The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางเรื่องความสมบูรณ์พร้อมในการทำงาน (Fit for Work) ฉบับนี้ จัดทำเพื่อให้แพทย์
พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ประเมินสภาวะสุขภาพของคนทำงาน และความสามารถของ
ร่างกายที่งานนั้นๆ ต้องการ ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้คนทำงานนั้นๆ สามารถทำงานได้โดยไม่มีผลเสีย
ต่อสุขภาพ ไม่มีผลเสียต่องาน และต่อเพื่อนคนงานอื่นๆ ตามลักษณะงานนั้นจะมีงานอยู่หลายประเภท
แต่ได้เลือกมา 6 ประเภทคือ การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่อับอากาศ การประเมิน
ความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่สูง การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานอาหาร
การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ผจญเพลิง การประเมินความพร้อมในการทำงานในคนขับ
รถบรรทุกสารเคมีอันตราย และการประเมินความพร้อมสำหรับผู้ที่สวมหน้ากากชนิดแนบแน่น ซึ่งแต่ละ
ประเภทมีลักษณะการทำงานที่เป็นจำเพาะและมีแทรกอยู่ในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม แนวทางฉบับนี้
ได้มาจากประสบการณ์ในการประเมินคนทำงานจริง โดยประยุกต์จากทฤษฎี มีบางอย่างที่อาจจะทำไม่ได้
ในตอนนี้ แต่ต้องใช้จกฏหมายส่งเสริม เช่น การตรวจสุขภาพเพื่อขับรถบรรทุกสารเคมี ซึ่งตามกฎหมาย
มีกำหนดไว้ไม่กี่อย่าง แต่ในความรับผิดชอบของแพทย์ และพยาบาล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Memi Jeemee, 2023-06-23 00:37:47

ความพร้อมในการทำงาน Fit for Work

แนวทางเรื่องความสมบูรณ์พร้อมในการทำงาน (Fit for Work) ฉบับนี้ จัดทำเพื่อให้แพทย์
พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ประเมินสภาวะสุขภาพของคนทำงาน และความสามารถของ
ร่างกายที่งานนั้นๆ ต้องการ ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้คนทำงานนั้นๆ สามารถทำงานได้โดยไม่มีผลเสีย
ต่อสุขภาพ ไม่มีผลเสียต่องาน และต่อเพื่อนคนงานอื่นๆ ตามลักษณะงานนั้นจะมีงานอยู่หลายประเภท
แต่ได้เลือกมา 6 ประเภทคือ การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่อับอากาศ การประเมิน
ความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่สูง การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานอาหาร
การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ผจญเพลิง การประเมินความพร้อมในการทำงานในคนขับ
รถบรรทุกสารเคมีอันตราย และการประเมินความพร้อมสำหรับผู้ที่สวมหน้ากากชนิดแนบแน่น ซึ่งแต่ละ
ประเภทมีลักษณะการทำงานที่เป็นจำเพาะและมีแทรกอยู่ในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม แนวทางฉบับนี้
ได้มาจากประสบการณ์ในการประเมินคนทำงานจริง โดยประยุกต์จากทฤษฎี มีบางอย่างที่อาจจะทำไม่ได้
ในตอนนี้ แต่ต้องใช้จกฏหมายส่งเสริม เช่น การตรวจสุขภาพเพื่อขับรถบรรทุกสารเคมี ซึ่งตามกฎหมาย
มีกำหนดไว้ไม่กี่อย่าง แต่ในความรับผิดชอบของแพทย์ และพยาบาล

สถาบันอาชีวเวชศาสตรและเวชศาสตรส��งแวดลŒอม โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุข ความพรŒอมในการทำงาน Fit for Work


ความพรŒอมในการทำงาน Fit for Work


ความพรŒอมในการทำงาน Fit for Work ชื่อหนังสือ จัดทำโดย ISBN ผู้ประสานงาน ความพร้อมในการทำงาน Fit for Work โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 978-616-8322-35-2 (e-book) บริษัท เอ.เจ. กรุ๊ป 1972 จำกัด โทรศัพท์ 02-489-8899 Fax : 02-489-4948 มือถือ 081-825-8485 สงวนลิขสิทธิ์ โดย โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ห้ามดัดแปลงบทความ คัดลอก หรือนำไปจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต แต่สามารถทำซ้ำเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยการขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์


แนวทางเรื่องความสมบูรณ์พร้อมในการทำงาน (Fit for Work) ฉบับนี้ จัดทำเพื่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ประเมินสภาวะสุขภาพของคนทำงาน และความสามารถของ ร่างกายที่งานนั้นๆ ต้องการ ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้คนทำงานนั้นๆ สามารถทำงานได้โดยไม่มีผลเสีย ต่อสุขภาพ ไม่มีผลเสียต่องาน และต่อเพื่อนคนงานอื่นๆ ตามลักษณะงานนั้นจะมีงานอยู่หลายประเภท แต่ได้เลือกมา 6 ประเภทคือ การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่อับอากาศ การประเมิน ความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานในที่สูง การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ทำงานอาหาร การประเมินความพร้อมในการทำงานในผู้ผจญเพลิง การประเมินความพร้อมในการทำงานในคนขับ รถบรรทุกสารเคมีอันตราย และการประเมินความพร้อมสำหรับผู้ที่สวมหน้ากากชนิดแนบแน่น ซึ่งแต่ละ ประเภทมีลักษณะการทำงานที่เป็นจำเพาะและมีแทรกอยู่ในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม แนวทางฉบับนี้ ได้มาจากประสบการณ์ในการประเมินคนทำงานจริง โดยประยุกต์จากทฤษฎี มีบางอย่างที่อาจจะทำไม่ได้ ในตอนนี้ แต่ต้องใช้จกฏหมายส่งเสริม เช่น การตรวจสุขภาพเพื่อขับรถบรรทุกสารเคมี ซึ่งตามกฎหมาย มีกำหนดไว้ไม่กี่อย่าง แต่ในความรับผิดชอบของแพทย์ และพยาบาล จะต้องมีการตรวจให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้ออุบัติเหตุซึ่งอาจจะเกิดจากสภาวะสุขภาพที่ไม่พร้อมได้ แนวทางฉบับนี้เป็นฉบับแรก ซึ่งอาจจะมีจุดที่มีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน สามารถให้คำแนะนำและติชม มาได้ ทางผู้จัดทำขอน้อมรับ และจะนำไปแก้ไข เพื่อให้ถูกต้องยิ่งขึ้นต่อไป คำนำ ขอขอบคุณ นพ.อดุลย์ บัณฑุกุล


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานบนที่สูง ผูŒนิพนธ นพ. ศุภกร ตุลยไตรรัตน แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ ผูŒนิพนธ นพ. เปรมยศ เป‚›ยมนิธิกุล แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒปฏิบัติงานปรุงอาหาร ผูŒนิพนธ พญ. ชีวรัตน ปราสาร แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒขับข�่รถบรรทุกสารเคมี ผูŒนิพนธ นพ. อดุลย บัณฑุกุล แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานผจญเพลิงหร�อกูŒภัย ผูŒนิพนธ นพ. ศรว�ทย โอสถศิลปŠ แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒปฏิบัติงานกับหนŒากากชนิดแนบแน‹น ผูŒนิพนธ พญ. อรพรรณ ชัยมณี สารบัญ 5 29 49 59 99 123


แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูŒทำงานบนที่สูง บทที่ 1


1. หลักการและเหตุผล การทำงานบนที่สูงเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วส่วนใหญ่จะเป็นบาดเจ็บ รุนแรง มีอัตราส่วนที่ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน ที่สูงเมื่อเทียบกับสาเหตุที่ประสบอันตรายเนื่องจาก การทำงานสาเหตุอื่น รวมไปถึงอัตราส่วนจำนวนพนักงานที่ทุพพลภาพและเสียชีวิตที่สูงเมื่อเทียบกับ สาเหตุที่ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานสาเหตุอื่น ในปี พ.ศ.2560 ในผู้ที่มีงานทำที่มีปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำงานทั้งหมดจำนวน 3,600,125 คน เป็นผู้ที่ต้องทำงานในที่สูง ทั้งหมด 182,603 คน แบ่งเป็นแรงงานในระบบ 68,755 คน และแรงงานนอกระบบ 113,848 คน และในปี พ.ศ. 2560 พบผู้ประสบอันตรายเนื่องจาก การทำงานที่มีสาเหตุจากการตกจากที่สูง จำนวน 5,553 คน ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 2,551 คน เสียชีวิตจำนวน 101 คน เป็นสาเหตุการตายจากการทำงานเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุจาก ยานพาหนะ ในปี พ.ศ.2561 ในผู้ที่มีงานทำที่มีปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำงานทั้งหมดจำนวน 3,911,871 คน เป็นผู้ที่ต้องทำงานในที่สูง ทั้งหมด 196,837 คน แบ่งเป็นแรงงานในระบบ 169,815 คน และแรงงานนอกระบบ 82,027 คน และในปี พ.ศ.2561 พบผู้ประสบอันตราย เนื่องจากการทำงานที่มีสาเหตุจากการตกจากที่สูง จำนวน 5,854 คน ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 2,697 คน เสียชีวิตจำนวน 90 คน เป็นสาเหตุการตายจากการทำงานเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุจากยานพาหนะ ในปี พ.ศ.2562 พบผู้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานที่มีสาเหตุจากการตกจากที่สูง จำนวน 6,381 คน ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 2,834 คน เสียชีวิตจำนวน 117 คน เป็นสาเหตุ การตายจากการทำงานเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุจากยานพาหนะ ในปี พ.ศ.2563 พบผู้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานที่มีสาเหตุจากการตกจากที่สูง จำนวน 6,332 คน ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 2,891 คน เสียชีวิตจำนวน 97 คน เป็นสาเหตุ การตายจากการทำงานเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุจากยานพาหนะ จากข้อมูลปี พ.ศ.2560-2563 จะพบว่าผู้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานที่มีสาเหตุ จากการตกจากที่สูงมีแนวโน้มสูงขึ้น และจำนวนผู้ที่ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน ในการที่จะทำให้สุขภาวะที่ดีในการทำงานเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องลดอัตราการประสบอันตราย และเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนายจ้าง ที่ต้องมี มาตรการดูแลด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด ฝ่ายลูกจ้างที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด และฝ่ายแพทย์ที่สามารถช่วยเหลือคนทำงานบนที่สูงให้เกิดความปลอดภัยขึ้นได้โดย การตรวจประเมินสุขภาพของคนทำงาน เพื่อพิจารณาอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีความพร้อมของสุขภาพ ทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้น ที่จะขึ้นไปทำงานบนที่สูงได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการประสบอันตราย จากการทำงานบนที่สูง น.พ. ศุภกร ตุลยไตรรัตน แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 5 บทที่ 1


6 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 2. นิยามของการทำงานบนที่สูง จากกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน จากวัสดุกระเด็น ตกหล่น และ พังทลาย และจากการตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ พ.ศ. ๒๕๖๔ ระบุไว้ว่า “ทำงานในที่สูง” หมายความว่า การทำงานในพื้นที่ปฏิบัติงานที่สูงจากพื้นดิน หรือจากพื้นอาคารตั้งแต่สองเมตร ขึ้นไป ซึ่งลูกจ้างอาจพลัดตกลงมาได้ Occupational Safety and Health Administration (OSHA) กำหนดว่าในอุตสาหกรรมทั่วไป จะต้อง มีอุปกรณ์ป้องกันการตก เมื่อพนักงานต้องทำงานที่สูงตั้งแต่ 4 ฟุตขึ้นไป(ประมาณ 1.2 เมตร) ส่วนในอุตสาหกรรม ก่อสร้างกำหนดความสูงที่ 6 ฟุตขึ้นไป (ประมาณ 1.8 เมตร) International Labour Organization (ILO) กำหนดว่า การทำงานในที่สูง คือ การทำงานที่ตำแหน่งใดก็ได้ ถ้าพลัดตกแล้วมีระยะความสูงมากพอที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บแก่คนทำงานได้ กฎหมายของสหราชอาณาจักร กำหนดว่าการทำงานในที่สูง คือ การทำงานที่ตำแหน่งใดก็ได้ ถ้าพลัดตกแล้ว มีระยะความสูงพอที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บแก่คนทำงานได้ โดยไม่รวมการพลัดตกบันไดที่มีการสร้างไว้ถาวร กฎหมายประเทศสิงคโปร์ WORKPLACE SAFETY AND HEALTH (WORK AT HEIGHTS) REGULATIONS 2013 กำหนดไว้ว่า การทำงานในที่สูง คือ การทำงานที่ตำแหน่งใดก็ได้ ไม่ว่าจะสูงกว่าหรือต่ำกว่า ระดับพื้นดิน มากกว่า 3 เมตรขึ้นไป Canadian Centre for Occupational Health and Safety กำหนดว่า พนักงานที่ต้องทำงานในที่สูง ตั้งแต่ 3 เมตรขึ้นไป ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันการตก และมีกำหนดเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าสูงน้อยกว่า 3 เมตร แต่ถ้าพื้นผิว ที่ตกลงไปมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่าการตกจากที่สูงธรรมดา เช่น ตกไปในน้ำที่มีโอกาสจมน้ำ หรือตกไปในบ่อถัง สารเคมีอันตราย จะต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันการตก 3. สถิติของการเกิดอันตรายจากการทำงานในที่สูง ลักษณะการทำงานในที่สูง มักจะพบในกิจการประเภทก่อสร้าง และจากสถิติปีพ.ศ. 2560 - 2563 ประเภท กิจการที่มีจำนวนการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) ประเภทกิจการ การการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย เป็นประเภทกิจการที่มีจำนวนการประสบอันตรายสูงสุด โดยเฉลี่ย 4 ปี มีลูกจ้าง ประสบอันตรายจำนวน 11,453 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.24 ต่อปี ของจำนวนการประสบอันตรายทั้งหมด (2) ประเภท กิจการการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นสำหรับยานยนต์ มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 9,170 ราย คิดเป็น ร้อยละ 2.60 ต่อปี (3) ประเภทกิจการการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย รีสอร์ท มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 9,147 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.59 ต่อปี (4) ประเภทกิจการการก่อสร้างถนน สะพาน และอุโมงค์ มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 8,564 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.43 ต่อปี และ (5) ประเภทกิจการ การบริการ ด้านอาหาร มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 8,404 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.38 ต่อปี จากข้อมูลดังกล่าว จะพบว่าถ้ารวมการก่อสร้างทุกประเภทแล้ว การก่อสร้างจะเป็นสาเหตุที่มีจำนวนการ ประสบอันตรายจากการทำงานสูงมากที่สุดของประเทศไทย โดยนิยามของงานก่อสร้างตามกฎกระทรวง กำหนด มาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๔ ระบุว่า ข้อ ๒ ในกฎกระทรวงนี้ “งานก่อสร้าง” หมายความว่า การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างทุกชนิด เช่น อาคาร สนามบิน ทางรถไฟ ทางรถราง ถนน อุโมงค์ ท่าเรือ อู่เรือ คานเรือ สะพานเทียบเรือ สะพาน ทางน้ำ ท่อระบายน้ำ ประปา รั้ว กำแพง ประตู ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย พื้นที่หรือ สิ่งก่อสร้างเพื่อจอดรถ กลับรถ ทางเข้าออก ของรถ และหมายความรวมถึงงานต่อเติม ซ่อมแซม ปรับปรุง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย รื้อถอน หรือทำลายสิ่งก่อสร้าง นั้นด้วย


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 7 สาเหตุที่ทำให้ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานสูงสุด 5 อันดับ ปี 2560 - 2563 ประเภทกิจการก่อสร้างอาคาร คือ (1) วัตถุหรือสิ่งของพังทลาย/หล่นทับ เป็นสาเหตุหลักของการประสบอันตราย มีลูกจ้างประสบอันตรายจำนวน 4,273 ราย โดยเฉลี่ย 4 ปี คิดเป็นร้อยละ 20.74 ต่อปี ของจำนวนการประสบ อันตรายในประเภทกิจการก่อสร้างทั้งหมด (2) วัตถุหรือสิ่งของตัด/บาด/ทิ่มแทง มีลูกจ้างประสบอันตรายจำนวน 4,186 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.32 ต่อปี (3) วัตถุหรือสิ่งของหรือ สารเคมีกระเด็นเข้าตา มีลูกจ้างประสบอันตราย จำนวน 3,132 ราย คิดเป็นร้อยละ 15.20 ต่อปี (4) ตกจากที่สูง มีลูกจ้างประสบอันตรายจำนวน 2,778 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.49 ต่อปีและ (5) วัตถุหรือสิ่งของกระแทก/ชน มีลูกจ้างประสบอันตรายจำนวน 2,627 ราย คิดเป็นร้อยละ 12.75 ต่อปี จากสถิติการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานจำแนกตามความรุนแรงและหมวดประเภท กิจการ ปี พ.ศ.2563 พบว่า อันดับ 1 คือ การผลิต มีผู้ประสบอันตรายทั้งหมด 44,827 คน เสียชีวิต 124 คน อันดับ 2 คือ การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ มีผู้ประสบอันตรายทั้งหมด 12,698 คน เสียชีวิต 93 คน และอันดับ 3 คือ การก่อสร้าง มีผู้ประสบอันตรายทั้งหมด 10,330 คน เสียชีวิต 119 คน ซึ่งถ้าเทียบ สัดส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ประสบอันตรายทั้งหมดจะพบว่า การก่อสร้างมีสัดส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ประสบอันตรายสูงที่สุด ในปี พ.ศ.2563 พบผู้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานที่มีสาเหตุจากการตกจากที่สูง จำนวน 6,332 คน ต้องหยุดงานเกิน 3 วัน จำนวน 2,891 คน เสียชีวิตจำนวน 97 คน เป็นสาเหตุการตายจากการทำงานเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุจากยานพาหนะ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงานบนที่สูงที่พบได้มากที่สุดคือ การพลัดตกจากที่สูง และอันตรายร้ายแรงที่สุด จากการทำงานบนที่สูงคือ ถึงแก่ชีวิต รองลงมาคือทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะบางส่วน หยุดงานเกิน 3 วัน และหยุดงาน ไม่เกิน 3 วัน สาเหตุของการตกจากที่สูงนอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ ความพร้อมของอุปกรณ์ความปลอดภัยแล้ว คือปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ การเกิดหน้ามืด เป็นลม จากการถูกพยุงตัวอยู่บนที่สูงเป็นเวลานาน และความล้า เพื่อที่จะ ลดการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานบนที่สูงจึงต้องมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ไม่เป็นอุปสรรค ต่อการทำงานบนที่สูง และมีทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานบนที่สูงเป็นอย่างดี เช่น การเลือกใช้อุปกรณ์คุ้มครอง ส่วนบุคคล (PPE) อุปกรณ์ป้องกันการตก เทคนิควิธีการใช้ที่ถูกต้อง ขั้นตอนทำงานบนที่สูง รวมไปถึงการจัดทำ แผนฉุกเฉินในการทำงานบนที่สูง การกู้ภัยบนที่สูง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความปลอดภัยตลอดการ ปฏิบัติงานบนที่สูง 4. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวข้องกับการตรวจประเมินสุขภาพคนทำงานบนที่สูงโดยตรง เหมือนการตรวจประเมินสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ คือกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งกำหนดให้ต้องมีผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้างที่ทำงานในที่อับอากาศโดยมีใบรับรองแพทย์ โดยห้ามนายจ้าง อนุญาตให้ลูกจ้างหรือบุคคลใดเข้าไปในที่อับอากาศ หากนายจ้างรู้หรือควรรู้ว่าลูกจ้างหรือ บุคคลนั้นเป็นโรคเกี่ยวกับ ทางเดินหายใจ โรคหัวใจ หรือโรคอื่นซึ่งแพทย์เห็นว่าการเข้าไปในที่อับอากาศอาจเป็นอันตรายต่อบุคคลดังกล่าว แต่การทำงานบนที่สูงนั้นสามารถเข้าได้กับกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการตรวจสุขภาพลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับ ปัจจัยเสี่ยง พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่กำหนดว่า “งานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง” หมายความว่า งานที่ลูกจ้างทำเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมอื่น ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกจ้าง ซึ่งการทำงานบนที่สูงจะเข้าได้กับสภาพแวดล้อมอื่น ที่อาจเป็นอันตราย และจะต้องมีการตรวจสุขภาพของผู้ที่ทำงานบนที่สูงโดยแพทย์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติสาขาเวชศาสตร์ ป้องกัน แขนงอาชีวเวชศาสตร์ หรือผ่านการอบรมด้านอาชีวเวชศาสตร์ ตามหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขรับรอง โดยตรวจสุขภาพลูกจ้างครั้งแรกให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน และตรวจสุขภาพลูกจ้าง ครั้งต่อไปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือตามระยะเวลาอื่นตามผลการตรวจสุขภาพ


8 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงาน ในที่สูง นายจ้างต้องจัดให้มีนั่งร้าน หรือดำเนินการด้วยวิธีการอื่นใดที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน เพื่อให้เกิด ความปลอดภัยแก่ลูกจ้าง โดยต้องมีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย “นั่งร้าน” หมายความว่า โครงสร้างชั่วคราวที่สูงจากพื้นดินหรือจากพื้นอาคาร หรือส่วนของ สิ่งก่อสร้าง สำหรับเป็นที่รองรับลูกจ้าง วัสดุ หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่สูงตั้งแต่สี่เมตรขึ้นไป นายจ้างต้องจัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตก ตาข่าย นิรภัย หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นใดที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการใช้เข็มขัดนิรภัยและ เชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ตลอดระยะเวลา การทำงาน ในกรณีที่มีปล่องหรือช่องเปิดต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ลูกจ้างพลัดตก นายจ้าง ต้องจัดทำฝาปิดที่แข็งแรง ราวกั้น รั้วกันตก หรือแผงทึบ พร้อมทั้งติดป้ายเตือนอันตราย ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ในกรณีที่นายจ้างต้องจัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตก ราวกั้นหรือรั้วกันตกต้องมีความสูงไม่น้อยกว่าเก้าสิบเซนติเมตร แต่ไม่เกินหนึ่งเมตรสิบเซนติเมตร ซึ่งมีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากการตกจากที่สูงและที่ลาดชัน ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงาน ในที่สูง นายจ้างต้องจัดให้มีนั่งร้าน หรือดำเนินการด้วยวิธีการอื่นใดที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน เพื่อให้เกิด ความปลอดภัยแก่ลูกจ้าง โดยต้องมีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย “นั่งร้าน” หมายความว่า โครงสร้างชั่วคราวที่สูงจากพื้นดินหรือจากพื้นอาคาร หรือส่วนของ สิ่งก่อสร้าง สำหรับเป็นที่รองรับลูกจ้าง วัสดุ หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่สูงตั้งแต่สี่เมตรขึ้นไป นายจ้างต้องจัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตก ตาข่าย นิรภัย หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นใดที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการใช้เข็มขัดนิรภัยและ เชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ตลอดระยะเวลา การทำงาน ในกรณีที่มีปล่องหรือช่องเปิดต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ลูกจ้างพลัดตก นายจ้าง ต้องจัดทำฝาปิดที่แข็งแรง ราวกั้น รั้วกันตก หรือแผงทึบ พร้อมทั้งติดป้ายเตือนอันตราย ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ในกรณีที่นายจ้างต้องจัดทำราวกั้นหรือรั้วกันตก ราวกั้นหรือรั้วกันตกต้องมีความสูงไม่น้อยกว่าเก้าสิบเซนติเมตร แต่ไม่เกินหนึ่งเมตรสิบเซนติเมตร ซึ่งมีความมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ นายจ้างต้องมิให้ลูกจ้างทำงานในที่สูงนอกอาคารหรือพื้นที่เปิดโล่ง ในขณะที่มีพายุ ลมแรง ฝนตกหรือฟ้าคะนอง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องให้ลูกจ้างทำงานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย หรือบรรเทาเหตุอันตรายที่เกิดขึ้น โดยต้องจัด ให้มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยของลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างต้องใช้บันไดไต่ชนิดเคลื่อนย้ายได้เพื่อทำงานในที่สูง นายจ้างต้องดูแลการตั้งบันไดให้ระยะ ระหว่างฐานบันไดถึงผนังที่วางพาดบันไดกับความยาวของช่วงบันได นับจากฐานถึงจุดพาดมีอัตราส่วนหนึ่งต่อสี่ หรือมีมุมบันไดที่ตรงข้ามผนังเจ็ดสิบห้าองศา บันไดไต่จะต้องมีโครงสร้างที่มั่นคง แข็งแรง และปลอดภัยต่อการใช้งาน มีความกว้างของบันไดไม่น้อยกว่าสามสิบเซนติเมตร ทั้งนี้ บันไดไต่ต้องมีขาบันไดหรือสิ่งยึดโยง ที่สามารถป้องกันการ ลื่นไถลของบันไดได้ ในกรณีที่ลูกจ้างต้องใช้บันไดไต่ชนิดติดตรึงกับที่ที่มีความสูงเกินหกเมตรขึ้นไป เพื่อทำงานที่สูง นายจ้างต้อง ดูแลบันไดไต่ชนิดติดตรึงกับที่ให้มีโครงสร้างที่มั่นคง แข็งแรง และปลอดภัยต่อการใช้งานและต้องจัดทำโกร่งบันได เพื่อป้องกันการพลัดตกของลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างต้องใช้ขาหยั่งหรือม้ายืนเพื่อทำงานในที่สูง นายจ้างต้องดูแล ให้ขาหยั่งหรือม้ายืนนั้นมี โครงสร้างที่มั่นคง แข็งแรง และปลอดภัยต่อการใช้งาน และมีพื้นที่สำหรับยืนทำงานอย่างเพียงพอ ในกรณีที่มีการทำงานบนที่ลาดชันที่ทำมุมเกินสิบห้าองศาแต่ไม่เกินสามสิบองศาจากแนวราบ และมีความสูง ของพื้นระดับที่เอียงนั้นตั้งแต่สองเมตรขึ้นไป นายจ้างต้องจัดให้มีนั่งร้าน ที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงาน หรือเข็มขัดนิรภัยและเชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ หรือมาตรการป้องกันการพลัดตกอื่นใดที่เหมาะสม กับสภาพของการทำงาน


