1. หลักการและเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีการตรวจสุขภาพ ของผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร เป็นผู้ที่ทำงานในส่วนการปรุงและประกอบอาหาร ย่อมจะได้รับสัมผัส ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพจากการปฏิบัติงาน ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านกายภาพ เช่น แสง เสียง ความร้อน แรงสั่นสะเทือน รังสี เป็นต้น, ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านเคมี เช่น สารเคมีชนิดต่างๆ ที่ผู้ปฏิบัติงานใช้ในกระบวนการทำงาน เป็นต้น, ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านชีวภาพ เช่น เชื้อก่อโรค แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อราเป็นต้น, ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านชีวกลศาสตร์ เช่น การปฏิบัติงานใน ท่าทางการทำงานไม่เหมาะสม เอื้อมยกหรือก้มยกชิ้นงาน เป็นต้น, ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านจิตใจ เช่น ความเครียดจากการทำงาน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดโรคและ อุบัติเหตุจากการทำงานได้ จึงควรมีการตรวจสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งหมายถึงการตรวจสุขภาพ ร่างกายและสภาวะทางจิตใจในผู้ปฏิบัติงาน ตามวิธีทางการแพทย์ เพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสม ของสภาวะสุขภาพหรือผลกระทบต่อสุขภาพในผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะผู้ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตามย่อมจะได้รับสัมผัสปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพจากการปฏิบัติงาน จึงจำเป็นต้อง มีการตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงานและการเฝ้าระวังทางการแพทย์ (Medical Surveillance) ดำเนินกระบวนการทางคลินิกที่ใช้ในการติดตามวิเคราะห์ภาวะสุขภาพ และวางแผนการเฝ้าระวัง ทางการแพทย์ ทั้งสองกระบวนการนี้ควรทำควบคู่กัน เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดโรคและ อุบัติเหตุจากการทำงานในผู้ปฏิบัติงาน และสามารถทำให้สถานประกอบการหรือองค์กรสามารถ ดำเนินกิจการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ตามมาตรา 8 กำหนดให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานการตรวจสุขภาพลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง พ.ศ. 2563 โดยงานที่ลูกจ้าง ทำเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง หมายความว่า งานที่ลูกจ้างทำเกี่ยวกับ 1) สารเคมีอันตรายตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยดูจากประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงาน เรื่องกำหนดงานที่ลูกจ้างทำเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายที่นายจ้างต้องจัดให้มีการตรวจสุขภาพ ของลูกจ้าง พ.ศ. 2564 2) จุลชีวันเป็นพิษที่อาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา หรือสารชีวภาพอื่น 3) กัมมันตภาพรังสี 4) ความร้อน ความเย็น ความสั่นสะเทือน ความกดดันบรรยากาศ แสง หรือเสียง 5) สภาพแวดล้อมอื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกจ้าง เช่น ฝุ่นฝ้าย ฝุ่นไม้ ไอควัน จากการเผาไหม้ พญ. ชีวรัตน ปราสาร แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูปฏิบัติงานปรุงอาหาร แนวทางการตรวจสุขภาพผูปฏิบัติงานผูปรุงอาหาร 49 บทที่ 3
50 ความพรอมในการทำงาน Fit for work หากให้ผู้ปฏิบัติงานทำงาน ตามลักษณะงานด้านบน ต้องจัดให้ได้รับการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงนั้น ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารต้องมีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อบางชนิด เช่น อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย บิด ไข้หวัด และอุจจาระร่วง เป็นต้น เพราะถ้าหากเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวแล้วจะทำให้เชื้อโรคเกิดการแพร่กระจายสู่อาหารได้ และกรณีที่ผู้บริโภคได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายก็อาจจะทำให้จะเกิดการเจ็บป่วยได้ สำหรับโรคบางชนิด เช่น อหิวาตกโรคและไข้รากสาดน้อยผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการของโรคเรียกว่าเป็นพาหะนำโรคที่แฝงอยู่ (Health carrier) ซึ่งจะพบเชื้อโรคปะปนอยู่ในอุจจาระในผู้ปรุงอาหารที่เป็นพาหะ นอกจากนี้บาดแผลที่มีหนองเชื้อโรค อาจจะถ่ายทอด ลงสู่อาหารซึ่งจะเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการ เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้ ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารจะต้องรักษาสุขภาพของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวหรือ หากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องรักษาโรคให้หายก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานต่อไปการตรวจร่างกายของ ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร ควรสังเกตตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีความผิดปกติก็ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป สถานประกอบการ และองค์กรสามารถมีส่วนช่วยสนับสนุนส่งเสริมการมีภาวะสุขภาพที่ดีของพนักงานได้ด้วยการจัดให้มีการตรวจสุขภาพ ประจำปีและการตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยงในการปฏิบัติงานและสภาพแวดล้อมการทำงาน จะทำให้องค์กรทราบ ภาวะสุขภาพของพนักงานแต่ละคน ช่วยประเมินว่าพนักงานมีสุขภาพกับหน้าที่การงานมากน้อยเพียงใด อีกทั้งช่วย คัดกรองความเสี่ยงของสัญญาณด้านสุขภาพที่ผิดปกติ หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน เมื่อพบว่าเริ่ม มีความผิดปกติหรือตรวจพบการเกิดโรคจากการทำงาน ผู้ปฏิบัติงานก็จะสามารถรับการรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นได้ นอกจากจะช่วยให้ทราบถึงสุขภาวะของพนักงานแล้ว ยังทำให้งานดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ลดการสูญเสียเวลา ต้นทุน ทรัพยากร ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างที่มีประสิทธิภาพ 2. นิยาม ลักษณะการทำงานและปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร - นิยามผู้สัมผัสอาหาร (Food handlers) หมายถึง บุคคลซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาหารทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการ เตรียมอาหาร ประกอบปรุงอาหาร จำหน่ายเสิร์ฟอาหาร ขนส่งอาหาร รวมถึงการล้างทำความสะอาด และเก็บภาชนะ อุปกรณ์ - นิยามผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร (Cook/Chef) หมายถึง บุคคลซึ่งทำหน้าที่ประกอบและปรุงอาหาร โดยกุ๊ก (Cook) เป็นผู้เตรียมการทำอาหาร ประกอบและปรุงอาหาร ส่วนเชฟ (Chef) นั้นจะรวมถึงผู้คิดสูตรการประกอบและ ปรุงอาหารด้วย - ลักษณะงานของผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร จะเป็นผู้ที่เตรียมวัตถุดิบ เครื่องปรุง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการปรุงและ ประกอบอาหาร อีกทั้งต้องทำหน้าที่ปรุงและประกอบอาหารด้วยกรรมวิธีต่างๆ ได้แก่ ต้ม อบ นึ่ง ย่าง ผัด แกงทอด เพื่อให้ได้เป็นอาหารออกมาแต่ละชนิด - ตามคำนิยามของ Food Standards Scotland • เปนผูสัมผัสอาหารโดยตรง • สัมผัสอาหารหรือสวนอื่นๆของอาหารในหองขณะที่นำอาหารไปเสริฟ • เกี่ยวของกับการผลิต การเตรียม การบริการ และการขายอาหารในโรงงาน ในหองเตรียม • เกี่ยวของกับการซอมบำรุงเครื่องมือในบริเวณเตรียมอาหาร • ผูเขามาเยี่ยม ตรวจมาตรฐานในบริเวณเตรียมอาหาร - ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร 1) ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านกายภาพ ได้แก่ ความร้อน จากการปรุงและประกอบอาหาร ซึ่งผู้ปฏิบัติงาน จะได้รับความร้อนมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยหลายปัจจัย ได้แก่ สภาพแวดล้อมการทำงานระบบระบายอากาศ อุปกรณ์และกรรมวิธีการปรุงและประกอบอาหาร เป็นต้น 2) ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านเคมี เช่น เครื่องปรุง วัตถุเจือปนในอาหาร (addictive) สารเคมีที่ใช้ล้างวัตถุดิบ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้การปรุงและประกอบอาหาร รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ฝุ่นละออง ขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน(PAHs) สารเคมีจากการ เผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นขณะปรุงและประกอบอาหาร
แนวทางการตรวจสุขภาพผูปฏิบัติงานผูปรุงอาหาร 51 3) ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านชีวภาพ เช่น เชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหารเช่น E coli, เชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ เป็นต้น 4) ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านชีวกลศาสตร์ เช่น การปฏิบัติงานในท่าทางการทำงานไม่เหมาะสม เอื้อมยก หรือก้มยกวัตถุดิบในชั้นวางที่ต่างระดับ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับสถานที่ปฏิบัติงานปรุงและประกอบอาหาร 5) ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้านจิตใจ เช่น ความเครียดจากการทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับแต่ละบุคคล รวมถึง ระบบการปฏิบัติงานในการปรุงและประกอบอาหาร 3. Functional capacity evaluation สำหรับผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร การประเมินความสามารถในการทำงาน (Functional Capacity evaluation) เป็นการประเมินความสามารถ ในการทำงานและกิจกรรมต่างๆ สำหรับผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารนั้นการประเมินความสามารถในการทำงานของร่างกาย ที่ต้องใช้ในการทำงานต่างๆ ควรประเมินในหลายองค์ประกอบ เช่น การยืน การเดิน การนั่ง ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การก้มตัว การเอื้อม การจับ การถือของ การยกของ การผลักและดึง การใช้นิ้ว การรับ ความรู้สึก การมองระยะใกล้และไกล การฟัง การพูดคุย และการรับรสและดมกลิ่น เป็นต้น การประเมินความสามารถ ในการทำงานจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานต่างๆ ได้เต็มประสิทธิภาพมากน้อยเท่าใด ตารางที่ 1 แสดงงาน และ functional capacity ของคนงาน หน้าที่ ภาวะทางสุขภาพ เตรียมอาหาร ตามตำราอาหาร อ่านและเข้าใจ หยิบ จับ แยกประเภท เครื่องปรุง และอาหาร ยืนทำอาหารนานๆ สามารถโน้นตัว บิดตัว ตามองเห็น หูฟังชัดเจน และลิ้นรับรู้รสเพื่อชิมอาหาร ปฏิบัติตามกฎระเบียบความสะอาด และความปลอดภัย อ่าน สื่อสารได้ ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการ ทำงานเคลื่อนไหวมือและนิ้วได้โดยสะดวก รับรู้ความรู้สึก ทำความสะอาดเครื่องมือทำครัว บำรุงรักษา และแยกประเภทเก็บ ดูแลและ ทำความสะอาดครัว ตู้เย็น ตู้แช่ ฯลฯ เช็ดถูกสิ่งที่หก เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน เคลื่อนไหวมือและเท้าโดยสะดวก มีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลำตัว แขน ขา บรรจุหีบห่ออาหารตามสั่ง สามารถเคลื่อนไหวมือและนิ้วโดยละเอียดได้ มีร่างกายแข็งแรง ต้องมีความแข็งแรง บางครั้งจะต้องยกกระทะ หรือหม้อ มีการกลับข้างอาหาร ด้วยมือเดียว ต้องมีความทนด้านกายภาพ มีความร้อน มีเสียงดัง ลักษณะงาน และความเสี่ยง และ functional capacity ลักษณะงาน ความเสี่ยงที่พบ Functional capacity การเตรียมอาหาร การปรุง การอบ การตัด สับ ซอย การคน การยกหม้อที่หนักไปมา การทำงานซ้ำๆ ของมือ ข้อมือ หัวไหล่ เวลาคนหรือตัด การยกของหรือถือชามหรือหม้อที่หนัก การเอื้อม บิดตัว การต้องอยู่ในท่ายืนโน้มตัวเวลาทำงานนานๆ การอยู่ในท่าที่ผิด เป็นเวลานาน ความร้อน ความฟิตของร่างกาย Cardiovascular Respiratory
52 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 4. ข้อห้ามทางสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร ในต่างประเทศตามมาตรฐาน FDA U.S. Food & Drug ไม่ได้กำหนดรายการตรวจสุขภาพ แต่เป็นความ รับผิดชอบของนายจ้างที่จะจ้าง ลูกจ้างที่สุขภาพดีเข้าทำงาน โดยผู้สัมผัสอาหารมีหน้าที่รายงานอาการและโรคให้กับ ผู้รับผิดชอบทราบเพื่อที่จะได้ทำการป้องกันแพร่เชื้อทางอาหาร โดยหากมีอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ที่ต้องมีการรายงานผู้รับผิดชอบได้แก่ อาเจียน ท้องเสีย ตัวเหลือง เจ็บคอ ร่วมกับ มีไข้ และแผลผิวหนังที่มีหนอง แผลเปิดที่มีการระบายที่ไม่สามารถปิดมิดชิดได้ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อNorovirus, HepatitisA, Shigellaspp., STEC (SHIGA TOXIN - PRODUCING ESCHERICHIA COLI), Typhoid fever, Salmonella ตามมาตรฐาน Food Handlers: Fitness to work ไม่ได้กำหนดรายการตรวจสุขภาพ และไม่บังคับการตรวจสุขภาพ ก่อนเข้าทำงาน (Pre-employment) เช่นเดียวกัน แต่ได้กำหนดไว้ว่าลูกจ้างที่ทำงานผู้สัมผัสอาหาร ต้องไม่มีอาการ และเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย อาเจียน มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ เป็นต้น และกำหนด ลูกจ้างผู้สัมผัสอาหารต้องไม่มีแผลที่ผิวหนังที่ไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้ หากลูกจ้างผู้สัมผัสอาหารมีอาการของ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารหรือมีแผลผิวหนังที่ไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้ต้องแยกตัวจากการทำงานที่เกี่ยวข้อง กับอาหาร ตามแนวทางของ Food Handlers Fitness to Work Guidelines for Food Business Managers ในประเทศอังกฤษ แนะนำผู้ทำงานสัมผัสอาหารต้องมีการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน (Pre-employment) ที่ผลการตรวจจะต้องไม่มีอาการและเป็นโรคติดเชื้อได้แก่ โรคไทฟอยด์, โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อ VTEC (E.coli 0157:H7), โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ , แผลที่ผิวหนังไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้บริเวณ มือ ใบหน้า ลำคอ ศีรษะ เล็บมือ, การติดเชื้อที่ดวงตา หู และช่องปากที่มีสารคัดหลังผิดปกติขณะติดเชื้อ หากผลการตรวจ สุขภาพก่อนเข้าทำงานพบว่ามีอาการหรือพบการติดเชื้อโรคดังกล่าวควรไปรับการรักษาก่อนแล้วจึงมาตรวจประเมินซ้ำ อีกครั้ง อีกทั้งควรพิจารณาถึงโรคอื่นๆด้วย เนื่องจากอาจส่งผลต่อภาวะสุขภาพลูกจ้าง และเพื่อนร่วมงานได้ เช่น โรคปอดติดเชื้อวัณโรค โรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์ อาการในระบบทางเดินอาหารผิดปกติเรื้อรัง เป็นต้น อีกทั้งยังแนะนำไว้ว่าพนักงานที่ทำงานสัมผัสอาหารต้องรายงานอาการเจ็บป่วยกับผู้จัดการหรือหัวหน้างาน โดยหากมีอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียถ่ายเหลว ห้ามทำงาน ที่สัมผัสอาหาร อีกทั้งทางผู้จัดการหรือหัวหน้างานต้องรีบทำความสะอาดพื้นที่รวมถึงอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ พนักงานที่มีอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจะสามารถกลับมาทำงานที่สัมผัส อาหารได้ต่อเมื่อสิ้นสุดการรักษาทานยาและไม่มีอาการดังกล่าวแล้วตั้งแต่ 48 ชั่วโมงเป็นต้นไป ตามแนวทาง Food Handlers Fitness to Work ในประเทศสก็อตแลนด์ กล่าวไว้ว่าโรคติดเชื้อส่วนใหญ่มักเส้นทางการติดต่อ ของโรคมักเกิดจากระบบทางเดินอาหาร ผู้ทำงานสัมผัสอาหารไม่ควรมีอาการและเป็นโรคติดเชื้อได้แก่ โรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อ Salmonella Typhi, Salmonella Paratyphi A, B or C (Enteric fever), Shiga toxin-producing Escherichia coli (STEC) (E.coli O157 and non-O157 STEC), Entamoeba histolytica (Amoebic dysentery), Shigella dysenteriae, flexneri, and boydii , Worms - Taenia solium, Vibrio cholera O1 and O139, โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ, โรคติดเชื้อระบบผิวหนังจากเชื้อ Staphylococcus aureus หรือแผลที่ผิวหนังไม่สามารถปกปิดให้มิดชิด หากมีอาการหรือโรคติดเชื้อดังกล่าว ไม่ควรให้พนักงานทำงานที่สัมผัสอาหาร ลักษณะงาน และความเสี่ยง และ functional capacity ลักษณะงาน ความเสี่ยงที่พบ Functional capacity การผสมอาหาร ทำงานกับเตา และหม้ออบ ท่าทางการทำงาน ซ้ำซาก ต้องบิดตัว หมุนตัว เสียงดัง ความร้อน ความฟิตของร่างกาย การทรงตัว Cardiovascular Respiratory Hearing ล้างจาน ต้องยกของหนัก ต้องล้างและทำงานกับผงซักฟอก อาจมี contact stress ที่สะโพกกับอ่างล้างจาน ความฟิตของร่างกาย การทรงตัว Cardiovascular Respiratory
แนวทางการตรวจสุขภาพผูปฏิบัติงานผูปรุงอาหาร 53 ตารางที่ 2 แสดงสรุประยะเวลาให้หยุดงานเพื่อให้ไม่มีการปนเปื้อนอาหารหลังกลับเข้าทำงาน เชื้อโรค ระยะเวลาที่ต้องหยุดงาน ไม่ทราบเชื้อ 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Bacillus cereus ไม่ต้องมีระยะเวลาหยุด กลับเข้าทำงานได้เลยหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Campylobacter 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Clostridium botulinum ไม่ต้องหยุด Clostridium perfringens ไม่ต้องหยุด Cryptosporidiosis 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน E. Coli (นอกเหนือจาก STEC) 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Giardia/Entamoeba 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน ไข้หวัดใหญ่ 24 ชั่วโมงหลังไม่มีไข้ หรือ 5 วัน หลังเริ่มมีอาการทางเดินหายใจ Salmonella 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน ตับอักเสบ A & E 7 วันหลังเริ่มมีตัวเหลือง ตาเหลือง และ/หรือมีอาการ หรือ 2 สัปดาห์หลังจาก เริ่มมีอาการนำ ถ้าไม่มีตัวเหลือง ตาเหลือง / ปัสสาวะสีเข้ม Shiga toxin-producing E.coli (STEC) หลังตรวจอุจจาระได้ผลลบ สองครั้งติดต่อกัน ห่างกันมากกว่าหรือเท่ากับ 24 ชั่วโมง (อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ dose สุดท้าย) Shigella หลังตรวจอุจจาระได้ผลลบ สองครั้งติดต่อกัน ห่างกันมากกว่าหรือเท่ากับ 24 ชั่วโมง (อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ dose สุดท้าย) Staphylococcus aureus ให้กันคนทำงานเกี่ยวกับอาหารที่มีแผลหนองที่มือ แขน หรือใบหน้า (ผู้ที่เป็นพาหะนำเชื้ออยู่ในจมูกไม่ต้องกันออก) เช่นเดี่ยวกับแนวทางและมาตรฐานในประเทศต่างๆ ในประเทศไทยเองตามกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่าย อาหาร พ.ศ. 2561 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหาร หมายถึงบุคคลซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ตั้งแต่กระบวนการเตรียม ประกอบ ปรุง จำหน่ายและเสิร์ฟอาหาร รวมถึงการล้างทำความสะอาด และเก็บภาชนะอุปกรณ์ ต้องไม่เป็นโรคติดต่อหรือพาหะโรคติดต่อ โรคผิวหนังที่น่ารังเกียจ หรือโรคอื่นๆ ตามข้อบัญญัติท้องถิ่น ในกรณีเจ็บป่วย ต้องหยุดปฏิบัติงานและรักษาให้หายก่อนจึงกลับมาปฏิบัติงาน ตามกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตตั้งโรงงานผลิต อาหาร พ.ศ.2522 ต้องห้ามคนงานที่มีบาดแผลหรือมีอาการของโรคที่อาจแพร่เชื้อไปกับอาหารได้ทำหน้าที่ที่จะต้อง สัมผัสกับอาหารที่ผลิตในระยะนั้น ไม่ใช้จ้างวานคนไร้ความสามารถหรือมีจิตฟั่นเฟือน หรือคนซึ่งเป็นพาหะของโรค หรือซึ่งเป็นโรคดังต่อไปนี้ปฏิบัติงานในสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคติดยาเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเท้าช้าง โรคผิวหนังน่ารังเกียจ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อหรือหรือพาหะนำโรคติดต่อ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคติดเชื้อระบบผิวหนังหรือบาดแผลผิวหนังที่ไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้ หรือโรคอื่นๆ ตามที่กฎหมายและมาตรฐานต่างๆ กำหนดดังนี้ • วัณโรคในระยะอันตราย (ในระยะอันตราย/ระยะติดต่อ) โรคติดยาเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง โรคผิวหนังน่ารังเกียจ คนไร้ความสามารถหรือมีจิตฟั่นเฟือน • โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อ ได้แก่ Norovirus, HepatitisA, Salmonella Typhi, Salmonella Paratyphi A, B or C (Enteric fever), Shiga toxin-producing Escherichia coli (STEC) (E.coli O157 and non-O157 STEC), Entamoeba histolytica (Amoebic dysentery), Shigella dysen teriae, flexneri, and boydii, Taenia solium, Vibrio cholera O1 and O139 • โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคไทฟอยด์ (ไข้รากสาดน้อย) โรคอหิวาตกโรค โรคบิด • โรคติดเชื้อที่มีอาการแสดงในระบบผิวหนัง เช่น โรคติดเชื้อระบบผิวหนังจากเชื้อ Staphylococcus aureus, ไข้สุกใส, โรคเรื้อน, โรคหัด เป็นต้น • แผลที่ผิวหนังไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้บริเวณ มือ ใบหน้า ลำคอ ศีรษะ เล็บมือ, • โรคติดเชื้อที่ดวงตา หู และช่องปากที่อาจมีสารคัดหลั่งผิดปกติออกจากอวัยวะขณะที่ติดเชื้อ เช่น คางทูม เป็นต้น
