๕๒๕-๕๒๘, ๔๒๘/๕๓๖-๕๓๘.
๔๒ส.น.ิ (ไทย) ๑๓/๑๐๙-๑๑๒/๑๑๙-๑๒๔.
๔๓ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๘.
๔๔ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๐๑/๓๒๙.
๔๕ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๑.
๔๖ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๓/๓๗๓.
๔๗ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๔๐/๘๖.
๔๘ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๔๔/๒๖๑.
๔๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๓๙๕/๔๒๖.
๙๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะท้ังหลายที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นอนัตตาแม้เหตุ
และปัจจั ยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งอายตนะทั้งหลายที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็เป็นอนัตตา
อายตนะทั้งหลายท่ีเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันเกิดแต่เหตุที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า
ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย อริยสาวกผู้ ไ ด้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างน้ี ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ ในอายตนะท้ังหลายท่ี
เป็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตเม่ือเบื่อหน่าย ย่อมคลายกาหนัด เพราะคลายกาหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อ
หลดุ พ้นแลว้ ยอ่ มมีญาณหยง่ั รู้วา่ หลุดพ้นแล้ว รู้ชดั ว่าชาติส้ินแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจท่ีควรทา
ทาเสร็จแล้ว กิจอื่นเพอ่ื ความเปน็ อย่างน้มี ไิ ด้มี
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร๕๐คร้ังน้ันพระผู้มีพระภาครับส่ังกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกร
ภิกษุท้ังหลาย ขันธ์ห้าเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุท้ังหลาย ถ้าขันธ์ห้าน้ีจักได้เป็นอัตตาแล้ว ขันธ์ห้าน้ีไม่
พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในขันธ์ห้าว่า ขันธ์ห้าของเราจงเป็นอย่างน้ีเถิด ขันธ์ห้าของเรา
อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะขันธ์ห้าเป็นอนัตตา ฉะนั้นขันธ์ห้าจึงเป็นไปเพื่อ
อาพาธและบุคคลย่อมไม่ได้ในขันธ์ห้าว่า ขันธ์ห้าของเราจงเป็นอย่างน้ีเถิด ขันธ์ห้าของเราอย่าได้เป็น
อย่างนนั้ เลย
“สงั ขารท้งั ปวงท่ปี จั จยั ปรุงแต่งไมเ่ ที่ยงเปน็ ทกุ ข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่าน วินิจฉัยว่า
เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดข้ึน เมื่อดวงอาทิตย์ คือพระพุทธเจ้ายังไม่อุทัย
ข้ึนมา เพียงแต่ช่ือของสภาคธรรมเหล่าน้ันก็ยังไม่ มีใครรู้จัก”๕๑ หลักคาสอนเร่ืองไตรลักษณ์นี้
พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ (สมุทยวาร) และความดับแห่งกองทุกข์ (นิโรธ
วาร)๕๒อยู่เป็นประจาซึ่งเรียกได้ว่า พหุลานุสาสนี คือเป็นธรรมท่ีทรงตรัสอยู่เป็นนิจ เนื่องจากว่าหลัก
คาสอนเรื่องไตรลักษณ์นี้เป็นหนทางท่ีจะนาบุคคลธรรมดา ไปสู่ความเป็นพระอริยะหรือพระอรหันต์
เพราะว่า เม่ือพระองค์ ทรงอาศัยความกรุณาท่ีจะโปรดผู้ใด และจะได้ผลด้วยธรรมะข้อไหน ก็ทรง
ทราบวาระจิตของผู้น้ันว่าจะได้ดวงตาเห็นธรรม คือการ เข้าใจในธรรมท่ีทรงตรัสสอนด้วยธรรมะข้อ
น้ันจึง คดั เอาหลักธรรมทเ่ี หมาะสมกบั วาระจิตของบุคคลนั้นมาตรัสแสดงให้ฟัง ภิกษุเหล่านั้นจึงเป็นผู้
มีปัญญาหลุดพ้นได้ดี คือภิกษุในพระธรรมวินัยน้ีรู้ชัดว่าราคะ โทสะ และโมหะ เราละได้เด็ดขาด ตัด
รากถอนโคน เหมอื นตัดตาลทีถ่ กู ตดั รากถอนโคนไปแลว้ เหลือแต่พืน้ ทีท่ าใหไ้ มม่ ีเกิดขึ้นตอ่ ไปไม่ได๕๓
๔.๕.๓ สิง่ ปดิ บงั ไตรลกั ษณ์
ในคมั ภรี พ์ ระวสิ ุทธิมรรคดอ์ ธิบายเก่ยี วกบั สง่ิ ท่ีปดิ บงั ไตรลกั ษณ์ไวด้ ังน้ี๕๔
๕๐ วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๑/๒๘-๒๙.
