การจัดการธุรกิจโรงแรม
9.3 กระบวนการจัดการทรัพยากรบุคคล
กระบวนการจัดการทรัพยากรบุคคลสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ
ตั้งแต่การได้คนมาทำงานในองค์การ (Acquisition) การดูแลรักษาให้คนใน
องค์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล (Retention) และการดูแลการออกจาก
งานของพนักงาน (Separation) โดยในแต่ละขั้นตอนจะมีกิจกรรมย่อยที่
เกี่ยวข้องกัน ซึ่งในกระบวนการจัดการทรัพยากรบุคคลจะได้รับอิทธิพลจาก
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานด้วย
9.3.1 ระยะการได้มา
ระยะการได้มาซึ่งทรัพยากรบุคคลที่จะเข้ามาทำงาน ประกอบด้วยกิจกรรม
สำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ได้แก่
1. การวางแผนทรัพยากรบุคคล (Human Resource Planning)
เป็นการพยากรณ์ความต้องการทรัพยากรบุคคลในอนาคต ทั้งในด้านจำนวน
และทักษะความสามารถ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีทรัพยากรบุคคลใช้ตามความ
ต้องการขององค์การ หากขาดการวางแผนที่ดีจะทำให้พนักงานที่มีอยู่เก่าและ
พนักงานที่รับใหม่มีไม่เพียงพอ หรือบางครั้งเกินความต้องการขององค์การได้
ทำให้เป็นอุปสรรคต่อคุณภาพการให้บริการขององค์การ หรือส่งผลต่อค่าใช้
จ่ายขององค์การในกรณีที่มีคนเกิน เป็นต้น ถ้าคาดว่าจะขาดพนักงาน จำเป็น
ต้องวางแผนการสรรหา การฝึกอบรมพัฒนา การเพิ่มผลผลิตของพนักงาน
เดิม หรือการใช้ทรัพยากรทางเลือกอื่น ๆ ถ้าทำได้ ส่วนในกรณีที่คาดการณ์ว่า
จะมีพนักงานเกิน จำเป็นต้องวางแผนการลดพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
การให้เกษียณก่อนกำหนดหรือการขยายงานให้สอดคล้องกับจำนวนพนักงาน
เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น เป็นต้น
2. การสรรหา (Recruitment) เป็นกระบวนการค้นหาและชักจูงให้
บุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครทำงาน เพื่อองค์การจะได้ทำการคัด
เลือกผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดเข้าทำงานต่อไป การสรรหาสามารถทำได้ทั้งจาก
แหล่งภายในองค์การเอง (เช่น การเลื่อนตำแหน่ง หรือการโอนย้าย) หรือจาก
แหล่งภายนอกองค์การก็ได้ ซึ่งทั้งสองแหล่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้วิธีการสรรหาว่าจ้างคนใหม่เข้ามาทำงาน ผู้บริหาร
องค์การควรพิจารณาทางเลือกอื่นๆก่อน เช่น การให้พนักงานที่มีอยู่ทำงาน
ล่วงเวลา หรือการจ้างพนักงานชั่วคราวหรือทำงานบางเวลา เพื่อไม่ให้เป็นภาระ
ในการจัดการทรัพยากรบุคคลในระยะยาว แต่ถ้าพิจารณาแล้วไม่มีทางเลือกอื่น
ก็จำเป็นต้องสรรหาคนใหม่เข้ามาทำงานในองค์การ โดยสามารถใช้วิธีการ
สรรหาได้หลายวิธี ได้แก่
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 0
การจัดการธุรกิจโรงแรม
- การให้ผู้สมัครมาสมัครเอง (Walk In) ซึ่งเหมาะกับสถานที่ที่มีชื่อ
เสียง และตั้งอยู่ในที่ที่ผู้สมัครสามารถเข้าถึงได้ง่าย
- การให้พนักงานเดิมแนะนำเพื่อนหรือคนรู้จักที่มีคุณสมบัติตามที่
กำหนดมาสมัคร
- การโฆษณาผ่านสื่อมวลชนต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสารวิชาชีพ
วิทยุ หรือโทรทัศน์ เป็นต้น สื่อที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ทางเว็บไซต์ ซึ่งใน
ปัจจุบันมีเว็บไซต์สำหรับนายจ้างที่ทำธุรกิจโรงแรมและผู้สมัครที่สนใจทำงาน
โรงแรมโดยเฉพาะด้วย
- การแจ้งผ่านสถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคลากรในตำแหน่งที่องค์การ
ต้องการ
- การแจ้งผ่านสมาคมวิชาชีพของงานที่ต้องการ เช่น สมาคมพ่อครัว
แห่งประเทศไทย หรือสมาคมแม่บ้านโรงแรม เป็นต้น
- การแจ้งผ่านศูนย์จัดหางานทั้งของภาครัฐและเอกชน เช่น ที่กรมการ
จัดหางาน หรือสำนักงานจัดหางานของเอกชน เป็นต้น
- การทาบทามบุคคลที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วและทำ งานที่องค์การหรือ
หน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถและประสบการณ์ตรงตามที่ต้องการ วิธี
นี้เหมาะกับตำแหน่งงานในระดับสูง
- การให้บริษัทค้นหาผู้บริหาร (Executive Search Firms) ซึ่งเป็น
บริษัทที่ทำหน้าที่ค้นหาบุคคลที่มีความสามารถและประสบการณ์สูงในตำแหน่งที่
ต้องการรับ ซึ่งมักเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง เช่น ผู้อำนวยการองค์การ
หรือผู้จัดการการตลาดขององค์การ ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะค้นหาและทาบทาม
บุคคลดังกล่าว (Headhunters) ที่ทำงานอยู่ในองค์การอื่นให้มาทำงานกับ
องค์การที่ต้องการ ซึ่งมักได้คนที่ความสามารถสูงและมาทำงานได้ทันที แต่
ต้องเสียค่าบริการในอัตราสูง
3. การคัดเลือก (Selection) เป็นการกลั่นกรองผู้สมัครงานเพื่อให้ได้คน
ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งงานว่างที่เปิดรับ หรือ “Put the right man
on the right job.” นั่นเอง ทั้งนี้ เครื่องมือในการคัดเลือกมีหลากหลาย เช่น
การสอบข้อเขียน การสัมภาษณ์ การตรวจร่างกาย การทดสอบความสามารถ
ภาคปฏิบัติ การทดสอบเชาวน์ปัญญา การตรวจสอบกับบุคคลอ้างอิง
(Referee) และสอบประวัติ เป็นต้น ขั้นตอนการคัดเลือกอาจแตกต่างกันไปใน
แต่ละหน่วยงานและในแต่ละตำแหน่ง เช่น บางหน่วยงานอาจไม่มีการสัมภาษณ์
ขั้นต้น แต่ใช้วิธีการทดสอบข้อเขียนก่อน โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีคนสมัคร
จำนวนมาก เพื่อคัดกรองคนที่เหมาะสมให้เหลือน้อยลง หรือบางตำแหน่งอาจ
ใช้วิธีการทดสอบภาคปฏิบัติ เช่น ผู้สมัครตำแหน่งพนักงานจัดดอกไม้ก็ให้
ทำการทดสอบจัดดอกไม้ และผู้สมัครตำแหน่งพ่อครัวก็ให้ทดสอบประกอบ
อาหาร เป็นต้น
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 1
การจัดการธุรกิจโรงแรม
การสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการคัดเลือกที่สำคัญมาก เพราะสามารถ
รวบรวมข้อมูลของผู้สมัครในลักษณะการเผชิญหน้า จึงมีโอกาสได้ข้อมูลที่ตรง
ตามเป็นจริงได้มาก เพราะสามารถสังเกตปฏิกิริยาประกอบการสัมภาษณ์ได้
ด้วย ซึ่งการสัมภาษณ์นอกจากจะได้ข้อมูลของผู้สมัครเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
ทักษะ ไหวพริบ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เกี่ยวกับงานที่สมัคร
แล้ว ผู้สัมภาษณ์ยังสามารถให้ข้อมูลที่เป็นจริงบางประการเกี่ยวกับลักษณะงาน
ในองค์การ เพื่อให้ผู้สมัครพิจารณาว่าตรงตามที่คาดหวังหรือไม่ เมื่อจบการ
สัมภาษณ์ ควรให้ผู้สมัครประเมินตนเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งที่จะรับหรือไม่
4. การปฐมนิเทศ (Orientation) ภายหลังการคัดเลือกแล้ว การแนะนำ
ตัวและการปฐมนิเทศพนักงานใหม่จะเป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไป
วัตถุประสงค์ของการปฐมนิเทศคือ เพื่อให้พนักงานใหม่เข้าใจปรัชญาและ
วัตถุประสงค์ขององค์การ มีการรับรู้เกี่ยวกับองค์การและบทบาทของตนเอง
อย่างถูกต้อง ได้เรียนรู้วิธีการทำงานและวัฒนธรรมขององค์การ ตลอดจน
รู้จักเพื่อนร่วมงานใหม่และสามารถทำงานร่วมกันได้ การปฐมนิเทศที่ดีจะเป็นจุด
เริ่มต้นที่ช่วยให้พนักงานใหม่สามารถเรียนรู้การทำงานและมีพฤติกรรมตามที่
องค์การคาดหวัง
9.3.2 ระยะการดูแลรักษา
ระยะการดูแลรักษาทรัพยากรบุคคลที่ทำงานในองค์การ มีจุดประสงค์เพื่อให้
ทรัพยากรบุคคลสามารถทำงานได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วย
กิจกรรมสำคัญ ได้แก่
1. การประเมินผลงาน (Performance Appraisal) เป็นระบบการ
วัดผลงานของบุคคลที่ทำได้ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ประเมินผลงานเพื่อ
บรรจุหลังการทดลองงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี แล้วนำไป
เปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนด แล้วใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับ
สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน การบริหารค่า
ตอบแทน การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหรือการโอนย้ายหน้าที่ การฝึกอบรมและ
พัฒนา และการวางแผนทรัพยากรบุคคล
2. การฝึกอบรมและพัฒนา (Training and Development) การ
พัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นกระบวนการเพิ่มศักยภาพและผลการปฏิบัติงาน
ของพนักงานในองค์การ โดยใช้วิธีการฝึกอบรมและพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 2
การจัดการธุรกิจโรงแรม
3. ระเบียบวินัย (Discipline) เมื่อกล่าวถึงระเบียบวินัย คนส่วนใหญ่มัก
จะมองในด้านลบว่าเกี่ยวข้องกับการลงโทษ แต่ถ้ามองในด้านบวก ระเบียบวินัย
จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานและทำให้พนักงานทีทัศนคติที่ดีต่อกัน
และเกิดการยอมรับนโยบายและแนวปฏิบัติขององค์การ
4. การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ (Compensation and
Benefits Administration) สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาคนทำงานให้
ทำงานตามที่มุ่งหวังและอยู่กับองค์การต่อไปโดยไม่ย้ายงานหรือลาออกคือ การ
บริหารค่าตอบแทนให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม ทั้งค่าตอบแทนที่เป็นทางตรง
เช่น ค่าจ้าง เงินเดือน และโบนัส เป็นต้น และค่าตอบแทนทางอ้อม(สวัสดิการ)
เช่น ประกันสังคม ประกันชีวิตและอุบัติเหตุ เงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร เงิน
สะสมและเงินบำเหน็จบำนาญ วันหยุด วันลากิจ ลาป่วย ลาพักผ่อน ชุดทำงาน
และการให้เครื่องดื่มหรืออาหาร เป็นต้น
5. การช่วยเหลือและ/หรือให้คำ ปรึกษา(Employee Assistance /
Career Counseling) เนื่องจากทรัพยากรบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ายิ่ง
ขององค์การ ในขณะเดียวกันทรัพยากรบุคคลแต่ละคนต่างมีปัญหาส่วนตัวและ
ปัญหาครอบครัวที่แตกต่างกันไป บางคนสามารถเผชิญและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ได้ด้วยตนเอง ในขณะที่บางคนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง และส่งผลกระทบ
ต่อประสิทธิผลการทำงาน เช่น อาจเป็นเหตุให้ต้องมาทำงานสาย หยุดงาน
อารมณ์หงุดหงิดขณะทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุในการทำงาน ดังนั้นแต่ละ
องค์การควรให้ความสำคัญในการจัดโปรแกรมการช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษา
แก่พนักงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้สวัสดิการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การให้
บริการคลินิกคลายเครียด หรือการจัดคลินิกเลิกบุหรี่และเลิกสุราให้แก่
พนักงานที่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าว
6. การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย(Safety and Health)โดยปฏิบัติ
ตามกฎหมายแรงงานที่กำหนดให้องค์การต่างๆ ต้องดูแลสุขภาพและความ
ปลอดภัยในการทำงานของพนักงาน
9.3.3 ระยะการออกจากงาน
การที่พนักงานลาออกจากงานมักมีหลายสาเหตุ เช่น ได้งานอื่นที่ดีกว่า การ
ให้ออก การเกษียณอายุการทำงานหรือการเสียชีวิต การนำเทคโนโลยีมาใช้ การ
ใช้ระบบจ้างบุคคลหรือหน่วยงานจากภายนอก(Outsource) มาทำงานแทน
การจ้างพนักงานประจำที่มีภาระเงินเดือนและสวัสดิการสูง
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 3
การจัดการธุรกิจโรงแรม
การจัดการทรัพยากรบุคคลในระยะการลาออกจากงานจะเกี่ยวข้องกับการ
