The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นหนังสือที่กล่าวถึงพัฒนาการของวิปัสสนากรรมฐานมาสู่ประเทศไทยหลังพุทธปรินิพพานและกล่าวถึงหลักการกาหนดในวิปัสสนาเพียงแต่สักว่ารู้อย่างมีสติและบริบทของการปฏิบัตินั้นธรรมะที่เป็นแรงผลักดันให้ปัญญาพัฒนาขึ้นไปได้ก็ต้องเริ่มต้นที่ไตรสิกขาคือการพัฒนาจากศีลและสมาธิเมื่อคุณธรรมทั้งสองนี้มั่นคงหนักแน่นดีแล้วก็จะพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นไปตามลาดับจนเห็นลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนอย่างแท้จริงซึ่งเป็นตัวปัญญาญาณตามหลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานซึ่งมีอานิสงส์เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์เพื่อระงับความเศร้าโศกและความค่าครวญ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุอริยมรรคเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ของเหล่าพุทธบริษัททุกท่าน ผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มนี้จักเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่สาธารณชนทั่วไปที่สนใจหลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวมหาสติปัฏฐานต่อไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-22 12:40:21

หลักการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

หลักการปฏิบัติในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นหนังสือที่กล่าวถึงพัฒนาการของวิปัสสนากรรมฐานมาสู่ประเทศไทยหลังพุทธปรินิพพานและกล่าวถึงหลักการกาหนดในวิปัสสนาเพียงแต่สักว่ารู้อย่างมีสติและบริบทของการปฏิบัตินั้นธรรมะที่เป็นแรงผลักดันให้ปัญญาพัฒนาขึ้นไปได้ก็ต้องเริ่มต้นที่ไตรสิกขาคือการพัฒนาจากศีลและสมาธิเมื่อคุณธรรมทั้งสองนี้มั่นคงหนักแน่นดีแล้วก็จะพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นไปตามลาดับจนเห็นลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนอย่างแท้จริงซึ่งเป็นตัวปัญญาญาณตามหลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานซึ่งมีอานิสงส์เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์เพื่อระงับความเศร้าโศกและความค่าครวญ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุอริยมรรคเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ของเหล่าพุทธบริษัททุกท่าน ผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มนี้จักเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่สาธารณชนทั่วไปที่สนใจหลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวมหาสติปัฏฐานต่อไป

Keywords: มหาสติปัฏฐาน,พุทธศาสนา

๙๖

วิชชา คือ ความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หมายถึง การ
เกิดในกาเนิดทั้ง ๔ ประการ อย่างท่ีตนเกิด สัตว์เกิด คือ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในของสกปรก
เกดิ โดยผุดขึ้น มี ๓ ประการ คอื

๔.๖.๒ พระพุทธเจ้ากับวิชชา ๓

เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เภสกฬมิคทายวัน เขตนครสุงสุมารคิ
ระในภัคคชนบท ได้รับอาราธนาของโพธิราชกุมารไปรับภัตตาหารและเสวย ณ โกกนุทปราสาทของ
โพธริ าชกุมาร คร้นั เสวยเสรจ็ แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ตรสั สนทนากบั โพธิราชกุมารวา่

๔.๖.๓ พระองคท์ รงบรรลฌุ าน ๔

"ครัน้ เราบริโภคอาหารหยาบ มีกาลงั ข้ึนแลว้ ก็สงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทั้งหลาย
บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่, บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตใน
ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขผู้ได้ฌานเกิดแต่
สมาธิอยู่,มีอเุ บกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสขุ ดว้ ยนามกาย เพราะปตี ิสน้ิ ไป บรรลตุ ติยฌาน ที่พระ
อริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ตติยฌานน้ี เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, บรรลุจตุตถฌาน ไม่มี
ทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
อย่.ู "

๔.๖.๔ พระองค์ทรงบรรลุวชิ ชา ๓

"เราน้ันเมอ่ื จิตเปน็ สมาธิ บรสิ ุทธ์ิผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การ
งาน ตัง้ มัน่ ไมห่ วัน่ ไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพ่ือ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" เรานั้นย่อมระลึกชาติ
ก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั้นย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก พร้อมท้ังอาการ พร้อมท้ังอุทเทส ด้วยประการฉะน้ี. ราชกุมาร น้ีเป็นวิชชาที่ ๑ ที่ เราได้
บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกาจัดแล้ว วิชชาเกิดข้ึนแล้ว ความมืดถูกกาจัดแล้ว แสง
สว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่. เราน้ันเม่ือจิตเป็นสมาธิ
บรสิ ุทธผ์ิ ่องแผว้ ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างน้ี ได้โน้ม
น้อมจิตไปเพ่ือ "จุตูปปาตญาณ" รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ท้ังหลาย เราน้ันย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กาลังจุติ
กาลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วง
จักษุของมนุษย์ ด้วยประการฉะน้ี. ราชกุมาร น้ีเป็นวิชชาท่ี ๒ ท่ีเราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่ง
ราตรี. อวิชชาถูกกาจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกาจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่
ประมาท มคี วามเพยี ร มตี นสง่ ไปแล้วอยู่

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การ
งาน ต้งั มน่ั ไมห่ ว่นั ไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพ่ือ "อาสวักขยญาณ" ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้
ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่าน้ีอาสวะ เหล่าน้ีอาสวสมุทัย เหล่าน้ี

๙๗

อาสวนิโรธ เหล่าน้ีอาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างน้ี จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามา
สวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เม่ือจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหย่ังรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่ า
ชาติสิน้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแล้ว กจิ ท่ีควรทา ทาเสรจ็ แลว้ กจิ อน่ื เพื่อความเปน็ อยา่ งน้มี ไิ ด้มี. ราช
กุมาร น้ีเป็นวิชชาที่ ๓ ท่ีอาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกาจัดแล้ว วิชชา
เกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกาจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไป
แล้วอยู่ ราชกุมาร เรานั้นได้มีความคิดเห็นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึก ยากท่ีจะเห็นได้
สัตว์อืน่ จะตรัสร้ตู ามไดย้ าก เปน็ ธรรมสงบระงับ ประณตี อันบัณฑิตจะพึงรู้แจง้ ๕๘

๔.๖.๕. วธิ เี จรญิ ในวิชชา ๓
๑. ปพุ เพนวิ าสนุสสตญิ าณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยในกาลก่อนได้ระลึก

ชาติไดว้ า่ ตวั เองเกดิ เป็นใคร ช่อื อะไร เกิดในตระกูลใด มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณตลอดจนความเป็นอยู่
อย่างไร๕๙ มี ๓ ประการ คอื การระลกึ ชาติไดห้ ลายชาติ การระลึกชาติได้โดยกาเนดิ และการระลึกชาติ
ได้โดยการปฏบิ ัติ

ข้อที่ว่า “การระลึกชาติได้หลายชาติ” หมายความว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณท่ีเกิดได้
ดว้ ยวิธี ๔ อย่าง คือ บุคคลทานิมิตให้เจริญดีแล้ว จากนั้นเธอจึงกาหนดนิมิตทางใจ ทาอินทรีย์ให้สงบ
แล้วทาความสามารถน้ันให้เจริญ วิธีทั้ง ๔ นี้ทาให้เกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ บรรดาการระลึกชาติ
ในอดตี ชนดิ นี้ การระลึกชาติในอดตี ได้ ๗ ชาติ ถือว่าดีที่สุด

ข้อที่ว่า “การระลึกชาติได้โดยกาเนิด” หมายความว่า เทวดา นาค (อมนุษย์) ครุฑย่อม
ระลึกชาติในอดีตของตนได้โดยธรรมชาติ บรรดาการระลึกชาติในอดีตชนิดนี้ อย่างดีท่ีสุด คือ ระลึก
ชาติในอดตี ได้ ๑๔ ชาติ

ข้อที่ว่า “การระลึกชาติได้ด้วยการปฏิบัติ” หมายถึง การทาให้เกิด ปุพเพนิวาสานุสสติ
ญาณ โดยอาศัยพน้ื ฐานของอิทธวิ ิธีทั้ง ๔

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เจริญได้เม่ือผู้ปฏิบัติได้เจริญอิทธิบาทท้ัง ๔ แล้ว ควบคุมจิตได้
คล่องแคลว่ ดว้ ยศรัทธา ย่อมเปน็ ผู้ไมค่ ลอนแคลนและเป็นผู้บริสุทธิ์ เธอน่ังลงแล้วย่อมระลึกถึงสิ่งที่ตน
ไดท้ าแลว้ ในตอนกลางวนั หรอื ทกุ อย่างท่ตี นได้ทาแล้วทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ที่เกี่ยวกับการ
กระทาในตอนกลางคืนก็เช่นเดียวกัน ในทานองเดียวกัน เธอย่อมระลึกถึงทุกอย่างท่ีตนได้ทาแล้วใน
ระหว่าง ๑ วัน ในระหว่าง ๒ วัน โดยทานองนี้ย้อนหลังไปถึง ๑ เดือน ในทานองเดียงกัน เธอย่อม
ระลึกถึงทุกอย่างที่ตนได้ทาแล้วในระหว่าง ๒ เดือน ๓ ปี ๑๐๐ ปี ข้ึนไปจนถึงชาติล่าสุดของตน ถึง
ตอนน้ีจิตกับเจตสิกของชาติก่อนและจิตกับเจตสิกของชาติต่อๆ มาย่อมปรากฏ เนื่องจากจิตและ

๕๘ ม.ม (ไทย) ๑๓/๗๕๕-๗๕๗/๖๘๖-๖๘๘
๕๙ พระเทพโสภณ (ประยรู ธมมฺ จติ โฺ ต) และคณะ, วมิ ตุ ตมิ รรค, หนา้ ๒๑๐-๒๑๕.

๙๘

เจตสิกของชาตกิ ่อนๆ เธอจึงได้ชาติต่อมา เน่ืองจากความสืบต่อของจิต เธอสาสารถเห็นเหตุและปัจจัย
ต่างๆ และระลึกถึงความเป็นไป ย้อนหลัง ของจิต ชาติก่อนและหลังท้ัง ๒ ชาติ มิได้แยกออกจากกัน
และเกิดข้ึนในชาติน้ี เพราะได้เกิดมาแล้วในชาติก่อนน้ัน ด้วยการฝึกฝนจิตอันได้ชาระจิตให้บริสุทธ์ิ
เช่นนั้นแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมระลึกเร่ืองราวต่างๆ มากมายในอดีตของตน (เธอระลึกชาติได้) ๑ ชาติ ๒
ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ เป็นต้น และระลึกถึงทุกเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับชาตินี้ได้ ผู้ปฏิบัติคนใดไม่สามารถ
ระลึกชาติในอดีตชองตนได้ เธอไมค่ วรเลิกบาเพ็ญเพียรควรเจรญิ ฌานซา้ แล้วซ้าอีก ก็ในการเจริญฌาน
เธอควรทาใจให้บริสุทธ์ิด้วยการกระทาคล้ายกับวิธีขัดกระจกที่ถูกต้องเม่ือชาระจิตของตนให้บริสุทธ์ิ
แล้ว เธอย่อมระลึกถึงอดีตของตนได้อย่างชัดแจ้งถ้าเธอระลึกถึงอดีตต่อไปโดยเร่ิมด้วยชาติ เธอย่อม
ยินดีเกิดเปรียบ เมื่อพบวิถีทางแล้ว เธอไม่ควรคานึงถึงสภาพชีวิตของเธอในภูมิสัตว์เดรัจฉาน และใน
อบายภมู ิ กาเนดิ ในภพของอสัญญสี ัตว์ พระโสภติ เถระจดั เปน็ เอตทคั คะในปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ

ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณย่อมดาเนินไปในอารมณ์ ๗ อย่าง อารมณ์เหล่าน้ันได้แก่อารมณ์
ท่ีมีกาหนด มหัคคตารมณ์ อารมณ์อันหาประมาณมิได้ อารมณ์ในอดีต อารมณ์ภายใน อารมณ์
ภายนอกและอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติพึงระลึกถึงเรื่องเก่ียวกับประเทศและหมู่บ้าน
ของตนในอดีต การระลึกอดตี ได้เป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกถึงความต่อเนื่องของขันธ์ด้วย
ญาณได้ จัดเป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คนนอกพุทธศาสนาย่อมระลึกชาติได้ ๔๐ กัป พวกเขาไม่
อาจจะระลึกชาติได้มากว่าน้ัน เพราะกาลังอ่อน พระอริยสาวกย่อมระลึกชาติได้ ๑ หมื่นกัป พระอัคร
สาวกย่อมระลึกชาติได้มากกว่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมระลึกชาติได้มากกว่าน้ี และพระตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ผ้ทู รงสามารถระลึกชาติการกระทาภูมิและสิ่งอื่นท้ังปวงในอดีตของพระองค์
และของผู้อน่ื ได้ ยอ่ มระลกึ ได้มากกวา่ น้ีชนที่เหลือยอ่ มระลึกได้เพียงอดีตของตนเองและอดีตชาติเพียง
ไม่กี่ชาติของผ้อู นื่ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายยอ่ มทรงระลึกทุกส่ิงที่พระองค์ทรงปรารถนาจะระลึก
ถึงได้ ชนเหล่าอ่ืนย่อมระลึกได้ตามลาดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าจะทรงเข้าสมาธิหรือไม่ทรง
เข้าสมาธิ ก็ทรงสามารถระลึกได้ตามลาดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าจะทรงเข้าสมาธิหรือไม่ทรง
เขา้ สมาธิ ก็ทรงสามารถระลึกได้ตลอดเวลา ชนทเี่ หลือยอ่ มระลึกได้ดว้ ยการเข้าสมาธิเท่าน้ัน๖๐

๒. จุตปู ปาตญาณ
จุตูปปาตญาณ คือญาณกาหนดรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรมเห็น
การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพยจักษุญาณ๖๑ ทิพยจักษุญาณมี ๒
ชนิด คือทิพยจักษุที่เกิดด้วยกรรมดีและที่เกิดด้วยกาลังของการเจริญความเพียร ในทิพยจักษุท้ัง ๒
ชนิดน้ี อันเป็นกรรมท่ีส่ังสมมา ย่อมเกิดจากวิบาก (ของกรรม) ด้วยทิพยจักษุนี้ บุคคลจึงสามารถเห็น

๖๐ พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต) และคณะ, วมิ ตุ ตมิ รรค, หน้า ๒๐๕-๒๐๗.
๖๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, หน้า
๑๑๙.

๙๙

ว่ามีอญั มณอี ยใู่ นคลังหรอื ไม่ ข้อ “ท่ีเกดิ ด้วยกาลงั ของการเจริญความเพียร” หมายความถึง ทิพยจักษุ
ทที่ าให้เกิดดว้ ยการเจริญอทิ ธิบาท

ทพิ ยจักษุเจริญอยา่ งไร เม่อื เจริญอิทธิบาทและควบคุมจิตได้คล่องแคล่วแล้วผู้ปฏิบัติใหม่
มีจิตใจที่บริสุทธิ์อยู่และไม่คลอนแคลนย่อมเข้าอาโลกกสิณ เธอเข้าฌานท่ีสี่แล้วทาไว้ในใจและ
อธิษฐานความหมายรู้ในกลางวันว่า “กลางวันน้ีเป็นเหมือนกลางคืน กลางคืนนี้เป็นเหมือนกลางวัน”
เมื่อจิตของเธอเป็นอิสระจากอุปสรรคและความยึดติดท้ังปวง เธอจึงสามารถทาจิตของตนให้มีพลัง
และทาความสว่างให้เพิ่มขึ้น ไม่มีส่ิงมืดมัว ไม่มีส่ิงใดทีปกปิด และเธอมีความสว่างล้าดวงอาทิตย์ ผู้
ปฏบิ ตั ทิ าอยา่ งนีแ้ ล้วแผค่ วามสว่างไปทัว่ กายของตนและใส่ใจต่อสีและรูปด้วยทิพยจักษุอันหมดจด ซึ่ง
ก้าวล่วงการเห็นของมนุษย์ผู้ปฏิบัตินั้นย่อมเห็นสัตว์ท้ังหลายผู้ดับไปและเกิดข้ึนใหม่ หยาบและ
ละเอียด สวยงามและน่าเกลียด เจริญหรือเสื่อมตามกรรมของสัตว์เหล่านั้น ถ้าบุคคลปรารถนาจะทา
ให้ทิพยจกั ษเุ กดิ เธอควรกาจัดกิเลสเหล่านี้ คือวิจิกิจฉา การไม่มีมนสิการ ถีนมิทธะ มานะ ความยินดี
ทช่ี อบ การกลา่ วในร้าย การทาความเพียรมากไป การทาความเพียรน้อยไป การพูดเพ้อเจ้อ นานัตต
สัญญา การหมกมุ่นในรูปมากเกิดไป ถ้ากิเลสเหล่านี้อย่างใดอย่างหน่ึงปรากฎกในระหว่างการเจริญ
ทิพยจักษุ สมาธิย่อมเสื่อมถ้าสมาธิเส่ือม ความสว่างย่อมหายไป การมองเห็นอารมณ์ย่อมเสียไป
เพราะเหตุนั้น กิเลสเหล่านี้ จึงควรกาจัดให้สิ้น ถ้าเธอกาจัดกิเลสเหล่านี้ได้แล้ว แต่ไม่ได้วสีในสมาธิ
ทิพยจักษุของเธอย่อมมีอานาจกากัดเพราะยังไม่ได้วสีผู้ปฏิบัติย่อมเห็นความสว่างอันจากัดการ
มองเห็นของรูปของเธอย่อมจากัดไปด้วย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่าในสมัยท่ีสมาธิของเรามี
จากัด ตาของเราย่อมมีจากดั และด้วยตาอันมีจากัด เราย่อมรู้ความสว่างอันจากัดและเห็นรูปอันจากัด
ในสมัยท่ีสมาธิของเราหาประมาณมิได้ ตาของเราย่อมมีทิพยจักษุอันหาประมาณมิได้และด้วย
ทพิ ยจกั ษอุ ันหาประมาณมไิ ด้ เราย่อมรู้ความสวา่ งอนั หาประมาณมไิ ด้และเห็นรูปอันหาประมาณมิได้ผู้
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาไม่ควรยึดติดกับรูปหรือกลัวรูปความผิดเหล่าน้ีย่อมเป็นท่ีเข้าใจได้
ทิพยจักษุย่อมดาเนินไปในอารมณ์ ๕ คือ อารมณ์ที่มีกาหนด อารมณ์ในปัจจุบัน อารมณ์ภายใน
อารมณ์ภายนอก และอารมณท์ ง้ั ภายในและภายนอก๖๒

ญาณ ๔ ชนิด ย่อมเกิดทิพยจักษุ (คือ) อนาคตังสญาณ กัมมัสสกตาญาณ ยาถากัมมูปค
ญาณ กัมมวิปากญาณ บรรดาญาณเหล่าน้ีด้วยอนาคตังสญาณ เธอย่อมเห็นการเกิดข้ึนของรูปใน
อนาคต ดว้ ยกมั มสั สกตาญาณ บุคคลย่อมรจู้ ักกรรมที่ผอู้ ื่นทา ด้วยกรรมนัน้ เธอย่อมรู้ว่าบุคคลนั้นๆ จะ
ไปสู่โลกน้ันๆจะไปสูโลกนั้นๆ ด้วยยถากัมมูปคญาณ เธอย่อมเห็นโลกที่สัตว์ท้ังหลายจะไปอุบัติและ
ย่อมรู้ว่า บุคคลน้ันๆ จะไปบังเกิดในโลกนั้นๆ ด้วยกรรมน้ันๆ ด้วย กัมมวิปากญาณ เธอย่อมรู้กาลอัน

๖๒ ธรรมภาคปฏิบตั ิ ๒ , มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , พิมพค์ ร้งั ที่ ๓, (มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลัย: กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๓), หนา้ ๑๐๙.

