ชุ ด ค ว า ม รู้ ภ า ย ใ ต้ แ ผ น ง า น วิ จั ย
ก า ร พั ฒ น า พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ชุ ม ช น เ พื อ ก า ร เ รี ย น รู้ ง า น ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ท า ง ศิ ล ป ะ
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ผ ศ . ด ร . เ ยื อ ง ป น เ ห น่ ง เ พ็ ช ร์
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
ผศ.ดร.เยอ้ื ง ปั้นเหนง่ เพ็ชร์
สาขาวิชาสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม่
ข้อมูลทางบรรณานกุ รมของหอสมุดแหง่ ชาติ
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ผศ.ดร.เยอ้ื ง ปั้นเหนง่ เพช็ ร์/เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วิทยาลยั ,
2564
100 หน้า: ภาพประกอบ
1.พระบฎ. 2.ศิลปะ. 3.ล้านนา
ISBN
ออกแบบศิลป์: ภัชรบถ ฤทธ์เิ ตม็
©ลขิ สทิ ธิ์: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม่
ต.สุเทพ อ.เมอื ง จ.เชียงใหม่ 50200 โทร.053-278967
คานา
คติความเช่ือพระบฏเป็นผลมาจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในการ
สร้างรปู เคารพแทนองค์พระพุทธเจ้า มีวัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์เพื่อ
เป็นพุทธานุสติและเพ่ือการกราบไหว้บูชา พระบฏถูกสร้างสรรค์โดยใช้ผ้าเป็นวัสดุ
ในภาพวาดจิตรกรรม มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ต้ังแต่สมัยหลังพุทธกาล เมื่อ
ปรากฏมีการสร้างเคารพองค์ศาสดา เป็นศิลปกรรมที่แพร่หลายอยู่ในหลาย
วัฒนธรรม อาทิ อินเดีย จีน ธิเบต ญ่ีปุ่น เกาหลี และไทย ส่วนพระบฏใน
ล้านนา มีหลักฐานเก่าแก่ท่ีสุด คือ ราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 คือ พระบฏใน
กรุพระเจดีย์วัดดอกเงิน และวัดเจดีย์สูง อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรูป
พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสรรค์ช้ันดาวดึงส์ มีรูปแบบทางศิลปะแบบล้านนา
เทคนิคทางจิตรกรรมการเขยี นภาพแบบพหุรงค์ รวมทั้งมีการปิดทองเฉพาะที่ภาพ
พระพุทธองค์
คณุ ค่าทางสนุ ทรยี ะเชงิ ปรชั ญาท่ีมีต่อสังคมและวัฒนธรรมของภาพพระบฏ
คือ การเป็นวัตถุธรรมเคร่ืองสักการะทางศาสนาท่ีเป็นส่ิงยึดเหน่ียวทางจิตใจของ
พทุ ธศาสนกิ ชน เป็นเครอ่ื งประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นงานจิตรกรรมที่
สะท้อนถึงภูมิปัญญาด้านศิลปกรรมของกลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ ในการสร้างสรรค์
ศลิ ปกรรมบนผนื ผ้า
หนังสอื เลม่ นี้ มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อเผยแพร่ การลอกลายพระบฎโบราณเพื่อ
สร้างสรรค์ ศิลปะร่วมสมัย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเป็น
ประโยชนใ์ นการศกึ ษาเรียนรขู้ องนิสติ นกั ศึกษาและผู้สนใจตอ่ ไป
ผศ.ดร.เย้อื ง ปน้ั เหนง่ เพช็ ร์
เมษายน 2564
สารบญั
บทท่ี 1 บทนา 1
บทที่ 2 คณุ ค่าทางศิลปะเชิงสุนทรยี ศาสตร์ 5
บทท่ี 3 คติความเช่อื พระบฎลา้ นนา 38
บทที่ 4 การลอกลายพระบฎกบั ศิลปะรว่ มสมัย 61
บทที่ 5 บทสรปุ 92
บรรณานกุ รม 99
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
บทท่ี 1
บทนา
-1-
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
พระบฎเป็นศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าสาหรับชาวอาเภอฮอด เนื่องจากพระบฎ
ที่มีอายุสมัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ถูกค้นพบภายในกรุเจดีย์วัดดอก
เงิน อ.ฮอด จ.เชยี งใหม่ ซึ่งป๎จจบุ นั เปน็ วัดร้าง ไดถ้ กู คน้ พบก่อนการสร้าง
เขื่อนภูมิพล หลังจากที่กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้ค้นหาโบราณวัตถุในพื้นท่ี
ทจ่ี ะถูกนา้ ท่วม จงึ มโี อกาสได้พบศิลปวัตถุจานวนมากภายในกรุวัดดอกเงิน และท่ี
พเิ ศษคือ ภาพเขียนบนผืนผ้าขนาดใหญ่ซ่ึงพับและม้วนบรรจุไว้ในหม้อดินเผา เม่ือ
คล่ีออกมาแล้ว จึงทราบว่าเป็นพระบฏที่สันนิษฐานกันว่า สร้างขึ้นในราวพุทธ
ศตวรรษท่ี 21 ศาสตราจารย์ศิลปะ พีระศรี กล่าวว่า เม่ือพิจารณาจากรูปแบบ
ศิลปกรรมมีลักษณะเป็นแบบประเพณี กล่าวคือ ช่างเขียนได้เขียนตามแบบอย่าง
ศลิ ปะสโุ ขทยั ทกุ ประการ แตว่ า่ มีการใสค่ วามรสู้ ึกนกึ คิดของตนเองเป็นพิเศษ ภาพ
นี้ก็ควรเขียนข้ึนประมาณหนึ่งร้อยปีหลังภาพเขียนท่ีวัดราชบูรณะ กะว่าอยู่ในราว
พ.ศ.2095 แสดงภาพพระพุทธเจาเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส ในลักษณะของ
พระอิริยาบถลีลา
พระบฏในกรเุ จดยี ์วัดดอกเงิน
-2-
สนุ ทรียศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
ภาพพระบฏรว่ มสมัย อาจารย์ทรงเดช ทิพยท์ อง
ภาพพระบฏรว่ มสมัย อาจารย์ลปิ ปิกร มาแกว้
-3-
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ผา้ พระบฏ เปน็ ผนื ผ้าท่ีมกี ารเขียนภาพเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธเจ้า พุทธ
ประวัติหรอื ทศชาตชิ าดก คาว่า บฏ มาจากคาในภาษาบาลีว่า ปฏ (อ่านว่า ปะ-
ตะ) แปลว่า ผ้าทอ หรอื ผนื ผา้ ส่วนมากเป็นผ้าแถบยาว พื้นสีขาว จะมีลักษณะ
เป็น ผ้าผืนสี่เหลี่ยมขนาดยาว หรือขนาดย่อม มีขนาดแตกต่างตามคติความนิยม
และความศรัทธา โดยนิยมวาดหรือเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว หรือ
ขนาบข้างด้วยพระอัครสาวก หรือเขียนเล่าเร่ืองพุทธประวัติหรือเร่ืองราว
เวสสนั ดรชาดก
ผ้าพระบฏ นิยมใช้แขวนไว้ในอาคารศาสนสถาน หรือสถานที่ที่มีความ
เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เพ่ือเป็นสิ่งบูชาสักการะแทนองค์พระพุทธเจ้า หรือเพื่อ
การประดับตกแต่งและประกอบการถ่ายทอด การสอนส่ัง หรือการเผยแผ่พระ
ศาสนา รูปแบบของการเขียนภาพลงบนผืนผ้าน้ีเป็นคตินิยมเน่ืองในพุทธศาสนา
ฝุายมหายานจากประเทศอินเดีย และได้ส่งอิทธิพลไปยังดินแดนต่างๆ เช่น จีน
ญี่ปนุ ธเิ บต เนปาล เปน็ ต้น การสร้างพระบฏเป็นคตินิยมท่ีมีทั้งท่ีนิยมทาขึ้นเพื่อ
การสืบทอดพระศาสนา เพื่อเป็นพุทธบูชา หรือเพ่ือ อุทิศให้แก่ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว
หรอื ทาขึน้ เพอ่ื เปน็ อานสิ งสแ์ ก่ตนเองและครอบครัว เป็นตน้
นอกจากน้ันแล้ว ภาพพระบฎได้มีการเขียนสืบทอดกันมาจนถึงสมัย
รัตนโกสินทร์ โดยมีการเขียนเร่ืองราวที่หลากหลายท้ังพุทธประวัติตอนต่างๆ ทศ
ชาติ และเร่อื งราวทางพทุ ธศาสนาอ่นื ๆ ปรากฏหลักฐานภาพพระบฏสมัยรัชกาลท่ี
3 มากยง่ิ กวา่ สมยั ใด ในปจ๎ จบุ นั ไดม้ ีการเกบ็ รักษาไว้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอ
ศลิ ปะ พระนคร
ในหนังสือเล่มนี้ นาเสนอคติความเชื่อและความเป็นมาของพระบฎตั้งแต่
สมัยอดีตจนถึงป๎จจุบัน รูปแบบทางศิลปะ เทคนิคทางจิตรกรรม และการ
วิเคราะห์คุณค่าทางสุนทรียะเชิงปรัชญาของภาพพระบฎ เพื่อจัดทาเป็นองค์
ความรู้ในการเผยแพร่แก่สาธารณชน และการนาทีมงานวิจัยประกอบด้วยคณะ
อาจารย์และนิสิตสาขาวิชาพุทธศิลปกรรมของมหาวิทยาลัยเดินทางไปลอกลาย
พระบฎที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เพ่ือนาแบบที่ลอกลายมาให้
ศิลปินล้านนาที่มีช่ือเสียงหลายท่านร่วมกันสร้างสรรค์ภาพพระบฎร่วมสมัย เพื่อ
นามาเก็บรวบรวมไว้เป็นช้ินงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้สัมผัสเท่ียวชม
และเรียนรู้เร่ืองราวเก่ียวกับภาพพระบฎ ในฐานะที่พระบฎจะได้เป็นศิลปกรรมท่ี
ทรงคณุ คา่ และอยูค่ ศู่ รทั ธาของชาวอาเภอฮอดตอ่ ไป
-4-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
บทท่ี 2
คุณค่าทางศิลปะเชงิ สุนทรยี ศาสตร์
-5-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
เ มื่อกล่าวถึงคาว่า คุณค่า ในทางปรัชญาปรัชญานั้นจะหมายถึง คุณ
วิทยา อรรฆวิทยา อคั ฆวทิ ยา ในภาษาอังกฤษใช้คาว่า axiology เป็น
การศกึ ษาป๎ญหาท่ีเก่ยี วกบั ค่านิยมหรอื คณุ ค่า คณุ คา่ นั้นเป็นนามธรรมซ่ึง
เกิดจากการประเมินข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคม
ข้อเท็จจริงเป็นเพียงปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาท
สมั ผสั สว่ นคุณคา่ น้นั มลี ักษณะท่ีอาศัยข้อเท็จจริงว่าควรจะเป็นอย่างไร และทาไม
จึงเป็นเช่นนั้น คุณค่าเกิดจากการประเมินไม่ใช่การวัด เพราะคุณค่าเป็น
นามธรรม ดังนั้น คุณค่าจึงเป็นสิ่งท่ีกาหนดเองไม่ได้ต้องมติของคนส่วนใหญ่
เป็นท่ียอมรับของคนส่วนมาก แบ่งย่อยเป็น 2 สาขา คือ ค่านิยมตามแนวจริย
ศาสตร์ และค่านิยมตามแนวสนุ ทรยี ศาสตร์
คุณวิทยามีส่วนสาคัญโดยตรงกับสุนทรียศาสตร์ ในการพิจารณา
คุณค่าทางสุนทรียะ ว่าด้วยเรื่องความงาม ความดี และความจริง ดังนั้นในการ
ประเมินคุณค่าและการตัดสินเชิงสุนทรียภาพต่อสุนทรียศาสตร์ โดยมี
ตรรกศาสตร์และจริยศาสตร์เขา้ มาเกี่ยวข้องดว้ ย และมีทฤษฎีต่างๆทางญาณวิทยา
ในการแสวงหาความรู้และความจริงมาประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตามคุณวิทยา
สามารถแบง่ เปน็ ลกั ษณะและประเภทได้ดงั นี้
1. ลกั ษณะคณุ คา่
1.1 คุณภาพ (quality) หมายถึง ลักษณะที่เป็นคุณค่าของส่ิงใดส่ิง
หนงึ่ หรือลักษณะประจาบุคคลหรอื สิ่งของ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื
ก. คุณภาพปฐมภูมิ (primary quality) เป็นลักษณะคุณภาพหลัก
เชน่ รปู รา่ ง รูปทรง การกินท่ีในอากาศ การเคล่ือนไหว การหยุดนิ่ง ส่ิงเหล่านี้
พบไดจ้ ากธรรมชาติ และงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาป๎ตยกรรม และอ่ืนๆ
ตวั อย่างเช่น เสียงเปน็ คุณภาพปฐมภูมิของดนตรี
ข. คุณภาพทุติยภูมิ (secondary quality) เป็นคุณลักษณะหรือ
คุณภาพขน้ั ทสี่ อง ท่ีไม่มีอยู่ในคุณภาพข้ันที่หน่ึง เป็นสิ่งที่เกิดข้ึนจากการรับรู้หรือ
ผเู้ สพเทา่ นน้ั เชน่ ไดย้ ินเสียง ไดเ้ ห็นสี ได้กล่ิน ได้รู้รส ได้สัมผัส ซึ่งมีผลต่อการ
เกดิ อารมณท์ างสนุ ทรียภาพ1
1.2 คุณลักษณะ (attribute) เป็นลักษณะประจาที่เป็นส่วนสาคัญ
และจาเป็นอนั ขาดมไิ ด้ ในของสิ่งใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงทาให้ส่ิงนั้นแตกต่างไปจากสิ่งอื่นๆ
1 กาจร สุนพงษ์ศร,ี สนุ ทรยี ศาสตร,์ (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ
มหาวิทยาลยั ,2556), หน้า 11.
-6-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
เช่น ไม้มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากเหล็ก จิตรกรรมมีลักษณะแตกต่างไปจาก
ดนตรี
1.3 คุณค่า (value) เป็นคาที่ใช้กันท่ัวไป หมายถึงสิ่งใดก็ตามท่ี
เชื่อว่ามีคุณค่า เพราะตอบสนองความปรารถนาของมนุษย์ หรือคุณค่าที่เป็น
ประโยชนน์ า่ สนใจต่อบคุ คล ความมีคา่ หรือมีคณุ คา่ สาหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน
หรืออาจจะคล้ายกันก็ได้ โดยเฉพาะคุณค่าทางนามธรรม เช่น ความงามเป็น
คุณคา่ ของงานศลิ ปะ สว่ นความดีเปน็ คณุ ค่าทางจริยศาสตร์
1.4 คุณสมบัติ (property) หมายถึง คุณหรือคุณค่าประจาตัวของ
บุคคลหรือส่ิงต่างๆที่มีอยู่แล้ว ก่อนท่ีจะได้มาซ่ึงสิทธิหรือตาแหน่งหรือความ
เปน็ อยู่
1.5 คุณพิเศษ คอื ความดีที่แปลกวา่ สามัญชนทว่ั ไป
1.6 คณุ ธรรม (virtue) สภาพคุณความดี
1.7 ค่านิยม (good will value) เป็นคุณค่าที่เกิดจากบุคคลหรือ
กลุ่มบุคคลท่ใี ห้ค่านิยมในสิ่งหน่งึ สงิ่ ใดร่วมกนั 2
2. ประเภทของคุณค่า แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื
2.1 คุณค่าภายนอก (extrinsic value) หมายถึงคุณค่าของส่ิงใด
ส่ิงหน่ึงที่มีค่าอยู่นอกตัวหมายความว่า ถ้าเราต้องการสิ่งใดส่ิงหน่ึงที่ไม่ใช่จากสิ่ง
น้ันๆ หากแต่เป็นความต้องการ เพราะส่ิงนั้นมีค่าภายนอกท่ีเชื่อมโยงไปสู่ส่ิงอื่น
เช่น ต้องการซื้อภาพจิตรกรรมเพ่ือนาไปขาย ซึ่งผู้ซื้อไมได้เห็นค่าในความงามใน
ภาพนน้ั แตเ่ ห็นคณุ ค่าภายนอก คอื กาไรจากการขายภาพนนั้
2.2 คุณค่าภายใน (intrinsic value) หมายถึง ส่ิงที่คุณค่าภายใน
ตัวเอง ตัวอย่าง เช่น ถ้าเราไปซื้องานศิลปะ เราจะต้องซื้อเพราะว่าเห็นค่าใน
ความงามของศิลปะน้ันจริงๆ มิได้เพ่ือมีไว้อวดเพื่อนบ้าน หรือไว้ขายเพท่อทา
กาไรในอนาคต3
3. บรรทัดฐานของคณุ ค่า แบง่ ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ คือ
3.1 คุณค่าเชิงวัตถุวิสัย (objective value) เป็นมาตรฐานการ
ตัดสินที่ขึ้นอยู่กับคุณค่าทางวัตถุวิสัยหรือปรนัยวิสัยที่เคยยึดถือ และยอมรับกันใน
กลุ่มสังคม เช่น คุณค่าของศิลปวัตถุต่างๆ มีอยู่แล้วในตัวของมันเอง นอกจากน้ี
นักสนุ ทรียศาสตร์แนววัตถุนิยมส่ิงน้ีมีคุณค่าที่สาคัญ เพราะเหตุว่า การมีวัตถุเป็น
เหตุทาใหม้ หี รอื ใหเ้ กิดสุนทรียภาพเกดิ ขนึ้
2 กาจร สนุ พงษศ์ ร,ี สนุ ทรียศาสตร,์ หน้า 12.
3 เร่ืองเดียวกนั , หน้า 12-13.
-7-
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
3.2 คุณค่าเชิงจิตวิสัย (subjective value) เป็นมาตรฐานการ
ตัดสนิ ทข่ี น้ึ อยู่การประเมินของบุคคลหรือกลุ่มคน ท่ียึดตามสถานการณ์ทางสังคม
กาหนดหรือยึดถือกันมา มีการใช่ความรู้สึกเป็นตัวกาหนด อน่ึง คุณค่าทางจิต
วิสัยนี้ถือเอา ความรู้สึกท่ีเป็นนามธรรมสาคัญที่สุด เพราะมีความเช่ือว่าเพราะมี
จิตกาหนดจึงทาให้เกิดสนุ ทรียภาพ4
3.3 การตัดสินคุณค่าเชิงวัตถุวิสัยและจิตวิสัย ถือว่าคุณค่ามีอยู่ใน
วัตถุและการกระทา กับจิตท่ีประเมินค่าทั้งสองประการรวมกัน เช่น เช่น ดอกกุ
หลายจะสวยหรอื ไม่สวย ข้นึ อยกู่ ับผดู้ แู ละดอกกหุ ลาบด้วย
3.4 การตัดสินคุณค่าท่ีถืออรรถประโยชน์เป็นหลัก โดยถือว่า
อรรถประโยชน์อยู่ท่ี การกระทาที่นาผลดีมาให้ วัตถุท่ีตอบสนองความต้องการ
อยา่ งลึกซงึ้ ศลิ ปะที่ตอบสนองความต้องการทางจิตใจได้อย่างถาวร เป็นต้น เช่น
ดอกกุหลาบจะสวยหรือไม่สวย ไม่สาคัญ อยู่ที่ว่าดอก กุหลาบนั้นใช้
ประโยชน์ไดไ้ หม (มคี ่า) หากไมม่ ีก็ถือว่าไร้ค่า5
4. ป๎จจัยที่มีผลต่อการประเมินค่า การประเมินค่าข้ึนอยู่กับป๎จจัย 4
ประการ คอื
4.1 อาเวค หรือ อารมณ์ ความรสู้ กึ ความสะเทือนใจ
4.2 ความต้องการ
4.3 สติป๎ญญาทจ่ี ะใช้วธิ กี าร
4.4 ความเปลีย่ นแปลงของสงั คม6
อย่างไรก็ตาม การตัดสินทางคุณค่าทั้งวัตถุวิสัยและจิตวิสัย จะถือเอา
อย่างใดอย่าหนึ่งแบบตรงๆนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ในกรณีของวัตถุวิสัยน้ัน ความ
งามและไม่งามจะข้ึนอยู่กับคุณสมบัติของวัตถุ ส่วนจิตวิสัยนั้น ความงามและไม่
งามจะขึ้นอยู่จะข้ึนอยู่จิตของบุคคล ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าการตัดสินเรื่องคุณค่า
ความงาม จึงยังไม่เป็นท่ียุติ และนอกจากน้ัน ยังมีการเพิ่มการพิจาณาในการ
ตัดสินความงามและไม่งามขึ้นมาอีก 2 ประเด็น คือ การนาหลักการทางการ
ตัดสินเชิงวัตถุวิสัยและจิตวิสัย มาพิจาณาร่วมกัน และการพิจารณาการตัดสิน
ความงามและไมง่ ามเชิงอรรถประโยชนอ์ กี ดว้ ย7
4 เรื่องเดยี วกนั , หน้า 13.