ช่วยเหลือ และกำกับการออกของพนักงานจากองค์การ เช่น การเก็บคืนเครื่อง
มืออุปกรณ์ต่างๆ ที่องค์การเคยมอบให้พนักงานไว้ใช้งาน การเก็บกุญแจและ
รายงานต่างๆ สรุปแฟ้มประวัติการจ้างงาน การดำเนินการเรื่องการจ่ายเงิน
ก่อนออกจากงาน การสัมภาษณ์ก่อนออก(Exit Interview) เพื่อรวบรวม
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสาเหตุของการลาออก มีกิจกรรมการวางแผนการ
เกษียณให้แก่พนักงานเพื่อให้พนักงานมีการเตรียมพร้อมและสามารถปรับตัว
เข้ากับวัยเกษียณได้ กิจกรรมการช่วยหางานใหม่(Outplacement) ให้แก่
พนักงานในกรณีที่องค์การเดิมมีการยุบ เลิก หรือควบรวมกิจการใหม่ การจ่าย
เงินให้แก่ทายาทของพนักงานที่เสียชีวิต หรือการจ่ายเงินชดเชยกรณีให้
พนักงานออกหรือปลดออก
9.4 สวัสดิการของพนักงานโรงแรม
งานในธุรกิจโรงแรมถือเป็นงานที่มีสวัสดิการหลากหลาย โดยมี
สวัสดิการพื้นฐานคล้ายธุรกิจอื่นๆ เช่น
9.4.1 การรักษาพยาบาล
ในการรักษาพยาบาล โรงแรมได้ทำประกันสังคมให้แก่พนักงานทุกคน
พนักงานจึงมีสิทธิ์ได้รับการรักษาฟรีจากสถานพยาบาลที่ตนเลือกไว้ แต่
ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
9.4.2 วันหยุดประจำสัปดาห์
ในวันหยุดประจำสัปดาห์ พนักงานจะได้รับสิทธิ์หยุดงานสัปดาห์ละ 1– 1.5
วัน โดยวันหยุดอาจหมุนเวียนเป็นวันใดๆ ในสัปดาห์ก็ได้
9.4.3 วันหยุดนักขัตฤกษ์
ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ กฎหมายแรงงานไทยได้กำหนดวันหยุดนักขัต
ฤกษ์ไว้ปีละไม่น้อยกว่า 13 วัน แต่ธุรกิจโรงแรมบางแห่งมักมีลูกค้ามากใน
ช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ จึงจำเป็นต้องให้พนักงานมาปฏิบัติงาน หากเป็นเช่น
นี้พนักงานสามารถเลือกใช้สิทธิ์ในวันหยุดนักขัตฤกษ์นั้นไปหยุดใน
วันอื่ นทดแทนได้
9.4.4 วันหยุดพักผ่อนประจำปี
ในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ซึ่งนิยมเรียกว่า“วันพักร้อน”ตามกฎหมาย
แรงงานกำหนดให้มีวันพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วัน แต่บาง
โรงแรมอาจเพิ่มจำนวนให้ตามอายุงานที่เพิ่มขึ้นก็ได้
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 4
การจัดการธุรกิจโรงแรม
นอกจากสวัสดิการเหล่านี้แล้ว ยังมีสวัสดิการที่เป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจ
โรงแรม เช่น
1. เครื่องแบบ เพื่อความเรียบร้อยและเป็นหนึ่งเดียวกันในการปฏิบัติงาน
โรงแรมจะจ่ายเครื่องแบบให้แก่พนักงานเพื่อสวมในเวลาปฏิบัติงานคนละ
ประมาณ 3 ชุด โดยทั่วไปจะให้ใช้เป็นระยะเวลา 1.5 ปี ทั้งนี้พนักงานระดับหัวหน้า
ฝ่ายในบางโรงแรมจะได้รับยกเว้นไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ
2. อาหารพนักงาน โรงแรมจะจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้พนักงานรับ
ประทานระหว่างเวลาปฏิบัติงานโดยไม่คิดมูลค่า มื้ออาหารที่มีบริการแน่นอนคือ
มื้อกลางวันและมื้อเย็น หรือบางโรงแรมมีอาหารมื้อเช้าและมื้อดึกด้วย หรือบาง
โรงแรมมีไอศกรีมให้รับประทานตลอดทั้งวัน
3. สวัสดิการซักรีดเสื้อผ้า พนักงานที่สวมเครื่องแบบจะมีสวัสดิการการ
ซักรีดเครื่องแบบรวมไปด้วยเสมอ บางโรงแรมให้สวัสดิการนี้แก่พนักงานไม่
สวมเครื่องแบบในบางส่วนงาน เช่น ตัวแทนขาย ซึ่งมีหน้าที่ออกไปพบลูกค้า
และพนักงานระดับหัวหน้าฝ่ายในบางโรงแรมก็ได้รับสวัสดิการนี้ด้วย
สรุป
สำหรับโรงแรมใหญ่ๆ โรงแรมที่มีชื่อเสียง และโรงแรมในเครือโรงแรม
แบรนด์ดังทั้งหลายแล้วนั้น เรื่องการหาบุคลากรเข้าทำงานนั้นไม่ได้เป็นเรื่อง
ใหญ่ เพราะโรงแรมเหล่านี้พร้อมที่จะซื้อตัวบุคลากรที่มากด้วยความสามารถ
ความรู้ ทักษะการทำงาน และประสบการณ์ที่โชกโชนมาทำงานในโรงแรมของ
ตน นอกจากนั้นยังมีระบบการฝึกอบรมพนักงานของตนเองให้สามารถปฏิบัติ
หน้าที่ได้ตามมาตรฐานของโรงแรมที่กำหนดไว้โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ
ด้านจึงไม่ต้องรับแต่พนักงานที่มีประสบการณ์เข้ามาทำงานแต่เพียงอย่าง
เดียว
จากการวิเคราะห์ปัญหา และสำรวจหาสาเหตุของการขาดบุคลากรของ
โรงแรมต่างๆ นั้น พบต้นตอของปัญหาอย่างหนึ่งเหมือนๆ กันนั่นคือผู้ที่ทำ
หน้าที่ในการหาคนเข้าทำงานนั้นขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับช่องทางและวิธี
การหาคนเข้าทำงานในโรงแรม จึงทำให้งานด้านทรัพยากรมนุษย์ของโรงแรม
ด้อยประสิทธิภาพลงไปนั่นเองก่อนที่จะมีการรับสมัครพนักงานในตำแหน่งใดๆ
นั้น สิ่งสำคัญที่ทางโรงแรมต้องทำคือการกำหนดบทบาท หน้าที่ความรับผิด
ชอบของพนักงานแต่ละตำแหน่งพร้อมทั้งคุณสมบัติที่ต้องการไว้อย่างชัดเจน
และข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ในการประกาศรับสมัครงาน โรงแรม
จำนวนมากลงประกาศรับสมัครงานตำแหน่งต่างๆ โดยไม่มีรายละเอียด
บรรยายไว้ทำให้ผู้ที่พบเห็นประกาศรับสมัครงานขาดความเชื่อมั่นว่าโรงแรมที่
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 5
การจัดการธุรกิจโรงแรม
กำลังรับสมัครงานอยู่นั้นมีระบบและวิธีการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพเมื่อมีราย
ละเอียดของตำแหน่งงานที่ต้องการรับสมัครแล้วต้องพิจาณาดูว่าตำแหน่งงาน
แต่ละตำแหน่งควรที่จะเลือกใช้ช่องทางในการประกาศรับสมัครงานช่องทางใด
และควรใช้สื่อใด แล้วเลือกใช้ช่องทางและสื่อที่เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่ง ไม่ใช้
ช่องทางเดียวและสื่อเดียวกันกับทุกตำแหน่ง เพราะความสามารถและ
พฤติกรรมในการเข้าถึงสื่อของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่นการประกาศรับสมัคร
พนักงานทำความสะอาดห้องพักแขกทางสื่ออินเทอร์เน็ตนั้น เป็นการใช้ช่อง
ทางและสื่อที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะผู้ที่จะสนใจทำงานในลักษณะนี้จะ
ไม่มีความสามารถในการเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ต และไม่มีพฤติกรรมในการใช้
อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลต่างๆ แต่ควรจะใช้ช่องทางในการประกาศรับสมัคร
งานผ่านทางสำนักงานแรงงานจังหวัดต่างๆ ที่จะมีคนที่มีคุณสมบัติตรงกับ
ตำแหน่งงานที่ต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงแรงงานที่ไร้ฝีมือต่างๆ ที่
ไม่มีงานทำและขึ้นทะเบียนขอรับสวัสดิการทางด้านการประกันสังคมไว้เป็น
จำนวนมากเป็นต้น
สื่อสังคมออนไลน์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการแพร่กระจายข้อมูลเกี่ยวกับ
การประกาศรับสมัครพนักงานเข้าทำงานได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวางที่นิยม
ใช้กันอย่างมากในปัจจุบันที่โรงแรมต่างๆ ควรที่จะนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการ
รับสมัครพนักงานในบางตำแหน่งนอกจากนี้การประกาศรับสมัครพนักงานผ่าน
ช่องทางเฉพาะด้านอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับงานโรงแรมโดยตรง เช่น
งานด้านบัญชี งานช่าง งานทางด้าน IT หรือ Computer จะช่วยเพิ่มโอกาสใน
การเข้าถึงกลุ่มคนที่ต้องการทำงานได้มากกว่าการไปหาบุคลากรเหล่านี้จาก
แหล่งที่ใช้ในการรับสมัครพนักงานของโรงแรมโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีตัวเลือก หรือ
ผู้ที่เข้ามาดูประกาศและสนใจเข้ามาสมัครงานน้อยกว่า เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ใน
กลุ่มของพนักงานโรงแรมที่กำลังต้องการเปลี่ยนงานแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งงาน
วิชาชีพเฉพาะนั้น ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในวิชาชีพเฉพาะด้าน
มากกว่าความรู้เกี่ยวกับการจัดการงานโรงแรม การรับสมัครพนักงานเกี่ยวกับ
วิชาชีพเฉพาะด้านเหล่านี้นั้น ถ้าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทางโรงแรม
สามารถประกาศรับสมัครพนักงานเหล่านี้ผ่านทางโรงเรียนหรือสถานศึกษา
ต่างๆ ที่มีการสอนทักษะวิชาชีพในแต่ละด้าน รวมทั้งกรมแรงงานด้วย
การประกาศรับสมัครพนักงานผ่านคนในแวดวงของโรงแรมเช่น ชมรม
สมาคม ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางด้านโรงแรม ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง
ในการหาคนที่มีประสบการณ์เข้ามากทำงาน แต่การหาคนผ่านช่องทางนี้จะมี
การเปรียบเทียบเงินเดือน ค่าจ้าง และสวัสดิการของโรงแรมต่างๆ ก่อนการ
ตัดสินใจว่าจะเข้าไปทำงานที่ใด ซึ่งช่องทางนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ที่กำลัง
ต้องการจะเปลี่ยนงานเพียงเท่านั้นการทาบทาม หรือ "ซื้อตัว" เป็นวิธีการที่
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 6
การจัดการธุรกิจโรงแรม
ฝ่ายบุคคลของโรงแรมติดต่อทาบทามไปยังบุคคลต่างๆ ในบัญชีรายชื่อ
ของบุคลากรทางด้านโรงแรมที่มีอยู่ เพื่อทำการทาบทามบุคคลเหล่านั้นให้มา
ร่วมทำงานในตำแหน่งที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่โดยเสนอเงินเดือนและผล
ตอบแทนให้มากกว่าที่เก่าการ "ดึงตัว" เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ผู้บริหารโรงแรมทั้ง
หลายนิยมที่จะนำมาใช้กับบุคคลที่ทำงานอยู่ที่อื่นที่ผู้บริหารรู้จัก และประจักษ์ใน
ศักยภาพ ความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงานและให้ความไว้วางใจดึง
ตัวเข้ามาทำงานร่วมทำงานด้วย ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งในระดับหัวหน้า หรือ
ผู้บริหารการใช้บริการ Recruitment Center หรือ Head Hunter เป็นวิธี
การที่นิยมใช้กันมากในต่างประเทศ และในองค์กรใหญ่ๆ ในบ้านเรา ที่โรงแรมจะ
ยอมเสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่เป็นนายหน้าในการจัดหาบุคลากรในระดับผู้บริหาร
ระดับสูงเข้ามาทำงาน ซึ่งผู้ที่เป็นนายหน้าจะทำการสืบเสาะค้นหาบุคลากรที่มี
คุณสมบัติตรงกับความต้องการของโรงแรมผู้ว่าจ้าง ทำการสัมภาษณ์จนแน่ใจ
ว่าเหมาะสมแล้วจึงจะนำมาเสนอให้กับองค์กรที่ว่าจ้าง
การรับนักศึกษาเข้าฝึกงาน เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทางโรงแรมจะมีบุคลากร
เข้ามาช่วยงาน และฝึกฝนประสบการณ์เพื่อประกอบการศึกษาและหา
ประสบการณ์จากสถานประกอบการจริง ซึ่งโรงแรมอาจจะรับผู้ที่มาฝึกงานเข้า
ทำงานต่อได้เลยเมื่อสำเร็จการศึกษา โรงแรมควรที่จะเปิดรับนักศึกษาเหล่านี้
เข้ามาช่วยในงานด้านต่างๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไปและจะ
กลายเป็นภาระของพนักงานประจำที่มีอยู่
คำถามทบทวน
1. ฝ่ายทรัพยากรบุคคลประกอบด้วยส่วนงานย่อยอะไรบ้าง
2. โครงสร้างทรัพยากรบุคคลในโรงแรมมีหน้าที่และบทบาทหลักอะไรบ้าง
3. กระบวนการจัดการทรัพยากรบุคคลแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
4. จงบอกสวัสดิการของพนักงานโรงแรมว่ามีอะไรบ้าง
5. สวัสดิการที่จัดเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจโรงแรมที่แตกต่างจากบริษัททั่วไป คือ
6. ถ้านักศึกษาต้องการทำงานพิเศษในโรงแรมต้องติดต่อที่แผนกใด
7. "ซื้อตัว" หมายถึงอย่างไรอธิบาย
8. กฎหมายแรงงานกำหนดให้การทดลองงานมีจำนวนทั้งสิ้นกี่วัน
9. จงอธิบายความแตกต่างของคำว่าค่า“ตอบแทนและสวัสดิการ”
10. ข้อดีของการการปฐมนิเทศ คือ
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 7
การจัดการธุรกิจโรงแรม
เอกสารอ้างอิง
ขจิต ขอบเดช.(2542). งานโรงแรมฝ่ายห้องพัก แม่บ้านในโรงแรมและสถาบัน
อื่ นๆ.กรุงเทพฯ
: สำนักพิมพ์บริษัทซี ซี พริ้นติ้งจำกัด.