๑๐๐

เปน็ ที่มาถึง เธอย่อมรู้ภาวะท่ีตนจะเข้าถึง ณ ที่น้ี เธอย่อมรู้กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดการมา ณ ท่ีน้ี เธอ
ย่อมรู้หนทางมา ณ ท่ีน้ี เธอย่อมรู้ว่ากรรมนั้นๆ จะสุกงอม เธอย่อมรู้ว่ากรรมนั้นๆ ยังไม่สุกงอม เธอ
ย่อมร้วู ่ากรรมนนั้ ๆ จะให้ผลมากและเธอย่อมรู้ว่ากรรมน้ันๆ จะให้ผลน้อย พระสาวกในศาสนาน้ี ผู้ได้
วมิ ุตตยิ ่อมเห็นโลกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมเห็นมากกว่าน้ันและไม่มีขีดจากัดสาหรับการเห็นของ
พระตถาคต๖๓

๓. อาสวกั ขยญาณ
อาสวักขยญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ความรู้ท่ีทาให้ส้ินอา
สวะ ความตรัสรู้๖๔ เม่ือผู้ใดดารงอยู่ในอนาคามิผล ย่อมปรารถนาประกอบความเพียรให้ย่ิงๆ ข้ึนไป
เพื่อบรรลุอรหัตตผล และเธอเห็นแจ้งซึ่งความเกิด ความตาย และสภาวธรรมอื่นๆ เธอย่อมพิจารณา
เห็นสภาวธรรมตา่ งๆ ประกอบความเพียรตามหนทางท่ีทาให้เธอได้เห็นมรรคนั้นแล้วโดยอาศัยอินทรีย์
พละและโพธิปักขิยธรรม เธอยอ่ มพจิ ารณาเหน็ สัจจะ เหตุน้ัน เธอจึงกาจัดรูปตัณหาและอรูปตัณหาได้
เธอย่อมกาจัดได้ซึ่งมานะ อุทธัจจะ อวิชชา และกิเลสอย่างอื่นทั้งหมดโดยส้ินเชิง หลังจากนั้นย่อม
บรรลุอรหัตตผล เห็นแจง้ มรรค เห็นแจง้ อรหัตตผลและเห็นแจ้งความสิ้นไปแห่งกิเลสทั้งหลาย เหตุน้ัน
ภกิ ษุนั้นจึงเป็นพระอรหัตต์ละอาสวะได้ (อาสวักขยญาณ) ทาสิ่งที่ต้องทาเสร็จแล้ว กิจอ่ืนที่จะต้องทา
อีกไม่มี บรรลุจุดหมายพรหมจรรย์ถอนได้ซ่ึงสังโยชน์ท้ังหลาย รู้วิมุตติ ละองค์ประกอบ ๕ ประการ
และประกอบไปด้วยองค์ ๖ ประการและย่อมถึงความเกษม เธอย่อมพ้นจากบ่วงคือความตาย ละ
ความดับทปี่ ระกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ และมองหาความไม่มีมลทิน เข้าถึงความสงบแห่งกายสังขาร และ
บรรลุกาไรอันสูงสุด เธอได้รับการขนานนามว่า เป็นผู้กาจัดความโกรธได้ เป็นบุคคลผู้ถึงซ่ึงฝั่งโน้น ผู้
หลุดพ้นจากกิเลสท้ังหลาย ผู้ไม่มีสังโยชน์และนิวรณ์ เป็นวงศ์ของพระอริยะ เปล้ืองภาระเสียได้ ผู้ไม่
ติดข้องในภพ เป็นสรณะ พราหมณ์ ผู้บริสุทธ์ิ ผู้รู้สาระ เป็นพราหมณ์ผู้ประเสริฐ เป็นพระอรหันต์ ผู้
บรรลอุ าสวักขยญาณผ้ถู อนกเิ ลสผู้ชนะผสู้ งบและผ้กู ่อให้เกดิ ความสงบเปน็ ๖๕
๔.๖.๖ พระอรหนั ตมรรคญาณ
บุคคลเม่ือได้สาเร็จคุณวิเศษเป็นพระอนาคามีบุคคลแล้วและด้วยอานาจแห่งความเป็น
พระอนาคามบี คุ คลกจ็ ะเปน็ อปุ นิสยั ปจั จยั ให้ได้เจรญิ วิปสั สนากรรมฐานให้ถึงความภิญโญย่ิงสุดยอดใน
โอกาสขา้ งหนา้ จนกระท่งั ไดบ้ รรลมุ รรคญาณขน้ั สูงสุด ซ่ึงเรียกว่า จตุตถมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง
วา่ “พระอรหัตตมรรคญาณ (อาสวักขยญาณ) ได้สาเร็จคุณพิเศษเป็นพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลผู้
สมควรแก่การบุชาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นพระมหาขีณาสพชั้นสูงสุดในบวร

๖๓ พระเทพโสภณ (ประยรู ธมมฺ จิตโฺ ต) และคณะ, วมิ ตุ ตมิ รรค, หน้า ๒๐๗-๒๐๘.
๖๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพ์คร้งั ที่ ๑๒,หน้า๑๑๙.
๖๕ พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต) และคณะ, วมิ ตุ ตมิ รรค, หน้า ๒๐๗๕.

๑๐๑

พระพุทธศาสนา อานาจพระอริยหัตตมรรคญาณ ท่ีอุบัติขึ้นเป็นคร้ังสุดท้าย ย่อมสามารถที่จะ
ประหตั ประหารสังโยชน์ท่ียงั เหลืออย่ทู งั้ ๕ ประการ คือ

๑. รูปราคสังโยชน์ ได้แก่ สังโยชน์ คือความยินดีในรูปภพ คือ ความอยากเกิดเป็น
“รปู พรหม” ณ รูปพรหมโลก ๑๖ ชัน้

๒. อรูปราคสังโยชน์ ได้แก่ สังโยชน์ คือ ความยินดีในอรูปภพ คือ ความอยากเกิด
เปน็ “อรปู พรหม” ณ อรปู พรหมโลก ๔ ชนั้

๓. มานสงั โยชน์ ไดแ้ ก่ สงั โยชน์ คอื มานะ ความถอื ตวั ที่เรยี กวา่ อหังการ มมงั การ
๔. อุทธัจจสงั โยชน์ ไดแ้ ก่ สังโยชน์ คือ ความฟูุงซ่านแห่งจิต คือ จิตไม่สามารถที่จะ
ต้ังอยใู่ นอารมณ์เดียวได้นานๆ
๕. อวิชชาสังโยชน์ ได้แก่ สังโยชน์ คือ ความรู้หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “โมหะ
ความมดื หลงแห่งจิตโดยประการทง้ั ปวง
ในบรรดาสรรพกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลาย ท่ีเอามารวมเรียกเพ่ือให้เข้าใจง่ายในที่นี้ว่า
“สังโยชน์” ซึ่งมอี ยู่ ๑๐ ประการ ไดถ้ กู จักราวุธอันคมกลา้ ยิ่งนกั คือ “มรรคญาณ” ทาการประหานให้
หมดสน้ิ ไปตามลาดบั ตั้งแต่ตน้ จนหมดสน้ิ คอื
๑. พระโสดาปัตติมรรคญาณ ประหานกิเลสได้ ๓ คือ ๑),สกั กายทฏิ ฐิสงั โยชน์, ๒),
วิจิกจิ ฉาสังโยชน,์ ๓), สลี พั พตปรามาสสงั โยชน์
๒. พระสกิทาคามีมรรคญาณ ประหานสังโยชน์ได้อะไรไม่ได้เลย แต่สามารถกวาด
ล้างทาใหเ้ ปน็ “ตนกุ ร” คอื ทาราคะ โทสะ ใหเ้ บาบางลง
๓. พระอนาคามีมรรคญาณ ประหานสังโยชน์ได้ ๒ คือ ๑), กามราคสังโยชน์, ๒),
ปฏิฆสงั โยชน์
๔. พระอรหัตตมรรคญาณ ประหานสังโยชน์ได้ ๕ คือ ๑), รูปราคสังโยชน์, ๒),
อรูปราคสังโยชน,์ ๓), มานสังโยชน,์ ๔), อทุ ธัจจสงั โยชน์, ๕), อวิชชาสังโยชน์
พระอริยบุคคล นอกจากจะสิ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานโดยการตัดสังโยชน์ได้หมดส้ินแล้ว
ท่านยงั สามารถเข้าอรหตั ผลสมาบัติ เสวยอารมณพ์ ระนพิ พานได้ตามปรารถนาอีกด้วย แต่ท่ีวิเศษที่สุด
กค็ ือ ทา่ นหมดกจิ อยจู่ บพรหมจรรยแ์ ล้ว ไมต่ ้องเวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพวัฏกสงสารอีกต่อไป
เมื่อถึงอายขุ ยั กด็ ับเขา้ สู่พระปรินิพพานอันเป็นแดนเกษมศานต์๖๖
สรุป หลักธรรมท่ีสอดคล้องสัมพันธ์กันตามหลักธรรมที่ควรแก่ธรรมการปฏิบัติธรรมคือ
การปฏบิ ตั ติ ามหลักสกิ ขา ๓ กลา่ วคอื ศีล หมายถงึ ข้อปฏิบัติที่ควบคุมพฤติกรรมทางกาย ทางวาจาให้
อยู่ในอาการปกติเรียบร้อย ไม่เบียดเบียนกัน สมาธิ หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ควบคุมจิตใจมิให้ฟุูงซ่านไป

๖๖ พระพรหมโมลี (วิลาส ญาณวโร ป.ธ.๙), วิปัสสนาทีปนี, (กรุงเพทมหานคร: วัดดอนยานนาวา ,
๒๕๔๔),หนา้ ๓๓๒-๓๓๓.

๑๐๒

ในอารมณต์ ่างๆ ปัญญา หมายถงึ ความรูค้ วามเข้าใจในสังขารทงั้ ปวง เมือ่ ผู้ปฏิบัติตามสิกขาจนช่าชอง
แล้วจะได้รบั ผลท่ีเกดิ จากการปฏิบัติน้นั ได้แก่ วิชชา คือความรู้ชนิดพิเศษกว่าความรู้ของสามัญชนคน
ธรรมดาทว่ั ไป อันเป็นความรู้ ความเขา้ ใจท่เี หน็ ความจริงของสงั ขารทัง้ หลาย ความเท่ียงแท้ ความเป็น
ทุกข์ ความไม่มีตัวต้น ที่ตกอยู่ในลักษณะท่ีไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือม่ัน ไม่ควรนามาเป็นแก่นสารควรที่
จะวางเพ่ือให้จิตใจเป็นอิสระจากอามิสเคร่ืองล่อท่ีทาเศร้าหมองขุ่นมัวมาเป็นจิตใจที่ผ่อง แผ้วเบิกบาน
ตลอดไป พระไตรลักษณ์อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณน้ันต้องเป็นพระไตรลักษณ์ท่ีมาจาก
ปรมตั ถอารมณ์ ไม่ใช่มาจากบัญญัติอารมณ์ คือขณะใดยังเห็นว่า สัตว์ บุคคล ไม่เที่ยง สัตว์บุคคลเป็น
ทุกข์ สัตว์บุคคลเป็นอนัตตาอยู่ ไตรลักษณ์นั้นยังไม่ใช่ปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณ ต่อเม่ือใดเห็นชัดว่า
รปู นามขันธ์ ๕ นี้ไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ เปน็ อนตั ตา โดยไมม่ สี ตั ว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เข้ามาเก่ียวข้องด้วย
แล้ว เมื่อน้ันจึงจะเป็นพระไตรลกั ษณ์ อนั เป็นปจั จยั ให้วิปสั สนาญาณเกดิ ขึ้นได้

บทที่ ๕
วิปสั สนากรรมฐานภาคปฏบิ ตั ิ

ความนา

หลกั การปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานโดยอาศัยหลักการปฏิบัติในหมวด
อิริยาปถปัพพะ คือ การยืน การเดิน การน่ัง และการนอน อันจะทาให้ผู้ปฏิบัติเกิดปัญญารู้แจ้งเห็น
จรงิ พระไตรลักษณ์ คอื ความไม่เท่ียง (อนิจจัง) ความเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และความท่ีมิใช่ตัวตน(อนัตตา)
ของสภาวธรรมท่ีกาลังปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะคือรูปนามขันธ์ห้าเมื่อได้ลงมือปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานอย่างต่อเนื่องจนเกิดปรากฏการณ์ทางจิตที่ผู้ปฏิบัติไม่เคยประสบพบมาก่อนเลยในชีวิต
จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาที่ปรึกษาเพื่อสอบถามปัญหาสภาวธรรมท่ีปรากฏกัลยาณมิตรหรือพระ
วิปัสสนาจารย์จะเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้และชี้แนะแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องให้แก่ผู้
ปฏิบตั ิดงั น้นั การนาปรากฏการณท์ างจติ ในการปฏบิ ัตมิ าเล่าใหผ้ มู้ ีความรคู้ วามเข้าใจในหลักการปฏิบัติ
หรือพระวิปัสสนาจารย์ถึงความรู้สึกพฤติกรรมตลอดถึงประสบการณ์ทางการปฏิบัติของตนแต่ละวัน
ในอิริยาบถต่างๆ เพ่อื ใหท้ ่านได้พิจารณาวเิ คราะห์และประเมินผลการปฏิบัติว่าถูกต้องหรือไม่มีอะไรที่
ต้องปรบั ปรงุ แก้ไขทา่ นก็จะไดแ้ นะนาเพมิ่ เตมิ เพื่อจะได้ถึงจุดมุ่งหมายได้เร็วยิ่งข้ึนการกระทาอย่างน้ีจึง
เรียกวา่ การสอบอารมณ์ และมุ่งหมายของการสอบอารมณ์ก็เพ่ือใหค้ รูผูส้ อนไดต้ รวจสอบว่าผู้ปฏิบัติมี
ความเข้าใจในการเจริญวิปัสสนาได้ถูกต้องตามที่สอนหรือไม่ ถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าใจหรือปฏิบัติยังไม่
ถกู ตอ้ งก็จะได้แนะนาวธิ กี ารที่ถูกต้องพร้อมทง้ั ย้าถึงสงิ่ ทค่ี วรทาและไม่ควรทา ดังนั้นความสาคัญข้ันต้น
ของการสอบอารมณ์ คอื การตรวจสอบผ้ปู ฏบิ ัตใิ หม่หรือผทู้ เ่ี รม่ิ ปฏิบัติว่ามีความเข้าใจถึงความแตกต่าง
ของรูปกับนามซ่ึงเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาถูกต้องแล้วหรือยังถ้าผู้ปฏิบัติมีความรู้และความเข้าใจใน
หลักการปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้วการปฏิบัติก็จะเจริญก้าวหน้าและบรรลุมรรคผลนิพพานในเวลาไม่
นานเป็นลาดบั ต่อไป

๕.๑ วิปสั สนากรรมฐาน

วิปสั สนากรรมฐานเป็นธรุ ะอย่างหน่ึงในพระพุทธศาสนาเถรวาทมี ๒ ประการได้แก่ คันถ
ธุระอันได้แก่การศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านในพระปริยัติธรรมคือ พระไตรปิฎกและวิปัสสนาธุระและ
วิปัสสนาธุระอันได้แก่การใช้ปัญญาพิจารณากายใจโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตนบังคับ
บัญชาไม่ได้พระอนุรุทธเถราจารย์แสดงวิปัสสนากรรมฐานไว้ในคัมภีร์ อภิธรรมมัตถสังคหะคัมภีร์
อภธิ รรมมตั ถสังคหอรรถกถา๑ซงึ่ จะได้แสดงรายละเอียดตามลาดบั ต่อไปนี้

๑ พระอาจารย์ ดร.ภทั ทนั ตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากมั มัฏฐานาจริยะ พุทธศาสตรดุษฎี
บณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ดิ์ , วิปสั สนาทปี นฎี กี า, (ชลบรุ ี: วัดภัททนั ตะ อาสภาราม, ๒๕๔๖), หน้า ๔ – ๒๖๐.