54 ความพรอมในการทำงาน Fit for work ตารางที่ 2 แสดงสรุประยะเวลาให้หยุดงานเพื่อให้ไม่มีการปนเปื้อนอาหารหลังกลับเข้าทำงาน เชื้อโรค ระยะเวลาที่ต้องหยุดงาน ไม่ทราบเชื้อ 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน จาก Queenland Heatlh. Food Handler Exclusion Guidelines. November 2017. Accessed on 20 June 2020. Available form: https://www.health.qld.gov.au/__data/assets/pdf_file/0036/684495/food-handler-exclusion-guide.pdf Vibrio parahaemolyticus 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Viral gastroenteritis 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้องและอาเจียน Yersiniosis 48 ชั่วโมงหลังหยุดถ่ายท้อง Typhoid/Paratyphoid หลังตรวจอุจจาระได้ผลลบ สองครั้งติดต่อกัน ห่างกันมากกว่าหรือเท่ากับ 24 ชั่วโมง (อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ dose สุดท้าย) Vibrio cholerae (toxigenic) หลังตรวจอุจจาระได้ผลลบ สองครั้งติดต่อกัน ห่างกันมากกว่าหรือเท่ากับ 24 ชั่วโมง (อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะ dose สุดท้าย) พนักงานต้องไม่มาทํางานถ้ามี อาการดังนี้ • ทองเสีย • มีไข • อาเจียน • ดีซาน ตัวเหลือง • เจ็บคอและมีไข • จาม ไอบอย หรือน้ำมูกไหล ตลอดเวลา • มี แผลหนองบนมือ ขอมือ หรือสวนอื่นของ รางกายที่ไมมีสิ่งปกปด พนักงานต้องไม่มาทํางาน ถ้าเป็นโรคที่ระบุได้ว่าเกิดจาก • เชื้อ E.coli O157 ที่สรางพิษชิกา • ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ • บิด (Shigella infection) • ไขไทฟอยด • ทองรวงจากโนโรไวรัส (Norovirus) • เชื้อมีบางกลุม Entamoeba Histolytica พนักงานต้องแจ้ง ผู้จัดการถ้าสงสัย • สัมผัสกับผูที่มีอาการในชวงมีการระบาด • ถูกสงสัยวาเปนสาเหตุแหงการระบาด • สัมผัสกับคนในครอบครัวที่เปนโรคทองรวง • มีแผลติดเชื้อ หรือมีอาการเจ็บคอ ต้องหยุดทำงานทันทีถ้ามีอาการไม่สบายและแจ้งผู้จัดการ 5. แนวทางการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร (Cook/Chef) หมายถึง บุคคลซึ่งทำหน้าที่ประกอบและปรุงอาหาร โดยกุ๊ก (Cook) เป็นผู้เตรียมการทำอาหาร ประกอบและปรุงอาหาร ส่วนเชฟ (Chef) นั้นจะรวมถึงผู้คิดสูตรการประกอบและปรุงอาหาร ด้วย 7-9 ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารควรเข้ารับการการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงาน เพราะอาจ เป็นพาหะของโรคติดต่อทางเดินอาหาร เช่น ผู้สัมผัสอาหารมีเชื้อโรคไทฟอยด์อยู่ในตัว ไม่แสดงอาการแต่สามารถ แพร่เชื้อจากการสัมผัสอาหารได้ อีกทั้งต้องตรวจหาเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ทางการสัมผัส ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง บิด ไทฟอยด์ ซึ่งสามารถติดต่อได้หากไม่ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำแล้วใช้มือหยิบจับอาหาร อีกทั้งยังตรวจหา โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโรควัณโรค หวัด โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคตับอักเสบชนิดเอ ที่สามารถ ติดต่อได้ทางน้ำมูก น้ำลาย ในกรณี ที่ไอจาม หรือพูดคุยรดอาหารในกรณีที่มีบาดแผลติดเชื้อ ฝี หนอง ที่ไม่สามารถ ปิดแผลได้อาจจะปนเปื้อนลงในอาหารระหว่างการเตรียม ปรุงประกอบอาหาร ขณะที่ใช้มือที่เป็นแผลหยิบจับ อาหารได้
แนวทางการตรวจสุขภาพผูปฏิบัติงานผูปรุงอาหาร 55 การซักประวัติและตรวจร่างกายประเมินสุขภาพผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร • ประวัติโรคประจำตัว โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และโรคประจำตัวอื่นๆ ต้องอยู่ในดูแลของแพทย์ ควบคุมอาการได้ ประวัติการใช้ยารักษาประจำ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ • ประวัติการประสบอุบัติเหตุ ต้องได้รับการรักษาและสิ้นสุดการรักษาแล้ว ไม่มีผลต่อการหยิบจับเตรียมอาหาร ไม่มีแผลติดเชื้อ แผลที่ไม่สามารถปิดแผลได้อาจจะปนเปื้อนลงในอาหาร • ประวัติการแพ้สารเคมี แพ้ยา แพ้อาหาร หากมีประวัติการแพ้ส่วนประกอบของอาหารเช่น แป้ง เครื่องปรุงบางประเภท อาจมีผลต่อการเตรียมและปรุงอาหารบางประเภทได้ • ประวัติอาการในช่วง 48 ชม.ที่ผ่านมา มีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียถ่ายเหลว ปวดท้อง เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ควรเข้ารับการรักษาก่อนแล้วจึงมาประเมินหลังสิ้นสุดการรักษาและไม่มีอาการแล้ว • ประวัติโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หากยังไม่สามารถรักษาควบคุมอาการได้ควรเข้ารับการรักษาก่อนแล้วจึงมา ประเมินหลังสิ้นสุดการรักษาและไม่มีอาการแล้ว • ตรวจรางกายตรวจวัดสัญญาณชีพ อุณหภูมิ ชีพจร ความดันโลหิต อัตราการหายใจ ประเมินสภาพรางกาย • ตรวจร่างกายระบบผิวหนังตรวจหาติดเชื้อระบบผิวหนังและบาดแผลผิวหนังที่ไม่สามารถปกปิดให้มิดชิดได้ หากตรวจ พบควรเข้ารับการรักษาก่อนแล้วจึงมาประเมินหลังสิ้นสุดการรักษาและไม่มีอาการแล้ว รายการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร • เอกซเรยทรวงอก (Chest X-ray) เพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรควัณโรคระยะติดตอ • ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเดินอาหาร การตรวจ Anti HAV IgM เป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นในระยะแรกของการติดเชื้อ บ่งบอกภาวะการติดเชื้อเฉียบพลัน ถ้าตรวจพบจะแสดงว่า ขณะนั้นร่างกายกำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเออยู่ ส่วนการตรวจ Anti HAV total Ab นั้นเป็นภูมิคุ้มกันที่ ร่างกายสร้างขึ้นในระยะแรก และระยะหลังของการติดเชื้อ การตรวจพบบ่งบอกว่าร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ ไวรัสตับอักเสบเอขึ้นแล้ว หรือเคยได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอมาก่อน หากผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ แนะนำฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอเพิ่มเติม • ตรวจเพาะเชื้อจากอุจจาระ (Stool examination, Stool culture) เพื่อตรวจหาเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร หากพบเชื้อ Salmonella Typhi, Salmonella Paratyphi A, B or C (Enteric fever), Shiga toxin-producing Escherichia coli (STEC) (E.coli O157 and non-O157 STEC), Entamoeba histolytica (Amoebic dysentery), Shigella dysenteriae, flexneri, and boydii , Worms - Taenia solium, Vibrio cholera O1 and O139 ควรเข้ารับการรักษาและมาตรวจประเมินซ้ำหลังสิ้นสุดการรักษาและไม่มีอาการแล้วอย่างน้อย 48 ชั่วโมง • ตรวจหาสารเสพติด (Urine amphetamine/meth amphetamine) เพื่อตรวจหาโรคติดยาเสพติด หากตรวจพบ สารเสพติดชนิด amphetamine/methamphetamine ควรซักประวัติการใช้ยารักษาโรคจิตเวช สารเสพติด หรือยาชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม หากเป็นการใช้เพื่อการรักษาอยู่ในการดูแลของแพทย์ควรมีใบรับรองแพทย์ยืนยัน การประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร • สามารถปฏิบัติงานได้แต่มีข้อจำกัด (Fit to work with restriction) ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ประเมิน เช่น กรณีมีโรคประจำตัวต้องเข้ารับการติดตามรักษากับแพทย์สม่ำเสมอต่อเนื่อง เป็นต้น • ไมสามารถปฏิบัติงานได (Unfit to work) กรณีดังตอไปนี้ 1) โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ โรคท้องร่วง โรคบิด โรคไทฟอยด์ และพบอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียถ่ายเหลว เป็นต้น 2) โรควัณโรคในระยะอันตราย/ระยะติดต่อ และพบอาการผิดปกติระบบทางเดินหายใจ 3) โรคติดเชื้อระบบผิวหนัง โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง โรคผิวหนังน่ารังเกียจ และบาดแผลผิวหนังที่ไม่สามารถ ปกปิดได้ 4) โรคติดยาเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง
อันตรายที่พบในคนทำงานในครัวการค้าได้แก่ • แผลไฟไหม • โรคที่เกิดจากการเคลื่อนไหวซ้ำซาก • ขอมือและขอไหลติด • พลัด ลื่น และหกลม • ถูกมีบาด • โรคผิวหนังจากการแชน้ำ • ปวดตามรางกาย • สัมผัสกับความรอน • ไฟฟาดูด การตรวจความพร้อมของร่างกายในการทำงานตาม capacity evaluation ด้วย ได้แก่ 1. จะต้องมีการตรวจร่างกายทั่วไป โดยสังเกตตั้งแต่เดินมาหา ท่าทางการเดิน การพูดคุย การอ่านและ ความเข้าใจ เพื่อดูพฤติกรรม การทรงตัว 2. ตรวจความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทดสอบกำลังของกล้ามเนื้อแขน ขา การที่จะต้องยืนนานๆ 3. การตรวจระบบประสาท ตรวจความรู้สึก reflexes และ co-ordination 4. ตรวจประสาทรับความรู้สึก ตรวจการได้ยิน ตรวจการชิม 5. ซักถามประวัติโรคประจำตัว และยาที่กินอยู่ เนื่องจากต้องทำงานกับความร้อน และควัน ซึ่งอาจรบกวน การหายใจ และมี load ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แนวทางการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร เข้ารับการรักษา และประเมินซ้ำ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ (Unfit to work) กรณีดังต่อไปนี้ 1) โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ โรคท้องร่วง โรคบิด โรคไทฟอยด์ และพบอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสียถ่ายเหลว เป็นต้น 2) โรควัณโรคในระยะอันตราย/ระยะติดต่อ และพบอาการผิดปกติระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูก เป็นต้น 3) โรคติดเชื้อระบบผิวหนัง โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง โรคผิวหนังน่ารังเกียจ และบาดแผลผิวหนังที่ไม่สามารถ 4) โรคติดยาเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง ประเมินความพร้อมในการ ปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร (Fit for work) • สามารถปฏิบัติงานได (Fit to work) • สามารถปฏิบัติงานไดแตมีขอจำกัด (Fit to work with restriction) รายการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร • เอกซเรยทรวงอก (Chest X-ray) เพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ • ตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอซึ่งเปนเชื้อไวรัสที่ติดตอทางเดินอาหาร (Anti HAV IgM) • ตรวจอุจจาระ (Stool examination, Stool culture) เพื่อตรวจหาเชื้อกอโรคในระบบทางเดินอาหาร • ตรวจหาสารเสพติด (Urine amphetamine) ซักประวัติและตรวจร่างกายประเมินสุขภาพผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหาร • ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการประสบอุบัติเหตุ ประวัติการใชยารักษาประจำ • ประวัติการแพสารเคมี แพยา แพอาหาร • ประวัติอาการในชวง 48 ชม.ที่ผานมา มีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เชน คลื่นไสอาเจียน ทองเสียถายเหลว ปวดทอง เปนตน • ประวัติโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง • ตรวจรางกายตรวจวัดสัญญาณชีพ อุณหภูมิ ชีพจร ความดันโลหิต อัตราการหายใจ • ตรวจรางกายระบบผิวหนังตรวจหาติดเชื้อระบบผิวหนังและบาดแผลผิวหนังที่ไมสามารถปกปดใหมิดชิดได • ผูปฏิบัติงานปรุงอาหาร (Cook/Chef) หมายถึง บุคคลซึ่งทำหนาที่ประกอบและปรุงอาหาร โดยกุก (Cook) เปนผูเตรียมการทำอาหาร ประกอบและปรุงอาหาร ส่วนเชฟ (Chef) นั้นจะรวมถึงผู้คิดสูตรการประกอบและปรุงอาหารด้วย 7-9 ผู้ปฏิบัติงานปรุงอาหารเข้ารับการการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงาน 56 ความพรอมในการทำงาน Fit for work
แนวทางการตรวจสุขภาพผูปฏิบัติงานผูปรุงอาหาร 57 แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร ส่วนที่ 1 ของผู้ปฏิบัติงานที่เข้ารับการตรวจสุขภาพประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหาร ข้าพเจ้า นาย/นาง/นางสาว.................................................................................................................................................................................. สถานที่อยู่ (ที่สามารถติดต่อได้)......................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................. หมายเลขบัตรประชาชน - - - - ข้าพเจ้าขอใบรับรองสุขภาพ โดยมีประวัติสุขภาพดังนี้ 1. โรคประจำตัว ไม่มี มี (ระบุ) ........................................................................................... 2. อุบัติเหตุ และ ผ่าตัด ไม่มี มี (ระบุ) ........................................................................................... 3. เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่มี มี (ระบุ) ........................................................................................... 4. อาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายเหลว เป็นต้น ไม่มี มี (ระบุอาการ) ............................................................... 5. อาการผื่นแพ้ที่ผิวหนัง แผลติดเชื้อ ไม่มี มี (ระบุบริเวณที่เป็น) ..................................................................... ลงชื่อ .......................................................วันที่.............. เดือน ................... พ.ศ. ................ ส่วนที่ 2 ของแพทย์ สถานที่ตรวจ ...........................................................................................................วันที่ .............. เดือน .............................. พ.ศ. ................. ข้าพเจ้า นายแพทย์/แพทย์หญิง......................................................................................................................................................................... ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเลขที่ ........................................สถานพยาบาลชื่อ.............................................................................. ที่อยู่ ........................................................................................................................................................................................................................ ได้ตรวจร่างกาย นาย/นาง/นางสาว .................................................................................................................................................................. แล้วเมื่อวันที่ ....................... เดือน ...................................... พ.ศ. .................... มีรายละเอียดดังนี้ น้ำหนักตัว .................. กก. ความสูง .................... เซนติเมตร ความดันโลหิต ...................... มม.ปรอท ชีพจร .....................ครั้ง/นาที สภาพร่างกายทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ................................................................................................................ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจเพิ่มเติม 1. การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ......................................................... 2. การตรวจการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Anti HAV IgM) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ......................................................... 3. การตรวจอุจจาระ (Stool examination, Stool culture) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ......................................................... 4. การตรวจหาสารเสพติด (Urine amphetamine) ปกติ ผิดปกติ (ระบุ) ......................................................... แพทย์ได้ทำการตรวจสุขภาพ ขอรับรองว่าบุคคลดังกล่าว ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ไม่ปรากฏอาการของโรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนหรือปัญญาอ่อน ไม่ปรากฏอาการของการติดยาเสพติดให้โทษ และอาการของ โรคพิษสุราเรื้อรัง และไม่ปรากฏอาการและอาการแสดงของโรคต่อไปนี้ โรคเรื้อนในระยะติดต่อหรือในระยะที่ปรากฏอาการ เป็นที่รังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม มีความเห็นในการประเมินความพร้อมในการปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหารดังนี้ สามารถปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหารได้ สามารถปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหารได้แต่มีข้อจำกัด (Fit to work with restriction) หรือข้อควรระวังดังนี้ รายละเอียด................................................................................................................................................................ ไม่สามารถปฏิบัติงานผู้ปรุงอาหารได้ รายละเอียด............................................................................................. ลงชื่อ ...................................................................แพทย์ผู้ตรวจร่างกาย หมายเหตุ (1) ต้องเป็นแพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม (2) ให้แสดงว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์เพียงใด ใบรับรองแพทย์ฉบับนี้ให้ใช้ได้ 1 เดือนนับแต่วันที่ตรวจร่างกาย (3) คำรับรองนี้เป็นการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น และใบรับรองแพทย์นี้ ปรับจากใบรับรองแพทย์ที่ใช้สำหรับใบอนุญาตขับรถและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถ แบบฟอร์มนี้ได้รับกาiรับรอง จากมติคณะกรรมการแพทยสภาในการประชุมครั้งที่ 2/2564 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี บทที่ 4
1. หลักการและเหตุผล เนื่องจากในประเทศไทย การตรวจสุขภาพเพื่อทำใบขับขี่ จะเน้นด้านสายตา และการ ตอบสนอง โดยให้การตรวจสุขภาพ เป็นดุลยพินิจของแพทย์ จากการประชุมล่าสุดแพทยสภาได้ ออกตัวอย่างใบรับรองแพทย์สำหรับตรวจสุขภาพเพื่อทำใบขับขี่ โดยมีเพียงผู้ที่เป็นโรคลมชัก ที่ไม่อนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ ในต่างประเทศ ดังตัวอย่างในบทความนี้ จะมีการดูข้อจำกัดทางระบบ ประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคทางจิตใจ โรคปอด ซึ่งมีผลต่อการขับขี่และ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ถือเป็นขับขี่ขนส่งสารอันตราย จึงต้องมีร่างกายที่ สมบูรณ์พร้อมที่จะทำงาน และต้องรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุดังที่ผ่านมา ตัวอย่าง กฏหมายเกี่ยวกับการขับขี่รถบรรทุกสารอันตราย ได้แก่ 1.1 กฏหมายเกี่ยวกับการขับรถยนต์ในประเทศไทย กฎกระทรวง ความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายทางถนน พ.ศ. 2558 ในกฎกระทรวงความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายทางถนน พ.ศ. 2558 มีการกำหนด คุณสมบัติของผู้ขับขี่ดังนี้ โดยกำหนดในข้อ 3 (8) โดยไม่ให้หรือยินยอมให้บุคคลต่อไปนี้ปฏิบัติหน้าที่ ขับรถ (ก) บุคคลซึ่งไม่มีใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถชนิดที่ ๔ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอน ใบอนุญาต หรือมีใบอนุญาตที่สิ้นอายุแล้ว (ข) บุคคลซึ่งไม่มีหนังสือรับรองผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่อธิบดีประกาศกําหนด (ค) ผู้ขับรถซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกินชั่วโมงการทํางานตามที่กฎหมายกําหนด (ง) ผู้ขับรถซึ่งหย่อนความสามารถในการขับรถ ในข้อ (๑๑) ควบคุมผู้ขับรถให้ใช้ความเร็วไม่เกินอัตราความเร็วที่กฎหมายกําหนด และ (๑๒) ควบคุมให้ผู้ขับรถปฏิบัติตามข้อกําหนดว่าด้วยความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตราย ทางถนนตาม (๒) (๓) (๔) (๖) และ (๗) ในข้อ ๔ คือในขณะปฏิบัติหน้าที่ ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็น ผู้ขับรถชนิดที่ ๔ ต้องปฏิบัติตาม ข้อกําหนดว่าด้วยความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายทางถนน ดังต่อไปนี้ (๑) ตรวจสอบความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายตามข้อ ๓ (๒) (๓) (๔) (๖) และ (๗) (๒) ไม่บรรทุกผู้โดยสารไปกับรถที่ขนส่งวัตถุอันตราย (๓) ไม่เปิดภาชนะบรรจุที่บรรจุ วัตถุอันตรายในระหว่างทําการขนส่ง (๔) ไม่สูบบุหรี่ในระหว่างทําการขนส่ง การขนถ่าย และการ เคลื่อนย้ายวัตถุอันตราย ทั้งในบริเวณใกล้เคียงรถและภายในรถ (๕) ไม่กระทําการใดๆ ที่ก่อให้เกิด เปลวไฟหรือประกายไฟ (๖) ดับเครื่องยนต์ในระหว่างทําการขนถ่ายวัตถุอันตรายขึ้นและลงจากรถ ยกเว้นในกรณี ที่ต้องใช้เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนเครื่องสูบหรืออุปกรณ์อื่น ๆ สําหรับการขนถ่าย วัตถุอันตรายขึ้น หรือลงจากรถ (๗) ใช้ห้ามล้อทุกครั้งที่จอดรถบรรทุกวัตถุอันตราย สําหรับรถกึ่งพ่วงที่ไม่มีอุปกรณ์ห้ามล้อ ต้องป้องกันการเคลื่อนที่ของรถกึ่งพ่วง โดยการใช้อุปกรณ์สําหรับการหนุนล้อ น.พ. อดุลย บัณฑุกุล แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 59 บทที่ 4