_______.(2548). การบริหารงานแม่บ้านในโรงแรมและสถาบันอื่นๆ.กรุงเทพฯ
: สำนักพิมพ์บริษัทซี ซี พริ้นติ้งจำกัด.
ราณี อิสิชัยกุล.(2550). การจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว.
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
Abbott ,P.andLewry, S.(1995). Front Office : Procedure ., Social
Skill and
Management.London. Great Britain : Butler&TannerLtd.
Beavis,J.R.S. and Medlik.(1978).A Manaual of Hotel Reception.
London Great Britain :
William Heinermann Ltd.
Gray, W.S.andLIguori, S.C .(1994). Hotel and Motel Management
and Operation .,
3rd ed. New Jersey,USA :Prentice-Hall. Inc.
Hotel Guru.(2011). การสรรหาบุคลากรโรงแรม[ออนไลน์] ได้จาก
http://www.ihotelguru.com/index.php?
option=com_k2&view=itemlist&layout=
category&task=category&id=40&Itemid=378.[Online][Retrieved
May 27, 2017]
ฝ่ า ย ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล | 1 5 8
การจัดการธุรกิจโรงแรม
บทที่ 10
ฝ่ายการตลาดและฝ่ายบัญชี
การจัดการธุรกิจโรงแรม
บทที่ 10
ฝ่ายการตลาดและฝ่ายบัญชี
สินค้าหลักของโรงแรมคือ“ห้องพัก”สินค้ารองคือ“อาหารและเครื่อง
ดื่ม”แต่สินค้าทั้งสองแหล่งนี้คงไม่สามารถสร้างรายได้ได้เลย หากปราศจาก
ฝ่ายขายและการตลาด ผู้ซึ่งรับผิดชอบการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์การ
นำเสนอข่าวสารขององค์การไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทำความเข้าใจความ
ต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า ท้ายที่สุด ต้องพยายามโน้มน้าวใจลูกค้าให้
ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของโรงแรม
ฝ่ายขายและการตลาดประกอบด้วย แผนกขายห้องพัก แผนกขายงานจัด
เลี้ยงและจัดประชุมและแผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์ ความรู้พื้นฐานของ
ตัวแทนขาย และการปลูกฝังทัศนคติว่า พนักงานบริการต้องทำหน้าที่เสมือน
ตัวแทนขาย และฝ่ายบัญชีและการเงิน ศึกษาแหล่งที่มาของ
รายได้โรงแรมโครงสร้างการแบ่งสายงานของฝ่ายบัญชีและการเงิน ศูนย์
ความรับผิดชอบต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของโรงแรม และงบการเงินภายใน
ในบทนี้จะได้อธิบายถึงการทำงานของฝ่ายที่ทำงานประจำสำนักงาน ได้แก่
1. ฝ่ายขายและการตลาด(Sales and Marketing Department)
2. ฝ่ายบัญชีและการเงิน(Accounting and Finance Department)
10.1 ฝ่ายขาย
ฝ่ายขายและการตลาดเป็นฝ่ายที่มีความสำคัญมากที่สุดฝ่ายหนึ่งในธุรกิจ
โรงแรม เพราะเป็นฝ่ายที่หาลูกค้าเข้ามาซื้อบริการในโรงแรม งานในฝ่ายขาย
และการตลาดอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้อำนวยการฝ่ายขายและการ
ตลาด โดยในฝ่ายจะแยกเป็นแผนกย่อยต่าง ๆ ได้ดังนี้
10.1.1 แผนกขายห้องพัก(Room Sales)
การขายห้องพักมีการขายอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1. การขายในต่างประเทศ(Oversea Sale)
2. การขายในท้องถิ่น(Local Sale)
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 0
การจัดการธุรกิจโรงแรม
1. การขายในต่างประเทศ(Oversea Sale) การส่งตัวแทนขาย Sales
Representative ไปยังตลาดต่างประเทศนี้ นับว่าผู้จัดการขายจะต้องคัด
เลือกบุคคลที่เหมาะสมในทุกด้าน โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศต้องดีเยี่ยม
2. การขายห้องพักในท้องถิ่น(Local Sale)การขายห้องพักเป็นหัวใจ
สำคัญสำหรับโรงแรม เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของโรงแรมมาจากการขายบริการ
ห้องพักให้แก่นักเดินทาง ซึ่งเป็นทั้งนักเดินทางเดี่ยวและกลุ่ม กำไรจากการขาย
ห้องพักมากกว่ากำไรจากการขายอาหารและเครื่องดื่ มและหากโรงแรมมีแขก
จากห้องพักมาก ย่อมส่งผลถึงความคึกคักในการขายอาหารและเครื่องดื่มด้วย
การขายห้องพักในท้องถิ่นโดยโรงแรมจะจัดการขายห้องพักด้วยการส่งตัวแทน
ขาย(Sales Representative หรือปัจจุบันนิยมเรียกว่า Sales Executive)
เข้าไปติดต่อตามหน่วยงานต่าง ๆ เช่น บริษัททัวร์ สายการบิน บริษัทเอกชน
และหน่วยงานของรัฐ เพื่อนำมาซึ่งการซื้อห้องพักจำนวนมาก โดยตัวแทนขาย
จะต้องรู้ความต้องการของคนไทย รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม
การขายห้องพักและการบริการของโรงแรมถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีตัวตน
(Intangible Product) ตัวแทนขายจึงต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพื่อ
โน้มน้าวและสร้างความมั่นใจให้แก่แขกหรือผู้ตัดสินใจซื้อ โดยขั้นตอนในการ
เตรียมการขาย มี 6 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนในการขายห้องพักของโรงแรม
1. แสวงหาลูกค้า (Prospect) คือการศึกษาว่าลูกค้าในอนาคตคือใคร
อยู่ที่ใด กลุ่มใด โดยเราจะเปลี่ยนเขาเป็นผู้ซื้อในที่สุด ความสำคัญของการ
แสวงหาลูกค้า คือ เพื่อเพิ่มยอดขาย การเปิดตลาดลูกค้าใหม่ๆ การสร้าง
ประสบการณ์ให้กับพนักงานขาย ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งตัวแทน
ขายสามารถหาลูกค้าได้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น สมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง
องค์การต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รายชื่อผู้เสียภาษี หนังสือพิมพ์ บริษัท
ที่จดทะเบียนการค้า สายการบิน และบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 1
การจัดการธุรกิจโรงแรม
เกณฑ์ในการประเมินลูกค้า
1.1 ความต้องการในสินค้า
1.2 ความเป็นลูกค้าที่ดี
1.3 อำนาจในการตัดสินใจซื้อ
1.4 ความสามารถในการชำระหนี้
1.5 ความมีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือของบริษัท
2. เตรียมตัวก่อนเข้าพบ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะหากตัวแทนขาย
เตรียมตัวดีก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด สิ่งที่ควร
เตรียมก่อนเข้าพบลูกค้า เช่นการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Presentation)
แผ่นพับ ใบเสนอราคา ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าและบริการ หรืออาจมีข้อมูล
ของโรงแรมอื่น ๆ เพื่อแสดงการเปรียบเทียบให้แก่ลูกค้าด้วย
3. การเข้าพบ ตัวแทนขายควรนัดหมายกับลูกค้าล่วงหน้าเพื่อเข้าพบ และ
ยืนยันนัดกับลูกค้าก่อนถึงเวลานัด ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าได้จัดเวลาไว้พูดคุย
กับเรา และทำให้เราได้ใช้เวลากับลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ
4. การสาธิต สินค้าอื่นที่มีตัวตนจับต้องได้เหมาะกับการสาธิต แต่สินค้า
ของโรงแรมคือห้องพักและการบริการเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้นการสาธิตใน
ที่นี้จึงออกมาในรูปของการนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Presentation) แผ่น
พับ หรือภาพของโรงแรมหรือกิจกรรมก่อนหน้านี้ที่เคยจัดให้กับลูกค้ารายอื่น ๆ
หากลูกค้าแสดงความสนใจในขั้นนี้ ตัวแทนขายก็สามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามา
เยี่ยมชมโรงแรม (Hotel Visit) หรือลองใช้บริการบางอย่างได้ เช่น บริการ
นวดที่สปา หรือชิมอาหารที่ห้องอาหาร เป็นต้น
5. การตอบคำโต้แย้ง เป็นการกำจัดคำคัดค้านต่าง ๆ ที่ลูกค้าหยิบยอกขึ้น
มาระหว่างการเสนอขาย หากตัวแทนขายสามารถตอบคำโต้แย้งได้อย่างสมเหตุ
สมผลแล้ว ย่อมทำให้ภาพพจน์และความศรัทธาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
6. การปิดการขาย เป็นการเร่งหรือกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ อาจมี
ส่วนลดหรือข้อตกลงพิเศษอื่นๆ ที่ตัวแทนขายจะมอบให้ เช่น ส่วนลด การให้
เครดิต 3 เดือน ของแถม หรือบริการแถม ซึ่งหากตัวแทนขายได้วางแผนมา
อย่างแนบเนียน ก็จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 2
การจัดการธุรกิจโรงแรม
10.1.2 แผนกขายงานจัดเลี้ยงและจัดประชุม (Banquet and
Convention Sales)
1) งานจัดเลี้ยง งานจัดเลี้ยงสำหรับบางโรงแรมอยู่ในการควบคุมของฝ่าย
อาหารและเครื่องดื่ม พนักงานขายงานจัดเลี้ยงมีหน้าที่ออกไปพบผู้มีอำนาจซื้อ
หรือลูกค้าในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อติดตามว่าเขามีความต้องการอะไร และความ
ต้องการนั้นโรงแรมสามารถหามาให้เขาได้หรือไม่ หากความต้องการของทั้ง
สองฝ่ายตรงกัน ก็จะทำให้มีการเปิดบริการในลักษณะต่าง ๆ โดยมีการจอง
เวลาและสถานที่เพื่อตระเตรียมการต่าง ๆ ต่อไป
2) งานขายการจัดประชุม งานจัดประชุมนับวันจะเป็นที่นิยมมาก และเป็น
จุดที่นับว่าทำรายได้ให้แก่โรงแรมไม่น้อยไปกว่าด้านอื่น ๆ ปัจจุบันโรงแรมหลาย
แห่งมุ่งการขายไปที่การจัดประชุมเป็นหลัก โดยเน้นให้มีห้องประชุมจำนวนมาก
เช่น โรงแรมซ็นทรัลพลาซ่า เป็นต้น ในธุรกิจโรงแรมท่องเที่ยวมีศัพท์เรียก
ลูกค้างานจัดประชุมว่า กลุ่มไมซ์(M, I, C, E) ซึ่งย่อมาจาก
- Meeting หมายถึงลูกค้าที่มาจัดประชุมกลุ่มเล็ก
- Incentive หมายถึงลูกค้าที่มากับกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
- Convention หมายถึงลูกค้าที่มาจัดประชุมนานาชาติ
- Exhibition หมายถึงลูกค้าที่มาจัดนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้า
10.1.3 ความรู้พื้นฐานของตัวแทนขาย (Basic Knowledge of
Salesman)
การขายห้องพักและการบริการของโรงแรมถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีตัว
ตน (Intangible Product) ตัวแทนขายจึงต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
เพื่อโน้มน้าวและสร้างความมั่นใจให้แก่แขกหรือผู้ตัดสินใจซื้อ โดยขั้นตอนใน
การเตรียมการขาย มี 6 ขั้นตอนดังนี้
พนักงานขายทีมืออาชีพ ต้องฉลาดและมีความรู้ในหลายๆ อย่าง ซึ่งจะนำไป
สู่การขายที่ประสบความสำเร็จ ต้องเตรียมความพร้อมดังนี้
มีความรู้เกี่ยวกับตนเอง(Know yourself) การเป็นพนักงานขายที่
ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบดังนี้
- ทางด้านร่างกาย
- ทางด้านจิตใจ
- ทางด้านอารมณ์
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 3
การจัดการธุรกิจโรงแรม
1.1 ทางด้านร่างกายร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงย่อมทำให้เกิดความเชื่อมั่น