๑๐๔

๕.๑.๑ ความหมายวิปสั สนา
วเิ สเสน ปสั สตีติ = วิปสั สนา ปญั ญาอันเห็นแจง้ เปน็ พิเศษชอื่ วา่ วิปัสสนาและเราสามารถ
แปลไดถ้ งึ ๓ ลักษณะดงั ต่อไปนี้
๑. วิปัสสนา แปลวา่ เห็นแจ้งในอารมณ์ คอื รูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะว่าเป็นเพียงรูป
นามและเปน็ ของไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนัตตา ไม่เห็นอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดย
ความเป็นสมมติบัญญัติ และไม่เห็นผิดไปว่า อารมณ์ คือ รูป เสียง เป็นต้นนั้น เป็นของเที่ยง เป็นสุข
เปน็ ตัวตน เป็นของสวยงาม หมายความว่า มีปัญญาพิจารณาเห็นรูป นามและเห็นความไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตาเป็นอสุภะของรูปนามตามความเป็นจริงนั่นเอง ช่ือว่า วิปัสสนา เพราะเห็นแจ้งใน
อารมณท์ ง้ั หลาย มรี ูปเปน็ ต้น โดยเป็นเพียงรูปนามบ้าง โดยอาการท่ีไม่เท่ียงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาบ้าง
พิเศษไปจากสมมตบิ ัญญตั แิ ละพเิ ศษไปจากสญั ญาวิปลาสท้งั ๔ คอื นจิ จสัญญา สุขสัญญา อัตตสัญญา
สภุ สัญญา
๒. วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้งโดยวิเศษ ดังมีหลักฐานรับรองไว้ว่า วิเสเสน ปสฺสตีติ
วิปสฺสนา ชื่อว่า วิปัสสนา เพราะเห็นแจ้งโดยวิเศษ หมายความว่า ผู้เจริญวิปัสสนานั้น เม่ือมีปัญญา
เกิดข้ึนมาแล้ว ย่อมสามารถจะได้รู้ได้เห็นรูปนามและเห็นความเป็นไปต่างๆ ของรูปนามทางทวารทั้ง
๖ ตามความเปน็ จริง และเหน็ พเิ ศษย่งิ ข้ึนไปกวา่ น้ัน
๓. วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้งขันธ์ ๕ ว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ช่ือว่า วิปัสสนา
เพราะอรรถวา่ เหน็ แจ้งในขันธ์ ๕ โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีประการต่างๆ หมายความว่า
เม่ือนักปฏิบัติธรรมได้เจริญวิปัสสนามาโดยลาดับๆ แล้ว จะมีสติปัญญารู้แจ้งขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง คือเห็นว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนิจจัง คือไม่เท่ียง มีแต่เสื่อมไป
สิ้นไปเป็นนิตย์ เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้ เป็นของน่ากลัว เป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีสาระ
แก่นสารอะไรเลย เม่ือพิจารณาเห็นอย่างนี้ เม่ือใด เม่ือนั้นก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์นั่นแหละ
เปน็ แนวทางแหง่ ความบริสุทธิ์
๕.๑.๒ หลักการปฏิบัตวิ ปิ ัสสนา
สติปัฏฐาน ๔ กาเนิดในกุรุรัฐ มิใช่แต่มนุษย์เท่าน้ันท่ีเจริญสติปัฏฐาน ๔ แม้แต่สัตว์
ดิรัจฉานที่ อาศัยมนุษย์ก็เจริญสติปัฏฐานเหมือนกัน คือการต้ังสติอย่างใหญ่กาหนดพิจารณาส่ิง
ทงั้ หลายให้รู้เห็นตามความเปน็ จริงดงั น้ี
(ก) กายานุปัสสนา การต้ังสติพิจารณากาย แบ่งย่อยออกไปเป็น ๖ ส่วน (การตั้งสติ
กาหนดพิจารณากายให้รเู้ หน็ ตามความเปน็ จริงวา่ เปน็ แตเ่ พียงกายไม่ใช่สัตวบ์ คุ คล ตัวตนเราเขา)

๑. อานาปานสติ กาหนดลมหายใจเข้า - ออก
๒. อิรยิ าบถกาหนดให้ร้เู ทา่ ทันอริ ิยาบถ
๓. สัมปชัญญะความรู้ตวั ในการเคลอื่ นไหวทกุ อย่าง

๑๐๕

๔. ปฏิกูลมนสิการพิจารณาส่วนประกอบของรา่ งกายวา่ เปน็ ของไมส่ ะอาด

๕. ธาตมุ นสกิ ารพิจารณารา่ งกายของตนให้เห็นวา่ เป็นสกั แตว่ ่าธาตแุ ตล่ ะอยา่ งๆ

๖. นวสีวถิกาพิจาณาซากศพในสภาพต่างๆ ต้ังแต่เริ่มตายใหม่ๆ จนถึงกระดูกป่น

เป็นผยุ ผง (ปา่ ชา้ ๙) ให้เหน็ ว่าร่างกายของผอู้ ่ืน (ซากศพทีก่ าลงั พิจารณา) เป็นเช่นใดร่างกายของเราก็

จักเป็นเชน่ นัน้ รวมเป็น ๖ สว่ น

(ข) เวทนานุปัสสนา คือ การต้ังสติกาหนดพิจารณาเวทนา ได้แก่ความรู้สึกอารมณ์ให้รู้

เห็นตามความเป็นจรงิ ว่าเป็นเพียงเวทนา...ท่เี ปน็ อยู่ในขณะนน้ั ๆ

๑. สขุ ๒. ทกุ ข์

๓. ไมท่ ุกข์ไมส่ ขุ ๔. สขุ ประกอบด้วยอามสิ

๕. สขุ ไม่ประกอบด้วยอามสิ ๖. ทุกขป์ ระกอบดว้ ยอามสิ

๗. ทุกขไ์ ม่ประกอบด้วยอามสิ ๘. ไม่ทกุ ข์ไม่สุขประกอบด้วยอามสิ

๙. ไม่ทกุ ข์ไม่สุข ไม่ประกอบด้วยอามสิ รวมเปน็ ๙ อยา่ ง

(ค) จิตตานุปัสสนา คือ การตั้งสตกิ าหนดพจิ ารณาจิต ...ดงั นี้

๑. จิตมีราคะ ๒. จติ ไม่มีราคะ

๓. จติ มโี ทสะ ๔. จติ ไม่มโี ทสะ

๕. จิตมโี มหะ ๖. จติ ไม่มโี มหะ

๗. จิตหดหู่ ๘. จติ ฟงุ้ ซา่ น

๙. จิตใหญ่ (จิตในฌาน) ๑๐. จติ ไมใ่ หญ่ (จิตท่ีไมถ่ ึงฌาน)

๑๑. จติ มจี ิตอนื่ ยิ่งกวา่ ๑๒. จิตไมม่ จี ิตอื่นย่ิงกว่า

๑๓. จิตตงั้ มน่ั ๑๔. จิตไม่ต้ังมั่น

๑๕. จติ หลุดพน้ ๑๖. จติ ไม่หลุดพ้น รวม ๑๖ อยา่ ง

(ง) ธมั มานปุ สั สนา คือ การตงั้ สตกิ าหนดพิจารณาธรรม ...ดังนี้

๑. พจิ ารณาธรรมท่ี ก้ันจิตไม่ให้บรรลุสมาธิ คือ นิวรณ์ ๕ (มีกามฉันท์ พยาบาทถีน-

มทิ ธะ อุทธจั จกกุ กุจะ และวิจกิ จิ ฉา เรียกว่า นีวรณบรรพ)

๒. ขันธ์ ๕ คอื รปู เวทนาสั ญญา สังขาร และวิญญาณ เรยี กวา่ ขันธบรรพ

๓. อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูกลิ้น กาย และใจ และอายตนะภายนอก ๖คือ

รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะและธมั มารมณ์ เรียกว่า อายตนบรรพ

๔. โพชฌงค์ ๗ คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา เรียกว่า

โพชฌงคบรรพ

๕. อรยิ สจั จ์ ๔ คอื ทกุ ข์ ทกุ ขสมุทัย ทกุ ขนิโรธ ทุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทารวม

๑๐๖

อานิสงส์ ของการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน ๔ พระพุทธองค์ เมื่อได้ตรัสเทศนามหาสติปัฏ
ฐานสตู รแล้วได้ตรสั ถงึ อานสิ งส์ ๒ ประการคือ บรรลพุ ระอรหตั ตผลในชาติปัจจุบัน หากยังมีอุปาทิ คือ
สงั โยชน์ ๑๐หรือ อนุสัย ๗ (มกี ามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ และอวิชชา) เหลืออยู่
จะได้เป็นพระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกน้ีอีก) คือ เป็นผู้จะได้บรรลุพระอรหัตตผล หรือพระ
อนาคามิผล ในชาตนิ ้เี ป็นแน่นอนภายใน ๗ ปี หรือลดลงไปจนถึงเพียง ๗ วัน และต่อไปจะได้กล่าวถึง
หลกั การและวิธีการปฏิบัตใิ นหมวดอรยิ าปถปัพพะเปน็ ลาดับไป

๕.๒ วธิ ีการปฏบิ ตั ใิ นอิรยิ าบถ ๔

๕.๒.๑ ความหมายการเดนิ จงกรม
การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถหน่ึงที่มีความสาคัญมากคู่กับการน่ังกาหนด คาว่า
“จงกรม”๒ คาน้ี เป็นภาษาสันสกฤต มาจากภาษาบาลีว่า “จงฺกม หรือ จงฺกมน” ซ่ึงมีความหมายว่า
“การเดนิ กลบั ไปกลับมา” ดงั มีรปู วเิ คราะหว์ า่ “กมโน จ อากโม จ = จงฺกโม การก้าวไปก้าวมา (กม +
อากม,แปลง ก เป็น จ, แปลง ม เป็นนิคหิต, แล้วแปลงนิคหิตเป็น ง ลบ อาหน้ากม) และมีรูป
วิเคราะห์อีกว่า “จงฺกมติ เอตฺถาติ = จงฺกโม ที่เป็นท่ีก้าวไป” (กมุ ธาตุในความหมายว่าก้าวไป อ
ปัจจัย, ซ้อน ก หน้าธาตุ, แปลง ก เป็น จ, ลงนิคหิตอาคมแล้วแปลงเป็น ง) คาว่า “จงฺกม” หมายถึง
การเดินจงกรม ทีเ่ ดนิ จงกรม (กมุ+ยุ)
จงกรมคอื การเดินไปมาในที่ท่ีกาหนดไว้เป็นการเดินไปมาอย่างช้าๆ โดยมีสติกาหนดอยู่
ท่ีเท้าทั้งสองข้าง เช่นเมื่อก้าวเท้าขวาก็กาหนดรู้ว่ากาลังก้าวเท้าขาว เมื่อก้าวเท้าซ้ายก็กาหนดรู้ว่า
กาลังก้าวเทา้ ซ้าย จะวา่ บริกรรมในขณะนั้นด้วยก็ได้ จะเดินไปแล้วกลับมาในทางเดียวกันหรือเดินเป็น
วงกลมกไ็ ด้ แลว้ แตส่ ถานทจี่ ะอานวย และกลา่ ววา่ จงกรม เปน็ อบุ ายวธิ ีบริหารกาย คือทาให้กายผ่อน
คลาย ชว่ ยยอ่ ยอาหาร บรหิ ารจติ คอื ทาใหจ้ ติ คลายเครยี ด บริหารสติ คอื ทาใหส้ ติต้ังม่ันอยู่กับอารมณ์
ไมส่ ่นั ไหว เป็นการปฏิบัติกรรมฐานอยา่ งหนง่ึ ท่ีนิยมปฏบิ ตั กิ ันทัว่ ไป
การเดนิ จงกรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เดินสมาธิ หมายถึง การเดินกลับไปกลับมาใน
แนวตรง มีสติตามรู้อาการยา่ งกา้ วนนั้ โดยละเอยี ด การเดนิ จงกรมเป็นหน่ึงในวิธีการเจริญสติปัฏฐานส่ี
เพราะการเดินเพ่ือให้เกดิ สมาธแิ ละมผี ลเรว็ กวา่ การนัง่ กรรมฐาน การเดินนี้เท่ากับเป็นการต้อนสติไว้ท่ี
เทา้ เวลาเดินให้มีสตริ ู้การเดนิ กาหนดร้กู ารเคล่ือนไหวของเท้าวา่ “ขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ”
สรุป การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถหนึ่งในอิริยาปถปัพพะ คือ การยืน เดิน นั่ง นอน และ
เป็นอิริยาบถใหญ่ของมนุษยชาติ อิริยาบถเดินจัดเป็นการท่ีเคล่ือนไหวของร่างกายในส่วนเท้าสาหรับ

๒ พระธรรมกติ ตวิ งศ์ (ทองดี สรุ เตโช), พจนานกุ รมเพอื่ การศกึ ษาพทุ ธศาสน์ ชดุ ศพั ทว์ เิ คราะห์,
กรงุ เทพมหานคร: ม.ป.พ. ๒๕๕๐), หนา้ ๒๔๑.

๑๐๗

การเดินกรรมฐานหรือการเดินจงกรมน้ีเป็นการเดินปฏิบัติธรรม เพื่อฝึกฝนอบรมจิตให้สงบระงับจาก
นวิ รณ์เป็นสภาพจิตท่ีมีความสุข ตลอดถึงเพือ่ บรรลุคณุ ธรรมชัน้ สงู คือมรรค ผล นิพพาน อกี ด้วย

๕.๒.๒ ทีม่ าของการเดนิ จงกรม
พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นพุทธพจน์ท่ีมาของการเดินจงกรมไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า๓
“ปุน จปร ภิกฺขเว ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, นิสินฺโน วา นิสินฺโนมฺหีติ ปชานาติ, สยาโน
วา สยาโนมฺหีติ ปชานาติ, ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา นมฺปชานาติ.” แปล
ความว่า ภิกษทุ ง้ั หลาย อีกประการหนง่ึ ภกิ ษุเมื่อเดนิ อยู่ กร็ ้ชู ดั วา่ เราเดนิ , เม่ือยนื อยู่ ก็รู้ชัดว่าเรายืน
, เมื่อน่ังอยู่ ก็รู้ชัดว่าเราน่ัง, หรือเม่ือนอนอยู่ ก็รู้ชัดว่าเรานอน, ภิกษุนั้นเม่ือกายดารงอยู่โดยอาการ
ใดๆ กร็ ู้ชดั กายทีด่ ารงอยูโ่ ดยอาการน้ันๆ และในหมวดสัมปชัญญปัพพะ คือการตามรู้อิริยาบถย่อยดัง
มีพุทธพจน์ว่า “ปุน จปร ภิกฺขเว ภิกฺขุ อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ. แปลความว่า
ภิกษุทงั้ หลาย วธิ ีปฏบิ ตั ิอีกนัยหนึง่ คือ ภิกษุเปน็ ผู้ทาความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการก้าวไปข้างหน้า ในการ
ถอยกลบั หลัง” ดังนี้
ในอปัณณกสูตรพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า๔ “อิธ ภิกขเว ภิกฺขุ ทวิส จงฺกเมน นิสชฺชาย
อาวรณิเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺต ปริโสเธต,ิ รตตฺ ิยา ปฐฺม ยาม จงฺกเมน นสิ ชิ ฺชาย อาวรณเิ ยหิ ธมฺเมหิ จิตฺต ปริ
โสเธติ, รตฺติยา มชฺฌิม ยาม ปสฺเสน สีหเสยฺย กปฺเปติ ปาเทน ปาท อจฺจาธาย, สโต สมฺปชาโน
อุฏฺฐฺานสญฺญ มนสิกริตฺวา, รตฺติยา ปจฺฉิม ยาม ปจฺจุฏฺฐฺาย จงฺกเมน นิสชฺชาย, อาวรณิเยหิ ธมฺเมหิ
จติ ตฺ ปรโิ สเธติ. เอว โข ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ ชาคริย อนุยุตโฺ ต โหติ”. แปลวา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย ภิกษใุ นศาสนานี้
ยอ่ มชาระจติ ใหบ้ ริสทุ ธิจ์ ากนิวรณแ์ ละอกศุ ลกรรมท้งั หลาย อันเป็นเครื่องกาบังใจ ด้วยการเดินจงกรม
ด้วยการน่ังสมาธิ (รวมทั้งยืน) กาหนดสลับกันตลอดวัน ในเวลากลางคืน ย่อมชาระจิตให้บริสุทธิ์จาก
นิวรณ์และอกุศลธรรมท้ังหลาย อันเป็นเครื่องกาบังใจ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการน่ังสมาธิ กาหนด
สลับกันตลอดปฐมยาม ครั้นถึงมัชฌิมยามก็สาเร็จสีหไสยา (นอนตะแคงขวา) โดยเอาเท้าขวาเหล่ียม
เท้าซ้าย มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะกาหนดลุกขึ้น คร้ันถึงปัจฉิมยาม ก็ลุกข้ึนชาระจิตให้บริสุทธิ์
จากนิวรณ์และอกุศลธรรมท้ังหลาย อันเป็นเคร่ืองกาบังใจ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิ
กาหนดสลบั กัน, ดูก่อนภิกษทุ ้ังหลาย ภกิ ษชุ ่ือวา่ เปน็ ผปู้ ระกอบด้วยความเพียรในการปฏิบัติตนให้ตื่น
อยู่เสมอด้วยวิธีการปฏบิ ัตอิ ยา่ งนี้”
ความจริงสาหรับการเดินจงกรม พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกบางพระสูตร
พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดต้ รสั เรียกว่า เปน็ การเดินจงกรม หากแตต่ รสั วา่ เป็นการกาหนดสติท่ีรูปกาย อันเป็น
อิริยาบถหน่ึงในอิริยาบถท้ังส่ี (กายานุปัสสนา อิริยาปถปัพพะ) ถ้าพูดในแง่การเดินจงกรม เราอาจ
กล่าวได้ว่าการเดินจงกรมก็คอื การเดินธรรมดา จะผดิ กับการเดนิ ธรรมดาตรงที่การเดินจงกรมเป็นการ

๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐ /๓๗๕ /๓๐๔.
๔ องฺ. ติก. (บาลี) ๒๐ /๑๔๒ / ๑๑๔.