5 สถิต วงศ์สวรรค,์ ปรชั ญาเบอ้ื งตน้ , (กรุงเทพมหานคร: รวมสาส์น, 2540), หน้า 134.
6 อ้างแลว้ .
7 จอหน์ ดวิ อ้ี (John Dewey) เป็นนักปรชั ญาปฏบิ ตั ิยม ผถู้ อื ว่า สง่ิ ท่มี อี รรถประโยชนเ์ ปน็
สิง่ ทค่ี ุณค่า ดังนนั้ ส่ิงทไ่ี มม่ ปี ระโยชนค์ อื ส่ิงท่ไี ม่มีคุณคา่ ในกรณีความงามและไมง่ ามก็
เช่นเดียวกัน – ผ้วู จิ ยั
-8-
สนุ ทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ความหมายของสุนทรียศาสตร์
ตาราทางสุนทรียศาสตร์ท่ัวไป กล่าวว่า สุนทรียศาสตร์น้ัน เป็นวิชาที่
เกีย่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาเรื่อง ความงาม เป็นสาขาหน่ึงของปรัชญาท่ีว่าเร่ืองคุณค่า
(Axiology) หรือ คุณวิทยา โดยทั่วไปแล้วสุนทรียศาสตร์นั้น จะศึกษาเก่ียวกับ
ความงามเป็นหลัก แต่กระน้ัน คาว่า ความงาม ก็ยังมีป๎ญหาคลุมเครือ ใน
เชิงอรรถวิภาค เช่น คาว่า ความงาม หมายถึง งาม ซ่ึงเป็นได้ท้ังคาคุณศัพท์
และกริยาวิเศษณ์ ในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต ได้อธิบายไว้ว่า “มีความ
งาม หมายถึง งาม สวย มีลักษณะท่ีเห็นที่ฟ๎งแล้วชวนยินดี ชวนพึงพอใจ เช่น
ภาพหรือรูปหรือเสียง นอกจากนี้ยังมีความหมายอ่ืนอีก เช่น ลักษณะของความ
สมบูรณ์ทางธรรมชาติ ฝนงาม กาไรงาม และใช้เป็นคาประชดประชัด เช่น งาม
หน้า”8 ด้วยป๎ญหาเหล่าน้ี จึงต้องหาคาที่เหมาะสมมาใช้แทน เช่นคาว่า สุนทรีย์
หรือ สุนทรียะ ซึ่งเป็นคาคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์เช่นเดียวกับคาว่า งาม ส่วน
คาว่า ความงาม มีความหมายใกล้เคียงกับคาว่า สุนทรียภาพ ทั้งสองคามักนิยม
นามาใช้กับงานศิลปะโดยตรง และสามารถเป็นคาศัพท์มาใช้แทนคาว่า ความ
งาม9
ในภาษาไทยคาว่า “สุนทรียศาสตร์” พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ ให้
ความหมายคาว่า สุนทรียศาสตร์มาจากศัพท์ว่า สุนทร+ศาสตร์ วิชาท่ีว่าด้วย
ความซาบซึ้ง ในคุณค่าของสิ่งงดงาม ไพเราะ หรือรื่นรมย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรม
หรือในงานศิลปะ ส่วนใหญ่จะออกมาในลักษณะปรัชญาหรือทฤษฎี ทั้งในเชิง
จิตวิทยา จริยศาสตร์ สังคมศาสตร์ รวมไปถึงการวิจารณ์ศิลปะและรสนิยม
ความรู้สึกน้ีเจริญได้ด้วยประสบการณ์หรือการศึกษา อบรม ฝึกฝน จนเป็น
อุปนสิ ยั ก่อเกดิ เป็นรสนิยม (taste) ซ่งึ ย่อมจะแตกต่างไปในแต่ละบุคคล10
ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของสุนทรียศาสตร์
ไว้ว่าด้วยเร่ืองท่ีเก่ียวกับความนิยม ความงาม สุนทรียภาพ คือความงามใน
ธรรมชาตหิ รืองานศิลปะ ท่ีแต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้ ความเข้าใจและ
รู้สึกของแต่ละบุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรือศิลปะ ส่วนสุนทรียศาสตร์
เป็นปรัชญาสาขาหน่ึงว่าด้วยความงาม และสิ่งสวยงามในธรรมชาติหรืองาน
ศิลปะ11 ซ่งึ น้นั อาจทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดของ Aesthetic ที่มุ่ง
8กาจร สนุ พงษศ์ ร,ี สนุ ทรียศาสตร์, หนา้ 39.
9เร่ืองเดยี วกัน, หน้า 40.
10ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รมศพั ทศ์ ิลปะ อังกฤษ-ไทย. (กรุงเทพมหานคร:
ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2530), หน้า 6.
11ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิยสถาน พ.ศ.2552,(กรุงเทพมหานคร:
อักษรเจริญทัศน , หนา้ 1205.
-9-
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
อธิบายไม่เฉพาะแตค่ วามงามเท่าน้ัน แตย่ งั รวมไปถึงทุกสงิ่ ท่สี มั ผัสได้แล้วก่อให้เกิด
ความรสู้ ึกทางใจอย่างใดอย่างหนง่ึ
คาว่า Aesthetic มาจากรากศัพท์ภาษากรีกโบราณ คาว่า
aisthetikosบางคร้ังในภาษาอังกฤษอาจจะเขียนได้ สองแบบ คือ Aesthetics
และ Esthetics ตามความหมายดั้งเดิมนั้น แปลว่า ความไวต่อความรู้สึก
(sensitive) ความต่ืนเต้น (sentient) หรือส่ิงท่ีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ความรู้สึกซึ่ง
จะไดม้ าจากคาภาษากรกี ว่า aisthanomai แปลว่า ฉันรบั รู,้ ฉันร้สู ึก, ฉันสัมผัสได้
(I perceive, feel, sense)12 ต่อมา คาว่า aesthetics ได้รับการบัญญัติและให้
ความหมายใหม่ โดยนักปรัชญาชาวเยอรมัน นามว่า Alexander Gottlieb
Baumgarten ในงานดุษฎีนิพนธ์เรื่อง Mediationesphilosophicae de
nonnullisadpoemapertinentibus หรือ ข้อควรพิจารณาทางปรัชญาท่ีเกี่ยวข้อง
กับบทกวี ในปี ค.ศ. 1735และหลังจากนั้น คาน้ียังถูกใช้ในงานของเขาชื่อ
Aesthetica ใน ค.ศ.1750 อีกด้วย13
คานี้ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ในภาษาอังกฤษโดยวิธีการแปลของ คานท์
(Emmanuel Kant) และถูกใช้ในความหมายแบบดั่งเดิมในเร่ืองความรู้สึกที่ไม่
วิปลาส ในเรื่องเง่ือนไขของการรับรู้ความรู้สึกทางประสาทสัมผัส ซ่ึงเป็น
การศึกษาทางวทิ ยาศาสตร์ ค้านท์ พยายามท่ีจะนาความหมายเดิมของคาน้ีมาใช้
หลังจากที่ Alexander Gottlieb Baumgarten ได้นามาใช้ในภาษาเยอรมันใน
ความหมายของการวิจารณ์เร่ืองรสนิยม (criticism of taste) ในช่างปี ค.ศ.
1750 – 1760 แต่ความหมายที่ Baumgarten ได้นิยามไว้นั้น ได้รับความ
นิยมในช่วง ปี ค.ศ. 1830 – 1840 (แม้จะมีข้อขัดแย้งทางวิชาการกันก็ตาม)
และศัพท์นี้ได้ถูกใช้ในปรัชญากันอย่างแพร่หลาย ในปี ค.ศ. 1868Water Peter
ได้เคยใช้ ศัพท์นี้อธิบายการสนับสนุนกระบวนการที่ช่ือว่า “Art for Art Sake”
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อมาความหมายของคาน้ีก็เลอะเลือนไป คาน้ีได้ถูก
ในฐานะของคาคุณศัพท์ ในปี ค.ศ. 1798 เพื่ออธิบายการรับรู้ทางประสาท
สมั ผสั ในปี ค.ศ. 1821 ถูกใช้ในเพอ่ื การอธิบายการชนื่ ชมส่งิ ท่สี วยงาม14
12 Nigel Wilson, Encyclopedia of Ancient Greece , (New York : Rouledge,
2010), p.20.
13 Paul Guyer,Values of Beauty: Historical Essays in Aesthetics, (2008).
Mind, 117 (468), pp. 1079 – 1081.
14 Online Etymology Dictionary, aesthetic, [Online] Available on:
http://www.etymonline.com/index.php?term=aesthetic, Accessed [February 1,
2017].
-10-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ทั้งนี้ ความหมายของสุนทรียศาสตร์มีผู้ที่ให้ความหมายตามที่เข้าใจ
หรือหาเหตุผลมาอธิบายคุณค่าทางความรู้สึกที่เกิดข้ึนกับอารมณ์ของมนุษย์เรา
เก่ียวกับความรู้สึกประทับใจต่อส่ิงๆหนึ่งอย่างเช่น ความรู้สึกชอบ ความ
เพลิดเพลินใจ อย่างที่นักปราชญ์บางท่านได้ให้ไว้เช่น จอห์น ฮอสเปอร์ (John
Hosper, 1937-1998) ได้อธิบายว่าสุนทรียศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ท่ีสืบ
เน่ืองมาจากส่ิงที่ก่อให้เกิดประสบการณ์สุนทรีย์ (Aesthetic Experience) ส่ิง
ดังกล่าวอาจจะเป็นธรรมชาติหรืองานศิลป์ก็ได้ ทั้งน้ีการที่จะตอบคาถามเก่ียวกับ
มโนทัศน์เหล่านั้นให้กระจ่างชัด เช่น คาถามเกี่ยวกับ ภาวะสุนทรียะ ความงาม
และคุณค่าความงาม หรือคุณค่าสุนทรียะ(Aesthetic Valve) สุนทรียเจตคติ
(Aesthetic Attitude) งานศิลป์ (Works of Art) และประสบการณ์สุนทรียะ
ส่วนของ โทมัส มันโร (Thomas Munro, 1943-1973) กล่าวถึง
สุนทรียศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์ท่ีมีลักษณะค่อนข้างเป็นนามธรรม ใช้การคาดคะเน
โดยอาศยั เหตผุ ลเป็นส่วนใหญ่ โดยมุ่งไปท่ีคาถามเกี่ยวกับธรรมชาติของความงาม
และมีความหวังว่าความรู้ความเข้าใจที่เกิดข้ึนจากการหาคาตอบน้ัน จะเป็น
ประโยชน์ต่อมนุษย์15
ดงั น้ันเปูาหมายของสุนทรียศาสตร์น้ัน อยู่ที่การวิเคราะห์หาคุณค่าของ
ความงามท่ีมีอิทธิพลต่อชีวิตของมวลมนุษย์นั่นเอง มันไม่ใช่เป็นแค่เร่ืองของการ
ประเทืองอารมณ์ หรือ ป๎ญญาเพียงอย่างเดียว ย่ิงกว่านี้ สุนทรียศาสตร์ ไม่ใช่
เรอ่ื งทจี่ ะนาเข้าหาแต่สง่ิ สวยงามทส่ี ดุ หรอื ถกู ตอ้ งใจทส่ี ุด เท่าท่ีกิเลส-ตัณหา ของ
มนุษย์ ต้องการเสียท้ังหมด อย่างน้อยสุนทรียศาสตร์ต้องสามารถเสริมสร้างให้
มนุษย์ ไดม้ ีโอกาสสมั ผัสกับส่ิงทเ่ี ป็นสจั ธรรมซึง่ ปรากฏอยู่16
แนวคดิ ทางสนุ ทรยี ศาสตรต์ ะวันตก เกดิ ที่ใดไม่มีข้อมูลท่ีชัดเจนใครเป็น
คนแรกที่กล่าวถึงป๎ญหาของศิลปะในเชิงปรัชญาไม่อาจรู้ได้ แต่ปรัชญาศิลปะที่
เกิดข้ึนอย่างเป็นระบบเริ่มต้นท่ีเพลโต (Plato) และความคิดท่ีสุกงอมของเพลโต
เกดิ มาจากเมลด็ พันธทุ์ างความคิดก่อนหน้านั้นประมาณ 200ปี ซ่ึงเป็นความคิดท่ี
คลุมเครือ ไมช่ ัดเจน และคาดเดาไดเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ น้นั 17
จุดเริม่ ต้นของสุนทรียศาสตร์ น่าจะอยู่ที่ประเทศกรีก ซ่ึงมีการกล่าวถึง
ชัดเจนกว่า แต่ยังไม่นับว่าเป็นการพูดอย่างปรัชญา ประโยคที่น่าจะคาดได้ว่าเป็น
15 Munro, Thomas, “Oriental Traditions in Aesthetics”, The Journal of
Aesthetics and Art Criticism, (vol. 24, no. 1, 1965), pp. 3–6.
16บุณย์ นิลเกษ. สนุ ทรยี ศาสตร์เบ้ืองต้น, (เชียงใหม่: โครงการตารา คณะมนษุ ยศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม)่ , หนา้ 2.
17จรญู โกมุทรตั นานนท,์ สุนทรยี ศาสตรก์ รีก-ยุคฟน้ื ฟ,ู (กรุงเทพมหานคร, สานักพมิ พแ์ ห่ง
จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย, 2547), หนา้ 3-7.
-11-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ประโยคแรกของการแสดงทรรศนะทางปรัชญาศิลปะ คือ ประโยคที่ปรากฏใน
มหากาพย์ที่ช่ือว่า อีเลียด (Iliad) ของโอเมอร์ (Homer) กวีเอกและเก่าแก่ที่สุด
ของโลกตะวันตก ดังคากล่าวของ เบอร์นาร์ดโบซานเควต(Bernard Bosanquet)
นักประวัติศาสตร์สุนทรียศาสตร์คนหน่ึงกล่าวว่า การตัดสินทางสุนทรียะอันแรก
สุดน่าจะอยู่ในวรรณคดีของตะวันตก จากประโยคท่ีพูดโดยนักพูดแบบโฮเมอร์
(Homer) ถึงโล่ของ อคิลลิส (Achilles) ว่า “พื้นดินดูมืด เบ้ืองหลังคันไถและดู
เหมือนถูกไถแลว้ ถงึ แมจ้ ะทาดว้ ยทอง แต่มันช่างเป็นผลงานท่นี ่าอศั จรรย์ย่ิง”18
แนวคิดเก่ียวกับสุนทรียศาสตร์ในอีกมุมมองหน่ึง น่าจะเกิดจากการยก
ย่องความยิ่งใหญ่ของกวีเอกโฮเมอร์ และเฮซิออด (Homer and Hesiod) และ
การเกิดข้ึนของปรัชญาธรรมชาติในขณะน้ัน เป็นป๎ญหาเร่ือง ความสัมพันธ์
ระหว่างศิลปะกับความจริง (Art and Truth) ในยุคนั้นคนกรีกยังคง ยกย่องนับ
ถือโฮเมอร์และเฮซิออดต่อเน่ืองเป็นเวลานานหลังการเสียชีวิตของกวีเอกท้ังสอง
ทง้ั นเ้ี พราะพวกเขาเช่ือวา่ กวเี อกทง้ั สองเปน็ เหมือนเทพพยากรณ์ที่กล่าวด้วยภาษา
อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังผลงานของกวีเอกทั้งสองเป็นทั้งประวัติศาสตร์ และเป็น
ท้ังเครื่องมือใช้ส่ังสอนศีลธรรม ทั้งยังมีคุณค่าทางศาสนา ประกอบกับการ
พยายามค้นหาความจริงของโลกของพวกปรัชญาธรรมชาติ ซึ่งเกิดข้ึนประมาณ
ศตวรรษท่ี 7-6 ก่อนคริสต์ศักราช จึงทาให้เกิดการอ้างว่า กวีโบราณได้เปิดเผย
ความจริงอันลึกซ้ึงที่ซ่อนอยู่เบ้ืองหลังสรรพส่ิงทั้งหลายโดยใช้สัญลักษณ์และคา
เปรียบเทียบ ดังตัวอย่างการแปลความหมายตัวละครในผลงานอีเลียด (Iliad)
ของ เมโทรดอรัส (Metrodorus of Lampsacus) ดังนี้อาร์มาเก็ดดอน
(Armageddon) คือ อากาศอคิลลีส(Achilles) คือ ดวงอาทิตย์เฮเลน (Helen)
คือ พืน้ ดิน ดเี มเทอร์(Demeter) คอื แม่น้า19
แนวคิดสุนทรียศาสตร์ที่เป็นประเด็นที่เติบโตในศตวรรษที่ 4 ก่อน
ครสิ ต์ศักราช คอื เร่ืองธรรมชาติ และตน้ กาเนิดในพลังสร้างสรรค์ของศิลปิน เทพ
หรือส่ิงเหนือธรรมชาติถูกมองว่ามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับผลงานศิลปะใน
ความเช่ือของนักคิดกรีกหลายคน จากความสนใจในต้นกาเนิด และระเบียบของ
โลกโฮเมอร์และเฮซิออด ได้ถูกนามาพัฒนาในคาส่ังสอนของศาสนากรีก เช่น
Orphism20ได้เปรียบเทียบศิลปินว่าเป็นนักสร้างสรรค์อย่างเทพ ( Devine
Creator)
18จรญู โกมุทรตั นานนท,์ สนุ ทรียศาสตรก์ รกี -ยคุ ฟื้นฟ,ู หนา้ 5.
19เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ 7.
20ลัทธิออรฟ์ สี ม์ (Orphism) ได้ปรับปรงุ ให้ศาสนากรกี โบราณมเี หตุผลและมเี กณฑศ์ ลี ธรรมดี
มาก จนเป็นทีน่ า่ เชื่อถือของป๎ญญาชนและเมือ่ ศาสนาคริสตเ์ ริ่มตัง้ มนั่ ในมหาอาณาจกั รโรมนั
-12-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
แนวคิดทางสุนทรียศาสตร์สุดท้ายคือ ทฤษฎีทางดนตรีและผลกระทบ
ทางศีลธรรมดนตรี เป็นป๎ญหาที่เกิดจากความคิดของนักปรัชญา ปิทากอรัส
(Pythagoras) และสานุศิษย์ ผู้ซึ่งอธิบายระเบียบของโลกแห่งสสารด้วย
คณิตศาสตร์ หลังการทดลอง ปทิ ากอรัส คน้ พบ ความสัมพันธ์ระหว่างความยาว
ของลวดที่ตึงกับระยะห่าง (Pitch) ของความส่ันสะเทือน หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วน (vibration) หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วน (Ratios) ของความยาวกับช่วงการหยุด
(Intervals) เปน็ การนาไปสู่การค้นพบความสาคัญของจานวนในธรรมชาติ และใน
ดนตรีและต่อมาถูกนามาพัฒนาในเร่ืองผลกระทบของดนตรีต่อการเสริมสร้าง
หรือทาลายความกลมกลืนของวิญญาณในแต่ละบคุ คล21
พ.ศ. 2333 (ค.ศ. 1790) อะเล็กซานเดอร์กอตต์เลียบ บวมการ์เทิน
(Alexander Gottlieb Baumgarten) นักปรัชญาชาวเยอรมัน คือ ผู้ตั้งชื่อ
สุนทรียศาสตร์ว่า “เอสเธทิกซ์”(Aesthetics) สุนทรียศาสตร์ได้รับการยอมรับว่า
เป็นวิชาสาขาพิเศษในวิชาปรัชญา และเริ่มใช้ช่ือว่าสุนทรียศาสตร์ช้าไปบ้าง
สุนทรยี ศาสตร์เปน็ คาที่ใชค้ ร้งั แรกในหนังสือของ บวมการ์เทิน ชื่อภาพสะท้อนใน
บทกวี (Reflection on Poetry) เมื่อ พ.ศ. 2278 ค.ศ. 1735 บวมการ์เทิน
เป็นนักปรัชญากลุ่มเหตุผลนิยมของ เรอเน เดการ์ต (René Descartes) บิดา
ของปรัชญาสมัยใหม่ชาวฝรั่งเศสและของกอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ
(Gottfried Wilhelm von Leibniz) นักปรัชญาคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ท้ังสอง
ไม่สนใจเร่ืองสุนทรียศาสตร์ ท้ังสองให้ความสนใจการอธิบายเร่ืองมโนภาพที่
ชัดเจน และแจ่มแจ้ง ซึ่งหมายถึงความคิดท่ีเป็นระบบ เช่นในตรรกศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ ข้อจากัดนี้ บวมการ์เทิน เห็นว่าเป็นการจากัดการรับรู้ที่ได้มีการ
พัฒนาอยู่ในกวีนิพนธ์และศิลปะอย่างอ่ืนด้วย ท่านเห็นว่า แนวคิดของเดการ์ตมี
ผลทาให้เกิดการละเลยอย่างมากในกวีนิพนธ์และงานศิลปะ คาว่า ชัดเจนตาม
ทรรศนะของเดการ์ตหมายถึง ส่ิงท่ีชัดเจนต่อจิตใจโดยไม่ต้องอธิบายศัพท์ และ
บัญญัติทั้งหมดชัดเจน และแจ่มแจ้งในเรขาคณิต ในขณะท่ีสาขาวิชาอ่ืนยังไม่
ชัดเจน และสับสนเพราะประสาทสัมผัส และการรับรู้ทางตรรกศาสตร์ ซ่ึงเป็น
การรับรู้ชนิดชัดเจนและแจ่มแจ้งก็ตาม การรับรู้ทางประสาทสัมผัสคือส่ิงท่ี บวม
การ์เทิน พบในบทกวีนิพนธ์ แล้วขยายไปสู่ศิลปะสาขาอ่ืน เม่ือ บวมการ์เทิน
พิจารณาจากภาษากรีก ศัพท์สาหรับการกาหนดรู้ คือเอสเธซิส (Aisthesis)
เบาว์มการ์เทนจึงเร่ิมใช้คาว่า เอสเธทิกซ์ (Aesthetics) สาหรับศาสตร์ว่าด้วยการ
21Jonathan Rée and J. O. Urmson, The concise encyclopedia of western
philosophy, (London: Routledge, 1975), p. 322.