หรือเป็นที่ดึงดูดแก่ผู้พบเห็นพนักงานขายควรตรวจสอบสุขภาพ สภาพร่างกาย
รูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทาง คำพูด การนำเสนอที่ได้ผล ควรทำได้ดีทั้ง 6 อย่าง
ดังนี้
1) การเรียบเรียงเรื่องราวและใช้เครื่องมือในการสื่อสารได้น่าสนใจ
(Story Telling)
2) การแต่งตัว(Grooming)
3) การเคลื่อนไหวร่างกาย(Body Movement)
4) สีหน้า(Facial Expression)
5) น้ำเสียง(Vocal Tone of voice)
6) แสดง Personal Brand ของตัวเองให้ชัด
1.2 การเตรียมตัวทางจิตใจ มีเจตคติต่อผลิตภัณฑ์และบริการ (Product
Service) รู้จุดเด่นจุดด้อยของสินค้าทั้งหมด
1.3 การเตรียมตัวทางอารมณ์ เพราะงานขายเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก
พนักงานขายควรปรับอารมณ์ให้เข้ากับเหตุการณ์ที่ตนประสบ การสงวนท่าที
และการเป็นนักฟังที่ดี รู้จักฉลาดและโง่ให้เป็น จะช่วยได้มากสำหรับงานขาย
10.1.4 ตำแหน่งงานสำคัญๆ และลักษณะหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายขาย(Sale
Department)
ผู้จัดการฝ่ายขาย(Sale Manager)
บริหารงานฝ่ายขายทั้งหมดรับผิดชอบเกี่ยวการหารายได้ให้โรงแรม โดย
การขายห้องพัก อาหารเครื่องดื่ม รวมถึงบริการพิเศษต่างๆภายในโรงแรม
ผู้บังคับบัญชา ผู้จัดการทั่วไป
หน้าที่รับผิดชอบ
1. วางแผนการหารายได้ให้โรงแรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว
2. ควบคุมการทำงานของผู้แทนขาย(Sales Representative) ให้มี
ประสิทธิภาพเป็นไปตามนโยบายโรงแรม
3. จัดประชุมในฝ่ายเพื่อทบทวนวิธีการขายที่สามารถแข่งขันกับโรงแรม
อื่นๆ ได้
4. วางแผนคาดการณ์การรับจอง เพื่อประมาณการ
5. ประสานงานและแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารให้กับแผนกรับจอง แผนก
บริการส่วนหน้าแผนกจัดเลี้ยงและต่าง ๆ
6. แนะนำและควบคุมตัวแทนเสนอขายให้ระมัดระวังความผิดพลาดใน
ช่วงเวลาที่มีการจองห้องพักสูง
7. ตอบโต้จดหมายกับกลุ่มธุรกิจในท้องถิ่น บริษัทและบุคคลต่างๆ ที่
ติดต่อโดยให้มีรูปแบบและวิธีเดียวกัน
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 4
การจัดการธุรกิจโรงแรม
8. ทำหน้าที่เป็นผู้แทนในการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศไปส่ง
เสริมการขาย
9. ติดต่อใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจในท้องถิ่น บริษัทตัวแทนนำเที่ยว กลุ่ม
ธุรกิจในท้องถิ่นและสายการบินต่างๆ
10.เลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญทางธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขายโรงแรม
ทำตนให้เป็นที่รู้จักในวงสังคมเพื่อชื่อเสียงโรงแรม
ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย(Assistant Sale Manager)
ประสานงานในด้านการปฏิบัติการบริหารการขาย
หน้าที่รับผิดชอบ
1. เข้าประชุมการขายของฝ่ายขายทุกเช้า
2. เยี่ยมเยียนลูกค้า บริษัทนำเที่ยว สายการบิน องค์กรต่างๆ
3. ติดตามผลการติดต่อกับลูกค้า
4. เสนอรายการเยี่ยมลูกค้าประจำวัน
5. ติดตามการยืนยันการจองจากลูกค้าทุกบริการ
6. จัดทำตารางเยี่ยมบริษัทในท้องถิ่น บริษัทการบิน เพื่อส่งเสริมการขาย
ของโรงแรมพิเศษเป็นครั้งคราว
พนักงานขาย(Sale Executive)
ประสานงานและดำเนินการในด้านการขาย
หน้าที่รับผิดชอบ
1. ทำการขายโดยการเยี่ยมเยียนลูกค้าหรือบริษัทในท้องถิ่น องค์กรต่างๆ
2. พัฒนาการขายโดยการแนะนำชักชวนในการติดต่อกับลูกค้า
3. ลงแบบฟอร์มการเยี่ยม
4. ติดตามให้แน่ใจว่าลูกค้ายืนยันการใช้บริการขงโรงแรมเพื่อเตรียมงาน
ล่วงหน้าให้เรียบร้อย
10.2 แผนกการตลาดและสื่อสารการตลาด
แผนกการตลาดและสื่อสารการตลาด (Marketing and Marketing
Communication Department) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริม
การขาย เพราะการขายที่ปราศจากการตลาดเข้าช่วยอาจไม่บรรลุวัตถุประสงค์
โดยงานด้านการตลาดมีส่วนประกอบหลัก คือ
10.1.1. งานด้านการตลาด ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
1) การดำเนินการ โฆษณาประชาสัมพันธ์ และงานอื่นที่สนับสนุนให้ฝ่าย
ขายขายสินค้าหรือบริการได้สมบูรณ์
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 5
การจัดการธุรกิจโรงแรม
2) เลือกใช้สื่อที่เป็นตัวกลางนำข้อมูลด้านสินค้าหรือบริการของโรงแรมไป
ยังกลุ่มลูกค้า เป้าหมายได้ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ แผ่นพับ หรือเว็บไซต์
3) ดูแลเลือกสื่อที่คุ้มกับค่าใช้จ่าย
4) ติดตามประเมินผล เพื่อให้แน่ใจว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือการ
ส่งเสริมการขายนั้นสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงหรือ
ไม่ หากมีข้อบกพร่องแผนกการตลาดควรนำปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นแนวทาง
ปรับปรุงแก้ไขการดำเนินการในครั้งต่อ ๆ ไป
5) หลีกเลี่ยงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นตลอดกระบวนการทางการ
ตลาด
10.1.2. นโยบายการโฆษณา
การโฆษณาของโรงแรมเป็นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสาร
ของโรงแรมผ่านสื่อต่าง ๆ ส่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า เพื่อสร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า และเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้รู้จักโรงแรมและมี
ทัศนคติที่ดีต่อโรงแรม เพื่อขยายผลถึงการตลาด การขายห้องพัก อาหารและ
เครื่องดื่ม การจัดประชุม และบริเวณอื่น ๆ ของโรงแรมให้มีประสิทธิภาพ
ตลอดจนประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น
โรงแรมแต่ละแห่งจำเป็นจะต้องมีนโยบายการโฆษณาประชาสัมพันธ์
โรงแรมสำหรับงบประมาณโฆษณาประชาสัมพันธ์ของโรงแรมแต่ละแห่งหรือ
แต่ละครั้ง จะเป็นวงเงินจำนวนเท่าใด ผ่านสื่อใด และจะทำกิจกรรมอย่างไร
ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริการ ได้แก่ ผู้จัดการทั่วไป ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด
ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ และผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน จะเป็นผู้
ร่วมกันพิจารณาจัดทำงบประมาณโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยอาจจะชำระ
เงินสดผ่านสื่อโฆษณา หรืออาจจะขอโฆษณาแลกเปลี่ยนในทางธุรกิจ(Barter
Agreement) เช่น เปลี่ยนการชำระค่าสื่อโฆษณา จากเงินสดเป็นห้องพัก
หรือการใช้บริการอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมแทน หรือทางโรงแรม
โฆษณาให้สายการบินเพื่อแลกเปลี่ยนกับบัตรโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ของโรงแรม อาจทำการเผยแพร่เป็น 2 ระดับคือ
ระดับท้องถิ่นและระดับสากล
1) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ระดับท้องถิ่น เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์
ผ่านสื่อระดับท้องถิ่นหรือการจัดทำหนังสือโฆษณาของโรงแรมเอง เช่น
Newsletter เผยแพร่กิจกรรมของโรงแรมในแต่ละเดือน การจัดทำโบชัวร์
ใบปลิว แผ่นป้าย แบนเนอร์และการโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงแรมใน
หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ หรือโทรทัศน์ท้องถิ่น การจัดกิจกรรมร่วมกับ
สมาคมโรงแรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานประชาสัมพันธ์
ประจำท้องถิ่นนั้น อย่างไรก็ตาม การจะเลือกใช้สื่ออย่างใดขึ้นอยู่กับงบประมาณ
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 6
การจัดการธุรกิจโรงแรม
และเป้าหมายที่จะโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงแรมให้ไปสู่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย
ได้โดยตรง หรือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ระดับสากล กระทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์
เช่นเดียวกันกับระดับท้องถิ่น แต่จะต่างกันที่สื่อโฆษณาจะผ่านสื่อในระดับสากล
เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ หรืออินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการ
ครอบคลุมฐานลูกค้ากว้างในระดับสากล ส่วนใหญ่โรงแรมในเครือโรงแรมต่าง
ประเทศเท่านั้นจึงจะใช้สื่อนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้านโฆษณาอาจจะทำร่วมกับ
โรงแรมในเครือ และสื่อที่ครอบคลุมลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง นอกเหนือจาก
การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในระดับสากลแล้ว อาจมีการร่วมกิจกรรม
เช่น การออกงานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยว(Travel Trade Shows)
ต่าง ๆ ด้วย
สิ่งที่สำคัญในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของโรงแรมทั้งระดับสากลและ
ระดับท้องถิ่นก็คือ จะต้องให้คนทั่วไปรู้จักและทัศนคติที่ดีต่อโรงแรม ถ้า
พิจารณาเฉพาะท้องถิ่น บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ
โรงแรมก็คือ ผู้จัดการทั่วไป ซึ่งสามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญใน
ท้องถิ่น นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดไปถึงองค์การกุศล
สาธารณะต่าง ๆ อนึ่ง การโฆษณาจำเป็นจะต้องมีความคิดริเริ่มใหม่ ๆ และ
สอดคล้องไปกับขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วย
พนักงานบริการทำหน้าที่เสมือนตัวแทนขาย
ตามปกติแล้วพนักงานในฝ่ายอื่ นที่นอกเหนือจากฝ่ายขายและการตลาดมัก
เข้าใจผิดว่า หน้าที่ “ขาย” เป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายขายและการตลาดเพียง
ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในแผนกอื่น
ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกที่ได้พบปะ รับใช้ และบริการลูกค้านั้น ล้วนเป็น
พนักงานขายได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อโดยการชักชวนของตัวแทน
ขายแล้วหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลลูกค้าจะถูกส่งต่อมายังพนักงานในส่วน
บริการทุกคน หากพนักงานส่วนบริการรับใช้ลูกค้าได้ดีเป็นที่ประทับใจแล้ว
ลูกค้าย่อมเกิดความรู้สึกอยากมาใช้บริการซ้ำ หรือซื้อสินค้าและบริการในมูลค่า
ที่สูงขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลูกค้าที่ประทับใจท่านนั้นก็จะบอกต่อหรือ