๑๐๘

เดินอย่างมี“สติ” หรือมีสติคอยกาหนดอยู่ในเวลาเดิน การเดินจงกรมหรือการเดินสมาธิ จะพบว่า
พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยไม่ได้ระบุเลยว่าต้องเดินเป็นก่ีระยะ ความหมายของการเดินจงกรมใน
พระไตรปิฎก เป็นการตรัสไว้กว้างๆ มองไม่เห็นแนวทางในการปฏิบัติจริง เพราะโดยปกติจิตของคน
จะนึกคิดเร่ืองราวต่างๆ อยู่เสมอ ดังนั้นพระอรรถกถาจารย์ผู้มีรู้ความประสงค์สามารถอธิบายวิธีที่
พระพุทธเจ้าตรัสให้ง่ายต่อการปฏิบัติ ไม่เช่นน้ันผู้ท่ีไม่เข้าใจแนวพุทธประสงค์ก็ไม่สามารถท่ีจะนามา
ปฏิบัติได้ วิธีการอธิบายการเดินจงกรมอย่างละเอียดและสามารถนาไปปฏิบัติได้ง่ายข้ึนเราจึงพบใน
คมั ภีรช์ น้ั อรรถกา

ในคมั ภีร์วสิ ุทธมิ รรค ท่านกลา่ วถึงการแบง่ สว่ นก้าวเท้า ก้าวหนงึ่ ๆ ออกเป็น ๖ ส่วน หรือ
๖ ระยะไว้ดังน้ี “ตโต เอกปทฺวาร อุทฺธรณอติหรณวีติหรณโวสฺสชฺชนสนฺนิกเขปนสนฺนิรุมฺภนวเสน ฉ
โกฏฺฐฺาเส กโรติ” หมายถึง ขณะที่ก้าวเท้าไปทาการแบ่งก้าวเท้าหน่ึงออกเป็น ๖ ส่วนหรือ ๖ ระยะ
ดงั น้ี

๑. อุทฺธรณ นาม ปาทสฺส ภูมิโต อุกฺขิปน. ยกเท้าข้ึนจากพ้ืน เรียกว่า อุทธรณะ (ยก)
เท่ากบั “ยกส้นหนอ” (ยกสน้ เทา้ ขึ้นอย่างเดยี ว)

๒. อตธิ รณ นาม ปุรโต หรณ. ยกหรอื ยืน่ เทา้ ไปขา้ งหน้า เรียกวา่ อติหรณะ (ย่าง) เท่ากับ
“ยกหนอ” (ยกปลายเท้าขึน้ )

๓. วิติหรณ นาม ขาณุกณฺฏกทีฆชาติอาทีสุ กิญฺจิเทว ทิสฺวา อิโต จิโต จ ปาทสญฺจรณ.
เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นตอเห็นหนามหรือเห็นทีฆชาติ (งู) อย่างใดอย่างหน่ึง แล้วย้ายเท้าไปข้างโน้น (และ)
ขา้ งนี้ เรียกว่า วีตหิ รณะ (ย้ายหรือย่าง) เท่ากับ “ย่างหนอ” (ย่างเท้าไปข้างหน้า)

๔. โวสสฺ ชชฺ น นาม ปาทสสฺ เหฏฺฐฺา โอโรปน, เมอ่ื ลด (หย่อน) เทา้ ต่าลงเบื้องล่าง เรียกว่า
โวสสชั ชนะ (ลง) เท่ากบั ลงหนอ (ลดระดับเทา้ ลงแต่ยังไม่ถงึ พน้ื )

๕. สนฺนิกฺเขปน นาม ปฐวีตเล ฐฺปน. วางลงท่ีพื้นดิน เรียกว่า สันนิกเขปนะ (เหยียบ)
เท่ากับ “ถกู หนอ” (ปลายเทา้ แตะพน้ื )

๖. สนนฺ ิรมุ ฺภน นาม ปุน ปาทุทธฺ รณกาเล ปาทสสฺ ปฐฺวยิ า สทธฺ ึ อภนิ ิปฺปีฬน. ขณะยกเท้า
กา้ วไปขา้ งหนา้ อีกกา้ วหนึ่ง กดเท้าอีกข้างหน่งึ ไว้กับพืน้ เรียกว่า สันนิรุมภนะ (กด) เท่ากับ “กดหนอ”
(วางเฉพาะส้นเทา้ ลง)

ฉะนน้ั พระอรรถกถาจารย์และพระวิปัสสนาจารย์ผู้ที่รู้พุทธประสงค์ในการปฏิบัติตามสติ
ปัฏฐานและตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคจึงได้นาเอาระยะหรือจังหวะท้ัง ๖ ส่วนน้ันมาแบ่งออกเป็นขั้นเป็น
ตอนแนะพรา่ สอนโยคผี ปู้ ฏบิ ตั ิใหร้ ู้จักในการเดินจงกรม ๖ ระยะเพ่ือสะดวกในการปฏิบัติเป็นชั้นๆ ไป
ดงั น้ี

๑. จงกรม ๑ ระยะ ขวาย่างหนอ, ซา้ ยย่างหนอ.
๒. จงกรม ๒ ระยะ ยกหนอ เหยยี บหนอ

๑๐๙

๓. จงกรม ๓ ระยะ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
๔. จงกรม ๔ ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
๕. จงกรม ๕ ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ
๖. จงกรม ๖ ระยะ ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ

การปฏิบัติน้ีแสดงตามวิธีกาหนดรู้อิริยาบถเดินว่า เม่ือเดินอยู่ก็มีสติกาหนดรู้ว่า “เดิน
อยู่” การตามรู้ความเคลื่อนไหวโดยละเอียดต้ังแต่ยกเท้าจนเหยียบเท้าลงโดยกาหนดว่า ขวาย่างหนอ
ซ้ายย่างหนอแต่ก่อนจะมีอิริยาบถเดินนั้น ปกติต้องมีอิริยาบถยืนก่อนดังนั้นจึงควรทราบวิธีการยืน
กรรมฐานตอ่ ไปน้ี

๕.๒.๓ การยืนกาหนด
การยืน กาหนดเป็นการฝกึ ปฏิบัติสตปิ ฏั ฐานในหมวดว่าด้วยอิริยาบถซึ่งพระพุทธเจ้าตรัส
ไวว้ า่ “ฐโิ ต วา ฐโตมฺหีติ ปชานาติ” ผูป้ ฏบิ ัตยิ ืนอยู่ กม็ ีสติกาหนดรู้ว่ายืนอยู่๕ เม่ือยืนข้ึนแล้วให้กาหนด
ยนื หนอๆ เพื่อใช้สติพิจารณาดูรูปยืนให้ชัดเจน วางเท้าซ้ายและเท้าขวาชิด ปลายเท้าเสมอกันห่างกัน
เล็กน้อย มือทั้งสองไขว้หลังหรือกุมไว้ข้างหน้า มือขวาจับมือซ้าย ศีรษะตั้งตรง ทอดสายตาไปเบ้ือง
หน้า ๑ วาหรือ ๔ ศอก การยืนตัวตรง เป็นลักษณะของการตั้งตรงของร่างกาย จัดเป็นสภาวะตึงของ
วาโยธาตุ๖ การกาหนดอิริยาบถยืนน้ันเพราะอาศัยจิตเกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตน้ันทาให้วาโยธาตุๆ ทา
ให้เกดิ ความเคลื่อนไหว การทรงตัวต้ังขึ้นแต่พื้นเท้าข้ึนมาถึงปลายผมเป็นท่ีสุด อันเกิดจากจิตปรุงแต่ง
จิต รสู้ ึกถงึ อาการยืน โดยกาหนดบริกรรมวา่ ยนื หนอๆ ใหร้ ้ลู ักษณะของสภาวะอาการของรูปยืนกับคา
บรกิ รรมภาวนาต้องพรอ้ มกนั

๕.๒.๔ วิธีปฏิบัติ

๑. ยืนตัวตรง ยดื ตัวตรง ไมโ่ ยกตัว ศรี ษะตรง ไม่โยกศรี ษะ
๒. ลาคอตรง หน้าตรง ไม่เงยหน้าหรอื กม้ หน้าให้มากไป
๓. เท้าทั้ง ๒ ห่างกันเล็กน้อย ประมาณ ๒๐ เซนติเมตร (เท่าฝ่าเท้าหนึ่ง) และให้เท้า
เสมอกัน
๔. ยืนใหข้ าทง้ั ๒ ขา้ งตรงยืนอยา่ งมั่นคง ยืนอยา่ งสารวม
๕. กายสว่ นบนและส่วนล่างต้งั ตรง และน่ิง
๖. ทอดแขนหรอื ปล่อยแขนทั้ง ๒ ลง โดยไม่ยกหรือชขู น้ึ
๗. มอื ไขวก้ นั ไว้ดา้ นหน้าหรือด้านหลงั มือขวาจบั มือซา้ ยเบาๆ

๕ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๓๒๓.
๖ พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ), มหาสติปฏั ฐานสตู ร ทางสพู่ ระนพิ พาน. แปลโดย พระคนั ธสาราภิ
วงค์, หนา้ ๗๗.

๑๑๐

๘. ทอดสายตาลงพื้นหา่ งจากปลายเท้าประมาณ ๔ ศอก หรอื ๑ วา จะหลับตาก็ได้
๙. เอาสติกาหนดรู้อาการยืน (คืออาการต้ังตรงของร่างกาย) กาหนดว่า “ยืนหนอ” ๓
คร้งั นอ้ มจติ เขา้ มาดูกายยืน
๑๐. แต่ละคร้ังแบง่ เป็น ๒ ชว่ ง คอื ช่วงแรกคาวา่ “ยืน” ให้เอาจิตพิจารณาร่างกายต้ังแต่
ปลายเท้าข้ึนมาถึงสะดือ เมื่อกาหนดว่า “หนอ” ให้พิจารณากายต้ังแต่สะดือขึ้นไปถึงศีรษะกลับไป
กลับมาอยูอ่ ย่างนี้จนครบ ๓ ครง้ั
๑๑. ขณะยืนกาหนดจะหลับตาหรือลืมตาก็ได้แต่ให้สติอยู่กับกายของเราตลอดเวลาโดย
กาหนดว่า “ยืนหนอ” ๓ ครง้ั เพ่อื เตรยี มท่ีจะเดนิ ต่อไป
๕.๒.๕ วธิ ีเดินจงกรม ๒ ระยะ
เม่ือเริ่มเดินพึงตั้งกายให้ตรง ยืดตัวให้ตรง ลาคอต้ังตรง ไม่ก้มหน้าหรือเงยหน้า
ทอดสายตาลงไปข้างหน้าประมาณ ๔ ศอกหรือ ๒ เมตร ไม่ควรจ้องพื้นท่ีจุดใดจุดหนึ่ง ทอดแขนทั้ง
สองหรือวางมือขวาทับมือซ้าย (หรือมือทั้ง ๒ ประสานกันไว้ข้างหน้าหรือข้างหลัง) แยกเท้าทั้งสอง
ห่างกันพอสมควรไม่ควรเดินให้เท้าชิดกันเพราะจะทาให้การทรงตัวไม่สมดุลกัน ขณะเดินจะต้อง
สารวมตา ไม่ควรเหลียวหรอื ห่วงส่งิ ใดส่ิงหนง่ึ เพราะจะทาให้ขาดสติการกาหนดรู้ปัจจุบันอารมณ์และ
เกิดความฟุ้งซ่านผู้ปฏิบัติธรรมพึงจดจ่ออาการเคลื่อนไหวโดยละเอียด ต้ังแต่ยกเท้าขึ้นจนกระท่ัง
เหยียบเท้าลง ตามรู้ทันอาการเคล่ือนไหวที่ค่อยๆ เคลื่อนจากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหน่ึง มีความ
สมบูรณ์และแม่นยาในการกาหนดรู้ พยายามสังเกตอาการเบาท่ีเกิดข้ึนเม่ือยกเท้าออกไป พยายาม
สังเกตดูอาการหนักท่ีเกิดขึ้นเมื่อเหยียบเท้าลง ควรใช้เวลาการเดินจงกรมและการน่ังสมาธิเท่าๆ กัน
เพือ่ ให้การปฏิบัตเิ ปน็ ไปตามหลักของสตปิ ัฏฐานชัดเจนย่ิงขึน้
๕.๒.๖ วธิ ปี ฏบิ ัติ

๑. กาหนดอาการ “ยืนหนอ” ๓ ครง้ั
๒. กาหนดตน้ จิตวา่ “อยากเดินหนอ” ๓ ครงั้
๓. เอาสติต้ังไว้ที่ส้นเท้าขวาท่ีจะยกแล้วกาหนดว่า “ยกหนอ” เอาสติตั้งไว้ท่ีเท้า
“เหยียบหนอ”
๔. ขณะยกเทา้ ขน้ึ (ปลายเท้ายังติดพ้ืนอยู่) กาหนดพร้อมกับอาการยกว่า “ยกหนอ”
โดยกาหนดรู้อาการเคลอ่ื นของเท้า
๕. ในขณะยกเท้าขึ้นช้าๆ ให้กาหนดพร้อม กับรู้อาการยกของเท้าว่า “ยกหนอ”
โดยกาหนดร้อู าการเคล่ือนไหวของเท้าจากเบ้ืองล่างขน้ึ สเู่ บ้ืองบน
๕.๒.๗ ขอ้ สังเกตลักษณะของธาตุ ๔ ในขณะยกเท้า
๑. การยก (อุทฺธรณ) เกดิ จากธาตไุ ฟ และธาตลุ ม
๒. การยา่ ง (อตหิ รณ) เกดิ จากธาตุไฟ และธาตุลม

๑๑๑

๓. การก้าวไปข้างหน้า (วีหรณ) เกดิ จากธาตไุ ฟ และธาตลุ ม
๔. การเหยยี บ (โวสสฺ ชฺชน) เกิดจากธาตุดนิ และธาตนุ า้
๕. กาวาง (สนนฺ กิ ฺเขปน) เกิดจากธาตุดนิ และธาตุนา้
๖. การกด (สนตฺ รมุ ฺภน) เกดิ จากธาตุดิน และธาตนุ ้า
อย่างไรก็ตามคัมภีร์ฎีกาได้ช้ีแจงเพิ่มเติมว่าธาตุไฟเบากว่าธาตุลมและธาตุน้าหนัก
กวา่ ธาตุดินจึงสรปุ สภาวะของธาตใุ นขณะเดินได้วา่
๑. การยก (อุทธรณ) เกิดจากธาตุไฟเป็นหลัก ธาตุลมคล้อยตาม เพราะธาตุไฟมี
สภาพเบากว่าธาตุลม ตามอาการปรากฏ (ปจั จุปัฏฐฺาน) ของธาตุไฟว่า มทฺทวานุปฺปาทนปุจฺจุปฏฺฐฺานา
(มีการให้ถงึ ความอ่อนและพุ่งข้ึนสูงเป็นเคร่ืองปรากฏ)
๒. การย่าง (อติหรณ) เกิดจากธาตุไฟเป็นหลัก ธาตุลมคล้อยตาม เพราะมีสภาพ
ผลักดนั ตามอาการของธาตุลมว่า อภินีหารปจฺจุปฏฺฐฺานา (มกี ารผลักดันเป็นเครือ่ งปรากฏ)
๓. การก้าวไปข้างหนา้ (วตี ิหรณ) เกิดจากธาตุลมเป็นหลัก ธาตุไฟคล้อยตาม เพราะ
มีสภาพผลกั ดัน
๔. การเหยียบ (โวสฺสชฺชน) เกิดจากธาตุน้าเป็นหลัก ธาตุดินคล้อยตาม เพราะธาตุ
นา้ มี สภาพหนักกว่าธาตุดิน ตามลักษณะของธาตุน้าว่า ปคฺฆรณลกฺขณา (มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม)
เนอ่ื งด้วยธาตุนา้ มีลกั ษณะไหลไปสู่ทตี่ ่าจงึ หนกั กว่าธาตดุ ิน
๕. การวาง (สนนฺ ิกฺเขปน) เกิดจากธาตดุ นิ เปน็ หลกั ธาตุน้าคล้อยตาม เพราะมีสภาพ
สัมผัสความแข็งหรืออ่อน ตามลักษณะของธาตุดินว่า “กกฺขฬตฺตลกฺขณา” (มีลักษณะแข็งหรืออ่อน)
และตามหน้าที่ของธาตดุ นิ ว่า ปติฏฺฐฺานรสา (มหี นา้ ที่ตัง้ ไว)้
๖. การกด (สนฺติรุมฺภน) เกิดจากธาตุดินเป็นหลัก ธาตุน้าคล้อยตามคัมภีร์ฎีกาได้
กลา่ วตอ่ ไปอกี ว่า
“วาโยธาตุยา อนุคตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส ปจฺจดย. อุทฺธรณคติกา หิ เตโชธาตูติ.
ความว่าธาตไุ ฟที่มีธาตุลมตามไป ย่อมเปน็ ปจั จยั แกก่ ารยก เพราะธาตไุ ฟมีสภาวะพงุ่ ข้ึนสูง”
“เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ อติหรณวิติหรณาน ปจฺจโย. ติริยคติกาย หิ วาโยธาตุยา
อติหรณวหี รเณสุ สาตสิ โย พฺยาปาโรติ. “ธาตลุ มอนั มีธาตไุ ฟตามไป ย่อมเป็นปัจจัยแก่การย่างและก้าว
ไปข้างหน้า เพราะความขวนขวายย่ิงในการย่างเท้าและดันเท้า ย่อมมีแก่ธาตุลมที่มีสภาวะไป
ทางขวาง”
“ปฐฺวีธาตุยา อนุคตา อาโปธาตุ โวสฺสชฺชนสฺส ปจฺจโย. ครุตสภาวา หิ อาโปธาตูติ.
แปลว่า ธาตุน้า อันมธี าตดุ ินตามไป ยอ่ มเป็นปัจจัยแกก่ ารเหยียบ เพราะธาตุน้ามีสภาวะหนักกว่า(ธาตุ
ดนิ )

๑๑๒

การยืน เกิดจากจิตตชวาโยธาตุ คอื จิตที่อยากยืนน่ันเอง ทาให้วาโยธาตุเกิดพลังงานและ
รปู กลาปทง้ั หลาย (รูปท่ีอยรู่ วมกันเป็นกลุ่ม) เคลอื่ นท่ี ตั้งแต่พื้นเท้าถึงเบ้ืองบนนั้น โดยการยืดร่างกาย
จากรูปน่ังให้ตรงขึ้น พื้นฝ่าเท้าตั้งอยู่บนพ้ืนเรียกว่า ยืน จิตที่อยากยืนนั้นเป็นนาม เพราะมีการน้อม
ไปสกู่ ารยืนซ่งึ เป็นรปู อาการเคลือ่ นไหวของร่างกายนนั้ เปน็ รูป