-13-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
รับรู้ทางประสาทสัมผัส บวมการ์เทิน ได้อธิบายอย่างเป็นระบบ พร้อม
ยกตัวอย่างบทกวีนิพนธ์ภาษาละตินและภาษากรีก โดยอธิบายว่า บทกวีนิพนธ์มี
ความสมบูรณ์ทางประสาทสัมผัสมากเท่าไร บทกวีนิพนธ์ก็ย่ิงสมบูรณ์มากเท่านั้น
คาว่า เอสเททิกซ์ ของ บวมการ์เทิน จึงเป็นส่วนหนึ่งของศัพท์ปรัชญาต้ังแต่นั้น
มา
เหตุที่บวมการ์เทิน ใช้ชื่อน้ี เพราะเขาเช่ือว่า เราจะรับรู้เร่ืองราวความ
งามโดยผ่านผัสสะเท่าน้ัน ท่ีจริงแล้ว เขาได้รับแนวคิดนี้มาจาก คริสเตียน โวล์ฟ
(Christian Wolff) และ เขาเองก็ได้รับแนวคิดนี้มาจาก บารุคเดอสปิโนซ่า
(Baruch de Spinoza) อีกต่อหน่ึง ตามความเห็นของ สปิโนซา (Spinoza)
น้ัน เขาได้แบ่งความสามารถในการรับรู้ออกเป็น 2 ระบบ คือ 1. การรับรู้โดย
ผ่านการใชเ้ หตผุ ล หรอื สติปญ๎ ญา 2. การรบั รโู้ ดยผ่านกระบวนการผัสสะ
สาหรับเรื่องของความงาม เขาถือว่าเป็นส่ิงที่รับรู้ และรู้ได้โดยผัสสะ
เช่นการเห็นหรือการได้ยิน ไม่สามารถรับรู้โดยใช้ป๎ญญาหรือเหตุผล22 แต่ใน
ปจ๎ จุบัน เป็นทท่ี ราบกันดีว่า อาศัยเพียงผัสสะอย่างเดียวไม่เพียงพอท่ีจะทาให้รู้จัก
ความงามได้ ผัสสะทาหน้าท่ีรับส่งภาพไปสู่จิต มันเป็นแค่ป๎จจัยหนึ่งท่ีจาเป็นสา
หรบั การรบั รูจ้ ักความงาม แตไ่ ม่ใช่ป๎จจัยหนึ่งเดียว เพราะถ้าอาศัยเพียงผัสสะโดย
ปราศจากจติ และปญ๎ ญาแล้ว เราจะไมส่ ามารถรู้จักและชื่นชมความงามที่เราสัมผัส
นั้นได้นับต้ังแต่คริสต์ศตวรรษท่ี 19 เป็นต้นมาจุดสนใจของสุนทรียศาสตร์ไม่ได้
อยทู่ ี่ความงามเพยี งอย่างเดยี วเท่าน้ัน แต่ได้ขยายขอบเขตออกไปตามหลักปรัชญา
และทฤษฎีศลิ ปะ ซง่ึ ปรากฏคาศัพท์ต่างๆมากมายท่ีแสดงหลักการทางสุนทรียธาตุ
(Aesthetic Elements) ดงั ตอ่ ไปน้ี
Picturesqueness ความแปลกหูแปลกตา ความสละสลวย ไพเราะ
น่าดู
Sublimity ความน่าทึง่ สงู ส่ง ประเสริฐ บริสุทธิ์ เลิศลอย
Novelty ความแปลกใหม่
Gracefulness ความน่ิมนวล มเี สนห่ ์
Harmony ความประสานกลมกลนื
Consistency ความเขา้ กนั หรอื ภาวะแบบนยั
Bizarre ความประหลาด มหัศจรรย์ หรูหราผิดปกติ ฉดู ฉาด
Neatly การไดส้ ดั ส่วนเหมาสมลงตัว
Creative การสรา้ งสรรค์
22 Francis J. Kovach, Philosophy of Beauty, (Oklahoma: The University of
Oklahoma Press, 1974), p.5.
-14-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
Purity ความสะอาดบริสทุ ธิ์
Gaudy ความร้สู กึ หรหู รา ฟุมเฟือย อลงั การ
Gently ความสงบ
Grotesque พลิ ึก ประหลาด พิสดาร
Impression ความประทบั ใจ
Lofty ความสงา่ สงู ส่ง
Elaborate ความวจิ ติ ร ซบั ซ้อน
Dull ความหมองคลา้ ความน่าเบื่อ
Inculcation ความตราตรงึ
Profound ความลกึ ซ้ึง
Prominent ความเดน่
Innovation ความมสี นุ ทรยี ะทางนวัตกรรม
Intensity ความกระจ่างชดั ทางสุนทรียะ
Ugliness ความนา่ เกลยี ด
ฯลฯ
คาเหล่านี้ล้วนเป็นสุนทรียธาตุ ที่สามารถพบเห็นได้งานศิลปะทุก
แขนง23
ดังนั้น ความหมายของสุนทรียศาสตร์ ที่เป็นไปตามรากศัพท์ของ
Aesthetics ดงั ที่ บาวก์ ารเ์ ทิน ได้เร่ิมไว้จงึ ไมเ่ หมาะสมกบั เนื้อหาและแนวทางของ
ศาสตร์ที่เป็นอยู่ในป๎จจุบัน อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) เฮ
เกล (Hegel) เป็นผู้ริเริ่มใช้คาว่า Aesthetics ในหนังสือ Aesthetikใน
ความหมายทใี่ ชก้ ันอยู่ในป๎จจุบันนี้24
ฟรานซิส เจ โควัค (Francis J. Kovach) ให้ความเห็นว่า แม้
สุนทรียศาสตร์ในป๎จจุบันไม่ได้มุ่งอยู่เฉพาะความงามเพียงอย่างเดียวดังท่ีเคย
เป็นมาในสมัยก่อนก็ตาม แต่ลักษณะต่างๆที่กล่าวถึงเช่น ความประเสริฐ บริสุทธิ์
น่าทึง่ (Sublimity), ความแปลกใหม่ (Novelty), ความน่ิมนวล ซึ่งในท่ีน้ีหมายถึง
ความงามที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ทางวัตถุ25ความอ่อนช้อย (Gracefulness)
เหล่าน้ีลว้ นแต่สมั พนั ธก์ บั ความงามทัง้ ส้ินคือเราสามารถทอนไปเป็นเร่ืองของความ
23กาจร สุนพงษ์ศร,ี สนุ ทรียศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2556), หนา้ 103.
24บุณย์ นลิ เกษ, สนุ ทรียศาสตรเ์ บอ้ื งต้น, (เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม,่ 2523),
หน้า 3.
25 Sydney Penner, On Being Able to Know Contingent Moral Truths, The
Yale Philosophy Review An Undergraduate Publication, Issue I, 2005.
-15-
สนุ ทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
งามได้แม้กระท่ังความน่าเกลียด (Ugliness) ซ่ึงถือกันว่าเป็นส่ิงท่ีตรงกันข้ามกับ
ความงามก็ยังเป็นลักษณะหน่ึงของความงามนั่นเองแต่เป็นลักษณะเชิงลบ
(Negative Value) ดังน้ันแท้จริงแล้วหัวข้อสุนทรียศาสตร์ยังคงอยู่ที่เร่ืองราวของ
ความงามเช่นเดมิ 26
ป๎จจุบันวิชาสุนทรียศาสตร์ เป็นวิชาหนึ่งท่ีเป็นอิสระ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
งานศิลปะต่างๆ (ศิลปกรรมต่างๆ) กระบวนการแห่งการผลิต และการมี
ประสบการณ์ศิลปะลักษณะเฉพาะต่างๆ ของธรรมชาติและผลิตผลของมนุษย์
ภายนอกขอบขา่ ยของศิลปะ โดยเฉพาะลักษณะต่างๆ ซึ่งอาจยกมาพิจารณากันได้
ว่า สวยงามหรือน่าเกลียด โดยการยอมรับต่อรูปแบบ และคุณภาพต่างๆ ทาง
ประสาทสัมผัส (เช่น พระอาทิตย์ ดอกไม้ มนุษยชาติ เครื่องจักรกลต่างๆ) ใน
ขณะเดียวกันสุนทรียศาสตร์ยังเก่ียวกับความสนใจในความงาม คุณค่าแบบวิจิตร
และมโนภาพตามบรรทัดฐานอ่ืนๆ เพื่อจะวางการย้าในวิธีการเชิงพรรณนา และ
เป็นจริงต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ของศิลปะและประสบการณ์ทางสุนทรียะ มันก็
แตกต่างไปจากประวัติศิลปะ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรม โดย
การย้าเอาหน่วยรวมทางทฤษฎีของวัตถุต่างๆ โดยอาศัยคาศัพท์ของแบบที่มีอยู่
และความโน้มเอียงต่างๆ มากกว่าประวัติเชิงพงศาวดาร หรือเชิงก่อกาเนิด
สุนทรียศาสตร์ ต่างจากจิตวิทยาทั่วไปในการรวมแง่ต่างๆ ท่ีเลือกสรรแล้ว
พฤติกรรมจิตวิทยาและการแสดงนัยความหมายของมันต่อแบบแห่งอารมณ์และ
สถานการณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ และสถานการณ์แห่งศิลปะ สุนทรียศาสตร์สืบ
ค้นหาแบบลักษณะเฉพาะต่างๆ ของศิลปะซ่ึงจิตวิทยาไม่ทา สุนทรียศาสตร์ต่าง
จากศิลปวิจารณ์ โดยการแสวงหาความเข้าใจศิลปะแบบท่ัวๆไป และเป็นทฤษฎี
มากกว่าเป็นปกติในจิตวิสัย และเป็นปกติในความพยายามในทัศนะคติในสภาว
วิสัย และมิใช่ตัวบุคคลมากกว่า สุนทรียศาสตร์ยืนยันถึงความชัดแจ้งทางปรัชญา
ในการเปรียบเทียบตัวอย่างทั้งหลายของศิลปะทั้งหมด และในการรวบรวมข้อมูล
รวมทั้งข้อสมมุติฐานจากแหล่งต่างๆ รวมท้ังปรัชญา จิตวิทยา ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรมและศาสตร์ต่างๆทางสังคม แต่มันก็แยกจากความคิดท่ีสืบทอดกันมา
ของปรชั ญาในการเขียนทใี่ ห้ช่ือวา่ “สนุ ทรยี ศาสตร”์
พ่วง มีนอกได้ศึกษาในด้านรายละเอียด และเป็นประจักษ์นิยมมาก
ของปรากฏการณ์เฉพาะอย่าง แทนการจากัดตัวเองดังคาถกเถียงกันด้าน
นามธรรมในเร่ืองความหมายของความงาม สิ่งประเสริฐ และธรรมชาติประเภท
อื่นๆ คือธรรมชาติที่เป็นสภาววิสัย หรืออัตวิสัยของมัน หรือความสัมพันธ์ต่อ
26สมเกยี รติ ตั้งนโม, ศึกษาเปรยี บเทียบแนวคิดสุนทรยี ศาสตรใ์ นพุทธศาสนากบั ปรชั ญา
ของเพลโต, (บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล, 2547), หน้า 5.
-16-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
ความสนุกสนานและความดที างศลี ธรรม คือจดุ ประสงค์ของศิลปะ ธรรมชาติแห่ง
คุณค่าทางสุนทรียะ เป็นต้น ได้มีการอภิปรายในประเด็นว่า การศึกษาทาง
ประจักษ์นิยม เป็น “สุนทรียศาสตร์” หรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่ง ช่ือน้ันสมควรจะ
ถกู รักษาไวส้ าหรบั วธิ ีการแบบดั้งเดมิ แบบวิภาษวิธี หรือแบบคาดคะเน แต่การใช้
ก็อานวยให้ยืดหยุ่นขยายในกรณตี า่ งๆ ถึงแม้วา่ การสืบค้นจะมีจดุ มุ่งหมายไปที่การ
วางหลักการกวา้ งๆ27
แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงกันมากในเรื่องของความงาม ซึ่งกาเนิดเป็น
รูปร่างในประวัติศาสตร์ปรัชญามาจนกระทั่งป๎จจุบัน ข้อถกเถียงกันในประเด็น
ต่างๆ นั้น เช่ือมโยงความคิด เริ่มแรกเกี่ยวกับญาณวิทยาและภววิทยา หรือ
คณุ ค่าทางสงั คมและศีลธรรม หรือเก่ียวกับเหตุผลทางตรรกะ เช่นเพลโต (Plato)
และอริสโตเติล (Aristotle) ได้คิดประเด็นป๎ญหานี้ว่า ศิลปะสามารถกาหนดเป็น
รูปร่างตัวตน และเป็นส่ือถ่ายทอดความรู้และความจริงได้หรือไม่ และทรรศนะ
ของเพลโตที่ว่า ศิลปะนั้นไม่อาจกาหนดเป็นรูปร่างให้เป็นส่ือถ่ายทอดความรู้และ
ความจริงได้ เพราะศิลปะดารงอยู่ห่างไกลจากความจริงมากนัก ทรรศนะนี้เอง
ทาให้เขากีดกันรูปแบบต่างๆ ของศิลปะออกจากผลงานเรื่อง “อุดมรัฐ” ในอุดม
คตขิ องเขา และเพ่ือมิให้ประชาชนจานวนมากต้องถูกชักจูงให้หันเหออกไปจากวิธี
ทางอนั ประเสรฐิ และถูกต้องคือปรัชญา28
ความโน้มเอียงต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ในสุนทรียศาสตร์ เป็นไปใน
ลักษณะผลสะท้อนกลับในการปฏิบัติการร่วมสมัย โดยเฉพาะนักปรัชญาชาว
อังกฤษ – อเมริกันจานวนมาก ได้ดาเนินรอยตามนักปรัชญาประจักษ์นิยม และ
ยอมรับเหตุผลแห่งทางตรรกะ ในการกาหนดคุณค่าทางสุนทรียะ พร้อมกับการ
ตัดสินคุณค่าทางการวิจารณ์ด้วย อน่ึงผลงานช้ันคลาสสิก เร่ือง อะไรคือศิลปะ
(What is Art?) ของ ตอลสตอย (Tolstoy) ก็ได้ปลุกให้นักคิดชาวตะวันออก
แสดงจุดเด่นเปน็ พิเศษ ในเร่ืองคุณค่าของศิลปะทางศีลธรรมและทางสังคม ยิ่งไป
กว่านั้น ป๎จจุบันยังได้หันกลับไปหาความสัมพันธ์ระหว่างสุนทรียศาสตร์ กับ
ปรัชญาจิตนิยมแบบค้านท์และหลังค้านท์ด้วย น่ันคือโดยสายแห่งการค้นคว้าวิจัย
นี้ ก็ได้พบสิ่งดีเยี่ยมมาเป็นเวลานานพร้อมกับนักปรัชญาอัตถิภาวะ และปรัชญา
ปรากฏการณ์นิยม ด้วยความสนใจน้ี ได้ทุ่มเทให้เพื่อการสารวจตรวจสอบผลงาน
27พ่วง มนี อก, สุนทรียศาสตร,์ (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2536),
หน้า 13-17.
28Paul Shorey, Plato The Republic, (Massachusetts: Harvard University Press,
1937), p. 224.
-17-
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ต่างๆ โดยการจินตนาการพร้อมๆกับจิตไร้สานึกของ ซิกมันด์ฟรอยด์ (Sigmund
Freud)29
ประเภทของสนุ ทรียศาสตร์
ประเภทของสุนทรียศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 หลักตามแบบ
ประเพณีนิยมและ 3 หลักตามแบ บวิท ยาการสมัยใหม่ กล่าวคือ 1)
สนุ ทรียศาสตร์เชิงวัตถวุ ิสัย คอื ประสบการณ์ที่น่าพอใจท่ีได้รับการยอมรับว่าเป็น
ปรากฏตัวของความงาม กลุ่มนี้ คือ กลุ่มพิธากอเรี่ยน (Pythagorean) 2)
สุนทรียศาสตร์เชิงอัตวิสัย คือ กลุ่มท่ีถือว่าความน่าพอใจหรือความงามนั้น
ประกอบไปด้วยประสาทสัมผสั ในฐานท่ีทาให้ความงามปรากฏ กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ถือ
ว่า สุนทรียศาสตร์คือ ความพึงพอใจ และ 3) สุนทรียศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์
คอื กลุม่ ท่ีใชห้ ลกั การทางวิทยาศาสตร์มาใชใ้ นการตัดสนิ สนุ ทรียศาสตร์
1. สนุ ทรยี ศาสตรเ์ ชงิ วัตถุวิสัย
แนวคดิ ของพิธากอเร่ียน (PythagoreanTradition) กลุ่มปรัชญาด้ังเดิม
แบบพธิ ากอเรยี่ น เป็นกล่มุ ปรชั ญากรกี ที่เชื่อวา่ โลกนน้ั มคี วามสวยงาม เพราะมี
ความสมมาตร สัดส่วน กฎเกณฑ์และความลงตัวระหว่างธาตุท้ังหลาย พวกเขา
เชื่อว่า ความกลมกลืนของตัวโน๊ตดนตรีแสดงให้เห็นถึงความกลมกลืนสวยงามใน
ธรรมชาติได้ และส่ิงเหล่านี้สามารถแสดงออกมาเป็นจานวนของตัวเลขได้ ในช่วง
เวลาน้ัน แนวคิดเร่ืองความงามถูกปรับเปลี่ยนเพ่ือรองรับความคิดของความงาม
ทางศีลธรรมและความงามเพ่ือสร้างสรรค์สติป๎ญญา ท้ายท่ีสุดแล้ว แนวคิดน้ี
ความงามจะเป็นเพียงคุณสมบัติเชิงสัมพันธ์เท่าน้ัน (relational property)30
ดังน้ันหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานในเร่ืองของความงามเป็นป๎ญหาท่ีสุนทรียศาสตร์
จะต้องค้นหาความจริงว่าอะไรคือส่ิงท่ีสวยงามและทรงคุณค่าแห่งความงามความ
งามจึงมีความหมายถึง การกาหนดความรู้สึกจากการรับรู้สู่จิตใจตามภาวะท่ีมี
ความเหมาะสมกับก าลเทศะตรงความ ต้องการและรสนิ ยมของคนส่วนใหญ่ใ น
29พระมหารังสันต์ กติ ฺตปิ ํฺโญ (ใจหาญ), การศกึ ษาวเิ คราะหส์ นุ ทรียศาสตร์ในพุทธ
ปรัชญาเถรวาท, วิทยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ , บณั ฑิตวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลยั , 2553, หนา้ 24.
30Gaut, Berys Nigel., and Dominic.Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics.(London: Routledge, 2001), p. 189, pp. 227-228.