๕๑ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๕๗/๓๔๑.
๕๒ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑ -๙/๑-๑๖.
๕๓ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖๐/๔๓๔
๕๔ วิสุทธ.ิ ๓/๗๑๐-๗๑๘.
๙๓
๑. สันตติ
สันตติ คือ ความสืบต่อหรือความเป็นไปอย่างต่อเนื่องปิดบังไว้ อนิจจลักษณะจึงไม่
ปรากฏสิ่งท้ังหลายที่เรารู้เราเห็นน้ัน ล้วนแต่มีความเกิดขึ้นและความแตกสลายอยู่ภายในตลอดเวลา
แตค่ วามเกิดดับนัน้ เปน็ ไปอย่างหนุนเนอื่ งตดิ ต่อกนั รวดเร็วมาก คือ เกิด-ดับ-เกิด-ดับ-เกิด-ดับ.. ความ
เปน็ ไปตอ่ เนื่องอยา่ งรวดเร็วย่ิงน้ันทาให้เรามองเห็นเป็นว่าส่ิงนั้นอยู่คงที่ถาวร เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดิม
ไม่มีความเปล่ียนแปลงเหมือนอย่างตัวเราเองหรือคนใกล้ เคียงอยู่ด้วยกัน มองเห็นกันเสมือนว่า เป็น
อยา่ งเดมิ ไมเ่ ปล่ยี นแปลงแต่เมอ่ื เวลาผา่ นไปนานสงั เกตดู หรอื ไม่เห็นกันนานๆ เม่ือพบกันอีกจึงรู้ว่าได้
มีความเปล่ียนแปลงไปแล้วจากเดิมแต่ความเป็นจริงความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดข้ึนอยู่ตลอดเวลาที
ละน่อยและต่อเน่ืองจนไม่เห็นช่องว่าง ตัวอย่างเปรียบเทียบพอให้เห็นง่ายข้ึนเช่น ใบพัดท่ี กาลังหมุน
อยู่ อย่างเร็วยิ่งมองเห็นเป็นแผ่นกลม แผ่นเดียวนิ่ง เม่ือทาให้หมุนช่าลง ก็เห็นเป็นใบพัดกาลัง
เคลื่อนไหวแยกเป็นใบๆ เมื่อจับหยุดมองดูก็เห็นชัดว่าเป็นใบพัดต่างหากกัน ๒ ใบ ๓ ใบ หรือ ๔ ใบ
หรือเหมือน คนเอามือจับก้านธูปที่จุดไฟติดอยู่แล้ว แกว่งหมุนอย่างรวดเร็วเป็นรูปวงกลม มองดู
เหมือนเป็นไฟรูปวงกลมแต่ความจริงเป็นเพียงธูปก้านเดียวท่ีทาให้เกิดรูปต่อเนื่องติดเป็นพืดไปหรือ
เหมือนหลอดไฟฟูาที่ติดไฟอยู่สว่างจ่ามองเห็นเป็นดวงไฟที่สว่างคงที่ แต่ความเป็นจริงกระแสไฟฟูาที่
เกิดดับไหลเน่ืองผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือเหมือนมวลน้าในแม่น้าท่ีมองดู เป็นผืนหน่ึงผืนเดียว แต่
ความจรงิ เป็นกระแสนา้ ที่ ไหลผา่ นไปๆ เกิดจากน้าหยดนอ้ ยๆ มากมายมารวมกันและไหลเนื่องไม่ขาด
สาย สิ่งท้ังหลายเช่นดังตัวอย่างเหล่าน้ี เมื่อใช่เคร่ืองมือหรือวิธีการท่ีถูกต้องมากาหนดแยกมนสิการ
เห็นความเกดิ ข้ึนและความ ดับไปจงึ จะประจกั ษ์ความไมเ่ ทีย่ งแท้ไม่คงท่เี ปน็ อนจิ จัง
๒. อิรยิ าบถ