การเดินไมม่ ผี ใู้ ดใครผหู้ นงึ่ ไมใ่ ช่สัตว์ บคุ คลเดนิ เป็นเพราะจิตตชวาโยธาตุ คือจิตที่อยาก
เดนิ ไปนั่นเอง สงั่ ให้วาโยธาตแุ ล่นท่ัวร่างกาย ทาให้เท้าก้าวย่างเดินไป การก้าวไปเป็นรูป จิตสั่งให้ก้าว
ไปเปน็ นาม เทา่ น้ันเองอาการเคลือ่ นไหวของจติ ตชวาโยธาตุได้บังเกิดนั้นต้องมีสตสิ ัมปชัญญะรวู้ า่ ได้ไป

การนั่งเกิดจากจิตตชวาโยธาตุ คือจิตที่อยากจะน่ังนั่นเอง ทาให้วาโยธาตุเกิดพลังงาน
และรูปกลาปท้ังหลายเคลอ่ื นท่ี ทาใหร้ า่ งกายตอนล่างอ่อนลง สว่ นเบอื้ งบนตง้ั ข้ึนนน้ั เรยี กว่า นั่ง จิตที่
อยากน่ังน้ันเป็นนาม เพราะมีการน้อมไปสู่การน่ังซ่ึงเป็นรูป จิตที่อยากน่ังน้ันเป็นเหตุ จิตตชวาโยธิ
กรูปนง่ั น้นั เปน็ ผล

การนอนเกิดจากจิตตชวาโยธาตุ จิตท่ีต้องการจะนอน ทาให้วาโยธาตุเกิดพลังงาน และ
รปู กลาปท้งั หลายเคลือ่ นที่ ทาให้รา่ งกายลม้ เอนลงแลว้ เหยียดออกนั้น เรยี กว่า นอน

๕.๒.๘ อานสิ งส์ของการเดนิ จงกรม
ประโยชน์หรืออานิสงส์ของการเดินจงกรม พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในพระสุตตันตปิกฎ
อังคตุ ตรนิกาย ปัญจกนบิ าต มอี ยู่ ๕ ประการ ดงั นี้
๑. อทฺธานกฺขโม โหติ มีความอดทนต่อการเดินทางไกล คือการเดินจงกรมนี้ ทาให้ผู้
ปฏิบัติเป็นผู้อดทนในการเดินทางไกล คือเดินได้ทน เดินได้นาน และเดินได้ไวด้วย เพราะมีร่างกาย
แขง็ แรง เนื่องจากฝึกเดินอยู่เป็นประจา มีสุขภาพดี เราจะพบว่า พระกรรมฐานส่วนใหญ่ ท่านอดทน
และเดินเก่งทั้งส้ิน เพราะท่านเดินจงกรมจงกรมอยู่เป็นประจา และมักจะเป็นผู้มีอายุยืน เพราะ
ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่ค่อยเคล่ือนไหว ไม่ค่อยเดิน แต่มักชอบน่ังหรือนอน
ร่างกายจะอ่อนแอ เมื่อถึงคราวจะเดินทางไกลเข้าจริงก็เดินได้ไม่ทน เดินได้นิดหน่อยก็มักจะเหน่ือย
แล้ว ฉะนั้น คนทีร่ า่ งกายออ่ นแอเดนิ ไปไหนไม่สะดวก ขอให้ทดลองฝึกเดินจงกรมเป็นประจาก็จะเห็น
ผลไดใ้ นไม่ชา้ เพราะสุขภาพกายและสขุ ภาพจติ จะมีมากข้ึน
๒. ปธานกขฺ โม โหติ มคี วามอดทนต่อการบาเพ็ญเพียร คอื การเดินจงกรมนี้ ทาให้เป็นคน
อดทนต่อการทาความเพียร คาว่า “ทาความเพียร” ในท่ีน้ี หมายถึงผู้ทาความเพียรเพื่อชาระจิตให้
สงบ เพ่อื ทาลายกเิ ลส หรือเพ่ือพัฒนาจิต เพราะผู้ท่ีฝึกจิต ถ้าเพียงแต่น่ังอย่างเดียว ไม่เดินจงกรมเลย
จะนัง่ ไม่ไดน้ าน เพราะความเมอ่ื ยขบมักจะมีมาก แต่ถ้าหากวา่ ผู้ฝกึ จติ เดินจงกรมสลับกับการนั่ง จะทา
ให้การทาสมาธิเป็นไปได้นาน นักปฏิบัติจึงมักจะใช้การเดินจงกรมสลับกับการน่ัง เพราะทาให้อดทน
ได้ และปฏิบัติติดต่อกันได้เป็นช่ัวโมง หรือแม้แต่เป็นวันก็ยังทาได้ และจะทาให้การฝึกจิตได้ผลไวข้ึน
เพราะในการบาเพ็ญภาวนาน้ันจะต้องทาบ่อยๆ มีความขยันหม่ันเพียรพยายาม ดังพระบาลีท่ีว่า

๑๑๓

“ฆเฎนฺโต วายมนโฺ ต เพียรอยู่ พยายามอยู่” คือต้องทาบ่อยๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่ทาวันหนึ่งหยุดไปนาน
หลายวัน แต่ต้องทาติดต่อกัน ทาทุกวัน อย่างน้อยวันละคร่ึงช่ัวโมง ถึง ๑ ช่ัวโมง จิตจึงจะสงบได้ง่าย
ถา้ เดินจงกรมสลับกบั การนงั่ แลว้ จะทาใหเ้ ปน็ คนอดทนในการทาความเพยี ร

๓. อปปฺ าพาโธ โหติ. มีโรคภัยไขเจ็บนอ้ ย (มีสุขภาพด)ี มีอาพาธน้อย คอื ใครกต็ ามท่ีเดิน
จงกรมอยูเ่ สมอเป็นประจา จะมีสุขภาพสมบูรณ์แน่นอน ดังท่ีนายแพทย์ทั้งหลายแนะนาให้ประชาชน
ออกเดินเลน่ ในตอนเช้าๆ เพ่ือออกกาลังกายและเพ่ือสูดอากาศบริสุทธ์ิ โดยชี้ให้เห็นผลของการเดินว่า
ทาให้โรคหลายชนิดหายไปได้ เช่น โรคเบาหวาน ทั้งการเดินจงกรมน้ี ทาให้ลดความอ้วนได้ด้วย บาง
ท่านที่มีน้าหนักตัวมาก เดินจงกรมติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา ๑ เดือน สามารถลดความอ้วนได้หลาย
กโิ ลกเ็ คยมี ถ้าเดนิ บ่อยๆ แล้ว แม้ไม่ต้องรับประทานยา โรคเบาหวานก็หายได้ และการเดินยังช่วยให้
ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ทาให้เป็นคนไม่มีโรค ไม่ค่อยเจ็บ ซ่ึงพระพุทธองค์ทรงค้นพบคุณประโยชน์
ของการเดินน้ีมาด้วยพระองค์เอง ก่อนแพทย์ในปัจจุบันเป็นเวลานานถึง ๒,๕๐๐ ปีกว่ามาแล้ว แต่
ไม่ใช่ทรงสอนให้เดินเล่นอย่างคนทั่วไปเดินกัน แต่ทรงสอนให้เดินจงกรม เพ่ือบริหารจิตเป็นสาคัญ
และทาใหเ้ ปน็ ผลดแี ก่การบรหิ ารกายดว้ ย ฉะนน้ั ผเู้ ดนิ จงกรมจึงมีอาพาธน้อย มีสุขภาพดี ทาให้มีอายุ
ยนื

๔. อสิต ปีต ขายต สายต สมฺมาปริณาม คจฺฉติ. ของที่กิน ด่ืม เคี้ยว ล้ิมแล้วย่อมย่อยดี
(อาหารท่ีรับประทานแล้วย่อยได้ง่าย) คือใครก็ตามถ้ารับประทานอาหารแล้ว มัวแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่
ค่อยเคล่อื นไหวหรอื ไม่คอ่ ยทางาน การยอ่ ยอาหารกไ็ ม่คอ่ ยสะดวก เพราะรา่ งกายไม่ค่อยได้เคล่ือนไหว
ร่างกายก็ใช้พลังงานน้อย อาหารที่บริโภคเข้าไปมักจะตกค้างอยู่ทาให้เกิดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อได้
ง่าย แต่ถ้าเดินหรือทางานอันเกี่ยวกับการเคล่ือนไหวร่างกายมาก การย่อยอาหารในร่างกายก็สะดวก
ยอ่ ยงา่ ย ไมท่ าให้ท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นเหตุส่งเสริมสุขภาพให้ดีข้ึน ทาให้ไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะ
การเดนิ จงกรมทาใหน้ า้ ย่อยหล่งั ออกมา ย่อยอาหารประเภทตา่ งๆ ได้ง่าย

๕. จงฺกมธิคโต สมาธิ จิรฏฺฐิติโก โหติ. สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมก่อน ย่อมตั้งอยู่ได้
นาน ข้อนี้เป็นอานิสงส์โดยตรงของการเดินจงกรม ถ้าใครเคยฝึกการเดินจงกรมแล้วจะเห็นอานิสงส์
ข้อนี้ชัด คือจิตของผู้ท่ีเดินจงกรมแล้วไปนั่งสมาธิ จะสงบไวกว่าผู้ที่นั่งแล้วไปเดินจงกรม ข้อน้ีอาจจะ
เป็นเพราะเลือดลมเดินสะดวกหรือเพราะจิตมีสติควบคุมให้สงบเป็นพื้นมาก่อนแล้วน่ัง จึงทาให้จิตใจ
สงบไวและสงบได้ง่ายกวา่ น่ังสมาธอิ ย่างเดียว บางท่านเมื่อจิตเกิดสมาธิข้ึนในขณะเดินจงกรม ก็จะยืน
นิ่งอยู่กับที่มีจิตใจสงบ อย่างน้ีเรียกว่า ได้สมาธิในขณะเดินจงกรม แต่ท่านแนะนาให้ไปนั่งเมื่อตนเอง
ร้สู ึกว่าจติ จะมีสมาธิ คอื เริ่มทาท่าจะง่วง คือ เม่ือจิตเร่ิมสงบก็ให้ไปนั่ง แล้วความสงบก็จะเกิดข้ึนทันที
บางทา่ นในขณะเดนิ จงกรมมปี ตี ิบางอย่างเกิดขน้ึ เช่นนา้ ตาไหล และตัวเบา เป็นต้น สมาธิท่ีได้ในขณะ
เดินจงกรมน้ี ดารงอยู่ไดน้ าน คือเสื่อมยาก ทงั้ น้ีก็เพราะวา่ สมาธิท่ีไดใ้ นขณะยนื เม่ือเปล่ียนไปเดินหรือ
นง่ั สมาธิก็เส่ือม หรือสมาธิที่ได้ในขณะน่ัง เมื่อเปล่ียนไปเดินหรือไปยืนก็เส่ือม หรือสมาธิที่ได้ในขณะ

๑๑๔

นอน เมื่อลกุ ขึน้ ไปยืนหรือน่งั หรอื เดิน ก็เส่ือมได้ง่าย แต่สมาธิท่ีได้ในขณะเดินจงกรม แม้ผู้นั้นจะไปน่ัง
จะไปนอน จะไปยืนสมาธิกเ็ ส่อื มยาก

๕.๓ การนง่ั กาหนด

เมื่อเดินจงกรมครบเวลาท่ีกาหนดไว้ ก็กาหนดเดินไปยืนท่ีอาสนะสาหรับน่ัง ให้มีสติ
กาหนดพิจารณารู้รูปยืน แล้วให้นั่งลง โดยเวลานั่ง ให้ค่อยๆ ย่อตัวลง เอาเข่าขวาลงถึงพ้ืนก่อนตาม
ด้วยเข่าซ้าย และจะอยู่ในท่าคุกเข่า สาหรับภิกษุ สามเณร และอุบาสก ให้เอาส้นเท้าซ้ายทับส้นเท้า
ขวา แล้วน่ังทับส้นเท้าลงไป เอามือขวาจับข้อเท้าซ้าย ยกขึ้นมาวางทับเท้าซ้ายเอามือขวาวางทับมือ
ซ้ายหัวแม่มือชนกันหรือหัวแม่มือขวาทับหัวแม่มือซ้ายก็ได้ ตั้งกายให้ตรง ดารงสติให้ม่ันทอดสายตา
ลงต่าประมาณ ๑ วา หน้าของผู้ปฏิบัติจะไม่ก้ม ไม่เงยจนเกินไป จะพอดี และศีรษะลาคอไม่ควรให้
เอียงซ้ายหรือเอียงขวา ควรตั้งให้ตรง ถ้าเป็นอุบาสิกาให้นั่งพับเพียบ สาหรับคนชรามากและผู้มี
ร่างกายไม่พร้อมก็ใหน้ ่งั เก้าอี้ได้

สิ่งสาคัญต้ังแต่เริ่มน่ังย่อตัวลงจนกว่าจะน่ังเสร็จน้ีให้ภาวนาว่า “นั่งหนอๆๆ” ไปเรื่อยๆ
พร้อมกับให้มีสติกาหนดพิจารณารู้อาการนั่งนั้นทุกขณะๆ ไปจนกว่าจะน่ังเรียบร้อยและเม่ือน่ัง
เรียบร้อยแล้วให้หลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่อาการเคลื่อนไหวภายในท้อง ตรงที่รู้สึกได้ชัดท่ีสุด (เหนือ
สะดือประมาณ ๒ น้ิว) เวลาหายใจเขา้ ทอ้ งพองใหภ้ าวนาตามอาการของท้องที่พองข้ึนว่า “พองหนอ”
ใจท่ีรู้สึกกับท้องท่ีพองต้องให้ทันกัน ให้ตรงกันพอดีอย่าให้ก่อนหรือหลังกัน พร้อมกับให้มีสติกาหนด
พิจารณารู้อาการของท้องพองว่า ต้นพอง กลางพอง สุดพองน้ัน ว่ามีอาการอย่างไรพร้อมกันไปใน
ขณะเดียวกันด้วย เวลาหายใจออกท้องยุบ ให้ภาวนาตามอาการของท้องที่ยุบลงว่า “ยุบหนอ” ใจท่ี
รู้สึกกับท้องยุบนั้น ต้องให้ทันกันให้ตรงกันพอดีอย่าให้ก่อนหรือหลังกัน พร้อมกับให้มีสติกาหนด
พิจารณารู้อาการของท้องยุบว่า ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ น้ันมีอาการอย่างไรพร้อมกันไปใน
ขณะเดยี วกนั ดว้ ย

๕.๓.๑ วธิ นี ่งั กาหนด
๑. น่ังขดั สมาธิ ตัง้ กายตรง คอตรง แตไ่ มเ่ กรง็
๒. เพง่ ความร้สู ึกไปทอี่ าการเคลื่อนไหวของท้อง
๓. จิตใจจดจ่อและแนบชิดท่ีอาการขน้ึ ๆ ลงๆ ของทอ้ งพอง-ท้องยบุ
๔. วางจิตกาหนดท่ีตรงสะดือขณะที่กาหนดควรหลับตา
๕. ใช้จิตเพียรดูอาการเคลื่อนไหวบริเวณท้อง โดยปล่อยให้ท้องเคล่ือนไหวไปเองตาม
ธรรมชาตไิ มเ่ กรง็ ทอ้ ง
๖. ขณะทที่ ้องพองขึ้นกาหนด บริกรรมในใจว่า “พองหนอๆๆ”
๗. ขณะทีท่ อ้ งแฟบลงกาหนด บริกรรมในใจวา่ “ยบุ หนอๆๆ”

๑๑๕

๘. จิตทร่ี ู้อาการพอง – ยบุ กบคาบรกิ รรม และสตทิ รี่ ะลึกร้คู วรให้พร้อมกนั
๕.๓.๒ สิง่ ที่ควรเวน้ ขณะน่งั กาหนด
๑. ไมน่ งั่ ตัวงอ เอนเอยี ง หรือกม้ ศีรษะ (เว้นแต่มสี ภาพรา่ งกายเป็นเช่นน้นั )
๒ ไม่เปล่งเสียงหรือบน่ พึมพาในขณะกาหนดอาการพอง-ยบุ
๓. ไม่ควรลืมตาเพอื่ สอดส่ายหาอารมณภ์ ายนอก
๔. ไมค่ วรพยายามเคลอ่ื นไหวรา่ งการบ่อยจนเกิดไป
๕. ไมค่ วรนงั่ พงิ เกา้ อี้ พนกั พงิ เสา (เว้นกรณีแกส้ ภาวะหรอื ทีจ่ าเปน็ จรงิ ๆ)
๖. ไม่ควรนาคาบริกรรมท่ไี ม่ตรงตามสภาวธรรมที่เป็นจริงมาใช้
๗. ไม่ควรรับคบั ลมหายใจเขา้ -ออก เพ่ือหวังจะกาหนดการพอง-ยุบ
๕.๓.๓ ข้อห้ามขณะน่ังกาหนด
๑. ห้ามเคลือ่ นไหวขณะทีน่ ง่ั สมาธิ (นงั่ น่งิ ๆ)
๒. หา้ มลืมตา เพือ่ สอดสา่ ยสายตาหาอารมณภ์ ายนอก
๓. ห้ามนั่งตัวงอ ตัวเอยี ง พิงฝาพงิ เสา นัง่ ท้าวแขนหรือก้มศีรษะ
๔. หา้ มเปลา่ เสยี งหรอื หรือบน่ พึมในขณะน่งั ภาวนาพองหนอ-ยุบหนอ
๕. ห้ามบังคบั ลมหายใจเขา้ -ออกแรงๆ หรอื ยาว, (ซง่ึ ผดิ ธรรมชาติ)
ผปู้ ฏิบตั ทิ ่กี าหนดอาการพอง-ยุบ ไดย้ ากควรกระทา ดังน้ี
การปฏิบัติธรรมควรเดินจงกรมก่อนแล้วกลับมาน่ังสมาธิ ทุกครั้ง เพราะการเดินจงกรม
ส่งผลให้เกิดสมาธิเร็ว สมาธิอยู่ได้นานกว่าการนั่งกรรมฐาน ในขณะย่อตัวลงน่ังพึงกาหนดรู้สภาวะย่อ
ตัวโดยบริกรรมว่า “ลงหนอๆๆ” พึงกาหนดรู้สภาวะการเคล่ือนไหวของกายทุกขณะๆ อิริยาบถทีมี
การเคล่ือนไหว กาหนดจิตรูปนั่ง ภาวนาว่า น่ังหนอๆ จิตแนบแน่นอยู่กับอาการปรากฏทางกาย
กาหนดร้สู ึกตัวทว่ั พร้อมสมา่ เสมอ พร้อมกับกาหนดวา่ “น่ังหนอๆ”จากนัน้ ๗
๑. ต้องน่งั ตวั ตรง หลังตรง หายใจตามปกติ ไม่ตะเบง็ ทอ้ ง
๒. ใชฝ้ ่ามือทาบท่ีหนา้ ทอ้ ง จะรู้สกึ ถึงอาการขึน้ ลงของทอ้ งชัดเจน
๓. ในตอนแรก ใหร้ ูอ้ าการพอง-ยบุ ก็พอ ยงั ไม่ต้องใส่คากาหนด
๔. ถ้าพอง-ยุบ ชัดดีแล้ว จึงใส่หนอตามอาการ ถ้าใส่หนอ ไม่ทันพองข้ึนมาก่อนก็ไม่ต้อง
ใส่ กาหนดเพียง “พอง-ยุบๆๆ” ก็พอ ถ้าอาการพอง–ยุบปกติแล้ว ต้องใส่หนอทุกคร้ัง เพื่อเพิ่มกาลัง
สมาธิและคน่ั รูปนาม
๕. ถ้าพอง-ยุบไม่ชัด ให้นอนลงเอามือทาบไว้ที่หน้าท้อง ก็จะรู้สึกอาการพอง-ยุบ ได้
ชดั เจน แล้วค่อยลุกข้นึ น่ังกาหนดใหม่

๗ ดร.ภัททนั ตะ อาสภมหาเถระ อคั คมหากรรมฐานาจริยะ,: วิปัสสนาธรุ ะ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ C.
๑๐๐ designco., ครง้ั ท่ี ๗ (๒๕๓๖) ,หนา้ ๑๓๓-๑๓๙.