60 ความพรอมในการทำงาน Fit for work ในการฝึกอบรมการขับรถวัตถุอันตราย มีประกาศกรมการขนส่งทางบกเรื่องการขอรับหนังสือรับรองผ่าน การอบรมการขับรถวัตถุอันตราย พ.ศ. 2562 โดยที่กฎกระทรวงความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๘ กําหนดให้ ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของที่นําไปใช้ใน การขนส่ง วัตถุอันตราย ต้องไม่ให้หรือยินยอมให้บุคคลซึ่งไม่มีหนังสือรับรองผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่อธิบดี ประกาศกําหนดปฏิบัติหน้าที่ขับรถ เพื่อให้การขนส่งวัตถุอันตรายทางถนนของผู้ประกอบการขนส่ง ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศเป็นไปด้วยความปลอดภัย และเป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ ด้านการขนส่งสินค้าอันตราย ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ได้แก่ กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอํานวย ความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit) กรอบความตกลงอาเซียน ว่าด้วยการอํานวยความสะดวกในการขนส่งข้ามแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Inter-State Transport) และความตกลง ว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement) ที่ประเทศไทยได้ทําไว้ ซึ่งสอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการขนส่ง สินค้าอันตรายระหว่างประเทศ ทางถนนของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยุโรปแห่งสหประชาชาติ (European Agreement Concerning the International Carriage of Dangerous Goods by Road (ADR) ในข้อ 1 กำหนดให้ “ หนังสือรับรอง” หมายถึง หนังสือรับรองผ่านการอบรมการขับรถวัตถุอันตรายที่ กรมการขนส่งทางบก ออกให้แก่ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถชนิดที่ 4 ที่ผ่านการอบรมและทดสอบตามหลักสูตร ที่กรมการขนส่งทางบก กําหนด ข้อ ๒ การยื่นคําขอดําเนินการใด ๆ เกี่ยวกับหนังสือรับรองตามประกาศนี้ ให้ยื่นคําขอ พร้อมด้วยใบอนุญาต เป็นผู้ขับรถชนิดที่ 4 ณ สํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสํานักงาน ขนส่งจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ และ ในข้อ 3 ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถชนิดที่ 4 ที่ประสงค์จะขอรับหนังสือรับรอง ต้องเข้า รับการอบรมและผ่านการ ทดสอบตามหลักสูตรที่กําหนดตามข้อ 4 โดยต้องได้คะแนนรวมตั้งแต่ ร้อยละ 65 ขึ้นไป จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ กรณีไม่ผ่านการทดสอบ ให้ทดสอบแก้ตัวได้อีกหนึ่งครั้งในวันนั้นหรือภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ไม่ผ่านการทดสอบ ครั้งแรก หากไม่ผ่านการทดสอบอีก ต้องเข้ารับการอบรมในหลักสูตรนั้นใหม่ สำหรับหลักสูตรนั้นกำหนดใน ข้อ 4 หลักสูตรการอบรมการขับรถวัตถุอันตราย แบ่งออกเป็น 4 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรขั้นพื้นฐาน (2) หลักสูตรพิเศษ สําหรับการขนส่งวัตถุอันตรายในรูปแบบแท็งก์ (3) หลักสูตรพิเศษสําหรับการขนส่งวัตถุอันตราย ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด (4) หลักสูตรพิเศษสําหรับการขนส่งวัตถุอันตราย ประเภทที่ 7 วัสดุกัมมันตรังสี รายละเอียดของหลักสูตร ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กําหนดแนบท้ายประกาศ ทั้งนี้ผู้สามารถอบรมได้กรมการขนส่งทางบกจะเป็นผู้อนุมัติ แต่ก็ต้องสอบทดสอบความรู้กับกรมการขนส่งทางบกตามข้อ 3 ดังกำหนดในข้อ 5 ในกรณีกรมการขนส่งทางบกได้ ยอมรับผลการอบรมของหน่วยงานใด หรือมอบหมาย ให้หน่วยงานใดทําการอบรมแทนกรมการขนส่งทางบก ให้ถือว่าผู้ขอรับหนังสือรับรองที่ผ่านการอบรม จากหน่วยงานดังกล่าวผ่านการอบรมตามที่กรมการขนส่งทางบก กําหนดแล้ว แต่ยังคงต้องเข้ารับ การทดสอบความรู้กับกรมการขนส่งทางบกตามข้อ 3 สำหรับการฝึกอบรมพนักงานขับรถนั้น ทางกรมควบคุมมลพิษได้เสนอให้มีอากรจัดอบรมครอบคลุมเรื่อง ต่อไปนี้คือ ระเบียบวิธีปฏิบัติในการขนส่ง ประเภทของวัตถุอันตรายทั้ง 9 ประเภท วิธีการใช้ MSDS ใบกํากับการ ขนส่ง และเอกสารเกี่ยวกับการตอบโต้เหตุฉุกเฉิน ความหมายของสัญลักษณ์ ฉลาก ป้าย และเครื่องหมาย ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตราย ข้อปฏิบัติระหว่างการขนส่ง การคัดแยกประเภทสินค้าอันตราย การตอบโต้เหตุฉุกเฉิน เบื้องต้น การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล อุปกรณ์และขั้นตอนการใช้งาน (Loading/Unloading) และการตรวจตราอุปกรณ์ ทั้งนี้ผู้ประกอบการไม่ควรอนุญาตให้พนักงานขับรถที่ยังไม่ผ่าน การอบรม ทําหน้าที่ขับรถ บรรทุกวัตถุอันตราย อีกทั้งควรจัดอบรมเป็น ระยะๆ ด้วยเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มเติมความรู้หรือเทคนิคใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับ การขับรถ ขนส่งวัตถุอันตรายอย่างระมัดระวัง
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 61 1.2 ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอุบัติเหตุสำหรับผู้ขับขี่ สำหรับ ปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุสำหรับผู้ขับขี่นั้น ในภาพรวมของรถทุกประเภท อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ในการจราจรทางบกนั้น เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ด้วยกัน โดยมี 3 สาเหตุหลักได้แก่ คน รถ ถนนและสิ่งแวดล้อม โดยสาเหตุมากกว่าร้อยละ 80 เกิดจากคนหรือ ผู้ขับขี่ ซึ่งอาจขับรถประมาท ขาดความรู้ ขาดทักษะในเรื่องเทคนิค การขับรถที่ถูกต้อง รวมถึงขาดจิตสํานึกใน การขับขี่อย่างปลอดภัย สาเหตุสําคัญที่เกิดจากคน ทั้งผู้ขับรถและ คนเดินเท้า จําแนกได้ ดังนี้ 1) สาเหตุที่เกิดขึ้นจากผู้ขับรถ 1.1) มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือหลับใน สุขภาพไม่ดี มีโรค ประจําตัว โรคลมชัก ตาบอดสี ตาพร่า น้ำตาลในเลือดต่ำ 1.2) มีความบกพร่องทางด้านจิตใจและอารมณ์ เช่น มีความกลัดกลุ้มใจ วิตกกังวล อารมณ์ หงุดหงิด ฉุนเฉียว มีความตึงเครียดทางอารมณ์ 1.3) ขาดความรู้ความชํานาญ และประสบการณ์ในการใช้ถนน เช่น ขาดความรู้เรื่องความเร็วของรถ คาดคะเน ความเร็ว หรือกะระยะทางไม่ถูกต้อง ไม่มีความรู้ความชํานาญในเรื่องลักษณะของยวดยานที่ใช้ขับ ไม่รู้กฎจราจร เป็นต้น 1.4) ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับ เช่น ขับรถเร็ว ขับรถตัดหน้ารถอื่นระยะกระชั้นชิด ขับรถล้ำช่องทาง เดินรถ ขับรถแซงซ้าย หรือแซงขวาในที่คับขัน ขับรถตามหลังคน อื่นอย่างกระชั้นชิด ฝ่าฝืนป้ายหยุดขณะออกจาก ทางร่วม ขับรถย้อนศรทางเดินรถ ขับรถฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร หยุดรถโดยกระชั้นชิด ฯลฯ 1.5) ไม่รู้จักป้องกันตนเอง เช่น ขับรถด้วยความประมาท ขาดความระมัดระวัง ความเร่งรีบในการเดินทาง เสพยากระตุ้นประสาท ดื่มสุราขณะขับรถ ฯลฯ สําหรับเรื่องการดื่มสุรานั้น จากสถิติของสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตํารวจ ปี พ .ศ. 2532 พบว่าผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากการจราจร มีประวัติการดื่มสุราจํานวน 288 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 77.12 2) สาเหตุที่เกิดจากผู้ใช้รถใช้ถนน 2.1) การขาดความระมัดระวัง เช่น ผู้โดยสารขึ้นหรือลงรถโดยไม่ระมัดระวัง ในการปิด-เปิดประตูรถ เดินถนน โดยไม่ระมัดระวังยวดยาน วิ่งตัดหน้ารถ การวิ่งเล่นบนถนน ลื่นหก ล้ม ลังเลใจในการข้ามถนน ฯลฯ 2.2) การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร เช่น ห้อยโหนรถโดยสารรถประจําทาง ไม่ขึ้นหรือลงขณะรถหยุด หรือ ที่ป้ายจอด ไม่ข้ามถนนบริเวณที่ทางข้าม , สัญญาณ หรือสะพานลอย ไม่เดินถนนตามบาทวิถีหรือทางเท้า 2.3) ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ข้ามถนนโดยออกจากหน้า หรือท้ายรถขณะที่รถยังจอดอยู่ สัตว์เลี้ยง เดินข้ามถนนหรือวิ่งตัดหน้ารถ ฯลฯ 2.4) ความไม่สมบูรณ์ของร่างกายและ จิตใจ เช่น สภาพร่างกายที่อ่อนเพลียการดื่มสุราขณะเดินถนน เป็นต้น 3) สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมีองค์ประกอบสําคัญ 2 ประการ ได้แก่ 3.1) การกระทําที่ไม่ปลอดภัย (UNSAFE-ACT) หมายถึง การกระทําหรือการปฏิบัติงานของคนที่มีผล ทําให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับตนเองและผู้อื่น เช่น การขับรถด้วยความเร็ว ซึ่งมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูง เป็นการกระทําที่ไม่ปลอดภัย 3.2) สภาวะการที่ไม่ปลอดภัย (UNSAFE-CONDITION) หมายถึง สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติงาน เช่น การขับรถในเวลากลางคืน ฝนตกหนัก ถนนที่อันตราย 4) ทัศนคติ ในการขับรถปลอดภัยจะเป็นตัวกําหนดพฤติกรรมของเราที่มีต่อการขับรถ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงภัย หลีกเลี่ยงการกระทําที่ไม่ปลอดภัย ไม่ยึดติดกับความถูก - ความผิด รู้จักให้อภัย แก่คนที่ขับรถผิดกฎจราจร เพื่อให้ เขา - เรา - และทุกฝ่าย รอดพ้นจากการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าปราศจากทัศนคติ ที่ถูกต้อง และความมุ่งมั่นที่จะขับรถให้ ปลอดภัย ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทัศนคติในการขับ รถปลอดภัยได้แก่แนวความคิดเห็นของเรา ที่มีต่อสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ซึ่งจะถูกแสดงออกมา เป็นความเห็น กฎระเบียบ หรือการกระทํา โดยจะต้อง เอื้ออาทรต่อผู้ใช้รถ ใช้ถนนคนอื่น ๆ เสมอ ยอมรับและเตรียมพร้อมสําหรับความผิดพลาดของผู้อื่น ยอมรับว่าไม่มีงานใดที่เร่งด่วน จนกระทั่งทําให้ต้องขับรถเร็วเกินกว่ากําหนด ต้องเข้าใจว่าการขับรถเป็นทักษะที่ต้องประกอบด้วยเทคนิคต่างๆ ที่ถูกต้อง ต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ ทั้งร่างกายและจิตใจ เตือนตัวเองเสมอว่ารถไม่สามารถอยู่ในสภาพปลอดภัยได้ หากขาดการบํารุงรักษาอย่างถูกต้อง
62 ความพรอมในการทำงาน Fit for work ในการขอใบอนุญาติขับขี่ก่อนการดำเนินการใด ๆ กับผู้ขอรับใบอนุญาตต้องเข้าทำการทดสอบการควบคุม บังคับรถก่อนทุกครั้ง (สอบขับรถ) 1. ตรวจสอบหลักฐาน/ออกคำขอ 2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 3. อบรม 2 ชม. 4. สอบข้อเขียน หลักเกณฑ์ ผ่าน 75% จาก 30 ข้อ ต้องได้ 23 ข้อ จึงจะถือว่าผ่าน และสามารถสอบ แก้ตัวได้ 1 ครั้ง หากสอบไม่ผ่านสามารถสอบแก้ตัวในวันรุ่งขึ้นได้อีกวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะผ่าน 5. สอบขับรถ ต้องนำรถมาเอง หลักเกณฑ์กำหนดสอบ 3 ท่า หากไม่ผ่านให้มีสิทธิสอบแก้ตัว เฉพาะท่าที่ ไม่ผ่านเมื่อพ้น กำหนด 3 วัน นับแต่วันที่ทดสอบแต่ไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่ ยื่นคำขอ เว้นแต่มีเหตุ อันสมควรให้นายทะเบียนมีอำนาจพิจารณาให้ทดสอบแก้ตัวใหม่ได้ หากพ้นกำหนดต้องยื่นหลักฐานใหม่ สำหรับการขับรถที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย การขับรถบรรทุกวัตถุอันตราย และ การอบรมการขับรถวัตถุอันตราย หรือที่เรียกว่า ใบขับขี่รถ ท.4 หรือเรียกแบบเป็นทางการว่าใบอนุญาตขับ รถชนิดที่ 4 คือ ใบอนุญาตขับรถที่ใช้ขนส่ง วัตถุอันตราย ผู้ขับขี่รถบรรทุกวัตถุอันตรายที่ไม่มีใบขับขี่รถ ท4 จะมีความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปีหรือ ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหากเกิด อุบัติเหตุด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการขับรถที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย สอบใบขับขี่รถ ท4 จะต้องทำอะไรบ้าง มีเงื่อนไข ดังนี้ 1. ผู้ขอรับใบขับขี่รถท4 จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี 2. ต้องมีการ ทำใบขับขี่รถท3 หรือ สอบใบขับขี่ท3 (รถที่ใช้สําหรับลากจูงรถอื่น หรือล้อเลื่อนที่บรรทุก สิ่งของชนิดที่ 3) มาก่อนแล้ว 3. ต้องมีการตรวจสอบประวัติอาชญากร และจะต้องไม่มีโทษจําคุก หรือหากมีจะต้องพ้นโทษมาแล้วเกิน 3 ปี 4. ต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 5. ผ่านการอบรมจํานวน 6 ชั่วโมง โดยมีเนื้อหาการอบรมได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่ UN กําหนดไว้ ถ้ามีการพิการทางตาหรือหูตึง แขนขาเคลื่อนไหวไม่ได้ จะต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมิน โดยใช้ใบรับรองแพทย์ จะแตกต่างกัน 1. พิการทางตา ใช้ใบรับรองแพทย์ตามแบบที่กรมฯ กำหนด โดยให้จักษุแพทย์ เป็นผู้ออกใบรับรอง 2. พิการหูตึง/หูหนวก/แขน/ขา ใช้ใบรับรองแพทย์สำหรับแพทย์ ผู้เชี่ยวชำนาญการรักษาเฉพาะโรครับรอง 1.3 ขั้นตอนการดำเนินการ ในวันที่ 1 มกราคม 2565 ผู้ขับรถบรรทุกวัตถุอันตราย (ท.4) ต้องมีหนังสือรับรองการขับรถวัตถุอันตราย ใช้คู่กับใบขับขี่ ท.4 โดยจะเริ่มอบรมและทดสอบตามข้อกําหนดมาตรฐานสากล มุ่งยกระดับความปลอดภัยการขนส่ง วัตถุอันตรายทางถนนของประเทศไทย กรมการขนส่งทางบกจึงได้ดําเนินการตามความตกลงระหว่างประเทศด้านการ ขนส่ง สินค้าอันตรายที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยกําหนดให้ผู้ขับรถบรรทุกสินค้าที่เป็นวัตถุอันตรายทั้ง 9 ประเภท ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด, ประเภทที่ 2 ก๊าซ, ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ, ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ, ประเภทที่ 5 สารออกซิไดส์, ประเภทที่ 6 สารพิษและสารติดเชื้อ, ประเภทที่ 7 วัสดุกัมมันตรังสี, ประเภทที่ 8 สารกัดกร่อน และประเภทที่ 9 วัตถุอันตรายเบ็ดเตล็ด) ต้องมีหนังสือรับรองการขับรถวัตถุอันตราย ควบคู่กับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ชนิดที่ 4 ซึ่งการจะได้รับหนังสือรับรองการ ขับรถวัตถุอันตรายนั้น ต้องผ่านการอบรมและทดสอบจากหน่วยงานที่ กรมการขนส่งทางบกมอบหมาย โดยมีหลักสูตร อบรม จํานวน 4 หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรขั้นพื้นฐาน ซึ่งผู้ขับรถขนส่ง สินค้าวัตถุอันตรายทุกประเภท ต้องผ่านการอบรม และทดสอบในหลักสูตรขั้นพื้นฐานทุกคน และหลักสูตรพิเศษ จํานวน 3 หลักสูตร สําหรับผู้ต้องปฏิบัติหน้าที่ขับรถวัตถุ อันตรายประเภทที่ต้องการความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม ประกอบด้วย หลักสูตรพิเศษสําหรับการขนส่งวัตถุอันตรายใน รูปแบบแท็งก์, หลักสูตรพิเศษสําหรับการขนส่งวัตถุอันตราย ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด และหลักสูตรพิเศษสําหรับการ ขนส่งวัตถุอันตราย ประเภทที่ 7 วัสดุกัมมันตรังสี หนังสือ รับรองการขับรถวัตถุอันตราย
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 63 มีลักษณะเป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ขนาดเดียวกับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถเพื่อให้สะดวกต่อการพกพา มีอายุไม่เกิน 3 ปี โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้น ไป ผู้ขับรถวัตถุอันตราย (ท.4) ต้องเข้ารับการอบรมและทดสอบตามหลักสูตร อบรมที่กรมการขนส่งทางบกกําหนด ตามประเภทและลักษณะการบรรทุกวัตถุอันตราย ทั้งนี้ ความปลอดภัยการขนส่ง วัตถุอันตรายทางถนน ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่าง เป็นรูปธรรมจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่ง วัตถุอันตรายต้องตระหนักและไม่ยินยอมให้ พนักงานขับรถซึ่งไม่มีใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถชนิดที่ 4 (ท.4) และหนังสือ รับรองการขับรถวัตถุอันตรายปฏิบัติหน้าที่โดย เด็ดขาด รวมถึงต้องมีเอกสารการขนส่งอยู่ในรถตลอดการขนส่ง ตรวจสอบสภาพความมั่นคงแข็งแรงและอุปกรณ์ส่วนควบ ของรถ ตรวจสอบอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่จําเป็นในการ ระงับเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญในการยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัยการขนส่งวัตถุอันตรายทางถนน ของประเทศไทย 1.4 การฝึกอบรมพนักงานขับรถ ผู้ประกอบการควรจัดให้มีการอบรมสําหรับพนักงานขับรถทุกคน โดยหัวข้อในการฝึกอบรมควรครอบคลุม เรื่องต่อไปนี้ • ระเบียบวิธีปฏิบัติในการขนสง • ประเภทของวัตถุอันตรายทั้ง 9 ประเภท • วิธีการใช MSDS ใบกํากับการขนสง และเอกสารเกี่ยวกับการตอบโตเหตุฉุกเฉิน • ความหมายของสัญลักษณ ฉลาก ปาย และเครื่องหมาย ตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับวัตถุอันตราย • ขอปฏิบัติระหวางการขนสง • การคัดแยกประเภทสินคาอันตราย • การตอบโตเหตุฉุกเฉินเบื้องตน • การใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล • อุปกรณและขั้นตอนการใชงาน (Loading/Unloading) • การตรวจตราอุปกรณ ทั้งนี้ผู้ประกอบการไม่ควรอนุญาตให้พนักงานขับรถที่ยังไม่ผ่าน การอบรม ทําหน้าที่ขับรถบรรทุกวัตถุอันตราย อีกทั้งควรจัดอบรมเป็น ระยะๆ ด้วยเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มเติมความรู้หรือเทคนิคใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ ขนส่ง วัตถุอันตรายอย่างระมัดระวัง 2. การตรวจสุขภาพเพื่อทำใบขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ปัจจุบันแนวทางตรวจสุขภาพของผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ในกฎกระทรวง การขอ และการออกใบอนุญาตขบัรถและการต่ออายุใบอนญุาตขับรถ พ.ศ. 2563 ระบุเรื่องการตรวจร่างกายไว้เพียง ใบรับรองแพทย์ซึ่งแสดงว่าไม่มีโรคประจาตัวหรือไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็น อันตรายขณะขับรถตามที่แพทยสภากำหนด และไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน โดยมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ ผู้รับรองกำหนด เว้นแต่ในกรณีที่ใบรับรองแพทย์ ไม่ได้กำหนดอายุไว้ ให้ใช้ได้ไม่เกินหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ออก ใบรับรองแพทย์ สำหรับผู้ที่ต้องการใบขับขี่รถสาธารณะทุกประเภทจะเพิ่มการตรวจสุขภาพคือ ใบรับรองแพทย์ ซึ่งแสดงว่า (ก) ไม่มีโรคประจำตัวหรือไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่า อาจเป็น อันตราย ขณะขับรถตามที่แพทยสภากาหนด(ข) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน(ค) ไม่เป็นผู้ติดสุรายาเมาหรือยาเสพติด ให้โทษ (ง) ไม่เป็นผู้เป็นโรคติดต่อ ดังต่อไปนี้ (1) โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการ (2) วัณโรคในระยะแพร่ กระจายเชื้อ และผู้ขอใบขับขี่จะต้องอบรมและทำการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย ซึ่งอย่างน้อยต้องทำการทดสอบ ความสามารถ ของปฏิกิริยาและสายตา ในการต่ออายุใบขับขี่ ก็ระบุไว้เพียงว่า ผู้ต่ออายุต้องมีใบรับรองแพทย์ ซึ่งแสดงว่า ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ (ก) ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความเหมาะสม (ข) ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (ค) ไม่เป็นผู้มีโรคติดต่อ อันเป็นที่รังเกียจ (โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการ และวัณโรค ในระยะแพร่กระจายเชื้อ) (ง) ไม่เป็นผู้ติดสุรา ยาเมาหรือยาเสพติดให้โทษ ทั้งนี้มีการชี้แจงจากอธิบดีกรมการขนส่งทางบก