-18-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
สังคมน้ันๆ ดังน้ันความงามแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ
สิ่งเหล่านค้ี ือ สภาพสังคม ศาสนา วัฒนธรรม สภาวะจิตใจ31
สุนทรียศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 18
ยอมรับความงามเป็นความสาคัญ งานที่เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์เรื่องหนึ่ง ชื่อ
ฮิบปอิ สั เมเจอร์ (Hippias Major) เป็นบทสนทนาของเพลโต (Plato, 427-347)
ตอบคาถามว่าอะไรคือความงาม ซึ่งคาถามนี้ทาให้เกิดความคิดด้านศิลปะตามมา
ศิลปะน้ันหากไม่ขึ้นอยู่กับความงาม ก็ขาดการเปรียบเทียบไป หากขึ้นอยู่กับ
รูปแบบ ลักษณะของศิลปวัตถุ หรือข้ึนอยู่กับทฤษฎี ย่อมไม่แน่นอน เนื่องจาก
ความคิดเร่ืองวิจิตรศิลป์ยังไม่ปรากฏจนกระท่ังถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เริ่ม
ยอมรับประสบการณ์ทางสุนทรียะ การยอมรับน้ีทาให้ความงามต้องสูญเสีย
ความสาคัญในฐานะศูนย์กลางของทฤษฏีสุนทรียศาสตร์ไปอย่างไม่มีวันกลับคืน
ความคิดดา้ นความงามในแต่ละสมัย32
ทัศนะทางความงามสมัยโบราณ มองว่า เอกภาพและเร่ืองของความ
งามคือการอธิบายเรื่องของคุณสมบัติของส่ิงต่างๆ มี 2 ประการซึ่งจะปรากฏอยู่
ด้วยกันในทุกสถานการณ์คือความงามและความเป็นเอกภาพภายใน การกล่าวว่า
ไม่อาจให้คาจากัดความความงามได้อะไรคือส่ิงท่ีไม่อาจระบุทางมโนทัศน์ได้ซ่ึง
เท่ากับตอ้ งใช้ความเขา้ ใจแบบธรรมดา เพลโตได้กล่าวถึงความคิดเร่ืองความงาม
โดยอภปิ รายเรอื่ งความงามซึง่ เป็นคุณสมบัตทิ ี่เปน็ ส่วนประกอบอย่ใู นวัตถุเนื่องจาก
ความมีอยู่ของความงามไม่ข้ึนอยู่กับการรับรู้หรือเป็นผลมาจากการรับรู้แต่
ประการใดความงามสัมพันธ์มีอยู่ได้โดยการเปรียบเทียบกับส่ิงที่มีความงามน้อย
กวา่ หรือส่ิงท่ีอัปลักษณเ์ ท่านนั้ ทัศนะนอ้ี าจอธบิ ายได้สองประการคือความงามให้คา
จากัดความได้โดยใช้คุณสมบัติของวัตถุเป็นตัวกาหนดเราอธิบายความงามจาก
คุณ ส ม บั ติ ที่ เ ด่ น ชั ด ใ น สิ่ ง ต่ า ง ๆ ซ่ึ ง ค ว า มง า ม ไ ด้ เข้ า ค ร อ บ งา อ ยู่ ค ว าม ง า ม เ ป็ น
คุณสมบัติด้านรูปแบบหรือโครงสร้างเช่นความงามในตัวเองของสิ่งท่ีถูกสร้างขึ้น
ทั้งนี้ สรรพส่ิงยังมีความงามภายในอย่างชัดเจนเพราะความงามมีอยู่แล้วตาม
ธรรมชาติมเี อกลักษณ์ในตวั เอง ไมถ่ กู กระทบจากลกั ษณะทางมโนภาพ ตามทัศนะ
สองประการ คือองค์ประกอบแบบบังเอิญ (Adventitious factors) และ
องค์ประกอบเชิงอรรถาธิบาย ไม่เหมือนกับวัตถุความงามสัมพันธ์ ซึ่งได้รวบรวม
ความงามในอุดมการณ์และอธิบายไว้ในหนังสือซิมโพเซียม (Symposium) ว่าการ
ตัดสินความงามต้องตัดสินทุกประเด็นด้วยความยุติธรรม ในหนังสืออุตมรัฐว่า
31มยั ตะตยิ ะ, สุนทรียภาพทางทัศนศลิ ป,์ (กรงุ เทพมหานคร : วาดศิลป์, 2547), หนา้ .
10.
32ไพฑูรย์ พัฒนใ์ หญย่ ิง, สนุ ทรยี ศาสตร์ : แนวความคดิ ทฤษฎแี ละการพฒั นา, (
กรงุ เทพมหานคร :เสมาธรรม. 2541), หนา้ 40.
-19-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ความงามในตัวเองมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือเป็นสุขารมณ์บริสุทธิ์ท่ีไม่ผสมกับทุกขา
รมณ์ ทุกขารมณ์คือความวิปริตหรือการตัดสินผิดพลาด ซ่ึงไม่เคยนาเสนอในรูป
ของความซาบซึง้ ความงาม มโนทัศน์ท่ีเกี่ยวข้องกับความงามในตัวเองและบริสุทธิ์
นั้นใช้เพอื่ รองรับความแนน่ อนและม่ันคงของประสบการณ์เร่ืองความงามที่จะนาสู่
การอธบิ ายและการแบ่งสง่ิ สวยงามออกให้ชัดเจน ความสาคัญของมนุษย์อยู่ท่ีต้อง
เผชิญหนา้ กับความงาม มนุษย์ตอบสนองตอ่ ความงามดว้ ยวธิ กี ารทีห่ ลากหลาย33
เพลโตวิเคราะห์ปรากฏการณ์ท่ีเปน็ รูปธรรมของความสวยงามถือว่าเป็น
แม่แบบ (Form)หรืออัญรูป (Mode) คาว่างาม เป็นคาที่ใช้แทนความรู้สึกเร่ือง
ความดีเลิศ ความสมบูรณ์ และความน่าพอใจ สาหรับความงาม การพิจารณา
เรื่องความงามและศิลปะ แทบไม่เหมือนกับมโนทัศน์ในสุนทรียศาสตร์สมัยใหม่
โพลตินุส (Plotinus, 204-269) เป็นนักเจตนิยม (Spiritualist) และเป็นนักจิต
นิยม (Idealist) สนับสนุนการคิดและการหยั่งรู้ (Insight) ในประสบการณ์ของ
ความงามกล่าวได้ว่า วิญญาณพยายามฝุาฟ๎นมุ่งเข้าสู่ความงามซ่ึงเป็นการ
แสดงออกของพลังทางวิญญาณที่กระตุ้นความจริงท้ังหมด เป็นเพราะความมี
ชีวิตชีวาและการเคลื่อนไหวของความงาม โพลตินุส ปฏิเสธการแสดงเอกลักษณ์
ของความงามกับคุณสมบัติเชิงรูปแบบ (Formal Property) ใบหน้าของส่ิงท่ียังมี
ชีวติ และใบหน้าของส่ิงที่เสียชีวติ มีลักษณะเชิงดุลภาค (Symmetrical) เท่าเทียมกัน
แต่ใบหน้าของสิ่งท่ีมีชีวิต ก่อความต่ืนเต้นเร้าใจ กล่าวได้ว่า ความงามคือสิ่งท่ี
ส่องแสงสว่างให้ดุลยภาค มากกว่าดุลภาคย่ิงไปกว่านั้นวัตถุทางประสาทสัมผัสท่ี
เรยี บงา่ ยแตข่ าดโครงสร้างภายในก็สวยงาม ดลุ ภาคก็มีในสิง่ ทนี่ า่ เกลียด (Ugly)34
2. สนุ ทรียศาสตรเ์ ชิงอัตตวสิ ยั
สนุ ทรียศาสตรเ์ ชงิ อตั ตวิสยั เร่มิ ปรากฏตัวขึ้น เม่ือเกิดทัศนะเรื่องความ
งามในศตวรรษที่ 18 ในคริสต์ศตวรรษท่ี 18 ปรัชญาเมธีชาวเยอรมันผู้หน่ึง
Immanuel Kant ไดถ้ กู นามาเก่ยี วข้องกับเรอ่ื งของการตดั สนิ ทางด้านรสนิยม เขา
เสนอว่า วัตถุทั้งหลายได้รับการตัดสินว่างดงาม ขณะที่พวกมันทาให้ความ
ปรารถนาท่ีไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ได้รับความพึงพอใจ หมายความว่า การ
ไม่เก่ียวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความต้องการที่เป็นส่วนตัววัตถุท่ีมีความ
งามมิได้มีวัตถุประสงค์ใดๆ โดยเฉพาะ และการตัดสินเก่ียวกับเร่ืองของความงาม
นัน้ ไม่ได้เป็นการแสดงออกของความชอบท่ีเป็นส่วนตัวเท่าน้ัน แต่มันเป็นภาวะที่
เป็นสากล(beautiful objects have no specific purpose and that judgment
33เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า 40-42.
34เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ 42.
-20-
สุนทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
of beauty are not expressions of mere personal preference but are
universal) ศิลปะควรท่ีจะให้ความพึงพอใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลปะโยชน์
เช่นเดียวกับความงามของธรรมชาติ (Art should give the same
disinterested satisfaction as natural beauty)ในเชิงประติทรรศน์ ศิลปะ
สามารถทจ่ี ะบรรลุถึงผลสาเร็จอันหนึ่งซ่งึ ธรรมชาติไม่อาจบรรลุถึงได้ มันสามารถ
ให้ภาพของความน่าเกลียดและความงามในวัตถุหน่ึงเดียว กล่าวคือ งาน
จิตรกรรมที่ประณีตสามารถท่ีจะแสดงถึงใบหน้าที่น่าเกลียดที่ยังคงมีความงดงาม
ได3้ 5
นอกจากน้ี เอ็ดมันด์เบอร์ก (Edmund Burke, 1729-1797) กล่าว
วา่ ความงามและความเลิศลอยตรงข้ามกับทางด้านมโนทัศน์ แต่มีลักษณะเฉพาะ
รว่ มกนั สาหรับในเชงิ อัตถิภาวนิยม (Existentialism)เบอร์กได้จากัดช่วงของความ
งาม และได้นาทัศนะด้านสุนทรียศาสตร์เข้าสรุปประสบการณ์ที่ต่างกัน ซึ่งได้
พิจารณาว่าประสบการณ์ของความเลิศลอยนั้น มีคุณค่ามากกว่าความงาม และ
คิดว่าสิ่งที่งามเป็นเลิศนั้น ทาให้ผู้ชมรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความซาบซ้ึง นับเป็น
อารมณ์ที่แรงกล้าอย่างย่ิงคุณสมบัติท่ีเบอร์กนิยามวัตถุท่ีงามเลิศต่างกับความคิด
ในหนังสือ ฟิเลบุสในเรื่องมโนทัศน์แบบดั้งเดิมของคุณค่าสุนทรียศาสตร์ เบอร์ก
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ โดยให้ทัศนะว่าแม้แต่ความน่าเกลียดก็อาจเป็นวัตถุท่ีให้
ความซาบซึ้งได้ ความคิดของเบอร์กจึงก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษท่ี 19 และ 20
ในเร่ืองการแสดงออก (Expression) ซึ่งความงามมีความหมายกว้างกว่าเดิม
และมคี วามหมายหลากหลายของเนื้อหาเพ่ิมขึน้ 36
โยฮันน์ โยอาคิม วิงเคลมันน์ (Johann Joachim Winckelmann)
ได้เริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะในคริสตศักราช 1764 อุดมคติของ
ความงามของเขาซ่ึงมีผลอย่างมากอยู่บนรสนิยมทางศิลปะแบบนีโอคลาสสิคและ
ทฤษฎีศิลปะมานานกว่าศตวรรษผู้ถูกกักบริเวณในความรู้สึกความเป็นเกย์ของเขา
ว่า “ผ้ทู ี่มีความสงั เกตของความงามเฉพาะในผู้หญิง เป็นผู้ท่ีไม่รู้จักความงาม คน
เหล่านี้มักไม่เป็นกลาง แต่กาเนิดเพ่ือความงามในศิลปะ”37 งานส่วนใหญ่ของเขา
35 Aesthetics: ความเรียงของ Arthur C. Danto เกยี่ วกบั สนุ ทรียศาสตร์ สมเกยี รติ ตง้ั น
โม : แปล คณะวจิ ติ รศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ “Aesthetics” Microsoft® Encarta.
Multimedia / Encyclopedia 1994 (CD-ROM).เรยี บเรยี งเมอ่ื วันที่ 15-25/10/38
36ไพฑูรย์ พฒั น์ใหญย่ ่งิ , สุนทรยี ศาสตร์ : แนวความคดิ ทฤษฎีและการพัฒนา,
(กรงุ เทพมหานคร: เสมาธรรม, 2541), หน้า 44.
37Rictor Norton, Gay History and Literature: Johann Joachim Winckelmann
[Online] Available:http://rictornorton.co.uk/winckelm.htm ,Accessed [February
1,2560].
-21-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
น้ัน เป็นเร่ืองของความสมบูรณ์แบบของความงามในเด็กหนุ่ม และพบว่า คุณค่า
เหล่านี้พบเพียงในบางยุคและบางแบบเท่าน้ัน แม้แต่ในงานศิลปะแบบกรีกเอง
การวิจัยในสมัยต่อมา เพ่ิมความกล้าท่ีจะคัดค้านการวิจารณ์ของผู้ตัดสินคุณค่าไว้
เมื่อสมัยคลาสสิคและนีโอคลาสสิค ซ่ึงครั้งหนึ่งไม่มีใครกล้าคัดค้านทัศนะเร่ือง
คุณค่าความงามเหมือนกับคุณสมบัติของรูปแบบที่สรรค์สร้างแล้วกับส่ิงสวยงาม
ซึ่งเปน็ ธรรมชาติและเป็นสากลของศิลปะสมัยกรกี และสมยั ฟืน้ ฟูศิลปวิทยาการ
การตรวจสอบอย่างพินิจภายใน (Introspective) ของมโนภาพ มีขึ้น
เพราะความเรียงของจอห์น ล็อค (John Lock, 1632-1704) ซึ่งเปิดเผย
ประสบการณ์ท่ีแตกต่างเป็นอย่างมากของความรู้สึกทางคุณภาพ และของความ
งาม ในศตวรรษน้ไี ด้แบ่งชนดิ ของการตอบสนองทางสุนทรยี ศาสตรอ์ อกเป็นหลาย
ชนิดด้วยกัน ท่ีสาคัญที่สุดคือความเลอเลิศ (Sublimity) ต่างจากความงามอย่าง
มากความรู้สึกของความเลอเลิศนั้นทาให้ผู้ชมประหลาดใจและรู้สึกเกรงขาม ตาม
ทั ศ น ะ ข อ ง ช า ว อั ง ก ฤ ษ เ ช่ื อ ว่ า ค ว า ม ง า ม แ ล ะ ค ว า ม เ ล อ เ ลิ ศ จ ะ อ ยู่ ด้ ว ย กั น ไ ด้
ประสบการณข์ องทงั้ สองจะเป็นความนา่ เพลิดเพลิน นักสุนทรียศาสตร์ชาวอังกฤษ
สมัยหลังไม่ได้นาความงามมาใช้แสดงคุณสมบัติ อย่างไรก็ตามคุณสมบัติ
จาเป็นต้องมีความสมเหตุสมผลที่เป็นคุณลักษณะของวัตถุสวยงามได้ คุณสมบัติที่
ไม่เหมอื นกนั ในฟิเลบสุ เป็นคณุ สมบตั ิของความงาม อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์
ของความงามตามแนวคิดดั้งเดิมอาจตกทอดผ่านคริสต์ศตวรรษท่ี 18 มาได้
เน่ืองจากคุณสมบัติที่น่าเช่ือถือได้มีเพียงพยานหลักฐานของผลในประสบการณ์
เม่อื ใกลส้ ิ้นครสิ ต์ศตวรรษที่ 1838
3. สุนทรยี ศาสตรเ์ ชงิ วิทยาศาสตร์
มโนทัศน์ความงามในสุนทรียศาสตร์คริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20ใน
ศตวรรษน้ี มีความพยายามในการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ไปศึกษาสุนทรียศาสตร์
อย่างที่สุนทรียศาสตร์ด้านจิตวิทยา (Psychological Aesthetics) ใช้วิธีการ
ทดลองประสบการณ์ทางสุนทรียะโดยพยายามสร้างกฎของความซาบซ้ึง ซึ่งเกิด
จากการประนปี ระนอมระหวา่ งสขุ ารมณ์และอสุขารมณ์ เม่ือใช้ความงามกับทุกสิ่ง
ทุกอย่างเช่นท่ี เฟ็ชเนอร์ (Fechner, 1801-1887) กล่าวไว้ในคริสตศักราช
1876 ว่าความงามเป็นความหมายท่ีเป็นลักษณะเชิงวัตถุและเชิงรูปแบบ
นักจิตวิทยาสมัยหลังต่างไม่พอใจ อาจเป็นเพราะว่าได้กาหนดเงื่อนไขถึงการ
ตอบสนองทางจิตวิทยาที่แน่นอน
38ไพฑูรย์ พฒั น์ใหญย่ ง่ิ , สุนทรยี ศาสตร์, หนา้ 45.
-22-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
ช่วงสองปีสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษท่ี 19 วิทยาศาสตร์ศิลปะ
(Kunstwissenschaft) = (The Sciences of Art) ประกอบด้วยการศึกษาศิลปะ
ทางด้านประสาทสัมผัส ในฐานะเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรม(Cultural Product)
หน่ึงในแรงกระตุ้นการพัฒนาสาขาน้ีคือ ไม่พอใจความงามท่ัวไปเพราะจากัดมาก
ไป หากตีความด้านรูปแบบดงั้ เดมิ และไม่อาจจากัดขอบเขตดังตัวอย่างของศิลปะ
ดัง้ เดมิ ศลิ ปะเปน็ รปู ธรรม เปน็ ปรากฏการณ์ ซึ่งอาจสืบได้ว่ามาจากวิทยาศาสตร์
ดังน้ัน วิทยาศาสตร์ศิลปะป๎จจุบันเป็นสาขาหน่ึงของสุนทรียศาสตร์และได้ให้คา
จากดั ความตนเองไวโ้ ดยคัดค้านมโนทัศน์ความงาม
ข้อแตกต่างระหว่างความหมายของความงาม เม่ือมีความหมายคล้าย
กับคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ ซึ่งในสมัยป๎จจุบัน หมายถึงลักษณะที่ดีมากของ
ผลงานทางศิลปะหรือวัตถุทางสุนทรียศาสตร์ ดังน้ัน ความงามจึงไม่อาจ
แสดงออกถึงคุณสมบัติด้านดุลภาค (Symmetry) ได้ แต่เป็นย่ิงกว่าความพอใจ
และอาจเป็นไปได้ว่าความหลากหลายนั้นมีน้าหนักต่างกันในกรณีต่างกัน ก็ไม่มี
ใครกล่าวได้ว่าเป็นเงื่อนไขจาเป็นในการใช้ความสวยงาม ความสาคัญถูกกาหนด
โดยลกั ษณะความเป็นเอกภาพของงานแต่ละชิ้นในความหมายทสี่ อง โดยท่ัวไปแล้ว
ความงามมีความหมายเดียวกันกับระดับของคุณค่าความสัมพันธ์ข้ันสูง เช่น
ตรงกันข้ามกบั ความนา่ รักแบบดั้งเดิม หรือเรื่องราวซ่ึงสามารถจะอ่านได้จากภาพ
น้ันๆ ความสุขารมณ์ท่ีไม่ผสมกับทุกขารมย์ การไม่มีความประหลาดมหัศจรรย์
หรือไม่มีองค์ประกอบของความไม่ลงรอยกัน จึงตอบคาถามได้ ว่า ทาไม
สุนทรียศาสตร์ในป๎จจุบันน้ีและการบรรยายแบบธรรมดา ต่างใช้คาไม่คมคาย
หรือไม่ตรงประเด็นไม่สัมพันธ์กัน เพลโตอธิบายความหมายของความงามไว้แคบ
ที่สุด เพราะความจากัดข้อนี้ ทาให้ไม่อาจรักษาความงามในฐานะเป็นมโนทัศน์
หลักของคณุ ค่าทางสนุ ทรยี ศาสตร์ไว้ไดใ้ นสมัยต่อมา39
ความงามท้ังหมดนั้นข้ึนอยู่กับประสบการณ์หรือการมีจินตนาการของ
เราเมือ่ เราแยกความงามธรรมชาติออกไปจากศิลปะก็มิได้หมายความว่าความงาม
น้นั มีภาวะทเี่ ปน็ อสิ ระจากการรบั รู้ของเราเราต้องถือว่าความพึงพอใจในความงาม
ของคนทั่วไปน้ันเป็นสิ่งท่ีมีอยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้วโดยกาเนิดซ่ึงภาวการณ์ทาง
ธรรมชาตินั้นย่อมแตกต่างไปจากศิลปะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับรู้หรือการมี
จินตนาการณ์เก่ียวกับภาวะดังกล่าวนั้นจะอยู่ในลักษณะใดก็ตามเราจะพบว่าการ
เปลี่ยนแปลงขน้ึ อยูก่ ับจติ ใจของผูร้ บั รู้เป็นเกณฑ์แต่ความงามตามธรรมชาติน้ันเป็น
เรอ่ื งของการเขา้ ถงึ ไดโ้ ดยอาศยั วจิ ารณญาณเปน็ ตัวช้ีนา
39เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ 46.