๑๑๖

๖. ถ้ายงั หาไม่เจออีก ใหเ้ ปลี่ยนฐานไปกาหนด นั่งหนอ ถกู หนอ แทนกใ็ ช้ได้ หรืออารมณ์
ไหนชัดเจนกต็ ้งั สติกาหนดอารมณ์นนั้ กไ็ ด้

๕.๓.๔ กาหนดพองไม่ได้
๑. นงั่ ขดั สมาธิตามแบบทตี่ นชอบ
๒. กาหนด นงั่ หนอ พร้อมทาความรู้สึกตัววา่ ตนกาลังนง่ั อยู่ คอื รูอ้ าการท่ตี ัวน่งั อยู่
๓. ขณะกาหนดรูปนั่ง ไม่ให้ตามดูรูปพรรณสัณฐาน เช่น ศีรษะ คอ หรือขา ส่วนใดส่วน
หนง่ึ ใหก้ าหนดรู้อาการนั่งเท่านั้น
๔. กาหนดว่า ถูกหนอ พร้อมส่งความรู้สึกถูกต้องไปที่ก้นย้อยด้านขวา(หรือตรงท่ีกาย
สัมผสั ชัดเจนส่วนใดสว่ นหน่งึ )
๕. ไม่ต้องสนใจลมหายใจหรืออาการพอง-ยุบ เพราะน่ังหนอ ถูกหนอไม่เกี่ยวกับลม
หายใจ หรืออาการพอง-ยุบ
๖. นง่ั หนอ ถูกหนอ จะใชต้ อ่ เมอ่ื กาหนดอาการพอง-ยุบไมช่ ัดเจนหรอื พอง-ยุบไมม่ ี
๗. ขณะที่กาหนด นั่งหนอ ถูกหนอ คาบริกรรมและความรู้สึกในอาการน่ัง และอาการ
ถูก ต้องไปพร้อมกัน ไม่ทอ่ งแตป่ ากเทา่ นน้ั ตอ้ งรอู้ าการด้วย
๘. ต้องกาหนดใหไ้ ด้จังหวะพอดี ไมเ่ ร็วเกนิ ไป ไม่ช้าเกินไป ให้เปน็ ไปตามธรรมชาติ
๙. สาหรับผู้ท่ีเคยทา อานาปานสติ (กาหนดลมหายใจมาก่อน) ถ้ากาหนดพอง-ยุบไม่ได้
ให้กาหนดน่ังหนอ ถูกหนอไปก่อน แลว้ คอ่ ยกลับมากาหนดพอง-ยุบทหี ลงั
๑๐. ถ้าพอง-ยุบปกติ ให้กาหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ ถ้าพอง-ยุบเร็วข้ึนมาให้กาหนด
เพยี งวา่ พอง-ยบุ ไมต่ ้องใส่ “หนอ” ถา้ พอง-ยบุ เรว็ มาก ให้กาหนดว่า รู้หนอๆ หรือ รู้ๆๆ เพียงแค่รู้ไม่
ต้องเร่งคาบริกรรมตามอาการพอง-ยุบที่เรว็ น้นั
๕.๓.๕ การนอนกาหนด
ในการกาหนดอิรยิ าบถนอนสมาธโิ ดยการนอนตะแคงขวาแบบสีหะไสยา (ตามรูป) ให้กาหนด
พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถกู หนอ โดยกาหนด พองหนอ ยุบหนอ ที่ทอ้ งทลี ะครง้ั ก่อน แล้วกาหนด
นอนหนอ เพ่ือให้รู้ว่านอนอยู่ ในการกาหนด “ถูกหนอ” ให้กาหนดที่ศีรษะด้านขวา ซึ่งสัมผัสกับ
หมอนหรือเครอ่ื งหนุนแล้วกาหนด พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ ต่อไปให้กาหนดถูกท่ีสะโพก
ขวา ซ่ึงสัมผัสกับที่นอนหรือพ้ืนอยู่แล้วกาหนด พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ และต่อไปก็ให้
กาหนด ถูกที่ตาตุ่มขวาท่ีสัมผัสกับที่นอนหรือพ้ืนอยู่ แต่ถ้านอนตะแคงซ้ายลงก็กาหนดไปตามอวัยวะ
ด้วยซ้ายที่สัมผัส ในการนอนหลับตากาหนดอยู่น้ัน หูมักได้ยินเสียงพึงกาหนดตามไปด้วยว่า “ได้ยิน
หนอๆๆ” แล้วหลับตากาหนด พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” ตามอารมณ์เดิม ถ้านอนหงาย
พ่ึงกาหนด พองหนอ- ยุบหนอ ท่ีท้องทีละคร้ังเช่นกล่าวมาแล้วในอิริยาบถนั่นและกาหนด “นอน
หนอ” ใหร้ ู้ว่ากาลังนอนอยู่ แล้วกาหนด “ถูกหนอ” ในการกาหนด “ถูกหนอ” ให้กาหนดตรงที่ศีรษะ

๑๑๗

ถูกกบั หมอนหรือเครอื่ งหนุนคร้งั หน่ึง และที่สะโพกทั้งสองข้างที่สัมผัสกับท่ีนอนหรือพ้ืนครั้งหนึ่ง แล้ว
กาหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ น่ังหนอ ถูกหนอ” ในการกาหนด “ถูกหนอ” คราวน้ีให้ย้ายถูกไป
กาหนดทต่ี าตมุ่ หรอื ซ่นเทา้ ซึง่ สมั ผสั กบั ท่ีนอนหรอื พื้น และถ้าได้ยนิ เสียงก็กาหนดว่า “ได้ยินหนอๆๆ”
เช่นกล่าวมาแลว้ ขอ้ ควรระลึก: การนอนกาหนดนั้น อาจารย์แนะนาว่า โยคีควรใช้การกาหนดเฉพาะ
เวลากอ่ นหนอ ไม่ควรปฏิบัตใิ นตอนกลางวันหรือสลับกับการนั่งกาหนด เพราะโยคีผู้นอนกาหนดแล้ว
มักหลบั ไปเสยี

๕.๔ การส่งและสอบอารมณ์
๕.๔.๑ ความหมายและความสาคญั
เรอื่ งการสอบอารมณม์ ีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก เช่นในมหาปุณณมสูตรเมื่อ

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องรูปนามเป็นไตรลักษณ์แล้วทรงสอนถามความเข้าใจของภิกษุเหล่านั้นว่า
“รูปและนามเปน็ สงิ่ ทเ่ี ทย่ี งหรือไม่เท่ียง” ภกิ ษทุ ง้ั หลายตอบด้วยความเข้าใจว่า “ไม่เท่ียง” พระองค์จึง
ตรัสถามต่อไปว่า “สิ่งใดไม่เท่ียง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข” ภิกษุท้ังหลายทูลตอบตรงกันว่า “เป็น
ทุกข์” เม่ือจบพระสูตรนี้ ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้บรรลุอรหัตตผล๘ และในจูฬราหุโลวาทสูตร พระ
พุทธองค์ทรงตรัสถามพระราหุลว่า “อายตนะท้ังหลายมี ตา หู เป็นต้น เท่ียงหรือไม่เที่ยง พระราหุล
ตอบด้วยความเข้าใจว่า “ไม่เที่ยง” พระองค์จึงตรัสถามต่อไปว่า “ส่ิงใดไม่เท่ียง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือ
เป็นสุข” พระราหุลทูลตอบว่า “เป็นทุกข์” สุดท้ายพระองค์สรุปว่า “อายตนะและขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา” เม่ือจบพระสูตรน้ี พระราหุลได้บรรลุ
อรหัตตผลพร้อมกับเทวดาอกี หลายพนั องค์๙

น้ีแสดงให้เห็นว่าการสอนอารมณ์ของพระพุทธเจ้า นอกจากจะเป็นประโยชน์กับคู่
สนทนาแล้วยังเป็นประโยชน์กับผทู้ ไี่ ดย้ นิ อกี ด้วย

คาว่า “สอบ” แปลว่า ตรวจ ทดลอง เปรียบเทียบ หรือไล่เลียงเพ่ือหาข้อเท็จจริงหรือวัด
ใหร้ ู้ว่ามคี วามร้หู รอื ความสามารถแคไ่ หน

คาวา่ “อารมณ”์ แปลว่า สิ่งทีย่ ึดหนวงจิตโดยผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หรือ
สิ่งอันเป็นที่จิตหน่วงอยู่ หรือส่ิงสาหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆ ว่า ส่ิงที่ถูกรู้ หรือส่ิงที่ถูกรับรู้
น่นั เอง

สอบอารมณ์ หมายความว่า ตรวจสอบ ไล่เลียงหาข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ทางจิต
ของผู้ท่เี จรญิ วิปสั สนากรรมฐานวา่ กา้ วหน้าไปถงึ ขั้นใดแล้ว และมจี ุดไหนท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป

๘ ม. อ.ุ (ไทย) ๑๔ /๘๕-๙๐/๙๖-๑๐๔.
๙ ม. อ.ุ (ไทย) ๑๔ /๔๑๖-๔๑๙/๔๐๗-๔๗๕.

๑๑๘

การส่งอารมณ์ หมายถึง การนาเอาประสบการณ์อันเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน มาเล่าให้แก่ผู้มีหน้าที่รับฟัง เพื่อให้คาแนะนาที่ดีและวิธีการปฏิบัติท่ี
ถกู ต้องเหมาะสมตรงตามสภาวธรรมของผปู้ ฏบิ ัติ๑๐

การสอบอารมณ์ หมายถงึ การทว่ี ปิ สั สนาจารย์หรือบุคคลท่ีได้รับมอบหมายแต่งต้ังให้ทา
หน้าท่ีสอบอารมณ์ เพื่อช่วยให้คาแนะนา ช่วยวินัจฉัย และประเมินผลการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติถูกต้อง
และตรงกับสภาวธรรมท่ีเกดิ ขน้ึ ๑๑

ผสู้ อบอารมณ์ คือ วิปสั สนาจารยผ์ ู้แนะนาวิธีปฏบิ ัตวิ ิปัสสนา ตอบข้อสงสัยและแก้ไขการ
ปฏิบัตใิ ห้ถกู ตอ้ ง

ในคัมภีร์พุทธศาสนาไม่ปรากฏคานี้ แต่ปรากฏคาท่ีใกล้เคียง คือ คาว่า แก้อารมณ์ ซ่ึง
ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายพุทธพจน์ว่า “ปญฺญตฺเต อาสเนติ ปธานิกภิกฺขุ อตฺตโน วสนฏฺฐาเน
โอวทิต(ตุง) อาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต นิสีทนตฺถ ยถาลาเภน อาสน ปญฺญาเปตฺวา ว ปธาน กโรนฺติ,
อญฺญ อภมานาปรุ าณปณณฺ านปิ ิ สนถฺ รติ ฺวา อปุ ริ สงฺฆาฏึ ปญฺญาเปนฺติ.๑๒

พุทธอาสน์ท่ีปูลาดไว้ หมายถึง ตั่ง เตียง แผ่นกระดาน แผ่นหิน หรือกองทรายท่ีภิกษุผู้
บาเพ็ญเพียรปูลาดไว้เพื่อเป็นท่ีประทับของพระผู้มีพระภาคท่ีจะเสด็จมาให้โอวาท แก้อารมณ์
กัมมัฏฐาน ถึงที่อยู่ของตน ถ้าหาอาสนะน้ันไม่ได้ จะใช้ใบไม้เก่าๆ ปูลาดก็ได้ โดยลาดสังฆาฏิไว้บน น้ี
เปน็ ธรรมเนียมปฏบิ ัติสาหรับภกิ ษนุ ักปฏบิ ตั ิ

ในการสอบอารมณ์แต่ละคร้ังพระวิปัสสนาจารย์ให้เวลาสาหรับการสอบอารมณ์อย่าง
เต็มท่ี ผู้ปฏิบัติท่านใดท่ีปฏิบัติถูกต้อง ท่านจะให้เพียรกาหนดต่อไป ผู้ปฏิบัติท่านใดที่ปฏิบัติผิดทาง
ท่านจะแนะนาแกไ้ ขใหท้ ันที บางคร้งั ผปู้ ฏบิ ัตมิ ีความดอื้ ดงึ ต้องการปฏิบัติตามความชอบใจของตนเอง
พระวิปัสสนาจารย์จาเป็นต้องให้ความแข็งกร้าว ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสลดใจ ละทิ้งการปฏิบัติที่
ผิดทาง ด้วยการดุหรือพูดด้วยเสียงดัง สอดคล้องกับเรื่องของพระวักกลิท่ีถูกพระพุทธเจ้าขับไล่ออก
จากสานักเพอ่ื ให้เกิดความสลดใจ สุดท้ายเม่อื ท่านยอมลดทฏิ ฐิแล้วปฏบิ ัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้า
จงึ บรรลอุ รหัตตผล๑๓

๕.๔.๒ ความสาคัญของการสอบอารมณ์

๑๐ พระมหาทองมัน่ สุทธฺ จิตโฺ ต. คมู่ อื การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน, วัดภัททันตะอาสภาราม อ.บ้านบงึ จ. ชลบุรี
๒๕๔๗,ฟนา้ ๑๐๑.

๑๑ คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ธรรมะภาคปฏบิ ตั ิ ๑, กรุงเทพมหานคร:
มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๑, หน้า ๑๕๘.

๑๒ องฺ. ฉกกฺ . อ. (บาล)ี ๓/๕๕/๑๓๕, อ. ฉกกฺ . ฎีกา (บาล)ี ๓/๕๕/๑๔๗.
๑๓ ข.ุ ธ. อ. (ไทย) ๔๓/๓๙๒-๓๙๔.