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 9 ในปัจจุบันการประเมินความสามารถในการทำงานถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น ตรวจก่อนเริ่มเข้าทำงาน สำหรับงานทั่วไป ตรวจก่อนเริ่มทำงานในงานที่ต้องใช้แรงมากแต่ไม่ต้องทำบ่อย เช่น พนักงานดับเพลิง ตรวจประเมิน ก่อนให้ผู้ป่วยกลับเข้าทำงานเดิม ตรวจประเมินเพื่อทำนายโอกาสการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจากการทำงาน เป็นต้น[22] ในกรณีที่มีการทำงานบนที่ลาดชันที่ทำมุมเกินกว่าสามสิบองศาจากแนวราบ และมีความสูง ของพื้นระดับที่ เอียงนั้นตั้งแต่สองเมตรขึ้นไป นายจ้างต้องจัดให้มีนั่งร้านที่เหมาะสมกับสภาพของ การทำงานหรือมาตรการป้องกัน การพลัดตกอื่นใดที่เหมาะสมกับสภาพของการทำงานและเข็มขัดนิรภัยและเชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ 5. ใบอนุญาตการทำงานบนที่สูง ตามมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง (มปอ.101: 2561) ระบุว่าการทำงานบนที่สูงนั้น มีข้อกำหนดให้นายจ้างต้องจัดทำใบอนุญาตการทำงานบนที่สูง (Work Permit for Working at Height) นายจ้าง ต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงในงานบนที่สูงก่อนเริ่มดำเนินการ โดยประยุกต์ใช้การประเมิน ความเสี่ยง ตามมาตรฐาน มปอ. 402: 2561 และต้องมีการขออนุญาตทำงานหรือกำหนดมาตรการควบคุม ความปลอดภัยที่เหมาะสม ในกรณีผลการประเมินความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางขึ้นไป นายจ้างต้องจัดทำแผนงาน ควบคุมความเสี่ยง และจัดให้มีผู้อนุญาต ผู้ควบคุมงาน ผู้ช่วยเหลือ และลูกจ้างที่ผ่านการอบรมการปฏิบัติงานบนที่สูง นายจ้าง มีหน้าที่จัดสภาพการทำงานให้มีความปลอดภัย และจัดอุปกรณ์ความปลอดภัยในการทำงาน บนที่สูง และอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น สายช่วยชีวิต ตาข่ายนิรภัย และเข็มขัดนิรภัย ชนิดเต็มตัว เป็นต้น ผู้อนุญาต มีหน้าที่อนุญาตให้ทำงานบนที่สูง โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ในการตรวจสอบ ผลการประเมินความเสี่ยง การเตรียมความพร้อมในการทำงาน แผนป้องกันการตก แผนการช่วยเหลือ และอุปกรณ์ สำหรับการปฏิบัติงาน ผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ประเมินอันตรายจากการทำงานบนที่สูงจากการตกของบุคคลและการตกของวัสดุ บันทึก อันตรายเหล่านั้นในแบบประเมินความเสี่ยง จัดทำระบบป้องกันการตกและป้องกันอุปกรณ์ตกตามข้อกำหนด เตรียมแผน ป้องกันการตก แผนการช่วยเหลือ และเตรียมอุปกรณ์ สำหรับช่วยเหลือ ตรวจสอบอุปกรณ์และระบบป้องกันการตก ให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย หากชำรุดให้แก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก่อนอนุญาตให้ลูกจ้างใช้งานได้ รวมทั้งอธิบายขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดให้กับลูกจ้าง แสดงใบอนุญาต และเอกสารอื่น ๆ ไว้ ณ จุดที่ทำงาน ผู้ช่วยเหลือ มีหน้าที่จัดเตรียมแผนและปฏิบัติตามแผนการช่วยเหลือในกรณีตกจากที่สูง นายจ้างต้องจัดทำใบอนุญาตการทำงานบนที่สูง อย่างน้อยต้องประกอบด้วยหัวข้อดังนี้ - วัน เดือน ปี ช่วงเวลา และสถานที่ในการดำเนินงาน - ลักษณะการทำงาน - รายชื่อผู้ขออนุญาต ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ช่วยเหลือ ผู้ควบคุมงาน และผู้อนุญาต - มาตรการความปลอดภัย - อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน - มาตรการในการช่วยเหลือ กรณีมีผู้ตกจากที่สูง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยเหลือ - หน่วยงานที่ต้องติดต่อสื่อสารภายในและภายนอกกรณีฉุกเฉิน


10 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 6. Functional capacity evaluation สำหรับผู้ทำงานบนที่สูง ความสามารถในการทำงานนั้นเป็นตัวแทนความสามารถสูงสุดในการทำกิจกรรมที่พนักงานสามารถทำได้ใน สิ่งแวดล้อมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งการพิจารณาความสามารถในการทำงานนั้นจะต้องคำนึงถึงภารกิจเป็นหลัก ภารกิจเป็น กิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะทั้งทางกายภาพและจิตใจ เพื่อให้ได้ผลงาน ซึ่งในภารกิจหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยการทำกิจกรรม หรืองานหลายอย่าง เช่น ภารกิจการยกของขึ้นที่สูง อาจจะมีกิจกรรมหลายอย่างทั้งการยก การถือของ การเดินขึ้นบันได และการปีนป่าย การประเมินความสามารถในการทำงานเป็นการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถทางกายภาพของแต่ละบุคคล ในการทำภารกิจหรือกิจกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานตาม Dictionary of Occupational Titles ซึ่งจัดทำโดย กระทรวงแรงงานของประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดการเคลื่อนไหวไว้ 20 ชนิด ซึ่งเป็นพื้นฐานการเคลื่อนไหวที่ใช้ใน การทำงาน ได้แก่ - การยก (lifting) - การถือของ (carrying) - การปีนป่าย (climbing) - การพูด (talking) - การทรงตัว (balancing) - การฟัง (hearing) - การโน้มตัว (stooping) - การชิม/การดม (tasting/smelling) - การคุกเข่า (kneeling) - การมองใกล้/ไกล (near/far acuity) - การคลานเข่า (crouching) - การนั่ง (sitting) - การคลาน (crawling) - การเดิน (walking) - การเอื้อม (reaching) - การหิ้ว (handling) - การผลัก/การดึง (pushing/pulling) - การใช้นิ้ว (fingering) - การยืน (standing) - ความรู้สึก (feeling) ภาพที่ 1 แสดงแง‹มุมการประเมินความสามารถในการทำงาน การประเมินความสามารถในการทำงานบนที่สูง จะดูจากหน้างานที่พนักงานต้องทำเป็นหลัก ซึ่งงานในที่สูง ส่วนใหญ่มักเป็นงานก่อสร้างที่ต้องใช้แรงพอสมควร แม้ว่าการประเมินความสามารถในการทำงานบนที่สูงก่อนทำงาน จะไม่ได้ลดการเกิดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการประสบอันตรายจากการทำงานบนที่สูงได้ในกรณี ที่พนักงานไม่มีความสามารถเพียงพอในการทำงานบนที่สูง


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 11 7. ข้อห้ามทางสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานบนที่สูง โรคที่ไม่สามารถปฏิบัติงานในที่สูง ได้แก่ โรคลมชักหรืออาการชัก โรควูบหมดสติชั่วคราว ภาวะใจสั่นหวิว โรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือสูญเสียการทรงตัว ที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ นอกจากนี้ โรคที่จัดอยู่ในกลุ่มควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติงาน ในที่สูง ได้แก่ โรคของหูชั้นใน บ้านหมุน โรคกลัวความสูง แขนขาพิการ การใช้ยากดประสาท หรือ ภาวะดื่มสุราเรื้อรัง กลุ่มโรคเหล่านี้ควรส่งพบแพทย์อาชีวเวชศาสตร์เพื่อประเมินความพร้อมก่อนปฏิบัติงาน[24] 8. แนวทางการตรวจสุขภาพของคนทำงานบนที่สูง เนื่องจากที่สูงเป็นสถานที่ทำงานที่มีอันตรายสูง แพทย์ผู้ตรวจประเมินสุขภาพจึงควรพึงระลึกไว้เสมอว่า การให้พนักงานขึ้นไปทำงานบนที่สูงนั้นเป็นการให้พนักงานเข้าไปทำงานในสถานที่ที่มีความเสี่ยง เมื่อขึ้นไปทำงาน บนที่สูงแล้ว ไม่มีพนักงานคนใดที่ไม่เสี่ยง แม้ว่าพนักงานคนนั้นจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีสักเพียงใดก็ตาม หากเกิดความผิดปกติของสภาพแวดล้อมหรือเกิดภาวะผิดปกติของร่างกาย หรือเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม ก็มีโอกาสที่จะ พลัดตกลงมาเสียชีวิตหรือบาดเจ็บได้ การตรวจประเมินสุขภาพของพนักงานก่อนเข้าไปทำงานบนที่สูง จึงเป็นการดำเนินการที่มีความสำคัญ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากแพทย์อนุญาตให้พนักงานที่มีสุขภาพไม่พร้อม มีความเจ็บป่วยที่เป็นอันตรายอยู่เดิม ให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูงแล้ว อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และความเจ็บป่วยจากการ ทำงานบนที่สูงได้ ทั้งต่อตัวพนักงานเอง และต่อเพื่อนร่วมงาน แพทย์จึงควรทำการตรวจประเมินสุขภาพด้วย ความละเอียดถี่ถ้วน 8.1 คุณสมบัติของผู้ตรวจสุขภาพ ถ้าอ้างอิงตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการตรวจสุขภาพลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่กำหนดว่า “งานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง” หมายความว่า งานที่ลูกจ้างทำเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมอื่น ที่อาจเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของลูกจ้าง ซึ่งการทำงานบนที่สูงจะเข้าได้กับสภาพแวดล้อมอื่น ที่อาจเป็นอันตราย จะต้องมีการตรวจ สุขภาพของผู้ที่ทำงานบนที่สูงโดยแพทย์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงอาชีวเวชศาสตร์ หรือผ่านการอบรมด้านอาชีวเวชศาสตร์ ตามหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขรับรอง โดยตรวจสุขภาพลูกจ้างครั้งแรก ให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน และตรวจสุขภาพลูกจ้างครั้งต่อไปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือตามระยะเวลาอื่นตามผลการตรวจสุขภาพ 8.2 การซักประวัติการทำงาน แนะนำให้แพทย์ทำการสอบถามข้อมูลลักษณะการทำงาน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการพิจารณาประเมิน ความพร้อมของสุขภาพคนทำงานบนที่สูง โดยข้อมูลลักษณะการทำงานนี้อาจสอบถามได้จากตัวคนทำงานที่มาเข้ารับ การตรวจสุขภาพเอง หรือจากผู้ควบคุมงาน หรือจากหัวหน้างาน หรือจากเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยวิชาชีพของ สถานประกอบการ หรือจากนายจ้าง หรือจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เท่าที่สามารถทำการสอบถามข้อมูลได้ ในบางครั้ง แพทย์อาจพบกรณีที่ไม่สามารถสอบถามข้อมูลลักษณะงานจากแหล่งใดได้เลย หรือได้รับทราบข้อมูลเพียงบางส่วน หากพบกรณีเช่นนี้ ให้แพทย์พิจารณาโดยคาดการณ์ว่าคนทำงานจะต้องเข้าไปทำงานในลักษณะที่เป็นอันตรายมาก เอาไว้ก่อน ข้อมูลลักษณะการทำงานที่แพทย์ควรสอบถาม เช่น ลักษณะของสภาพหน้างานว่าพนักงานทำงานในที่สูงจาก พื้นดินหรือพื้นอาคารระยะเท่าใด มีกิจกรรมที่เสี่ยงอันตรายหรือไม่ เช่น การเชื่อมโลหะ การทำงานที่ก่อประกายไฟ การใช้สารเคมี มีการทำงานที่มีความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไปหรือไม่ มีการทำงานในเขตอันตราย (พื้นที่ที่กำลังก่อสร้าง พื้นที่ที่ติดตั้งนั่งร้าน ปั้นจั่น หรือเครื่องจักรหรือบริภัณฑ์ไฟฟ้าเพื่องานก่อสร้าง พื้นที่ที่เป็นทางลำเลียงวัสดุเพื่องาน ก่อสร้าง พื้นที่ที่ใช้เป็นสถานที่เก็บเชื้อเพลิงหรือวัตถุระเบิด พื้นที่ที่ลูกจ้างทำงานในที่สูง พื้นที่ที่อาจมีการกระเด็น ตกหล่นหรือพังทลายของวัสดุสิ่งของ รวมถึงพื้นที่ที่นายจ้างได้กำหนดเพิ่มเติม) หรือไม่


12 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work มีการทำงานในบริเวณหรือสถานที่ใด หรือลักษณะของการทำงานอาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากการ พลัดตกลงไปในภาชนะเก็บหรือรองรับวัสดุ เช่น ถัง บ่อ กรวย ภาชนะหรือสิ่งอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกันที่ลูกจ้างอาจ พลัดตกลงไปได้หรือไม่ มีการใช้เข็มขัดนิรภัยและเชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ตลอดระยะเวลาการทำงาน หรือไม่ มีราวกั้นหรือรั้วกันตก ตาข่ายนิรภัยหรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นใดหรือไม่ มีการใช้นั่งร้าน บันไดชนิดตรึงติดกับที่ บันไดไต่ชนิดเคลื่อนย้ายได้ ขาหยั่ง หรือม้ายืนด้วยหรือไม่ ในวันหนึ่งต้องทำงานบนที่สูงนานวันละกี่ชั่วโมง โครงการ ที่ทำต้องทำเป็นระยะเวลานานเท่าใด (กี่วัน กี่เดือน) วันหนึ่งต้องขึ้นไปบนที่สูงกี่รอบ มีช่วงพักระหว่างรอบหรือไม่ ถ้ามีพักนานเท่าใด งานทำในช่วงเวลาใดของวัน (เช้า บ่าย เย็น กลางคืน) มีคนทำงานที่ต้องขึ้นไปบนที่สูงพร้อมกัน เป็นจำนวนกี่คน ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของสถานประกอบการ ก็เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญ นายจ้างได้มีการ จัดทำใบอนุญาตการทำงานบนที่สูงหรือไม่ ในบางกรณีแพทย์อาจต้องสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย ของสถานประกอบการเพิ่มเติม ถ้าพิจารณาเห็นว่าคนทำงานนั้นอาจมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ เช่น ในกรณีผลการประเมิน ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางขึ้นไป คือการสอบถามว่านายจ้างมีการจัดทำแผนงานควบคุมความเสี่ยงอย่างไรบ้าง อาทิ จัดให้มีผู้อนุญาต ผู้ควบคุมงาน ผู้ช่วยเหลือ และลูกจ้างที่ผ่านการอบรมการปฏิบัติงานบนที่สูงเป็นต้น มีระบบ สัญญาณเตือนอันตรายหรือไม่ (สัญญาณเสียง ไฟกระพริบ หรือทั้ง 2 อย่าง) มีการฝึกอบรมความปลอดภัยในการ ทำงานก่อนเข้าไปทำงานหรือไม่ มีอุปกรณ์ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง อันประกอบไปด้วย จุดยึดเกี่ยว (Anchorage Point), สายรัดตัวนิรภัยชนิดเต็มตัว (Full Body Harness), เชือกนิรภัยหรือสายช่วยชีวิต (Lanyard หรือ Lifeline) พร้อมหรือไม่ มีอุปกรณ์ช่วยเหลือหรือไม่ (ตะขอเกี่ยว สายสลิง รอกดึงตัว) มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตหรือไม่ (ถังออกซิเจน เปลผู้ป่วย สารน้ำ) มีพยาบาลหรือผู้ที่สามารถปฐมพยาบาลได้ประจำอยู่ด้วยหรือไม่ เป็นต้น 8.3 การซักประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว นอกจากข้อมูลลักษณะการทำงานแล้ว การสอบถามข้อมูลสุขภาพในอดีตของคนทำงานก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ต่อแพทย์ในการใช้ประเมินความเสี่ยงของคนทำงานผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพแต่ละรายเช่นกัน ดังเช่น แนวทางการ ตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศของสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และแนวทาง การตรวจสุขภาพบนที่สูงของมูลนิธิสัมมาอาชีวะ การสอบถามข้อมูลสุขภาพนั้น ควรทำการบันทึกอย่างเป็นลายลักษณ์ อักษรไว้เป็นส่วนหนึ่งในใบรับรองแพทย์ด้วย เพื่อที่จะสามารถนำมาทบทวนในภายหลังได้ ผู้เขียนแนะนำให้แพทย์ถาม คำถามคัดกรองสุขภาพแก่ผู้มาเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อทำงานบนที่สูง อย่างน้อย 27 ข้อ ในเรื่องต่อไปนี้ (1) คำถามเกี่ยวกับการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Myocardial infarction) รวมถึงอาการเจ็บ หน้าอกแบบอันตราย (Unstable angina) เป็นกลุ่มโรคที่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต หากกล้ามเนื้อหัวใจ เคยมีภาวะขาดเลือดหรือตายไปบางส่วนแล้ว ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะมีอาการเป็นซ้ำได้เช่น มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก วูบ เมื่อขึ้นไปทำงานบนที่สูงเป็นงานที่มีความเสี่ยงอันตรายสูงและมีการใช้กิจกรรมทางกายมาก อาจเป็นเหตุให้เกิด อุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงได้ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติชัดเจนว่าเคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรค กล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือเคยมีอาการเจ็บหน้าอกแบบอันตรายมาแล้วในอดีต จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยง มาก ไม่ควรให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ผู้มารับการตรวจไม่ทราบการวินิจฉัยในอดีตของ ตนเองชัดเจน ตรวจร่างกายพบว่าปกติ แต่มีประวัติอาการเจ็บหน้าอกที่ชวนให้สงสัย แพทย์ควรส่งไปตรวจประเมินกับ อายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การตรวจวิ่งสายพาน (Exercise stress test; EST) หรือการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiography)


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 13 (2) คำถามเกี่ยวกับโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่ว กลุ่มโรคลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease) ทั้งชนิดลิ้นหัวใจตีบ (Stenosis) และชนิดลิ้นหัวใจรั่ว (Insufficiency) รวมถึงโรคผนังหัวใจรั่ว (Heart septal defect) เป็นกลุ่มโรคหัวใจที่ควรให้ความสำคัญ การตรวจ ร่างกายผู้ป่วยในกลุ่มนี้อาจได้ยินเสียงฟู่ (Murmur) ที่ตำแหน่งต่าง ๆ ของหัวใจ หรืออาจไม่ได้ยินก็ได้ ผู้ป่วยแต่ละราย มีอาการรุนแรงได้แตกต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งที่ตีบหรือรั่ว ความรุนแรงของการตีบ หรือรั่ว ขนาดของ รูที่รั่ว ทิศทางการไหลของเลือด ทำการผ่าตัดรักษาแล้วหรือไม่และทำการผ่าตัดรักษาเมื่อใด หากเกิดสภาวะที่มีการ เปลี่ยนทิศทางการไหลของเลือด (Shunt) ไม่ว่าจากห้องขวาไปซ้าย (Right-to-left shunt) หรือห้องซ้ายไปขวา (Left-to-right shunt) อย่างมากแล้ว กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมากเนื่องจากอวัยวะร่างกายจะได้รับออกซิเจนจากเลือดไป เลี้ยงน้อยลงกว่าปกติ หากตรวจพบมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาการของหัวใจล้มเหลว หอบเหนื่อย ตัวเขียว ภาพรังสีทรวงอกพบหัวใจโตชัดเจน ยิ่งเป็นการสนับสนุนว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ โดยผู้ป่วยไม่เคยได้รับการวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบ หรือรั่ว มาก่อน แนะนำให้ส่งตัวไปตรวจวินิจฉัยกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการหาสาเหตุและประเมินความ รุนแรงของโรค ด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การทำอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) สาเหตุอีกอย่างหนึ่งของ เสียงฟู่ที่หัวใจอาจเกิดจากโลหิตจางมาก (Hemic murmur) แพทย์ควรพิจารณาระดับฮีโมโกลบินและความเข้มข้น เลือดประกอบด้วย กล่าวโดยสรุปคือเมื่อใดก็ตามที่ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ที่หัวใจ แพทย์ควรส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจหา สาเหตุก่อนเสมอ และยังไม่ควรให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ตรวจร่างกายไม่พบเสียงฟู่และระบบร่างกายส่วนอื่นปกติแต่ผู้มาเข้ารับการตรวจสุขภาพให้ ประวัติ ว่าเคยเป็นโรคนี้แนะนำให้ส่งตัวไปตรวจวินิจฉัยกับอายุรแพทย์โรคหัวใจให้แน่ชัดเสียก่อนเช่นกัน ในกรณีที่เป็นโรคลิ้นหัวใจหรือผนังหัวใจรั่ว แต่เข้ารับการผ่าตัดรักษาขยายส่วนที่ตีบหรือเย็บซ่อมปิดรูรั่วแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ทำการผ่าตัดรักษามาตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่อาการยังไม่เป็นมาก การตรวจร่างกายนอกจากรอย แผลผ่าตัด ที่หน้าอกแล้ว ไม่พบอาการผิดปกติอื่น ไม่มีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และไม่มีข้อมูลอื่นที่บ่งชี้ถึงลักษณะ ที่เป็นความเสี่ยง กลุ่มนี้ประเมินได้ว่ามีความเสี่ยงเท่ากับคนทั่วไป สามารถให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูงได้ส่วนกรณีที่เป็น โรคลิ้นหัวใจแล้วผ่าตัดแก้ไขด้วยการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant drug) เป็นประจำ ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย จึงจัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ ขึ้นไปทำงานบนที่สูง (3) คำถามเกี่ยวกับโรคหัวใจโต ในกรณีที่พบลักษณะหัวใจโตที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากภาพรังสีทรวงอกและ คลื่นฟ้าหัวใจ จัดว่ากลุ่มนี้มีอาการรุนแรงและเสี่ยงมาก ยิ่งหากตรวจร่างกายพบอาการร่วมด้วย เช่น หอบเหนื่อย ปอดบวมน้ำ ตัวเขียว ตัวบวม จะยิ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนว่าโรคมีความรุนแรงและเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติว่าเคยเป็นโรคหัวใจโต แต่ทำการตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติ พิจารณาจากภาพรังสีทรวงอกและคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วไม่สามารถสรุปการวินิจฉัยได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจ สุขภาพไปตรวจวินิจฉัยยืนยันกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการตรวจประเมินด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การทำอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เพื่อจะได้ทราบข้อมูล เพิ่มเติม เช่น ขนาดของหัวใจ ความหนา ของผนังหัวใจ ความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ (4) คำถามเกี่ยวกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจมีอาการเพียงบางชั่วขณะ ทำให้ขณะที่ตรวจคัดกรองคลื่นไฟฟ้า หัวใจไม่พบความผิดปกติแต่โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางโรคมีความรุนแรงสูง ก่อความเสี่ยงทำให้หมดสติ เฉียบพลัน ซึ่งจัดว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อคนทำงานบนที่สูง ในขณะที่บางโรคมีความรุนแรงไม่สูง ไม่ก่อความเสี่ยงต่อการ หมดสติเฉียบพลัน จึงสามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อการตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ) ในกรณี ที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติว่าเคยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิด จังหวะชนิดที่มีความ เสี่ยงต่อการทำให้หมดสติเฉียบพลัน เช่น Sick sinus syndrome, Wolff–Parkinson–White syndrome, Atrial fibrillation แม้ว่าผลการตรวจคัดกรองคลื่นไฟฟ้าหัวใจในวันที่เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้น จะเป็นปกติในกลุ่มนี้ ก็จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง


14 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยมีประวัติได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจากแพทย์ แต่ไม่ทราบชื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด อาจมียาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ หรือยาที่รับประทานเฉพาะ ขณะที่มีอาการ แต่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไม่ทราบชื่อยา แพทย์ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ถ้ามีประวัติเคยหมดสติเฉียบพลันจาก ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดดังกล่าวนั้น จัดว่ามีความเสี่ยงมากไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ถ้าไม่เคยมีประวัติหมดสติ เฉียบพลัน แต่มีอาการใจสั่น เจ็บหน้าอกผิดปกติแพทย์ควรแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนำข้อมูลการรักษามาให้ แพทย์พิจารณาเพิ่มเติม เช่น ประวัติการรักษา ใบรับรองแพทย์ที่มีรายละเอียดชื่อการวินิจฉัยโรค ใบสั่งยา หรือเม็ดยา ที่รับประทาน หากไม่ได้ข้อมูลเหล่านี้หรือแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่าสรุปการวินิจฉัยและประเมินอาการไม่ได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจยืนยันกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อความปลอดภัย (5) คำถามเกี่ยวกับโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานบนที่สูง ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อความปลอดภัยต่อไป (6) คำถามเกี่ยวกับโรคหอบหืด (Asthma) โรคหอบหืดหรือโรคหืด เป็นโรคที่เกิดการอักเสบและตีบแคบของหลอดลม เมื่อเกิดอาการจะทำให้ผู้ป่วย หอบเหนื่อย หายใจเร็ว และหายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) โรคหอบหืดเป็นโรคที่มีความรุนแรงหลายระดับ ตั้งแต่ มีอาการเป็นบางครั้ง (Intermittent) ไปจนถึงมีอาการหอบเหนื่อยเป็นประจำ (Persistent) การทำงานบนที่สูงจะมี ความเสี่ยงมากกรณีผู้ที่เป็นหอบหืดชนิดรุนแรงที่ควบคุมอาการไม่ได้ ควรให้พบอายุรแพทย์เพื่อรับการรักษาให้ควบคุม อาการได้ ไม่มีภาวะหอบกำเริบจึงจะปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยได้รับข้อมูล จากแพทย์ในอดีตว่าอาจเป็นโรคหอบหืด แต่ไม่ทราบการวินิจฉัยชัดเจน ไม่มีการใช้ยาขยายหลอดลม แพทย์ควรหา ข้อมูลเพิ่มเติม ทำการตรวจร่างกายฟังเสียงการหายใจว่ามีเสียงหวีดหรือไม่ และพิจารณาผลการตรวจสมรรถภาพปอด ด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์และผลตรวจภาพรังสีทรวงอก หากพบมีความผิดปกติเข้าได้กับโรคหอบหืด ควรแนะนำผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพให้ไปทำการรักษากับอายุรแพทย์ (7) คำถามเกี่ยวกับโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease; COPD) และถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่มีสาเหตุ ส่วนใหญ่มาจากการสูบบุหรี่และส่วนน้อยมาจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศ มลพิษจากการทำงาน อาการของ โรคจะทำให้หอบเหนื่อย ไอ และมีเสมหะเพิ่มขึ้น เมื่อเป็นโรคแล้วอาการมักเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลของความเสี่ยง จากการทำงานบนที่สูงของผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง และถุงลมโป่งพองนั้นคล้ายกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดคือ อาจต้องพบกับสภาวะที่เป็นอันตรายจนทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้นระหว่างทำงานอยู่บนที่สูงได้ แนวทางในการพิจารณา ความเสี่ยงก็มีหลักการพิจารณาคล้ายคลึงกับ ผู้ป่วยโรคหอบหืดเช่นกัน คือถ้ามีอาการรุนแรง ควบคุมอาการไม่ได้ ถือว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง (8) คำถามเกี่ยวกับโรคปอดชนิดอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคปอดชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานบนที่สูง ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์เพื่อความ ปลอดภัยต่อไป (9) คำถามเกี่ยวกับโรคลมชักและอาการชัก ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพป่วยเป็นโรคลมชัก (Epilepsy) มีความเสี่ยงที่จะหมดสติเนื่องจาก ชักขณะที่กำลังทำงานอยู่บนที่สูงได้แม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถควบคุมอาการชัก ได้แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อไปทำงานบนที่สูง อาจมีอาการชักขึ้นมาแล้วทำให้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงได้ซึ่งเป็นภาวะ ที่เสี่ยงอย่างมาก อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยให้ประวัติเป็นโรคลมชักแต่แพทย์ยังไม่สามารถสรุปการวินิจฉัยได้ชัดเจน ควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยยืนยัน


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 15 ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไม่ได้ป่วยหรือไม่เคยทราบว่าป่วยเป็นโรคลมชัก แต่เคยมีอาการชัก (Seizure) เกิดขึ้น แพทย์ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมว่าอาการชักนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นบ่อยเพียงใด และคาดว่าอะไรน่าจะเป็น สาเหตุ เช่น ภาวะเนื้องอกในสมอง การติดเชื้อในสมอง การขาดแอลกอฮอล์ในผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ ครรภ์เป็นพิษ หรือสาเหตุอื่น ถ้าไม่สามารถยืนยันสาเหตุได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุกับอายุรแพทย์ พร้อมทั้งทำการรักษาตามสาเหตุที่เป็นต่อไป ผู้ที่เคยมีอาการชักเกิดขึ้น โดยทั่วไปจัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควร ทำงานบนที่สูง (10) คำถามเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติเช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) และอาการสั่นแบบพาร์กินสัน (Parkinsonism) จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การใช้ยาทางจิตเวช ภาวะหลังการติดเชื้อในสมอง เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้ ร่างกายเกิดอาการ สั่น แข็งเกร็ง เคลื่อนไหวช้า เดินเซ เป็นอุปสรรคต่อการทำงานบนที่สูง เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัย ทักษะการทรงตัว หากมีอาการอาจก่อให้เกิดอันตราย ผู้เข้ารับการตรวจที่เป็น โรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติ เหล่านี้จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง โรคกลุ่มกล้ามเนื้ออ่อนแรงและอัมพาต เช่น โรคกลุ่มกล้ามเนื้อ ฝ่อลีบจากพันธุกรรม (Muscular dystrophy) โรคมัยแอสทีเนียกราวิส (Myasthenia gravis; MG) โรคทาง พันธุกรรมกลุ่มมีอาการอัมพาตเป็นระยะ (Periodic paralysis) เช่น โรคอัมพาตเป็นระยะจากเหตุโพแทสเซียมต่ำ (Hypokalemic periodic paralysis) โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตอาจเกิดอาการ เป็นระยะหรือเกิดตลอดเวลาและบางโรค อาการจะถูกกระตุ้นด้วยการออกกำลังอย่างหนัก อาจเป็นอุปสรรคต่อการ ทำงานเคลื่อนไหวร่างกายและทรงตัวบนที่สูง และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายจากที่สูงหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น โดยทั่วไปจัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ยกเว้นในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจเคยมีอาการกล้ามเนื้อ อ่อนแรงและอัมพาตจากกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร่ (Guillance-Barré syndrome; GBS) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่สามารถ หายขาดได้หากหายโดยยังมีอาการตกค้าง จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง แต่หากหายโดยไม่มี อาการตกค้าง อาจพิจารณาอนุญาตให้ไปทำงานบนที่สูงได้เป็นราย ๆ ไป ถ้าแพทย์พิจารณาแล้วว่าลักษณะงานบนที่สูง นั้นไม่มีปัจจัยเสี่ยงเกินกว่าปกติและผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ หากไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน ควรส่งพบอายุรแพทย์ เพื่อทำการประเมินอาการของโรคโดยละเอียดอีกครั้ง (11) คำถามเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular accident or stroke) ไม่ว่าหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) หรือหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) รวมถึง ภาวะหลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะ (Transient ischemic attack; TIA) มักทำให้เกิดความผิดปกติเนื่องจากมี เซลล์สมองตายหรือทำงานผิดปกติไปบางส่วน โรคหลอดเลือดสมองอาจก่อผลแทรกซ้อนเป็นอาการอัมพาต (Paralysis) ที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามมา ส่วนภาวะหลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะผู้ป่วยจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 24 ชั่วโมง หลังเกิดอาการ ผู้ที่ป่วยเป็นโรค หรือภาวะเหล่านี้แล้ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือภาวะเหล่านี้ขึ้นได้อีกหากมีปัจจัย เสี่ยงกระตุ้น การทำงานบนที่สูงเป็นการทำงานที่เสี่ยงอันตรายสูง ต้องอาศัยทักษะในการทรงตัวและอาจมีการใช้ กำลังกายอย่างมาก ในการทำงานทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ในทางกลับกันอาการอัมพาตอาจทำให้เกิดข้อจํากัด ในการเคลื่อนไหว บนที่สูง กล่าวโดยสรุปแล้ว หากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองไม่ว่าชนิดใด ก็ตาม หรือเคยมีภาวะหลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะ หรือเคยมีอาการอัมพาตเกิดขึ้น จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควร ให้ทำงานบนที่สูง (12) คำถามเกี่ยวกับอาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติในทันทีทันใด อาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติในทันที ทันใด มักเป็นอาการที่มีสาเหตุมาจากหัวใจหรือสมอง หรือมีสาเหตุซ่อนเร้นอื่น ๆ เช่น มีการเสียเลือดเป็นเวลานาน จากแผลในกระเพาะ หรือเสียเลือดจากการมีประจำเดือนมากผิดปกติ มีความดันโลหิตต่ำลงเมื่อเปลี่ยนท่าทาง (Postural Hypotension) จะทำให้มีอาการวูบได้ ดังนั้นหากผู้เข้ารับการตรวจมีอาการดังกล่าวนี้ ควรหาสาเหตุของ โรคเพื่อรับการรักษา เนื่องจากอาการเหล่านี้ มีโอกาสเกิดซ้ำได้หากสาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัด โดยทั่วไปจัดว่ามี ความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง


16 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work (13) คำถามเกี่ยวกับโรคระบบประสาทชนิดอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคระบบ ประสาทชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง การติดเชื้อในสมอง และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการ ทำงานบนที่สูง ควรส่งตัวผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์เพื่อความปลอดภัยต่อไป (14) คำถามเกี่ยวกับโรคเกี่ยวกับหูชั้นในหรือโรคที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน วิงเวียน มึนงง อาการเวียนหัว บ้านหมุน หรือวิงเวียนศีรษะ (Vertigo) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการที่รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเอียง หมุน รู้สึก โคลงเคลงเหมือนอยู่ในเรือ มีอาการวิงเวียน และเห็นพื้นหรือเพดานบ้านหมุน โดยเฉพาะเวลามีการเคลื่อนไหวศีรษะ หรือเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า (Benign Paroxysmal Positioning Vertigo: BPPV) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ในผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเวียนศีรษะจากการเปลี่ยนท่า และพบประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่มาด้วยอาการ เวียนศีรษะ สาเหตุของโรค BPPV ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจพบตามหลังการกระทบกระแทกที่ศีรษะ, โรค viral neurolabyrinthitis, โรค vertebrobasilar insufficiency, โรค Meniere’s disease และโรคของ หูชั้นกลางและหูชั้นใน[27] ผู้ที่มีอาการอาจมีผลต่อการทำงานบนที่สูง ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจรักษา กับแพทย์เฉพาะทางโรคหู (15) คำถามเกี่ยวกับความผิดปกติของการได้ยิน การทำงานบนที่สูงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการได้ยินในระดับที่สื่อสารกันได้จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย การได้ยินที่ผิดปกติในระดับที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้จะเป็น อันตรายในการทำงานบนที่สูง เป็นอุปสรรค ต่อการเคลื่อนย้ายจากที่สูงหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น (16) คำถามเกี่ยวกับโรคปวดข้อหรือข้ออักเสบเรื้อรัง อาการปวดข้อ (Joint pain) และข้ออักเสบเรื้อรัง (Chronic arthritis) อาจพบได้ในหลายโรค เช่น โรคเก๊าต์ (Gouty arthritis) โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis; OA) อาการปวดข้อนี้ หากเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการอักเสบกำเริบ อาจทำให้จํากัดความคล่องตัวของคนทำงานบนที่สูงได้อย่างมาก หากอาการปวดเกิดขึ้นในบริเวณข้อที่รับน้ำหนัก เช่น ข้อกระดูกสันหลัง ข้อ สะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า อาจทำให้จํากัด ความสามารถในการทำงานได้ แพทย์ควรพิจารณาแนะนำผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพตามความเหมาะสมของอาการ และลักษณะการทำงาน หากอาการปวดข้อมีไม่มากนัก และข้อที่เป็นไม่ใช่ข้อที่รับน้ำหนัก สามารถให้ผู้เข้ารับการ ตรวจทำงานบนที่สูงได้และแพทย์อาจนัดมาตรวจติดตามถ้าเห็นว่าจำเป็น แต่หากข้อที่มีอาการเป็นข้อที่รับน้ำหนัก อาการปวดหรืออักเสบรุนแรง หรือเป็นหลายข้อ น่าจะจํากัดความสามารถในการทำงานบนที่สูง รวมถึงความสามารถ เคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยลงมาจากที่สูงในเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น แพทย์ควรทำการปรึกษาหารือกับผู้ป่วยและประเมินจาก ข้อมูลที่มี ถ้าเห็นว่าเสี่ยงมากก็ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง (17) คำถามเกี่ยวกับโรคหรือความผิดปกติของกระดูกและข้อ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ มีโรคหรือ ความผิดปกติของกระดูกและข้อชนิดอื่น เช่น นิ้วขาด ข้อ ยึดติดผิดรูป กระดูกพรุน หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับ เส้นประสาท และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรค อาจมีผลต่อการทำงานบนที่สูง ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับแพทย์โรคกระดูกและข้อ เพื่อความปลอดภัยต่อไป (18) คำถามเกี่ยวกับความผิดปกติของการมองเห็น การทำงานบนที่สูงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสายตาที่ดี จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การถามคำถามเกี่ยวกับความผิดปกติของการมองเห็น เช่น การ มองไม่ชัด การมองเห็นภาพซ้อน การมีจุดดำลอย บังการมองเห็น การมีลานสายตาที่ผิดปกติ การมีประวัติต้อหิน ล้วนแต่เป็นความผิดปกติที่ต้องตรวจหาสาเหตุและ รักษากับจักษุแพทย์ เนื่องจากการมองภาพไม่ชัดเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในการทำงาน ถ้ามีความผิดปกติ ของการมองเห็นมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 17 (19) คำถามเกี่ยวกับโรคกลัวที่สูงอย่างรุนแรง โรคกลัวที่สูงอย่างรุนแรง (Acrophobia) เป็นภาวะทางจิตใจที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานบนที่สูง อาการของ โรคคือ เมื่อขึ้นไปอยู่ที่สูงแล้วมองลงไปที่พื้นด้านล่างจะรู้สึกกลัว หวิว ใจสั่น วิงเวียน อยากอาเจียน ซีดเซียว หน้ามืด ตัวชา ถ้าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ข้อมูลยืนยันว่ามีภาวะนี้ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ถ้าไม่มั่นใจในการวินิจฉัย ควรส่งพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยยืนยันต่อไป (20) คำถามเกี่ยวกับโรคจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท โรคจิต (Psychosis) เช่น โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชที่มีอาการรุนแรง ทำให้เกิดภาวะหลงผิด ประสาทหลอน ผู้ป่วยอาจมีความคิด การตัดสินใจ และการเข้าสังคมที่ผิดปกติไป ก่อความเสี่ยงหากต้องไปทำงานบนที่สูงซึ่งเป็นงานที่มีอันตรายสูง มี ความเครียด บางงานต้องทำร่วมกันหลายคน และการตัดสินใจของคนทำงานคนหนึ่งมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมงานคนอื่น ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติเคยเป็นโรคจิตมาก่อน จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่แนะนำให้ทำงาน บนที่สูง กรณีที่แพทย์สรุปการวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบจิตแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ยืนยันต่อไป (21) คำถามเกี่ยวกับความคิดอยากฆ่าตัวตาย การขึ้นไปทำงานบนที่สูงมีความเสี่ยงโดยตรงถ้าหากพนักงาน มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เนื่องจากทำให้อันตรายถึงตายได้จริง มีการศึกษาของ Inonu University ประเทศตุรกี ถึงสาเหตุอุบัติเหตุจากที่สูงในปี 2011-2014 มีผู้ป่วยตกจากที่สูงจำนวน 460 ราย โดยมีผู้ป่วยที่ตกจากที่สูงเนื่องจาก การฆ่าตัวตายร้อยละ 1.7 ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มากแต่ความรุนแรงถึงชีวิตสูงที่สุดในบรรดาสาเหตุการตกจากที่สูง ทั้งหมด คือร้อยละ 12.5[28] ดังนั้นการที่แพทย์ผู้ตรวจสุขภาพประเมินความเสี่ยงของผู้เข้ารับการตรวจ พบว่ามี ความคิดอยากฆ่าตัวตาย จะช่วยลดอันตรายตรงนี้ลงได้ อย่างไรก็ตามการประเมินภาวะซึมเศร้าหรือภาวะความคิด อยากฆ่าตัวตายอาจจะทำได้ยาก และต้องใช้เวลาให้ผู้รับการตรวจไว้วางใจยอมให้ประวัติ หากแพทย์พบความผิดปกติ ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยรักษาต่อไป (22) คำถามเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบบ่อยในคนไทย โรคความดันสูง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ (Primary Hypertension หรือ Essential Hypertension) ซึ่งพบ เป็นส่วนมาก และชนิดที่ทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension) อาจเกิดได้จากหลายสภาวะ เช่น ภาวะหยุดหายใจ ขณะหลับ โรคไต ปัญหาต่อมไทรอยด์เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงอาการ ส่วนอาการที่พบได้คือปวดศีรษะ มึนศีรษะ ตามัว ปวดตึงท้ายทอย สามารถตรวจวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงได้โดยการ วัดความดันโลหิต โรคความดันโลหิตสูง สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้หลายอย่าง ภาวะ กล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดโรคหลอดเลือดสมองและโรคไตวาย สำหรับการควบคุมความดันโลหิต ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทางสุขภาพและการรักษาโดยการรับประทานยา ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจมีประวัติเป็นความดันโลหิตสูงแต่ได้ทำการ รักษาอยู่แล้วและคุมความดันได้ดีไม่เคยเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูงสามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ แต่หากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีความดันโลหิตสูงแต่ไม่เคยได้รับการรักษาเลย หรือรักษาแล้วแต่คุมความดันได้ไม่ดี แพทย์ควรแนะนำให้ไปรักษาก่อน เมื่อคุมระดับความดันโลหิตได้ดีแล้ว จึงค่อยนัดมาตรวจประเมินสุขภาพใหม่ (23) คำถามเกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus; DM) เป็นโรคของระบบต่อมไร้ท่อที่พบได้บ่อย อาการของโรคหากไม่ทำ การรักษาจะทำให้กระหายน้ำบ่อย หิวบ่อย ปัสสาวะบ่อย ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมักจะสูงผิดปกติ อาการในผู้ที่ทำ การรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีอาจมีเพียงเล็กน้อย แต่ในผู้ที่ไม่ได้ทำการรักษาหรือควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี อาจมีอาการรุนแรง ทำให้เกิดภาวะโคม่า (Diabetic coma) จากระดับน้ำตาลที่สูง (Hyperglycemia) หรือต่ำ


18 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work เช่น ตามัว ไตวาย อาการชาที่ปลายเท้า เป็นแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว และเกิดเป็นเนื้อตายที่เท้า โรคเบาหวานแบ่งออกได้ เป็น 2 ชนิด คือโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (DM type 1) ซึ่งผู้ป่วยมักจะเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อยและต้องรักษาด้วยการฉีด อินซูลิน กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2) ซึ่งมักเป็นเมื่ออายุมาก และการรักษามักใช้ยารับประทาน แต่ใน บางรายที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ก็จำเป็นต้องใช้อินซูลินในการรักษาเช่นกัน ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดอินซูลิน และเป็นชนิดที่มีความเสี่ยงต่อภาวะโคม่าจากเบาหวานสูง จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ข้อมูลว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ให้ทำการพิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดย (1) หากเคยเกิดภาวะโคม่าจากเบาหวาน เช่น ภาวะโคม่าจากเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Diabetic ketone acidosis; DKA) ภาวะโคม่าจากออสโมล่าห์สูงเกิน (Hyperosmolar hyperglycemic state; HHS) ภาวะโคม่า จากระดับน้ำตาลต่ำรุนแรง (Severe hypoglycemia) กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง (2) ในกรณีที่ คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีจนต้องใช้การฉีดอินซูลินในการรักษา กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง (3) ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น ตามัว ไตวาย แผลเรื้อรังที่เท้า กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง (4.) ในกรณีที่เป็นเบาหวานแต่ไม่เคยได้รับการรักษาเลย แพทย์ผู้ตรวจสุขภาพควรแนะนำ ให้ไปรักษาก่อน เมื่อคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีแล้ว จึงค่อยนัดมาตรวจประเมินสุขภาพใหม่ (5.) ในกรณีที่ทำการ รักษาอยู่แล้วและคุมระดับน้ำตาลได้ดีไม่เคยเกิดภาวะโคม่าจากเบาหวาน ไม่ต้องใช้อินซูลินในการรักษา และไม่มีภาวะ แทรกซ้อน สามารถให้ทำงานบนที่สูง แต่ควรให้คำแนะนำให้ระมัดระวังการเกิดบาดแผลจากการทำงาน และไม่ให้ ทำงานหักโหมจนเสี่ยงต่อการหมดสติ ในกลุ่มนี้แพทย์อาจขอข้อมูลการรักษาเดิม หรือทำการตรวจระดับน้ำตาลสะสม ในเลือด (Hemoglobin A1C) เพื่อมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้ และแพทย์อาจนัดมาตรวจติดตาม อาการเป็นระยะด้วยก็ได้ถ้าเห็นว่ามีความจำเป็น (24) คำถามเกี่ยวกับโรคหรืออาการเลือดออกง่าย ภาวะเลือดออกง่าย (Bleeding disorder) เกิดได้จาก หลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นจากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophelia) โรควอนวิลลิแบรนด์ (Von Willebrand disease) หรือจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ภาวะตับวาย ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ภาวะขาดวิตามินเค การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด โรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการเลือดออกง่าย เมื่อเลือดออกแล้วจะหยุดยาก ทำให้ เกิดความเสี่ยงเมื่อไปทำงานบนที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่นั้นต้องปีนป่ายขึ้นไปทำงาน ต้องใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการกระทบกระแทกได้ง่าย อาจเกิดการฟกช้ำ เลือดกำเดาไหล เลือดออกในข้อ และหากเกิดการหมดสติขึ้น ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกเนื่องจากการล้มฟาดได้มากกว่า คนทั่วไป หากล้มศีรษะฟาดอาจเกิดเลือดออกในสมอง โดยสรุปจัดว่าผู้เป็นโรคกลุ่มนี้มีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงาน บนที่สูง (25) คำถามเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิงที่จำเป็นต้องทำงานบนที่สูง ต้องไม่ทำงานบนที่สูงเกินที่กฎหมายกำหนด และควรได้รับการสอบถามเกี่ยวกับภาวะการตั้งครรภ์ด้วย เนื่องจากการทำงานบนที่สูง อาจมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ จากการกระทบกระแทกหรือพลัดตก อาจเป็นผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ หากพบว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิง กำลังตั้งครรภ์อยู่ถือว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยง ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง แพทย์ควรแนะนำให้เปลี่ยนไปทำงานอื่นที่เหมาะสม ก่อนในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ (26) คำถามเกี่ยวกับประจำเดือนครั้งสุดท้าย คำถามคัดกรองนี้เพื่อเป็นการทวนสอบในเรื่องการตั้งครรภ์เนื่องจากคนทำงานเพศหญิงบางรายอาจไม่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังตั้งครรภ์ในขณะที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ จึงควรทำการถามคำถามประวัติประจำเดือนครั้งสุดท้าย (Last menstrual period; LMP) ของคนทำงานเพศหญิงทุกรายด้วย หากพบว่ามีประวัติประจำเดือนขาดหายไป หรือประวัติชวนให้สงสัยว่าตั้งครรภ์ควรทำการตรวจปัสสาวะหาการตั้งครรภ์ (Urine pregnancy test; UPT) ในผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิงรายนั้น เพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัย และหากพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ควรให้ทำงาน บนที่สูง