-23-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลทางกายภาพใดๆก็ตามเรา
ต้องไม่กาหนดอะไรให้ตายตัวลงไปว่าอันนี้ต้องเป็นอย่างน้ีหรือเป็นอย่างนั้นโดย
อาศัยข้อเท็จจริงจากตาเนื้อหนังของเราเป็นเกณฑ์เราต้องดูกันทุกแง่ทุกมุมตาม
แขนงของวิทยาศาสตร์เราต้องยึดเอาเหตุผลของวิทยาศาสตร์เป็นเกณฑ์ตัดสินไม่
ว่าจะเป็นการสังเกตหรือตัวผู้ที่สังเกตเองตลอดจนข้อบันทึกจากประสบการณ์ของ
มนุษย์เราสุนทรียศาสตร์ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการรับรู้ในทางกายภาพท่ัวไปซ่ึง
ต้องยอมรับด้วยว่าขอบเขตของสายตาและหูของเรารับรู้ส่ิงภายนอกน้ั นอยู่ใน
พ้นื ฐานที่จากัดเพราะไม่อยู่ในฐานะที่จะรบั รอู้ ะไรไดห้ มดทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง
และเราจะพบว่าขณะที่เรามีการสัมผัสกับศิลปะน้ันมันก็มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
สืบต่อเนื่องกันมันไม่ได้เป็นไปแบบฉับพลันที่เราจะเข้าไปรับรู้ในความเพลิดเพลิน
อยู่กับความงามแห่งธรรมชาติน้ันมันก็ต้องอาศัยป๎จจัยหลายอย่างประกอบด้วย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงการท่ีเรามีแนวโน้มทางสุนทรียศาสตร์หรือการได้รับรู้ทางนี้อยู่
ก่อนแล้วเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานด้วยดังน้ันในการพูดถึงส่ิงที่งดงามในโลกนั้น
แท้จริงแล้วเราหมายถึงความงามที่มาเน่ืองจากศิลปะโดยตรงเช่นเดียวกับการพูด
ถึงโลกแห่งความจริงนั้นเรามักจะหมายถึงความจริงตามที่วิทยาศาสตร์พูดถึง
น้นั เองทั้งสองกรณีน้ีเราอาศัยประสบการณ์ซึ่งได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานของผู้
ที่มปี ระสบการณ์อย่างจรงิ จงั เปน็ เกณฑ์40
ส่วนอีกทรรศนะว่า ความงามข้ึนอยู่กับวัตถุ มันมีอยู่ในส่ิงท้ังหลาย
สามารถมีอยู่ในวัตถุตลอดไป โดยที่ไม่อาศัยจิต จิตจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม มันก็คง
เป็นอยอู่ ยา่ งนน้ั จึงเรียกวา่ ความงามเปน็ วัตถวุ ิสยั ความงามเป็นคุณภาพที่มีอยู่ใน
วัตถุ ความงามมีอยู่ในส่ิงแวดล้อมไม่ใช่อยู่ในจิต มันมีอยู่ตามความเป็นจริงซึ่งจิต
มนุษย์เราก็สามารถรับรู้มันได้ในส่ิงแวดล้อม และบางท่านให้ความเห็นว่าความ
งามข้ึนอยู่กับจิต ตาแหน่งท่ีอยู่ของมันอยู่ท่ีจิตของแต่ละบุคคลท่ีจะรับรู้ถึงมัน
ความงามไม่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม มีอยู่ในจิตเท่าน้ัน ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีมีความจริงอยู่ที่จิต
ดงั น้ันปรัชญาเมธีกลุ่มน้ีจงึ ถือว่าความงามเป็นจิตวิสัย41
การท่ีจะตัดสินใจว่าส่ิงไหนงามหรือไม่อย่างไร เก่ียวกับสุนทรียศาสตร์
ซึ่งเป็นการกระทาปฏิกิริยาระหว่างจิตของแต่ละบุคคลกับสถานการณ์แวดล้อม
วัตถุเหลา่ น้ันอยู่ในสิ่งแวดล้อมถูกตีค่าว่าสวยว่างามกโ็ ดยอาศัยจิต ทรงไว้ซึ่งคุณค่า
ว่างาม หรือคุณภาพเช่นนั้นเร้าให้เกิดการตอบสนองโดยเฉพาะข้ึนในจิต รวม
เรียกว่าการพินิศจัยทางสุนทรียศาสตร์ ที่กล่าวมาน้ีความงามเป็นทั้งจิตวิสัยและ
40บณุ ย์ นลิ เกษ, สนุ ทรียศาสตร,์ (เชยี งใหม:่ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่,
2523), หนา้ 2-3.
41สงิ หท์ น คาซาว, ปรชั ญา, (เชยี งใหม:่ คณะมนุษยศาสตรม์ หาวิทยาลัยเชยี งใหม่, 2519),
หนา้ 277.
-24-
สนุ ทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
วัตถุวิสัย ความงามไม่ใช่อาศัยการรู้จักคุณค่าของจิตและความงามไม่อาศัยวัตถุ
แมว้ า่ ความงามจะอาศยั จติ ที่รู้จักคุณค่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะข้ึนอยู่กับการตัดสินของจิต
ตามชอบ การพินิศจัยทางสุนทรียศาสตร์โดยนัยบ่งถึงอุดมคติแห่งความงาม และ
การพนิ ิศจัยทางจริยศาสตร์โดยนัยบ่งถึงอุดมการณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ฉะน้ัน การ
พินิศจัยคุณค่าหรือการพินิศจัยค่าโดยนัยบ่งถึงอุดมคติสูงส่งซ่ึงบางคร้ังเรียกว่า
“คณุ ค่า”42
เกณฑก์ ารตัดสินคุณค่าของสนุ ทรยี ศาสตร์
คณุ คา่ ของสุนทรียศาสตรค์ อื ระดบั ของการประเมินค่าข้อเท็จจริงในแง่
ต่างๆ (Estimationupon facts) ส่วนคุณค่าในทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetical
Value) คือระดบั ของการประเมินค่าวัตถุว่ามีค่าทางด้านจิตใจอยู่มากน้อยเพียงใด
ซึ่งเราตัดสินใจด้วยคาว่า สวย งาม (Beautiful) น่าเกลียด (Ugly) น่าทึ่ง
(Sublime) แปลก (Picturesque)43
การท่ีจะศึกษาว่าด้วยคุณค่า เก่ียวกับความจริงที่เรียกว่าตรรกศาสตร์
ความดที ่เี รยี กว่าจริยศาสตร์ ความงามเรียกวา่ สนุ ทรยี ศาสตร์ ถือว่ามีความสาคัญ
ในปรัชญาสมัยใหม่ ที่พยายามจะค้นหาคุณค่าในความหมายของมนุษย์เรา และ
ความสัมพันธ์ท่ีมนุษย์เรามีต่อสิ่งทั้งหลายการพินิศจัยคุณค่า (Judgment of
Value) ก็เพ่ือให้รู้จักคุณค่าของส่ิงต่างๆ และบรรยายข้อเท็จจริง อธิบายถึง
ธรรมชาติของสิ่งท้ังหลาย เช่นว่า ดอกไม้สวย การกระทาถูกต้อง เรียกว่าเป็น
การตีค่าหรือพิจารณาว่าท้ังดอกไม้และการกระทามีค่า แต่การพินิศจัยข้อเท็จจริง
แตกต่างจากที่กล่าวมา มันไม่ได้เป็นการตีค่า แต่เป็นการบรรยายถึงสภาวการณ์
แวดล้อมท่ีปรากฏ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตามปกติ แต่การพินิศจัยทาง
สุนทรียศาสตร์ เป็นการตีค่า ประเมินค่าส่ิงทั้งหลายว่ามันสวยงาม หรือน่า
เกลยี ด การพินิศจยั ทางจริยธรรม เปน็ การวดั คุณคา่ การกระทา ดี หรือ เลว ถูก
หรือผิด คือประเมินค่าทางจริยธรรม การพินิศจัยทางตรรกศาสตร์ เป็นการ
ประเมินคุณค่าทางตรรกศาสตร์ว่าการอนุมาน หรือการให้เหตุผลสมบูรณ์ หรือ
ไม่สมบูรณ์ ใช้ได้ หรือ ใช้ไม่ได้ การพินิศจัยคุณค่าเป็นการประเมินคุณค่า ซ่ึง
บ่งชี้ถึง กฎ อุดมการณ์ มาตรฐาน แบบฉบับ ซ่ึงต่างจากการพินิศจัย
ข้อเท็จจริง44
การพินิศจัยคุณค่า ข้ึนอยู่กับวัตถุหรือจิต คุณค่าบางครั้งก็ข้ึนอยู่กับจิต
ข้นึ อยู่กับความพอใจของแต่ละบคุ คล มีความจริงเป็นแก่นของมัน คุณค่าทั้งหลาย
42เลม่ เดยี วกัน, หน้า 278.
43กีรติ บุญเจอื , ปรัชญาศิลปะ, (กรงุ เทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานชิ , 2525), หนา้ 131.
44สิงห์ทนคาซาว, ปรชั ญา,หน้า.253.
-25-
สนุ ทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ข้ึนอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เราแต่อย่างไรก็ตาม อาจไม่จริงก็ได้ เพราะ
คุณค่าอาศัยในส่ิงทั้งหลาย เม่ือพินิศจัยหรือตัดสินว่าดอกไม้สวย การทาด้วยจิต
เมตตาเป็นการกระทาที่ถูกต้อง การพินิศจัยของเราไม่ได้เป็นไปตามใจชอบ
เนอื่ งจากมบี างสง่ิ ในดอกไม้ ซึ่งจาเป็นจะต้องมีการพินิศจัยทางสุนทรียศาสตร์และ
มีบางส่ิงในการกระทาด้วยเมตตาจิต ซ่ึงจะต้องมีการพินิศจัยทางจริยศาสตร์
คุณค่าไม่ได้ข้ึนอยู่กับความชอบใจหรือที่เรียกว่าไม่ใช่เป็นจิตวิสัยเท่าน้ัน แต่เป็น
วัตถุวิสัย ขึ้นอยู่กับวัตถุด้วย การพินิศจัยคุณค่าเป็นการบรรยายคุณภาพของสิ่ง
ท้ังหลายเหล่าน้นั ซ่ึงทาให้เกิดการตอบสนองทางการรู้จักคุณค่า มันเข้ากันได้กับ
การพินิศจัยข้อเท็จจริงได้ คือว่าด้วยข้อเท็จจริงทั้งสองตามปกติ การพินิศจัย
ข้อเท็จจริง เน้นถึงการพรรณนาคุณภาพของส่ิงทั้งหลายตามปกติ การพินิศจัย
คุณค่า เน้นถึงการรู้จักคุณค่า จึงเป็นจิตวิสัยท้ังคู่ ท่ีขึ้นอยู่กับจิตและเป็นวัตถุวิสัย
คือขึ้นอยู่กับวัตถุ ท้ังสองขึ้นอยู่กับการรู้จักคุณค่า การวัดค่าและการประเมินค่า
ซึ่งอาศัยจิตใจของมนุษย์ ด้วยเหตุน้ีมันจึงเป็นจิตวิสัย นอกจากนี้มันยังข้ึนอยู่กับ
คณุ ค่าของสงิ่ ท้งั หลาย และคุณค่าของการกระทาซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ด้วยเหตุนี้มัน
จึงเป็นวัตถุวิสัย ถ้าจะถือว่าการพินิศจัย หรือการตัดสิน เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั้นถือว่าผิดคุณค่า ความปรารถนา และความสุขใจ (Value, Desire and
Pleasure) การตัดสินคณุ ค่าแบบสุขวิสัย (Hedonic) พวกสัจนิยมแนวใหม่กับพวก
ปฏิบัตินิยม ถือว่าคุณค่าอยู่ที่ความพอใจตามที่ปรารถนา เป็นความสนใจทาง
ชีววิทยา ทรรศนะน้ีเป็นการเข้าใจอย่างผิวเผินไม่ชัดเจน คุณค่าอาศัยส่ิงซึ่งทาให้
สมปรารถนา และช่วยให้เกิดความสุขใจ ความไม่มีคุณค่าอาศัยซึ่งการทาลาย
ความปรารถนา และสร้างทุกข์ให้ แต่ความสุขไม่ได้เป็นการยืนยันคุณค่า ความ
ทุกขก์ ไ็ มใ่ ชเ่ ป็นการปฏเิ สธคุณค่า คุณคา่ ไมไ่ ด้อาศยั ความสนใจทางชีววิทยาหรือว่า
จะอาศัยความสุขใจก็ไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตแต่ขึ้นอยู่กับวัตถุเพราะมันอาศัย
วตั ถุ แต่อยา่ งไรก็ตาม การจะรวู้ ่าสิ่งน้ันส่ิงนี้มีคุณค่าขึ้นอยู่กับจิต การประเมินค่า
จึงเปน็ หน้าที่ของจิต หรอื เป็นจิตวสิ ยั
คุณค่า ทัศนคติ และความสนใจ (Value, Attitude and Interest)
การที่จะตัดสินว่าส่ิงใดมีคุณค่านั้น มักจะขึ้นอยู่กับทัศนคติที่ว่า ชอบหรือไม่
อย่างไร การท่ีถือว่าการตัดสินคุณค่าข้ึนอยู่กับทัศนคติและความสนใจอยู่ 3
ทรรศนะดว้ ยกนั
1. ทศั นคตวิ า่ ชอบหรอื ไมช่ อบไมเ่ กยี่ วกับคณุ ค่าเลย
2. ทัศนคติว่าชอบหรือไม่ชอบมีความสัมพันธ์กับคุณค่าบ้าง แต่ไม่
จาเปน็ นัก
3. ทัศนคติท่ีว่าชอบหรือไม่ชอบเป็นลักษณะท่ีแท้ของคุณค่าทั้งหมด
และเป็นบ่อเกิดแห่งคุณค่าด้วย ซึ่งทรรศนะที่ 2 หมายความว่า ถูกเร้าโดย
-26-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
คณุ ภาพท่ีมีคุณค่า แต่ว่ามันไม่ใช่เน้ือแท้ของคุณค่า ทรรศนะที่ 3 หมายความว่า
เปน็ บ่อเกิดหรอื เปน็ เน้อื แท้ของคณุ คา่ 45
คุณค่า อรรถประโยชน์ และการประเมินคุณค่า จอห์น ดิวอี้ (John
Dewey, 1859-1952)นักปฏิบัตินิยมถือว่า ส่ิงท่ีมีคุณค่าคือส่ิงที่นามาซ่ึงผลดี
หมายความว่า สิ่งที่มีคุณค่าคือส่ิงท่ีทาให้สมปรารถนาบางประการ และช่วยให้
เกิดความสนใจเพียงชั่วครู่ ดังน้ันคุณค่าจึงมีความเกี่ยวพันกับอรรถประโยชน์ ส่ิง
ท่ีมีคุณค่า คือสิ่งท่ีมีอรรถประโยชน์ สิ่งที่ไม่มีคุณค่า คือสิ่งท่ีไม่มีอรรถประโยชน์
คุณค่าไม่ใช่เป็นจิตวิสัย หรือจะเป็นวัตถุวิสัยก็ไม่ใช่ ดังน้ัน มนุษย์เราจึงไม่
สามารถแสวงหาคณุ ค่าบางประเภท คุณคา่ ข้นึ อยกู่ บั การประเมินผล หรือประเมิน
ค่า การประเมินค่า ความปรารถนา และสติป๎ญญาท่ีมีความสัมพันธ์กับวิธีการ
และเปูาหมาย การท่ีจะบรรลุถึงเปูาหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสติป๎ญญา การ
ประเมินคุณค่าเป็นการกระทาด้วยสติป๎ญญา คือวิธีการให้มุ่งต่อเปูาหมาย ไม่ใช่
เพยี งแตพ่ จิ ารณาเฉพาะเปูาหมายเทา่ นั้นการทจ่ี ะประเมินค่ามีความสัมพันธ์กับชีวิต
คือความเป็นอย่ทู ่ีซบั ซ้อน มกี ารเปล่ียนแปลงเสมอ ไม่มีคุณค่าถาวร มีแต่คุณค่าที่
เปลี่ยนแปลงข้ึนอยู่กับการประเมินค่าที่มีการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง
ของสถานการณ์ดว้ ย ดังน้นั การประเมินค่าจึงอาศัยเปูาหมายร่วมกันของผู้ที่อยู่ใน
สังคมเดยี วกัน46
ความจริง ความดี และความงาม ความจริงเป็นเรื่องของสติป๎ญญา
ความดีเป็นเร่ืองของเจตจานง และความงามเป็นเรื่องของความรู้สึก สติป๎ญญา
เจตจานง และความรู้สึก มีความสัมพันธ์กัน และรวมกันเป็นเอกภาพของจิต จึง
เช่ือกันว่า ความจริง ความงาม และความดีมีเอกภาพ แต่ไม่สามารถอธิบาย
อย่างชัดเจนได้ เพราะคุณค่าเป็นส่ิงท่ีนิยามไม่ได้ แต่เป็นส่ิงที่รู้ได้ หลักเกณฑ์
ต่างๆท่ีจะช่วยให้เราเข้าใจคุณค่าความจริง ความดี และความงามมีความจริง
ร่วมกัน ทาให้เกิดความมีระเบียบ ความจริงคือความกลมกลืนระหว่างความคิด
และการพินิศจัยใหม่กับความคิด และการพินิศจัยท่ีมีอยู่แล้วหรือท่ีเป็นแบบ ทั้ง
เป็นความกลมกลนื ระหว่างความคิดกบั ขอ้ เทจ็ จริงและความสัมพันธ์แห่งข้อเท็จจริง
ในสิ่งแวดล้อม ความงาม คือความกลมกลืนระหว่างแบบกับวัตถุดิบท่ีมาปูอนให้มี
เอกภาพของส่ิงต่างๆอันเป็นส่วนประกอบให้สมส่วนมีระเบียบ ความดี เป็นความ
กลมกลืนกันระหว่างเหตุผลกับความรู้สึกทางประสาทสัมผัส รู้ระดับของความ
ต้องการให้เป็นไปตามความสามารถ ดังกล่าวมาน้ีความจริง ความดี และความ
45สิงห์ทน คาซาว, ปรชั ญา,หนา้ 255.
46เร่อื งเดียวกัน, หน้า 256.
-27-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
งาม เปน็ คุณค่าทีแ่ ท้จรงิ มคี วามเกย่ี วพันกนั มเี อกลักษณ์ของมันเอง ซึ่งจะศึกษา
ไดจ้ ากตรรกศาสตร์ จริยศาสตร์ และสุนทรยี ศาสตร์
การศึกษาเกณฑ์ตัดสินคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์แบ่งออกเป็น 3
ประเด็นท่ีสาคัญ คือ 1) สุนทรียศาสตร์เชิงเจตคติ และ 2) สุนทรียศาสตร์เชิง
ทฤษฎี และ 3) สุนทรียศาสตร์เชิงประสบการณ์ โดยผู้วิจัยจะนามาใช้เป็นกรอบ
ในการวิเคราะห์ ซ่ึงประเด็นท่ีกล่าวมานี้เป็นป๎ญหาพื้นฐานที่จาเป็นในการนิยาม
และประเมินคุณคา่ ทางสุนทรียศาสตร์
1. สนุ ทรยี ศาสตร์เชงิ เจตคติ (Aesthetic Attitude)
เจตคติ (Attitude) หมายถึง ทัศนคติ ท่าที การให้ความสนใจสิ่งงาม
โดยไมค่ ิดหาประโยชน์ทางวัตถุจากส่ิงนั้น แต่ที่สนใจเพราะมัน “น่าสนใจ” ดึงดูด
ใจ แปลก สวยงาม น่าท่ึง ดีเลิศและให้ความสุขใจควรกล่าวในที่นี้ด้วยว่า ความ
น่าสนใจ ความสุขใจอาจเกิดขึ้นจากการเสพงานศิลปะท่ีน่าเศร้า เช่น
โศกนาฏกรรม หรอื เพลงเศร้า
ผู้มีเจตคติสุนทรีย์มักมีอารมณ์สุนทรีย์ อารมณ์สุนทรีย์ไม่ใช่อารมณ์
ปกติของมนุษย์หากแตเ่ ปน็ อารมณ์พิเศษท่ีถูกกระตุ้นให้เกิดข้ึน วัตถุท่ีจะมากระตุ้น
ใหเ้ กิดอารมณช์ นิดนีไ้ ดแ้ ก่ งานศิลปะ47
มนุษย์นั้นดารงอยู่ท่ามกลางโลกของวัตถุต่างๆ โดยมีท่าทีของการ
ประสานสัมพันธ์กับระหว่างตัวตนกับวัตถุในความหมายที่แตกต่างกัน โดยสรุป
แลว้ ท่าทีของมนษุ ย์ท่ีไปสัมพันธก์ บั โลกน้นั มีอยู่ 2 ลักษณะสาคญั คอื
1) ท่าทีท่ีมีต่อโลกแห่งวัตถุภายนอก ให้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้
(Tools) หรือเป็นอุปกรณ์ท่ีก่อให้เกิดผลประโยชน์สนองตอบความต้องการอะไร
บางอยา่ ง (Instruments)
2) ท่าที่ทาให้โลกภายนอกเป็นบ่อเกิดแห่งความงามภายในจิตใจของ
มนุษย์ อาจเรียกได้ว่า ท่าทีแรกน้ันเป็น “เจตคติเชิงปฏิบัติ” (Practical Attitude)
ส่วนท่าทีหลงั เปน็ “สนุ ทรียเจตคต”ิ (Aesthetic Attitude)48
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความสวยงามนั้น ก็เป็นเพราะว่าเราได้ใช้หนทางหรือ
วิถที างซงึ่ มีลักษณะพิเศษบางอย่างในการพิจารนาถึงสิ่งนั้น ส่ิงน้ีถูกเรียกว่า “เจต
คติ” คือสภาวะทางจิตที่เป็นตัวนาและกาหนดการรับรู้ของเราท่ีมีต่อโลก กล่าวได้
ว่าเจตคติน้ีเป็นเหมือนตัวนาทางไปสู่การพิจารณาทางสุนทรียะ “สุนทรียเจตคติ”
47จารณุ ี วงศ์ละคร, ปรชั ญาเบอื้ งต้น, ( เชยี งใหม่: คณะมนษุ ยศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม2่ 550), หนา้ 250.