64 ความพรอมในการทำงาน Fit for work กล่าวว่า การต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตผู้ประจำรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการ ขนส่งทางบก เดิมจะไม่มีการกำหนดให้ใช้เอกสารใบรับรองแพทย์ แต่ด้วยข้อเท็จจริงสมรรถภาพของร่างกายของ ผู้ขับรถมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มมากขึ้นและอาจมีโรคประจำตัว หรืออาจมีเหตุให้สมรรถภาพของร่างกาย บกพร่องจนไม่สามารถขับรถได้ จึงจำเป็นต้องกำหนดให้ผู้ขับรถเข้ารับการตรวจรับรองจากแพทย์ก่อนเบื้องต้น และจะมีการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายที่จำเป็นต่อการขับรถเมื่อมาติดต่อที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ประกอบด้วย การทดสอบการมองเห็นสี การทดสอบสายตาทางลึก การทดสอบสายตาทางกว้าง และการทดสอบปฏิกิริยา สำหรับ ใบรับรองแพทย์ตามแบบที่แพทยสภารับรอง โดยผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตผู้ประจำรถ สามารถแจ้ง วัตถุประสงค์ในการขอรับใบรับรองแพทย์ เพื่อให้แพทย์ออกใบรับรองแพทย์ให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์การนำไป ใช้และเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด ส่วนในอนาคตจะมีการกำหนดสภาวะโรคที่ต้องห้ามในการขอรับใบอนุญาตขับรถ เพิ่มเติมหรือไม่นั้น กรมการขนส่งทางบกจะประสานความร่วมมือกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิดต่อไป 3. สิ่งคุกคามผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี อุบัติเหตุ พลัดตกจากตัวรถ จากการปีนบันใดไปบนตัวถังบรรจุ อุบัติเหตุรถยนตร์ อุบัติเหตุขณะเปิดประตูลงมาในถนน อาจเกิดไส้เลื่อนเช่นจากการออกแรง และมีแรงเบ่งในท้อง เช่นการเปลี่ยนยาง การยกของ การผูกเชือก การระเบิด ของสารเคมี การรั่วของสารเคมี สิ่งคุกคามด้านกายภาพ เสียงดังจากเครื่องยนต์ จากรถในถนน แสงแดด สภาพภูมิอากาศ ความสั่นสะเทือนจากการขับรถ สิ่งคุกคามด้านสารเคมี การหายใจเอาสารเคมีที่ระเหยเข้ามา เช่น ขณะเติมสารเคมีลงถัง หรือมีสารเคมีรั่ว การได้รับสารเคมีโดย อุบัติเหตุสิ่งคุกคามจากท่าทางการทำงาน การที่ต้องนั่งทำงานในท่าเดียวกันนานๆ ในที่จำกัด ความสั่นสะเทือน ทำให้มีอาการของ กล้ามเนื้อและ กระดูกได้ สิ่งคุกคามทางจิตสังคม ความเครียดจากงาน รถติด การขับรถใหญ่ การถูกจับผิดกฎจราจร ฯลฯ 4. Functional Capacity ของผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีต้องขับรถบรรทุกที่มีความจำนวนมาก เพื่อส่งและรับสารเคมีไปยังเป้าหมาย การขับรถไปยังจุดใดๆ ต้องใช้ความรู้ในกฎระเบียบการขับขี่และตามพื้นที่ การเตรียมสินค้า การขึ้นสินค้า การเก็บ ค่าขนส่ง การทำตาม พรบ ต้องผ่านการอบรม ทราบสัญญลักษณ์ GHS ของสารเคมี ต้องตรวจสอบรถยนตร์ โดยตรวจสอบเครื่องยนต์และรถยนต์ ต้องตรวจสอบยาง ไฟ เบรก น้ำมัน และน้ำ ต้องทราบวิธีการเผชิญเหตุฉุกเฉิน เช่น สารเคมีรั่ว หรือรถเสีย อาจต้องจอดรถ เปลี่ยนยาง เปลี่ยนไฟ ต้องกั้นถนนเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเป็น การขับรถต้องอาศัยสายตา ต้องคิด ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มีปฏิกิริยารวดเร็ว ต้องแข็งแรง มีความอดกลั้น อดทน เพราะต้องขับรถ ขนาดใหญ่ และระยะทางไกล ต้องออกแรงซ่อมแซม เปลี่ยนยาง ต้องตรวจตราสินค้า ต้องทราบ ว่าบรรทุกอะไร มีอันตรายอะไร เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต้องทำอะไร ดังนั้นคนขับรถบรรทุกสารเคมี จะต้องมีความพร้อมทาง ร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่ 5. การตรวจสุขภาพเพื่อตรวจความสมบูรณ์พร้อมในการขับขี่รถบรรทุกสารเคมี รวมทั้งข้อห้ามในการขับขี่ ในบทนี้ ใช้การตรวจสุขภาพเพื่อทำใบขับขี่ที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์โดยนำมาจาก Federal Motor Carrier Safety Administration (FMCSA) Medical Examiner Handbook และ Assessing fitness to drive ของ Driver & Vehicle Licensing Agency 2022 ของประเทศอังกฤษ และ Austraods assessing fitness for drive นำมารวมกัน เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่เน้นเรื่องภาวะสุขภาพในการขับรถ อาจเป็นเพราะ เราไม่มีระบบรายงานผลจากแพทย์มายังขนส่ง เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราว เคยมีความพยายาม เมื่อสองปี ก่อนแต่ใส่ใด้เพียง ต้องไม่เป็นโรคลมชักเท่านั้น
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 65 อนึ่งในประเทศไทย ยังไม่มีกระบวนการถอนใบขับขี่จากโรค ซึ่งแพทย์เป็นผู้แจ้ง จึงใช้เป็น ให้แจ้งแพทย์ และหัวหน้างาน เพื่อพิจารณาให้หยุดขับขี่ ซึ่งในแนวทางเหล่านี้ จะมีเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่ และการทำใบขับขี่ใหม่ด้วย และ ผู้ขับขี่ในบทนี้ทั้งหมดคือผู้ขับขี่รถบรรทุก ซึ่งได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ซึ่งจะต้อง มีอายุมากกว่า 21 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 45 ปีบริบูรณ์ และจะต้องมีการต่อใบอนุญาตใหม่ทุก 5 ปีหรือเมื่อมีอายุ 45 ปี หากผู้ขับขี่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะสามารถทำการต่อใบอนุญาตได้ทุก 1 ปีโดยไม่ได้มีการจำกัดอายุในการต่อใบอนุญาต แต่ใบอนุญาต อาจจะมีระยะเวลาจำกัดกว่าที่ควรได้หากมีเหตุผลทางการแพทย์บางประการ โดยผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีจะต้อง ผ่านการประเมินเกี่ยวกับสุขภาพโดยแพทย์เสียก่อน และมีการประเมินโดยแพทย์อีกครั้งเมื่ออายุ 45 ปีหรือเมื่อต่อ ใบอนุญาตในภายหลัง 6. ความผิดปกติของระบบประสาท 6.1 โรคลมชัก โรคลมชักเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุด ข้อปฏิบัติหรือกฎสำหรับคนที่เป็นโรคลมชัก ที่ยังมีอาการดังนี้ : โรคลมชักที่ยังมีอาการชัก ถ้าภายใน 24 ชั่วโมงมีอาการชักต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อปฏิบัติสำหรับคนเป็นโรคลมชัก สำหรับในผู้ขับรถที่ไม่มีอาการชักเลยจะถือว่าการดำเนินโรคดี และกลุ่มที่มีอาการชักครั้งแรกโดยไม่มีปัจจัย กระตุ้นจะมีการดำเนินโรคดีต้องมีเงื่อนไขดังนี้ ไม่มีความผิดปกติในการถ่ายภาพของสมอง ไม่มีความผิดปกติในคลื่นไฟฟ้าสมอง รับการรักษาจากแพทย์ศัลยประสาท ความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก น้อยกว่า 2% ในคนขับรถ โรคลมชักและมีอาการชักหลายครั้ง โดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น *ห้ามขับรถและต้องแจ้งหน่วยงานที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) จนกว่าจะไม่มีอาการชักอีกใน 10 ปี (ควบคุมอาการโดยการไม่ใช้ยา) อาการชักครั้งแรก โดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น * ห้ามขับรถและไม่อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่ภายใน 5 ปีนับจากวันที่มีอาการชัก • ถาหลังจาก 5 ป รับการรักษาจากแพทยศัลยประสาทไมมีอาการชักเลยและ ความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก น้อยกว่า 2% ในคนขับรถจึงจะสามารถ กลับมาใช้ใบขับขี่และอนุยาตให้ขับรถได้ อาการชักโดยมีปัจจัยกระตุ้น * ห้ามขับรถและและไม่อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่ • ยกเว้นกรณีอาการชักที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดสมองที่มีความเสี่ยง ในการเกิดอาการชัก น้อยกว่า 2% ในคนขับรถจึงจะสามารถกลับมาใช้ใบขับขี่ และอนุยาตให้ขับรถได้ การชักแบบดิสโซซิเอทีฟ * ห้ามขับรถและและไม่อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่ระยะเวลา 3 เดือน ถ้ากรณีความเสี่ยงในการชักสูงจะจำกัดการขับรถและการใช้ใบขับขี่ ระยะเวลา 6 เดือน มีอาการชักกลับมาหลังจากที่ รักษาโรคลมชักหายขาดแล้ว *ห้ามขับรถและและไม่อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่ มีอาการชัก 2 ครั้งโดยไม่มีปัจจัย กระตุ้นภายในระยะเวลา 5 ปี < ต้องใช้กฎหมายและข้อปฏิบัติสำหรับคนที่เป็นโรคลมชัก โรคลมชักจากพยาธิสภาพ หรือรอยโรคในสมอง < กรณีมีอาการชักจากความรอยโรคในสมองต้องใช้กฎหมาย และข้อปฏิบัติสำหรับคนที่เป็นโรคลมชัก
66 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 6.2 กลุ่มผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ที่เป็นโรคลมชัก ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังนี้ ต้องมีใบอนุญาตการขับขี่ ไม่มีอาการชักเลยระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี ไม่มีการใช้ยากันชักเลยระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี ไม่มีอาการชักอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นต้นเหตุของอันตรายในการขับขี่ ผู้ขับรถบรรทุกสารเคมี ที่เป็นโรคลมชักและมีกลุ่มอาการชักที่แยกออกไปต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไข ดังนี้ ต้องมีใบอนุญาตการขับขี่ ไม่มีอาการชักเลยระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ไม่มีการใช้ยากันชักเลยระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ได้รับการรักษาจากศัลยแพทย์ ได้รับการตรวจวินิจฉัย โดยศัลยแพทย์ 6.3 ภาวะหมดสติชั่วคราว ภาวะหมดสติชั่วคราว ในต่างประเทศมี 1 % ที่ต้องนอนพักรักษาตัวที่ โรงพยาบาลโดยการจราจรติดขัด บนท้องถนนเกิดจากคนที่มีภาวะหมดสติชั่วคราวขณะขับรถมากกว่าเกิดจากคนที่มีอาการชักขณะขับรถประมาณ 2-3 เท่า การที่มีภาวะหมดสติชั่วคราวไม่รวมอาการวูบเป็นลมหมดสติมากกว่า 1 ครั้ง จะไม่เกิดบ่อยแต่ก็ควรได้รับ การตรวจประเมินรักษาจากแพทย์ การหมดสติชั่วคราวมีหลายสาเหตุ ได้แก่ เป็นลมหมดสติ อาการชัก/โรคลมชัก ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ยา/แอลกอฮอล์ ปัญหาการนอนหลับ การใช้ยา โดยผู้ป่วยจะมีอาการนำมาก่อนซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่รู้ตัวก่อนที่จะมีอาการและหาสถานที่ที่ปลอดภัย เพื่อที่จะ หยุดการเกิดภาวะหมดสติได้ ลักษณะอาการนำจะน่าเชื่อถือถ้าชัดเจน สม่ำเสมอ เป็นลักษณะแบบเดียวกันทุกเหตุการณ์ และช่วยให้มีเวลาในการหาวิธีที่จะหยุดการเกิดภาวะหมดสติ ต้องมีการแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างานหากมีภาวะหมดสติ ชั่วคราวขณะที่นั่ง สำหรับกรณีที่มีภาวะวูบเป็นลมหมดสติในขณะที่ยืนหรือนั่งร่วมกับมีปัจจัยด้านล่างนี้จะถือว่าเป็นกลุ่มที่มี ความเสี่ยงสูง : มีความผิดปกติของคลื่นสมองไฟฟ้า มีลักษณะอาการของโรคหัวใจร่วมด้วย ควรมีการตรวจเพิ่ม เช่น การตรวจคลื่นสมองภายใน 48 ชั่วโมง, การตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การเดินสายพาน ร่วมกับการตรวจกับแพทย์เฉพาะทาง 6.3.1 ภาวะหมดสติชั่วคราว ในช่วงเวลาเดียว ขณะที่ยืน ขณะที่นั่ง #อาจจะขับรถได้ ไม่ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน *ห้ามขับรถระยะเวลา 3 เดือนและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ขณะที่ยืน ขณะที่นั่ง #อาจจะขับรถได้ ไม่ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน *ห้ามขับรถระยะเวลา 3 เดือนและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ขณะที่ยืนหรือนั่ง *ห้ามขับรถ ถ้ายังไม่ราบสาเหตุ ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน และพักการใช้ใบขับขี่ระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือนโรคหลอดเลือดหัวใจ ตัดภาวะวูบหมดสติออก ขณะที่ยืนหรือนั่ง *ห้ามขับรถระยะเวลา 3 เดือนและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน และพักการใช้ใบขับขี่ระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือน เกิดจากเส้นประสาทเวกัส ภาวะวูบหมดสติโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้น ภาวะวูบหมดสติที่ไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงไม่มีอาการนำที่ชัดเจน โรคหลอดเลือดหัวใจ ตัดภาวะวูบหมดสติออก การวินิจฉัยอาจต้องใช้ความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทและทางด้านหัวใจ
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 67 6.3.2 ภาวะหมดสติชั่วคราว กลับมาเป็นซ้ำ ภาวะหมดสติชั่วคราวกรณีกลับมาเป็นซ้ำ นั้นมีโอกาสเกิดน้อยกว่าการเป็นครั้งเดียวแต่มีความเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุในการขับรถมาก ภาวะหมดสติชั่วคราวกรณีกลับมาเป็นซ้ำมักเกิดจากการเป็นลมวูบหมดสติประมาณ 20-30% ของผู้ป่วย การกลับมาเป็นซ้ำของอาการวูบหมดสติมักเกิดภายใน 3 ปี นับจากการมีอาการครั้งแรก และในผู้ที่มีอาการ จำนวนมากกว่า 80 % นี้เกิดซ้ำ 1ครั้งภายในระยะเวลา 2 ปี หลังมีอาการครั้งแรก เพื่อตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนน ข้อมูลสำคัญที่ต้องทราบคือ ลักษณะอาการนำ - มีสัญญาณเตือนอะไรบอกก่อนที่จะมีอาการนำทั้งในธรรมชาติและระยะเวลา ลักษณะท่าทาง – มีอาการตอนนั่งอยู่หรือไม่ ลักษณะอาการนำ จะช่วยให้ผู้ขับขี่รู้ตัวก่อนที่จะมีอาการและหาสถานที่ที่ปลอดภัย เพื่อที่จะหยุดการเกิดภาวะ หมดสติได้ ลักษณะอาการนำจะน่าเชื่อถือถ้าชัดเจนเที่ยงตรง สม่ำเสมอ เป็นลักษณะแบบเดียวกันทุกเหตุการณ์ และ ช่วยให้มีเวลาในการหาวิธีที่จะหยุดการเกิดภาวะหมดสติ ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน สำหรับลมหมดสติที่เกิดขึ้นในขณะที่ยืนหรือนั่งปัจจัยดังต่อไปนี้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูง: คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หลักฐานทางคลินิกของโรคหัวใจ ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ตรวจสืบค้นภาวะโรคหัวใจต่อไปเช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ 48 ชั่วโมง, ตรวจอัลตราซาวน์หัวใจ และการทดสอบการออกกำลังกาย ในขณะที่ยืนหรือนั่ง *ต้องไม่ขับรถและต้องแจ้ง แพทย์หรือหัวหน้างาน ถ้าไม่ทราบสาเหตุ ใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอน 10 ปี การเป็นลมหมดสติโดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุรวมทั้งเป็นลมหมดสติโดยไม่มีอาการบอกล่วงหน้าโรค ขณะที่ยืน ขณะที่นั่ง #อาจจะขับรถได้ ไม่ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ห้ามขับรถระยะเวลา 3 เดือนและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน และห้ามขับรถจนกว่าความเสี่ยงในการเกิดอาการต่ำกว่า 2 % ภาวะวูบหมดสติจากเส้นประสาทเวกัส ที่มีอาการนำชัดเจนเที่ยงตรง ขณะที่ยืน ขณะที่นั่ง #อาจจะขับรถได้ ไม่ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ห้ามขับรถระยะเวลา 3 เดือนและต้องแจ้งหน่วยงาน ที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) ภาวะวูบหมดสติโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้น ในกลุ่มนี้ คือคนที่มีอาการหมดสติแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตนเองมีอาการชัดหรือไม่ ต้องตรวจเพิ่มเติมเช่น การตรวจ คลื่นสมอง กรณีที่มีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอาการชักหรือข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้: • หมดสติมากกวา 5 นาที • ความทรงจำระยะสั้นหายไปมากวา 5 นาที • บาดเจ็บ • กัดลิ้น • มีการเบง • มีอาการงวงนอนหลังมีอาการสงสัยวามีอาการชัก • มีอาการปวดศีรษะหลังมีอาการวูบหมดสติ อาการวูบหมดสติ โดยที่ไม่มีอาการชัก (Black out) ขณะยืนหรือนั่ง *ห้ามขับรถระยะเวลา 5 ปี และต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ในขณะที่ยืนหรือนั่ง *ต้องไม่ขับรถและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน อาจกลับมาขับรถ หลังจาก 3 เดือนในกรณีที่สามารถระบุสาเหตุและได้รับการรักษา หากไม่สามารถระบุสาเหตุใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอนเป็น 12 เดือน การวินิจฉัยโรคนี้อาจใช้ได้หากได้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทและแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ ได้ตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือดแต่ไม่รวมถึงการเป็นลมหมดสติจากหลอดเลือดหดตัวโดยทั่วไป
68 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 6.4 กลุ่มอาการนอนหลับมากเกินไปและภาวะง่วงเกินหรือการหลับอย่างควบคุมไม่ได้เมื่ออยู่ใน สภาพแวดล้อมที่สบาย (Primary/central hypersomnias – including narcolepsy) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ต้องไม่ขับรถและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน และอาจจะพิจารณา ใบอนุญาตใหม่หลังจากผ่านการประเมินตามวัตถุประสงค์มีการตื่นตัวเช่นการทดสอบ Osler test 6.5 ความผิดปกติของระบบประสาทเรื้อรัง – รวมหลายเส้นโลหิตตีบและโรคเกี่ยวกับเซลล์ประสาท motor neurone (Chronic neurological disorders – including multiple sclerosis and motor neurone disease) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีโรคทางระบบประสาทใดๆ เรื้อรัง ที่อาจมีผลต่อการควบคุมรถได้เนื่องจากการประสานงานและแข็งแรงของกล้ามเนื้อมีความบกพร่อง จะต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน โดยสามารถขับได้หากสามารถควบคุมรถได้ปลอดภัยและใบอนุญาตจะ ถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอนถ้าโรคหรืออาการเป็นมากขึ้นหรือพบความบกพร่องไม่สามารถควบคุมรถได้ หากไม่พบ ความบกพร่องในการขับรถร่วมกับสามารถควบคุมอาการของโรคได้การออกใบอนุญาตควรจะได้รับการพิจารณา โดยรายงานทางการแพทย์และประเมินทุกปี 6.5.1 โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จะต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน สามารถขับได้หากสามารถควบคุมรถได้ปลอดภัย ถ้าภาวะของโรคมี ความบกพร่องส่งผลต่อการใช้งานและ / หรือมีความแปรปรวนของอาการทางคลินิกที่สำคัญในการทำงานของ ระบบการสั่งการ ต้องหยุดขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ถ้าภาวะของโรคไม่ได้ทำให้การขับรถบกพร่อง การออกใบอนุญาต จะได้รับการพิจารณาโดยขึ้นอยู่กับการรายงานทางการแพทย์ที่น่าพอใจและการประเมินผลรายบุคคลหากตรวจสอบ แล้วปกติ 6.6 ภาวะเวียนศีรษะ(Giddiness – liability to sudden and unprovoked or unprecipitated episodes of disabling giddiness) 6.6.1 การเกิดอาการฉับพลันโดยไม่มีการเตือนและไม่สามารถที่จะดำเนินการหรือทำกิจกรรมใดต่อได้ ขณะมีอาการต้องหยุดขับขี่รถทันที และแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน และหากมีอาการฉับพลันและไม่สามารถ ควบคุมรถได้ ต้องหยุดขับขี่รถ หากได้รับการรักษาถูกต้องตามสาเหตุแล้วจะต้องไม่มีอาการและมีการควบคุมได้เป็น เวลา 1 ปี จึงจะพิจารณาให้ขับขี่ได้อีก 6.6.1.1 โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke and transient ischaemic attack (TIA) – including amaurosis fugax) การไอแล้วเป็นลมหมดสติ *ต้องไม่ขับรถและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ไม่ต้องขับรถเป็นเวลา 5 ปีนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ครั้งล่าสุดการพิจารณาใหม่ อาจจะพิจารณา หลังจาก 1 ปี ถ้ามีการควบคุมทั้งหมดต่อไปนี้ • โรคทางเดินหายใจเรื้อรังสามารถควบคุมไดอยางดี • การเลิกสูบบุหรี่ • ดัชนีมวลกายต่ำกวา 30 • โรคกรดไหลยอนไดรับการรักษา • ยืนยันการตรวจรักษาโดยแพทยผูเชี่ยวชาญ ในขณะที่ยืนหรือนั่ง *ต้องหยุดการขับรถและแจ้ง แพทย์หรือหัวหน้างาน (ควรนำมาตรฐาน สำหรับโรคลมชักมาใช้ในการประเมิน) ภาวะหน้ามืดร่วมกับมีอาการของภาวะชัก ประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถควบคุมอาการได้แต่(มีความสงสัยทางคลินิกของการชัก แต่ไม่มีหลักฐาน หรือผลการตรวจที่ชัดเจน บุคคลเหล่านี้ควรที่จะต้องมีการประเมินที่เหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและ ส่งตรวจพิเศษเช่น EEG และสแกนสมอง
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 69 6.7 การตีบของหลอดเลือดแดง carotid (Carotid artery stenosis) ผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ไม่ควรขับรถเว้นแต่ในมุมมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าเหมาะสมและปลอดภัย ที่จะทำได้ ต้องแจ้ง แพทย์และหัวหน้างาน เพื่อพิจารณา หากระดับของการตีบของเส้นเลือดรุนแรงพอ สมควรที่จะ ผ่าตัดและรักษารังสีตามข้อกำหนด ควรทดสอบการออกกำลังกายหรือการทดสอบการทำงานอื่น ๆ 6.8 โรคสมองอักเสบเฉียบพลันและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สัมพันธ์กับการชัก (Acute encephalitic illness and meningitis – including limbic encephalitis associated with seizures) ห้ามขับรถและต้องแจ้งแพทย์ และหัวหน้างาน โดย ก.หากไม่มีอาการชักอาจพิจารณาให้สามารถกลับมาขับรถหลังจากรักษาฟื้นคืนอาการทางคลินิกและโดยให้ แพทย์และหัวหน้างานพิจารณาความพร้อมในการกลับเข้าทำงาน เว้นแต่จะมีความพิการที่เหลือ ข.หากเกิดอาการชักเกิดขึ้นในระหว่างการเจ็บป่วยไข้เฉียบพลันต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานและ ต้องหยุด ขับรถจนกว่าจะปราศจากการชักได้โดยไม่ต้องใช้ยากันชัก: เป็นเวลา 5 ปี ในกรณีที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นเวลา 10 ปี ในกรณีที่โรคไข้สมองอักเสบ ค. หากเกิดอาการชักเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังจากพักฟื้น จะต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานทันทีเพื่อประเมิน ตามแนวทางของคนที่เป็นโรคลมชัก 6.9 ความจำเสื่อมชั่วคราว (Transient global amnesia) ผู้ป่วยจะมีอาการจำไม่ได้ว่าตนเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพื่ออะไร จะทำอะไร ซึ่งถ้าเกิดเพียงครั้งเดียว ยังไม่จำเป็นต้องหยุดขับรถ แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานเพื่อประเมิน แต่ถ้าเกิด 2 ครั้งขึ้นไป ให้หยุดขับรถ ควรแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงสาเหตุต่าง ๆ ทั้งหมดที่อาจส่งผล ต่อการรับรู้การเปลี่ยนแปลงสติ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ต้องไม่ขับรถขณะมีอาการและต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน ต้องหยุด ขับรถ 1 ปีหลังจากเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือ TIA และจะพิจารณา ให้ใบอนุญาตใหม่หลังจาก 1 ปีอาจมีการพิจารณากรณีที่: • ไม่มีสูญเสียสมรรถภาพอันมี แนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขับขี่ ที่ปลอดภัยและ • ไมมีปจจัยเสี่ยงที่สำคัญอื่น ๆ การออกใบอนุญาตต้องจากการรายงานทางการแพทย์รวมทั้งผลของ การทดสอบการออกกำลังกายคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ถ้าหลักฐานภาพถ่ายรังสี พบการตีบของหลอดเลือดแดง carotidน้อยกว่า 50% และไม่มีประวัติ ของโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อนหน้านี้ การออกใบอนุญาตอาจจะออก โดยไม่จำเป็นต้องมีการประเมินการทำงานของหัวใจ ผู้ป่วยที่มี TIAs ซ้ำหรือเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบจะต้องผ่านการทดสอบการทำงาน ของหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองตีบชั่วคราว เพียงครั้งเดียว(Single transient ischaemic attack) *ต้องไม่ขับรถเป็นเวลา 1 เดือน แต่ไม่จำเป็นต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน โรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำหลายครั้ง (Multiple transient ischaemic attack) ต้องหยุดขับรถ และแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน เพื่อส่งประเมิน การเกิด TIAs หลายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่อนุญาตให้ขับรถ เป็นเวลา 3 เดือน การขับรถอาจพิจารณากลับมาหลังจาก 3 เดือนหลังการรักษา หากไม่มีการ TIAs เพิ่มเติม