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 19 (27) คำถามเกี่ยวกับการเจ็บป่วยเป็นโรคอื่น ๆ หรือประวัติทางสุขภาพที่สำคัญอื่น นอกจากโรคต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแล้ว หากพบว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยเจ็บป่วยเป็นโรค ชนิดอื่น ๆ หรือมีประวัติทางสุขภาพที่สำคัญอื่น แพทย์ควรพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบว่าโรคที่ผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพ กำลังเป็นหรือเคยเป็นนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำงานบนที่สูงหรือไม่ การสอบถามรายละเอียดความรุนแรง ของโรค ข้อมูลลักษณะการทำงาน การตรวจร่างกาย และการส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมตามความจำเป็น จะช่วยให้แพทย์ มีข้อมูลในการพิจารณาประเมินสุขภาพมากขึ้น หากแพทย์เห็นว่าการเจ็บป่วย หรือประวัติสุขภาพนั้น ก่อให้เกิดความ เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการตรวจ รวมถึงเพื่อนร่วมงาน ก็ควรแนะนำให้งดการไปทำงานบนที่สูง นอกจาก การถามประวัติคัดกรองทางด้านสุขภาพแล้ว การตรวจร่างกายโดยแพทย์ก็มีความสำคัญเช่นกัน หากพบประวัติสุขภาพ ที่ผิดปกติในระบบร่างกายใด แพทย์ควรทำการตรวจร่างกายที่เกี่ยวกับระบบนั้นอย่างละเอียดเพื่อค้นหาอาการแสดง ของโรคที่อาจพบได้ การตรวจร่างกายโดยทั่วไป แพทย์ควรตรวจดูว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีภาวะผิดปกติเช่น ซีด เหลือง หอบเหนื่อย ตัวบวม หรือไม่ ฟังเสียงการเต้นของ หัวใจและเสียงการหายใจว่ามีความผิดปกติ เช่น เสียงฟู่ที่หัวใจหรือไม่ ผู้เข้ารับการตรวจที่นิ้วขาดหรือข้อติดผิดรูปอย่างมากอาจมีปัญหาในการหยิบจับสิ่งของหรือการปีนขึ้นลงบันได ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อไปทำงานบนที่สูง หากพบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายเหล่านี้ แพทย์ควรพิจารณาอนุญาต หรือห้ามการทำงานบนที่สูงเป็นราย ๆ ไปตามความเหมาะสม ภาคผนวกที่อยู่ในส่วนท้าย เป็นตัวอย่างใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นการถามคำถามคัดกรองสุขภาพแก่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพทั้ง 27 ข้อดังที่ได้กล่าวมา ซึ่งแพทย์ควรให้ ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพทำการกรอกข้อมูลในส่วนนี้ด้วยตนเอง ก่อนที่จะเข้ารับการตรวจประเมินกับแพทย์ ส่วนที่ 2 เป็นส่วนสำหรับแพทย์ในการลงผลตรวจร่างกาย ผลการตรวจพิเศษ การสรุปผล และข้อควรระวัง แพทย์สามารถนำตัว อย่างใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูงนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน มาประยุกต์ใช้ในการตรวจสุขภาพคนทำงาน บนที่สูงของตนเองได้ 8.4 การตรวจร่างกายโดยแพทย์ การทำงานบนที่สูงเป็นการทำงานที่เสี่ยงอันตรายอย่างมากและต้องอาศัยกำลังกล้ามเนื้อในการทรงตัว ปีนป่าย หยิบจับ และทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพคนทำงานบนที่สูงควรทำการตรวจประเมินความผิดปกติ ด้านต่าง ๆ ดังนี้ - ความผิดปกติของรูปร่างลำตัว, มือ, แขน, ขา (Deformity of trunk, hands, arms, legs) - ภาวะซีด ถ้ามีภาวะโลหิตจางมาก ให้พิจารณาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเพิ่มเติม - เสียงหายใจ ถ้ามีเสียงผิดปกติ เช่น เสียงหวีด ให้พิจารณาร่วมกับภาพรังสีทรวงอกและการตรวจสมรรถภาพปอด ด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ - ชีพจร และเสียงหัวใจ ถ้าตรวจพบชีพจรหรือเสียงหัวใจผิดปกติ ให้พิจารณาร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ - กำลังกล้ามเนื้อแขน (Upper limbs power) และกำลังกล้ามเนื้อขา (Lower limbs power) ถ้ามีการ อ่อนแรงมาก ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง - การทรงตัวและการประสานงานของกล้ามเนื้อ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเดินเซ ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรให้ทำงาน บนที่สูง


20 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 8.5 การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษทำเพื่อประเมินสมรรถภาพร่างกายของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพในด้านต่าง ๆ ว่ามีความ เหมาะสมเพียงพอที่จะอนุญาตให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูงได้หรือไม่แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานบนที่สูงแนะนำ ให้แพทย์ทำการตรวจพิเศษและพิจารณาผลตรวจตามเกณฑ์การพิจารณาดังต่อไปนี้ (1) ดัชนีมวลกาย การวัดดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) เป็นค่าที่บ่งบอกรูปร่างของคนทำงาน ว่ามีภาวะอ้วน และน้ำหนักเกินหรือไม่ คนทำงานที่มีภาวะอ้วนอาจเกิดความเสี่ยงเมื่อขึ้นไปทำงานบนที่สูง เนื่องจาก ร่างกายอาจติดในพื้นที่ที่คับแคบ เช่น การทำงานในเสา น้ำหนักตัวที่ มากอาจทำให้คนทำงานเกิดความเหนื่อยล้า ได้ง่าย เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ หากคนทำงานที่มีภาวะอ้วนมากหมดสติบนที่สูง การช่วยเหลือออกมาอาจทำได้ยากกว่าปกติ อุปกรณ์ช่วยชีวิตมาตรฐานอาจไม่สามารถทนน้ำหนักได้ เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องดัชนีมวลกายที่อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้อยู่ที่ไม่เกิน 35 กิโลกรัม/เมตร2 ถ้าดัชนีมวลกายมากกว่านี้จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้เข้ารับการ ตรวจสุขภาพมีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัม/เมตร2 ขึ้นไป ก็จัดว่ามีภาวะอ้วนอย่างมากแล้ว แพทย์ควรให้คำแนะนำ แก่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพในกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัม/เมตร2 แต่ยังไม่เกิน 35 กิโลกรัม/เมตร2 นี้ ซึ่งแม้ว่าจะยังให้ทำงานได้แต่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ควรแนะนำให้คนทำงานกลุ่มนี้ลดน้ำหนัก เพื่อผลดีต่อสุขภาพของตนเองในระยะยาวด้วย (2) ความดันโลหิต ความดันโลหิตที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ เมื่อขึ้นไปทำงานบนที่สูงซึ่งเป็นงานที่มักต้องใช้กำลังกายอย่างหนัก เกิดความเครียด ความเหนื่อยล้า หรืออยู่กลางแดดจ้า ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นจนเป็นอันตราย เกณฑ์การพิจารณาระดับความดันโลหิตที่อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้อยู่ที่ ไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากมีระดับความดันโลหิตสูงกว่านี้ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง ในกรณีที่พบว่าผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพมีความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท แพทย์ควรแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ทำการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงนั้น หากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพได้ไปทำการตรวจวินิจฉัยและรักษา จนในภายหลัง ความดันโลหิตลดลงเหลือไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอทแล้ว แพทย์สามารถอนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้ (3) อัตราเร็วชีพจร (Pulse rate) เป็นสัญญาณชีพที่ช่วยบ่งบอกการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ หากอัตราเร็วชีพจรต่ำหรือสูงเกินไป อาจเกิดจากสาเหตุอันตรายบางอย่าง เช่น เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นโรคระบบต่อมไร้ท่อ เป็นโรคในระบบร่างกายส่วนอื่น ๆ การได้รับยาที่มีผลต่อการ เต้นของหัวใจผิดขนาด การใช้สารเสพติด หรือการได้รับสารพิษ อัตราเร็วชีพจรที่ต่ำหรือสูงเกินไป ทำให้เกิดความ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ เกณฑ์การพิจารณาอัตราเร็วชีพจรที่อนุญาตให้ทำงาน บนที่สูงได้อยู่ในช่วง 60 – 100 ครั้ง/นาทีในกรณีที่อัตราเร็วชีพจรของผู้เข้ารับการตรวจอยู่ในช่วง 40 – 59 ครั้ง/นาที ร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ (Sinus bradycardia) ก็อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่อัตราเร็วชีพจรของ ผู้เข้ารับการตรวจอยู่ในช่วง 101 – 120 ครั้ง/นาทีร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ (Sinus tachycardia) ก็อนุญาต ให้ทำงานบนที่สูงได้เช่นกัน (4) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; ECG) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้แพทย์ได้ข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับลักษณะการเต้นของหัวใจ และช่วยคัดกรองโรคหัวใจบางชนิดที่อาจเป็นอันตรายได้ การตรวจนี้ทำได้ง่าย สามารถทำได้ ในสถานพยาบาลทุกระดับ เกณฑ์การพิจารณาผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสำหรับคนทำงานบนที่สูง มีหลักการพิจารณาดังนี้ ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีลักษณะบ่งชี้ถึงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดทุกชนิด เช่น ST elevation, ST depression กลุ่มนี้ไม่ควรให้ขึ้นไปทำงานบนที่สูง และควรส่งต่ออายุรแพทย์เพื่อทำการ ตรวจวินิจฉัยยืนยัน


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 21 ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นผิดจังหวะแบบ Sinus arrhythmia, Premature atrial contraction (PAC), และ Premature ventricular contraction (PVC) ทั้งแบบ Occasional PVC และ Frequent PVC ถ้าไม่มีอาการผิดปกติร่วมด้วย สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ยกเว้น Premature ventricular contraction แบบที่เกิดขึ้นทุกครั้งของการเต้นเป็น Ventricular bigeminy ถ้าพบ ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นผิดจังหวะแบบ Atrial fibrillation (AF) และ Atrial flutter (AFL) จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นผิดจังหวะแบบ WolffParkinson-White syndrome (WPW) จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์ เพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในกลุ่มแกนหัวใจเบี่ยง (Axis deviation) ทั้งเบี่ยงไปด้านซ้าย (Left axis deviation) และเบี่ยงไปด้านขวา (Right axis deviation) ถ้าไม่พบความผิดปกติอย่างอื่น ร่วมด้วย สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นกระตุก (Heart block) ต้องพิจารณา แยกเป็นแต่ละชนิดไป โดย (1) สำหรับ Incomplete right bundle branch block (ICRBBB), Complete right bundle branch block (CRBBB), และ First degree AV block (1st degree AV block) กลุ่มนี้จัด ว่ามีความเสี่ยงต่ำ สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ (2) สำหรับลักษณะแบบ Shortened PR และ Prolonged QT กลุ่มนี้จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำเช่นกัน สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ (3) สำหรับลักษณะแบบ Left bundle branch block (LBBB), Second degree AV block (2nd degree AV block) ทั้งชนิด Mobitz I และ Mobitz II, และ Third degree AV block (3rd degree AV block) กลุ่มนี้จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป (4) สำหรับลักษณะแบบ Left anterior fascicular block และ Left posterior fascicular block ถ้าพบจัดว่ามีโอกาสมีความเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อตรวจยืนยันเสียก่อน ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มหัวใจโต (Hypertrophy) ทั้ง Left ventricular hypertrophy (LVH) และ Right ventricular hypertrophy (RVH) จัดว่ามีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ ทำงานบนที่สูง และควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อวินิจฉัยยืนยันต่อไป (5) ภาพรังสีทรวงอก การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) ในท่ายืน (Upright) และถ่ายจากหลัง ไปหน้า (Posteroanterior; PA) ด้วยฟิล์มขนาดมาตรฐาน คือมีขนาดอย่างน้อย 14 นิ้ว × 17 นิ้ว[29] หรือลักษณะ เป็นภาพดิจิตอลความละเอียดสูง เป็นการตรวจพิเศษที่จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคในทรวงอกของผู้เข้ารับการตรวจ สุขภาพแก่แพทย์ได้เป็นอย่างดี การพิจารณาภาพเงาหัวใจ ปอด และกระดูกบริเวณทรวงอก จะช่วยแพทย์ในการ คัดกรองความผิดปกติที่รุนแรงบางอย่างในผู้เข้ารับการตรวจได้ เกณฑ์การพิจารณาผลตรวจภาพรังสีทรวงอกสำหรับ คนทำงานบนที่สูงมีแนวทางดังนี้ ในกรณีที่พบลักษณะการอักเสบของเนื้อปอด (Pneumonitis) หรือการติดเชื้อในระยะแพร่กระจาย (Active infection) เช่น โรคปอดอักเสบจากสารเคมี (Chemical pneumonitis) โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อ แบคทีเรียหรือ ไวรัส (Pneumonia) วัณโรคปอดระยะแพร่กระจาย (Active pulmonary tuberculosis) กลุ่มนี้ จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง การตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจ การวัดไข้ การตรวจย้อมเชื้อในเสมหะ และการตรวจเพาะเชื้อในเสมหะ (ถ้าผู้ป่วยมีอาการไอมีเสมหะ) อาจช่วยเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้แพทย์ทำการวินิจฉัย ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แพทย์ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่กำลังมีภาวะปอดอักเสบไปทำการรักษากับอายุรแพทย์ เมื่อหายจากภาวะปอดอักเสบแล้ว จึงให้มาตรวจประเมินสุขภาพใหม่


22 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ในกรณีที่พบลักษณะความผิดปกติเล็กน้อย เช่น มีเยื่อหุ้มปอดหนาตัวเล็กน้อย (Plural thickening) มีก้อนกรานูโลมา (Granuloma) หรือหินปูนเกาะ (Calcification) ขนาดเล็กในเนื้อปอดที่ดูไม่มีลักษณะอันตราย หรือไม่โตขึ้นหากมีภาพรังสีทรวงอกเดิมให้เปรียบเทียบ เหล่านี้สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่พบรอยพังผืด (Fibrosis) ในปอดถ้ามีขนาดเล็กสามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ถ้ามีจำนวนค่อนข้าง มากหรือมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ให้พิจารณาร่วมกับการตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจ และผลการตรวจสมรรถภาพ ปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ถ้าเป็นปกติทั้งหมดสามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่พบลักษณะเป็นถุงลมใหญ่ (Bullae) หรือหลอดเลือดแดงใหญ่ในทรวงอกโป่งพอง (Aortic aneurysm) กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งต่อผู้ป่วยไปทำการรักษากับอายุรแพทย์หรือศัลยแพทย์ต่อไป ในกรณีที่พบลักษณะเงาหัวใจโตเล็กน้อย (Mild cardiomegaly) แต่ตรวจร่างกายไม่มีอาการอย่างอื่น ตรวจคลื่น ไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติสามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่พบเงาหัวใจโตอย่างเด่นชัดจัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากไม่ควร ให้ทำงานบนที่สูง ควรส่งพบอายุรแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป (6) สมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ (Pulmonary function test; PFT) การตรวจสมรรถภาพปอด ด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นวิธีการตรวจสมรรถภาพปอดที่ได้รับความนิยม ข้อห้ามในการตรวจน้อย ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และสามารถทำได้ในสถานพยาบาลทุกแห่งที่มีเครื่องมือ การตรวจชนิดนี้มีหลักการโดยให้ผู้เข้ารับ การตรวจเป่าลม หายใจผ่านเครื่องมือตรวจวัด เพื่อดูปริมาตร (Volume) และอัตราการไหล (Flow rate) ของลมหายใจ แล้ววัดออกมาเป็นค่าต่าง ๆ เช่น Forced expiratory volume in 1 second (FEV1) และ Forced vital capacity (FVC) จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับค่าของประชากรปกติ เกณฑ์การพิจารณาผลการตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์สำหรับคนทำงานในที่อับอากาศ ให้แพทย์ ทำการตรวจและแปลผลตามแนวทางของสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ฉบับปีพ.ศ. 2545[30] และแนวทางการตรวจ และแปลผลสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ในงานอาชีวอนามัย พ.ศ. 2557 โดยสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย[31] ซึ่งให้พิจารณาจาก (1.) ค่า FEV1/FVC ของค่าที่วัดได้จริง (Fixed FEV1/FVC ratio) ในผู้เข้ารับการตรวจที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ให้ใช้ค่าปกติที่มากกว่า 75 % ส่วนในผู้เข้ารับการตรวจที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ให้ใช้ค่าปกติที่มากกว่า 70 % (2.) การพิจารณาค่า FEV1 ให้ใช้ค่าคาดคะเนเมื่อเทียบกับประชากรปกติ (% Predicted) โดยถือว่าปกติเมื่อค่ามากกว่า 80 % Predicted ขึ้นไป (3.) การพิจารณาค่า FVC ให้ใช้ค่าคาดคะเน เมื่อเทียบกับประชากรปกติเช่นกัน โดยถือว่าปกติเมื่อค่ามากกว่า 80 % Predicted ขึ้นไป ในกรณีที่ตรวจและแปลผลแล้วพบว่าสมรรถภาพปอดเป็นปกติ (Normal) หรือผิดปกติแบบจํากัด การขยายตัว เล็กน้อย (Mild restriction) หรืออุดกั้นเล็กน้อย (Mild obstruction) สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ ในกรณีที่ตรวจและแปลผลแล้วพบว่าสมรรถภาพปอดผิดปกติแบบจํากัดการขยายตัวปานกลางหรือรุนแรง (Moderate or severe restriction) ผิดปกติแบบอุดกั้นปานกลางหรือรุนแรง (Moderate or severe obstruction) หรือผิดปกติแบบผสม (Mixed defect) เหล่านี้จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพไปพบอายุรแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและรักษาต่อไป (7) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count; CBC) การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เป็นการตรวจพื้นฐานที่ช่วยคัดกรองปัญหาเกี่ยวกับระบบโลหิตของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพได้เป็นอย่างดี ผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจมีโอกาสวูบ เป็นลม หน้ามืด หมดสติบนที่สูงได้ง่าย และผู้มีภาวะความ เสี่ยงต่ออาการเลือดออกง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไปเมื่อได้รับอุบัติเหตุจากการ ถูกกระทบกระแทกเมื่อขึ้นไปทำงานบนที่สูง เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องภาวะโลหิตจาง อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้เมื่อผู้เข้ารับการตรวจมีระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ตั้งแต่ 10 กรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป และระดับความเข้มข้นเลือด (Hematocrit) ตั้งแต่ร้อยละ 30 ขึ้นไป หากพบค่าต่ำกว่าเกณฑ์ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบอายุรแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 23 เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเกล็ดเลือดต่ำ อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้เมื่อผู้เข้ารับการตรวจมีระดับเกล็ดเลือด (Platelet) ตั้งแต่ 100,000 เซลล์/มิลลิเมตร3 ขึ้นไป หากพบค่าต่ำกว่าเกณฑ์ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่ง ผู้เข้ารับการตรวจไปพบอายุรแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป (8) ผลตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (Glycated hemoglobin (HbA1C)) การตรวจระดับน้ำตาลสะสม ในเลือดหรือการตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี (Glycated hemoglobin (HbA1C)) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลสะสม ในเลือดตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา[32] ดังนั้นหากมีการตรวจในวันถัดไป หรือวันใกล้ ๆ กัน ผลการตรวจ ระดับน้ำตาลสะสมจะไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นค่าที่ช่วยพิจารณาและประเมินผลการรักษาโดยรวมในช่วงที่ผ่านมาว่า ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีหรือไม่ และยังช่วยคัดกรองและวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยเป็น โรคเบาหวานหรือไม่ ได้อีกด้วย เกณฑ์การพิจารณาน้ำตาลสะสมในเลือด อนุญาตให้ทำงานบนที่สูงได้เมื่อผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีระดับ น้ำตาลสะสมน้อยกว่า 7 mg% หากพบค่าสูงกว่าเกณฑ์ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ไปพบอายุรแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป (9) สมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล (Far vision test) การตรวจสมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล โดยการ ตรวจความชัดเจนในการมองภาพ (Visual acuity; VA) เป็นการตรวจคัดกรองในเบื้องต้น เพื่อประเมินว่าผู้เข้ารับ การตรวจมีความสามารถในการมองเห็นเพียงพอที่จะทำงานบนที่สูงได้หรือไม่ ซึ่งอย่างน้อยคนทำงานบนที่สูงควร มองเห็นภาพได้ชัดเจนพอสมควร เช่น สามารถมองเห็นป้าย สัญญาณเตือน และหยิบจับเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ในการตรวจให้ทำการตรวจการมองภาพระยะไกล โดยทำการตรวจแยกทีละตา ทั้งตาขวา (Right eye) และตาซ้าย (Left eye) จากนั้นตรวจโดยให้มองพร้อมกันทั้ง 2 ตา (Both eye) ทั้งแบบก่อนทำการแก้ไข (Uncorrected) และหลังทำการแก้ไข (Corrected) ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ไม่ว่าจะโดยการให้ใส่แว่น การใส่คอนแทคเลนส์หรือการให้ ผู้เข้ารับการตรวจมองลอดรูขนาดเล็ก (Pinhole) ก็ตาม เกณฑ์การพิจารณา จะอนุญาตให้ผู้เข้ารับการตรวจทำงานบนที่สูงได้ถ้าความชัดเจนในการมองภาพ (Visual acuity) เมื่อทำการมองพร้อมกันทั้ง 2 ตา (Both eye) และได้แก้ไขให้ดีที่สุดแล้ว (Best corrected) ต้องอยู่ที่ระดับ 6/12 เมตร (20/40 ฟุต) หรือดีกว่า หากพบว่าสมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล ลดลงกว่าระดับนี้จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยง ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive error) เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง แต่เมื่อทำการแก้ไขแล้ว การมองภาพระยะไกลพร้อมกัน 2 ตา อยู่ที่ระดับ 6/12 เมตร (20/40 ฟุต) หรือดีกว่า คนทำงาน กลุ่มนี้สามารถให้ทำงานได้แต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติเช่น แว่นสายตา หรือคอนแทคเลนส์ ระหว่างการทำงาน (10) สมรรถภาพการได้ยินเสียงพูด การตรวจคัดกรองสมรรถภาพการได้ยินเสียงพูดนั้น ทำเพื่อคัดกรองว่า ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพจะสามารถได้ยินเสียงพูดของเพื่อนร่วมงานและสื่อสารความหมายกันได้เข้าใจหรือไม่ เนื่องจากหากทำงานบนที่สูง แต่มีความสามารถในการได้ยินลดลงจนถึงระดับที่ไม่ได้ยินเสียงพูดของผู้อื่นอย่างชัดเจนแล้ว อาจเกิดอันตราย เนื่องจากมีโอกาสไม่ได้ยินเสียงเตือนของเพื่อนร่วมงานและผู้ช่วยเหลือ รวมถึงเสียงสัญญาณเตือนภัย หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น วิธีการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินเสียงพูดนั้น แพทย์อาจใช้การทดสอบเสียงกระซิบ (Whispered voice test) ในการทดสอบก็ได้ หากผู้เข้ารับการตรวจไม่ผ่านการทดสอบเสียงกระซิบ ให้แพทย์ทดลอง พูดกับผู้เข้ารับการตรวจด้วยระดับเสียงปกติแต่ใช้กระดาษปิดบังริมฝีปากตนเองไว้เพื่อป้องกันผู้เข้ารับการตรวจอ่าน ริมฝีปาก เกณฑ์การพิจารณาคือหากผู้เข้ารับการตรวจสามารถได้ยินเสียงพูดของแพทย์และพูดโต้ตอบได้ เข้าใจดี ก็สามารถให้ทำงานบนที่สูงได้ แต่หากแพทย์พูดกับผู้เข้ารับการตรวจด้วยระดับเสียงปกติแล้วยังคงไม่ได้ยินชัดเจน ถือว่ามีความเสี่ยง ไม่ควรให้ทำงานบนที่สูง และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อทำการตรวจหา สาเหตุและทำการรักษาต่อไป