48อิสระ ตรีปญ๎ ญา, “สุนทรยี ศาสตรใ์ นงานจติ รกรรมแบบเซน”, วิทยานิพนธศ์ ิลปศาสตรม
หาบณั ฑิต,(สาขาวิชาปรัชญาบัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, 2551), หนา้ 19-20.
-28-
สนุ ทรียศาสตร์ในพระบฎล้านนา
จึงมีความหมายถึง เจตคติเชิงสุนทรียภาพซ่ึงมนุษย์เรามีความต่างกันเพราะบาง
คนเน้นการตัดสินเชิงสุนทรียะด้านใดด้านหน่ึงมากกว่าด้านอื่นๆ49 เช่น เน้นด้าน
อารมณ์ยิ่งกว่าด้านเหตุผล หรือด้านสร้างสรรค์ ประกอบกับ Aesthetic
judgment การตัดสินเชงิ สุนทรียภาพ ขอ้ ตัดสินใจในขอบข่ายสุนทรียศาสตร์ มีได้
สามลักษณะ คือ สวย (Beautiful) ติดตาติดใจ (Picturesque) และเลอเลิศ
(Sublime) มีผู้เสนอทฤษฎีเพื่ออธิบายว่าการตัดสินนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้เสนอ
ทฤษฎีดังกล่าวนี้ จดั เปน็ กลุม่ ได้ 3 กลมุ่ คือ
1) กลุ่มอารมณ์นิยม (Emotionalist) อธิบายว่า ข้อตัดสินเชิง
สนุ ทรียภาพ มาจากอารมณ์ท่ีเกบ็ กดไว้ในจติ ใตส้ านึก เชน่ ความต้องการทางเพศ
การด้นิ รนเพอื่ ความอย่รู อด การดน้ิ รนเพื่อความเปน็ ใหญ่ เปน็ ตน้
2) กลุ่มเหตุผลนิยม (Rationalist) อธิบายว่า ข้อตัดสินเชิง
สนุ ทรียภาพมาจากการเห็นความกลมกลืนไม่รู้สึกขดั แย้งในใจ
3) กลมุ่ สร้างสรรค์ (Creationist) อธบิ ายวา่ ข้อตัดสินเชิงสุนทรียภาพ
มา จ า ก ค วา ม ส า ม าร ถ ส ร้ า ง สร ร ค์ ข อ งม นุ ษ ย์ เ ช่น นั ก อั ตถิ ภ า ว นิ ย ม
(Existentialist) อธิบายว่า ข้อตัดสินดังกล่าวเกิดจากความสามารถชนะภาวะเดิม
ของตน
การตัดสินเชงิ สนุ ทรียภาพไดแ้ กก่ ารคิดหรือชี้ให้เห็นว่าวัตถุใดวัตถุหน่ึงมี
ลักษณะดังกล่าวข้างต้น50
สุนทรียเจตคตินี้มีลักษณะท่ีต่างไปจากเจตคติทั่วไปอย่างไร ซึ่ง
ฮอสเปอร์ได้กล่าวไว้ว่า“สุนทรียเจตคติเป็นการมองโลกในเชิงสุนทรีย์ (Aesthetic
way of looking at the work) ใช้ในความหมายที่ตรงกันข้ามกับ ทัศนคติใน
เชิงปฏิบัติ (Practical Attitude) โดยมีหลักการสาคัญคือ“การไม่คานึงถึง
ผลประโยชน์” เข้ามาเกี่ยวข้อง (Disinterestedness) หรือสุนทรียเจตคติเป็นการ
มองหรือรับรู้ส่ิงต่างๆ โดยท่ีปราศจากผลประโยชน์อ่ืนเข้ามาเก่ียวข้อง แต่เป็น
“การรับรู้เพ่ือการรับรู้(Perceive for perceiving’s sake) คือ ไม่ได้รับรู้เพ่ือ
จุดประสงค์อย่างอ่ืนนอกเหนือไปจากความมุ่งหมายเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ใน
การรบั ร้สู ง่ิ น้นั ๆ”51
ขณะที่ เจโรม สโตลนิทซ์ (Jerome Stolnitz) ได้ขยายคาอธิบาย
ลักษณะของสนุ ทรียเจตคิตไว้โดยสรุปดังนี้
49ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมศัพทป์ รัชญาฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน,หน้า. 3.
50เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ,3-4
51Hospers, J., Meaning and Truth in the Arts, (Chapel Hill: University of North
Carolina Press.,1946), P.36.
-29-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
1)ไม่มีอิทธิผลของความรู้สึกหรือผลประโยชน์อ่ืนใดเข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นการพิจารนาโดยท่ีไม่คานึงถึงผลประโยชน์หรือความพึงพอใจในด้านอ่ืน ซ่ึง
ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจต่อส่ิงเหล่านั้น แต่เป็นการเมินเฉยต่อ
จุดประสงค์อ่ืนภายนอก อย่างเช่น เม่ือเราเกิดความซาบซึ้งต่อผลงานศิลปะชิ้น
หน่ึง เราย่อมชมภาพผลงานน้ันโดยไม่ต้องการนาไปเช่อื มโยงกบั การเปิดใจที่จะรับ
สิ่งน้ันเพื่อให้เสพสุนทรียรส (Aesthetics Quality) หรืออะไรก็ตามท่ีมันเกิดขึ้น
จากการได้สัมผสั
2) มคี วามรู้สึกร่วมไปกับสิ่งน้ันๆ (Sympathetic) สนใจต่อรายละเอียด
ต่างๆ ซ่ึง ทาให้สิ่งน้ันมีชีวิตชีวา ปล่อยอารมณ์หรือจินตนาการตอบสนอง เพ่ือ
รับรู้ส่ิงน้ันตามที่มันปรากฏ อย่างเช่นที่เมื่อเราชมงานศิลปะ เราได้ปล่อยใจให้
ผลงานได้ชักนาเราไปสู่สภาวะอารมณ์ตามโครงสร้างทางองค์ประกอบและ
จดุ ประสงคข์ องภาพน้นั ๆ อย่างเมอื่ เราดภู าพท่ีมีองค์ประกอบที่ทาให้เกิดความรู้สึก
เศรา้ หมอง เรากม็ คี วามรู้สึกร่วมไปดว้ ยกบั ภาพน้ันๆ
3) พิจารณากับสิ่งเหล่าน้ันอย่างละเอียดไตร่ตรอง (Contemplation)
เชน่ เมื่อเราชมงานศิลปะ เราจะพจิ ารนาในรายละเอียดและความสัมพันธ์ระหว่าง
องค์ประกอบของคุณสมบัติต่างๆอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเช่ือมโยงองค์ประกอบ
เหลา่ นัน้ ดว้ ย
ซึ่งจุดศนู ยก์ ลางเก่ียวกับการวิเคราะห์ในเรื่องสุนทรียเจตคติน้ัน วางอยู่
บนหลักการเร่ือง“การไม่คานึงถึงผลประโยชน์” (The notion of
Disinterestedness) เป็นหลักของแนวความคิดทางสุนทรียศาสตร์สมัยใหม่
สาหรับ จอร์จ ดิกก้ี (George Dickie) คาว่า “การไม่คานึงถึงผลประโยชน์”ได้
ถูกใช้ในการขยายความต่อการอธิบายรูปแบบหรือชนิดของอารมณ์ท่ีจดจ่ออยู่กับ
วัตถุ และไม่สนใจต่อตัวเอง นอกจากน้ียังจะเป็นสภาวะทางคุณสมบัติของ
ทัศนคติ (Attitude) อารมณ์(Motivation) สภาวะของความพึงพอใจ (States of
Pleasure)52
สว่ นคานท์ (Immanuel Kant) ก็เห็นด้วยท่ีว่า ศิลปะควรจะให้ความพึง
พอใจซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ หรือความต้องการส่วนตัว เพราะสาหรับ
คานท์แล้วความงามไม่ได้มีวัตถุประสงค์ใดๆ กล่าวคือ “บางครั้งเราก็มีความรู้สึก
มีความสุข เพื่อความสุขเท่าน้ัน” เพราะการรับรู้โดยท่ัวไปเรารับรู้ส่ิงต่างๆ ใน
ลักษณะท่ีเป็นส่ือกลางไปสู่วัตถุประสงค์บางอย่างที่อยู่เหนือข้ึนไป ดังนั้น ในการ
เปลี่ยนจากเจตคติเชิงปฏิบัติมาเป็นเจตคติเชิงสุนทรียะ จึงเป็นการเปล่ียนความ
52Stolnitz, J., “On the Origins of ‘Aesthetic Disinterestedness’”, Journal of
Aesthetics and Art Criticism, (20 1961): pp.131–144.
-30-
สนุ ทรียศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
สนใจในสิง่ ตา่ งๆ คือ แทนท่จี ะมองดูว่ามัน “มีประโยชน์” อย่างไร กลับมามองดู
ว่า “รูปลักษณ์”(Form) อย่างไร ดังนั้น การตัดสินใจในเร่ืองรสนิยมหรือคุณค่า
ทางสุนทรยี ศาสตร์ จึงไมต่ อ้ งสนใจต่อลักษณะทางผลประโยชน์ซ่ึงเป็นผลท่ีตามมา
จากความไม่ลาเอียง (Detachment) คือจะต้องไม่มีพื้นฐานขอบความชอบหรือ
อารมณ์ปรารถนาบางอย่าง หรือไม่ก็มีพ้ืนฐานการยกย่องต่อ ผลประโยชน์ทาง
สงั คม ท้งั การตัดสินเกี่ยวกับเร่ืองความงามไม่ได้เป็นการแสดงออกของความชอบ
ท่ีเป็นส่วนตัวเท่านั้นหากแต่มีความเป็นสากล คานท์ยังลงความเห็นต่ออีกว่า เมื่อ
เราพูดว่างานศิลปะหรือวรรณกรรมช้ินน้ีมันงดงาม (Beautiful) เท่ากับเป็นการ
ตัดสินสาหรับตัวมันเองโดยไม่สมบูรณ์ในกรอบของเหตุและผลลัพธ์ ต่อการตัดสิน
การรับรใู้ นชวี ิตประจาวันของเรา หลักการเก่ยี วกับการไม่ยึดเอาผลประโยชน์จึงได้
กลายมาเป็นกระบวนทัศน์หลักในสุนทรียเจตคติ ด้วยเห็นท่ีว่าความปรารถนาท่ี
เกย่ี วข้องกบั เรือ่ งทางผลประโยชน์ หรือความตอ้ งการที่จะครอบครองได้มีส่วนเข้า
ไปทาลายความซาบซ้ึงทางสุนทรียะและความงามอันทาให้ไม่อาจจะเข้ากันได้
ส่วนการเพ่งพินิจเชิงสุนทรียะน้ัน (Aesthetic contemplation) เขาเห็นว่าเป็นการ
เหน็ ถงึ ความกลมกลืนระหวา่ งอารมณ์บริสุทธ์ิกับเหตุผล รู้สึกสบายใจในความสงบ
สุข โดยทีไ่ มม่ ีผลประโยชน์หรือกเิ ลสใดๆเขา้ มาเกีย่ วขอ้ ง53
2. สุนทรียศาสตร์เชิงทฤษฎี (Aesthetic Theory)
พื้นฐานเบ้ืองตน้ คุณค่าทางสุนทรียะถูกให้ความหมายที่เรียกรวมๆ แล้ว
ว่า “ความงาม” เม่ือกล่าวว่า ฉันมีประสบการณ์ความงามกับส่ิงหน่ึง อาจ
หมายความว่างานศิลปะหรือวัตถุน้ันๆ มันมีความงามอยู่ในตัว หรือในทาง
กลับกัน เป็นเพราะว่าท่ีมันงามเพราะเรามองมันอย่างมีสุนทรียะ ซึ่งมันได้พาเรา
มาสู่การค้นหาถึงบรรทัดฐานในการตัดสินคุณค่าสุนทรียะ การตัดสินคุณค่าต้อง
อิงอยู่กับสิ่งใด รวมถึงการบ่งบอกถึงคุณภาพของส่ิงสุนทรียะในข้อน้ีจะเสนอถึง
ทฤษฎีต่างๆทพ่ี ยายามหาหลกั เกณฑใ์ นการให้คุณค่าทางสุนทรียะน้ี54
1) ทฤษฎีวัตถุวิสัย (Objectivism) มีฐานมาจากแนวคิดแบบวัตถุวิสัยที่
ถือว่าลกั ษณะทีม่ อี ย่โู ดยไมข่ น้ึ กบั การรบั รู้หรอื การพิจารณาของผู้ใด ความจริงเป็น
สงิ่ ทีม่ อี ยใู่ นภายนอกและถูกแยกออกจากตัวผู้รู้ ฉะน้ันแม้จะไม่มีใครเลยก็ตามที่เข้า
ไปรับรู้มันแต่มันก็ยังคงดารงอยู่ ลักษณะคุณค่าทางสุนทรียะมีความเป็นวัตถุวิสัย
(Objective) กล่าวคือ ความงามเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในวัตถุทางสุนทรีย์
53อิสระ ตรปี ๎ญญา, สนุ ทรียทศั น์ในงานจิตรกรรมแบบเซน, วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหา
บณั ฑติ สาขาปรชั ญา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, 2551, หน้า. 20-22.
54Gaut, Berys Nigel., and Dominic.Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics.(London: Routledge, 2001), p.184.
-31-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
(Aesthetic object) ภายในตัวของมันเอง และได้ปรากฏออกมาให้ได้พบเห็นถึง
สภาวะน้ันความงามจึงเป็นสิ่งท่ีมีอยู่จริงในตัววัตถุภายนอกโดยไม่ขึ้นอยู่กับ
ความรู้สึกของมนุษย์ และมันก็ดารงอยู่อย่างน้ัน ไม่ว่าจะมีใครเข้าไปรับรู้มัน
หรือไม่ก็ตาม การที่เราให้ความสนใจในเชิงสุนทรียะต่อวัตถุใดอย่างหน่ึง ก็ไม่ได้
หมายความว่าเราสร้างความงามให้กับวัตถุ แต่เป็นเพราะเราได้พบความงามที่อยู่
ในตัววัตถุต่างหาก ความงามของวัตถุได้มีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เกิดข้ึนจากความ
สนใจของเราตอ่ วัตถุ55
ภววิสัย คือความจริงตามที่มันเป็นอยู่จริงโดยตัวของมันเอง
(Objective reality or realityby itself) หรือความจริงทางภววิสัย และความ
จรงิ ทางภววิสัยน้ีเองคือความงาม ซึ่งความงามอันแท้จริงนี้ บางครั้งอาจไม่พอใจ
(Unpleased) สาหรับเราเลยก็ได้ ถ้าตัวเราถือเอาแต่อารมณ์เป็นเกณฑ์โดยเหตุนี้
ความงามของศิลปะจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่ว่ามันจะพอใจสาหรับเราหรือไม่ หาก
ขนึ้ อยกู่ บั ความแท้จริง56
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ สิ่งสาคัญ
คือการละเลยต่อความสาคัญของลักษณะทางอัตวิสัย เพราะแม้เราจะพยายาม
ตัดสินคุณค่าโดยผ่านเงื่อนไขที่อิงอาศัยอยู่กับวัตถุสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะข้ามพ้น
ไปจากลักษณะทางอัตวิสัยไปได้ เน่ืองจากสุดท้ายแล้วตัวบุคคลก็คือผู้ที่ต้องตัดสิน
หรือตีค่าทางสุนทรียะอยู่ดี ส่วนเหตุผลที่ว่าความงามกับคุณสมบัติของวัตถุเช่น
เส้น สี รูปทรง เป็นข้อเสนอท่ีไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากคุณสมบัติดังกล่าวเป็น
เพียง “เงื่อนไข”ของคุณค่าทางความงามหรือทางสุนทรียะเท่านั้น ไม่ได้เป็น
คุณค่าหรือความงาม บุคคลท่ีเข้าไปรับรู้หรือเห็นคุณค่าของคุณสมบัติเหล่าน้ัน
ถ้าไม่มีผู้ใดไปรับรู้คุณค่านั้นเสียแล้ว ตัววัตถุและคุณสมบัติของวัตถุเหล่านั้นก็
ย่อมจะไมม่ ีคุณคา่ ใดๆเลย
ในอกี ประเดน็ ท่ีกล่าวว่าความงามเป็นคุณสมบัติอยู่ภายในตัววัตถุ นั่น
ก็เท่ากับแสดงว่าคุณสมบัติทางความงามน้ันมีความเป็นมาตรฐาน และคงอยู่
เช่นนั้นตลอดไป แต่วัตถุบางช้ินบางคนอาจจะบอกว่างาม แต่สาหรับบางคนเห็น
ว่ามันช่างน่าเกลียด หรือบุคคลเดียวกันครั้งหน่ึงอาจจะเห็นว่าวัตถุน้ันงาม แต่
ภายหลงั ตอ่ มาอาจจะเห็นว่ามันไม่งามก็ได้ และหากการตัดสินคุณค่าทางวัตถุวิสัย
น้นั มมี าตรฐานและเปน็ สากล สามารถทจ่ี ะพิจารณาได้โดยปราศจากเง่ือนไข หรือ
บริบทภายนอกแต่เราพบอยู่เสมอว่า ศิลปะรูปแบบหนึ่งอาจเป็นท่ีนิยมของคนใน
สังคมนั้น เมื่อมันถูกนาเข้ามาในอีกวัฒนธรรม อีกบริบท มันกลับถูกประเมินว่า
55Ibid., p.189.
56Ibid., p. 61.