70 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 6.10 Arachnoid cysts 6.11 Colloid cysts 6.12 Pituitary tumour 6.13 Benign brain tumours Benign supratentorial tumour (WHO grade I meningioma)ก กลุ่มไม่แสดงอาการและ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา อาจให้ขับได้และไม่จำเป็นต้องแจ้งแต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน กลุ่มที่ได้รับการรักษา (Treated by craniotomy and/orendoscopically) ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยการพิจารณา ให้กลับเข้าทำงานใหม่จะทำหลังจากได้รับการรักษาไปแล้ว 2 ปี และต้องไม่มีความบกพร่องทางความสามารถที่อาจเป็น อันตรายและไม่ปลอดภัยในการขับรถ กลุ่มไม่แสดงอาการและ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยอาจให้ขับได้ในกรณีมีการป้องกันโรค รับประทานยาป้องกันอาการชักซึ่งต้องประเมินรายบุคคลไป กลุ่มที่ได้รับการรักษา (Treated by craniotomy and/orendoscopically) ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับ เข้าทำงานใหม่หลังจากได้รับการรักษาไปแล้ว 2 ปีและต้องไม่มีความ บกพร่องทางความสามารถที่อาจเป็นอันตรายและไม่ปลอดภัยในการขับรถ กลุ่มที่ได้รับการรักษาโดย craniotomy ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และห้ามขับแม้จะได้รับ การรักษาไปแล้ว 2 ปี ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือ รักษาโดยใชกการผ่าตัดผ่านทาง sphenoid หรือใช้ยา หรือฉายแสง ให้หยุดขับรถ และให้แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยสามารถขับใหม่ ได้หลังอาการฟื้นคืน โดยต้องไม่มีข้อบกพร่องทางลานสายตา กลุ่มที่ได้รับการรักษาโดย craniotomy *ต้องไม่ขับและต้องแจ้ง หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) ใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอนในกรณีที่ไม่มีอาการชักใดๆ และ มีหลักฐานทางการแพทย์ระบุการผ่าตัดรักษานำเนื้องอกออกไปได้สมบูรณ์ แล้วการพิจารณาใบอนุญาตอาจจะการพิจารณา 5 ปีหลังการผ่าตัด ถ้าเนื้องอกมีความเกี่ยวข้องกับการชัก การพิจารณาใบอนุญาตจะไม่ได้รับ การพิจารณาจนกว่า 10 ปีหลังการผ่าตัดและต้องปราศจากอาการชักได้ โดยไม่ต้องให้ยาโรคลมชักและต้องประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มที่ได้รับการรักษาโดย Fractionated radiotherapy *ต้องไม่ขับและต้องแจ้ง หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) ใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอนตามหลักฐานภาพรังสี การพิจารณาใบอนุญาตอาจจะพิจารณา 3 ปีหลังจากได้รับการรักษา มะเร็งและสิ้นสุดการรักษาแล้ว ถ้าเนื้องอกมีความเกี่ยวข้องกับการชัก การพิจารณาใบอนุญาตจะไม่ได้รับการพิจารณาจนกว่า 10 ปีหลังการ ผ่าตัดและต้องปราศจากอาการชักได้โดยไม่ต้องให้ยาโรคลมชัก และต้องประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ *ต้องไม่ขับและต้องแจ้ง หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) ใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอนในกรณีที่ไม่มีอาการชักใด ๆ และมีหลักฐานทางการแพทย์ระบุการผ่าตัดรักษานำเนื้องอกออก ไปได้สมบูรณ์แล้วการพิจารณาใบอนุญาตอาจจะการพิจารณา 5 ปี หลังการผ่าตัดถ้าเนื้องอกมีความเกี่ยวข้องกับการชัก การพิจารณา ใบอนุญาตจะไม่ได้รับการพิจารณาจนกว่า 10 ปีหลังการผ่าตัดและ ต้องปราศจากอาการชักได้โดยไม่ต้องให้ยาโรคลมชักและต้องประเมิน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ WHO grade II meningiomas treated with craniotomy and/or radiosurgery and/or radiotherapy
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 71 6.14 เนื้องอกในสมอง รวมเนื้องอกที่กระจายมาที่สมอง และเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง มาตรฐานจะนำไปใช้กับการเกิดขึ้นครั้งแรก การกลับมาเป็นซ้ำ และ การเป็นที่แย่ลง 6.14.1 Supratentorial brain tumor ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยการขับรถ อาจจะกลับมาได้หลังฟื้นตัวจากการรักษาโดยที่ไม่มีรอย โรคค้างที่อาจส่งผลกระทบต่อการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย Asymptomatic incidental meningiomas not needing treatment *ต้องไม่ขับและต้องแจ้ง หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตขับขี่ (DVLA) ใบอนุญาตจะถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกถอน การพิจารณาใบอนุญาตใหม่ อาจจะพิจารณาหลังจากที่ตรวจสแกนสมอง2 ครั้งใน 12 เดือน พบว่า ไม่มีการเจริญเติบโตของเนื้องอกควรประเมินรายบุคคลและทบทวน ใบอนุญาตประจำปี (ผลดังกล่าวไม่พบการเจริญเติบโตของเนื้องอก แต่ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการขับรถได้) WHO Grade I หรือ II Glioma หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ยกเว้น pineocytoma เกรด 1 ที่สามารถกลับมาขับขี่ได้ประมาณ 2 ปี หลังจากการรักษาเริ่มต้น และ มีภาพถ่ายรังสีแม่เหล็กเป็นที่น่าพอใจ WHO grade III meningioma ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน WHO grade III หรือ IV Glioma ชนิด invasive หรือ primary CNS lymphoma ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน Solitary metastatic tumour WHO grade I glioma ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน การจะขับรถได้หรือไม่ขึ้น กับอาการและสภาวะโรค ซึ่งจะพิจารณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ WHO grade II ,III หรือ IV glioma ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน Medullablastoma หรือ low grade ependymoma ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และพิจารณาการกลับเข้า ทำงานใหม่ ภายหลัง 5 ปี หลังจากที่รักษาขั้นต้นสมบูรณ์ และ ปราศจากอาการ ก้อนเนื้องอกที่ใต้กระโจมสมองน้อยถูกเอาออกทั้งหมด High Grade Ependymoma และ มะเร็งที่เกิดตรงสมอง หรือ โรคมะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองของระบบประสาท ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน การแพร่กระจายของมะเร็งที่สมอง ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณา การกลับเข้าทำงาน หลังการรักษาเบื้องต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว 5 ปี Childhood infratentorial tumor : รอดชีวิตโดยปราศจากการ กลับมาเป็นซ้ำ ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และถ้ารักษาหายแล้ว ให้มีการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นระยะเพื่อกลับเข้าทำงาน Glioma ที่พบโดยบังเอิญจากภาพถ่าย รังสี เป็นเกรดน้อยๆ และไม่มีอาการ ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และพยาบาล โดยมีแนวโน้มจะขับขี่รถ ไม่ได้ไปตลอด อย่างไรก็ดี อาจมีการพิจารณาอีกครั้งถ้าอาการเป็นที่ น่าพึงพอใจและแพทย์เฉพาะทางให้ความเห็นว่ารอยโรคไม่ใช่ไกลโอมา Infratentorial tumor ชนิดรุนแรงน้อย เช่น meningioma ที่ได้รับการรักษา โดยผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะที่อาจจะ มีการฉายรังสีหรือไม่ร่วมด้วยก็ได้ 6.14.2 Infratentorial brain tumour
72 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 6.15 Acoustic neuroma / schwannoma อาจจะยังสามารถขับรถได้แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ประเมินความพร้อม โดยจะขับรถได้ถ้าไม่มีอาการ ทันทีหรือ เสียความสามารถจากการเวียนศีรษะ 6.16 Brain biopsy ซึ่งทำโดยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะหรือใช้เครื่องมือสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อสมอง ผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี จะต้องหยุดขับรถและแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้าทำงานหลังจาก 6 เดือนอย่างน้อย ซึ่งขึ้นกับเงื่อนไขของแต่ละบุคคล 6.17 อุบัติเหตุทางสมอง ต้องหยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะมีการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเป็น concussion จะดูความเสี่ยงที่เกิดจากการชัก ถ้าความเสี่ยงลดลงน้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 2 หรือไม่มีรอยโรคในสมอง อาจจะ กลับมาทำงานได้ 6.17.1 Subdural haematoma เลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มสมองแบบเรื้อรัง รับการรักษาโดยการผ่าตัดเปิดสมอง ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลังจากการรักษาและพิจารณาเป็นรายบุคคล ภายหลัง อย่างน้อย 6 เดือน รับการรักษาโดยการผ่าตัดเปิดสมอง ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลัง 6 เดือนที่ภาพถ่ายเส้นเลือดในสมองปกติ และไม่พบ รอยโรคค้างที่อาจจะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับรถ รับการรักษาโดยการผ่าตัด ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลังจากการรักษาและพิจารณาเป็นรายบุคคล ภายหลัง อย่างน้อย 6-12 เดือน ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลัง 1 ปี โดยผู้ป่วยผ่านการประเมินโดย modified Rankin Scale (MRS) ตอน 2 เดือน มีคะแนนต่ำกว่า 2 และถ้าคะแนนมากกว่า เท่ากับ 2 ที่ 2 เดือน การประเมินจะไม่ถูกพิจารณาจนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี และต้องไม่มีรอยโรคค้างที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ รักษาโดยการผ่าตัดเปิดสมอง การรักษาแบบสอดสายสวน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลัง 1 ปี โดยผู้ป่วยผ่านการประเมินโดย modified Rankin Scale (MRS) ตอน 2 เดือน มีคะแนนต่ำกว่า 2 และถ้าคะแนนมากกว่า เท่ากับ 2 ที่ 2 เดือน การประเมินจะไม่ถูกพิจารณาจนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี และต้องไม่มีรอยโรคค้างที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ Acute subdural haematoma แบบไม่พบสาเหตุ จากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง (intracranial aneurysm) Chronic subdural haematoma จากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง (intracranial aneurysm)- ที่ไม่ใช่เส้นเลือด middle cerebral artery จากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง (intracranial aneurysm) 6.17.2 Subarachnoid haemorrhage
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 73 6.19 Arteriovenous malformation (AVM) ไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ (เช่นการทำการระบายน้ำไขสันหลังออกจากโพรง การเปิดกะโหลกศีรษะสำหรับ ก้อนเลือดที่ออก) ก็ใช้มาตรฐานตามขั้นตอนของหัตถการนั้นๆ 6.19.1 Supratentorial AVM ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลัง1 ปี โดยผู้ป่วยผ่านการประเมินโดย modified Rankin Scale (MRS) ตอน 2 เดือน มีคะแนนต่ำกว่า 2 และถ้าคะแนนมากกว่า เท่ากับ 2 ที่ 2 เดือน จะต้องหยุดขับรถ และจะประเมินการกลับเข้า ทำงานใหม่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี และแพทย์เฉพาะทางจะประเมิน อัตราเสี่ยงเรื่องการชักต่อปีจะต้องไม่เกินร้อยละ 2 และต้องไม่มีรอย โรคค้างที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ รักษาโดยการผ่าตัดเปิดสมอง จากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง (intracranial aneurysm) - ที่ไม่ใช่เส้นเลือด middle cerebral artery เลือดออกในสมองเนื่องจาก supratentorial AVM การรักษาแบบสอดสายสวน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาการกลับเข้า ทำงานทำหลัง1 ปี โดยผู้ป่วยผ่านการประเมินโดย modified Rankin Scale (MRS) ตอน 2 เดือน มีคะแนนต่ำกว่า 2 และถ้าคะแนนมากกว่า เท่ากับ 2 ที่ 2 เดือนจะต้องหยุดขับรถ และจะประเมินการกลับเข้า ทำงานใหม่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี และแพทย์เฉพาะทางจะประเมิน อัตราเสี่ยงเรื่องการชักต่ออปีจะต้องไม่เกินร้อยละ 2 และต้องไม่มีรอย โรคค้างที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ ปัจจุบันยังไม่ต้องการการรักษา ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะต้องทำการประเมิน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเส้นเลือดโป่งพองใน anterior circulation (ยกเว้น carvernous carotid) มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดน้อยกว่า 13 มม และถ้าเส้นเลือดโป่งพองใน posterior circulationมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ขนาดน้อยกว่า 7 มม สามารถกลับเข้าทำงานได้ รักษาโดยการผ่าตัดเปิดสมอง ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังผ่านไป 1 ปี รักษาโดยการสอดสายสวน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน การกลับมาขับรถจะพิจารณา จากอาการที่ฟื้นฟูแล้ว และไม่มีผลแทรกซ้อนจากกระบวนการที่ได้ทำ ปัจจุบันยังไม่ต้องการการรักษา ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน การรักษาโดยการเปิดกะโหลกศีรษะ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน หลังจากนั้น 10 ปีที่ปราศจากโรคชักตั้งแต่การรักษา ครั้งสุดท้าย และรอยโรคถูกเอาออกอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีรอยโรคค้าง ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการขับที่ปลอดภัย การรักษาโดยการอุดเส้นเลือด ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากนั้น 10 ปีที่ปราศจากโรคชักตั้งแต่การรักษา ครั้งสุดท้าย และรอยโรคถูกเอาออกอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีรอยโรคค้าง ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการขับที่ปลอดภัย การรักษาด้วยรังสีศัลยกรรม stereotactic ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากนั้น 5 ปีที่ปราศจากโรคชักตั้งแต่การรักษา ครั้งสุดท้าย และรอยโรคถูกเอาออกอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีรอย โรคค้างที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการขับที่ปลอดภัย 6.18 Intracranial aneurysm (เส้นเลือดในสมองโป่งพอง) จากการตรวจพบโดยบังเอิญและไม่มีเลือดออก
74 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 6.19.2 Infratentorial AVM ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการทบทวนยืนยันการกำจัด อย่างสมบูรณ์เพื่อไม่มีรอยโรคค้างที่จะส่งผลกระทบต่อการขับรถ ที่ปลอดภัย 6.20 Dural arteriovenous fistula ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะส่งผู้เชื่ยวชาญเพื่อประเมินเป็นรายๆ ไป 6.21 Cavernous malformation ไม่มีหลักฐานยืนยันของการเจ็บป่วยที่มากขึ้นกับหลายโพรง และขนาดเป็นสิ่งไม่สำคัญ 6.21.1 Supratentorial cavernous malformation ปัจจุบันยังไม่ต้องการการรักษา ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน รักษาด้วยวิธีการผ่าตัดหรือวิธีอื่นๆ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากนั้น 10 ปีที่ปราศจากโรคชักตั้งแต่การรักษา ครั้งสุดท้าย และรอยโรคถูกเอาออกอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีรอยโรคค้าง ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการขับที่ปลอดภัย ปัจจุบันยังไม่จำเป็นต้องรักษา ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ปัจจุบันยังไม่จำเป็นต้องรักษา ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะส่งผู้เชื่ยวชาญ เพื่อประเมินเป็นรายๆ ไป รักษาโดยการเปิดกะโหลกศีรษะ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการทบทวนยืนยันการกำจัด อย่างสมบูรณ์เพื่อไม่มีรอยโรคค้างที่จะส่งผลกระทบต่อการขับรถ ที่ปลอดภัย การรักษาด้วยการอุดเส้นเลือด หรือรังสีศัลยกรรม stereotactic ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการทบทวนยืนยันการกำจัด อย่างสมบูรณ์เพื่อไม่มีรอยโรคค้างที่จะส่งผลกระทบต่อการขับรถที่ปลอดภัย รักษาด้วยวิธีการผ่าตัดหรือวิธีอื่นๆ การพบโดยบังเอิญ ขับขี่รถได้ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ร่วมกับการชัก, ไม่ได้รับ การรักษาโดยการผ่าตัด ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และใช้แนวทางแบบการควบคุมลมชัก ร่วมกับการมีเลือดออกในสมอง และ/หรือ พบความผิดปกติของ สมองบางส่วน, ไม่ได้รับการรักษา โดยการผ่าตัด รักษาโดยการผ่าตัดสมอง ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน โดยอาจทำหลังจากมีการผ่าตัดกำจัดรอยโรคแล้ว 10 ปี และถ้ามีอาการชักให้ใช้แนวทางจัดการผู้ที่มีการชัก การใช้รังสีรักษา (การพบความผิดปกติของ cavernousโดยบังเอิญ หรือ มีอาการแสดง) พบโดยบังเอิญของ supratentorial AVM (ไม่มีประวัติของเลือดออกในเส้นเลือดสมอง) เส้นเลือดภายในสมองแตกเนื่องจาก infratentorial AVM พบโดยบังเอิญของ infratentorial AVM ขับขี่รถได้ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ถ้ามีอาการชักให้ใช้แนวทางจัดการผู้ที่มีการชัก
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 75 6.21.2 Infratentorial Cavernous malformation 6.22. ฝีในเนื้อสมอง/หนองในชั้นเยื่อหุ้มสมอง(Intracerebral abcess / subdural empyema) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการชัก การพิจารณาต่อใบอนุญาต ขับขี่อาจทำหลัง10ปี โดยจะต้องไม่มีการชักซ้ำและไม่ได้ทำการรักษาในขณะนั้น 6.23 การผ่าตัดกะโหลกเทียม (Cranioplasty) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากนั้น 6-12 เดือน หลังได้รับการรักษา ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละบุคคล 6.24 การคั่งของน้ำในโพรงสมอง (Hydrocephalus) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหากไม่พบภาวะแทรกซ้อน ของhydrocephalus และไม่พบความผิดปกติของสมอง 6.25 Intraventricular shunt or extraventricular drain 6.25.1 การใส่ หรือ การแก้ไขบริเวณส่วนบนของปลายท่อระบาย ให้หยุดขับรถ และ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยการขับขี่อาจกลับมาพิจารณาใหม่หลังจาก 6 เดือน หากไม่พบความผิดปกติหลงเหลืออยู่ที่จะรบกวน หรือ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่อย่างปลอดภัย 6.25.2 การทำ Neuroendoscopic procedures ให้หยุดขับรถ และ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยการขับขี่อาจกลับมาพิจารณาใหม่หลังจาก 6 เดือน หากไม่พบความผิดปกติหลงเหลืออยู่ที่จะรบกวน หรือ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่อย่างปลอดภัย 6.26 การใส่ Intracranial pressure monitoring device 6.26.1 การใส่เครื่องมือโดยการผ่าตัดเจาะรูกะโหลกศีรษะ (inserted by burr hole surgery) ให้หยุดขับรถ และแจ้งหัวหน้างาน และจะนำโรคประจำตัวควรถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาความเสี่ยง 6.26.2 Implanted electrodes เป็นการกระตุ้นสมองชั้นลึก เพื่อกลุ่มอาการเกี่ยวกับความผิดปกติของการเคลื่อนไหว หรือ การบรรเทา อาการเจ็บปวด ให้หยุดขับรถ และแจ้งหัวหน้างาน ต้องประเมินความพร้อมในการขับขี่ก่อนให้กลับมาทำงานได้ โดยต้อง ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด และผู้ป่วยปราศจากอาการชัก และไม่มีความผิดปกติหลงเหลืออยู่ที่จะรบกวน หรือ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่อย่างปลอดภัย การพบโดยบังเอิญ ขับขี่รถได้ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ร่วมกับการมีเลือดออกในสมอง และ/หรือ พบความผิดปกติของสมอง บางส่วน, ไม่ได้รับการรักษา โดยการผ่าตัด ให้หยุดขับรถ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ซึ่งจะประมิน โดยให้ขับขี่ต่อได้ โดยต้องไม่พบความผิดปกติหลงเหลืออยู่ที่ จะรบกวน หรือ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่ อย่างปลอดภัยถ้ามีอาการชักให้ใช้แนวทางจัดการผู้ที่มีการชัก รักษาโดยการผ่าตัดสมอง ให้หยุดขับรถ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ซึ่งจะประมิน โดยให้ขับขี่ต่อได้ โดยต้องไม่พบความผิดปกติหลงเหลืออยู่ที่ จะรบกวน หรือ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่ อย่างปลอดภัยถ้ามีอาการชักให้ใช้แนวทางจัดการผู้ที่มีการชัก