๑๑๙

ความสาคัญของการสอบอารมณ์ คือการตรวจสอบผู้ปฏิบัติใหม่หรือผู้เริมปฏิบัติว่ามี
ความเขา้ ใจถงึ ความแตกตา่ งของรปู กบั นาม ซ่ึงเปน็ อารมณข์ องวิปัสสนาถูกต้องแล้วหรือยังสาหรับการ
สอบอารมณ์ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติ ซ่ึงทาได้ถูกต้องตามแนวปฏิบัติจนเกิดสภาวธรรม (ญาณ) แล้ว พระ
อาจารยผ์ สู้ อนก็จะบอกวิธีปฏบิ ตั ิเพิม่ ขน้ึ อกี และจะนาเอาหลักธรรมมาบรรยายให้ผู้ปฏิบัติฟัง เพื่อให้มี
ความรู้ ความเข้าใจในธรรมที่เกิดขึ้น และทั้งยังเป็นการปรับอินทรีย์ทั้ง ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ
สมาธิ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติให้เสมอกันอีกด้วย ฉะน้ันการได้รับคาแนะนาฝึกหัดในสานักของพระ
วิปัสสนาจารย์ท่ีดีผู้มีความรู้ความชานาญโดยเฉพาะ และอยู่ในความควบคุมของท่าน มีท่านเป็นที่
ปรึกษา โดยนาไปเล่าให้ท่านฟังเรียกกันว่า “ส่งอารมณ์” และสอบอารมณ์” ท่านจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติ
บรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและลวดเร็วย่ิงขึ้น เพราะท่านจะช่วยส่ังสอนแนะนาแนวทางท่ีท่านรู้และที่
เคยมีประสบการณ์และเมื่อปฏิบัติไปๆ มีปรากฏการณ์หรือสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในตัวผู้
ปฏิบัติ ท่านจะหาโอกาสช้ีให้เห็นไตรลักษณ์ซ่ึงเป็นหลักสาคัญในการกาหนดรู้เบญจขันธ์(รูป-นาม)
แทรกไว้ตามลาดับญาณที่เหมาะสมและจะชี้แจงให้ทราบว่า อารมณ์ใดนิมิตใดเป็นประโยชน์ควร
กาหนดและอารมณ์ใดนิมิตใดเป็นข้าศึกแก่สมาธิและญาณไม่ควรกาหนด...กับท้ังช่วยแนะนาแนวทาง
ปฏิบตั เิ กี่ยวกับอารมณ์ใหผ้ ู้ปฏิบตั ิทราบว่าควรทาอย่างไรต่อไปและแต่งอินทรีย์ของโยคีผู้เป็นศิษย์ซ่ึงมี
อุปนิสัยให้ปฏิบัติถูกต้องตรงเป้าหมาย เพ่ือบรรลุสมาธิและญาณรวดเร็วข้ึนกว่าปกติธรรมดา และถ้า
โยคีผู้เป็นศิษย์มีวาสนาบารมีอยู่ด้วย อาจบรรลุมรรค ผล นิพพาน ในปัจจุบันชาติน้ีดังสมเด็จพระ
สมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงตรัสไว้ในสตั ถุสูตรว่า

“ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย ผทู้ ไ่ี มร่ ไู้ มเ่ หน็ ชราและมรณะ ไม่รู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นของชราและ
มรณะ ไม่รู้ไมเ่ หน็ ความดับของชราและมรณะ ไม่รู้ไม่เห็นทางปฏิบัตินาไปสู่การดับของชราและมรณะ
ตามความเป็นจริง ควรเสาะแสวงหาครู เพื่อรู้ตามความเป็นจริงในชราและมรณะในความเกิดข้ึนของ
ชราและมรณะ ในความดับของชราและมรณะ ในทางปฏบิ ัตินาไปสู่การดบั ชราและมรณะ๑๔

๕.๔.๓ ประโยชน์ของการสอบอารมณ์
การสอบอารมณ์นั้นโดยเน้ือหาแล้ว ก็คือ การให้คาแนะนาวิธีการปฏิบัติท่ีถูกต้องให้กับ
โยคีผู้ปฏิบัติ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติไม่หลงทางและเสียเวลาอยู่กับการปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากทาง
แห่งอริยมรรค แต่อาจารยผ์ ้สู อบอารมณ์นนั้ จะต้องเปน็ ผบู้ รรลมุ รรคผลแล้วเท่านั้นการสอบอารมณ์นั้น
จึงจะบังเกิดผลดีโดยส่วนเดียว หาโทษมิได้เลย เพราะเป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงในแนวทางปฏิบัติ เพ่ือนา
ตนเข้าสู่มรรค ผล นิพพานได้ แต่ในยุคปัจจุบัน จะให้ได้พระวิปัสสนาจารย์ผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน
แล้วนัน้ เป็นเรือ่ งยากจึงทาใหก้ ารสอบอารมณม์ ีทั้งผลดีและผลเสีย ผลเสียท่ีจะเกิดข้ึนนั้นก็เนื่องมาจาก
ความไม่เข้าถึงมรรควิธีที่ถูกต้อง เพราะพระวิปัสสนาจารย์ก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างตลอดสาย ใน
แนวทางที่ตนเองสอนอยู่ ซ่ึงจะส่งผลให้โยคีผู้ปฏิบัติเนิ่นช้าในการปฏิบัติอย่างไม่จาเป็นและเขวออก

๑๔ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/ ๗๓/ ๑๒๖

๑๒๐

จากแนวทางท่ถี กู ตอ้ งในบา้ งครง้ั และทสี่ าคญั คอื ถ้าโยคีผู้ปฏิบัติเข้าใจได้ว่าพระวิปัสสนาจารย์ผู้น้ันยัง
ไมไ่ ดบ้ รรลมุ รรคผล กจ็ ะทาใหข้ าดความเชื่อถือและมั่นใจในแนวทางปฏิบัติท่ีท่านสอนหรือว่าถึงจะมีผู้
ปฏิบตั ิตามอย่างต้ังใจ ก็มิได้มุ่งปฏิบัติเพ่ือบรรลุมรรค ผล นิพพาน เพราะเข้าใจว่าแม้แต่อาจารย์เองก็
ไม่ได้บรรลุอะไรเลย และพระภัททันตโสภณเถระ มหาสีสยาดอ กล่าวถึงประโยชน์ของการสอบ
อารมณไ์ ว้ดังนี้

๑. การใช้สติกาหนดรู้ของผู้ปฏิบัตินั้นถ้าหากยังไม่ตรงต่อปัจจุบัน อาจารย์ผู้สอนจะได้
ชแ้ี จงแนะนาใหก้ าหนดใหถ้ กู ต้องตรงตอ่ ปัจจุบนั

๒. เม่อื ผู้ปฏิบัตใิ ชส้ ติกาหนดรไู้ ม่ทันเนื่องจากเคล่ือนไหวอิริยาบถเร็วเกิดไปอาจารย์จะได้
แนะนาแกไ้ ขให้เคลือ่ นไหวอริ ยิ บถได้พอเหมาะกับสติที่จะกาหนดได้ทนั

๓. ถา้ การกาหนดรู้ของผู้ปฏบิ ัติยังกระทาไปโดยไม่ถูกต้อง อาจารย์ผู้สอนจะได้แนะนาให้
ทาโดยถกู ต้อง

๔. เมื่อผู้ปฏิบัติขาดสติโดยพล้ังเผลอไปไม่ได้กาหนดต่ออารมณ์นั้นอาจารย์ผู้สอนก็จะ
แกไ้ ขใหส้ ติแก่ผูป้ ฏิบตั ิธรรมดขี ้ึน

๕. ถา้ วริ ยิ ะกบั สมาธิ และศรัทธากับปัญญา ไม่เสมอกัน อาจารย์ผู้สอนก็จะแก้ไขให้เสมอ
กันเม่ือการกาหนดรู้ในข้ันแรกของผู้ปฏิบัติกาหนดได้ดีแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็จะได้แนะนาเพิ่มเติมให้ถ่ี
ขึ้นอกี ๑๕

๕.๔.๔ หลักการสง่ และสอบอารมณ์
การส่งอารมณ์กรรมฐาน หมายถึง การท่ีผู้ปฏิบัติกรรมฐานนาเอาปรากฏการณ์ผลหรือ
สภาวธรรมท่ีตนได้ประสบพบเห็นมาหรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในขณะที่กาลังเข้าอบรมฝึกปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานมาบอกเล่าแก่ผู้ทาหน้าท่ีสอบอารมณ์คือพระวิปัสสนาจารย์ได้รับฟังโดยผู้ปฏิบัติ
ควรเล่าประสบการณ์หรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนกับตัวเองในขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในแต่ละวัน
จนกว่าจะครบตามเวลาที่กาหนด เม่ือเล่าจบแล้วพึงฟังคาแนะนาตักเตือนจากวิปัสสนาจารย์ เมื่อ
ไดร้ บั โอวาทจบแล้วพงึ กราบดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐแ์ ละกาหนดสตริ ู้ด้วยทุกครั้งข้ันตอนแล้วจึงกาหนด
สติ ทา่ ลกุ ท่ายืน กลับไปท่ีห้องพักของตนโดยอาการสารวมและการส่งอารมณ์ควรให้อยู่ในกรอบของ
สตปิ ฏั ฐานคอื (กาย เวทนา จติ และธรรม) พึงถือหลักการสาคัญ ดังต่อไปน้ี๑๖

๑๕ ภทั ทนั ต อาสภมหาเถระ, การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน ตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔, กรงุ เทพมหานคร:
สานกั วิปสั สนามลู นิธิวเิ วกอาศรม, ๒๕๔๑.

๑๖ คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ธรรมะภาคปฏบิ ตั ิ ๒, กรงุ เทพมหานคร: มหา
วทิ ยลัย, ๒๕๕๑, หน้า ๑๔๖.

๑๒๑

๑. ผ้ปู ฏบิ ัตธิ รรมต้องมาให้ตรงเวลาทกี่ าหนดไว้ เม่ือมาถึงให้กราบพระวิปัสสนาจารย์ด้วย
การกราบแบบมีสตใิ หท้ าชา้ ๆ

๒. ผู้ปฏิบัติธรรมประนมมือบอกเล่าอาการต่างๆ ท่ีตนปฏิบัติมาแก่พระวิปัสสนาจารย์
ผู้สอบอารมณก์ รรมฐาน พูดใหต้ รงประเด็น ไมพ่ ูดคยุ นอกเร่อื งการปฏบิ ตั ิ

๓. ผู้ปฏิบัติธรรมให้บอกเล่าเฉพาะอารมณ์สภาวธรรมท่ีได้ประสบพบเห็นมาจริงๆ อย่า
นาเอาส่ิงที่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมาบอกเล่า จะทาให้การวินิจฉัยสภาวธรรมของพระวิปัสสนาจารย์
ผิดพลาด

๔. เม่ือพระวิปัสสนาจารย์ให้คาแนะนาผู้ปฏิบัติธรรมต้องต้ังใจฟังแล้วนาไปปฏิบัติอย่าง
เคร่งครัด ถ้าไมเ่ ขา้ ใจหรือสงสัยอะไรใหถ้ ามจนเข้าใจ

๕. ขณะท่ีผู้ปฏิบัติธรรมนั่งรอส่งอารมณ์กรรมฐานอยู่ ให้เก็บสายตา อย่าปล่อยใจให้
ตั้งใจกาหนดอารมณ์กรรมฐานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าตน เม่ือถึงเวลาของตน จึงค่อยพูด ไม่ต้องสนใจ
สภาวธรรมหรือเรอ่ื งของคนอื่น

๖. เวลาท่ีผู้ปฏิบัติธรรมจะมาสอบอารมณ์ และกลับจากการสอบอารมณ์ ให้มาทีละคน
ไม่ควรเดนิ คู่กนั มา เพราะจะทาใหค้ ยุ กนั และไมส่ มกับเป็นผู้ปฏบิ ตั ธิ รรม

๕.๔.๕ วิธกี ารส่งอารมณ์

ก. การน่งั กาหนด
๑. ต้องตง้ั ใจเล่าอย่างมสี ตเิ สียงดังฟงั ชัดทกุ ถอ้ ยคาไม่เนบิ นาบเย่ินเย้อวกวน
๒. เลา่ ถึงประสบการณ์ที่น่งั ผา่ นมา นงั่ กาหนดกรี่ ะยะ เวลากน่ี าที
๓. เล่าอารมณ์หลังอาการพองหนอ-ยุบหนอ ว่ามีลักษณะหรือรู้อาการเคล่ือนไหว
อย่างไร
๔. จิตใจจอจ่ออยูท่ อ่ี าการพอง-ยบุ อย่างตอ่ เนือ่ งหรอื ไม่ (มากหรือน้อย)
๕. กาหนดไดส้ ะดวกดแี ละทันปัจจบุ นั หรือไม่
๖. กาหนดพอง-ยบุ รู้อาการโดยตลอดหรือไม่ คาบริกรรม (นึกในใจ) จิต สติ เป็นไป
พรอ้ มกันหรอื ไม่
๗. ขณะกาหนดอยู่เมื่อมอี ารมณ(์ สภาวธรรม)อ่ืนแทรกเข้ามาชัดเจนกว่าอารมณ์หนัก
ความจะกาหนดหรอื ไม่ อย่างไร
๘. เม่อื จติ ไม่จดจ่อกับอาการพอง-ยุบ เช่น ไปคิดถึงเร่ืองราวในอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
ผปู้ ฏิบตั ติ อ้ งกาหนดหรอื ไม่ ถ้ากาหนดๆ อย่างไร
๙. ถ้ามเี วทนา (ความเสวยอารมณ์) สุข ทุกข์ เจ็บ ปวด เมื่อย คัน ชา เกิดข้ึนชัดเจน
ผู้ปฏิบตั ิต้องกาหนดรู้ กาหนดอย่างไร

๑๒๒

๑๐. บางครั้ง ความชอบใจ ปลื้มใจ ยนิ ดพี อใจ ไม่ชอบ เกลียด โกรธ ฟุ้งซ่าน ราคาญ
หงุดหงิด ง่วงซึม ท้อแท้ เบื่อหน่าย เศร้า เหงา วิตกกังวล ลังเล สงสัย เมื่อความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้
ปรากฏขึน้ ในความรูส้ กึ ผปู้ ฏบิ ตั ิตอ้ งกาหนดรู้ กาหนดแลว้ จางหายไปดับไปหรือไม่

๑๑. ขณะทตี่ าเหน็ รูป หูฟงั เสยี ง จมูกดมกลิ่น ลิ้นล้ิมรส กายถูกต้องสัมผัส เย็น ร้อน
อ่อนแข็ง หย่อนตึง เคลื่อนไหว เมื่อปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดข้ึน ผู้ปฏิบัติกาหนดรู้แล้ว มีอะไร
เกิดข้นึ ต้งั อยู่ และเสื่อมไปบ้าง

๑๒. บางคนน่ังแล้วน้าลายไหล คอแห้ง เห็นแสงสี เห็นรูปภาพ ตัวเบา ตัวอ่อน ตัว
โยกโครง เอนเอียง ตัวสนั่ ฯลฯ ปรากฏการณ์เชน่ นผ้ี ู้ปฏิบตั คิ วรกาหนดรู้หรอื ไมอ่ ยา่ งไร

๑๓. เล่าสภาวธรรมที่เกดิ ขึ้นในขณะปฏิบตั อิ ื่นๆ นอกจากทก่ี ลา่ วถงึ ถ้ามี
ข. การเดินกาหนด (เดนิ จงกรม)
๑. เลา่ ถึงการเดินจงกรม เดินกี่ระยะ เวลากีน่ าที
๒. จติ ใจจดจอ่ กบั คาบริกรรม (นึกในใจ) และเป็นไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ทนั ปจั จุบันหรอื ไม่ อย่างงไร
๓. ขณะเดินจงกรมถ้าเกิดมีสภาวธรรมอ่ืน ที่ชัดเจนมากกว่าการเดินแทรกเข้ามา ผู้
ปฏิบัติ กาหนดอยา่ งไร และเกิดอะไรขึน้ ขณะกาหนดสภาวธรรมน้นั
๔. จิตอยู่กับอารมณ์ภายใน (การเดิน) หรืออารมณ์ภายนอก (เช่น เห็น ได้ยิน ได้
กลนิ่ ลมิ้ รส ถกู ต้อง สัมผสั นึกคิดทางใจ) มากกวา่
๕. เม่ือเดินจงกรมอยู่ถ้ามีสภาวธรรมแทรกเข้ามาและชัดเจนมากกว่าในส่วนที่
กลา่ วถงึ แลว้ ผู้ปฏิบตั ิก็พึงเล่าถึงการกาหนดรอู้ ารมณน์ ้นั ๆ ดว้ ย ถา้ มี
ค. การกาหนดอริ ิยาบถยอ่ ย
๑. ตงั้ ใจเล่าถึงอาการเคลื่อนไหวในอิริยาบถเหล่านี้ กาหนดได้หรือไม่ได้ เพราะอะไร
ไมไ่ ด้เพราะเหตใุ ด
๒. การเหลยี วดู การคู้เข้า เหยยี ด
๓. การใช้สังฆาฏิ บาตร และจีวร
๔. การกนิ การดม่ื การเคยี้ ว การลิม้
๕. การยืน การตน่ื นอน การพูด การนงิ่ อยู่ ฯลฯ
เมอ่ื ผู้ปฏบิ ัติเลา่ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบพบมาจริงๆ ในขณะปฏิบัติ ในแต่ละ
วันจบลง พึงตั้งใจฟังพระวิปัสสนาจารย์ที่จะให้คาแนะนาตักเตือน ว่าจะเพิ่มหรือลดบทเรียนในการ
กาหนด การปรับแต่งอินทรีย์ และโอวาทต่อไปจนจบ จากนั้นก็พึงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ โดย
กาหนดรูด้ ว้ ยทุกคร้งั กาหนดเดินกลบั ท่ีพักและทปี่ ฏบิ ตั ิของตนเองต่อไป

๑๒๓

ในการสอบอารมณ์กัมมัฏฐานน้ี พระวปิ สั สนาจารย์ต้องคอยสังเกตผู้ปฏิบัติให้ดีโดยอาศัย
หลักการดังน้ี