-32-
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
ด้อยค่า ตลอดจนในแง่ที่ว่าศิลปะในยุคสมัยหนึ่งอาจไม่เป็นที่ยอมรับกันของสังคม
จนถึงเวลาต่อมาในอีกยุคสมัย มันกลับได้รบั ความนยิ มยกยอ่ งว่าดี มีคุณค่า57
ทฤษฎีน้ีเช่ือว่า มีหลักเกณฑ์มาตรฐานแน่นอนทางศิลปะ จะนาไป
ตัดสนิ ผลงานได้ทกุ สมยั จะเปน็ ผลงานชนดิ ใดก็ได้ หลกั เกณฑ์มาตรฐานนี้ไม่มีการ
เปล่ียนแปลง ตัวอย่างเช่นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สมัยลัทธินีโอคลาสสิค (Neo
Classic) ของฝร่ังเศส ได้รับความนิยมจากสังคมมาก หลักเกณฑ์ในการตัดสินก็
จะต้องถือตามกรีกและโรมันโบราณ ศิลปะเป็นดวงประทีปของเหตุผล การ
แสดงออกทางศิลปะจะต้องถูกต้องตามสัดส่วนหลักเกณฑ์ของท่าทาง และมีความ
กลมกลืนของสีและน้าหนัก ทฤษฎีน้ีจะไม่เปิดโอกาสให้ศิลปินแสดงความรู้สึก
ส่วนตัวลงในผลงานเลย จะแสดงได้ตามกฎเกณฑ์ของความงามตามคลาสสิกกรีก
โบราณเท่านั้น สาหรับศิลปินที่ไม่ได้ศึกษากฎเกณฑ์ทางตะวันตก มีวัฒนธรรมท่ี
ต่างออกไป การตัดสินงานตามทฤษฎีนี้ก็ให้ถือหลักเกณฑ์แน่นอนตายตัวของ
สังคมที่ศิลปินมีส่วนร่วมอยู่น้ัน แต่หลักเกณฑ์ท่ีถือว่าเป็นสากล เช่นความเป็น
หน่วย ความเข้ม การเน้น และความกลมกลืนของสี ตลอดจนสัดส่วน ก็จะต้อง
แสดงออกให้ชัดเจน58
2) ทฤษฎีอัตวิสัย (Subjectivism) ซ่ึงทฤษฎีนี้ได้มีข้อเสนออีกแนวทาง
หนึ่งที่ว่า คุณค่าสุนทรียะน้ันมีลักษณะนั้นเป็นอัตวิสัย (Subjectivism) ความ
เป็นอัตวิสัยคือ ลักษณะที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ หรือการพิจารณาสาหรับตัวผู้รับรู้
ดังนั้นในทางสุนทรียะจึงถือได้ว่า จิตเป็นแหล่งกาเนิดของความงาม ความงาม
หรือสงิ่ งามมนั จงึ ไมไ่ ดม้ อี ยู่ ในส่งิ ใดสงิ่ หนง่ึ ภายนอกจติ ใจของเราหากแต่ว่าสภาวะ
ภายในจิตใจมีสภาวะแห่งความงามที่รวมอยู่ด้วย ดังนั้น ความงาม จึงขึ้นอยู่กับ
สังคม การตัดสินความงาม จึงต้องใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญส่วนบุคคลเป็น
เกณฑ์59
เนื่องจาก แต่ละคนอาจจะยืนอยู่คนละมุมของวัตถุเดียวกันในการมอง
จึงอาจจะมีการให้คุณค่าที่แตกต่างออกไป จากจุดยืนหรือการมองที่มาจากคนละ
มุม ความเป็นอัตนัยของบุคคลจึงเป็นแหล่งของคุณค่าสุนทรียะและความงาม
ในขณะที่ทัศนะทางสุนทรียศาสตร์ของพวกประสบการณ์นิยมเชื่อว่า ความรู้ทุก
อย่างของมนุษยล์ ้วนเกิดจากประสบการณ์ ดังน้ัน การตัดสินคุณค่าทางความงาม
57อสิ ระ ตรีปญ๎ ญา, สุนทรยี ทศั นใ์ นงานจิตรกรรมแบบเซน, หน้า. 23-24.
58อารี สุทธิพันธ,์ ประสบการณส์ นุ ทรียะ, (กรุงเทพมหานคร: ตน้ อ้อ, 2533), หน้า126-
127.
59กาจร สุนพงษศ์ ร,ี สนุ ทรียศาสตร์, (กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2556), หนา้ 15.
-33-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
จึงข้ึนอยู่กับรส (Taste) ซ่ึงเป็นบทสรุปของการส่ังสมประสบการณ์ทางสุนทรียะ
ในระดบั ตา่ งๆของแตล่ ะคน60
3) ทฤษฎสี ัมพัทธ์นยิ ม (Relativism)61 ทรรศนะนี้มีท่าทปี ระนีประนอม
ระหว่างสองทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้น โดยมีพ้ืนฐานคุณค่า 2 ด้านด้วยกัน ด้าน
แรกด้านตัวผู้ประเมินค่า และ อีกด้านหนึ่งคือ วัตถุที่ถูกประเมินคุณค่าจึงอยู่ท่ี
ความสัมพันธ์กันระหว่างสองด้านนี้ ดังน้ันความงามหรือคุณค่าทาง
สุนทรียศาสตร์จึงมีลักษณะเป็นส่ิงสัมพัทธ์ (Relative) คือว่าความงามน้ันอยู่
ระหว่างวัตถุภายนอกกับสภาวะภายในจิตใจของเรา คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์น้ัน
มีอยู่จริง เนื่องจากมีพ้ืนฐานของสภาวะท่ีมีอยู่จริงรองรับอยู่ แต่สภาวะทาง
สุนทรียศาสตร์ที่ว่าน้ันจะไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการรับรู้ของมนุษย์ท่ีเข้ามาเก่ียวข้อง
สุนทรียภาพเกิดขึ้นมาจากความสอดคล้องกันระหว่าง วัตถุและจิต (Objective-
Subjective relation) ค้านท์ (Kant) เห็นว่า การตัดสินทางความงามเป็นการ
แสดงบทบาทร่วมกันระหว่างเหตุผลกับการรับรู้ทางผัสสะ เพราะแม้ว่าการตัดสิน
ความงามเป็นส่ิงภายนอกตัวของเรา แต่อานาจในการตัดสินอยู่ภายในตัวเรา ซึ่ง
เขาได้วางการตัดสินทางสุนทรียะเอาไว้คร่ึงทางระหว่าง ความจาเป็นทางตรรกะ
(Logically necessary) และอัตวิสัยบริสุทธ์ิ (Purely subjective) ของรสนิยม
ส่วนบคุ คล62
ส่วนแซมมวล อเล็กซานเดอร์ (Samuel Alexander) นักภาษา
วิเคราะห์กล่าวว่า คุณค่าทุกคุณค่าจะต้องมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือตัวผู้ประเมินค่า
และอีกดา้ นคอื วตั ถุทถี่ ูกประเมินค่า ส่วนคุณค่านั้นอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างสอง
ดา้ นนี้ วตั ถจุ ะมีคณุ ค่าในฐานะทถี่ ูกประเมนิ โดยผู้ประเมิน และผู้ประเมินมีคุณค่าก็
ในฐานะท่ีประเมินวัตถุ การร่วมสัมพันธ์กันระหว่างผู้ประเมินกับวัตถุที่ถูกประเมิน
เป็นความเป็นจริงที่ชัดเจน จะเห็นได้จากการท่ีต้องถือว่าท้ังสองฝุายมีส่วนใน
คณุ คา่ คณุ ค่าในฐานะท่เี ปน็ คุณสมบตั ิอย่างหน่งึ ยอ่ มจะเป็นคุณคา่ ในแง่นี้63
4) ทฤษฎีอุปกรณ์นิยม (Instrumentalism) จากทฤษฎีการประเมินคุณ
ค่าท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นว่าเป็นการพิจารณาคุณค่าที่มีประจาตัวและเพื่อ
ตัวเอง แต่สาหรับกลุ่มน้ีมองว่าคุณค่าสุนทรีย์เป็นคุณค่าท่ีไม่มีประจาตัว แต่อยู่
เพือ่ ใหส้ ิง่ อืน่ มีคุณคา่ หรอื ปฏิเสธทีจ่ ะกล่าวถึงคณุ สมบัติต่างๆ ท่ีเฉพาะเจาะจงของ
60อิสระ ตรีปญ๎ ญา, สุนทรียทศั น์ในงานจิตรกรรมแบบเซน, หน้า. 24.
61Gaut, Berys Nigel and Dominic Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics,(London: Routledge, 2001), p.121.
62 Gordon Graham, Philosophy of the Arts An introduction to Aesthetics,
(New York: Routledge,2005), p. 73.
63กรี ติ บุญเจือ, ปรชั ญาศิลปะ, (กรงุ เทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานชิ , 2522), หน้า 53.
-34-
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
วัตถุทางสุนทรียะเพียงแต่เสนอถึงความสามารถของวัตถุเหล่านั้นที่จะสร้างให้เกิ ด
การโต้ตอบทางสุนทรียะออกมา ซ่ึงเรียกว่าเป็น “คุณค่าอุปกรณ์” (Instrumental
Value)ซงึ่ ทฤษฎีน้ีพ้ืนฐานมาจากแนวคิดปฏิบัตนิ ิยม Pragmatism ของจอห์น ดิวอ้ี
(John Dewey, 1859-1952) มีทรรศนะว่า ความคิด ความรู้เป็นเพียง
เ ค ร่ื อ ง มื อ ห รื อ อุ ป ก ร ณ์ ท่ี น า ไ ป สู่ ก า ร ป ฏิ บั ติ เ พื่ อ ท า ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ต า ม ที่ มุ่ ง ห วั ง ใ น
สถานการณ์เฉพาะอยา่ ง ที่ไมใ่ ชค่ วามจริงทีแ่ นน่ อนตายตัวไม่64
3. สนุ ทรียศาสตรเ์ ชงิ ประสบการณ์ (Aesthetic Experience)
ประสบการณ์ทางสุนทรียะเก่ียวพันกับสุนทรียเจตคติ ท่ีได้กล่าวมาแล้ว
คือประสบการณ์สุนทรียะเป็นผลของการรับรู้ระดับสัญชาน (Perception) เป็น
ลักษณะของความจดจ่อกับปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง โดยปราศจากความสนใจกับ
ผลประโยชน์ (Disinterested Perception) ซึ่งจุดน้ีเป็นจุดที่ทาให้ประสบการณ์
ทางสุนทรียะต่างออกไปจากประสบการณ์ทั่วไปในชีวิตประจาวันเพราะเนื่องจาก
ประสบการณ์การรับรขู้ องเราท่ีมที วั่ ไป มักจะมีความนึกถึงประโยชน์ของสิ่งน้ันติด
มาดว้ ยเสมอ โดยท่ีเราไปสนใจหรือเพ่งกับประโยชน์ของมันเป็นหลักมากกว่าเรื่อง
ของรูปทรง
เบลล์ (Clive Bell) กล่าวว่า จุดเร่ิมต้นของระบบสุนทรียะเกิดจาก
ประสบการณ์ส่วนบุคคลท่ีเก่ียวเน่ืองกับอารมณ์พิเศษเฉพาะอย่างหน่ึง ซึ่งมีงาน
ศิลปะหรือสิ่งที่มีคุณสมบัติทางสุนทรียะนาหน้า เป็นวัตถุท่ีปลุกอารมณ์ชนิดนี้
ขึ้นมา ประสบการณ์สุนทรียะจึงมีสภาวะเป็นการพึงพอใจในการรับรู้โดยท่ีไม่หวัง
ผลอื่นใดที่มากไปกว่าการรับรู้อารมณ์น้ัน เพราะในบางเวลาเราพึงพอใจกับ
อารมณ์ใดอารมณ์หน่ึงกาลังเสพเสวยอยู่ก็เพ่ืออารมณ์น้ัน ซึ่งน่ีคือรากฐานของ
ประสบการณ์ทางสุนทรียะ65ค้านท์ได้อธิบายว่า ลักษณะของประสบการณ์
สุนทรียะหรือ “ประสบการณ์เก่ียวกับความงามว่าคือ ประสบการณ์เก่ียวกับโลก
ปรมัตถ์ (Nominal World) ขณะท่ีมันไหลซึมผ่านโลกปรากฏการณ์
(Phenomenal World) และเพ่ือท่ีจะดารงไว้ซึ่งประสบการณ์เก่ียวกับความงาม
จากธรรมชาติ จติ มนุษยจ์ ะตอ้ งทาตัววางเฉยในขณะที่รับเนื้อหาของมันและไม่เป็น
ผู้กระทาการรวบรวมมันเขา้ ด้วยกนั ”66
64Gaut, Berys Nigel., and Dominic.Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics.(London: Routledge, 2001), p.99.
65Gaut, Berys Nigel., and Dominic.Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics. (London: Routledge, 2001), P. 396.
66ภัทรพร สิริกาญจน, บทบาทของเหตผุ ลในงานเขยี นของค้านท์, วทิ ยานิพนธ์อักษร
ศาสตร์ มหาบัณฑติ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , 2550, หนา้ 191. และใน Gaut, Berys
-35-
สุนทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
สุนทรียภาพมาจากประสบการณ์สุนทรียะ ซ่ึงมีอยู่สองลักษณะคือ
ประสบการณ์ความงาม (Experience of Beauty) ความน่าท่ึง (Experience of
the Sublime) โดยมีความพึงพอใจ(Pleasure) ที่บริสุทธ์ิอยู่เบื้องหลัง
ประสบการณ์ท้ังสอง อธิบายต่อมาว่า “ความพึงพอใจในความงามเป็นความพึง
พอใจซ่ึงมาพร้อมกับประสบการณ์บริสุทธิ์เกี่ยวกับวัตถุ เท่ากับว่า ประสบการณ์
เก่ียวกับความงามมาก่อนอารมณ์สุนทรียะ และย่ิงกว่านั้น เมื่อเรายืนยันถึงความ
งามของวัตถุ เท่ากับกาลังยืนยันว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีประสบการณ์ความพึง
พอใจในความรู้สึกได้โดยตรงหากเขามีประสบการณก์ บั วัตถเุ สรี”67
ส่วนลักษณะอื่นๆของประสบการณ์ทางสุนทรียะก็มีแนวคิดเกี่ยวกับช่วง
ระยะห่าง(Distance) และ ความไม่ลาเอียง (Detachment) ส่วนดิวอี้เห็นว่า
ประสบการณ์สุนทรียะคือ ความเพลิดเพลินสาหรับจุดมุ่งหมายของตัวมันเองเป็น
ส่ิงสมบูรณ์ ซ่ึงมีส่วนประกอบและเป็นบทสรุปในตัวมันเอง ซ่ึงไม่ได้เป็นแค่เพียง
เครื่องมือท่ีนาไปสู่จุดมุ่งหมายอื่นๆ และเขายังได้เสนอถึงมิติที่สาคัญในประเด็น
ป๎ญหาเรอื่ งประสบการณ์ทางสุนทรียะ68
1) มิติเชิงประเมินคุณค่า (Evaluative dimension) ประสบการณ์
สนุ ทรียะพืน้ ฐานนั้นเปน็ สง่ิ ทีม่ คี ุณคา่ และควรคา่ แก่การไดม้ า
2) มิติเชิงปรากฏการณ์ (Phenomenological dimension) เป็น
ปรากฏการณ์ท่ีสามารถรับรู้ได้ชัดเจน และเป็นในแบบลักษณะอัตวิสัย ซึมซับใน
ด้านอารมณแ์ ละความรูส้ ึก
3) มิติเชิงความหมาย (Semantic dimension) เป็นประสบการณ์ที่
เต็มไปด้วยความหมายไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับรู้ได้โดยทางด้านผัสสะ ซึ่งอารมณ์
ความรู้สึกและความหมายใช้อธิบายร่วมกันในการท่ีมันทาให้เกิดการเปล่ียนแปลง
เป็นประสบการณ์สุนทรียะไดอ้ ยา่ งไร
4) มิติเชิงนิยามแบ่งแยกขอบเขต (Demarcation-definitional)
ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ท า ง สุ น ท รี ย ะ เ ป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ พิ เ ศ ษ ต่ า ง ไ ป จ า ก
Nigel., and Dominic. Lopes, The Routledge Companion to Aesthetics, pp. 51-
64.
67Gaut, Berys Nigel., and Dominic.Lopes, The Routledge Companion to
Aesthetics, p. 227.
68วีรยุทธ เกิดในมงคล, การส่ือความหมายของงานทศั นศิลป,์ (วทิ ยานิพนธ์ (อ.ม.)
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2544), หน้า 30-31.
-36-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ประสบการณอ์ น่ื ๆ ตรงทีว่ ่ามันได้แสดงถึงลักษณะท่ีแนบแน่นกับลักษณะที่โดดเด่น
ของงานวจิ ติ รศลิ ป์ รวมถงึ แสดงเปาู หมายทีเ่ ป็นแกน่ แท้ของงานศลิ ปะ69
สรุปโดยภาพรวม มโนทัศน์เรื่องคุณค่า ซึ่งเป็นเร่ืองสาคัญในปรัชญา
สาขาคณุ วทิ ยา (axiology) ว่าดว้ ยเรื่องคุณคา่ ต่างๆ ท่ีมนุษย์ต้องการ เช่น ความ
ดี ความช่ัว (จริยศาสตร์), ความจริง ความเท็จ (ตรรกศาสตร์) และ ความงาม
ความไม่งาม (สุนทรียศาสตร์) ในงานวิจัยน้ีกล่าวเพียงเรื่องคุณค่าทาง ความงาม
และไม่งามเท่าน้ัน นอกจากน้ียังได้นาเสนอที่มาและความหมายของคาว่า
สุนทรียศาสตร์ ในบริบทของภาษาไทย และ Aesthetics ในความหมายของ
สุนทรียศาสตร์แบบท่ัวไป ถึงแม้ว่า วิชาสุนทรียศาสตร์ จะศึกษาอารมณ์ในหลาย
รูปแบบของมนุษย์ตามท่ีทราบแล้วนั้น แต่ผู้วิจัยได้เน้นเรื่องความงามในเชิงปฏิ
ฐาน (positive) และความเชิงนิเสธ (negative) เพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ในวิจัยทีไ่ ดน้ าเสนอเร่อื งมโนทศั น์เชิงสนุ ทรยี ศาสตร์
69อิสระ ตรีป๎ญญา, สุนทรียศาสตรใ์ นงานจติ รกรรมแบบเซน. วทิ ยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรมหา
บัณฑิตสาขาวชิ าปรชั ญามหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ หนา้ .
-37-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
บทที่ 3
คตคิ วามเชอ่ื พระบฎลา้ นนา
-38-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
คติความเช่ือพระบฏเป็นผลมาจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในการ
สร้างรปู เคารพแทนองค์พระพุทธเจา้ มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ เป็นพุทธานุสติและ
การกราบไหว้บูชา โดยใช้ผ้าผืนเป็นวัสดุในการสร้างสรรค์ภาพวาด
จติ รกรรม
พระบฏ คือ ผืนผ้าขนาดยาวท่ีเขียนภาพพระพุทธเจ้า และเร่ืองราว
เก่ียวกับพระพุทธประวัติ หรือทศชาติชาดกต่างๆ ใช้แขวนหรือห้อยไว้ภายใน
อุโบสถ วหิ าร หรอื ศาลาการเปรียญ มีขนาดแตกต่างกนั ไปตามคติและความนิยม
ในแต่ละยุคสมัย ในคติเดิมมักวาดเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนพระองค์เดียว
หรือ ขนาบขา้ งด้วยพระอัครสาวก ต่อมาเร่ิมมรี ายละเอียดมากข้ึนโดยปรากฏภาพ
เล่าเร่ืองเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ และท่ีนิยมอีกเร่ืองหน่ึง คือ เรื่องพระมาลัย
ต่อมาระยะหลังรูปแบบของพระบฏ ขนาดผืนผ้ายาว ได้คลี่คลายไปเหลือเพียงผืน
ผ้าขนาดประมาณ 50 x 50 เซนติเมตร เน้นถ่ายทอดเร่ืองราวจบเป็นตอนๆ
ดังที่นิยมกันก็คือ เร่ืองเก่ียวกับเวสสันดรชาดก ที่นิยมสร้าง จานวน 13 ผืน
ตามเนื้อหาของเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ ใช้แขวนตกแต่งวิหารหรือศาลาการ
เปรยี ญในงานบุญเทศนม์ หาชาติ
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้คาจากัดความของคาว่า
บฏ หมายถงึ ผา้ ทอ ผืนผา้ พระบฏ คือ ผืนผ้าท่ีมีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น แขวน
ไว้เพื่อบูชา มีรากศัพท์ในภาษาบาลีว่า ปฏ (อ่านว่า ปะ-ตะ)”70 เป็นท่ียอมรับกัน
ว่าพระบฏ เป็นมรดกสาคัญของชาติ ท่ีเกิดจากความคิดสร้างสรรค์และความ
ศรัทธาในพระพุทธศาสนา นับเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นอิทธิพลพุทธศาสนาใน
ประเทศไทยที่มีมานานนับพันปี และสืบทอดมาเป็นศาสนาประจาชาติไทย
แสดงออกถึงภูมิป๎ญญาในเชิงช่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคนิค การเลือกสรรวัสดุ
และการใช้สีในการวาดภาพ ซึ่งสืบทอดต่อกันมา จนเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของ
ศิลปะไทย นอกจากนั้น พระบฏยังเป็นหลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ทาง
สังคมของแต่ละยคุ สมยั ไมว่ ่าจะเป็นการเปล่ียนแปลงเร่ืองราวที่วาดและขนาดของ
พระบฏ ตา่ งกแ็ สดงถงึ ค่านิยมของสังคมในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี ป๎จจุบัน
มีการเก็บรักษาและจัดแสดงพระบฏไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และ
พิพิธภัณฑสถานเอกชน และตามวัดต่างๆ บางแห่งยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
เพราะยังใช้ประกอบพิธีทางศาสนา เช่น งานบุญเทศน์มหาชาติ ท่ีมีการตกแต่ง
สถานท่ดี ้วยผา้ พระบฏขนาดเลก็ ท่ีเล่าเร่อื งแตล่ ะตอนในเวสสนั ดรชาดก
70 ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศักราช 2525. พิมพค์ รงั้
ที่ 2. (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทอักษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จากดั . 2539) หน้า 558.