76 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 7. ระบบหัวใจและหลอดเลือด 7.1 ภาวะเจ็บหน้าอก (angina) ให้หยุดขับขี่ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยเมื่อมีอาการให้หยุดขับขี่ และจะให้กลับมาทำงานเมื่อไม่มี อาการเจ็บหน้าอกนานอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และผ่านการตรวจประเมินความสามารถในการออกกำลัง และ ความสามารถพื้นฐาน 7.1.1 กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่เฉียบพลัน กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่เฉียบพลัน กำหนดดังนี้ • มีอาการเจ็บหนาอก (มีอาการขณะพัก หรือ มีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟาหัวใจ) • กลามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดที่ไมมีการยกตัวของลักษณะคลื่นไฟฟาหัวใจในสวนของ ST segment (non-ST elevation MI) ร่วมกับอาการอย่างน้อย 2 ใน 3 อาการดังต่อไปนี้ 1. มีอาการขณะพัก 2. มีการเพิ่มขึ้นของสารโทรโปรนินในเลือด 3. มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจ • กลามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดที่มีการยกตัวของคลื่นไฟฟาหัวใจสวนของ ST segment (STEMI) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากมีอาการอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และภายใต้เงื่อนไขโดยต้องผ่านการตรวจประเมินความสามารถ ในการออกกำลัง และ ความสามารถพื้นฐาน และต้องผ่านเกณฑ์อื่นๆ 7.1.2 การทำ Percutaneous coronary intervention (PCI) โดยการใส่หรือไม่ใส่ขดลวด (elective angioplasty with or without stent) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้า ทำงานหลังจากมีอาการอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และภายใต้เงื่อนไขโดยต้องผ่านการตรวจประเมินความสามารถในการ ออกกำลังและ ความสามารถพื้นฐาน และต้องผ่านเกณฑ์อื่นๆ 7.1.3 การผ่าตัดทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี (CABG) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้า ทำงาน หลังจากมีอาการอย่างน้อย3เดือน และภายใต้เงื่อนไข ได้แก่ไม่มีหลักฐานถึงการทำงานบกพร่องของ กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย โดยการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจห้องล่างซ้าย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ผ่านการตรวจ ประเมินความสามารถในการออกกำลัง และ ความสามารถพื้นฐาน อย่างน้อย 3 เดือนหลังทำการผ่าตัด และต้องผ่าน เกณฑ์อื่นๆ 7.2 หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) 7.2.1 หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) ประกอบด้วย 1. โรคของจุดกำเนิกกระแสไฟฟ้าsinoatrial 2. ความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของ atrioventricular 3. การเต้นผิดจังหวะของหัวใจชนิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพริ้ว ( atrial flutter /atrial fibrillation) 4. ภาวะหัวใจเต้นเร็ว ทั้งชนิดที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดตัวแคบและตัวกว้าง (narrow or broad complex tachycardia) สำหรับผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน ถ้าสามารถระบุโรคที่เป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ สามารถควบคุมการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ได้อย่างน้อย 3 เดือน และไม่มีหลักฐานถึงการทำงานบกพร่องของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย โดยการสูบฉีดเลือด ออกจากหัวใจห้องล่างซ้าย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 7.2.2 การใช้สายสวนพิเศษจี้ทำลายจุดกำเนิดหรือวงจรที่ผิดปกติอันเป็นสาเหตุของการเต้นผิดจังหวะ (Successful catheter ablation)
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 77 7.2.3 การใส่หรือเปลี่ยนกล่องเครื่องกระตุกหัวใจ (Pacemaker implant – including box change) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน หลังหัตถการอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และต้องผ่านเกณฑ์อื่นๆ 7.2.4 หัวใจเต้นช้าชนิดการกีดขวางกระแสไฟฟ้าแบบสมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด (Unpaced congenital complete heart block) 7.2.5 เครื่องกระตุกหัวใจห้องบน (atrial defibrillator) 7.2.6 เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติชนิดถาวร (Implantable cardioverter defibrillator (ICD)) ในผู้ขับขื่รถบรรทุกสารเคมี การใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติชนิดถาวรและการใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้า หัวใจอัตโนมัติในผู้ป่วยทุกราย (รวมการใส่เพื่อป้องกัน) ต้องหยุดขับขี่อย่างถาวร และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน 7.3 เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง 7.3.1 ส่วนขึ้นหรือส่วนลงของส่วนทรวงอกและ/หรือส่วนท้อง (Ascending and Descending part of Aortic/Abdominal Aorta) หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ ก่อให้เกิดหรือ มีแนวโน้มที่ จะทำให้เกิดการ ไร้ความสามารถ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน หลังหัตถการอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และต้องผ่านเกณฑ์อื่นๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่ก่อให้เกิดหรือ ไม่มีแนวโน้มที่ จะทำให้เกิดการ ไร้ความสามารถ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน หลังหัตถการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และต้องผ่านเกณฑ์อื่นๆ ชนิดไม่มีอาการ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ชนิดมีอาการ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ชนิดแพทย์ หรือ ผู้ป่วย เป็นคนกระตุ้น ชนิดอัตโนมัติ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน โดยอาจจะต้องหยุดขับรถตลอดชีวิต หากไม่ผ่าน เกณฑ์อื่นๆ ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความเสี่ยงต่ำ ขนาดเส้นเลือดที่โป่งพองน้อยกว่า 5.5 เซนติเมตรและแจ้งแพทย์และ หัวหน้างาน ความเสี่ยงระดับจัดการได้ ถ้าขนาดเส้นเลือดที่โป่งพองตั้งแต่ 5.5 เซนติเมตรขึ้นไป ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยอาจจะต้องหยุดขับตลอดชีวิต หรืออาจ กลับมาพิจารณากลับเข้าทำงานใหม่ถ้าประสบความสำเร็จในการผ่าตัด รักษาโดยปราศจากหลักฐานการที่เส้นเลือดโป่งพองใหญ่ขึ้นและไม่มี เงื่อนไขอื่น ถ้าขนาดเส้นเลือดที่โป่งพองตั้งแต่ 5.5 เซนติเมตรขึ้นไป ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยอาจจะต้องหยุดขับตลอดชีวิต หรืออาจ กลับมาพิจารณากลับเข้าทำงานใหม่ถ้าประสบความสำเร็จในการผ่าตัด รักษาโดยปราศจากหลักฐานการที่เส้นเลือดโป่งพองใหญ่ขึ้นและ ไม่มีเงื่อนไขอื่น สำหรับผู้ที่ผ่าตัดรักษาเส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง โป่งพองแล้ว ต้องมีการทดสอบการออกกำลังกายก่อนกลับมาขับ ความเสี่ยงสูง
78 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 7.3.2 เลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยอาจจะต้องหยุดขับตลอดชีวิต หรืออาจกลับมาพิจารณากลับเข้า ทำงานใหม่ถ้าถ้าเงื่อนไขเหล่านี้ครบได้แก่ (1) ถ้าขนาดของเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ตามขวางที่กว้างที่สุด น้อยกว่า5.5 เซนติเมตร (รวมช่องเทียม) (2) ลิ่มเลือดอุดตันช่องเทียมสมบูรณ์ (3) มีการติดตามการรักษาต่อเนื่อง (4) ผลการรักษาทางศัลยกรรมเป็นที่น่าพอใจ (5) การรักษาด้วยยาเป็นที่น่าพอใจ (ควบคุมความดันโลหิตได้ดี) 7.4 กลุ่มอาการมาร์แฟนและโรคกรรมพันธุ์ความพิการของเส้นเลือดแดงใหญ่อื่นๆ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานถ้า (1) ผ่านมาตรฐาน เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง(ดูด้านบน) (2) ผลการรักษาด้วยยาเป็นที่น่าพอใจ (๓) ตรวจประจำปี (รวมถึงการวัด รากเส้นเลือดแดงใหญ่) โดยแพทย์ผู้เชียวชาญด้านหัวใจหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้อง (4) สำหรับการเปลี่ยน รากเส้นเลือดแดงใหญ่อาจจะขอใบอนุญาตใหม่หลังจากการประเมินรายบุคคล 7.5 โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย สามารถขับรถต่อได้ แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และต้องไม่มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และต้องมีการทดสอบกำลังกาย 7.6 ความดันโลหิตสูง จะต้องหยุดขับรถ ถ้าแพทย์ประเมินถ้าความดันโลหิตขณะพัก มีความดัน systolic ตั้งแต่ 180 มม ปรอท ขึ้นไป และ/หรือ ความดัน diastolic ตั้งแต่ 100 มม ปรอทขึ้นไป โดยจะประเมินซ้ำหลังจากควบคุมความดันโลหิตได้และ ไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษาส่งผลกระทบหรือมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย 7.7 โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม ไม่ควรให้ขับรถถ้าเปอร์เซ็นต์การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายน้อยกว่า 40% 7.7.1 กล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ 7.7.2 กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมแบบพองโต ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากทดสอบออกกำลังกายที่ทำให้ความดัน ซิสโทลิกขึ้นไปอย่างน้อย 25 มิลลิเมตรปรอท(ต้องทดสอบซ้ำทุก 3 ปี) และเข้าเงื่อนไขอย่างน้อย 2 จาก 3 ข้อ ดังนี้คือ (1) ไม่มีญาติสายตรง ลำดับแรกเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติก่อนวัยอันควร (2) กล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติต้องไม่ผิดปกติทางกายวิภาคแบบรุนแรง • ความหนาตองไมเกิน 3 เซนติเมตร ซึ่งไดรับการยืนยันโดยแพทยหัวใจ (3) ไม่มีความผิดปกติร้ายแรงของจังหวะหัวใจ เช่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ชนิดไม่มีอาการ ชนิดไม่มีอาการ ชนิดมีอาการ ชนิดมีอาการ ขับต่อได้ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และต้องไม่ขัดกับเกณฑ์อื่น • ต้องไม่ขับและต้องบอก DVLA อาจจะขอใบอนุญาตใหม่ได้ถ้าไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 79 7.8 หัวใจล้มเหลว 7.11 โรคลิ้นหัวใจ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน และถ้ามีลิ่มเลือดอุดกั้นในสมอง อาจจะขอ ใบอนุญาตหลังจาก 12 เดือนและต้องผ่านการประเมิน จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 7.7.3 การเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจห้องล่างขวาจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้อง ชนิดไม่มีอาการ ชนิดมีอาการ ชนิดไม่มีอาการ ชนิดมีอาการ มีการฝังอุปกรณ์ช่วยหัวใจห้องซ้าย ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานได้ถ้าผ่านการประเมินทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ โดยที่ไม่ขัดต่อเกณฑ์ข้ออื่นๆ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน ถ้าผู้สมัครอยู่ระหว่างการรักษา ไม่มีอาการในช่วง 1 ปีและผู้สมัครอยู่ภายใต้การประเมินทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะประเมินให้ขับรถได้เป็นเวลา 3 ปี และกลับมาประเมินทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ สามารถขับต่อได้ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน ถ้า เปอร์เซ็นต์การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย อย่างน้อย 40% ไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สาเหตุของหัวใจล้มเหลว อาจจะต้องมีการทดสอบการออกกำลังกาย ก่อนกลับมาขับ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน เครื่องช๊อกไฟฟ้าหัวใจ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหลังจากฝังเครื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถ้าผ่านข้อกำหนดสำหรับหัวใจล้มเหลว(ดูด้านบน) และไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น ไม่มีอาการ มีอาการ ขับรถได้ และไม่ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน 7.9 การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ 7.10 ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจและปอด หยุดขับรถอย่างน้อย 3 เดือนหลังผ่าตัด และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และกล้บเข้าทำงานโดยผ่านการ ทดสอบออกกำลังกาย ตรวจ ECHO พบว่าแรงบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายมีอย่างน้อย 40% และต้องผ่านเกณฑ์ หรือเงื่อนไขอื่นๆ
80 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 7.11.1 ลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ 7.11.2 การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานได้เมื่อผ่านไป 3 เดือน โดยไม่มีหลักฐานว่าการทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายแย่ลง เปอร์เซ็นต์การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายอย่างน้อย 40% ไม่มีอาการ และไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น 7.12 โรคหัวใจแต่กำเนิด อาจจะขับรถได้แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และจะให้หยุดขับเมื่อ โรคหัวใจแต่กำเนิดเป็นรุนแรงหรือ ซับซ้อน โดยจะให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินที่ 1,2 หรือ 3 ปี โดยต้อง เป็นโรคเล็กน้อย ผ่าตัดแก้ไขสำเร็จดี ไม่มีการตัดสิทธิ์ จากเงื่อนไขอื่น 7.13 คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ 7.13.1 สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานได้เมื่อผ่านไป 3 เดือน และผ่านการตรวจ exercise functional test หรือ functional test รายบุคคล ไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น 7.13.2 Left bundle branch block อาจจะขับรถใด้แต่ต้อง แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ซึ่งอาจจะประเมินความพร้อมโดยการทำ myocardial perfusion scan หรือstress echocardiography และไม่มีการตัดสิทธิ์จากเงื่อนไขอื่น Pre-excitation อาจจะขับรถใด้แต่ต้อง แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ยกเว้นมีกรณีหัวใจเต้นผิดจังหวะต้องดูตามเกณฑ์ด้านบน 8. โรคเบาหวาน 8.1 โรคเบาหวานที่ใช้อินซูลินในการรักษา ผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมีที่ใช้อินซูลินเพื่อรักษาเบาหวาน จะต้องทราบอาการของตนแองเมื่อมีน้ำตาลต่ำ ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน เพื่อประเมินทุกหนึ่งปี โดยจะต้องมี (1) การรับรู้อย่างสมบูรณ์ขณะที่มีภาวะน้ำตาลต่ำ (2) ไม่มีภาวะขาดน้ำตาลอย่างรุนแรงใน 12 เดือน (3) มีการ ควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเหมาะสม ตามกล่องข้อความ ด้านล่าง (4) ต้องใช้เครื่องตรวจวัดน้ำตาลซึ่งสามารถจำค่าได้ 3 เดือน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่าง (5) แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือด (6) ไม่มี การตัดสิทธิ์จากภาวะแทรกซ้อนอื่นของโรคเบาหวาน โดยจะถูกให้หยุดขับรถถ้ามีลานสายตาผิดปกติ (7) การตรวจ exercise functional test หรือ functional test ทั้งนี้จะต้อง ทดสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ-อย่างน้อยวันละ2 ครั้ง รวมวันที่ทำงานและวันหยุด ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก่อน เริ่มออกเดินทางครั้งแรก และตรวจทุก 2 ชั่วโมงในขณะขับรถ และมีการตรวจติดตามเพิ่มขึ้นในกรณีที่มีความเสี่ยงมากต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่นการออกกำลังกายหรืออาหาร ที่เปลี่ยนแปลงประจำ ไม่มีอาการ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และทำการประเมินความพร้อม โดยแม้ว่าลิ้นหัวใจเอออร์ติกจะตีบรุนแรง ก็สามารถออกใบอนุญาต 1 ปีได้ ถ้าผ่านการทดสอบออกกำลังกาย หรือ ผลการติดตามการรักษาเป็นที่ น่าพอใจ และจะต้องหยุดขับรถถ้า ในระหว่างการทดสอบออกกำลังกาย มีอาการ เช่น ความดันตกหรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลง แพทย์หัวใจ คิดว่าการทดสอบออกกำลังกายจะไม่ปลอดภัยสำหรับบุคคลนั้น และไม่ สามารถทดสอบได้ ไม่ว่าจากเหตุผลอะไรก็ตาม มีอาการ ต้องหยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน อาจจะถุกให้ย้ายงาน หรือหยุดขับรถตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับการประเมินแต่ละคน
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 81 ถ้ามีภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรงจากสาเหตุอื่นนอกจากการรักษาเบาหวาน ต้องหยุดการขับ เมื่อรู้ว่ายังคงมีอาการเช่น ภาวะน้ำตาลต่ำหลังจาก การผ่าตัดลดความอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับการกินอาหารที่ผิดปกติ ควบคุมน้ำตาลโดยการกินยาเม็ดที่มีความเรื่องต่อภาวะน้ำตาลต่ำ ในการประเมินความพร้อมจะมีเมื่อ ใช้หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งอุปกรณ์ในการวัดระดับน้ำตาลที่มีการบันทึก ระดับน้ำตาลที่น่าเชื่อถือได้ตลอด3เดือน เพื่อพร้อมสำหรับการประเมินผล แพทย์และหัวหน้างานต้องให้แน่ใจว่า มีการพบแพทย์ประจำของที่ให้การดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่และติดตาม การรักษาเป็นประจำทุกปีรวมถึงการตรวจสอบอ่านค่าระดับน้ำตาลจากเครื่องวัดตลอดระยะเวลา 3 เดือน จัดการ ตรวจสอบทุก 12 เดือนโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ด้านการให้คำปรึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวานถ้าการตรวจรักษาโดยแพทย์ ปกติของพวกเขาเป็นที่น่าพอใจ ในการตรวจสอบและให้คำปรึกษาจะต้องมีค่าของระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจด้วย ตัวเองและมีบันทึกย้อนหลัง 3 เดือน เก็บไว้ในหน่วยความจำของเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด โดยการตรวจความพร้อม จะเริ่มเมื่ออาการของผู้ขับคงที่อย่างน้อย 1 เดือน 8.1.1 การไม่สามารถรู้ตัวจากภาวะน้ำตาลต่ำ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ในผู้ป่วยที่ใช้อินซูลิน 8.1.2 ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนทางการมองเห็น ที่มีผลต่อระดับการมองเห็นและลานสายตา ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ภาวะแทรกซ้อนทางไต ต้องหยุดขับรถ และมีการพิจารณาประเมินเป็นรายๆ ไป ภาวะแทรกซ้อนที่แขน ขา รวมถึงโรคปลายประสาทอักเสบ ต้องหยุดขับและแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน พิจารณารายบุคคลโดยดูความพิการ 8.1.3 การใช้อินซูลินเพื่อรักษาชั่วคราว • รวมถึงการมีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือหลังจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานเพื่อประเมินให้เป็นไปตามมาตรฐานข้างต้น 8.2 เบาหวานที่รักษาโดยยาอื่นนอกจากอินซูลิน 8.2.1 ภาวะขาดน้ำตาลอย่างรุนแรง รวมไปถึง ยากลุ่มsulphonylureas และกลุ่มglinides ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานเพื่อประเมิน และทำการประเมินทุก 1,2 หรือ3 ปี โดย • ไมมีภาวะน้ำตาลอยางรุนแรงใน12เดือน • การรับรูอยางสมบูรณขณะที่มีภาวะน้ำตาลต่ำ • ทดสอบระดับน้ำตาลในเลือดเปนประจำ-อยางนอยวันละ2 ครั้ง และเวลาที่สัมพันธ์กับการขับขี่ เช่น ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ก่อน เริ่มออกเดินทางครั้งแรก และตรวจทุก 2 ชั่วโมงในขณะขับรถ • แสดงใหเห็นถึงความเขาใจในความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือด • ไมมีการตัดสิทธิ์จากภาวะแทรกซอนอื่นของโรคเบาหวาน ซึ่งหมายถึง การให้หยุดขับรถ เช่น การมีลานสายตาผิดปกติ ไม่รวม ยากลุ่มsulphonylureas และกลุ่มglinides ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานเพื่อประเมิน จะขับรถได้ถ้า ผู้ขับขี่อยู่ภายใต้การดูแลทางการแพทย์ โดยจะให้หยุดขับ เมื่อมีภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ประสงค์ เช่น ภาวะแทรกซ้อนทางการมองเห็น ที่ส่งผลกระทบต่อระดับการมองเห็นและลานสายตา มีการควบคุมเบาหวาน โดยใช้ยาอื่น รวมไปถึงการฉีดยาที่ไม่ใช่อินซูลิน ภาวะน้ำตาลต่ำจากสาเหตุอื่น