แนะนำคนรู้จักให้มาใช้บริการของโรงแรมเพิ่ม ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า “ไม่มีการ
ขายใดที่สิ้นสุด งานขายทำให้เกิดงานบริการ และงานบริการทำให้เกิดงานขาย”
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 7
การจัดการธุรกิจโรงแรม
10.3 ฝ่ายบัญชีและการเงิน
ฝ่ายบัญชีและการเงิน(Finance and Accounting Department)
เป็นส่วนงานที่ฉายภาพผลประกอบการของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ผ่านทาง
งบการเงินต่าง ๆ ควบคุมการไหลเข้า-ออกของเงินและควบคุมงบประมาณ
ขององค์การเพื่อการใช้จ่ายในอนาคต
10.3.1 ลักษณะทั่วไปของธุรกิจโรงแรม
1. โรงแรมเป็นธุรกิจขายบริการ การที่ลูกค้ามารับประทานอาหารที่
ภัตตาคารอาจมองว่าเป็นการจ่ายค่าอาหารที่เป็นสิ่งมีตัวตน แต่ความจริงแล้ว
ต้นทุนอาหารเป็นเพียงแค่ 30-40 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่จ่ายไปเท่านั้น ส่วนที่
เหลือเป็นค่าบริการและค่าสร้างบรรยากาศที่สวยงามในภัตตาคาร
2. ค่าใช้จ่ายของธุรกิจโรงแรมประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์เป็นเงินเดือน
ค่าแรงและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ทั้งนี้เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ใช้
แรงงานคนอย่างยิ่งยวด (Labor Intensive)
3. ธุรกิจโรงแรมต้องใช้เงินลงทุนสูง และไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์
อย่างอื่ นได้โดยง่าย
4. ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่มีวงจร(Cycle) 4 แบบคือ
1) วงจรวัน ภัตตาคารและห้องอาหารจะมีวงจรวัน กล่าวคือจะมีลูกค้า
มากในช่วงอาหารมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น
2) วงจรสัปดาห์ ในวันหยุดจะมีแขกมาใช้บริการมากกว่าวันธรรมดา โดย
เฉพาะโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวหรือโรงแรมตากอากาศ
3) วงจรฤดูกาล เช่น โรงแรมชายทะเลจะมีช่วงฤดูร้อนเป็นฤดูท่องเที่ยว
(High Season) และประเทศไทยจะมีฤดูหนาวเป็นฤดูท่องเที่ยว
4) วงจรธุรกิจ การเดินทางท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ในสภาพ
เศรษฐกิจที่รุ่งเรืองคนจะมีรายได้มากขึ้น และมีมากพอที่จะใช้จ่ายไปกับการเดิน
ทางท่องเที่ยว ดังนั้นหากรายได้ลดลงคนก็จะเลือกตัดรายจ่ายด้านการท่อง
เที่ยวออกไป ธุรกิจโรงแรมจะคึกคักหรือซบเซาก็แปรไปตามสภาวะเศรษฐกิจ
ธรรมชาติของโรงแรมที่มีวงจรดังกล่าวข้างต้น ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้อง
วางแผนการว่าจ้างบุคลากรให้เหมาะสม มิฉะนั้นอาจไม่สามารถให้บริการได้ใน
ช่วงที่มีลูกค้ามาก ทำให้เสียโอกาสที่จะสร้างรายได้
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 8
การจัดการธุรกิจโรงแรม
10.3.2 รายได้ของโรงแรม
รายได้ของโรงแรมขึ้นอยู่กับการบริหารและสิ่งอำนวยความสะดวก โดย
ทั่วไป โรงแรมจะมีรายได้จากการบริการต่าง ๆ ที่ให้แก่แขกและบุคคลภายนอก
ดังนี้
1. รายได้จากการขายห้องพัก
2. รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม
3. รายได้จากงานจัดเลี้ยง
4. รายได้จากการให้บริการต่าง ๆ เช่น ค่าบริการซักรีด ค่าโทรศัพท์ภายใน
และต่างประเทศ การรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และค่าใช้บริหารห้อง
ออกกำลังกาย เป็นต้น
5. รายได้จากการขายของต่าง ๆ เช่น ขายหนังสือพิมพ์ ขายดอกไม้ หรือ
ของที่ระลึกของโรงแรม
6. รายได้จากค่าเช่า เช่น การให้ร้านค้าเช่าที่เปิดกิจการ หรือการให้เช่าที่
จอดรถสำหรับบุคคลภายนอก
7. รายได้อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยรับ เงินปันผลรับ เป็นต้น
โดยปกติรายได้ 3 ประเภทแรกจะเป็นรายได้ที่สำคัญของโรงแรม โรงแรม
ส่วนใหญ่จะจัดเก็บเงินค่าห้องพักและอาหารจากลูกค้าเมื่อลูกค้าจะออกจาก
โรงแรม ยกเว้นกรณีมีการให้เครดิตแก่ลูกค้าประจำหรือลูกค้าที่มีข้อตกลงกัน
ไว้ ก็อาจมีการเรียกเก็บภายหลัง
10.3.3 โครงสร้างการแบ่งสายงานของฝ่ายบัญชีและการเงิน
ฝ่ายบัญชีและการเงินมีหน้าที่ดูแลการจัดทำบัญชีและควบคุมการเงินของ
โรงแรมให้เป็นไปตามระบบงานที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปหน่วยงานในฝ่ายบัญชีและ
การเงินอาจแยกเป็นส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1. ส่วนการเงิน(Finance) มีหน้าที่เก็บรักษาและควบคุมดูแลเงินของ
โรงแรมทางด้านรายรับและรายจ่าย ในส่วนของรายรับอาจมาจากค่าห้องพัก
อาหาร และเครื่องดื่ม หรือส่วนอื่น ๆ รวมถึงติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้ทุก
ประเภท ในส่วนของรายจ่ายก็จะควบคุมการจ่ายเงินทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการจ่าย
เงินเดือนและค่าแรงด้วย
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 6 9
การจัดการธุรกิจโรงแรม
2. ส่วนตรวจสอบรายได้(Income Auditor) มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ให้ถูก
ต้องครบถ้วน โดยเฉพาะรายได้จาก 2 แหล่งใหญ่คือ จากค่าห้องพักและห้อง
อาหาร
3. ส่วนเครดิต(Account Receivable) มีหน้าที่ควบคุมดูแลการให้
เครดิตหรือให้สินเชื่อแก่ลูกค้าของโรงแรม และติดตามทวงหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ
4. ส่วนบัญชี(Accounting) มีหน้าที่จัดเก็บข้อมูลทางบัญชีและการเงินให้
ถูกต้องและนำมาจัดทำรายงานต่าง ๆ เก็บรักษาเอกสารและข้อมูลของโรงแรม
ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและดูแลการเสียภาษีต่าง ๆ ของโรงแรมให้ถูก
ต้อง
5. ส่วนคลังพัสดุ(Store) มีหน้าที่ (1) ควบคุมดูแลการเก็บรักษาและเบิก
จ่ายพัสดุ ทั้งของสด ของแห้ง สำหรับประกอบอาหารของฝ่ายอาหารและเครื่อง
ดื่ม และอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน (2) บันทึกการรับจ่ายพัสดุและ (3) ทำ
รายงานพัสดุคงเหลือ
6. ส่วนควบคุมต้นทุน มีหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนอาหารและเครื่อง
ดื่ม ตรวจสอบการรับของประจำวันของแผนกอาหารและเครื่องดื่มว่าเป็นไป
ตามคุณภาพและปริมาณที่กำหนดไว้หรือไม่ ส่วนงานนี้จะวิเคราะห์เมนูอาหาร
และเครื่องดื่ม และจัดทำรายงานสรุปต้นทุนและยอดขายประจำวัน ตรวจสอบ
อัตราส่วนการตวงวัดในครัวและบาร์ให้ถูกต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของ
ราคาขายและต้นทุนที่กำหนดไว้ และประสานงานกับฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม
ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อการได้กำไรหรือขาดทุนของการขายอาหาร
และเครื่องดื่ มของโรงแรม
10.3.4 ศูนย์ความรับผิดชอบ
ศูนย์ความรับผิดชอบ รายงานภายในที่แผนกบัญชีจัดทำสำหรับผู้บริหารนั้น
ได้แบ่งส่วนงานในองค์การออกเป็น 2 ศูนย์ คือ
1) ศูนย์รายได้ หมายถึง แผนกและส่วนงานที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่
โรงแรม โดยการขายบริการและผลผลิตของโรงแรมให้แก่แขกหรือลูกค้า ซึ่ง
แยกเป็น
- ศูนย์รายได้หลัก ได้แก่ ห้องพัก ฝ่ายอาหาร และเครื่องดื่ม
- ศูนย์รายได้รอง สร้างรายได้ให้แก่โรงแรมไม่มากนักเมื่อเทียบกับศูนย์
รายได้หลัก ได้แก่ การใช้โทรศัพท์ของลูกค้า การขายของที่ระลึก การบริการ
ซักรีด ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าร้านค้าในโรงแรม ศูนย์ธุรกิจ และศูนย์สุขภาพ
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 0
การจัดการธุรกิจโรงแรม
เมื่อกำหนดศูนย์รายได้หลักและศูนย์รายได้รองแล้ว ก็สามารถเก็บข้อมูล
รายได้และค่าใช้จ่ายโดยตรงที่เกิดขึ้นของแต่ละศูนย์ เพื่อทำรายงานผลการ
ดำเนินงานของศูนย์นั้น ซึ่งเป็นรายงานภายในสำหรับผู้บริหารได้
2) ศูนย์ค่าใช้จ่าย หมายถึงแผนกหรือส่วนงานที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้
แก่โรงแรมโดยตรง แต่เป็นแผนกที่สนับสนุนให้การทำงานของแผนกที่เป็น
ศูนย์รายได้เป็นไปอย่างราบรื่น ศูนย์ค่าใช้จ่ายจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศูนย์
สนับสนุน(Support Centers) ได้แก่ แผนกช่าง บัญชี และแผนกบริหาร
ทรัพยากรบุคคล สำหรับแผนกขายไม่ถือว่าเป็นศูนย์รายได้ ถึงแม้ว่าจะเป็น
แผนกที่ชักนำให้เกิดรายได้ แต่ต้นกำเนิดของรายได้นั้นเกิดจากการที่แขกเข้ามา
ใช้บริการห้องพัก รับประทานอาหารและเครื่องดื่มแล้วเท่านั้น แผนกบัญชีจะมี
การเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายของแต่ละศูนย์ไว้ แล้วนำมาจัดทำรายงานให้ทราบถึงผล
การดำเนินงานของแต่ละศูนย์ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมการดำเนิน
งานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปกติแล้วธุรกิจโรงแรมจะใช้
งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุมการดำเนินงาน ดังนั้นเพื่อให้มีเกณฑ์ที่
จะใช้เปรียบเทียบรายงานต่าง ๆ จึงมักแสดงงบประมาณหรือผลการดำเนินงาน
ของงวดก่อนให้ทราบด้วย
ประเด็นที่สมควรพิจารณาอีกประการหนึ่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่าง
ชัดเจนก็คือ ไม่ว่าแผนกนั้นจะเป็นศูนย์รายได้หรือศูนย์ค่าใช้จ่าย แผนกจะต้องมี
ค่าใช้จ่ายของแผนกทั้งสิ้น ต่างกันแต่เพียงว่าแผนกที่เป็นศูนย์ค่าใช้จ่ายนั้นมีค่า
ใช้จ่ายประการเดียว ไม่มีรายได้ แต่แผนกที่เป็นศูนย์รายได้ มีค่าใช้จ่ายของ
แผนก และในขณะเดียวกัน ก็สร้างรายได้ด้วย ตัวอย่างเช่น แผนกห้องพักซึ่ง
เป็นแผนกค่าใช้จ่ายด้านเครื่องใช้สำนักงาน ค่าเครื่องแบบพนักงาน และค่าใช้
จ่ายอื่น ๆ แต่แผนกห้องพักนี้จะสร้างรายได้ค่าห้องพักให้แก่โรงแรม ในขณะที่
แผนกทรัพยากรบุคคลก็มีค่าใช้จ่ายในทำนองเดียวกันแต่แผนกทรัพยากร
บุคคลไม่ได้สร้างรายได้
10.3.5 ค่าใช้จ่ายต่างๆของโรงแรม
ค่าใช้จ่ายโดยตรงของโรงแรมที่เห็นได้ชัดคือ เงินเดือนและค่าแรง ซึ่งโดย
ทั่วไป โรงแรมจะจัดเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายไว้ในแต่ละประเภท ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เช่น เงินเดือนฝ่ายบริหาร ค่าเอกสาร และค่า
อุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ
2. ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด เช่น ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 1
การจัดการธุรกิจโรงแรม