-39-
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
“พระบฏ" คือ หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงภูมิป๎ญญาของคนไทย ใน
ความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปะ ฝีมือช่างและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มี
การถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาเป็นแบบแผนเฉพาะ เรียกว่าเป็นจิตรกรรมไทย
ประเพณี แต่ในช่วงระยะเวลาท่ีผ่านมาได้มีการแพร่อิทธิพลทางศิลปะแบบ
ตะวันตก ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบงานศิลปะดั้งเดิมของไทยแทบจะทุก
แขนง รวมทั้งพระบฏด้วย ป๎จจุบันแนวการสร้างสรรค์ งานศิลปะร่วมสมัยส่วน
ใหญ่ยังคงเป็นผลิตผลแนวศิลปะตะวันตก ส่วนแนวความคิดเดิม ไม่ว่าจะเป็น
เร่ืองราวหรือเทคนิค ยังได้รับการยอมรับจากศิลปินบางท่านบางกลุ่มท่ีสนใจ
เกี่ยวกับการสร้างงานตามแบบท่ีมีมาแต่เดิม เรียกว่าเป็น งานจิตรกรรมแนว
ประเพณี ซงึ่ กลา่ วได้ว่าเปน็ ผลงานศิลปะทไ่ี ด้รับการตอบรับจากสังคมไทยดว้ ย
งานจิตรกรรมไทยประเพณี แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ ประเภท
เคลื่อนที่ไม่ได้ ได้แก่ภาพเขียนบนผนังอาคารต่างๆ เรียกว่า จิตรกรรมฝาผนัง
และประเภทเคล่ือนท่ีได้ ได้แก่ ภาพเขียนบนผ้า หรือ พระบฏ ภาพเขียนบน
กระดาษ หรือ สมุดข่อยหรือสมุดพระมาลัย และตู้พระธรรม เป็นต้น ป๎จจุบันมี
พระบฏเหลืออยู่เพียงไม่ก่ีชิ้น และโดยมากชารุดเสียหายจากการเก็บรักษาท่ีไม่ถูก
วธิ ี จงึ เป็นท่มี าของโครงการอนุรักษ์พระบฏ เพ่ือสารวจและรวบรวมพระบฏท่ีเก็บ
รกั ษาไวใ้ นพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พิพิธภณั ฑสถานเอกชน และวัดให้ได้มากที่สุด
โดยบันทึกเป็นข้อมูลและบันทึกภาพ และอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด เพ่ือ
ยดื อายุให้ยาวนาน พร้อมทั้งเผยแพร่ให้ความรู้ ให้เห็นความสาคัญและคุณค่าของ
พระบฏและการอนุรักษ์พระบฏ ดังเช่นจัดนิทรรศการพิเศษ เร่ือง “พระบฏ : ภูมิ
ป๎ญญาไทยบนจิตรกรรมไทยประเพณี" ของกรมศิลปากรในวันอนุรักษ์มรดกไทย
จัดพมิ พห์ นงั สือ เอกสารเผยแพร่ และการจดั กิจกรรม
นิทรรศการพิเศษที่จัดในปีพุทธศักราช 2555 ที่ผ่านมา มีการจัด
แสดงพระบฏในประเทศไทยกวา่ 900 รายการ ส่วนหนึ่งคือพระบฏที่อยู่ในความ
ดูแลของกรมศิลปากร คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและ หอสมุดแห่งชาติ รวม
ทั้งส้ิน 55 รายการ ซ่ึงกล่าวได้ว่ามีจานวนไม่มากนัก และจานวนพระบฏแบบ
ใหม่ก็มีน้อย จึงเป็นเร่ืองท่ีทุกฝุายท่ีเกี่ยวข้องต้องให้ความสาคัญกับการอนุรักษ์
มรดกทางศิลปวฒั นธรรมของชาติให้คงอย่เู ปน็ สมบตั ขิ องชาตไิ ทยตลอดไป
ประวัติความเปน็ มาของพระบฏ
ประวัติความเป็นมาเก่าแก่ต้ังแต่สมัยหลังพุทธกาล เมื่อปรากฏมีการ
สร้างเคารพองค์ศาสดา เป็นศิลปกรรมที่แพร่หลายอยู่ในหลายวัฒนธรรม อาทิ
อินเดีย จีน ธิเบต ญี่ปุน เกาหลี และไทย ภาพม้วนท่ีเก่าแก่ท่ีสุดในตอนนี้ คือ
ภาพม้วนของจีน ชนชาติจีน ถือได้ว่าเป็นผู้นาในการเขียนภาพบรรยาย มีอายุ
-40-
สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
เก่าแก่ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 4 และภาพเขียนแบบน้ียังเอาไว้ใช้สอน
ศีลธรรมในพระพุทธศาสนาอีกด้วย ภาพเขียนแบบน้ีได้รับการพัฒนามาจนถึงขีด
อย่ใู นชว่ ง ครสิ ตว์ รรษที่ 7
ธิเบต เรียกว่า “ทังกา” หรือ จิตรกรรมทังกา (Thangka painting)
ตรงกับความหมายในภาษา ไทยว่า “พระบฏ” คาว่า “ทังกา” ในภาษาอังกฤษมี
การเขียนสะกดไว้หลายแบบ เช่น Tangka, Thanka และ Tanka ในภาษาจีน
เรียกว่า “ถังข่า (Tangka)” เป็น งานจิตรกรรมบนผ้าฝูายหรือบนผ้าไหม ทาให้
บางครั้งจึงนยิ มเรยี กจติ รกรรมทงั กา ว่า “ภาพจิตรกรรมแบบม้วนแขวน (Scroll-
painting)” โดยท่ัวไปแล้ว สันนิษฐาน ว่า “ทังกา” มาจากคาว่า “Thang Ka”
หมายถึง สาสน์แห่งบันทึก (recorded message) หรือ การส่งสารแห่งข้อความ
ไปสู่ผู้ฝึกจิตปฏิบัติตน เป็นเช่นดั่งการ ช่วยให้พระธรรมคาสอนสามารถส่งถึงจิต
สมาธขิ องผ้ปู ฏิบตั ิให้บรรลธุ รรมได้ โดยพลัน ภาพจิตรกรรมทังกาจึงล้วนต้องวาด
ในเร่ืองราวทางพระพุทธศาสนา วัชรยาน แบบทิเบต และนับเป็นเอกลักษณ์ทาง
ศิลปะเฉพาะตัวของชาวทเิ บตท่ี ร้จู ักกันไปทวั่ โลกในป๎จจบุ นั
ภาพทงั กาของธเิ บต
-41-
สุนทรียศาสตรใ์ นพระบฎล้านนา
ตานานเก่ียวกับภาพจติ รกรรมทงั กานน้ั กล่าวกันว่าในอดีตกาลน้ันภาพ
ทังกา เกิดข้ึนคร้ังแรกในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพิมพิสาร ( King
Bimbisara) และพระเจ้าอุตยัน (King Udrayana) ทั้งสองต่างเป็นพระสหายท่ี
เป่ียมด้วย มิตรไมตรี และมักส่งของขวัญอันล้าค่าแก่กันและกัน คร้ังหนึ่งพระเจ้า
อุตยัน ส่งอัญมณีล้าค่าแด่พระเจ้าพิมพิสาร ทาให้พระเจ้าพิมพิสารตัดสินใจมอบ
ภาพ วาดซ่ึงเป็นภาพเหมือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแด่พระเจ้าอุตยัน สร้าง
ความ ปลาบปล้ืมพระทัยให้แก่พระเจ้าอุตยันย่ิงนัก เพราะภาพดังกล่าว
เปรียบเสมือน ส่ิงล้าค่าท่ีหาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้ และกลายเป็นท่ีมาของคติการ
วาดภาพ ทงั กาสบื มา
บางตานานกล่าวถึงที่มาของภาพทังกาว่า มีต้นกาเนิดมาจาก
ภาพปฏิจจสมุปบาท (Pratityasamutpada) หรือ กาลจักร (Wheel of Life) ซ่ึง
ในภาษาทิเบต เรียกกันว่า ซีเป คอร์โล (Sipe Khorlo) ซ่ึงเป็นภาพวาดเพ่ือ
แสดงถึงสังสารวัฏ ของมนุษย์ เป็นการสะท้อนเพื่อเตือนใจถึงความไม่จีรังของ
ชีวิตและความไม่เท่ียง ของสรรพส่ิง นักแสวงบุญนิยมนาภาพดังกล่าวม้วนเก็บไว้
ตดิ ตัวในยามท่ีเดนิ ทาง ออกจากหมู่บ้านไปต่างถ่ิน และยังเป็นสิ่งเตือนใจให้ราลึก
ถึงพระพทุ ธคณุ ของ พระพุทธเจ้าเมอื่ ยามอย่หู า่ งไกลบา้ น
นอกจากนี้ ในบางข้อมูลยังกล่าวถึงความหมายของคาว่า “ทังกา”
จาก พจนานุกรมภาษาทิเบต-อังกฤษท่ีได้บัญญัติคาว่าทังกาว่า ทังกา (Than ka
หรือ Than ga) มีความหมายว่า เรียบ แบน และระนาบ ซึ่งแสดง ถึง
คุณลักษณะทางกายภาพของงานจิตรกรรม (Goldstein et al. 2001, 255)
อีกความหมายหน่ึง คาว่า ทัง นั้นถูกนามารวมกับคาอ่ืนโดยยัง คงสื่อ
ความหมายเก่ียวกับงานจิตรกรรม เช่น คาว่า ชัลทัง (Shal than) หมายถึง
ภาพเหมือนหรืองานจิตรกรรม บางคร้ังคาว่า ทังกา ถูกแทนที่ด้วย คาว่า ทังกุ
(Than sku) หรือ กุทัง (sKu than) ซึ่งหมายถึง ภาพหรือส่ิงที่สื่อถึง เทพ
(Deity) บนผืนผ้าหรือกระดาษ โดยคาว่า กุ (sKu) น้ันหมายถึง รูป (Body) ที่
ศักด์ิสิทธิ์ เช่น รูปวาดหรือประติมากรรมของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์
(Jackson 1996, 15-17) โดยสรุปแล้ว จิตรกรรมทังกามีความหมายว่า
จิตรกรรม ภาพม้วนท่ีแสดงรูปเคารพอันศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องราวด้าน
พระพทุ ธศาสนา
อน่ึง นกั วชิ าการฝุายจีนมคี วามเชอ่ื กันวา่ รูปแบบการวาดภาพทังกาซึ่ง
เป็นภาพวาดบนผ้าไหมและใช้การม้วนแขวนเพื่อประดับและสามารถนาพาไปยังที่
ต่าง ๆ ได้โดยสะดวกนั้น มาจากอิทธิพลของการการวาดภาพจิตรกรรมจีน
ประเพณี (Traditional Chinese painting) ซ่ึงมีการวาดในลักษณะดังกล่าวมา
ต้ังแต่ ปลายราชวงศ์ฮ่ันถึงราชวงศ์จิ้น และรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ถัง ทาให้ศัพท์
-42-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
คาว่า ทังกาสาหรับชาวจีนแล้ว ใช้ออกเสียงเรียกกันว่า “ถังข่าแปลความหมาย
ตามรูปศัพท์คอื “แผ่นภาพแบบสมยั ถัง”71
ภาพพระบฏของจนี
ในญป่ี ุน เรียกว่า ภาพอิมากิโมโนะ มีความใกล้เคียงความร่วมสมัยกับ
จีนมากที่สุด กล่าวคือ อยู่ในคริสต์ศตวรรษ ที่ 12 – 13 ภาพอิมากิโมโนะ
เป็นภาพม้วนแนวนอนยาวกว้าง 10–15 นิ้ว (25–38 ซม.) และยาวไม่เกิน 30
ฟุต (9 เมตร) ประเพณีการวาดภาพนี้เรียกว่า Yamato-e หรือภาพวาดญ่ีปุน
เพื่อให้แตกต่างจากงานญี่ปุนในลักษณะจีน ในตานานของเก็นจิ (The Tale of
Genji) เปน็ วรรณกรรมชิน้ เอกของญ่ีปุนและเป็นตัวอยา่ งรปู แบบงานท่ีเก่าแก่ที่สุด
71 ปิยะแสง จันทรวงศไ์ พศาล, “ประวัตศิ าสตรท์ ังกา”, วารสาร วจิ ิตรศิลป,์ ปที ี่ 6 ฉบบั ที่
2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2558 หนา้ 74 -75.
-43-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎลา้ นนา
ซ่ึงแสดงรูปภาพสลับกับข้อความ ในที่สุดภาพประกอบในงานดังกล่าวก็แทบจะไม่
โดดเด่นและเรื่องทั่วไปคือเร่ืองราวและชีวประวัติที่ได้รับความนิยมในช่วงยุคกลาง
ของญ่ีปุน – กล่าวโดยสรุปก็คือภาพเขียนไม่ได้รับความสนใจ คนกลับไปสนใจ
เรื่องราวมากกว่ารสนิยมทางความรู้สึกและการแสดงละครของญี่ปุนนั้น พบได้
จากการแสดงออกที่สดใสในม้วนหนังสือภาพเหล่านี้ ภาพอาคารบ้านเรือนในม้วน
หนังสือน้ันมักไม่มีหลังคา เพ่ือให้สามารถแสดงฉากภายในที่ใกล้ชิดได้ และพื้น
หลงั จะเอียงไปขา้ งหน้าเพอื่ บรรจเุ หตุการณ์เพ่มิ เตมิ ลงในพืน้ ที่ขนาดเลก็
การเขียนภาพพระพุทธเจ้าลงบนผืนผ้าเป็นคติท่ีมีมาแต่เดิมในตานาน
พระพุทธฉาย ซ่ึงเป็นตานานการเขียนภาพของอินเดีย ท่ีเล่าถึงพระเจ้าอชาตศัตรู
ทูลขอพระพุทธฉายจากพระพุทธเจ้า เพื่อสักการบูชาแทน พระพุทธองค์ ซ่ึง
พระพุทธเจ้าโปรดให้พระพุทธฉายประทับอยู่บนผืนผ้าผืนหนึ่ง และมีการระบาย
พระพุทธฉายด้วยสีต่างๆ การสร้างภาพเขียนบนผืนผ้าตามอาคารศาสนสถานใน
อินเดียน้ันเป็นท่ีนิยมในพุทธศาสนามหายาน และเป็นท่ีนิยมแพร่หลายในดินแดน
ทน่ี บั ถือพทุ ธศาสนามหายาน เชน่ จนี และ ญปี่ นุ ด้วย
ในญ่ีปุนมีหลักฐานการเขียนภาพพระพุทธเจ้าบนผ้าในสมัยฮะกุโอหรือ
ราวปลายพุทธศตวรรษท่ี 12 เป็นภาพป๎กบนผ้าไหม ขนาด 154 X 207
เซนติเมตร เป็นภาพพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนีประทับยืนบนดอกบัว แวดล้อมด้วย
พระโพธิสัตว์ข้างละ 7 พระองค์ ด้านหน้าเป็นพระสาวก และพุทธศาสนิกชน
ด้านบนเป็นนางฟูาประโคมดนตรีอยู่ข้างกลด ด้านล่างเป็นภาพสิงห์โตหมอบ
สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เป็นลักษณะท่ีได้รับการถ่ายทอดจากอินเดียสู่จีนใน
สมัยราชวงศ์สุย และราชวงศ์ถัง ซึ่งจีนก็ได้ส่งอิทธิพลน้ีต่อไปยังญี่ปุนในสมัยฮะกุ
โย
ในยุคฟน้ื ฟศู ิลปวิทยาของจีน มีการแนะนาการจัดภาพหรือดอกไม้โทโค
โนมะ ภาพวาดถูกวาดข้ึนในแนวตั้งแทนท่ีจะเป็นแนวนอนเพื่อให้พอดีกับพ้ืนท่ี
คาเคโมโนะที่แขวนอยู่เหล่านี้มีองค์ประกอบที่คงที่และรูปแบบที่ครุ่นคิดอยู่ใน
ลักษณะของภาพวาดตะวันตกมากกว่า จีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่
หยุดย้ังในอารยธรรมของตนมากกว่าชาติตะวันตกใด ๆ และความต่อเนื่องนี้
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ในศลิ ปะของตน ส่วนหน่ึงเป็นเพราะขนาดทใ่ี หญ่โตของประเทศและ
เนื่องจากสามารถดูดซับการไหลบ่าเข้ามาของผู้รุกรานจากต่างชาติได้เสมอและ
สว่ นหนงึ่ เป็นเพราะอิทธิพลของลัทธิขงจ้ือและลัทธิเต๋าศิลปะจีนแสดงให้เห็นถึงการ
พัฒนารูปแบบที่ไม่แตกสลายตลอดหลายศตวรรษ ลวดลายน้อยมากท่ีพัฒนาข้ึน
ครั้งหนึ่งเคยสูญหายไป แนวคิดและรูปแบบบางอย่างได้รับการทบทวนซ้าแล้วซ้า
เล่า นักคัดลอกในแต่ละยุคมักจะนาภาพวาดที่ย่ิงใหญ่ในอดีตมาเล่าซ้า เซรามิ
กทีล่ ้าคา่ ท่ีสดุ คือเซรามิกท่ีได้รับการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ดูโบราณ สาหรับข้อยกเว้น
-44-
สนุ ทรียศาสตรใ์ นพระบฎลา้ นนา
บางประการศิลปะในประเทศจีนถูกสรา้ งขึ้นเพื่อชว่ ยเหลอื นกั ปราชญ์จักรพรรดิและ
นักบวชที่ร่ารวยและชาญฉลาดในการทาสมาธิในเรื่องศาสนาและบทกวี ศิลปะจีน
ที่สาคัญและลึกซึ้งท่ีสุดคือรูปแกะสลักที่เงียบสงบของพระพุทธเจ้าและนักบุญของ
เขาและภาพวาดแนวเต๋าที่มีรูปแบบและเทคนิคที่ไม่รู้จักในตะวันตกและไม่มีใคร
เทยี บไดใ้ นโลก72
ภาพพระบฏแบบเกาหลี เรียกว่า Taenghwa แปลว่า ภาพแขวน เป็น
ลักษณะเฉพาะของภาพพุทธวิจิตรศิลป์แบบเกาหลี (Korean Buddhist Visual
Arts) ประเภทของศิลปะทางพุทธศาสนา ประเภทภาพวาดสัญลักษณ์ต่าง ๆ
อาจจะเป็นภาพพระบฏหรอื ภาพในกรอบหรือภาพวาดบนผนัง ภาพพระบฏอาจมี
ขนาดเล็กเป็นส่วนตัวและสร้างขึ้นสาหรับการแสดงภายในอาคารหรือขนาดใหญ่
และสร้างข้ึนเพื่อแสดงกลางแจ้ง งานฝีมือถือเป็นส่วนขยายของประเพณีการวาด
ภาพฝาผนังในสมัยก่อน ไม่มีหนังสือหรือคาอธิบาย ๆ ที่จะอธิบาย วิธีการวาด
ภาพพระบฏ แต่วิธีการวาดภาพเหล่าน้ีจะถูกเก็บรักษาแบบจาลองผ่านกระดาษฉลุ
ภาพพระบฏใน ยุคโครยอ (Koryo era) ส่วนใหญ่จะจัดแสดงในของสะสมของ
ญ่ีปุน และในพิพิธภัณฑ์ ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน, พิพิธภัณฑ์ในบอสตัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา และโคโลญจน์ ในประเทศเยอรมนั กม็ ีบางส่วนเชน่ กัน
72 The Editors of Encyclopaedia Britannica ,Scroll painting : Available on
https://www.britannica.com/art/scroll-painting
-45-
สุนทรยี ศาสตร์ในพระบฎล้านนา
ภาพพระบฏ เกาหลี
ป ร ะ เ พ ณี ก า ร ว า ด ภ า พ พ ร ะ บ ฏ เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ม ร ด ก ท า ง
พระพุทธศาสนาท่ีมาถึงคาบสมุทรเกาหลีในยุคสามก๊ก ภาพวาดท่ีเก่าแก่ท่ีสุดท่ี
ยังคงมีชีวิตอยู่ ย้อนกลับไป ศตวรรษท่ี 13 ในช่วงปลาย ของราชวงศ์โครยอ
ประเพณีการวาดภาพพระบฏในยุคแรกเป็นไปตามบรรทัดฐานของประเพณีเอเชีย
กลางและจีนในเรื่องการสร้างแบบจาลองและการใชล้ ายฉลุ ภาพพระบฏในยุคแรก
ส่วนใหญ่วาดบนผ้าแพรไหมโดยใช้สีจากแร่ธรรมชาติ ภาพพระบฏที่รับความนิยม
มากในยุคน้ัน คือ ภาพแดนสุขาวดี (Pure Land Buddhism) และภาพ พระอว
โลกิเตศวร
ภาพพระบฏได้รับความนิยมตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ในสมัยโช
เซิน (Choson) การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเร่ิมหมดความนิยมวาดภาพพระ
-46-