24 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 9. การสรุปผล หลังจากแพทย์ทำการสอบถามข้อมูลการทำงาน ข้อมูลสุขภาพ ตรวจร่างกาย และพิจารณาผลการตรวจพิเศษแล้ว ให้แพทย์ทำการสรุปผลว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้น สามารถทำงานบนที่สูงได้หรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับทาง สถานประกอบการได้ใช้ในการดูแลคนทำงานที่มาเข้ารับการตรวจสุขภาพนั้นต่อไป ในการสรุปผลแพทย์สามารถสรุปผล ได้เป็น 3 กรณีดังนี้ 1. ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งหมด และไม่มีข้อมูลอื่นใดชวนให้สงสัยว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้นจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ให้แพทย์ สรุปผลว่า “สามารถทำงานบนที่สูงได้ (Fit to work)” 2. ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ มีความผิดปกติไป บางส่วน แต่แพทย์พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าความผิดปกติที่พบนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ให้แพทย์สรุปผลว่า “สามารถทำงานบนที่สูงได้แต่มีข้อจํากัดหรือข้อควรระวัง (Fit to work with restrictions)” พร้อมทั้งระบุข้อจํากัด หรือข้อควรระวังในการทำงานไว้ให้ทางสถานประกอบการรับทราบด้วย การสรุปผลเช่นนี้หมายถึงให้ผู้เข้ารับการตรวจรายนั้นสามารถทำงานบนที่สูงได้แต่ก็เป็นการเตือนสถาน ประกอบการและผู้ควบคุมงานให้รับทราบว่า ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพรายนั้นไม่ได้มีผลตรวจสุขภาพเป็นปกติดีทั้งหมด และมีข้อจํากัดหรือข้อควรระวังอะไรบ้างในการทำงาน 3. ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ พบความผิดปกติ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงมากเกินที่จะยอมรับได้ และแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่ควรให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพรายนั้น ทำงานบนที่สูง ให้แพทย์สรุปผลว่า “ไม่สามารถทำงานบนที่สูงได้ (Unfit to work)” และควรแจ้งรายละเอียดเหตุผล ว่าทำไมจึงมีความเห็นว่าไม่สามารถทำงานบนที่สูงได้ไว้ด้วย รวมถึงการให้คำแนะนำในการให้ผู้เข้ารับการตรวจไป พบแพทย์สาขาต่าง ๆ ที่เห็นควร เพื่อทำการตรวจยืนยันการวินิจฉัยโรคหรือทำการรักษาต่อไป และหากเห็นว่าภาวะ ที่ทำให้ไม่สามารถทำงานบนที่สูงได้นั้นเป็นภาวะชั่วคราว อาจแจ้งเงื่อนไขในการที่ผู้เข้ารับการตรวจจะได้ทำการแก้ไข ปัญหาสุขภาพของตนเอง พร้อมทั้งนัดเวลาที่จะให้มาตรวจประเมินซ้ำใหม่ด้วยก็ได้ตามความเหมาะสม รายละเอียด ที่กล่าวมานี้ควรระบุไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในใบรับรองแพทย์ด้วย การสรุปผลลงในใบรับรองแพทย์โดยบันทึกไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จัดเป็นพยานเอกสารทางกฎหมาย ที่ทำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ แพทย์และผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับอนุญาต สามารถนำข้อมูลมาทบทวนในภายหลังได้ แม้ว่าการทำงานบนที่สูงซึ่งเป็นงานที่มีความเสี่ยงอันตรายสูงคนทำงานมักจะได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าการทำงานอื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดความคาดหวังในการได้ทำงานอย่างมากในผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพบางราย อย่างไรก็ตามแพทย์ ควรพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเข้าไปทำงานบนที่สูง โดยใช้หลักวิชาทางการแพทย์ เป็นหลัก การพิจารณาแพทย์ต้องทำโดยปราศจากอคติ ใช้ข้อมูลลักษณะการทำงาน ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลการตรวจ ร่างกาย และข้อมูลจากการตรวจพิเศษ ที่แพทย์ได้รับทราบในขณะที่ทำการประเมินนั้นเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญในการ พิจารณา โดยมุ่งเน้นที่ความปลอดภัยของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ แพทย์ควรรับทราบไว้ ด้วยว่าประเทศไทยในปัจจุบันนั้น คนทำงานทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกทำงานหรือไม่ทำงานใดก็ได้โดยสมัครใจ และผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพที่ไม่สามารถทำงานบนที่สูงได้ก็มีสิทธิในการทำงานชนิดอื่นที่มีความเสี่ยงอันตรายน้อยกว่าเพื่อ ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว อีกทั้งหากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นลูกจ้างในความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติความ ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ก็เป็นหน้าที่ของนายจ้าง ที่จะต้องเปลี่ยนให้ลูกจ้างไปทำงานอื่นที่มีอันตรายน้อยกว่า


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 25 เมื่อได้รับทราบข้อมูลความเสี่ยงจากแพทย์ สิ่งที่แพทย์ควรรับทราบอีกประเด็นหนึ่งคือ เป็นสิทธิของผู้ป่วย (หรือผู้รับ บริการทางสุขภาพ) ที่จะขอความเห็นจากผู้ให้บริการทางสุขภาพท่านอื่นได้หากเกิดข้อสงสัย รวมถึงมีสิทธิในการเปลี่ยน ผู้ให้บริการทางสุขภาพได้ ในกรณีของการออกใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูงนี้ หากผู้เข้ารับการตรวจ สุขภาพมีข้อสงสัย หรือไม่เห็นด้วยกับการสรุปผลของแพทย์แล้ว ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีสิทธิที่จะให้แพทย์ท่านอื่น ทำการตรวจประเมินสุขภาพซ้ำได้ 10. การให้คำแนะนำ นอกจากการทำหน้าที่ตรวจประเมินสุขภาพแล้ว การให้คำแนะนำผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยง ต่อการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการทำงานบนที่สูง ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แพทย์ควรดำเนินการด้วย ในระหว่างการตรวจ สุขภาพคนทำงานบนที่สูงนั้น แพทย์ควรให้คำแนะนำแก่ คนทำงาน โดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้ (1) การระมัดระวังการทำงานจนเหนื่อยล้า งานบนที่สูงมักเป็นงานที่ต้องใช้กำลังกายอย่างมาก บางครั้งคน ทำงานต้องแบกน้ำหนักของชุดอุปกรณ์ความปลอดภัย และเครื่องมือที่ใช้ทำงาน ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าในการ ทำงานได้เพิ่มขึ้น คนทำงานบางกลุ่มที่ทำงานในลักษณะลูกจ้างรับเหมาช่วง (Subcontractor) อาจรับงานเข้าไป ทำงานบนที่สูงหลายแห่งในหนึ่งวัน เมื่อทำงานเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้พักอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า สมาธิ ในการทำงานลดลง ก่อโอกาสให้เกิดอุบัติเหตุได้เพิ่มขึ้น แพทย์ควรให้คำแนะนำผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพทุกรายว่า หากทำงานจนเหนื่อยล้า รู้สึกว่าทำงานไม่ไหว ควรแจ้งผู้ช่วยเหลือหรือผู้ควบคุมงานเพื่อออกมาพัก ไม่ควรฝืนร่างกาย ทำงานต่อไป เพราะอาจเพิ่มโอกาสที่จะวูบ หมดสติ หรือเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย คนทำงานควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายไม่พร้อมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การดื่มของมึนเมา การใช้ยา ที่ทำให้ง่วง ความเครียด ถ้าวันใดคนทำงานเกิดการเจ็บป่วยหรือรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก ควรแจ้งให้ผู้ควบคุมงานทราบ (2) การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดใช้สารเสพติดก่อนทำงานบนที่สูง แพทย์ควรสอบถามข้อมูล การดื่มสุราและการใช้สารเสพติดกับคนทำงานบนที่สูงทุกราย และให้คำแนะนำถึงอันตรายจากการดื่มสุราแล้วไปทำงาน อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุตกจากที่สูงบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ และบางสถานประกอบการก่อนที่จะมีการทำงานบนที่สูง จะมีการเป่าแอลกอฮอล์เพื่อตรวจระดับแอกอฮอล์ หากพนักงานดื่มแอลกอฮอล์ก่อนมาทำงานก็จะไม่สามารถขึ้นทำงาน บนที่สูงได้ ทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งสถานประกอบการที่จะขาดคนทำงาน และผลเสียต่อตัวพนักงานเองที่ทำให้ขาดรายได้ และอาจถูกเรียกตักเตือนตามระบบ (3) การลดน้ำหนักและการควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม แพทย์ควรให้คำแนะนำแก่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ให้ทำการลดน้ำหนัก โดยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร เพื่อผลดีต่อสุขภาพ ในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัม/เมตร2 ควรให้ความสำคัญกับการลดน้ำหนักมากเป็น พิเศษ สำหรับคนทำงานที่มีน้ำหนักตัวปกติอยู่แล้ว แพทย์ควรแนะนำให้ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป (4) การให้คำแนะนำอื่น ๆ ที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสม นอกจากการให้คำแนะนำที่สำคัญดังที่กล่าวมาข้างต้น ในกรณีที่แพทย์พบความเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ ควรให้คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันโรคหรือสร้างเสริมสุขภาพของ ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น เช่น การแนะนำให้ลดการดื่มของมึนเมา การแนะนำให้งดการใช้ยาชนิดที่ทำให้ ง่วงก่อนขึ้นไปทำงานบนที่สูง การแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักให้ครบตามกำหนด การแนะนำให้ปฏิบัติตาม มาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดทุกครั้งที่ขึ้นไปทำงานบนที่สูง


26 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูง ส่วนที่ 1 ของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ข้าพเจ้า นาย/นาง/นางสาว......................................................................................................................................................................................... เลขที่บัตรประชาชน/บัตรข้าราชการ/หนังสือเดินทาง......................................ข้อมูลสุขภาพ: กรุณาตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง 1. ท่านเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ ไม่เคย เคย 2. ท่านเคยเป็นโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่วหรือไม่ ไม่เคย เคย 3. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจโตหรือไม่ ไม่เคย เคย 4. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ไม่เคย เคย 5. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 6. ท่านเคยเป็นโรคหอบหืดหรือไม่ ไม่เคย เคย 7. ท่านเคยเป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือโรคถุงลมโป่งพองหรือไม่ ไม่เคย เคย 8. ท่านเคยเป็นโรคปอดชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 9. ท่านเคยเป็นโรคลมชักหรือมีอาการชักหรือไม่ ไม่เคย เคย 10. ท่านเคยเป็นโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ ไม่เคย เคย 11. ท่านเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตหรือไม่ ไม่เคย เคย 12. ท่านเคยมีอาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติในทันทีทันใดหรือไม่ ไม่เคย เคย 13. ท่านเคยเป็นโรคระบบประสาทชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 14. ท่านเคยเป็นโรคเกี่ยวกับหูชั้นในหรือโรคที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน วิงเวียน มึนงงหรือไม่ ไม่เคย เคย 15. ท่านเคยมีความผิดปกติของการได้ยินหรือไม่ ไม่เคย เคย 16. ท่านเคยเป็นโรคปวดข้อหรือข้ออักเสบเรื้อรังหรือไม่ ไม่เคย เคย 17. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีความผิดปกติของกระดูกและข้อหรือไม่ ไม่เคย เคย 18. ท่านเคยมีความผิดปกติของการมองเห็นหรือไม่ ไม่เคย เคย 19. ท่านเคยเป็นโรคกลัวที่สูงอย่างรุนแรงหรือไม่ ไม่เคย เคย 20. ท่านเคยเป็นโรคจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท หรือไม่ ไม่เคย เคย 21. ท่านเคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่ ไม่เคย เคย 22. ท่านเคยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่ ไม่เคย เคย 23. ท่านเคยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ไม่เคย เคย 24. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีอาการเลือดออกง่ายหรือไม่ ไม่เคย เคย 25. เฉพาะคนทำงานเพศหญิง – ขณะนี้ท่านตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ไม่ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ 26. เฉพาะคนทำงานเพศหญิง – ประจำเดือนครั้งสุดท้ายของท่านคือเมื่อใด ........................................................................ 27. ท่านเคยมีการเจ็บป่วยเป็นโรคอื่น ๆ หรือมีประวัติทางสุขภาพที่สำคัญอื่นอีกหรือไม่ ไม่เคย เคย (ถ้ามีข้อใดตอบว่า “เคย” กรุณาระบุรายละเอียด).......................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................. ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความที่แจ้งข้างต้นนี้เป็นความจริงทุกประการ ข้าพเจ้ายินยอมให้เปิดเผยข้อมูลสุขภาพของข้าพเจ้า แก่นายจ้าง เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศของข้าพเจ้า ลงชื่อ .................................................................................... ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูง ส่วนที่ 1 ของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ข้าพเจ้า นาย/นาง/นางสาว......................................................................................................................................................................................... เลขที่บัตรประชาชน/บัตรข้าราชการ/หนังสือเดินทาง......................................ข้อมูลสุขภาพ: กรุณาตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง 1. ท่านเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ ไม่เคย เคย 2. ท่านเคยเป็นโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่วหรือไม่ ไม่เคย เคย 3. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจโตหรือไม่ ไม่เคย เคย 4. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ไม่เคย เคย 5. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 6. ท่านเคยเป็นโรคหอบหืดหรือไม่ ไม่เคย เคย 7. ท่านเคยเป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือโรคถุงลมโป่งพองหรือไม่ ไม่เคย เคย 8. ท่านเคยเป็นโรคปอดชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 9. ท่านเคยเป็นโรคลมชักหรือมีอาการชักหรือไม่ ไม่เคย เคย 10. ท่านเคยเป็นโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ ไม่เคย เคย 11. ท่านเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตหรือไม่ ไม่เคย เคย 12. ท่านเคยมีอาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติในทันทีทันใดหรือไม่ ไม่เคย เคย 13. ท่านเคยเป็นโรคระบบประสาทชนิดอื่น ๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 14. ท่านเคยเป็นโรคเกี่ยวกับหูชั้นในหรือโรคที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน วิงเวียน มึนงงหรือไม่ ไม่เคย เคย 15. ท่านเคยมีความผิดปกติของการได้ยินหรือไม่ ไม่เคย เคย 16. ท่านเคยเป็นโรคปวดข้อหรือข้ออักเสบเรื้อรังหรือไม่ ไม่เคย เคย 17. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีความผิดปกติของกระดูกและข้อหรือไม่ ไม่เคย เคย 18. ท่านเคยมีความผิดปกติของการมองเห็นหรือไม่ ไม่เคย เคย 19. ท่านเคยเป็นโรคกลัวที่สูงอย่างรุนแรงหรือไม่ ไม่เคย เคย 20. ท่านเคยเป็นโรคจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท หรือไม่ ไม่เคย เคย 21. ท่านเคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่ ไม่เคย เคย 22. ท่านเคยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่ ไม่เคย เคย 23. ท่านเคยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ไม่เคย เคย 24. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีอาการเลือดออกง่ายหรือไม่ ไม่เคย เคย 25. เฉพาะคนทำงานเพศหญิง – ขณะนี้ท่านตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ไม่ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ 26. เฉพาะคนทำงานเพศหญิง – ประจำเดือนครั้งสุดท้ายของท่านคือเมื่อใด ........................................................................ 27. ท่านเคยมีการเจ็บป่วยเป็นโรคอื่น ๆ หรือมีประวัติทางสุขภาพที่สำคัญอื่นอีกหรือไม่ ไม่เคย เคย (ถ้ามีข้อใดตอบว่า “เคย” กรุณาระบุรายละเอียด).......................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................. ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความที่แจ้งข้างต้นนี้เป็นความจริงทุกประการ ข้าพเจ้ายินยอมให้เปิดเผยข้อมูลสุขภาพของข้าพเจ้า แก่นายจ้าง เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศของข้าพเจ้า ลงชื่อ .................................................................................... ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ


แนวทางการตรวจสุขภาพผูŒทำงานบนที่สูง 27 ใบรับรองแพทย์สำหรับการทำงานบนที่สูง ส่วนที่ 2 ของแพทย์ วันที่________เดือน_______________พ.ศ.__________ ข้าพเจ้า นพ./พญ.____________________________________ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เลขที่__________________ ได้ตรวจร่างกาย นาย/นาง/นางสาว___________________________________________________________________ เมื่อวันที่ (วัน/เดือน/ปี)________________________________ มีรายละเอียด ดังนี้ น้ำหนักตัว____________________กก. ความสูง____________________ซม. ดัชนีมวลกาย___________________กก./ม 2 ความดันโลหิต______________________มม. ปรอท ชีพจร___________________ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ ไม่สม่ำเสมอ สภาพร่างกายทั่วไปจากการตรวจร่างกายภายนอก อยู่ในเกณฑ์ ปกติ ผิดปกติ (ระบุ)________________________________________________________________________________________ ประวัติการใช้ยาประจำ ไม่มี มี (ระบุชื่อยาที่ใช้ประจำ)_____________________________________________ ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบัน ไม่ดื่ม ดื่ม (ระบุความถี่ที่ดื่ม)_________________________________________ ผลการตรวจพิเศษ 1. ภาพรังสีทรวงอก ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 2. สมรรถภาพปอด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 3. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 4. ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 5. ผลตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 6. สมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 7. สมรรถภาพการได้ยินเสียงพูด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 8. ความผิดปกติของรูปร่างลำตัว, มือ, แขน, ขา ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 9. เสียงหายใจ (ตรวจโดยแพทย์) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 10. เสียงหัวใจ (ตรวจโดยแพทย์) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 11. กำลังกล้ามเนื้อแขน (ตรวจโดยแพทย์) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 12. กำลังกล้ามเนื้อขา (ตรวจโดยแพทย์) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) __________________________________ 13. การทรงตัวและการประสานงานของกล้ามเนื้อ (ตรวจโดยแพทย์) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ________________________ แพทย์ได้ทำการตรวจประเมินสุขภาพ เพื่อคัดกรองโรคและความผิดปกติต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออันตรายหาก ทำงานบนที่สูงแล้ว มีความเห็นดังนี้ สามารถทำงานบนที่สูงได้ (Fit to work) สามารถทำงานบนที่สูงได้แต่มีข้อจํากัดหรือข้อควรระวัง ดังนี้ (Fit to work with restrictions or cautions) (รายละเอียด) __________________________________________________________________________ ไม่สามารถทำงานบนที่สูงได้ (Unfit to work) (รายละเอียด) __________________________________________________________________________ ลงชื่อ________________________________________ แพทย์ผู้ตรวจ ข้อควรระวัง งานบนที่สูงจัดเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย นายจ้างจะต้องจัดมาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกันการพลัดตก จากที่สูงให้กับลูกจ้าง ในคืนวันก่อน ทำงานและเช้าวันก่อนทำงาน ลูกจ้างไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนขึ้นไปทำงาน บนที่สูงโดยเด็ดขาด แรงงานหญิงห้ามทำงานบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551


แนวทางการตรวจสุขภาพ คนทำงานในที่อับอากาศ บทที่ 2


1. หลักการและเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีการตรวจสุขภาพคนทำงาน ในที่อับอากาศ การทำงานในที่อับอากาศเป็นการทำงานที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อชีวิตและสุขภาพของ ผู้ปฏิบัติงาน สุขภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงานต้องมีความพร้อมในทุกด้าน เนื่องจากต้องใช้สมรรถนะ ร่างกายสูง การปฏิบัติงานต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และอยู่ภายใต้การดูแลตามมาตรการด้าน ความปลอดภัยจากนายจ้าง รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะของงานที่มีความเสี่ยงสูง ทุกๆ ปี ในประเทศไทย จึงยังพบรายงาน การเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการทำงานชนิดนี้อยู่เสมอ การตรวจประเมินสุขภาพคนทำงานที่จะ เข้าไปทำงานในที่อับอากาศจึงมีบทบาทที่สำคัญ เพื่อพิจารณาให้คนทำงานที่มีความพร้อมของ สุขภาพร่างกายและจิตใจที่มีความสมบูรณ์พร้อมเท่านั้นเข้าไปปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วย ลดโอกาสความสูญเสีย ทั้งการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการทำงานในที่อับอากาศ กฎหมายด้าน แรงงานของประเทศไทย กำหนดให้ลูกจ้างที่จะเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศภาคปฏิบัติ ต้องได้รับการตรวจสุขภาพจากแพทย์ ก่อนทุกราย ซึ่งการดำเนินการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพของ ลูกจ้างเป็นสำคัญ การทำงานในที่อับอากาศ (Confined-space) เป็นการทำงานที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถทำให้คนทำงานเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการทำงานในที่อับอากาศ อันตรายจาก การทำงานในที่อับอากาศจะเพิ่มขึ้น เมื่อภายในที่อับอากาศมีลักษณะที่เป็นบรรยากาศอันตราย (Hazardous atmosphere) ซึ่งอาจเกิดจากการที่มีระดับก๊าซออกซิเจนไม่เหมาะสม ทำให้คนทำงาน เกิดภาวะขาดอากาศหายใจ (Asphyxia) เมื่อเข้าไปทำงาน ความเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดเพลิงไหม้ หรือการระเบิดเนื่องจากมีก๊าซหรือสารไวไฟสะสมอยู่ภายใน หรือได้รับพิษเนื่องจากมีก๊าซพิษที่เป็น อันตรายต่อร่างกายคนทำงานสะสมอยู่ภายใน การจะทำงานในที่อับอากาศได้อย่างปลอดภัยนั้นต้อง มีมาตรการดูแลด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดจากฝ่ายนายจ้าง และการปฏิบัติตามมาตรการด้าน ความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดของตัวคนทำงานเอง ส่วนในทางฝ่ายแพทย์นั้น สามารถช่วยเหลือ คนทำงานในที่อับอากาศให้เกิดความปลอดภัยขึ้นได้โดยการตรวจประเมินสุขภาพของคนทำงาน เพื่อพิจารณาอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีความสมบูรณ์พร้อมของสุขภาพร่างกายและจิตใจเพียงพอเท่านั้น เข้าไปทำงานในที่อับอากาศ นพ.เปรมยศ เป‚›ยมนิธิกุล แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงาน ในที่อับอากาศ แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 29 บทที่ 2


30 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ภาพที่ 1 แสดงจำนวนและผูŒบาดเจ็บและเส�ยชีว�ตในที่อับอาการศ ประเทศไทย ป‚ พ.ศ. 2546-2561 ในส่วนของสถานที่เกิดเหตุ กว่า 60 % จะเกิดในพื้นที่ชนบท ทุ่งนา ไร่ และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเกี่ยวข้อง กับลักษณะงานประเภทต่างๆ เช่น งานขุดเจาะบ่อบาดาลในชนบท งานบ่อบำบัดน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ภาพที่ 2 แสดงสถานที่เกิดเหตุที่พบบ‹อย กลุ‹มเส�่ยง และพฤติกรรมเส�่ยงเกี่ยวกับที่อับอากาศ ในอดีตเคยมีเหตุการณ์การเสียชีวิตจากการทำงานในที่อับอากาศหลายเหตุการณ์นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิต และเกิดการเจ็บป่วยหลายร้อยชีวิต กรมควบคุมโรคเคยได้มีการเก็บข้อมูลในอดีตพบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2546–2561 มีรายงานเหตุการณ์การบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่อับอากาศ ทั้งสิ้น 62 เหตุการณ์มีผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 210 ราย เป็นผู้บาดเจ็บ 80 รายเสียชีวิต 130 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 61.9การบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่อับอากาศ มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะช่วงปี พ.ศ. 2557-2561 และสูงสุดใน พ.ศ.2560 พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 34 ราย


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 31 จากข้อมูลการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) จนถึงปัจจุบันปี 2563 พบเหตุการณ์เสียชีวิตในพื้นที่อับอากาศ 19 เหตุการณ์ มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 60 ราย โดยพบผู้อยู่ใน เหตุการณ์ 2-5 ราย มีผู้เสียชีวิต 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 72 ของผู้ประสบเหตุทั้งหมด สถานที่เกิดเหตุเป็นบ่อน้ำลึก และแคบ ที่มีความลึกตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ได้แก่ บ่อบาดาล บ่อบำบัดน้ำเสีย และบ่อน้ำสำรอง โดยสาเหตุหลักเกิดจาก การลงพื้นที่ไปเพื่อซ่อมแซม ท่อน้ำ วาล์วน้ำ ปั๊มน้ำ หรือทำความสะอาดในพื้นที่อับอากาศ เหตุการณ์เสียชีวิตต่อเนื่อง เกิดจากผู้ที่พบเห็นต้องการลงไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ทั้งนี้ เหตุการณ์เสียชีวิต พบมากในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งเป็นฤดูฝน จากข้อมูลเบื้องต้น จะเห็นได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ประสบอันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศ ผู้ปฏิบัติงาน จะมีความเสี่ยงที่จะเสีบชีวิตสูงมาก ดังนั้น ความสมบูรณ์พร้อมของร่างกายในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศจึงเป็น สิ่งสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่ผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศทุกคนควรได้รับการประเมินภาวะสุขภาพการ ก่อนปฏิบัติงาน 2. นิยามการทำงานในที่อับอากาศ ที่อับอากาศ (Confined Space) หมายความว่า สถานที่ทำงานที่มีทางเข้าออกจำกัด มีการระบายอากาศ ตามธรรมชาติไม่เพียงพอที่จะทำให้อากาศภายในอยู่ในสภาพถูกสุขลักษณะ และปลอดภัยซึ่งอาจเป็นที่สะสมของสารเคมี เป็น พิษ สารไวไฟ รวมทั้งออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่นถังน้ำมัน ถังหมัก ไซโล ท่อ ถัง ถ้ำ บ่อ อุโมงค์ เตา ห้องใต้ดิน ภาชนะ หรือสิ่งอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันนี้ การพิจารณาว่าพื้นที่ใดจัดเป็นพื้นที่อับอากาศ มีปัจจัยในการพิจารณาดังนี้ 1.1 พื้นที่ซึ่งปริมาตรมีขนาดเล็ก ที่ปกติไม่ได้เป็นสถานที่ทำงานประจำหรือไม่ให้คนทั่วไปเข้า-ออก ทำให้แก๊ส หรือไอที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้นไม่สามารถระบายออกไปได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น อาจสูดดมเอาแก๊สพิษเข้าไปในร่างกายหรือมีออกซิเจนไม่เพียงพอรวมถึงอาจมีแก๊สที่ติดไฟได้ในบริเวณนั้น จนเกิด อันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน 1.2 ผู้ปฏิบัติงานคนอื่นๆ ที่อยู่นอกพื้นที่นั้นจะเข้าไปสังเกตการณ์หรือช่วยเหลือผู้ที่กำลังปฏิบัติงานได้ยาก 1.3 ช่องเปิด ทางเข้า-ออก อยู่ไกลจากจุดปฏิบัติงาน มีขนาดเล็ก หรือมีจำนวนจำกัด และเมื่อเกิดเหตุการณ์ บาดเจ็บทำให้ได้รับการช่วยเหลือล่าช้า ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งได้มีการให้คำนิยามลักษณะการทำงานในที่อับอากาศ ได้แก่ กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ ทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ.2562 ที่ได้ให้คำนิยามไว้ว่า ที่อับอากาศ (Confined Space) หมายความว่า ที่ซึ่งมีทางเข้าออกจำกัดหรือไม่ได้ออกแบบไว้สำหรับเป็น สถานที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และ มีสภาพอันตราย หรือ มีบรรยากาศอันตราย เช่น อุโมงค์ ถ้ำ บ่อ หลุม ห้องใต้ดิน ห้องนิรภัย ถังน้ำมัน ถังหมัก ถัง ไซโล ท่อ เตา ภาชนะ หรือสิ่งอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน สภาพอันตราย หมายความว่า สภาพหรือสภาวะที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากการทำงาน โดยมีอย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) มีวัตถุหรือวัสดุที่อาจก่อให้เกิดการจมลงของลูกจ้าง หรือทับถมลูกจ้างที่เข้าไปทำงาน (2) มีสภาพที่อาจทำให้ลูกจ้างตก ถูกกัก หรือติดอยู่ภายใน (3) มีสภาวะที่ลูกจ้างมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากบรรยากาศอันตราย (4) สภาพอี่นใดที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายภาพหรือชีวิตที่อธิบดีประกาศกำหนด บรรยากาศอันตราย หมายความว่า สภาพอากาศที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ (1) มีออกซิเจนต่ำกว่าร้อยละ 19.5 หรือมากกว่าร้อยละ 23.5 โดยปริมาตร (2) มีก๊าซ ไอ หรือละอองที่ติดไฟหรือระเบิดได้ เกินร้อยละ 10 ของค่าความเข้มข้นขั้นต่ำของสารเคมีแต่ละชนิด ในอากาศที่อาจติดไปหรือระเบิดได้ (Lower Flammable limit หรือ lower explosive limit) (3) มีฝุ่นที่ติดไฟหรือระเบิดได้ ซึ่งมีค่าความเข้มข้นเท่ากับ หรือมากกว่าค่าความเข้มข้นต่ำสุดของฝุ่นที่ติดไฟ หรือระเบิดได้แต่ละชนิด (minimum explosible concentration)