3. ค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์สิน เช่น ค่าจ้างทาสีอาคารใหม่ ค่าฉีดยาฆ่า
แมลง
4. ค่าใช้จ่ายเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ค่าซื้อคอมพิวเตอร์และ
อุปกรณ์ต่อพ่วง และค่าซอฟต์แวร์ต่าง ๆ
5. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานหรือบุคลากร ได้แก่ เงินเดือน ค่าแรง และ
ค่าล่วงเวลา
6. ค่าพลังงาน เช่น ค่าน้ำและค่าไฟ
7. ค่าใช้จ่ายประจำต่าง ๆ เช่น ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกัน และภาษีโรงเรือน
10.3.6 งบการเงินภายใน
งบการเงินภายในจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารระดับต่าง ๆ ของกิจการได้ทราบ
ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการบริหารงาน โดยทั่วไปงบการเงินภายใน
ของธุรกิจโรงแรม ได้แก่
1. งบกำไรขาดทุนของทั้งกิจการ
2. งบกำไรขาดทุนรายฝ่าย
3. งบค่าใช้จ่ายรายแผนก
4. งบกำไรสะสม
5. งบดุล
10.4 การจัดทำงบประมาณของโรงแรม
1) ความหมายและความสำคัญของงบประมาณ
เทคนิคที่ธุรกิจทั่วไปใช้ในการวางแผนการจัดหาและการใช้ทรัพยากรโดย
การกำหนดแผนการดังกล่าวขึ้นไว้เป็นตัวเลข เรียกว่า งบประมาณ (Budget)
การที่ธุรกิจใดมีเป้าหมายที่ดีและการกำหนดแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมมิได้
เป็นเครื่องแสดงว่าธุรกิจนั้นจะดำเนินงานประสบผลสำเร็จด้วยดีเพราะการ
ดำเนินธุรกิจจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายก็เนื่ องจากทุกฝ่ายได้ปฏิบัติหน้าที่
ในความรับผิดชอบตามแผนการที่ได้กำหนดไว้มีการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดแต่ได้
รับประโยชน์สูงสุด ธุรกิจโรงแรมก็เช่นเดียวกันฝ่ายบริหารกำหนดให้การจัดหา
และการใช้ทรัพยากรภายในโรงแรมเป็นไปโดยประหยัดที่สุดและได้ประโยชน์
สูงสุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือกำไรที่ธุรกิจคาดว่าจะได้รับในอนาคตมีการตั้ง
เป้าหมายกำไรที่ธุรกิจจะต้องกระทำให้สำเร็จ
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 2
การจัดการธุรกิจโรงแรม
2) วัตถุประสงค์การจัดทำงบประมาณ
เป็นกระบวนการในการวางแผนอย่างหนึ่งกิจการจำเป็นต้องมีการกำหนด
เป้าหมายของการดำเนินงานขึ้นโดยการคาดคะเนตัวเลขเป้าหมายไว้สำหรับ
อนาคตและวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับปริมาณงานที่แต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติโดย
การคิดคะเนรายได้และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานโดยมี
วัตถุประสงค์ดังนี้
1. เพื่อการวางแผนประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย
2. เพื่อการประสานนโยบายในการจัดการโดยกำหนดแผนการปฏิบัติงาน
ของแต่ละหน่วยงานอย่างต่อเนื่ องและสอดคล้องกัน
3. เพื่อการควบคุมและวัดผลการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
3) ประโยชน์ในการจัดทำงบประมาณ
1. เป็นสื่อของการประสานงานคือให้พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานใน
ตำแหน่งที่สำคัญเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำงบประมาณเป็นแบบแผนของ
การดำเนินงานที่ได้ข้อมูลมาจากฝ่ายต่าง ๆจะช่วยให้การใช้ทรัพยากรในการ
ดำเนินงานเป็นไปอย่างระมัดระวัง และได้ประโยชน์สูงสุด
2. เป็นแผนที่ผู้บริหารใช้เป็นแนวทางในการควบคุมการปฏิบัติงานของ
พนักงาน โดยการนำผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริงเปรียบเทียบกับงบประมาณ
ที่กำหนดไว้
3. เป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายในอนาคตชี้ให้เห็นจุดที่ควรให้ความสนใจ
และวางแผนในการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
4. เป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมีการ
พิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์การ
4) การจัดหารายได้ของโรงแรม
- รายได้หลักของโรงแรม
1. รายได้จากการขายห้องพัก
2. รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม
3. รายได้จากการขายห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง
4. รายได้จากการขายบริการอื่น ๆ
5. รายได้จากการให้บริการโทรศัพท์ โทรสาร
6. รายได้จากการให้บริการซักรีดเสื้อผ้า
7. รายได้จากการให้บริการด้านเสริมสวยทั้งสุภาพบุรุษและสตรี
- รายได้จากการให้บริการด้านท่องเที่ยว
- รายได้จากการให้บริการด้านนันทนาการ เช่น สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส
สนามกอล์ฟ
- รายได้จากการให้บริการอื่นๆ เช่น บริการแลกเปลี่ยนเงิน บริการตู้
นิรภัย บริการด้านตั๋วเครื่องบินฯลฯ
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 3
การจัดการธุรกิจโรงแรม
การบริการด้านห้องประชุม การบริการด้านห้องพัก
5) กลุ่มของผู้รับบริการของโรงแรม
คณะบุคคลและการจัดประชุม ได้แก่ผู้รับบริการที่เดินทางมาเป็นกลุ่มใหญ่
หรือเป็นคณะ ซึ่งอาจเป็นนักเดินทาง นักธุรกิจหรือพนักงานจากหน่วยงาน
เอกชนพนักงานหรือข้าราชการจากหน่วยงานของรัฐที่เดินทางมาท่องเที่ยวและ
การประชุม
ตัวแทนท่องเที่ยว ได้แก่ ตัวแทนท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวแทนจัดหาและสำรอง
ห้องพักโรงแรมต่างๆ โดยทั่วไปตัวแทนท่องเที่ยวซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้
ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะนำนักท่องเที่ยวเข้าพักเป็นจำนวนมากตามฤดูกาลท่อง
เที่ยว
บริการจัดเลี้ยง ได้แก่ การเสนอขายบริการจัดเลี้ยงแก่บุคคล คณะบุคคล
และหน่วยงานหรือองค์การธุรกิจในท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่
ผู้รับบริการรายย่อย ได้แก่ การเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปในท้องถิ่นที่คาดว่า
จะเป็นผู้รับบริการหรือนำผู้รับบริการมาใช้บริการของโรงแรมบุคคลซึ่ง
พนักงานขายควรติดต่อเพื่อการเสนอขาย ได้แก่
- บริษัทสายการบินต่าง ๆ ที่ต้องการที่พักสำหรับพนักงานและลูกเรือ
- พนักงานระดับสูงขององค์การหรือตำแหน่งเลขานุการของนักธุรกิจ
- พนักงานขับรถรับจ้าง ซึ่งรับผู้โดยสารที่เป็นบุคคลทั่วไป
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 4
การจัดการธุรกิจโรงแรม
สรุป
ไม่มีหลักการใดที่จะขายงานบริการหรือสินค้าใดๆที่ไม่สามารถจัดหาให้ได้
ตัวอย่างที่เห็นชัดของการขายเช่น พนักงานขายสัญญากับลูกค้าที่จะมาจัด
งานประชุมว่า จะสำรองห้องพักในโรงแรมที่ติดวิวหน้าชายทะเล 300 ห้องให้
ทั้งที่จริงแล้วมีเพียง 200 ห้องเท่านั้นที่ติดชายทะเลหรือสัญญากับลูกค้าว่า
จะให้บริการอาหารเช้าเต็มรูปแบบสำหรับคน 500 คนในช่วงเวลา 8.00-
8.30 น. หรือสัญญาว่าจะมีรายการอาหารบ้างจานที่ไม่อาจหาได้ในช่วงเวลา
นั้นของปีนี่เป็นตัวอย่างง่ายๆในเรื่องของการขายสินค้าที่ไม่อาจหาให้ได้หรือ
ให้บริการได้ในการขายแต่ละงานพนักงานขายจึงควรสื่อสารกับแผนกรับ
จองห้องพักหรือฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ มก่อนไม่ควรจะทำให้โรงแรมอยู่ใน
ภาวการณ์ที่ต้องหาข้อแก้ตัวหรือต้องขอโทษลูกค้ายาวนานในเวลาต่อมาและ
บ่อยครั้งที่ภาระการขอโทษลูกค้ากลับตกอยู่กับพนักงานคนอื่ นแทนที่จะเป็น
พนักงานขายผู้ก่อปัญหา
ปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดจากการที่พนักงานขายไม่รู้จักคุ้นเคยกับสินค้าที่จะ
ขายอย่างแท้จริง สถานการณ์นี้หลีกเลี่ยงได้ถ้าบุคลากรทุกคนที่เข้าร่วมใน
ทีมขายต้องทำงานในแต่ละฝ่ายของโรงแรมก่อนระยะเวลาหนึ่งตามที่กำหนด
ไว้ความร่วมมือระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายอื่ นๆของโรงแรมจึงเป็นฐานหลักใน
การให้บริการที่เหมาะสมเมื่อขายงานบริการให้ลูกค้าได้ในระยะยาวชื่อเสียงใน
การจัดหาการบริการให้ลูกค้าได้เสมอจะการเป็นสินทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ
ฝ่ายขายได้
การเจาะจงกลุ่มตลาดเป้าหมายองค์ประกอบหลักในการขายกลุ่มคณะและ
กลุ่มงานประชุมสัมมนา คือ การเจาะจงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้อาจแบ่ง
ได้เป็นสามส่วนแบ่งทางการตลาด คือ กลุ่มสมาคม กลุ่มคณะและกลุ่มอื่นๆ
(เช่นกลุ่มทางสังคม กลุ่มทางศาสนา เป็นต้น)ข้อแตกต่างหลักระหว่าง 2
กลุ่มตลาดหลัก คือ 1.กลุ่มสมาคมโดยทั่วไปแล้วจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่ม
บริษัท 2.ระยะเวลาที่ใช้ในการขายจนเสร็จสิ้นกระบวนการขายสำหรับกลุ่ม
สมาคมมักจะเกินสามปีซึ่งยาวนานกว่ากลุ่มบริษัท 3.จำนวนผู้เข้าร่วมงาน
ของกลุ่มบริษัทกำหนดได้ง่าย เนื่องจากอยู่ในอาณัติความควบคุมของบริษัท
ในขณะที่ผู้เข้าร่วมงานของกลุ่มสมาคมขึ้นอยู่กับความสามารถทางการ
ตลาดของผู้จัดงาน 4.สำหรับกลุ่มบริษัท ค่าห้องที่จะจ่ายโดยบริษัท ในขณะที่
ผู้เข้าร่วมงานของกลุ่มสมาคมมักจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายค่าห้องพักของ
ตนเองจากข้อแตกต่างข้างต้น จะเห็นได้ว่ากลุ่มบริษัทจะจัดการดูแลได้ง่าย
กว่ากลุ่มสมาคม
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 5
การจัดการธุรกิจโรงแรม
คำถามทบทวน
1. รายได้หลักของโรงแรม มีอะไรบ้างยกตัวอย่างประกอบ
2. การขายห้องพักมี2 ลักษณะคืออะไรบ้าง
3. ขั้นตอนการขายห้องพักมีวิธีการอะไรบ้าง
4. ฝ่ายบัญชีและการเงินมีหน้าที่ดูแลด้านใดบ้างยกตัวอย่าง
5. การเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปในท้องถิ่นที่คาดว่าจะเป็นผู้รับบริการหรือนำ
ผู้รับบริการมาใช้บริการของโรงแรมบุคคลซึ่งพนักงานขายควรติดต่อเพื่อการ
เสนอขาย ได้แก่
6. ประโยชน์ในการจัดทำงบประมาณคือ อะไรบ้าง
7. ศูนย์รายได้ หมายถึง แผนกและส่วนงานที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่โรงแรม
โดยการขายบริการและผลผลิตของโรงแรมให้แก่แขกหรือลูกค้าประกอบ 2
ส่วน คือ
8. ความรู้พื้นฐานของตัวแทนขาย พนักงานขายที่ฉลาดควรมีความรู้อยู่ 5
ประการคืออะไรบ้าง
9. การขายห้องพักและการบริการของโรงแรมถือเป็นการขายสินค้าที่ไม่มีตัว
ตน (Intangible Product) ตัวแทนขายจึงต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
โดยขั้นตอนในการเตรียมการขาย มี 6 ขั้นตอน คือ
10. การขายห้องพักมีการขายอยู่ 2 ลักษณะ คือ
เอกสารอ้างอิง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.(2545). การบริหารและการจัดการโรงแรม.