๑. ผู้ปฏบิ ตั นิ ั้นมีความพยายามหรือไม่
๒. จบั อารมณ์ไดต้ รงปัจจบุ ันหรอื ไม่
๓. การกาหนดร้นู ้นั กาหนดได้ถกู ต้องตามวิธีสอนไวห้ รือไม่
๔. การกาหนดร้อู ารมณ์ตา่ งๆ น้ัน ขาดตกบกพร่องหรือไม่
๕. สติและสมาธิของผู้ปฏิบัติ ดแี คไ่ หน
๖. วิปสั สนาญาณท่ีเป็นภาวนามัย เกดิ อยูแ่ ลว้ หรือยัง ถ้าเกดิ ถงึ ญาณไหน
๗. คาพดู ของผปู้ ฏิบตั นิ ้นั พูดด้วยภาวนามัยหรือไม่
ง. ตง้ั ใจฟังคาแนะนาจากพระวิปัสสนาจารย์
๑. ไม่ควรพูดคุยกันเลยในระยะท่ีเข้าปฏิบัติธรรม เพราะจะเป็นสาเหตุสาคัญยิ่งยวด
ทท่ี าให้ผู้ปฏิบตั ิธรรม ฟุง้ ซา่ น อารมณ์รั่ว สภาวะตกอยา่ งรวดเรว็ การคยุ กนั แมเ้ พียง ๕ นาที ก็สามารถ
ทาลายสมาธิไปไดถ้ งึ ๑-๓ วัน
๒. การรักษาทวารทาง “ตา” หรี่ตาลงคร่ึงหนึ่ง ทอดสายตาลงต่าตลอดเวลา ระยะ
ประมาณ ๑ เมตรอย่าก้มคอ (จะเม่ือย) และไม่ต้องเหลียวซ้าย และขวา กิเลสเข้าทางตามากท่ีสุด
รกั ษายากทส่ี ดุ และมักเปน็ ปญั หาใหญใ่ นการแกไ้ ข
๓. วางภาระทางโลกทั้งหมด ชั่วระยะท่ีเข้าปฏิบัติ ขอให้งดการเขียน อ่าน ตอบ
จดหมาย ฯลฯ จะทาให้กเิ ลสเขา้ ยกเว้นการจดบันทึกรายการธรรมะ (อย่างมีสต)ิ
๔. การเคลื่อนไหวอิริยาบถย่อย ให้ช้ามาก และต่อเนื่องตลอด ในทุกสถานที่
โดยเฉพาะอิริยาบถรับประทานอาหาร และอิริยาบถเดินไป ส่งอารมณ์ จะต้องเดินจงกรมช้าๆ และ
ละเอยี ดมาก
๕. ขณะรับประทานอาหารช้าๆ ค่อยๆ ยกมือข้ึนช้าๆ หยิบช้อนขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ
เอ้ือมไปตักอาหารช้าๆ และคู้เข้ามาช้าๆ ส่งอาหารถึงปากช้าๆ ค่อยๆ อ้าปาก และส่งอาหารเข้าปาก
ช้าๆ ค่อยๆ ลดช้อนลงวางมือจากช้อนช้าๆ ค่อยๆ เค้ียว กาหนด เค้ียวหนอๆ จนกระท่ังกลืนผ่าน
ลาคอกใ็ หก้ าหนดว่ากลืนหนอๆๆ เปน็ ต้น
๖. ขณะกราบพระ ค่อยๆ กราบลง ให้กาหนด ลงหนอๆๆๆ ช้าเป็นพิเศษและสังเกต
อาการเคล่อื นไหวของมอื ตลอดสาย (กาหนดประมาณ ๒๐-๓๐ คร้ัง) จนกว่าจะวางฝ่ามือลงสัมผัสพ้ืน
เมื่อถูกพ้ืนแล้ว รู้อาการเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ของพื้นนั้น ก็ต้องกาหนดรู้สภาวะด้วย และเมื่อยกฝ่ามือ
ขึ้นจากพื้น ตอ้ งกาหนดรูอ้ าการเคลอื่ นไหว ยกหนอๆๆ จนกราบครบ ๓ คร้ัง เปน็ ตน้ ใช้เวลา ๒-๓ นาที
๗. ไม่ควรรู้ล่วงหน้าเก่ียวกับเร่ืองญาณสภาวะ เช่น การอ่าน สอบถาม หรือฟังเทป
คาบรรยายเร่ืองญาณ เพราะจะทาให้เกิดอุปาทานและอุปกิเลส เป็นความคิดท่ีหลอนตัวเอง ขณะ

๑๒๔

ปฏิบตั ิไมค่ วรคิด ห่วง หา รอ คาดหมาย ม่งุ หวงั หรือคาดการณ์ล่วงหน้าว่าญาณอะไรจะเกิดข้ึนกับเรา
การรอสภาวะน้ีจะเป็นตัวทาลายสมาธิ ปิดก้ันหนทางให้ผู้ปฏิบัติไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง (รู้วิธี
ปฏิบัติที่ถูกต้อง ดีกว่า หาผลลัพธ์ อุปมา หัดบวกเลข ดีกว่ารอคาตอบ) ไม่ควรให้โยคีสนใจเรื่องญาณ
เลย กรณีผู้ปฏิบัติผ่านญาณชั้นสูง พระอาจารย์จะตรวจสอบ ทวน ญาณ ให้เฉพาะบุคคล การทวน
ญาณต้องทา ซ้ากันหลายคร้ังจนเป็นท่ีแน่ใจ จึงจะอนุญาตให้เข้าฟังลาดับญาณ หรือฟังเทปอย่างเป็น
ความลับเฉพาะตัว (บางกรณี) พระอาจารย์อาจเทศน์เร่ืองญาณต้นๆ บ้าง ในกรณีจาเป็นและมี
ประโยชน์แกผ่ ้ปู ฏิบตั ิธรรม

สรุป ในบทน้ีได้กล่าวถึงหลักการปฏิบัติในวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานและการส่งและ
สอบอารมณส์ าหรบั ผ้ปู ฏบิ ตั ิธรรมหลังจากการปฏิบัติประสบกับปัญหาอย่างไรบ้างแล้วควรมารายงาน
สภาวอารมณท์ งั้ หมด ๔ ประเภททตี่ ้องกาหนดรใู้ นการเจรญิ วปิ ัสสนาภาวนา คือ

๑. สิ่งท่ีเกดิ ขน้ึ ทางกาย
๒. ความรู้สกึ ต่างๆ หรอื เวทนา
๓. สภาวะของจติ ท่เี ขา้ ไปรับรอู้ ารมณต์ า่ งๆ
๔. อารมณท์ เ่ี กิดทางจิต หรือธรรมารมณ์
ในการเจริญสติตามรู้อารมณ์ทั้ง ๔ ประเภทดังกล่าว จะเกิดปรากฏการณ์ ๓ อย่าง
ตามลาดับการปฏบิ ัติและผปู้ ฏบิ ัติควรรายงานปรากฏการณ์ดงั นี้
ก. ปรากฏการณ์หรอื สภาพธรรมที่เกิดข้นึ ผปู้ ฏิบตั ติ ้องรู้ชัด
ข. การกาหนดรสู้ ภาวธรรมทเ่ี กดิ ข้นึ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติต้องกาหนดรู้สภาพธรรมใดๆ
ทีเ่ กดิ ข้ึนและรายงานผลได้
ค. ความรู้ของผู้ปฏิบัติที่เกิดจากการกาหนดนั้น พึงใส่ใจและรายงานผลแก่พระวิปัสสนา
จารย์ได้โดยละเอียดตรงความเปน็ จริง
การรายงานผลขณะสอบอารมณม์ ขี อ้ ควรจา คือ
๑. อะไรเกดิ
๒. อะไรถกู กาหนดรู้
๓. อะไรที่ผู้ปฏิบัตเิ ขา้ ไปประจักษแ์ จง้
ผู้ปฏิบัติต้องรู้ชัดทุกส่ิงอย่างบริบูรณ์ ควรกาหนดรู้อย่างถ่ีถ้วนแนบแน่นทุกๆ ขณะที่
เกิดข้ึน แม้แต่ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น ก็ควรใส่ใจและรายงานทุกๆ อย่างให้ละเอียด เพ่ือ
พระวิปัสสนาจารย์จะได้ทราบถึงความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค ของผู้ปฏิบัติและจะได้แนะนา
แนวทางหรือเพม่ิ วธิ ีการปฏิบัตไิ ดถ้ กู ต้องเพ่ือความก้าวหน้าทางสภาวะญาณของผปู้ ฏบิ ัติเองต่อไป

บรรณานกุ รม

ก.ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปฎิ กฉบบั ภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.

ข.ข้อมลู ทุตยิ ภมู ิ

พระมหาสมปอง มทุ ิโต แปลเรยี บเรียง, คมั ภรี อ์ ภิธานวรรณนา, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๔๒

ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวทิ ยาลยั . วปิ ัสสนากรรมฐาน. กรุงเทพฯ : พิมพ์ท่มี ลู นิธสิ ัทธัมมโชตกิ ะ,
๒๕๒๘

พระครปู ลดั สมั พิพฒั นธรรมาจารย์,. ป.ธ. ๘. เอกสารประกอบการสอน สมั มนาวิปัสสนาภาวนา,
บัณฑติ วทิ ยาลัย, นคนปฐม : ศูนยบ์ ณั ฑติ ศกึ ษาวทิ ยาเขตบาฬีศกึ ษาพุทธโฆส, ๒๕๕๕

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต), พทุ ธธรรม, กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๕
พนิ จิ รัตนกลุ .ศ.ดร. สวดมนต์ สมาธิ วปิ สั สนา รกั ษาโรคได.้ พมิ พค์ ร้ังที่ ๓ นนทบุรี, บริษัทเพชรรุ่งการพิมพ์จากัด,

๒๕๔๗.
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , อภธิ ัมมตั ถวภิ าวนิ ีฎกี าแปล, พิมพค์ รงั้ ท่ี ๕, (กรุงเทพฯ:โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๕

หนังสือ “๑๐๐ ปี อคั คมหากัมมฏั ฐานาจริยะ”, มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, พิมพ์ที่
บริษัทอมรินทร์พริ้นต้ิงแอนด์พับลิชชิ่ง จากัด (มหาชน), กรุงเทพมหานคร, ๒ กรกฎาคม
๒๕๕๔.

พระธรรมกติ ติ, พจนานุกรม เพอื่ การศกึ ษาพทุ ธศาสน์, พมิ พค์ รั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา
และสถานบนั บนั ลือธรรม, ๒๕๕๑.

พระราชวรมนุ ี (ประยตุ โต) พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพค์ ร้ังที่
๑๐, กรุงเทพมหานคร: บรษิ ัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๙.

พระโสภณมหาเถระ(มหาสสี ยาดอ) รจนา, แปลและเรียบเรยี งโดย พระคนั ธสาราภิวงศ์,พระพรหมโมลี
ตรวจชาระ, มหาสติปฏั ฐานสตู ร ทางสู่พระนพิ พาน.

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,ธรรมภาคปฏบิ ัติ ๒, พิมพค์ รัง้ ที่ ๓ กรงุ เทพมหานคร: ไทยรายวนั การ
พิมพ์, ๒๕๕๐.

พระพทุ ธโฆสะเถระ, คัมภรี ์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), พิมพ์ครง้ั ท่ี ๕,
กรุงเทพมหานคร: ประยรู วงศ์พริน้ ต้ิง,๒๕๔๗

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ธรรมภาคปฏบิ ตั ิ ๒, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓ (กรงุ เทพมหานคร: ไทยรายวันการ
พิมพ์, ๒๕๕๓.

พระพุทธโฆสาจารย์, คัมภีร์วสิ ุทธิมรรค, แปลและเรยี บเรยี งโดย สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภ

๑๒๖

มหาเถร), พมิ พ์ครัง้ ที่ ๖, ๒๕๔๘.
พระโสภณมหาเถระ(มหาสสี ยาดอ) รจนา, แปลและเรียบเรยี งโดย พระคนั ธสาราภิวงศ์,พระพรหมโมลี

ตรวจชาระ, มหาสติปัฏฐานสตู ร ทางสูพ่ ระนิพพาน.
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, นวโกวาท, พิมพค์ ร้ังท่ี ๘๐, (กรงุ เทพมหานคร:

มกุฏราชวิทยาลยั ,๒๕๕๐.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรบั ปรงุ และขยายความ, พิมพค์ รั้งที่ ๙,

กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย,๒๕๔๓.

พระญาณโปนกิ เถระ (ชาญ สุวรรณวิภัช แปล), หวั ใจกรรมฐาน, พิมพค์ ร้งั ท่ี ๕ กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพศ์ ยาม
,๒๕๔๑.

พระพรหมคณุ าภรณ์ อ.ป. ปยตุ โฺ ต, พทุ ธธรรม ฉบับปรับขยาย, พมิ พค์ รั้งท่ี ๒๓, กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์
ผลธิ ัมม์, ๒๕๕๕.

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉ์ บบั ประมวลธรรม, พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๒,
กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.

พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม (ฉบับเดิม). พิมพ์ครั้งท่ี๑๑, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
บรษิ ัทสหธรรมกิ จากดั ๒๕๔๔.

พระบญุ ชู กลั ณา, การวเิ คราะห์การศึกษาตามหลักไตรสิกขาในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท, วิทยานิพนธ์
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (พุทธศาสนศึกษา), บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
๒๕๕๑.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) การพัฒนาตน.,พิมพ์คร้ังท่ี๑๑, (กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์
บรษิ ทั สหธรรมจากดั ๒๕๔๔), หน้า ๑๕.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), สามไตร, พิมพ์คร้ังท่ี๓, กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์สวย
จากดั , ๒๕๕๐.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), การพัฒนาตน,พิมพค์ รั้งท่ี ๑๑, กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ บรษิ ัท
สหธรรม จากัด, ๒๕๔๔.

พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), ธรรมนญู ชีวิต: พุทธจรยิ ธรรมเพือ่ ชวี ิตทีด่ ีงาม, พิมพ์ครัง้ ที่ ๕๗,
กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖.

พระพุทธโฆษาจารย์, วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑, พิมพ์คร้งั ท่ี ๘, กรงุ เทพมหานคร: มหามกุฎ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๘.

พระอุปตสิ สเถระ, วิมตุ ตมิ รรค, แปลโดย พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมฺ จิตฺโต) และคณะ,
กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๘.

พุทธทาสภกิ ขุ, คู่อมนษุ ืย์: ฉบับสมบรู ณ์, กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พ์ธรรมสภา, ๒๕๓๔.

๑๒๗

พทุ ธทาสภิกขุ, พจนานุกรมธรรมของพุทธทาส, กรงุ เทพมหานคร: สานักพิมพ์ธรรมสภา ,๒๕๔๕.
ราชบัณฑติ สถาน พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตสถาน,พ.ศ.๑๕๔๒, กรงุ งเทพมหานคร: นานมีบคุ๊ ส์พลับ

ลิเคชัน่ , ๒๕๔๖.
ศ.ประเวศ วะสี, “พทุ ธธรรมกับอดุ มการณส์ าหรับศตวรรษท่ี ๒๑”, ใน พุทธธรรมกับอุดมการณ์

สาหรับศตวรรษที่ ๒๑ ปาฐกถาครบรอบ ๖๐ ปีพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต),
กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์ มูลนธิ ิโกมลคมี ทอง, ๒๕๔๒.
คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ธรรมะภาคปฏบิ ตั ิ ๑ , กรุงเทพมหานคร:

มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑.
ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากรรมฐานาจริยะ: วปิ ัสสนาธรุ ะ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์

C. ๑๐๐ designco., ครัง้ ท่ี ๗, ๒๕๓๖.
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช), พจนานกุ รมเพอ่ื การศกึ ษาพทุ ธศาสน์ ชดุ ศัพทว์ เิ คราะห์,

(กรุงเทพมหานคร: ม.ป.พ. ๒๕๕๐).
พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช), พจนานกุ รมเพอ่ื การศกึ ษาพทุ ธศาสน์ ชดุ ศพั ทว์ เิ คราะห์,

กรุงเทพมหานคร: ม.ป.พ. ๒๕๕๐.
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช), พจนานกุ รมเพอ่ื การศกึ ษาพทุ ธศาสน์ ชดุ ศัพทว์ เิ คราะห์,

กรุงเทพมหานคร: ม.ป.พ. ๒๕๕๐.
พระมหาทองมั่น สุทฺธจติ โฺ ต. คูม่ อื การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน, วดั ภทั ทนั ตะอาสภาราม อ.บ้านบึง จ. ชลบุรี

๒๕๔๗.

๑๒๘

ประวัติผู้เขยี น

ช่อื /ฉายา/ สกุล : พระบุญทรง ปญุ ฺ ธโร,ดร. (หมีดำ)
วนั /เดอื น/ปีเกิด : วันอำทติ ย์ที่ ๘ ๗ฯ ๘ คำ่ กรกฎำคม พ. ศ. ๒๕๐๕

ภมู ิลาเนา : บำ้ นเลขที่ ๑๑๙ หมู่ ๑ ตำบลบ้ำนกลว้ ย

อำเภอเมอื ง จังหวัดสโุ ขทยั รหสั ไปรษณีย์ ๖๔๐๐๐

อุปสมบท : วันที่ ๑๒ มนี ำคม พ. ศ. ๒๕๒๖ ณ พทั ธสมี ำวดั กำแพงงำม

ตำบลบำ้ นกล้วย อำเภอเมอื ง จังหวดั สโุ ขทยั

ประวัติการศกึ ษา : พ.ศ. ๒๕๓๘ สอบไลไ่ ด้ จฬู อำภิธรรมมกิ ะโท มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณ

รำชวิทยำลยั อภิธรรมโชตกิ ะวิทยำลยั

พ. ศ. ๒๕๔๑ พทุ ธศำสตรบณั ฑติ (พระพทุ ธศำสนำ) มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำ

ลงกรณรำชวิทยำลยั วิทยำเขตเชยี งใหม่

พ.ศ. ๒๕๔๙ ศิลปศำสตรมหำบณั ฑิต (พุทธศำสนศกึ ษำ)

มหำวิทยำลัยเชียงใหม่

พ.ศ. ๒๕๕๖ พทุ ธศำสตรดุษฎีบณั ฑิต (พระพทุ ธศำสนำ)

มหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั วทิ ยำเขตเชียงใหม่

ประวัตกิ ารทางาน : พ.ศ. ๒๕๔๓ – ๖๑ อำจำรย์ประจำสอนวิชำธรรมะภำคปฏิบัติ ๑– ๗

มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วทิ ยำเขตเชยี งใหม่

พ.ศ. ๒๕๕๕ พระวปิ สั สนำจำรยป์ ระจำศูนยว์ ิปสั สนำกัมมฏั ฐำน

เฉลมิ พระเกยี รติ ๘๔ พรรษำ นำบอ่ หลวง อ.สนั ปำ่ ตอง จ. เชียงใหม่

พ.ศ. ๒๕๕๕ – ปัจจบุ นั ปฏบิ ตั ิธรรมทุกวันเสำร์ ณ ศูนย์วิปัสสนำกรรมฐำน

มจรฯ นำบ่อหลวง อ.สนั ปำ่ ตอง จ. เชียงใหม่

พ.ศ. ๒๕๕๗ ผ่ำนกำรฝึกอบรมตำมโครงกำรพัฒนำควำมคิดเชิงระบบ

สำหรับผบู้ รหิ ำรในองคก์ รสมัยใหม่

พ.ศ. ๒๕๕๘ ผ่ำนกำรพัฒนำควำมรู้เรื่องวิปัสสนำตำมหลักสูตรวิปัสสนำ

จำรย์ ๔๕ วัน ณ ศนู ย์วิปัสสนำหนเหนือวัดพระธำตศุ รจี อมทองวรวิหำร

พ.ศ. ๒๕๕๘ อำจำรย์ประจำหลักสูตรพุทธศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำ

ปรัชญำ บณั ฑิตวิทยำลยั วทิ ยำเขตเชยี งใหม่

ทีอ่ ยู่ปจั จุบนั : : ๑๓๙ วัดสวนดอก พระอำรำมหลวง ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัด

เชียงใหม่ ๕๒๐๐๐

คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่


Click to View FlipBook Version