82 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 8.3 การควบคุมเบาหวานด้วย อาหาร และการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ขับรถได้และไม่ต้องแจ้งใคร แต่ต้องหยุดขับและแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับภาวะ แทรกซ้อนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ เช่น ภาวะแทรกซ้อนทางการมองเห็น ที่ส่งผลกระทบต่อระดับการมองเห็นและลานสายตา และถ้าจำเป็นต้องใช้อินซูลินในการรักษา 8.4 การปลูกถ่ายตับอ่อนและการปลูกถ่ายกลุ่มเซลล์ที่ตับอ่อน อาจขับขี่ได้แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณาเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยใช้อินซูลิน 9. ความผิดปกติทางจิต 9.1 อาการทางจิตเวชทุกอาการ หากอาการทางจิตเวชสัมพันธ์กับการใช้สารเสพติดหรือการดื่มสุราเป็นข้อห้ามในการขับขี่และการขอใบอนุญาต 9.2 โรควิตกกังวล หรือ โรคซึมเศร้า - ความรุนแรงเล็กน้อย ถึง ปานกลาง ไม่มีอาการทางด้านความจำหรือ ไม่มีปัญหาทางด้านสมาธิ กระวนกระวาย พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หรือไม่มี ความคิดฆ่าตัวตาย สามารถขับรถได้ และไม่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างานโดยมีเงื่อนไขว่าอาการต้องไม่เป็นอยู่เป็น เวลานาน 9.3 โรควิตกกังวล หรือ โรคซึมเศร้า - ความรุนแรงเล็กน้อย ถึง ปานกลาง อาการป่วยทางจิตเวชมีผลต่อการขับขี่มากกว่าการใช้ยาในการรักษา ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการรักษาและต้องมีระยะเวลา ที่อาการคงที่นานพอ โดยอาจได้รับการพิจารณาภายหลัง 6 เดือน ถ้าบุคคลนั้นไม่มีอาการรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง และ ไม่ได้ รับประทานยาที่มีผลต่อระดับความรู้สึกและสมาธิ ทั้งนี้ต้องมีการ ประเมินผลจากจิตแพทย์ โดยสามารถกลับเข้าทำงานได้ หลังจาก 6 เดือนถ้าสามารถควบคุมความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าให้คงที่ ได้ด้วยยารักษา โดยระดับของยาที่ใช้รักษานั้นต้องไม่มีผล จนก่อให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย 9.4 โรคจิตเฉียบพลัน ห้ามขับขี่ในช่วงมีอาการ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ซึ่งอาจ พิจารณากลับเข้าทำงานถ้าผ่านเกณฑ์ต่อไปนี้ทุกข้อ • อาการสงบและคงที่อยางนอย 12 เดือน • เขารวมในทุกโปรแกรมการรักษา • มีสติครบถวน • ไมไดทานยาที่มีผลตอ ความสามารถในการขับขี่ • มีผลรายงานการรักษาจากแพทย ผูเชี่ยวชาญ • ขนาดยาเพื่อรักษาโรคควรอยูในระดับที่เหมาะสมและไมลดความ สามารถในการขับขี่ เช่น ระดับความรู้สึกตัว สมาธิ และความสามารถ ทางกาย • ในการประเมินการกลับเปนซ้ำของโรค ควรมีโอกาสในการเกิด โรคซ้ำอยู่ในระดับต่ำโดยจะต้องมีรายงานของจิตแพทย์ ประกอบการกลับเข้าทำงาน มีอาการทางด้านความจำ หรือมีปัญหาทางด้านสมาธิ กระวนกระวาย พฤติกรรม เปลี่ยนแปลง หรือมีความคิด ฆ่าตัวตาย ไม่มีอาการทางด้านความจำหรือ ไม่มีปัญหาทางด้านสมาธิ กระวน กระวาย พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีความคิดฆ่าตัวตาย
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 83 อาการคงที่ 9.5 โรคอารมณ์แปรปรวน (Hypomania หรือ Mania) • ขนาดยาเพื่อรักษาโรคควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ลดความสามารถในการขับขี่ เช่น ระดับความรู้สึกตัว สมาธิ และความสามารถทางกาย • ในการประเมินการกลับเป็นซ้ำของโรค ควรมีโอกาสในการเกิดโรคซ้ำอยู่ในระดับต่ำ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานโดยต้องผ่านเกณฑ์ดังต่อไปนี้ทุกข้อ • อาการสงบและคงที่อยางนอย 12 เดือน • เขารวมในทุกโปรแกรมการรักษา • มีสติครบถวน • ไมไดทานยาที่มีผลตอความสามารถในการขับขี่ • มีผลรายงานการรักษาจากแพทยผูเชี่ยวชาญ ดูรายละเอียดด้านบนสำหรับเงื่อนไขของกลุ่มที่อาการคงที่ และอาการไม่คงที่ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานโดยต้องผ่านเกณฑ์ดังต่อไปนี้ทุกข้อ • อาการสงบและคงที่อยางนอย 12 เดือน • เขารวมในทุกโปรแกรมการรักษา • มีสติครบถวน • ไมไดทานยาที่มีผลตอความสามารถในการขับขี่ • มีผลรายงานการรักษาจากแพทย ผูเชี่ยวชาญ ดูรายละเอียดด้านบนสำหรับเงื่อนไขของกลุ่มที่อาการคงที่ และอาการไม่คงที่ 9.6 โรคจิตเภทและโรคอื่นๆที่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติที่เกิดการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานโดยต้องผ่านเกณฑ์ดังต่อไปนี้ทุกข้อ • อาการสงบและคงที่อยางนอย 12 เดือน • เขารวมในทุกโปรแกรมการรักษา • มีสติครบถวน • ไมไดทานยาที่มีผลตอความสามารถในการขับขี่ • มีผลรายงานการรักษาจากแพทย ผูเชี่ยวชาญ • ขนาดยาเพื่อรักษาโรคควรอยูในระดับที่เหมาะสมและ ไม่ลดความสามารถในการขับขี่ เช่น ระดับความรู้สึกตัว สมาธิ และความสามารถทางกาย • ในการประเมินการกลับเปนซ้ำของโรค ควรมีโอกาสในการ เกิดโรคซ้ำอยู่ในระดับต่ำ 9.7 ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านและโรคสมาธิสั้น สามารถขับขี่ได้แต่ต้องแจ้งแพทย์ และหัวหน้างาน โดยการพิจารณา ให้ขับขี่ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละ บุคคล โดยเฉพาะถ้ามีอาการ เพียงเล็กน้อย ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน รวมทั้งโรคสมาธิสั้น กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ โรคออทิสติค และความผิดปกติ ด้านการสื่อสารอย่างรุนแรง • ไมควรขับขี่ในขณะที่มีการ กำเริบของโรค • มีอาการอารมณไมคงที่ ตั้งแต 4 ครั้งขึ้นไปใน 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบ ต่อการขับขี่ได้ • ไมควรขับขี่ในขณะที่มีการกำเริบ ของโรค • ไมควรขับขี่ในขณะที่มีการ กำเริบของโรค • การขับขี่อาจกอใหเกิดอันตราย แก่ผู้อื่นหากผู้ขับขี่มีอาการทางจิต อาการไม่คงที่
84 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 9.8 การสูญเสียความสามารถของสมองเล็กน้อย ( ไม่ใช่สมองเสื่อมเล็กน้อย ) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมา ประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานโดยพิจราณาตามอาการ ของแต่ละบุคคล 9.9 โรคสมองเสื่อม – และ/หรือ โรคอื่นๆที่ส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน 9.10 ความผิดปกติทางการเรียนรู้ คำจำกัดความของความผิดปาติทางการเรียนรู้ขั้นรุนแรงมีดังนี้ มีการลดลงของการทำงานของการเรียนรู้และการปรับตัวอย่างน้อย 2 ข้อ ดังนี้ • การสื่อสาร • การเรียนรูจากหนังสือ • การดูแลตนเอง • การทำงาน • การทำงานบาน • การจัดการกิจกรรมยามวาง • การเขาสังคม • การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย • การเรียนรูดวยตนเอง ความผิดปกติทางการเรียนรู้เล็กน้อย ไม่รวมถึงการเรียนรู้ยาก โรคความบกพร่อง ในการอ่านหนังสือ โรคความบกพร่องทาง การคิดคำนวณ โดยในกลุ่มที่ 1 สามารถได้ รับใบอนุญาตขับขี่ถ้าสามารถสอบผ่าน ตามการทดสอบ 9.11 ความผิดปกติทางอารมณ์ – รวมถึงอาการหลังการบาดเจ็บทางกาย, อาการชักเหตุจิตใจ ที่ไม่ได้เกิดจากโรคลมชัก ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ถ้าอาการเป็นรุนแรง เช่น มีพฤติกรรมที่อันตราย ติดแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการขับขี่ และอาจ พิจารณาทำการกลับเข้าทำงานถ้าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ยืนยันถึงการควบคุมความผิดปกติได้ 9.12 บุคลิกภาพแปรปรวน ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมา ประเมินเพื่อ กลับเข้าทำงานถ้าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยัน ถึงการควบคุมความผิดปกติได้อย่างคงตัว ไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้ ความสามารถในการขับขี่ลดลง มีความเป็นไปได้ที่ความ สามารถในการขับขี่ลดลง สามารถขับรถต่อได้ ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมา ประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานหากมีอาการเพียงเล็กน้อย และอาการคงตัวโดยไม่มีผลกระทบจากยาและอาการที่เป็น ความผิดปกติทางการเรียนรู้รุนแรง ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรงรวมถึงอาการ หลังการบาดเจ็บทางกาย, อาการชัก เหตุจิตใจที่ไม่ได้เกิดจากโรคลมชัก อาการรุนแรง
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 85 10. การใช้ยาในทางที่ผิดหรือการติดแอลกอฮอล์ 10.1 การใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด คำจำกัดความของการใช้ในทางที่ผิด “การเกิดความผิดปกติที่สาเหตุเกินจากการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมทางกาย และจิตใจที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง ครอบครัวหรือสังคม โดยอาจเสพติดแอลกอฮอล์หรือไม่ก็ได้” ไม่ควรขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน จะให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานเมื่อ • ควบคุมการดื่มหรือเลิกดื่มแอลกอฮอลอยางนอย 12 เดือน และ • ผลแอลกอฮอลในเลือดปกติ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการรักษาในระหว่างที่ยังไม่สามารถขับขี่ได้ 10.1.1 การติดแอลกอฮอล์ “กลุ่มของพฤติกรรม การรับรู้ และพฤติกรรมทางกายที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ซ้ำๆ • มีความตองการอยางมากในการดื่มแอลกอฮอล • ไมสามารถควบคุมการดื่มแอลกอฮอลได • ยังคงดื่มแอลกอฮอลแมทำใหเกิดอันตราย • มีความตองการดื่มมากขึ้นเรื่อยๆและอาจมีอาการติดแอลกอฮอลรวมดวย” ตัวชี้วัดพิจารณาจาก อาการติดแอลกอฮอล์ ความต้องการในการดื่มแอลกอฮอล์ อาการขาดแอลกอฮอล์ และอาการ ชักที่เกิดจากการขาดแอลกอฮอล์ ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ในทุกเคส ที่มีประวัติภาวะติดแอลกอฮอล์ในช่วงสามปีที่ผ่านมาโดย ถ้าจะกลับมาทำงานได้ต้องได้รับใบรับรองแพทย์มาประกอบ และต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจร่างกาย และตรวจเลือด 10.1.2 อาการผิดปกติที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ (Alcohol-related disorder) ตัวอย่างเช่น • โรคตับแข็งรวมกับความผิดปกติ ทางจิตและประสาท • ภาวะจิตเภทจากแอลกอฮอล 10.1.3 อาการชักที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ ( Alcohol- related seizure) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงานโดยมีระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ภายหลังจากชัก และต้อง • ตองไมมีความผิดปกติของสมองสวนซีรีบรัม • ไมไดใชยากันชักมาแลว 5 ป • ถาเคยมีภาวะติดแอลกอฮอล ตองเลิกแอลกอฮอลไดตอเนื่อง • ตองไดรับการประเมินจากแพทยผูเชี่ยวชาญแลว โดยเฉพาะแพทย ทางระบบประสาท การใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด ยืนยันโดยแพทย์หรือผลตรวจเลือด ที่ผิดปกติ ภาวะติดแอลกอฮอล์ ที่ได้รับการตรวจ ยืนยันทางการแพทย์แล้ว (รวมถึงการชักจากแอลกอฮอล์) ห้ามขับขี่ และควรแจ้งไปที่ DVLA ไม่ควรออกใบอนุญาตขับขี่ หรือถูกระงับถาวร อาการชักอย่างเดียว
86 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 10.1.4 กลุ่มผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงสูง ตามนิยามของการพิสูจน์ความผิดในขับขี่รถที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ ทางแพทย์และหัวหน้างานควรรับทราบ โดยทางใดทางหนึ่ง และผู้ขับขี่จะต้องได้รับการประเมินทางสุขภาพ ในกลุ่มที่ได้รับให้ขับขี่ใหม่อีกครั้ง โดยต้อง ประเมินดังนี้ แบบสอบถาม ตรวจเลือด CDT assay และการตรวจอื่นๆ ตามข้อบ่งชี้ (CDT assay คือการตรวจ Carbohydrate-deficient transferrin (CDT) ซึ่งเป็นสารนำเหล็กไปยัง ไขกระดูก ตับ และม้าม ถ้ามีการดื่มเหล้า จัดสารเหล่านี้จะเพิ่ม) โดยหากกลุ่มผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงสูง มีประวัติการติดแอลกอฮอล์ หรือยังคงดื่มแอลกอฮอล์ อย่างต่อเนื่อง แต่ผลการประเมินทางสุขภาพและผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถอนุญาตขับขี่ได้ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถที่เข้าได้ตามเกณฑ์มาตรฐานกลุ่มผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงสูง ที่มีประวัติการใช้ แอลกอฮอล์และหรือภาวะติดแอลกอฮอล์ และหรือมีผลการตรวจเลือดผิดปกติ ไม่ควรออกใบอนุญาตขับขี่ให้ คำจำกัดความ กลุ่มผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงสูง อาจพิจารณาจากเกณฑ์การได้รับโทษ ดังนี้ • ถูกตัดสิทธิ์ 1 ครั้งในการขับรถหรือควบคุมรถ เมื่อระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายเทียบเท่าหรือมากกว่าค่าปกติ ดังนี้ o 87.5 มคก. ต่อ 100 มล. ของลมหายใจ o 200.0 มก. ต่อ 100 มล. ของเลือด o 267.5 มก. ต่อ 100 มล. ของปัสสาวะ • ถูกตัดสิทธิ์ 2 ครั้งในช่วง 10 ปี จากการขับรถหรือควบคุมรถ เมื่อมีอาการมึนเมาที่เป็นผลจากแอลกอฮอล์ • ถูกตัดสิทธิ์ 1 ครั้งเนื่องจากปฏิเสธหรือไมสามารถเก็บตัวอยางสิ่งสงตรวจได • ถูกตัดสิทธิ์ 1 ครั้งเนื่องจากปฏิเสธการสงตรวจทางหองปฏิบัติการ (วิเคราะหแอลกอฮอลในเลือด) 10.2 การใช้หรือติดยาเสพติด (Drug misuse or dependence) รหัสที่เกี่ยวข้องกับการใช้หรือติดยาเสพติด ขององค์การอนามัยโลก คือ F11 ถึง F19 (ICD 10) เกณฑ์การพิจารณาสามารถใช้ในเคสที่ใช้ยาหรือติดยาเสพติดเพียงอย่างเดียว ถ้าหากมีหลายปัญหา เช่น มีการใช้ หรือติดแอลกอฮอล์ร่วมด้วย จะไม่สามารถใช้เกณฑ์ในการพิจารณาความพร้อมในการขับขี่ หรือขอใบอนุญาตขับขี่ได้ กลุ่มยาเสพติด • กัญชา • แอมเฟตามีน (แตดู เมตแอมเฟตามีน, ยากลุ่ม Y ข้างล่าง) • เอคตาซี (เอ็มดีเอ็มเอ) • เคตามีน • ยากระตุนประสาทกลุมอื่น รวมถึง แอลเอสดี และยาหลอนประสาท บันทึก เมทาโดน (Methadone) การเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีการกินยาเมทาโดนอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่ได้รับ การประเมินทางสุขภาพ และทบทวนการรักษาทุกปี ซึ่งการรักษาโดยวิธีการกินบูพรีนอร์ฟีนก็สามรถใช้เกณฑ์เดียวกันได้ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานว่าไม่มีการใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกัญชา กลุ่มยาเสพติด • เฮโรอีน • มอรฟน • เมทาโดน (สำหรับการรักษาต่อเนื่อง หน้า 83) • โคเคน • เมทแอมเฟตามีน เบนโซไดอะซีปีนโดยไม่ได้รับการสั่งยาจาก แพทย์บันทึก การรักษา เทียบกับ การใช้ยา ผิดประเภท ข้างล่าง ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และควรทำการ รักษาในกลุ่มที่ยังใช้ยาหรือติดยาเสพติด ในการพิจารณา การกลับเข้าทำงาน ต้องมีผลการตรวจยืนยันทางการแพทย์ โดย ต้องไม่มีประวัติการใช้หรือติดยาเสพติดอย่างน้อย 1 ปี กลุ่มที่ 2 รถโดยสารและรถบรรทุก ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยห้ามขับขี่ ในกลุ่มที่ยังใช้ยาหรือติดยาเสพติดและให้กลับมาประเมิน โดยต้องไม่มีประวัติการใช้หรือติดยาเสพติดอย่างน้อย 3 ปี การขอใบอนุญาตการขับขี่ครั้งต่อไปต้องได้รับการเข้า ปรึกษาและประเมินสุขภาพจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจคัดกรองปัสสาวะ
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 87 10.2.1 ภาวะชักที่สัมพันธ์กับการใช้ยา (seizure associated with drug use) ห้ามขับขี่ แจ้งแพทย์และหัวหน้างานจะพิจารณาการกลับเข้าทำงาน โดยใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี ภายหลังจากชัก โดย • ตองไมมีความผิดปกติของสมองสวนซีรีบรัม • ไมไดใชยากันชักมาแลว 5 ป • ถาเคยมีภาวะติดแอลกอฮอล ตองเลิกแอลกอฮอลไดตอเนื่อง • ตองไดรับการประเมินจากแพทยผูเชี่ยวชาญแลว โดยเฉพาะแพทย ทางระบบประสาท ผู้มีใบอนุญาตขับขี่ที่ใช้หรือยาเสพติด ควรได้รับคำแนะนำว่า ภายหลังการรักษา หากกลับมาใช้หรือติดยาเสพติดซ้ำ จะทำให้ต้องหยุดขับรถทันที และแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน 11. ความผิดปกติทางการมองเห็น (visual disorder) 11.1 มาตรฐานขั้นต่ำของความสามารถในการมองเห็น ผู้ขับขี่จะต้องมีความสามรถในการมองเห็น ดังนี้ (รวมถึงการใส่อุปกรณ์เสริม เช่น แว่นสายตา หรือคอนแทคเลนส์) • ในเวลากลางวัน สามารถอานเครื่องหมายหรือปายที่ติดกับยานพาหนะตามมาตรฐาน ดังนี้ o ที่ระยะห่าง 20 เมตร สามารถมองเห็นตัวอักษรหรือตัวเลข ที่สูง 79 มม. กว้าง 50 มม. o ที่ระยะห่าง 20.5 เมตร สามารถมองเห็นตัวอักษรหรือตัวเลข ที่สูง 79 มม. กว้าง 57 มม. และ • มีความคมชัดสายตาอย่างน้อย 6/12 (snellen chart) โดยมองพร้อมกันสองตา หรือมองตาเดียวในกรณี สามารถใช้ดวงตาได้ด้านเดียว ผู้ขับขี่คนใดที่ไม่เข้ากับเกณฑ์มาตรฐานนี้ จะห้ามขับขี่หรือไม่ควรออกหรือระงับใบอนุญาตขับขี่ ตามกฎหมายจะกำหนดให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีค่าลานสายตาขั้นต่ำ ตามที่จะได้กล่าวต่อไป ผู้ขึ้นทะเบียนผู้พิการทางการมองเห็น ไม่สามารถขอใบอนุญาตขับขี่ได้ 11.1.1 มาตรฐานขั้นสูงของความคมชัดในการมองเห็น ผู้ขับขี่ ต้องผ่านมาตรฐานความคมชัดในมองเห็นที่สูงกว่า ดังนี้ • ความคมชัดสายตา (สามารถใชคอนแทคเลนสไดหากจำเปน) อยางนอย: o 6/7.5 Snellen chart (0.8) ในตาด้านที่ดีกว่า o 6/60 Snellen chart (0.1) ในตาด้านที่แย่กว่า • หากสวมแว่นสายตา ต้องผ่านมาตรฐานขั้นต่ำ และค่าเลนส์แว่นไม่ควรเกิน +8 dioptres ในทุกแนวของเลนส์ แต่ละข้าง 11.1.2 มาตรฐานลานสายตา ค่าลานสายตาขั้นต่ำของผู้ขับขี่รถบรรทุกสารเคมี: • มองเห็นได 160 องศาในแนวระนาบ • มองไปดานขางในดานซายขวา ไดอีกอยางนอย 70 องศาทั้งสองดาน • มองไปดานบนและลาง ไดอีก 30 องศาทั้งสองดาน จากเสนแนวระนาบ • ไม่มีความผิดปกติที่สำคัญในช่วง 70 องศาด้านซ้ายขวา และ 30 องศาในแนวบนล่าง (ยอมรับให้มีจุดมองไม่เห็น ได้ไม่เกิน 3 จุดที่ต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องกัน*) • ไมมีความผิดปกติในรัศมี 30 องศาจากศูนยกลาง • ไม่มีความผิดปกติอื่นของการมองเห็น เช่น ความไวต่อแสงกระจาย การจำแนกความต่าง การมองเห็นที่แย่ ในแสงน้อย (*point test ในกล่องตัวอักษร อยู่ถัดจากมุมรัศมี 30 องศาจากศูนย์กลาง ) โดย ยอมรับให้มีจุดมองไม่เห็นได้มากที่สุด 3 จุด ซึ่งอาจใกล้กัน ภายในกล่องทดสอบ แต่อยู่ถัดจากมุมรัศมี 30 องศาจากศูนย์กลาง หากมีจุดมองไม่เห็นได้มากกว่า 3 จุด แม้ไม่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากต้องการมาตรฐานการมองเห็นขั้นสูงกว่า ไม่มีความผิดปกติใดๆที่พบในกล่องทดสอบ จะได้รับการยกเว้น ถ้าหากพบความผิดปกตินอกกล่องทดสอร่วมด้วย นั่นคือ ผมรวม ของจุดที่ผิดปกติต้องไม่เกิน 3 จุด อาการชักอย่างเดียว
88 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 11.2 ต้อกระจก สามารถขับขี่ได้ และไม่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ควรผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ข้างต้น อาจต้องทดสอบ number plate test (ตามเกณฑ์ขั้นต่ำ) เพื่อให้มีความคมชัดสายตาอย่างเหมาะสม วิสัยทัศน์การมองเห็นด้วยตาข้างเดียว (Monocular vision) ห้ามขับรถ และแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน โดยจะขับรถต่อไปไม่ได้ถ้า • สูญเสียวิสัยทัศนการมองเห็นอยางสมบูรณ หรือ • Corrected VA แลวต่ำกวาSnellen 3/60 (Snellen decimal 0.05) 11.3 ความผิดปกติของลานสายตา (Visual field defects) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ส่งหาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำแนะนำ เกี่ยวกับลานสายตา โดยจะพิจารณาขับรถได้เมื่อ • VF แนวนอน (horizontal) อยางนอย 1600 • VF ซายและขวา 700 และดานและลาง 300 • ไมปรากฏความผิดปกติในวงรัศมีตรงกลางลาน สายตา 300 11.4 การมองเห็นภาพซ้อน (Diplopia) ไม่ควรขับรถตลอดชีวิต และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน 11.5 ตาบอดกลางคืน (Night blindness) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และให้กลับมาประมินเพื่อ กลับเข้าทำงาน โดยอาจจะอนุญาตเป็น รายบุคคลขึ้นกับ VA และ VF ดังได้กล่าวข้างต้น 11.6 ตาบอดสี(Color blindness) ขับรถได้ และไม่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน 11.7 โรคหนังตากระตุก (Blepharospasm) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน ให้หยุดขับเมื่ออาการรุนแรงและมีผลต่อการมองเห็นจนกว่าจะได้รับ การรักษา ต้องส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และพิจารณาให้กลับเข้าทำงานเมื่ออาการไม่รุนแรงและผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ หากรักษาด้วย Botulinum toxin จะต้องไม่มีผลแทรกซ้อนจากการมองเห็นภาพซ้อน 12. ความผิดปกติของไตและระบบการหายใจ (Renal and respiratory disorders) 12.1 โรคไตเรื้อรัง (Chronic renal failure) ให้หยุดขับรถ แจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และต้องประเมินแต่ละคนโดยตรวจดู สมดุลเกลือแร่ผิดปกติอย่าง รุนแรง หรืออาการของไตวายเช่นอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซึม 12.2 โรคไตอื่นๆ (All other renal disorders) สามารถขับรถได้ แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะไม่ให้ขับรถเมื่อสภาพของโรคมีแนวโน้มที่จะส่งผล ต่อการขับรถ รวมไปถึงเหตุผลใดๆที่ทำให้ใช้ ตาเพียงข้างเดียวเท่านั้น ความผิดปกติเช่น : • โรคตอหินตาทั้งสองขาง (bilateral glaucoma) • จอประสาทตาเสื่อมทั้งสองขาง (bilateral retinopathy) • จอประสาทตาอักเสบ (pigmentosa retinitis)และความผิดปกติอื่นๆ ก่อให้เกิด ข้อบกพร่องบางส่วนหรือทั้งหมดต่อลาน สายตา ได้แก่ homonymous hemianopia/ quadrantanopia หรือ complete bitemporal hemianopia