อิริยาบถ คือความยักย้าย เคลื่อนไหวปิดบังไว้ทุกขลักษณะ จึงไม่ปรากฏภาวะท่ีทนอยู่
มิได้หรือภาวะที่คงสภาพเดิมอยู่มิได้หรือภาวะท่ีไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ด้วยมีแรงบีบค้ันกดดัน
ขัดแย้งเร้าอยู่ภายในส่วนประกอบต่างๆ นั้นจะถึงระดับท่ีปรากฏแก่สายตาหรือความรู้สึกของมนุษย์
มกั จะตอ้ งกนิ เวลาระยะหนงึ่ แต่ในระหว่างนั้นถ้ามีการคืบเคล่ือนยักย้ายหรือทาให้แปรรูปเป็นอย่างอื่น
ไปเสียก่อนก็ดี สิ่งท่ีถกู สงั เกตเคลอ่ื นย้ายพ้นจากผู้สังเกตไปเสียก่อนหรือผู้สังเกตแยกพรากจากส่ิงที่ถูก
สังเกตไปเสียก่อนก็ดีภาวะที่บีบคั้นกดดันขัดแย้งนั้นก็ไม่ทันปรากฏให้เห็น ปรากฏการณ์ส่วนใหญ่มัก
เปน็ ไปเช่นน้ี ทุกขลักษณะ จึงไม่ปรากฏตัวอย่างง่ายๆ ก็คือในร่างกายของมนุษย์นี้แหละ ไม่ต้องรอให้
ถึงข้ันชีวิตแตกดับ แม้ในชีวิตประจาวันนี้เองความบีบคั้นกดดันขัดแย้งก็มี อยู่ลอดเวลาท่ัวองคาพยพ
จนทาให้มนุษยไ์ ม่อาจอยู่นิ่งเฉยในท่าเดียวได้ ถ้าเราอยู่หรือต้องอยู่ในท่าเดียวนานมากๆ เช่น ยืน นั่ง
เดิน นอนอย่างเดียว ความบีบค้ันกดดันตามสภาวะ จะค่อยๆ เพิ่มมาก ข้ึนๆ จนถึงระดับท่ีเกิดเป็น
ความรู้สึกบบี คั้นกดดนั ท่คี นทว่ั ไปเรยี กว่า เป็นทุกข์ เช่น เจ็บปวดเมื่อยจน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวและต้อง
ยักย้ายเปลี่ยนไปสู่ท่าอ่ืนที่เรียกว่า อิริยาบถอื่น เม่ือความบีบคั้นกดดันอันเป็นทุกข์ ตามสภาวะน้ัน
๙๔
ส้ินสุดลง ความรู้สึกบีบค้ันกดดันที่เรียกว่า ความรู้สึกทุกข์ (ทุกขเวทนา) ก็หายไปด้วย (ในตอนท่ี
ความรู้สึกทุกข์หายไปน้ี มักจะมีความรู้สึกสบายที่เรียกว่า ความสุขเกิดข้ึนมาแทนด้วย แต่อันน้ีเป็น
เพยี งความรสู้ ึกเทา่ นั้นวา่ โดยสภาวะแลว้ มีแต่ความทกุ ขห์ มดไปอยา่ งเดยี ว เข้าสูภาวะ ปราศจากทุกข์)
ในความเป็นอยู่ประจาวันน้ัน เมื่อเราอยู่ในท่าหนึ่งหรืออิริยาบถหนึ่งนานๆ พอจะรู้สึก ปวดเม่ือยเป็น
ทุกข์ เราก็ชิงเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปสู้ท่าอื่นหรืออิริยาบถอื่นเสียหรือเรามักจะเคลื่อนไหวเปล่ียนท่า
เปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอจึงหนีรอดจากความรู้ สึกทุกข์ ไปได้ เมื่อไม่รู้สึกทุกข์ ก็เลยพลอยมองข้าม
มองไม่เห็นความทุกข์ที่เป็นความจริงตามสภาวะไปเสียด้วยท่านจึงได้เรียกว่า อิริยาบถปิดบังทุก
ขลักษณะ