กรุงเทพฯ: บริษัทไทยยูเนี่ยนกราฟฟิกส์ จำกัด.
ธารีทิพย์ ทากิ.(2549). ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการอาหารเบื้องต้น.
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
ฝ่ า ย ก า ร ต ล า ด แ ล ะ ฝ่ า ย บั ญ ชี | 1 7 6
การจัดการธุรกิจโรงแรม
บทที่ 11
แนวโน้มทิศทางการแข่งขัน
ของธุรกิจโรงแรม
การจัดการธุรกิจโรงแรม
บทที่ 11
แนวโน้มทิศทางการแข่งขัน
ของธุรกิจโรงแรม
ปัจจุบันมีโรงแรมเกิดขึ้นมากมาย มีความหลากหลายทั้งเรื่องของขนาด
และแบรนด์ทราบว่า การบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมนั้นมีรูปแบบใดบ้าง
แต่ละรูปแบบเหมาะกับกิจการที่มีลักษณะอย่างไร ในบทนี้ผู้เรียนจะได้ทราบ
ว่างานในโรงแรมประกอบด้วยส่วนงานใดบ้าง และตำแหน่งงานที่สำคัญๆ
ในโรงแรมคือตำแหน่งอะไรบ้าง รูปแบบการจัดการโรงแรม โครงสร้างการ
บริหารงานโรงแรม และตำแหน่งงานสำคัญในโรงแรม
การคาดการณ์ถึงแนวโน้มด้านการท่องเที่ยวปี 2559 ที่กำลังเกิดขึ้น
จากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
กับผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวการเติบโตของการท่องเที่ยว
เกิดขึ้นในหัวเมืองหลัก รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดเมืองรอง
ส่งผลให้การลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างจังหวัดขยายตัว แต่ธุรกิจโรงแรมก็
เผชิญความท้าทายในการเพิ่มอัตราการเข้าพักและราคาห้องพัก รวมถึง
การกระจายตัวของนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจส่งผลให้รายได้ค่าห้องพักต่อ
จำนวนห้องพักที่มีอยู่ของธุรกิจโรงแรมที่รุกขยายธุรกิจไปยังต่างจังหวัด
ลดลง หรือเติบโตอย่างชะลอตัวลงได้ในภาพรวม
11.1 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรม
1. การแข่งขันของธุรกิจโรงแรมระดับกลางถึงบัดเจ็ทโฮเทลมีแนวโน้ม
รุนแรงขึ้น ประกอบกับขีดความสามารถในการขึ้นราคาห้องพักเป็นไปอย่าง
จำกัด โดยการรุกคืบขยายธุรกิจของธุรกิจโรงแรมรายใหญ่มาสู่ธุรกิจโรงแรม
ระดับกลางถึงบัดเจ็ทโฮเทล ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมในตลาดมี
แนวโน้มใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 7 8
การจัดการธุรกิจโรงแรม
2. จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงที่ประชุม ครม. อนุมัติ
วันหยุดราชการเพิ่มในเดือน พ.ค. และ ก.ค. ปี 2559 กระตุ้นการท่องเที่ยวจาก
ตลาดในประเทศ ประกอบกับการฟื้ นตัวของรายได้อื่นๆ เช่น จัดประชุม สัมมนา
และอีเว้นท์ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
3. การลดการพึ่งพิงตัวกลางที่ให้บริการจองโรงแรมผ่านอินเทอร์เน็ต เป็น
ความท้าทายของธุรกิจโรงแรมในระยะข้างหน้า ในขณะที่ยังสามารถเข้าถึงฐาน
นักท่องเที่ยวได้อย่างสูงสุด โดยธุรกิจโรงแรมจำเป็นต้องกำหนดราคาห้องพัก
แต่ละช่องทาง ได้แก่ ตัวกลางที่ให้บริการจองโรงแรมผ่านอินเทอร์เน็ต ทราเวล
เอเจนซี่ช่องทางการขายของโรงแรมเอง และช่องทางอื่นๆอย่างสอดคล้องกัน
รวมถึงจำเป็นต้องสร้างความสมดุลของรายได้จากแต่ละช่องทางควบคู่กันไป
4. สร้างเอกลักษณ์เพื่อเจาะนักท่องเที่ยวที่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในขณะที่
ธุรกิจโรงแรมรายกลางและเล็กที่เจาะนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยการสร้างความคุ้ม
ค่ายิ่งขึ้น ในระดับราคาไม่สูงนัก ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมรายกลางและเล็กมีความ
หลากหลายมากขึ้นการลงทุนโรงแรมในต่างจังหวัดขยายตัว…แต่เผชิญความ
ท้าทายในการเพิ่มอัตราการเข้าพักและราคาห้องพัก รวมถึงการแข่งขันในหัว
เมืองหลักรุนแรงขึ้นจากการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว
5. จากการที่กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ส่งผลให้ใน
ระยะที่ผ่านมาผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ให้ความสำคัญกับการขยาย
การลงทุนธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีส่วนสนับสนุนให้กรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่มี
จำนวนห้องพักสูงที่สุดคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 18 ของจำนวนห้องพัก
ในประเทศไทยโดยรวม รวมถึงในปี 2558 ที่ผ่านมากรุงเทพฯยังมีบทบาทผลัก
ดันให้อัตราการเติบโตของค่าห้องพักเฉลี่ยที่ขายได้จริงในภาคกลางเพิ่มสูงขึ้น
อย่างโดดเด่น รวมถึงผลักดันให้อัตราการเข้าพักในภาคกลางสูงกว่าภูมิภาคอื่น
ๆ ด้วยเช่นกัน
แม้ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่ องจาก
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การแข่งขันก็รุนแรงมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้น
ของจำนวนผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มใช้กลยุทธ์
ที่แตกต่างกัน โดยธุรกิจโรงแรมรายใหญ่รุกขยายธุรกิจในประเทศ ทั้ง
กรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมถึงรุกขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศ ส่วนธุรกิจ
โรงแรมรายกลางและเล็กแม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยจะ
รุนแรงมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการ แต่ธุรกิจโรงแรมราย
ใหญ่ก็รักษาการเติบโตของรายได้ได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับภาพธุรกิจ
โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีรายได้จากกิจการ
โรงแรม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เติบโตถึงร้อยละ 18.7 จากในช่วง
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 7 9
การจัดการธุรกิจโรงแรม
9 เดือนแรกของปี 2557 รวมถึงรายได้ค่าห้องพักต่อจำนวนห้องพักที่มีอยู่
(Revenue Per Available Room) ของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนใน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราการ
เข้าพัก และราคาห้องพักเพิ่มสูงขึ้น
11.2 การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรมปี 2559-2560
ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมินายกสมาคมโรงแรมไทย (THA ) กล่าวว่า จาก
แนวโน้มการขยายตัวของท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ธุรกิจโรงแรม
ปีนี้เติบโตมากกว่า 10% และคาดว่าปี 2560 ธุรกิจโรงแรมจะมีรายได้เพิ่มอีก
10% จากความพยายามปรับราคาห้องพักให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10% ในเดือนตุลาคม
นี้ รับฤดูกาลท่องเที่ยว (high season) ในช่วงปลายปีอย่างไรก็ตามธุรกิจ
โรงแรมยังคงกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเหตุก่อการร้ายที่ไม่มีทาง
คาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร อัตราเข้าพักเฉลี่ยโรงแรมทั่วไทยปีนี้ด้วยว่า
สมาคมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 75-85% จุดหมายที่โดดเด่นคือจังหวัด ภูเก็ต และ
เชียงใหม่ คาดมีอัตราเข้าพักไม่ต่ำกว่า 85% โดยมีนักท่องเที่ยว จากประเทศ
จีน สร้างกระแสการเข้าพักโดยสมาคมคาดว่าปีนี้จะมีชาวจีนเที่ยวไทยมากกว่า
11 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์
แนวโน้มไว้ที่ประมาณ10 ล้านคนสำหรับภาพการลงทุนโรงแรมใหม่ในไทย
ปี2559 นี้ "ศุภวรรณ" บอกว่า ไม่ค่อยเติบโตนักเมื่อเทียบกับปี 2558 ซึ่งใหญ่
จะเป็นโรงแรมใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง จะสร้างเสร็จปี2559เป็นหลัก
นอกจากนี้จะเป็นโรงแรมที่ลงทุนปรับปรุงห้องพักใหม่ หลังจากเปลี่ยนกลยุทธ์
ไปใช้แบรนด์โรงแรมของเชน (Chain) รับบริหารเจ้าใหม่แทนแบรนด์เดิม
อัตราการเพิ่มขึ้นของห้องพักในภาคต่างๆ
ที่มา:กรมการท่องเที่ยว
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 0
การจัดการธุรกิจโรงแรม
ขณะที่รายงานภาวะเศรษฐกิจท่องเที่ยวประจำไตรมาส 2 ปี 2559 ของ
กระทรวงการท่องเที่ยวฯระบุว่า ในปีนี้มีสถานพักแรมทั้งหมด 16,749 แห่ง โดย
ภูมิภาคที่มีจำนวนพักแรมมากที่สุดคือ ภาคใต้ การถือครองสัดส่วนคิดเป็น
31% รองลงมาคือ ภาคเหนือ 19% และเมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพัก พบว่า
ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีห้องพักมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 29% รองลงมาคือ
กรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 20% แสดงให้เห็นว่าภาคใต้มีการลงทุนสถานพัก
แรมจำนวนมาก และกรุงเทพฯเป็นจังหวัดที่มีห้องพักมากที่สุด เนื่องจากเป็น
ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สำหรับแนวโน้มการลงทุนในธุรกิจ
โรงแรมยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่ องสัมพันธ์กับการเติบโตของนักท่อง
เที่ยวต่างชาติซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของธุรกิจโรงแรมในไทย ส่วนใหญ่อยู่ใน
แหล่งท่องเที่ยวหลัก และมีรูปแบบเปลี่ยนแปลงตามกระแสการท่องเที่ยวรวม
ถึงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ
โรงแรมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จาก 12,895 แห่ง เป็น 16,749 แห่ง เติบโต
เฉลี่ย 14% ต่อปี ทำให้จำนวนของที่พักเพิ่มขึ้นจาก 550,627 ห้องในปี 2557
เป็น 650,643 ห้อง และ 679,154 ห้อง ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ
11.2.1 ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น–แข่งขันสูงขึ้น
การเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้นผู้ประกอบ
การแต่ละกลุ่มใช้กลยุทธ์ต่างๆในการพัฒนาธุรกิจโรงแรมอาทิธุรกิจโรงแรม
ขนาดใหญ่ที่เน้นการลงทุนสูง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดย ใช้
การสร้างความประทับใจด้านการบริการเน้นความหรูหรา จึงมักกำหนดราคา
ห้องพักในราคาสูงโดยเริ่มต้นที่ 10,000 บาทขึ้นไปโรงแรมกึ่งพรีเมี่ยมจะเน้น
ความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวก ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 2,800
บาท หรือโรงแรมที่เน้นการออกแบบที่พักแบบแฟชั่น&บูติค(Boutique)จะ
เน้นสร้างความแตกต่างให้เป็นเอกลักษณ์และมีราคาตั้งแต่ระดับกลางถึงสูง
เป็นต้น ฯลฯ
นอกจากนี้จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ในปี 2559 จำนวนนักท่อง
เที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เพิ่มขึ้น จะมีเม็ดเงินสะพัดสู่ธุรกิจ
โรงแรม 5.37-5.44 แสนล้านบาท เติบโต 4.7-6% คิดเป็นมูลค่า 5.13 แสนล้าน
บาททั้งนี้เป็นผลจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ซึ่งจะหนุนให้เม็ดเงิน
สะพัดสู่ธุรกิจโรงแรมเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจโรงแรมรายใหญ่
รุกขยายธุรกิจในประเทศควบคู่ในต่างประเทศทั้งในภูมิภาคอาเซียน และภูมิภาค
อื่น ๆ ธุรกิจโรงแรมขนาดกลางและเล็กมุ่งเจาะนักท่องเที่ยวที่ต้องการเปิด