32 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work (4) มีค่าความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดเกินมาตรฐานที่กำหนดตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดมาตรฐาน ในการบริหารจัดการฯ เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย (5) สภาวะอื่นใดที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือชีวิตตามที่อธิบดีประกาศกำหนด 3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในสถานที่อับอากาศ ปัจจุบันมีกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในสถานที่อับอากาศ จากกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะ เน้นไปที่ข้อกำหนด และข้อปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ และการรายงานโรคที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานในที่ อับอากาศ ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. 2562 2. ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และหลักสูตรการฝึกอบรมความ ปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ.2563 3. ประกาศคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานด้านการตรวจสอบและรับรอง ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561) ออกตาม ความในพระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ.2551 เรื่อง กำหนดมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ ข้อปฏิบัติการทำงานในที่อับอากาศ 4. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากการประกอบอาชีพ พ.ศ. 2563 4. อันตรายและความเสี่ยงจากการทำงานในสถานที่อับอากาศ การขาดออกซิเจน สาเหตุใหญ่ของการตายในสถานที่อับอากาศ คือ ขาดออกซิเจนในการหายใจ หมายถึง ปริมาณออกซิเจนในสถานที่อับอากาศนั้นน้อยกว่า 19.5 Vol.% หรือมากกว่า 23.5 Vol.% สาเหตุเกิดจากมีการติดไฟ หรือ การระเบิด ไฟจะใช้ออกซิเจนเพื่อการลุกไหม้ การแทนที่ออกซิเจนด้วยก๊าซอื่น เช่น มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน เป็นต้น เกิดการกัดกร่อน หรือ การเกิดสนิม เหล็กใช้ออกซิเจนจากอากาศไปในการเกิดสนิม และ การที่ ออกซิเจนถูกใช้ไปในปฏิกิริยาหมักปฏิกิริยาการเผาไหม้ สาเหตุสำคัญของการตายในสถานที่อับอากาศอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การเกิดไฟ และการระเบิด โดยมีก๊าซ ไอ ละอองที่ติดไฟหรือระเบิดได้ เกินกว่าร้อยละ 10 ของค่าความเข้มข้น ขั้นต่ำของสารเคมีแต่ละชนิดในอากาศที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ (Lower Flammable Limit หรือ Lower Explosive Limit) และมีฝุ่นที่ทำให้ติดไฟหรือระเบิดได้ ซึ่งมีค่าความเข้มข้นเท่ากับหรือมากกว่าค่าความเข้มข้นขั้นต่ำของสารเคมี แต่ละชนิดในอากาศที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ (LEL) สิ่งก่อเหตุคือ สารเคมี สี ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม สารทำละลาย หรือวัตถุจากธรรมชาติ สามารถทำให้เกิดการระเบิดได้ ไอหรือก๊าซที่ทำให้เกิดเปลวไฟ ในสถานที่อับอากาศสามารถ เกิดประกายไฟขึ้นได้ จากการกระทำดังนี้ การเกิดไฟฟ้าช็อต การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ป้องกันการเกิดประกายไฟ การขัด การสูบบุหรี่ การเชื่อมโลหะ สารพิษ เป็นอันตรายเมื่อมีค่าความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดเกินมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้าน ความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย สารพิษหลายชนิดที่ไม่สามารถ มองเห็นได้ หรือได้กลิ่น สามารถทำให้เกิดอันตรายใหญ่ๆ ได้ 2 แบบ ในสถานที่อับอากาศ คือ การระคายเคือง ถึงแม้ จะมีสารพิษเพียงเล็กน้อย แต่ก็อาจมีผลกับระบบทางเดินหายใจ หรือระบบประสาทและฆ่าคุณได้ การขาดออกซิเจน จากสารเคมี เมื่อสารเคมีเป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สามารถไปหยุดการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย หรือนำไปสู่ปอด และทำให้ ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้ ก๊าซพิษที่ทำให้เกิดอันตรายในสถานที่อับอากาศ บ่อยๆ คือคาร์บอนมอนนอกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้ สามารถทำให้ตายได้ โดยการเข้าไปแทนที่ออกซิเจนในเลือด ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีกลิ่นเหม็น และมีพิษ แม้จะมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เกิดในขบวนการอุตสาหกรรม สามารถทำให้หยุดการหายใจ ถ้าเข้าไปในร่างกาย


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 33 อันตรายทางกายภาพ ส่วนของเครื่องจักรที่เคลื่อนไหว ถ้าอยู่ในสถานที่อับอากาศยิ่งจะมีอันตรายมาก ส่วนของ เครื่องจักรที่เคลื่อนไหวจะต้องถูกล็อคใส่กุญแจ และแขวนป้ายก่อนที่จะเข้าไปทำงานในบริเวณนั้น วาล์วหรือท่อ ทำให้เกิดอันตราย ถ้ามีก๊าซ หรือของเหลวไหลผ่านอาจทำให้เกิดการระเบิด จมน้ำ เกิดพิษ หรือ น้ำร้อนลวก ฯลฯ การถูกดูดจมจะเกิดที่ไซโลที่เก็บเมล็ดพืชผล การขึ้นไปเดินบนเมล็ดพืชผลนั้น อาจทำให้ล้มลงและดูดจมลงไปใน เมล็ดพืชผลนั้น เกิดการขาดอากาศหายใจ นอกจากนี้การสัมผัสเสียงดังจากเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติงาน อาจทำให้เกิด การสูญเสียการได้ยินแบบถาวร หรือถึงแม้จะเป็นการชั่วคราวก็จะทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงที่จะบอกทิศทางที่สำคัญ หรือการระวังอันตราย ในส่วนของอุบัติเหตุก็มีความเสี่ยงจากตกจากที่สูง ในสถานที่อับอากาศที่อาจมีลักษณะที่ทำให้ เกิดการพลัดตก สะดุด หรือหกล้มได้ 5. สถานที่ทำงานอับอากาศ โดยทั่วไปนั้น สถานที่อับอากาศจะมีบางส่วนที่เป็นพื้นที่ปิดซึ่ง • ไมไดออกแบบหรือตั้งใจใหมีคนทำงานอยูในนั้นตลอดเวลา • มีทางเข้าและออกขนาดเล็ก จำกัด หรือมีรูปร่างซึ่งการทำปฐมพยาบาล การช่วยเหลือ การอพยพ หรือการ ตอบสนองฉุกเฉินใดๆ จะทำลำบาก • มีความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับคนทำงานที่เข้าไป เกิดจากหนึ่งหรือสองปัจจัยดังนี้คือ o การออกแบบ การก่อสร้าง ตำแหน่ง หรือบรรยากาศ o วัสดุ หรือสารภายในนั้น o กิจกรรมที่ทำภายในนั้น หรือ o มีเครื่องจักร กระบวนการ และสิ่งคุกคามต่อความปลอดภัย ที่อับอากาศอาจจะอยู่เหนือดินหรือไต้ดิน และพบในเกือบทุกสถานประกอบการ ที่อับอากาศไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ ขนาดเล็ก ตัวอย่างที่อับอากาศได้แก่ ไซโล ถัง ถังกรวย ห้องนิรภัย ถังนำ หอเก็บน้ำ ท่อน้ำทิ้ง ท่อต่างๆ ทางลงแคบ ๆ ลงไปถังหรือห้องใต้ดิน ตู้รถบรรทุกหรือตู้รถไฟ ปีกเครื่องบิน หม้อต้มน้ำ (boiler) หลุม ห้องย่อยขยะ หลุมปุ๋ย และ ถังเก็บขยะ คู สระน้ำ และ สนามเพาะ ก็จัดเป็นที่อับอากาศ เมื่อมีทางเข้าและทางออกจำกัด เรือบรรทุก ตู้เก็บสินค้า บนเรือ และห้องเย็นเก็บปลาก็อาจจะเป็นที่อับอากาศได้ 6. Functional Capacity Evaluation ของผู้ที่ทำงานในที่อับอากาศ คนทำงานที่ลงไปทำงานในที่อับอากาศ จะต้องมีการเคลื่อนไหวที่สะดวก มีความแข็งแรง มีความยืดหยุ่นของ กล้ามเนื้อที่ดี การได้ยิน และการมองเห็นดี การสื่อสารสามารถเข้าใจได้ สามารถใช้เครื่องช่วยหายใจได้ ต้องไม่เป็น โรคกลัวที่แคบ และวิตกกังวล ต้องไม่กินสารเสพติดขณะทำงาน และต้องไม่มีโรคประจำตัวที่อาจกำเริบ หรือเป็นภาระ ต่อเพื่อนร่วมงาน ตารางที่ 1 แสดงความต้องการในงาน และภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ความต้องการในงาน ภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้อง 1. การปีนบันใดสูงประมาณ 15 เมตรหรือ ไต่บันไดหลายขั้น 2. มีการเคลื่อนไหวดี อาจต้องโรยตัว ด้วยเชือก 3. ต้องสื่อสารตามความเหมาะสม 4. ต้องทำงานในท่านิ่งนานๆ และอาจต้องใช้ เครื่องช่วยหายใจ 5. ไม่มีโรคประจำตัว เพราะจะกำเริบได้ 6. สามารถทำงานได้ ต้องมี aerobic fitness มีความแข็งแรงของแขนและขาเพียงพอ มีการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อตัวดี ทรงตัวได้ดี การมองต้องดี มีแรงจับที่มือดี มีแขนแข็งแรงดีเพื่อดึงเชือก ด้วยความแรงมากกว่า 25 กิโลกรัมน้ำหนักตัวต้องพอเหมาะ เนื่องจากอาจจะต้อง แบกเครื่องมือลงไปด้วย การได้ยิน การสื่อสารต้องดี ต้องมองเห็นชัดเจน ร่างกายต้องมีความยืดหยุ่น มีรูปร่างดี และน้ำหนักดี ไม่กลัวที่แคบ ถ้าใส่เครื่องช่วยหายใจต้องตรวจความฟิตด้วย ไม่มีโรคประจำตัวที่ทำให้หมดสติได้ ไม่กลัวที่แคบ ไม่มีความวิตกกังวล หรือโรคทางจิตเวช หรือความกลัว ไม่มีโรคเรื้อรัง (สามารถฝึกทำงานในที่อับอากาศได้ตามกฎหมาย)


34 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 7. การประเมินสมรรถภาพทางร่างกายและข้อห้ามทางสุขภาพสำหรับการทำงาน ในสถานที่อับอากาศ เนื่องจากที่อับอากาศเป็นสถานที่ทำงานที่มีอันตรายสูง แพทย์ผู้ตรวจประเมินสุขภาพจึงควรพึงระลึกไว้เสมอว่า การให้คนเข้าไปทำงานในที่อับอากาศนั้นเป็นการให้คนเข้าไปทำงานในสถานที่ที่มีความเสี่ยง เมื่อเข้าไปทำงานในที่ อับอากาศแล้ว ไม่มีคนทำงานใดที่ไม่เสี่ยง แม้ว่าคนทำงานนั้นจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีสักเพียงใดก็ตาม หากเกิด สภาวะขาดอากาศขึ้นแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยได้ รายงานผู้ป่วยในอดีตพบว่าคนทำงานที่มีประวัติ สุขภาพดี ไม่มีประวัติโรคประจำตัว หากประสบสภาวะขาดอากาศหรือได้รับก๊าซพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็สามารถเกิด การเจ็บป่วยเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ การตรวจประเมินสุขภาพของคนทำงานก่อนเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ จึงเป็น การดำเนินการที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากแพทย์อนุญาตให้คนที่มีสุขภาพไม่พร้อม มีความเจ็บป่วย ที่เป็นอันตรายอยู่เดิม ให้เข้าไปทำงานในที่อับอากาศแล้ว อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิต และความเจ็บป่วยจากการทำงานในที่อับอากาศ ทั้งต่อตัวคนทำงานนั้นเอง และต่อเพื่อนร่วมงานของเขาได้ แพทย์จึง ควรทำการตรวจประเมินสุขภาพด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ระบบการทำงานในด้านต่างๆ ของร่างกายที่ควรได้รับการประเมิน ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบการ หายใจ ระบบประสาท ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบโลหิต ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ ระบบทางเดินอาหาร ระบบการได้ยิน ระบบการมองเห็น และภาวะทางด้านอารมณ์และจิตใจ โดยการประเมินเบื้องต้น ได้แก่การซักประวัติ และตรวจประเมินภาวะสุขภาพในด้านต่างๆ ดังนี้ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Myocardial infarction) รวมถึงอาการเจ็บหน้าอก แบบอันตราย (Unstable angina) เป็นกลุ่มโรคที่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต หากกล้ามเนื้อหัวใจเคยมีภาวะ ขาดเลือดหรือตายไปบางส่วนแล้ว การเข้าไปทำงานในที่อับอากาศซึ่งมีความเสี่ยงที่จะมีบรรยากาศอันตรายจากสภาวะ ออกซิเจนต่ำ อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดเป็นโรคขึ้นซ้ำอีกในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติชัดเจนว่า เคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือเคยมีอาการเจ็บหน้าอกแบบ อันตรายมาแล้วในอดีต จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณีที่ผู้มารับการตรวจไม่ทราบ การวินิจฉัยในอดีตของตนเองชัดเจน ตรวจร่างกายพบว่าปกติ แต่มีประวัติอาการเจ็บหน้าอกที่ชวนให้สงสัย แพทย์ควร ส่งไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การตรวจวิ่งสายพาน (Exercise stress test; EST) หรือการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiography) ภาวะลิ้นหัวใจหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่ว กลุ่มโรคลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease) ทั้งชนิดลิ้นหัวใจตีบ (Stenosis) และชนิดลิ้นหัวใจรั่ว (Insufficiency) รวมถึงโรคผนังหัวใจรั่ว (Heart septal defect) เป็นกลุ่มโรคหัวใจที่ควรให้ความสำคัญ การตรวจ ร่างกายผู้ป่วยในกลุ่มนี้อาจได้ยินเสียงฟู่ (Murmur) ที่ตำแหน่งต่างๆ ของหัวใจ หรืออาจไม่ได้ยินก็ได้ ผู้ป่วยแต่ละราย มีอาการรุนแรงได้แตกต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งที่ตีบหรือรั่ว ความรุนแรงของการตีบหรือรั่ว ขนาดของ รูที่รั่ว ทิศทางการไหลของเลือด ทำการผ่าตัดรักษาแล้วหรือไม่ และทำการผ่าตัดรักษาเมื่อใดหากเกิดสภาวะที่มีการ เปลี่ยนทิศทางการไหลของเลือด (Shunt) ไม่ว่าจากห้องขวาไปซ้าย (Right-to-left shunt)หรือห้องซ้ายไปขวา (Left-to-right shunt) อย่างมากแล้ว กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก เนื่องจากอวัยวะร่างกายจะได้รับออกซิเจนจากเลือดไป เลี้ยงน้อยลงกว่าปกติ หากตรวจพบมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการของหัวใจล้มเหลวหอบเหนื่อย ตัวเขียว ภาพรังสี ทรวงอกพบหัวใจโตชัดเจน ยิ่งเป็นการสนับสนุนว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณีที่ตรวจร่างกาย พบเสียงฟู่ โดยผู้ป่วยไม่เคยได้รับการวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่วมาก่อน แนะนำให้ส่งตัวไปตรวจ วินิจฉัยกับอายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการหาสาเหตุและประเมินความรุนแรงของโรคด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียด มากขึ้น เช่น การทำอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) สาเหตุอีกอย่างหนึ่งของเสียงฟู่ที่หัวใจอาจเกิดจาก โลหิตจางมาก (Hemic murmur) แพทย์ควรพิจารณาระดับฮีโมโกลบินและความเข้มข้นเลือดประกอบด้วย กล่าวโดย สรุปคือเมื่อใดก็ตามที่ตรวจร่างกายพบเสียงฟู่ที่หัวใจแพทย์ควรส่งตัวผู้ป่วยไป


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 35 ตรวจหาสาเหตุก่อนเสมอ และยังไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณีที่ตรวจร่างกายไม่พบเสียงฟู่ และระบบร่างกาย ส่วนอื่นปกติ แต่ผู้มาเข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ส่งตัวไปตรวจวินิจฉัยกับอายุรแพทย์ โรคหัวใจให้แน่ชัดเสียก่อนเช่นกัน ในกรณีที่เป็นโรคลิ้นหัวใจหรือผนังหัวใจรั่ว แต่เข้ารับการผ่าตัดรักษาขยายส่วนที่ตีบ หรือเย็บซ่อมปิดรูรั่วแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ทำการผ่าตัดรักษามาตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่อาการยังไม่เป็นมาก การตรวจร่างกาย นอกจากรอยแผลผ่าตัดที่หน้าอกแล้ว ไม่พบอาการผิดปกติอื่น ไม่มีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และไม่มีข้อมูลอื่น ที่บ่งชี้ถึงลักษณะที่เป็นความเสี่ยง กลุ่มนี้ประเมินได้ว่ามีความเสี่ยงเท่ากับคนทั่วไป สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ส่วนกรณีที่เป็นโรคลิ้นหัวใจแล้วผ่าตัดแก้ไขด้วยการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักต้องใช้ยาต้านการแข็งตัว ของเลือด(Anticoagulant drug) เป็นประจำ ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย จึงจัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ ภาวะหัวใจโต ในกรณีที่พบลักษณะหัวใจโตที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากภาพรังสีทรวงอกและคลื่นฟ้าหัวใจ จัดว่ากลุ่มนี้มีอาการ รุนแรงและเสี่ยงมาก ยิ่งหากตรวจร่างกายพบอาการร่วมด้วย เช่น หอบเหนื่อย ปอดบวมน้ำ ตัวเขียวตัวบวม จะยิ่งเป็น ข้อมูลสนับสนุนว่าโรคมีความรุนแรงและเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ให้ประวัติว่าเคยเป็นโรคหัวใจโต แต่ทำการตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติ พิจารณาจากภาพรังสีทรวงอกและ คลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วไม่สามารถสรุปการวินิจฉัยได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจวินิจฉัยยืนยันกับ อายุรแพทย์โรคหัวใจ เพื่อทำการตรวจประเมินด้วยเครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การทำอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เพื่อจะได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ขนาดของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ ความสามารถ ในการบีบตัวของหัวใจ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจมีอาการเพียงบางชั่วขณะ ทำให้ขณะที่ตรวจคัดกรองคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ไม่พบความผิดปกติ แต่โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางโรคมีความรุนแรงสูง ก่อความเสี่ยงทำให้หมดสติเฉียบพลัน ซึ่งจัดว่าเป็นอันตรายอย่างมากต่อคนทำงานในที่อับอากาศ ในขณะที่บางโรคมีความรุนแรงไม่สูง ไม่ก่อความเสี่ยง ต่อการหมดสติเฉียบพลัน จึงสามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติว่าเคย ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่มีความเสี่ยงต่อการทำให้หมดสติเฉียบพลัน เช่น Sick sinus syndrome, Wolff–Parkinson–White syndrome, Atrial fibrillation แม้ว่าผลการตรวจคัดกรอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจในวันที่เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้นจะเป็นปกติ ในกลุ่มนี้ก็จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่ อับอากาศในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยมีประวัติได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจากแพทย์ แต่ไม่ทราบชื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด อาจมียาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ หรือยาที่รับประทานเฉพาะขณะที่มีอาการ แต่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไม่ทราบชื่อยา แพทย์ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ถ้ามีประวัติเคยหมดสติเฉียบพลันจาก ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดดังกล่าวนั้น จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศถ้าไม่เคยมีประวัติ หมดสติเฉียบพลัน แต่มีอาการ ใจสั่น เจ็บหน้าอกผิดปกติ แพทย์ควรแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนำข้อมูล การรักษามาให้แพทย์พิจารณาเพิ่มเติม เช่น ประวัติการรักษา ใบรับรองแพทย์ที่มีรายละเอียดชื่อการวินิจฉัยโรค ใบสั่งยา หรือเม็ดยาที่รับประทาน หากไม่ได้ข้อมูลเหล่านี้ หรือแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่าสรุปการวินิจฉัยและประเมิน อาการไม่ได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจยืนยันกับอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อความปลอดภัย ภาวะโรคหัวใจอื่นๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคหัวใจชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นและแพทย์ พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานในที่ อับอากาศ ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อความปลอดภัยต่อไป