๓.ฆนะ
ฆนะ คือ ความเป็นแท่ง เป็นก้อนเป็นอัน เป็นมวลหรือเป็นหน่วยรวมปิดบังไว้ อนัตต
ลักษณะ จึงไม่ปรากฏสิ่งท้ังหลายท่ีเรียกช่ือว่าอย่างนั้นอย่างนี้ล้วนเกิดจากเอาส่วนประกอบทั้งหลาย
มารวบรวมปรงุ แตง่ ขน้ึ เมอ่ื แยกยอ่ ยส่วนประกอบเหล่านน้ั ออกไปแลว้ สงิ่ ทเี่ ปน็ หนว่ ยรวมซ่ึงเรียกชื่อว่า
อย่างนั้นๆ กไ็ ม่มีโดยท่ัวไปมนษุ ย์มองไมเ่ หน็ ความจรงิ น้ี เพราะถูก ฆนะสัญญา คือ ความจาหมาย หรือ
ความสาคัญหมาย เป็นหน่วยรวมคอยปิดบังไว้เข้ากับคากล่าวอย่างชาวบ้านว่าเห็นเสื้อไม่เห็นผ้า เห็น
ตกุ๊ ตามองไม่เห็นเนื้อยางคือ คนท่ีไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณาบางทีก็ถูกภาพตัวตนของเสื้อปิดบังตาหลอก
ไว้ไม่ได้มองเห็นเนื้อผ่าที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปเส้ือนั้นซึ่งว่าที่จริงผ่านั้นเองก็ไม่มี มีแต่เส้นด้ายมากมาย
ที่มาเรียงกันเข้าตามระเบียบถ้าแยกด้ายท้ังหมดออกจากกัน ผ้านั้นเองก็ไม่มีหรือเด็กที่มองเห็นแต่รูป
ตุ๊กตาเพราะถูกภาพตวั ตนของตกุ๊ ตาปดิ บงั หลอกตาไว้ไมไ่ ด้มองถึงเน้ือยางซึง่ เป็นสาระท่ีแท้ จริงของตัว
ตกุ๊ ตาน้นั เมอื่ จับเอาแตต่ ัวจรงิ กม็ แี ต่เนื้อยางหามีตุ๊กตาไม่ แม้อย่างน้ันเอง ก็เกิดจากส่วนผสมต่างๆ มา
ปรุงแต่งขึ้นต่อๆ กันมา ฆนะสัญญา ย่อมบังอนัตตลักษณะไว้ในทานองแห่งตัวอย่างง่ายๆ ท่ีได้ยกมา
กล่าวไว้น้ีเม่ือใช้อุปกรณ์ หรือวิธีการท่ีถูกต้องมาวิเคราะห์ มนสิการเห็นความแยกย่อยออกเป็น
สว่ นประกอบต่างๆ จงึ จะประจักษ์ในความมิใชต่ ัวตน มองเห็นว่าเป็น อนัตตา๕๕ หลักฐานโดยท่ัวไปใน
คมั ภีรก์ ลา่ วถงึ อนตั ตารวมอยู่ในไตรลักษณ์ว่า “สังขารท้ังปวงไม่เที่ยงสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมท้ัง
ปวงเปน็ อนตั ตา” แสดงใหเ้ ห็นความแตกตา่ งอยู่แล้วว่า ขอบเขตของอนัตตากว้างขวางกว่าอนิจจังและ
ทุกขังกล่าว คือในสองอย่างแรกสังขารคือสังขตธรรมท้ังปวง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แต่ในข้อสุดท้าย ธรรม
ทัง้ ปวงซ่งึ ปกตติ ีความกนั ว่าทงั้ สังขตธรรม และอสังขตธรรม (ท้ังสังขารและวิสังขาร) เป็นอนัตตาและมี
อยแู่ ห่งหนึ่งในคัมภีรป์ รวิ ารแห่งวนิ ยั ปิฎกช้ชี ัดลงไปทีเดยี ววา่ นิพพานรวมอยู่ในคาว่า ธรรมท้ังปวง เป็น
๕๕ วสิ ุทธ.ิ ๓/๒๗๕, วิภงคฺ .อ. ๖๕; วิสุทธิ. มหาฎีกา ๓/๕๒๒.