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 89 12.3 ความผิดปกติของระบบการหายใจ รวมทั้งหอบหืด และปอดอุดกั้นเรื้อรัง สามารถขับรถได้ แต่ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยประเมินส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การหมดสติจากการไอ (cough syncope) อาการเวียนหัวรุนแรง (disabling giddiness) เป็นลม หรือหมดสติ การหยุดหายใจจากการ อุดกลั้นระหว่างนอนหลับ (Obstructive sleep apnoea) ให้ดูเรื่องการง่วงนอนมากเกินไปในเรื่องระบบประสาท 12.4 มะเร็งปอดปฐมภูมิ (Primary lung carcinoma) ให้หยุดขับรถ และต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยเฉพาะผู้ขับรถที่มีเป็นมะเร็งปอดแบบ non-small cell ระยะที่ T1 N0 M0 และอาจได้รับการพิจารณาเป็นรายบุคคลสำหรับการออกใบอนุญาตในเนื้องอกในปอดอื่นๆ โดยจะต้องไม่มีการขับรถเป็นเวลา 1 ปี หลังจากการรักษาสิ้นสุด และจะพิจารณาให้ขับรถเมื่อมีผลสำเร็จในการรักษา ที่เป็นที่น่าพอใจและไม่มีหลักฐานจากการแสกนสมองที่พบเนื้องอกกระจายเข้าไปในสมอง intracranial metastases ภาวะอื่นๆ (Miscellaneous conditions) 12.5 ภาวะความง่วงนอนมากเกินไป (Excessive sleepiness) รวมกลุ่มอาการการหยุดหายใจจากการอุดกลั้นระหว่างนอนหลับ (Obstructive sleep apnoea syndrome) การมีความง่วงนอนมากเกินไป หรือมีแนวโน้มที่จะมีก่อให้เกิดผลเสียต่อการขับรถ ประกอบไปด้วย : • กลุ่มอาการการหยุดหายใจจากการอุดกลั้นระหว่างนอนหลับ ที่ความรุนแรงต่างๆ • สภาวะอื่นๆ หรือจากการใช้ยา ที่อาจทำให้เกิดการง่วงนอนที่มากเกินไป ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญเพื่อใช้ในการประเมินการขับรถ โดยใช้ apnoea-hypopnea index (AHI) ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยการพิจารณาให้กลับไปขับขี่ใด้อีกครั้ง ขึ้นอยู่กับอาการป่วย เช่น มีอาการน้อยลง จนสามารถควบคุมได้ การง่วงนอนที่มากเกินไป รวมถึงกลุ่มอาการการหยุดหายใจ จากการอุดกลั้นระหว่างนอนหลับ ในระดับไม่รุนแรง • AHI ต่ำกวา 15 (ไมรุนแรง) ตาม apnoea-hypopnea index หรือ ในการศึกษาที่ เทียบเท่ากัน ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน โดยจะพิจารณา ให้กลับไปขับขี่ใด้อีกครั้ง ถ้าการควบคุมอาการเป็นที่น่าพอใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการยืนยันในการรักษาที่ต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบเป็นประจำทุกปี กลุ่มอาการการหยุดหายใจจากการ อุดกลั้นระหว่างนอนหลับกลุ่มอาการ การหยุดหายใจขณะนอนหลับที่มี ความรุนแรงปานกลางถึงมาก ร่วมกับการง่วงนอน: • AHI 15-29 (รุนแรงปานกลาง) • AHI 30 หรือมากกวา (รุนแรงมาก) ตาม apnoea-hypopnea index หรือ ในการศึกษาที่เทียบเท่ากัน ให้หยุดขับรถ และแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน (แม้เป็นการวินิจฉัย ที่น่าสงสัยที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน) โดยจะพิจารณาให้กลับไปขับขี่ ใด้อีกครั้ง เมื่อ : • ควบคุมอาการปวยได • การงวงนอนถูกปรังปรุงใหดีขึ้น • การติดตามการรักษาสม่ำเสมอ โดยจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการรักษายืนยัน และผู้ขับขี่จะต้อง ยอมรับการตรวจสอบทุกๆ ปีเป็นอย่างน้อย การหยุดหายใจจากการอุดกลั้นระหว่าง นอนหลับการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมาก ซึ่งไม่มีการง่วงนอน • AHI 15-29 (รุนแรงปานกลาง) • AHI 30 หรือมากกวา (รุนแรงมาก) ตาม apnoea-hypopnea index หรือ ในการศึกษาที่เทียบเท่ากัน
90 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 12.6 การพิการทางการได้ยิน (Profound deafness) แพทย์และหัวหน้างานจะต้องพิสูจน์ความสามารถในการติดต่อสื่อสารในกรณีฉุกเฉินโดย : • การพูด หรือ • ทางเลือกที่เหมาะสม เชน ขอความ SMS ถ้าไม่สามารถทำได้ให้หยุดขับขี่รถ 12.7 มะเร็ง (Cancers) ที่ไม่มีในหัวข้อด้านบน ต้องแจ้งแพทย์และหัวหน้างาน และต้องประเมิน โดยจะพิจารณา ถึงโอกาสของการแพร่กระจายไปในสมอง และชัก และต้องไม่มี ภาวะแทรกซ้อน เช่น : • การบกพรองของแขนขาที่จำเพาะ เชน เนื้องอกที่กระดูก ทั้งปฐมภูมิ และทุติยภูมิ • การบกพรองทั่วไป ยกตัวอยาง อาการที่เกิดจากมะเร็ง เช่น ความอ่อนแรง หรือ ภาวะผอมหนังหุ้มกระดูก ที่มีผลต่อ การขับรถผลจากการรักษามะเร็งใดๆ ต้องตระหนักว่า จะมีความอ่อนเพลียจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด และรังสีบำบัด 12.8 ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและการติดเชื้อ HIV (Acquired immune deficiency syndrome (AIDS) and HIV infection) การติดเชื้อ HIV โดยไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ถ้าไม่มีอาการ ผู้ที่มีเชื้อ HIV สามารถขับรถได้และไม่จำเป็น ต้องแจ้งแพทย์หรือหัวหน้างาน แต่ถ้ามีอาการต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล โดยจะต้องไม่มีอาการมีแนวโน้มที่จะส่ง ผลกระทบต่อการขับรถและค่า CD4 ไม่ต่ำกว่า 200 เซลล์ / ไมโครลิตรอย่างอย่างน้อย 6 เดือน 12.9 อายุที่เกี่ยวข้องความพร้อมในการขับขี่(Age-related fitness to drive) อายุมากไม่จำเป็นต้องเป็นอุปสรรคต่อการขับรถ • ลำดับอายุไมใชสิ่งสำคัญในการประเมินความสามารถในการขับขี่ • อายุมากขึ้นโดยมีโรคที่เกิดรวมกันหลายโรคมากขึ้นควรใหคำปรึกษาผูขับขี่กลุมสูงอายุ • ควรหยุดขับรถพิจารณาเมื่อเปนผูสูงอายุ-วัยชรา โดยตระหนักถึงภาวะสำคัญที่เกี่ยวของกับอายุ เชน o สูญเสียความทรงจำมากขึ้น,สูญเสียการรับรู้เวลา,สูญเสียความสามารถ ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ • สภาพร่างกายที่อ่อนแอไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการออกใบอนุญาต แต่ต้องการการประเมินและพิจารณา อย่างรอบคอบถึงผมกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในความปลอดภัยบนท้องถนน • การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับอายุมีความแตกต่างมากขึ้นกับแต่ละบุคคล แต่ส่วนใหญ่ ก็ส่งผลกระทบต่อการขับรถ • ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการตัดสินต้องกำหนดว่าอะไรเป็นความเสื่อม อะไรฟื้นฟูไม่ได้ และ/หรือ ความทรุดโทรม ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีผลกระทบต่อการขับรถ เช่น การตัดสินใจอาจต้องมีความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ภาคผนวก ก. ข้อพิจารณาเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยารักษาภาวะต่างๆของระบบหลอดเลือดและหัวใจ ผลข้างเคียงต่างๆ จากยาอาจมีผลกระทบ ต่อการขับขี่รถอย่างปลอดภัย ซึ่งสามารถทำให้ใบอนุญาตขับขี่ถูกปฏิเสธหรือเพิกถอนได้ ให้ดูจากความเสี่ยงที่จะเกิดการชัก ในทุกกรณีที่เป็นมะเร็งตา จะต้อง ผ่านมาตรฐานทางสายตาขั้นต่ำ ในการมองเห็น
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 91 อายุของใบอนุญาตขับขี่ (การอนุญาตให้ขับขี่รถ) ผู้ขับขี่รถบัส หรือรถบรรทุก ที่ได้ใบอนุญาตขับขี่หลังจากการประเมินทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยเฉพาะสำหรับโรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคลิ้นหัวใจที่ไม่ได้รักษา ใบอนุญาตขับขี่นั้นจะมีอายุสั้น มากสุดไม่เกิน 3 ปี และการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ต้องมีผลรายงานทางการแพทย์ที่น่าพอใจ การทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกาย (exercise tolerance testing) ก่อนทำการทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหยุดยาที่ใช้รักษาอยู่ (เช่นยา ไนเตรต, เบตา บล็อกเกอร, แคมเซียม แชเนล บล็อกเกอร, nicorandil, ivabadine, และ ranolazine) เมื่อยาใดๆ ก็ตาม ในกลุ่มนี้ถูกจ่ายเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การหยุดยากลุ่มนี้ก่อนการทดสอบ ความทนทานต่อการออกกำลังกายนั้นไม่มีความจำเป็น ความต้องการที่ต้องมีสำหรับการทดสอบความทนทานต่อ การออกกำลังกายมีดังข้อเหล่านี้ 1. การทดสอบต้องทำด้วยการปั่นจักรยานสองล้อ (ปั่นนาน 10 นาที ด้วยอัตราการเพิ่ม 20W ต่อนาที จนกระทั่งถึง 200W) หรือด้วยการวิ่งสายพาน 2. คนไข้ต้องสามารถทำ Standard Bruce Protocol สำเร็จได้ 3 stage หรือเทียบเท่า โดยที่ไม่มีอาการ แสดงของระบบหลอดเลือดและหัวใจผิดปกติ เช่น • การเจ็บหนาอก • การเปนลม • ความดันโลหิตต่ำ 3. ต้องไม่มีลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ sustained ventricular tachycardia และหรือ ไม่ลักษณะ ของ ST segment shift (โดยเฉพาะแบบที่ยกมากกว่า 2 มิลลิเมตรในแนวนอน หรือ แบบ down-sloping) ที่แปลผลด้วยแพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจแล้วว่า มีข้อบ่งชี้ถึงภาวะหัวใจขาดเลือด ไม่ว่าระหว่างเวลาทดสอบออกกำลัง หรือในขณะพักภาวะ atrial fibrillation ที่เกิดขึ้นใหม่ขณะทดสอบออกกำลัง การอนุญาตใบขับขี่ต้องผ่านเกณฑ์ เดียวกันกับผู้ที่มี ภาวะ atrial fibrillation อยู่ก่อนแล้วก่อนการทดสอบออกกำลัง ซึ่งต้องผ่านทุกเกณฑ์ของการ ทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกาย การอนุญาตขับขี่ต้องอาศัย echocardiogram และยืนยันว่า left ventricular ejection fraction มีค่าอย่างน้อย 40% จะต้องการให้มีการทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกาย เป็นประจำ ไม่เกินทุกๆ 3 ปี หากมีโรคหลอดเลือดหัวใจที่ยืนยันด้วยหลักฐานแล้ว อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่พบสาเหตุแน่ชัด (แต่อาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจก็ยังแยกออกไม่ได้) ควรทำการทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกายดังที่กล่าวแล้ว บุคคลใดที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว หรือปัญหาทางร่างกายอื่นๆ ที่ทำให้ไม่สามารถทำการทดสอบความทนทานต่อการออกกำลังกายได้ อาจจะต้อง อาศัยวิธีอื่น เช่น gated myocardial perfusion scan หรือ stress echo study ตามแต่ดุลพินิจของอายุรแพทย์ โรคหัวใจ Stress myocardial perfusion scan หรือ stress echocardiography เมื่อต้องการการทดสอบทางภาพถ่ายเหล่านี้ มาตรฐานของการอนุญาตให้ขับขี่ต้องผ่านตามเกณฑ์ดังต่อไปนี่ จึงจะบ่งบอกว่า LV ejection fraction มากกว่าเท่ากับ 40% • พบว่ามีการขาดเลือดแบบ reversible ไม่มากกว่า 10% ของกล้ามเนื้อหัวใจ ด้วยการทดสอบ myocardial perfusion imaging หรือ • พบว่ามีการขาดเลือดแบบ reversible ไม่มากกว่า 1 segment ของกล้ามเนื้อหัวใจ ด้วยการทดสอบ stress echocardiography
92 ความพรอมในการทำงาน Fit for work การฉีดสีสวนเส้นเลือดหัวใจ (Coronary angiography) โดยให้น้ำหนักกับการประเมินผลในอนาคต “Predictive” จากด้านความสามารถหรือ functional มากกว่า ด้านกายภาพ หรือ anatomical finding ในโรคหลอดเลือดหัวใจ “Predictive” นี้หมายถึง ความเสี่ยงของการเกิด กล้ามเนื้อหัวใจตายภายใน 1 ปี ส่วนเส้นเลือด graft นั้นก็ถือพิจารณาเป็น coronary arteries ด้วยจากเหตุผล ดังกล่าวจึงทำ exercise tolerance testing และหากจำเป็นต้องทดสอบ myocardial perfusion imaging หรือ stress echocardiography ทั้งหมดนี้จึงเป็นการส่งตรวจที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมาตรฐานที่กำหนดไว้ หากมีข้อขัดแย้งกันระหว่างผลของการทดสอบทาง functional กับผล angiography ล่าสุดที่ทำมาไม่นาน ในกรณีนี้ต้องพิจารณาเป็นรายๆ การอนุญาตให้ขับขี่จะไม่เป็นการอนุญาตให้ผ่านได้ตามปกติ เว้นแต่ว่าจะเป็นกรณี ที่เส้นเลือดหัวใจไม่มีการอุดตัน หรือการตีบแคบของเส้นเลือด ไม่จำกัดการ flow ของเลือดในเส้นเลือดหัวใจ ทั้งนี้ LV ejection fraction ต้องไม่น้อยกว่า 40% Hypertrophic cardiomyopathy และ exercise tolerance testing จุดประสงค์ของการประเมิน Hypertrophic cardiomyopathy นั้น จะพิจารณาการใช้ exercise tolerance testing นาน 9 นาที ที่สามารถยอมรับได้ตามลักษณะต่อไปนี้ • ไมมีเหตุชัดเจนจากหัวใจ ใหหยุดการทดสอบกอนเวลา 9 นาที • มีการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิตซิสโตลิกอยางนอย 25 มิลลิเมตรปรอท ระหวางการทดสอบ • มีลักษณะอื่นๆผานตามความตองการตามเกณฑของ Hypertrophic cardiomyopathy กลุ่มอาการมาร์แฟน : การผ่าตัดเปลี่ยนขั้วหลอดเลือดใหญ่หัวใจ (Marfan syndrome : aortic root replacement) จะไม่อนุญาติให้ขับขี่ หากมีดังข้อต่อไปนี้ • เคยผานการผาตัด aortic root แบบฉุกเฉิน • เคยผานการผาตัด aortic root แบบ elective ที่สัมพันธกับ ภาวะแทรกซอน หรือมีความเสี่ยงสูง ยกตัวอย่างเช่น การผ่าตัด aortic root, valve, และ arch (รวมถึงการผ่าตัด de-braching), การผ่าตัด external aortic support ถ้ามีการผ่าตัด aortic root replacement ต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้ • การผาตัดประสบความสำเร็จ โดยไมมีภาวะแทรกซอน • มีผลนาพึงพอใจในระหวางการติดตามอาการกับแพทยเฉพาะทาง • ไม่มีหลักฐานที่แสดงถึงการเกิด aneurysm บริเวณ suture-line หลังการผ่าตัด และหลังจากนั้นทุกๆ สองปี โดยอาศัยการถ่ายภาพ MRI หรือ CT เพื่อติดตามการผ่าตัด valve-sparing สำหรับ root replacement ร่วมกับ valve replacement กรณี Severe aortic stenosis คำว่ารุนแรง “Severe” นั้นมีนิยามตาม European Society of Cardiology guidelines ดังนี้ • aortic valve area นอยกวา 1 ตารางเซนติเมตร หรือ น้อยกว่า 0.6 ตารางเซนติเมตร ต่อ 1 ตารางเมตร ของพื้นที่ ผิวร่างกาย • mean aortic pressure gradient มากกวา 40 มิลลิเมตรปรอท • maximum jet velocity มากกวา 4 เมตร ตอ วินาที
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 93 ภาพที่ 1 ตัวอยางใบรับรองแพทยเพ�่อทำใบอณุญาติขับข�่รถ ของแพทยสภา
94 ความพรอมในการทำงาน Fit for work ใบรับรองแพทย์เพื่อประเมินความพร้อมในการขับขี่รถบรรทุกสารเคมี ส่วนที่ 1 ผู้รับการตรวจกรอกข้อมูลตามความเป็นจริง ให้กรอกข้อมูลส่วนตัวตามความจริง (ข้อมูลนี้จะถูกเก็บเป็นความลับโดยแพทย์) 1. ข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อ ………………………………………. นามสกุล ……………………………………………………………………….. เพศ …………………………. วันเดือนปี เกิด …………………………………………………………… เลขที่ใบขับขี่รถ ……………………………………………………………. ออกให้ที่จังหวัด ……………………….. แผนก (ในกรณีที่ทำงานอยู่แล้ว) ………………………………………………………………………………………… ทำงานมากี่ปีแล้ว (ในกรณีที่ทำงานอยู่แล้ว) ………………………………………………………………………… 2. ท่านเคยมี หรือ ได้รับการแจ้งจากแพทย์ ในโรคหรืออาการต่างๆ เหล่านี้หรือไม่ (ใช้เครื่องหมาย √) ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง (ชั่วคราวหรืออัมพฤกษ์) โรคหัวใจ มึนงง บ้านหมุน มีปัญหาเรื่องการทรงตัว เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด มองเห็นภาพซ้อน มองลำบาก ภาวะใดๆ ที่ต้องผ่าตัดหัวใจ ตาบอดสี ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคทางจิตใจ และประสาทวิตกกังวล รู้สึกหายใจลำบาก โรคไต อุบัติเหตุทางศีรษะ หรือกระดูกสันหลัง เบาหวาน ชัก (รวมครั้งเดียว หรือชักเป็นประจำ) มีความผิดปกติในการนอน หรือชอบหลับใน หมดสติชั่วคราว ทราบ หรือ ไม่ทราบสาเหตุ ติดสุรา เป็นลม (รวมครั้งเดียว หรือหลายครั้ง) มีเลือดออกจากกระเพาะ หรือถ่ายดำ 3. ปัจจุบันท่านกำลังพบแพทย์เรื่องการเจ็บป่วยหรีอบาดเจ็บ หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ 4. ท่านกำลังรักษาตัว และได้ยารับประทานอยู่ หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ 5. ท่านเคยได้รับอุบัติเหตุ (ในรถ หรือที่อื่นๆ) จากการหมดสติหรือหลับใน หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ 6. ท่านต้องพบแพทย์เรื่องอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือ โรคทางจิตใจอื่นๆ หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ 7.ท่านเคยมีอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย ที่รุนแรง หรือการผ่าตัดใหญ่ หรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยสาเหตุใดๆ หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ 8. ท่านดื่มสุราบ่อยแค่ไหน ทุกวัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางโอกาส ไม่เคย 9. ท่านซื้อยากินเอง โดยไม่ใด้รับใบสั่งจากแพทย์หรือไม่? ใช่ ไม่ใช่ ข้อมูลที่กรอกโดยผู้รับการตรวจ
แนวทางการตรวจสุขภาพผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี 95 วันที่ …………. เดือน ……………………………………………… ปี พ.ศ. ………………………………………… ผู้ให้ความยินยอม ต้องรับทราบว่าใบรับรองแพทย์ใช้ได้ 1 เดือนหลังจากวันที่ตรวจร่างกาย 10. การให้ความยินยอม • ขาพเจาขอประกาศวาขอมูลดานบน ที่ขาพเจาใหเปนสิ่งที่ขาพเจาทราบ ถูกตองและเปนจริง • ขาพเจายินยอมใหแพทยผูบันทึกขอมูลและตรวจสุขภาพนำขอมูลไปใชเพื่อเปนประโยชนตอขาพเจา ในการพิจารณาความพร้อมในการขับขี่รถบรรทุกสารเคมี โดยการตรวจสุขภาพนี้ให้เป็นไปตามหลัก วิชาการ ลายเซ็น ส่วนที่ 2 การตรวจสุขภาพโดยแพทย์ 1. ลักษณะคอ (pharynx) ปกติ ผิดปกติ 2. ทรวงอก/ปอด ปกติ ผิดปกติ 3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิต (วัดซ้ำ ถ้าจำเป็น) ครั้งแรก วัดซ้ำ Systolic มม ปรอท มม ปรอท Diastolic มม ปรอท มม ปรอท อัตราชีพจร ปกติ ผิดปกติ เสียงหัวใจ ปกติ ผิดปกติ ชีพจรส่วนปลาย ปกติ ผิดปกติ 4. ท้อง ปกติ ผิดปกติ 5. น้ำหนักตัว คิดเป็น Body mass index น้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารโดยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง Body Mass Index Kg/m2 6. สายตา Visual Acuity Uncorrected Corrected R L R L 6/ 6/ 6/ 6/ การตรวจสุขภาพโดยแพทย์
96 ความพรอมในการทำงาน Fit for work 12. ผลการประเมิน ผ่าน ไม่มีเงื่อนไข มีเงื่อนไข ไม่ผ่านชั่วคราว มีเงื่อนไข ก่อนจะกลับมาประเมินใหม่ ไม่ผ่าน (นายแพทย์ …………………………………………………. ) ผู้ทำการประเมิน มีการใส่ contact lens หรือไม่? ไม่ ใส่ Ishihara ปกติ ผิดปกติ จำนวนที่ผิดปกติ ลานสายตา (confrontation) ปกติ ผิดปกติ 7. การได้ยิน ปกติ ผิดปกติ 8. ระบบประสาทและการเคลื่อนไหว ปกติ ผิดปกติ แขนทั้งสองข้าง ก. ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Tone) ปกติ ผิดปกติ ข. การประสานงานของกล้ามเนื้อ (Coordination) ปกติ ผิดปกติ ค. การเคลื่อนไหวของข้อ (Joint movements) ปกติ ผิดปกติ ง. Reflexes ปกติ ผิดปกติ ขาทั้งสองข้าง ก. ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Tone) ปกติ ผิดปกติ ข. การประสานงานของกล้ามเนื้อ (Coordination) ปกติ ผิดปกติ ค. การเคลื่อนไหวของข้อ (Joint movements) ปกติ ผิดปกติ ง. Reflexes ปกติ ผิดปกติ Rombergs test ปกติ ผิดปกติ 9. ผลการตรวจปัสสาวะ ปกติ ผิดปกติ 10. อาการแสดงของการติดสุราและยาชนิดอื่น ปกติ ผิดปกติ 11. บันทึกข้อแนะนำเพิ่มเติมโดยแพทย์ มีการใส่ contact lens หรือไม่? ไม่ ใส่ Ishihara ปกติ ผิดปกติ จำนวนที่ผิดปกติ ลานสายตา (confrontation) ปกติ ผิดปกติ 7. การได้ยิน ปกติ ผิดปกติ 8. ระบบประสาทและการเคลื่อนไหว ปกติ ผิดปกติ แขนทั้งสองข้าง ก. ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Tone) ปกติ ผิดปกติ ข. การประสานงานของกล้ามเนื้อ (Coordination) ปกติ ผิดปกติ ค. การเคลื่อนไหวของข้อ (Joint movements) ปกติ ผิดปกติ ง. Reflexes ปกติ ผิดปกติ ขาทั้งสองข้าง ก. ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Tone) ปกติ ผิดปกติ ข. การประสานงานของกล้ามเนื้อ (Coordination) ปกติ ผิดปกติ ค. การเคลื่อนไหวของข้อ (Joint movements) ปกติ ผิดปกติ ง. Reflexes ปกติ ผิดปกติ Rombergs test ปกติ ผิดปกติ 9. ผลการตรวจปัสสาวะ ปกติ ผิดปกติ 10. อาการแสดงของการติดสุราและยาชนิดอื่น ปกติ ผิดปกติ 11. บันทึกข้อแนะนำเพิ่มเติมโดยแพทย์
แนวทางการตรวจสุขภาพ ผูขับข�่รถบรรทุกสารเคมี บทที่ 5