36 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ภาวะโรคหอบหืด โรคหอบหืดหรือโรคหืด (Asthma) เป็นโรคที่เกิดการอักเสบและตีบแคบของหลอดลม เมื่อเกิดอาการจะทำให้ ผู้ป่วยหอบเหนื่อย หายใจเร็ว และหายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) โรคหอบหืดเป็นโรคที่มีความรุนแรงหลายระดับ ตั้งแต่มีอาการเป็นบางครั้ง (Intermittent) ไปจนถึงมีอาการหอบเหนื่อยเป็นประจำ (Persistent)การทำงานในที่ อับอากาศมีความเสี่ยงต่อคนเป็นโรคหอบหืดได้หลายประการ เช่น มีลักษณะของบรรยากาศอันตรายเนื่องจากมีสภาวะ ออกซิเจนต่ำ มีการใช้สารเคมีที่กระตุ้นภาวะหอบหืดอยู่ในที่อับอากาศนั้น ยิ่งหากมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบ ทางเดินหายใจแบบชนิดที่มีระบบจ่ายอากาศในตัว (SCBA) หรือชนิดจ่ายอากาศทางท่อ(Air-line respirator) ในการทำงาน แสดงว่าภายในที่อับอากาศนั้นน่าจะมีลักษณะของบรรยากาศอันตรายเนื่องจากมีสภาวะออกซิเจนต่ำ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหอบหืดในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติชัดเจนว่าเป็นโรคหอบหืด มีการใช้ยาขยายหลอดลมเพื่อควบคุมอาการ โดยทั่วไปจัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณี ที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยได้รับข้อมูลจากแพทย์ในอดีตว่าอาจเป็นโรคหอบหืด แต่ไม่ทราบการวินิจฉัยชัดเจน ไม่มีการใช้ยาขยายหลอดลม แพทย์ควรหาข้อมูลเพิ่มเติม ทำการตรวจร่างกายฟังเสียงการหายใจว่ามีเสียงหวีดหรือไม่ และพิจารณาผลการตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ และผลตรวจภาพรังสีทรวงอก หากพบมีความผิดปกติ เข้าได้กับโรคหอบหืด ควรแนะนำผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ไปทำการรักษากับอายุรแพทย์โรคทรวงอก และไม่ควร ให้ทำงานในที่อับอากาศ ภาวะโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease; COPD) และถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสูบบุหรี่ และส่วนน้อยมาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น มลพิษในอากาศ มลพิษจากการทำงาน อาการของโรคจะทำให้หอบเหนื่อย ไอ และมีเสมหะเพิ่มขึ้น เมื่อเป็นโรคแล้วอาการมักเป็น มากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลของความเสี่ยงจากการทำงานในที่อับอากาศของผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังและถุงลม โป่งพองนั้นคล้ายกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด คืออาจต้องพบกับสภาวะที่เป็นอันตรายจนทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้น ระหว่างทำงานอยู่ในที่อับอากาศได้ แนวทางในการพิจารณาความเสี่ยงก็มีหลักการพิจารณาคล้ายคลึงกับผู้ป่วย โรคหอบหืดเช่นกัน คือโดยทั่วไปแล้วจัดว่าผู้ป่วยโรคนี้มีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ ภาวะโรคปอดชนิดอื่นๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคปอดชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นและแพทย์ พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานในที่ อับอากาศ ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์โรคทรวงอกเพื่อความปลอดภัยต่อไป ภาวะโรคลมชักและอาการชัก ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพป่วยเป็นโรคลมชัก (Epilepsy) มีความเสี่ยงที่จะหมดสติเนื่องจากชักขณะ ที่กำลังทำงานอยู่ในที่อับอากาศได้ แม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถควบคุมอาการชักได้แล้วหรือไม่ก็ตามเมื่อลงไปทำงาน ในที่อับอากาศ อาจพบกับสภาวะขาดอากาศ ซึ่งทำให้มีโอกาสได้รับอันตรายจากอาการชักโดยทั่วไปผู้ป่วยเป็นโรคนี้ จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศยกเว้นในกรณีที่เป็นโรคลมชักชนิดกลางคืน (Nocturnal epilepsy) ซึ่งเป็นโรคลมชักชนิดพิเศษที่พบได้ไม่บ่อยนัก คือจะมีอาการชักเฉพาะเมื่อนอนหลับเท่านั้น และการวินิจฉัย ที่แน่ชัดต้องทำโดยการศึกษาคลื่นสมองของผู้ป่วยขณะนอนหลับ (Sleep study) เอกสารอ้างอิงบางฉบับอนุญาตให้ ผู้ป่วยโรคลมชักชนิดนี้ทำงานในที่อับอากาศได้ [31] อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยให้ประวัติเป็นโรคลมชักชนิดนี้ แต่แพทย์ ยังไม่สามารถสรุปการวินิจฉัยได้ชัดเจน ควรส่งพบอายุรแพทย์ระบบประสาทเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรค ชนิดนี้จริงในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไม่ได้ป่วยหรือไม่เคยทราบว่าป่วยเป็นโรคลมชัก แต่เคยมีอาการชัก (Seizure or fit) เกิดขึ้น แพทย์ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมว่าอาการชักนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นบ่อยเพียงใดและ คาดว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุ เช่น ภาวะเนื้องอกในสมอง การติดเชื้อในสมอง การขาดแอลกอฮอล์ในผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ ครรภ์เป็นพิษ หรือสาเหตุอื่น ถ้าไม่สามารถยืนยันสาเหตุได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ กับอายุรแพทย์ระบบประสาท พร้อมทั้งทำการรักษาตา


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 37 ภาวะการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) และอาการสั่นแบบพาร์กินสัน (Parkinsonism) จากสาเหตุอื่นๆ เช่น การใช้ยาทางจิตเวช ภาวะหลังการติดเชื้อในสมอง เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้ร่างกาย เกิดอาการ สั่น แข็งเกร็ง เคลื่อนไหวช้า เดินเซ เป็นอุปสรรคต่อการทำงานในที่อับอากาศ และอาจก่ออันตรายหากเกิด เหตุฉุกเฉินขึ้น ผู้เข้ารับการตรวจที่เป็นโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติเหล่านี้ จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ ทำงานในที่อับอากาศโรคกลุ่มกล้ามเนื้ออ่อนแรงและอัมพาต เช่น โรคกลุ่มกล้ามเนื้อฝ่อลีบจากพันธุกรรม (Muscular dystrophy) โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส (Myasthenia gravis; MG) โรคทางพันธุกรรมกลุ่มมีอาการอัมพาตเป็นระยะ (Periodic paralysis) เช่น โรคอัมพาตเป็นระยะจากเหตุโพแทสเซียมต่ำ (Hypokalemic periodic paralysis) โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต อาจเกิดอาการเป็นระยะหรือเกิดตลอดเวลา และบางโรค อาการจะถูกกระตุ้นด้วยการออกกำลังอย่างหนัก อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานเคลื่อนไหวร่างกายในที่อับอากาศ และ อาจเป็นอุปสรรคต่อการหลบหนีออกจากที่อับอากาศหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น โดยทั่วไปจัดว่ามีความเสี่ยงมากไม่ควร ให้ทำงานในที่อับอากาศยกเว้นในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจเคยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและอัมพาตจากกลุ่มอาการ กิลแลง-บาร์เร่ (Guillan-Barré syndrome; GBS) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่สามารถหายขาดได้ หากหายโดยยังมีอาการ ตกค้าง จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ แต่หากหายโดยไม่มีอาการตกค้าง อาจพิจารณา อนุญาตให้ไปทำงานในที่อับอากาศได้เป็นรายๆ ไป ถ้าแพทย์พิจารณาแล้วว่าลักษณะของที่อับอากาศที่จะเข้าไปทำงาน นั้นไม่มีปัจจัยเสี่ยงเกินกว่าปกติ และผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ หากไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน ควรส่งพบอายุรแพทย์ ระบบประสาทเพื่อทำการประเมินอาการของโรคโดยละเอียดอีกครั้ง ภาวะโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular accident or stroke) ไม่ว่าหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) หรือหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) รวมถึงภาวะหลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะ (Transient ischemic attack; TIA) มักทำให้เกิดความผิดปกติเนื่องจากมีเซลล์สมองตายหรือทำงานผิดปกติไป บางส่วนโรคหลอดเลือดสมองอาจก่อผลแทรกซ้อนเป็นอาการอัมพาต (Paralysis) ที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมา ส่วนภาวะหลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะผู้ป่วยจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหรือ ภาวะเหล่านี้แล้ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือภาวะเหล่านี้ขึ้นได้อีกหากมีปัจจัยเสี่ยงกระตุ้น การทำงานในที่ อับอากาศทำให้เกิดความเสี่ยง เนื่องจากอาจมีสภาวะขาดออกซิเจน อาจมีการใช้กำลังกายอย่างมากในการทำงาน ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ในทางกลับกันอาการอัมพาตอาจทำให้เกิดข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวภายในที่อับอากาศ กล่าวโดยสรุปแล้ว หากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองไม่ว่าชนิดใดก็ตาม หรือเคยมีภาวะ หลอดเลือดสมองตีบชั่วขณะ หรือเคยมีอาการอัมพาตเกิดขึ้น จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ ภาวะโรคประสาทชนิดอื่นๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีประวัติเป็นโรคระบบประสาทชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง การติดเชื้อในสมอง และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการ การตรวจร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานในที่อับอากาศ ควรส่งตัวผู้เข้ารับการ ตรวจสุขภาพไปตรวจประเมินกับอายุรแพทย์โรคระบบประสาทเพื่อความปลอดภัยต่อไป ภาวะโรคปวดข้อหรือข้ออักเสบเรื้อรัง อาการปวดข้อ (Joint pain) และข้ออักเสบเรื้อรัง (Chronic arthritis) อาจพบได้ในหลายโรค เช่นโรคเก๊าต์ (Gouty arthritis) โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis; OA)อาการปวดข้อนี้ หากเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการอักเสบกำเริบ อาจทำให้จำกัดความคล่องตัวของคนทำงานในที่อับอากาศได้ อย่างมาก หากอาการปวดเกิดขึ้นในบริเวณข้อที่รับน้ำหนัก เช่น ข้อกระดูกสันหลังข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า อาจทำให้ จำกัดความสามารถในการทำงานได้มาก แพทย์ควรพิจารณาแนะนำผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพตามความเหมาะสมของ อาการโรคและลักษณะการทำงาน หากอาการปวดข้อมีไม่มากนัก


38 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ภาวะโรคกระดูกและข้ออื่นๆ ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ มีโรคหรือความผิดปกติของกระดูกและข้อชนิดอื่น เช่น นิ้วขาด ข้อยึดติด ผิดรูป กระดูกพรุน หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท และแพทย์พิจารณาจากการสอบถามอาการการตรวจ ร่างกาย และข้อมูลอื่นเท่าที่มีแล้ว เห็นว่าโรคอาจมีผลต่อการทำงานในที่อับอากาศ ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ไปตรวจประเมินกับแพทย์โรคกระดูกและข้อเพื่อความปลอดภัยต่อไป ภาวะโรคกลัวที่แคบ โรคกลัวที่แคบ (Claustrophobia) เป็นภาวะทางจิตใจที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสถานที่มืดและแคบ ถ้าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ข้อมูลยืนยันว่ามีภาวะนี้ ไม่ควรให้ทำงานในที่ อับอากาศ ถ้าไม่มั่นใจในการวินิจฉัย ควรส่งพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยยืนยันต่อไป ภาวะทางจิตใจอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท โรคจิต (Psychosis) เช่น โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) โรคจิดเภท (Schizophrenia) เป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชที่มีอาการรุนแรง ทำให้เกิดภาวะหลงผิด ประสาทหลอน ผู้ป่วยอาจมีความคิด การตัดสินใจและ การเข้าสังคมที่ผิดปกติไป ก่อความเสี่ยงหากต้องเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ ซึ่งเป็นงานที่มีอันตรายสูง มีความเครียด บางงานต้องทำร่วมกันหลายคน และการตัดสินใจของคนทำงานคนหนึ่งมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมงานคนอื่น ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ประวัติเคยเป็นโรคจิตมาก่อน จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากไม่แนะนำให้ทำงานในที่ อับอากาศ กรณีที่แพทย์สรุปการวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน ควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ยืนยันต่อไป ภาวะโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus; DM) เป็นโรคของระบบต่อมไร้ท่อที่พบได้บ่อย อาการของโรคหากไม่ ทำการรักษาจะทำให้ กระหายน้ำบ่อย หิวบ่อย ปัสสาวะบ่อย ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมักจะสูงผิดปกติอาการในผู้ที่ ทำการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีอาจมีเพียงเล็กน้อย แต่ในผู้ที่ไม่ได้ทำการรักษาหรือควบคุมระดับน้ำตาลได้ ไม่ดีอาจมีอาการรุนแรง ทำให้เกิดภาวะโคม่า (Diabetic coma) จากระดับน้ำตาลที่สูง (Hyperglycemia) หรือต่ำ (Hypoglycemia) จนเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน อาจพบภาวะ แทรกซ้อน เช่น ตามัว ไตวาย อาการชาที่ปลายเท้า เป็นแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว และเกิดเป็นเนื้อตายที่เท้า โรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (DM type 1) ซึ่งผู้ป่วยจะเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อยและต้องรักษา ด้วยการฉีดอินซูลิน กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2) ซึ่งมักเป็นเมื่ออายุมาก และการรักษามักใช้ยารับประทาน แต่ในบางรายที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ก็จำเป็นต้องใช้อินซูลินในการรักษาเช่นกันในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดอินซูลินและเป็นชนิดที่มีความเสี่ยงต่อภาวะโคม่าจาก เบาหวานสูง จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพให้ข้อมูลว่า เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ให้ทำการพิจารณาเป็นรายๆ ไปโดย (1.) หากเคยเกิดภาวะโคม่าจากเบาหวาน เช่น ภาวะโคม่าจากเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Diabetic ketoacidosis; DKA) ภาวะโคม่าจากออสโมล่าห์สูงเกิน (Hyperosmolar hyperglycemic state; HHS) ภาวะโคม่าจากระดับน้ำตาลต่ำรุนแรง (Severe hypoglycemia) กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ (2.) ในกรณีที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี จนต้องใช้การฉีดอินซูลิน ในการรักษา กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ (3.) ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจาก เบาหวาน เช่น ตามัว ไตวาย แผลเรื้อรังที่เท้ากลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ (4.) ในกรณี ที่เป็นเบาหวานแต่ไม่เคยได้รับการรักษาเลย แพทย์ควรแนะนำให้ไปรักษาก่อน เมื่อคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีแล้ว จึงค่อยนัดมาตรวจประเมินสุขภาพใหม่ (5.) ในกรณีที่ทำการรักษาอยู่แล้วและคุมระดับน้ำตาลได้ดี ไม่เคยเกิดภาวะโคม่า จากเบาหวาน ไม่ต้องใช้อินซูลินในการรักษา และไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ แต่ควรให้ คำแนะนำให้ระมัดระวังการเกิดบาดแผลจากการทำงาน และไม่ให้ทำงานหักโหมจนเสี่ยงต่อการหมดสติ ในกลุ่มนี้แพทย์ อาจขอข้อมูลการรักษาเดิม หรือทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting blood sugar) เพื่อมาเป็น ข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้ และแพทย์อาจนัดมาตรวจติดตามอาการเป็นระยะด้วยก็ได้ถ้าเห็นว่า มีความจำเป็น


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 39 ภาวะโรคเลือดออกง่ายหยุดยาก ภาวะเลือดออกง่าย (Bleeding disorder) เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นจากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophelia) โรควอนวิลลิแบรนด์ (Von Willebrand disease) หรือจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ภาวะ ตับวาย ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ภาวะขาดวิตามินเค การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด โรคเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ เลือดออกง่าย เมื่อเลือดออกแล้วจะหยุดยาก ทำให้เกิดความเสี่ยงเมื่อเข้าไปทำงานในที่อับอากาศซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็น สถานที่คับแคบ อาจต้องปีนป่ายเข้าไปทำงาน ต้องใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลซึ่งบางครั้งมีความเทอะทะ มีความ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการกระทบกระแทกได้ง่าย อาจเกิดการฟกช้ำ เลือดกำเดาไหลเลือดออกในข้อ และหากเกิด การหมดสติขึ้น ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกเนื่องจากการล้มฟาดได้มากกว่าคนทั่วไป หากล้มศีรษะฟาดอาจเกิดเลือดออกในสมอง โดยสรุปจัดว่าผู้เป็นโรคกลุ่มนี้มีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่ อับอากาศ ภาวะโรคไส้เลื่อน ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่มีโรคไส้เลื่อน (Hernia) ไม่ว่าที่ตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อเข้าไปทำงานออกแรงในที่ อับอากาศ อาจทำให้เกิดการเกร็งจนความดันในช่องท้องสูงขึ้น มีอาการกำเริบทำให้ปวดบริเวณไส้เลื่อนได้ จึงไม่ควร ให้ทำงานในที่อับอากาศ และแพทย์ควรแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปทำการผ่าตัดแก้ไขเสียก่อน หลังจาก ทำการผ่าตัดแก้ไขแล้ว สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ภาวะการตั้งครรภ์ ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิง ควรได้รับการสอบถามเกี่ยวกับภาวะการตั้งครรภ์ด้วย เนื่องจากการทำงาน ในที่อับอากาศ อาจมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการกระทบกระแทก เนื่องจากทำงานในที่แคบอาจมีลักษณะ ของบรรยากาศอันตราย เนื่องจากมีการใช้สารเคมีซึ่งที่มีผลต่อทารกในครรภ์ เช่น ไอตะกั่วจากงานเชื่อมโลหะ ตัวทำละลายในสีหรือกาว การทำงานในสถานที่แคบและอากาศไม่ไหลเวียน ทำให้คนทำงานที่ตั้งครรภ์มีโอกาสสูดดม สารเคมีที่เป็นอันตรายเหล่านี้เข้าไปได้มากกว่าสภาวะปกติ อาจเป็นผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ หากพบว่าผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพเพศหญิงกำลังตั้งครรภ์อยู่ จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ แพทย์ควร แนะนำให้เปลี่ยนไปทำงานอื่นที่เหมาะสมก่อนในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งนี้ ควรมีการสอบถามเกี่ยวกับประวัติ ประจำเดือนครั้งสุดท้าย การคัดกรองนี้เพื่อเป็นการทวนสอบในเรื่องการตั้งครรภ์ เนื่องจากคนทำงานเพศหญิงบางราย อาจไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ในขณะที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ จึงควรทำการถามคำถามประวัติประจำเดือน ครั้งสุดท้าย (Last menstrual period; LMP) ของคนทำงานเพศหญิงทุกรายด้วย หากพบว่ามีประวัติประจำเดือน ขาดหายไป หรือประวัติชวนให้สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรทำการตรวจปัสสาวะหาการตั้งครรภ์ (Urine pregnancy test; UPT) ในผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิงรายนั้น เพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัย และหากพบว่าตั้งครรภ์ ไม่ควรให้ ทำงานในที่อับอากาศ ภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นๆ นอกจากโรคต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแล้ว หากพบว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพเคยเจ็บป่วยเป็นโรคชนิดอื่นๆ หรือมีประวัติทางสุขภาพที่สำคัญอื่น แพทย์ควรพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบว่าโรคที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ กำลังเป็นหรือเคยเป็นนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำงานในที่อับอากาศหรือไม่ การสอบถามรายละเอียดความ รุนแรงของโรค ข้อมูลลักษณะการทำงาน การตรวจร่างกาย และการส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมตามความจำเป็น จะช่วยให้ แพทย์มีข้อมูลในการพิจารณาประเมินสุขภาพมากขึ้น หากแพทย์เห็นว่าการเจ็บป่วยหรือประวัติสุขภาพนั้น ก่อให้เกิด ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการตรวจ รวมถึงเพื่อนร่วมงานของเขา ก็ควรแนะนำให้งดการเข้าไปทำงาน ในที่อับอากาศนอกจากการถามประวัติคัดกรองทางด้านสุขภาพแล้ว การตรวจร่างกายโดยแพทย์ก็มีความสำคัญเช่นกัน หากพบประวัติสุขภาพที่ผิดปกติในระบบร่างกายใด แพทย์ควรทำการตรวจร่างกายที่เกี่ยวกับระบบร่างกายนั้น อย่างละเอียด เพื่อค้นหาอาการแสดงของโรคที่อาจพบได้ การตรวจร่างกายโดยทั่วไป แพทย์ควรตรวจดูว่าผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพมีภาวะผิดปกติ เช่น ซีด เหลือง หอบเหนื่อย ตัวบวม หรือไม่ ฟังเสียงการเต้นของหัวใจและเสียง การหายใจว่ามีความผิด เช่น เสียงฟู่ที่หัวใจ หรือไม่ ผู้เข้ารับการตรวจที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปไปมาก ไม่ว่าเป็นแต่กำเนิดหรือจากอุบัติเหตุบริเวณใบหน้า อาจมีปัญหา


40 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ในการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจได้ไม่แนบสนิท ผู้เข้ารับการตรวจที่นิ้วขาดหรือข้อติดผิดรูปอย่างมาก อาจมีปัญหาในการหยิบจับสิ่งของหรือการปีนขึ้นลงบันไดลิง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อเข้าไป ทำงานในที่อับอากาศหากพบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายเหล่านี้ แพทย์ควรพิจารณาอนุญาตหรือห้ามการทำงาน ในที่อับอากาศเป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม 8. แนวทางการตรวจสุขภาพของคนทำงานในที่อับอากาศ จากข้อมูลการประเมินสมรรถภาพร่างกายเบื้องต้นจากภาวะโรคต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ การพิจารณา การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อประเมินสมรรถภาพร่างกายของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ในด้านต่างๆ ว่ามีความเหมาะสมเพียงพอที่จะอนุญาตให้เข้าไปทำงานในที่อับอากาศได้หรือไม่ ควรพิจารณาตาม เกณฑ์การพิจารณาดังต่อไปนี้ 1. ดัชนีมวลกาย การวัดดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) เป็นค่าที่บ่งบอกรูปร่างของคนทำงาน ว่ามีภาวะอ้วนและน้ำหนักเกินหรือไม่ คนทำงานที่มีภาวะอ้วนอาจเกิดความเสี่ยงเมื่อเข้าไปทำงานในที่ อับอากาศ เนื่องจากร่างกายอาจติดในพื้นที่ที่คับแคบ หรือช่องทางเข้าออกของที่อับอากาศ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเมื่อต้องสวมใส่ชุดอุปกรณ์ความปลอดภัย และอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจแบบชนิดมีระบบ จ่ายอากาศในตัว (SCBA) ซึ่งจะทำให้เทอะทะมากขึ้น น้ำหนักตัวที่มากอาจทำให้คนทำงานเกิดความ เหนื่อยล้าได้ง่าย เมื่อต้องแบกน้ำหนักของชุดอุปกรณ์ความปลอดภัย อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ และเครื่องมือที่ใช้ทำงาน อาจทำให้เหนื่อยล้ามาก เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ หากคนทำงานที่มีภาวะอ้วนหมดสติในที่อับอากาศ การช่วยเหลือออกมาอาจทำได้ยากกว่าปกติ อุปกรณ์ ช่วยชีวิตมาตรฐานอาจไม่สามารถทนน้ำหนักได้ สายสลิงดึงตัวอาจขาด เปลหัก หรือเกิดเหตุการณ์อื่นๆ เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องดัชนีมวลกาย ที่อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศได้ อยู่ที่ไม่เกิน 35 กิโลกรัม/เมตร2 ถ้าดัชนีมวลกายมากกว่านี้ จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ อย่างไรก็ตาม ในกรณี ที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพมีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัม/เมตร2 ขึ้นไป ก็จัดว่ามีภาวะอ้วนอย่างมากแล้ว แพทย์ควรให้คำแนะนำแก่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพในกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายเกิน 30 กิโลกรัม/เมตร2 แต่ยัง ไม่เกิน 35 กิโลกรัม/เมตร2 นี้ ซึ่งแม้ว่าจะยังให้ทำงานได้ แต่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ทั้งใน เรื่องความเสี่ยงที่จะตัวติดในพื้นที่แคบ และความเหนื่อยล้าได้ง่ายเมื่อแบกน้ำหนักร่างกายและน้ำหนัก อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกับทำงานออกกำลังหรือทำงานเป็นระยะเวลานาน ควรแนะนำให้คนทำงานกลุ่มนี้ ลดน้ำหนัก เพื่อผลดีต่อสุขภาพของตนเองในระยะยาวด้วย 2. ความดันโลหิต ความดันโลหิตที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ เมื่อเข้าไปทำงานในที่อับอากาศซึ่งเป็นงานที่มักต้องใช้กำลังกายอย่างหนัก เกิดความเครียด ความเหนื่อยล้า ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นจนเป็นอันตราย เกณฑ์การพิจารณาระดับความดันโลหิตที่อนุญาตให้ทำงานในที่ อับอากาศได้ คือ ระดับความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากมีระดับความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 159/99 มิลลิเมตรปรอท (ความดันโลหิตสูงระดับที่ 1) ให้แพทย์ผู้ตรวจ ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ว่ามีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานในที่อับอากาศหรือไม่ ทั้งนี้หากพบว่า ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 160/100 มิลลิเมตรขึ้นไป ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ แพทย์ควรแนะนำให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพทำการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงนั้น และกลับมารับการ ประเมินอีกครั้งหลังทำการรักษา หากผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพได้ไปทำการตรวจวินิจฉัยและรักษา จนใน ภายหลังความดันโลหิตลดลงเหลือไม่เกิน 160/100 มิลลิเมตรปรอทแล้ว แพทย์สามารถอนุญาตให้ทำงาน ในที่อับอากาศได้