๙๕
อนตั ตาดังมขี อ้ ความเปน็ คาถาวา่ “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
นิพพานและบัญญตั ิเป็นอนัตตาดังน้ี”๕๖
๔.๕.๔ ความสมั พนั ธ์ระหว่างลักษณะทัง้ สาม
ลักษณะของธรรม ๓ ประการ (Three characterist i cs) คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นลักษณะที่เป็นสากลของส่ิงทั้งหลาย เพราะส่ิงทั้งหลายทั้งหมดในจักรวาลน้ีทั้งท่ีเป็นรูปธรรม
นามธรรมย่อม ประกอบด้วยลักษณะท้ัง ๓ ประการหรือกล่าวอีกนัยหน่ึง ลักษณะทั้ง ๓ ประการนี้
เป็นลักษณะของสงั ขตธรรมทั้งสิ้น แต่ละลักษณะจะมีความเก่ียวข้องกัน เมื่อรู้ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
ก็จะสามารถท่ีจะเช่ือมโยงสาวไปยังลักษณะอ่ืนได้อีก แต่โดยท่ัวไป ตามพระคัมภีร์จะเริ่มต้นท่ีอนิจจ
ลักษณะ คือ ลักษณะแห่งความไม่เที่ยงของสิ่งท้ังหลายท้ังที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมเมื่อเห็นความ
ไม่เท่ียงของรูปธรรมนามธรรมแล้ว ก็จะรู้ต่อไปว่าความไม่เท่ียงของรูปธรรมนั้น เป็นความทุกข์ของ
รูปธรรมอีกด้วยซ่ึงก็หมายถึงการมองเห็นทุกขลักษณะพร้อมไปกับอนิจจลักษณะด้วย ดังพระบาลีว่า
ยทนิจฺจ ต ทุกฺข๕๗ สิ่งใดไม่เท่ียง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทุกขลักษณะจึงตั้งอยู่บนพ้ืนฐานแห่งอนิจจลักษณะ
ด้วย ส่วนอนัตตลักษณะคือ ลักษณะแห่งความไม่มีตัวตนหรือความว่างจากตัวตนเป็นผลเน่ืองมาจาก
การเห็นแจ้งในอนิจจลักษณะกับทุกขลักษณะกล่าวคือเมื่อพระโยคาวจรหรือผู้ทาความเพียรกาหนดดู
รปู นามจนเหน็ ความไม่เที่ยงและความทุกข์ก็จะทาให้เบื่อหน่ายคลายจากความยึดม่ันถือมั่นในรูปนาม
นั้นจากน้ันอนัตตลักษณะคือความไม่มีตัวตนของรูปนามและสรรพสิ่งในโลก ก็จะปรากฏชัด จิตของผู้
เหน็ อนตั ตลกั ษณะขณะนน้ั กจ็ ะวา่ งจากตวั ตน(สญุ ญตา)ไปด้วยดังน้ัน อนิจัง ทุกขัง อนัตตา จึงมีความ
เก่ียวเนือ่ งถงึ กนั ในฐานะเปน็ หลักธรรมท่เี ปน็ นิพฺพาน สปฺปายปฏิปทาคือเป็นทางไปสู่พระนิพพานหรือ
ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงแม้ว่าคาสอนเร่ืองไตรลักษณ์จะเป็นคาสอนสากลใช้กับทุกสิ่งทุก
อย่างแต่พระพุทธองค์ทรงเน้นสอนไตรลักษณ์ ที่เป็นลักษณะเก่ียวข้องกับชีวิตของมนุษย์ที่
ประกอบด้วยรูปธรรมและนามธรรม เพราะคาสอนของพระพุทธองค์ เป็นสัจธรรมของชีวิตที่สอนให้
มนษุ ย์รชู้ ีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ดาเนนิ ชวี ิตให้สอดคล้องกับความจริงเพื่อนาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
ทเ่ี รียกว่าพระนพิ พานซงึ่ เป็นจดุ หมายสงู สดุ ของชีวิต
๔.๖ วิชชา ๓
๔.๖.๑ ความหมายวชิ ชา
๕๖ พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต), ไตรลักษณ,์ (กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ พิ ุทธธรรม, ๒๕๓๔), หนา้
๑๙๐.
๕๗ส.ข. (บาลี) ๑๗/๑๕/๑๙, ๑๘/๑/๑.