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 41 3. อัตราการเต้นของชีพจร อัตราเร็วชีพจร (Pulse rate) เป็นสัญญาณชีพที่ช่วยบ่งบอกการทำงานของระบบ หัวใจและหลอดเลือดของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ หากอัตราเร็วชีพจรต่ำหรือสูงเกินไป อาจเกิดจากสาเหตุ อันตรายบางอย่าง เช่น เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นโรคระบบต่อมไร้ท่อ เป็นโรคในระบบร่างกายส่วนอื่นๆ การได้รับยาที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจผิดขนาด การใช้สารเสพติด หรือการได้รับสารพิษ อัตราเร็วชีพจร ที่ต่ำหรือสูงเกินไป ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบเฉียบพลันได้ เกณฑ์การ พิจารณาอัตราเร็วชีพจรที่อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศได้ อยู่ในช่วง 60 – 100 ครั้ง/นาที ในกรณีที่ อัตราเร็วชีพจรของผู้เข้ารับการตรวจอยู่ในช่วง 40 – 59 ครั้ง/นาที ร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ (Sinus bradycardia) ก็อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่อัตราเร็วชีพจรของผู้เข้ารับการตรวจ อยู่ในช่วง 101 – 120 ครั้ง/นาที ร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ (Sinus tachycardia) ก็อนุญาตให้ ทำงานในที่อับอากาศได้เช่นกัน 4. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; ECG) ทำให้แพทย์ได้ข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับลักษณะการเต้นของหัวใจ และช่วยคัดกรองโรคหัวใจบางชนิดที่อาจเป็นอันตรายได้ การตรวจนี้ ทำได้ง่าย สามารถทำได้ในสถานพยาบาลทุกระดับ เกณฑ์การพิจารณาผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสำหรับ คนทำงานในที่อับอากาศ มีหลักการพิจารณาดังนี้ ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มี ลักษณะบ่งชี้ถึงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดทุกชนิด เช่น ST elevation, ST depression, รวมถึง Non-specific T wave abnormality กลุ่มนี้ไม่ควรให้ลงทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งต่ออายุรแพทย์ โรคหัวใจเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยยืนยันเสียก่อน ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มี การเต้นผิดจังหวะแบบ Sinus arrhythmia, Premature atrial contraction (PAC), และ Premature ventricular contraction (PVC) ทั้งแบบ Occasional PVC และ Frequent PVC ถ้าไม่มีอาการ ผิดปกติร่วมด้วย สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ยกเว้น Premature ventricular contraction แบบที่เกิดขึ้นทุกครั้งของการเต้นเป็น Ventricular bigeminy ถ้าพบ ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งพบอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นผิดจังหวะแบบ Atrial fibrillation (AF) และ Atrial flutter (AFL) จัดว่าเป็นกลุ่มที่ เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งพบอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นผิดจังหวะแบบ Wolff-Parkinson-White syndrome (WPW) จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งพบอายุรแพทย์ โรคหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในกลุ่มแกนหัวใจเบี่ยง (Axis deviation) ทั้งเบี่ยงไปด้านซ้าย (Left axis deviation) และเบี่ยงไปด้านขวา (Right axis deviation) ถ้าไม่พบความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่พบ ความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มที่มีการเต้นกระตุก (Heart block) ต้องพิจารณาแยกเป็นแต่ละ ชนิดไป โดย (1.) สำหรับ Incomplete right bundle branch block (ICRBBB), Complete right bundle branch block (CRBBB), และ First degree AV block (1st degree AV block) กลุ่มนี้ จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำ สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ (2.) สำหรับลักษณะแบบ Shortened PR และ Prolonged QT กลุ่มนี้จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำเช่นกัน สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ (3.) สำหรับ ลักษณะแบบ Left bundle branch block (LBBB), Second degree AV block (2nd degree AV block) ทั้งชนิด Mobitz I และ Mobitz II, และ Third degree AV block (3rd degree AV block) กลุ่มนี้จัดว่ามีความเสี่ยงมากไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งพบอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อทำ การรักษาต่อไป (4.) สำหรับลักษณะแบบ Left anterior fascicular block และ Left posterior fascicular block ถ้าพบจัดว่ามีโอกาสมีความเสี่ยงมากเช่นกัน ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควร ส่งพบอายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อตรวจยืนยันเสียก่อน ในกรณีที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กลุ่มหัวใจโต (Hypertrophy) ทั้ง Left ventricular hypertrophy (LVH) และ Right ventricular hypertrophy (RVH) จัดว่ามีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งพบ อายุรแพทย์โรคหัวใจเพื่อวินิจฉัยยืนยันต่อไป


42 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 5. ภาพถ่ายรังสีทรวงอก การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) ในท่ายืน (Upright) และถ่ายจากหลัง ไปหน้า (Posteroanterior;PA) ด้วยฟิล์มขนาดมาตรฐาน คือมีขนาดอย่างน้อย 14 นิ้ว × 17 นิ้ว [33] หรือลักษณะเป็นภาพดิจิตอลความละเอียดสูง เป็นการตรวจพิเศษที่จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคในทรวงอก ของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพแก่แพทย์ได้เป็นอย่างดี การพิจารณาภาพเงาหัวใจ ปอด และกระดูกบริเวณ ทรวงอก จะช่วยแพทย์ในการคัดกรองความผิดปกติที่รุนแรงบางอย่างในผู้เข้ารับการตรวจได้ เกณฑ์การ พิจารณาผลตรวจภาพรังสีทรวงอกสำหรับคนทำงานในที่อับอากาศ มีแนวทางดังนี้ ในกรณีที่พบลักษณะ การอักเสบของเนื้อปอด (Pneumonitis) หรือการติดเชื้อในระยะแพร่กระจาย (Active infection) เช่น โรคปอดอักเสบจากสารเคมี (Chemical pneumonitis) โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส (Pneumonia) วัณโรคปอดระยะแพร่กระจาย (Active pulmonary tuberculosis) กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ การตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจ การวัดไข้ การตรวจย้อมเชื้อในเสมหะ และการตรวจเพาะเชื้อในเสมหะ (ถ้าผู้ป่วยมีอาการไอมีเสมหะ) อาจช่วยเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้แพทย์ทำการ วินิจฉัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แพทย์ควรส่งตัวผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่กำลังมีภาวะปอดอักเสบ ไปทำการรักษา กับอายุรแพทย์โรคทรวงอก เมื่อหายจากภาวะปอดอักเสบแล้ว จึงให้มาตรวจประเมินสุขภาพใหม่ ในกรณี ที่พบลักษณะความผิดปกติเล็กน้อย เช่น มีเยื่อหุ้มปอดหนาตัวเล็กน้อย (Plural thickening) มีก้อนกรานู โลมา (Granuloma) หรือหินปูนเกาะ (Calcification) ขนาดเล็กในเนื้อปอดที่ดูไม่มีลักษณะอันตรายหรือ ไม่โตขึ้นหากมีภาพรังสีทรวงอกเดิมให้เปรียบเทียบ เหล่านี้สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่พบ รอยพังผืด (Fibrosis) ในปอด ถ้ามีขนาดเล็ก สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ถ้ามีจำนวนค่อนข้างมาก หรือมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ให้พิจารณาร่วมกับการตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจ และผลการตรวจ สมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ ถ้าเป็นปกติทั้งหมด สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่พบ ลักษณะเป็นถุงลมใหญ่ (Bullae) หรือหลอดเลือดแดงใหญ่ในทรวงอกโป่งพอง (Aortic aneurysm) กลุ่มนี้จัดว่าเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งต่อผู้ป่วยไปทำการรักษากับอายุรแพทย์ โรคทรวงอกหรือศัลยแพทย์ต่อไปในกรณีที่พบลักษณะเงาหัวใจโตเล็กน้อย (Mild cardiomegaly) แต่ตรวจ ร่างกายไม่มีอาการอย่างอื่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ สามารถให้ทำงานในที่อับอากาศได้ ในกรณี ที่พบเงาหัวใจโตอย่างเด่นชัด จัดว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ ควรส่งพบอายุร แพทย์โรคหัวใจเพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป 6. สมรรถภาพปอด (สไปโรเมตรีย์) การตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary function test; PFT) ด้วยวิธี สไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นวิธีการตรวจสมรรถภาพปอดที่ได้รับความนิยม ทำการตรวจได้ค่อนข้างง่าย ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และสามารถทำได้ในสถานพยาบาลทุกแห่งที่มีเครื่องมือ การตรวจชนิดนี้มีหลักการ โดยให้ผู้เข้ารับการตรวจเป่าลมหายใจผ่านเครื่องมือตรวจวัด เพื่อดูปริมาตร (Volume) และอัตราการไหล (Flow rate) ของลมหายใจ แล้ววัดออกมาเป็นค่าต่างๆ เช่น Forced expiratory volume in 1 second (FEV1) และ Forced vital capacity (FVC) นำมาเปรียบเทียบกับค่าของประชากรปกติ เกณฑ์การ พิจารณาผลการตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ สำหรับคนทำงานในที่อับอากาศให้แพทย์ทำการ ตรวจและแปลผลตามแนวทางของสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2557 ซึ่งให้พิจารณาจาก (1.) ค่า FEV1/FVC ของค่าที่วัดได้จริง (Fixed FEV1/FVC ratio) ในผู้เข้ารับการตรวจที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ให้ใช้ค่าปกติที่มากกว่า 75 % ส่วนในผู้เข้ารับการตรวจที่อายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ให้ใช้ค่าปกติที่มากกว่า 70 % (2.) การพิจารณาค่า FEV1 ให้ใช้ค่าคาดคะเนเมื่อเทียบกับ ประชากรปกติ (% Predicted) โดยถือว่าปกติเมื่อค่ามากกว่า 80 % Predicted ขึ้นไป (3.) การพิจารณา ค่า FVC ให้ใช้ค่าคาดคะเนเมื่อเทียบกับประชากรปกติเช่นกัน โดยถือว่าปกติเมื่อค่ามากกว่า 80 % Predicted ขึ้นไป ในกรณีที่ตรวจและแปลผลตามแนวทางของสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและ สิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2557 แล้วพบว่าสมรรถภาพปอดเป็นปกติ (Normal) หรือผิดปกติแบบ จำกัดการขยายตัวเล็กน้อย (Mild restriction)หรืออุดกั้นเล็กน้อย (Mild obstruction) สามารถให้ทำงาน ในที่อับอากาศได้ ในกรณีที่ตรวจและแปลผลแล้วพบว่าสมรรถภาพปอดผิดปกติแบบจำกัดการขยายตัว


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 43 ปานกลางหรือรุนแรง (Moderate or severe restriction) ผิดปกติแบบอุดกั้นปานกลางหรือรุนแรง (Moderate or severe obstruction) หรือผิดปกติแบบผสม (Mixed defect) เหล่านี้จัดว่าเป็นกลุ่มที่ เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพไปพบอายุรแพทย์โรคทรวงอก เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและรักษาต่อไป 7. ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count; CBC) เป็นการตรวจพื้นฐานที่ช่วยคัดกรองปัญหาเกี่ยวกับระบบโลหิตของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพได้เป็นอย่างดี ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจมีโอกาสหมดสติในที่อับอากาศได้ง่าย และผู้มีภาวะ ความเสี่ยงต่ออาการเลือดออกง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไปเมื่อได้รับ อุบัติเหตุจากการถูกกระทบกระแทกเมื่อเข้าไปทำงานในที่อับอากาศ เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องภาวะ โลหิตจาง อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศได้เมื่อผู้เข้ารับการตรวจมีระดับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ตั้งแต่ 10 กรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป และ ระดับความเข้มข้นเลือด (Hematocrit) ตั้งแต่ร้อยละ 30 ขึ้นไป หากพบค่าต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบอายุรแพทย์ โรคเลือดเพื่อทำการรักษาต่อไป เกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเกล็ดเลือดต่ำ อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศ ได้เมื่อผู้เข้ารับการตรวจมีระดับเกล็ดเลือด (Platelet) ตั้งแต่ 100,000 เซลล์/มิลลิเมตร3 ขึ้นไป หากพบ ค่าต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบอายุรแพทย์โรคเลือด เพื่อทำการรักษาต่อไป 8. สมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล การตรวจสมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล (Far vision test) โดยการตรวจความชัดเจนในการมองภาพ (Visual acuity; VA) เป็นการตรวจคัดกรองในเบื้องต้น เพื่อประเมินว่าผู้เข้ารับการตรวจมีความสามารถในการมองเห็นเพียงพอที่จะทำงานในที่อับอากาศได้หรือไม่ ซึ่งอย่างน้อยคนทำงานในที่อับอากาศควรมองเห็นภาพได้ชัดเจนพอสมควร เช่น สามารถมองเห็นป้าย สัญญาณเตือน และหยิบจับเครื่องมือต่างๆ ในสถานที่อับอากาศได้อย่างถูกต้อง ในการตรวจให้ทำการ ตรวจการมองภาพระยะไกลโดยทำการตรวจแยกทีละตา ทั้งตาขวา (Right eye) และตาซ้าย (Left eye) จากนั้นตรวจโดยให้มองพร้อมกันทั้ง 2 ตา (Both eye) ทั้งแบบก่อนทำการแก้ไข (Uncorrected) และ หลังทำการแก้ไข (Corrected) ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะโดยการให้ใส่แว่นการใส่คอนแทคเลนส์ หรือการให้ผู้เข้ารับการตรวจมองลอดรูขนาดเล็ก (Pinhole) ก็ตาม เกณฑ์การพิจารณา จะอนุญาตให้ ผู้เข้ารับการตรวจทำงานในที่อับอากาศได้ ถ้าความชัดเจนในการมองภาพ (Visual acuity) เมื่อทำการ มองพร้อมกันทั้ง 2 ตา (Both eye) และได้แก้ไขให้ดีที่สุดแล้ว (Best corrected) ต้องอยู่ที่ระดับ 6/12 เมตร (20/40 ฟุต) หรือดีกว่า หากพบว่าสมรรถภาพการมองเห็นระยะไกลลดลงกว่าระดับนี้ จัดว่าเป็นกลุ่ม ที่เสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหา สาเหตุและทำการรักษาต่อไปในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจมีภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive error) เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง แต่เมื่อทำการแก้ไขแล้ว การมองภาพระยะไกลพร้อมกัน 2 ตา อยู่ที่ระดับ 6/12 เมตร (20/40 ฟุต) หรือดีกว่าคนทำงานกลุ่มนี้สามารถให้ทำงานได้ แต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยแก้ไขภาวะสายตา ผิดปกติ เช่น แว่นสายตา คอนแทคเลนส์ ระหว่างการทำงาน อย่างไรก็ตามหากคนทำงานต้องใส่อุปกรณ์ ป้องกันระบบทางเดินหายใจชนิดปิดเต็มหน้า (Full-face respirator) หรือชนิดที่มีระบบจ่ายอากาศในตัว (SCBA) หรือชนิดที่เป็นระบบท่อจ่ายอากาศ (Air-line respirator) ขณะที่ทำงานด้วย เนื่องจากภายในที่ อับอากาศนั้นมีลักษณะที่เป็นบรรยากาศอันตราย อาจทำให้คนทำงานมีอุปสรรคในการทำงานเพิ่มขึ้น แพทย์ควรแนะนำทางเลือกให้กับผู้ป่วย โดยทางเลือกที่มี เช่น ใช้อุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจที่ออกแบบ หน้ากากมาให้เหมาะสำหรับคนที่มีสายตาผิดปกติ ซึ่งอาจต้องสั่งทำเป็นพิเศษและอาจจัดหาได้ยาก อีกทาง เลือกหนึ่งคือการใส่คอนแทคเลนส์แล้วใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจชนิดที่เป็นหน้ากากทับ ซึ่งสามารถทำได้ แม้ว่าอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้างถ้าเกิดเหตุคอนแทคเลนส์เลื่อนหลุดขณะกำลังทำงาน แต่ก็เป็นวิธีที่ประหยัดและทำให้คนที่มีภาวะสายตาผิดปกติสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ปัจจุบัน องค์กรวิชาการหลายแห่งยอมรับแนวทางปฏิบัตินี้


44 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work 9. สมรรถภาพการได้ยิน การตรวจคัดกรองสมรรถภาพการได้ยินนั้น ทำเพื่อคัดกรองว่าผู้เข้ารับการตรวจ สุขภาพจะสามารถได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมงานและสื่อสารความหมายกันได้เข้าใจหรือไม่ เนื่องจากหาก คนทำงานในที่อับอากาศมีความสามารถในการได้ยินลดลงจนถึงระดับที่ไม่ได้ยินเสียงพูดของผู้อื่นอย่าง ชัดเจนแล้ว อาจเกิดอันตรายเนื่องจากมีโอกาสไม่ได้ยินเสียงเตือนของเพื่อนร่วมงานและผู้ช่วยเหลือ รวมถึง เสียงสัญญาณเตือนภัยหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น โดยผลการตรวจค่าเฉลี่ยระดับการได้ยินที่ความถี่ 500, 1000, 2000 และ 3000 Hz ต้องไม่เกิน 30 dB ในหูข้างใดข้างหนึ่งที่ดีกว่า และต้องไม่เกิน 40 dB ในหูข้างใด ข้างหนึ่งที่แย่กว่า (ระดับการได้ยินดังกล่าว จะเทียบเท่าระดับการได้ยินเสียงพูดที่ระยะ 3 เมตร และ 2 เมตร ตามลำดับ) หากผลการตรวจไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จัดว่ามีความเสี่ยงมาก ไม่ควรให้ทำงานในที่อับอากาศ และควรส่งผู้เข้ารับการตรวจไปพบแพทย์ หู คอ จมูก เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป 9.การสรุปผล หลังจากแพทย์ทำการสอบถามข้อมูลการทำงาน ข้อมูลสุขภาพ ตรวจร่างกาย และพิจารณาผลการตรวจ ทั้งหมดแล้ว ให้แพทย์ทำการสรุปผลว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้น สามารถทำงานในที่อับอากาศได้หรือไม่ เพื่อเป็น ข้อมูลให้กับทางสถานประกอบการได้ใช้ในการดูแลคนทำงานที่มาเข้ารับการตรวจสุขภาพนั้นต่อไป ในการสรุปผล แพทย์สามารถสรุปผลได้เป็น 3 กรณี ดังนี้ ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ อยู่ในเกณฑ์ปกติทั้งหมด และไม่มีข้อมูลอื่นใดชวนให้สงสัยว่าผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพนั้นจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ให้แพทย์สรุปผลว่า “สามารถทำงานในที่อับอากาศได้ (Fit to work)” ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ มีความผิดปกติไปบางส่วน แต่แพทย์พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ความผิดปกติที่พบนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ให้แพทย์สรุปผลว่า “สามารถ ทำงานในที่อับอากาศได้แต่มีข้อจำกัดหรือข้อควรระวัง (Fit to work with restrictions)” พร้อมทั้งระบุข้อจำกัดหรือ ข้อควรระวังในการทำงานไว้ให้ทางสถานประกอบการรับทราบด้วย การสรุปผลเช่นนี้ หมายถึง ให้ผู้เข้ารับการตรวจ รายนั้นสามารถทำงานในที่อับอากาศได้ แต่ก็เป็นการเตือนสถานประกอบการและผู้ควบคุมงานให้รับทราบว่า ผู้เข้ารับ การตรวจสุขภาพรายนั้นไม่ได้มีผลตรวจสุขภาพเป็นปกติดีทั้งหมด และมีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังอะไรบ้างใน การทำงาน ในกรณีที่ผลการสอบถามข้อมูลสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจพิเศษ พบความผิดปกติที่ ก่อให้เกิดความเสี่ยงมาก เกินที่จะยอมรับได้ และแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่ควรให้ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพรายนั้น ทำงานในที่อับอากาศ ให้แพทย์สรุปผลว่า “ไม่สามารถทำงานในที่อับอากาศได้ (Unfit to work)” และควรแจ้ง รายละเอียดเหตุผลว่าทำไมจึงมีความเห็นว่าไม่สามารถทำงานในที่อับอากาศได้ไว้ด้วย รวมถึงการให้คำแนะนำในการ ให้ผู้เข้ารับการตรวจไปพบแพทย์สาขาต่างๆ ที่เห็นควร เพื่อทำการตรวจยืนยันการวินิจฉัยโรคหรือทำการรักษาต่อไป และหากเห็นว่าภาวะที่ทำให้ไม่สามารถทำงานในที่อับอากาศได้นั้นเป็นภาวะชั่วคราวอาจแจ้งเงื่อนไขในการที่ผู้เข้ารับ การตรวจจะได้ทำการแก้ไขปัญหาสุขภาพของตนเอง พร้อมทั้งนัดเวลาที่จะให้มาตรวจประเมินซ้ำใหม่ด้วยก็ได้ตาม ความเหมาะสม รายละเอียดที่กล่าวมานี้ควรระบุไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในใบรับรองแพทย์ด้วย


แนวทางการตรวจสุขภาพคนทำงานในที่อับอากาศ 45 ใบรับรองแพทย์ สําหรับการทํางานในที่อับอากาศ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เลขที่ 679 ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กทม. 10230 ส่วนที่ 1 ของผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ ข้าพเจ้า นาย/นาง/นางสาว....................................................................................................................................................................... เลขที่บัตรประชาชน/บัตรข้าราชการ/หนังสือเดินทาง............................................................................................................................... ข้อมูลสุขภาพ: กรุณาตอบคําถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง 1. ท่านเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ ไม่เคย เคย 2. ท่านเคยเป็นโรคลิ้นหรือผนังหัวใจตีบหรือรั่วหรือไม่ ไม่เคย เคย 3. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจโตหรือไม่ ไม่เคย เคย 4. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ไม่เคย เคย 5. ท่านเคยเป็นโรคหัวใจชนิดอื่นๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 6. ท่านเคยเป็นโรคหอบหืดหรือไม่ ไม่เคย เคย 7. ท่านเคยเป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือโรคถุงลมโป่งพองหรือไม่ ไม่เคย เคย 8. ท่านเคยเป็นโรคปอดชนิดอื่นๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 9. ท่านเคยเป็นโรคลมชักหรือมีอาการชักหรือไม่ ไม่เคย เคย 10. ท่านเคยเป็นโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ ไม่เคย เคย 11. ท่านเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตหรือไม่ ไม่เคย เคย 12. ท่านเคยเป็นโรคระบบประสาทชนิดอื่นๆ หรือไม่ ไม่เคย เคย 13. ท่านเคยเป็นโรคปวดข้อหรือข้ออักเสบเรื้อรังหรือไม่ ไม่เคย เคย 14. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีความผิดปกติของกระดูกและข้อหรือไม่ ไม่เคย เคย 15. ท่านเคยเป็นโรคกลัวที่แคบหรือไม่ ไม่เคย เคย 16. ท่านเคยเป็นโรคจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท หรือไม่ ไม่เคย เคย 17. ท่านเคยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ไม่เคย เคย 18. ท่านเคยเป็นโรคหรือมีอาการเลือดออกง่ายหรือไม่ ไม่เคย เคย 19. ท่านเคยเป็นโรคไส้เลื่อนหรือไม่ ไม่เคย เคย 20. เฉพาะคนทํางานเพศหญิง – ขณะนี้ท่านตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ไม่เคย เคย 21. เฉพาะคนทํางานเพศหญิง – ประจําเดือนครั้งสุดท้ายของท่านคือเมื่อใด ..................................................................................... 22. ท่านเคยมีการเจ็บป่วยเป็นโรคอื่นๆ หรือมีประวัติทางสุขภาพที่สําคัญอื่นอีกหรือไม่ ไม่เคย เคย (ถ้ามีข้อใดตอบว่า “เคย” กรุณาระบุรายละเอียด).................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................................ ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความที่แจ้งข้างต้นนี้เป็นความจริงทุกประการ ข้าพเจ้ายินยอมให้เปิดเผยข้อมูลสุขภาพของข้าพเจ้า แก่นายจ้าง เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยในการทํางานในที่อับอากาศของข้าพเจ้า ลงชื่อ…………………………………………………………………… ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ


46 ความพรŒอมในการทำงาน Fit for work ใบรับรองแพทย์สําหรับการทํางานในที่อับอากาศ ส่วนที่ 2 ของแพทย์ ตรวจที่ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี วันที่...............เดือน.......................พ.ศ. ....................... ข้าพเจ้า.................................................................................................ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเลขที่....................................... ได้ตรวจร่างกาย นาย/นาง/นางสาว.............................................................................................................................................................. เมื่อ (วัน/เดือน/ปี)........................................................................... มีรายละเอียด ดังนี้ น้ำหนักตัว...........................กก. ความสูง..............................ซม. ดัชนีมวลกาย...................................กก./ม2 ความดันโลหิต..........................................มม. ปรอท ชีพจร...........................ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ ไม่สม่ำเสมอ สภาพร่างกายทั่วไปจากการตรวจร่างกายภายนอก อยู่ในเกณฑ์ ปกติ ผิดปกติ (ระบุ)............................................................................................................................................................................................................. ประวัติการใช้ยาประจํา ไม่มี มี (ระบุชื่อยาที่ใช้ประจํา).............................................................................. ประวัติการสูบบุหรี่ในปัจจุบัน ไม่สูบ สูบ (ระบุจํานวนที่สูบ)................................................................................... ผลการตรวจพิเศษ 1. ภาพรังสีทรวงอก ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 2. สมรรถภาพปอด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 3. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 4. ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 5. สมรรถภาพการมองเห็นระยะไกล ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 6. สมรรถภาพการได้ยิน ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................... 7. .................................................................................................................................................................................................... แพทย์ได้ทําตรวจประเมินสุขภาพ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรคหัวใจ หรือโรคอื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายหากเข้าไป ในที่อับอากาศ ตามกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางานในที่อับอากาศ พ.ศ. 2562 มีความเห็นดังนี้ สามารถทํางานในที่อับอากาศได้ (Fit to work) สามารถทํางานในที่อับอากาศได้ แต่มีข้อจํากัดหรือข้อควรระวัง ดังนี้ (Fit to work with restrictions) (รายละเอียด).......................................................................................................................................................... ไม่สามารถทํางานในที่อับอากาศได้ (Unfit to work (รายละเอียด)........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................................ แพทย์ผู้ตรวจ วันที่ควรเข้ารับการประเมินครั้งถัดไป วันที่...............เดือน.......................พ.ศ. .....................


แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูŒปฏิบัติงานปรุงอาหาร บทที่ 3


Click to View FlipBook Version