ประสบการณ์ใหม่ๆ มุ่งสร้างเอกลักษณ์ของโรงแรม พร้อมประเมินว่า
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 1
การจัดการธุรกิจโรงแรม
ในปี 2559 นี้ ธุรกิจโรงแรมขนาดกลางและเล็กต้องปรับกลยุทธ์ดึงดูดนักท่อง
เที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มขีดความ
สามารถในการแข่งขันและควรบริหารช่องทางการขายควบคู่กันไปเพื่อลดการ
พึ่งพิงตัวกลางที่ให้บริการจองโรงแรมผ่านออนไลน์ ด้านกรมการท่องเที่ยว
กระทรวงการท่องเที่ยวฯระบุว่าในปี 2558 สถานพักแรมสร้างรายได้จากห้อง
พักต่อจำนวนห้องพักทั้งหมดที่ 8.7 แสนบาทต่อห้องต่อปี ลดลง 1.8% เมื่อ
เทียบกับปี 2557 จาก 8.8 แสนบาทต่อห้องต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.86% เมื่อเทียบ
กับปี 2556 โดยสถานพักแรมในกรุงเทพฯสร้างรายได้สูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อปี
รองลงมาได้แก่ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคกลาง
และภาคอีสาน
11.3 สถานการณ์การท่องเที่ยวโลก 2020
องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ(UNWTO) พยากรณ์ว่าเมื่อ
ถึงปี 2020 จะมีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศจำนวน 1,600 ล้านคน ภูมิภาคที่
มีแนวโน้มเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเอเชีย
แปซิฟิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้องค์การท่องเที่ยวโลก (WTO) คาดการณ์
สถานการณ์การท่องเที่ยว 2020 ไว้ดังนี้
1. ตลาดท่องเที่ยวที่พัฒนาแล้วเช่นยุโรป อเมริกา จะมีการชะลอตัวด้านการ
เติบโตของการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่ องในขณะที่ตลาดเกิดใหม่จะมีอัตราการ
เติบโตสูงขึ้นหลายเท่า
2. ตลาดเอเชียและแอฟริกาใต้ จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด แต่ยุโรปยังคง
เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่นักท่องเที่ยวยังคงสนใจแม้ว่าอัตราการเติบโตจะไม่สูง
เท่ากับภูมิภาคอื่ นๆก็ตาม
3. กลุ่มประเทศ BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) จะมีการพัฒนาด้าน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขึ้นใหม่
4. การเติบโตของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่(Emerging Market) ก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการตลาดโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BRIC(บราซิล รัสเซีย
อินเดีย และจีน) จะทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีศักยภาพในการส่งออก
นักท่องเที่ยวในอนาคต
5. ปี 2020 นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางออกนอกภูมิภาคเพิ่มขึ้น จากร้อยละ
18 เป็นร้อยละ 24 แนวโน้มการเกิดนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ ในทุกๆ100คนจะมี
คนที่มีศักยภาพเป็นนักท่องเที่ยว 21 คน
6. ปี 2020 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีนักท่องเที่ยวมากถึง 416 ล้านคน
หรือ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 2
การจัดการธุรกิจโรงแรม
7. ปี 2020 ประมาณการณ์การเติบโตด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะ
เติบโตต่ำสุดที่ร้อยละ 6.5 หรืออัตรานักท่องเที่ยวที่ 41.5ล้านคน เติบโตสูงสุด
ร้อยละ 15 หรือจะมีนักท่องเที่ยว 71 ล้านคน เทียบเท่ากับจำนวนประชากรไทย
ในปี 2020 (2014 มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 24.71 ล้านคน, 2015 คาดว่าจะมีนัก
ท่องเที่ยวเข้ามา 28.36 ล้านคน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านคน) จำนวนนักท่อง
เที่ยวเดินทางผ่านสนามบินสุวรรณภูมิข้อมูลรวบรวมจากสมาชิกของ ATTA
11.4 สถานการณ์ธุรกิจโรงแรมไทย ปี 2020
สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ปี 2020 จากการประเมินจำนวนโรงแรมใน
ประเทศไทยในปี 2015 มีโรงแรมที่ถูกต้อง ตามกฎหมายทั้งประเทศทั้งหมด
จำนวนโรงแรม = 10,018 แห่ง(THA 7700 แห่ง) การจ้างงานในธุรกิจ
โรงแรม = 444,318 คนรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี = 190,911 บาท(ข้อมูลจาก
สำนักงานสถิติแห่งชาติ)ความน่าจะเป็นของการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ ไม่ถูก
ต้องตามกฎหมาย หรือไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจำนวนโรงแรม13,500
แห่ง(THA10,500แห่ง)การจ้างงานจำนวน 650,000 คน ประมาณการ
จำนวนโรงแรมในปี 2020 น่าจะมีรวมกันไม่ต่ำกว่า 28,000 แห่ง (เพิ่มขึ้น
4,482 แห่ง) อัตราการจ้างงานในธุรกิจโรงแรมรวมกันไม่น้อยกว่า
1,260,000 อัตรา
11.4.1 การแข่งขันธุรกิจโรงแรม ในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ในปี 2020 จากข้อมูลขององค์การท่องเที่ยวโลก ของสหประชาชาติได้
ประมาณการถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางท่องเที่ยวไว้ว่าจะมีปริมาณรวม
กันถึง1,600 ล้านคน ซึ่งจะเดินทางท่องเที่ยวไปยังเอเชียแปซิฟิก 416 ล้านคน
และจะเดินทางท่องเที่ยวไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากถึง 250 ล้าน
คนต่อปีการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมในกลุ่ม AEC จะมีการปรับตัวตามใน
หลายๆด้านเพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ในส่วนประเทศไทยคาด
การว่าภาครัฐจะปรับกฎหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการในหลายด้านด้วย
กัน เช่น
- กฎหมายควบคุมจำนวนโรงแรมรีสอร์ทหรือการจัดทำโซนนิ่งในแต่ละพื้นที่
- กฎหมายควบคุมคุณภาพการให้บริการและราคา
- กฎหมายควบคุมเรื่องความปลอดภัยสุขอนามัย
- กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
- อื่นๆ
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 3
การจัดการธุรกิจโรงแรม
11.4.2 ปัจจัยเสริมที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมของไทย
นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องการเข้าสู่สมาคมอาเซียนแล้วปัจจัยเสริมอื่ นที่
ก่อให้เกิดการท่องเที่ยวของไทยมากขึ้นคือ
1. การเกิดของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยหรือประชาสัมพันธ์ใน
วงกว้างของแต่ละจังหวัด
2. การอิ่มตัวของนักท่องเที่ยวจากแหล่งท่องเที่ยวเดิมๆเป็นตัวเร่ง
เสริมให้เกิดการลงทุนในการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ขึ้นซึ่งจะมี
ลักษณะพิเศษกว่าแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ
3. แหล่งท่องเที่ยวใหม่จะเกิดจาการสร้างของมนุษย์อาจประสมประสาน
กับความสวยงามของธรรมชาติ ซึ่งจะกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่างๆ
4. ความสะดวกของเส้นทางคมนาคมในการเดินไปยังแหล่งท่องเที่ยว
ใหม่เหล่านี้เป็นผลต่อเนื่องจากซึ่งเกิดจากโครงการของภาครัฐ เช่น รถไฟ
ความเร็วสูง ถนนมอเตอร์เวย์ หรืออื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้มี
การลงทุนขนาดใหญ่ในด้านแหล่งท่องเที่ยว
5. แหล่งท่องเที่ยวที่มีลักษณะพิเศษที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์
(Unique Tourist’s Destination) ในที่นี้จะพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มี
ลักษณะพิเศษที่เกิดจากการสร้างของมนุษย์เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มี
ลักษณะพิเศษซึ่งแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีแบบเดิมๆ ตาม
ธรรมชาติ
- การสร้างสถานที่โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรม โดยเลียนแบบสถานที่
ดังๆจากเมืองนอก โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมที่แปลกตาเป็นตัวดึงดูดให้
เกิดการท่องเที่ยวเช่นตึกอาคารสถานที่ เช่นเขาใหญ่-ปากช่อง
– การสร้างเมืองเนรมิตเหมือนจริง ที่ดึงเอาความทันสมัยทาง
เทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการรักษาหรือคงอยู่ของรูปแบบของธรรมชาติ
การนำเอาผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในเมืองจำลองและดำเนิน
ชีวิตตามปกติ โดยนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ สัมผัส
ธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่นความสวยงามของสวนไม้ดอกไม้ประดับหรือ
สถาปัตยกรรมที่แปลกตา ผนวกกับความหลากหลายของกิจกรรมภายใน
– การกำเนิดแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบของ สวนสนุก, สวนน้ำ, เมือง
คาวบอยขนาดใหญ่, คาสิโนแบบครบวงจร, การสร้างเมืองน้ำแข็งหรือเมือง
หิมะขนาดใหญ่, สกีโดม ซึ่งเป็นการลงทุนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะ
กระจายตัวไปตามจังหวัดต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 4
การจัดการธุรกิจโรงแรม
6. การก่อกำเนิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่เกิดจากการคิดแตกยอดของ
ธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวใน
กลุ่ม New Generations ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
อันเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดธุรกิจโรงแรมตามมา สถานที่ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่
เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน และ เป็นตัวเสริมให้เกิดธุรกิจโรงแรมตามมา เช่น
- สวนน้ำอเมซอน พัทยา, สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน
- ปาลิโอ เขาใหญ่ ฯ, พรีโม่ เขาใหญ่ (รูปแบบสถาปัตยกรรมของอิตาลี
สไตล์)
- ไร่บุญรอด เชียงราย
- ฟาร์มโชคชัย พร้อมกิจกรรมต่างๆ
- สนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ที่บุรีรัมย์
- สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ในหลายๆ จังหวัด
11.5 แนวโน้มของการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปี 2020
สืบเนื่ องจากการเกิดสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม
ขึ้นในปี 2020 จะทำให้ธุรกิจโรงแรมเริ่มปรับตัวและขยายตัวตาม ทั้งนี้รูปแบบ
โรงแรมมีแนวโน้มจะมีการย่อส่วนขนาดลงมาเป็นโรงแรมไซด์กลางและเล็กเกิด
ขึ้นจำนวนมาก กลุ่มโรงแรมเชนต่างประเทศและในประเทศจะหันมาให้ความ
สนใจในการลงทุนกับโรงแรมขนาดเล็กมากขึ้น เช่นกลุ่ม Travelodge ที่ร่วม
มือกับกลุ่ม Absolute ของ คีรี กาญจนพาสน์, กลุ่ม Hop Inn ของกลุ่ม
เอราวัณกรุ๊ป นอกจากนั้น กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ไม่เคยลงทุนด้านโรงแรมอย่าง
ซีพี ก็จะเริ่มขยายธุรกิจด้านนี้โดยพุ่งเป้าไปยังโรงแรมขนาดเล็กเป็นหลัก
ดังนั้น รูปแบบโรงแรมนอกเหนือจาก 5,4,3 ดาว ที่มีอยู่แล้วก็จะมีการขยาย
ตัวเกิดโรงแรมในหลายรูปแบบตามมาแต่จะเน้นการบริหารจัดการแบบมือ
อาชีพเช่น
– โรงแรมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่แถวชานเมือง Motor Lodge (โรงแรมในจุด
พักรถที่นิยมกันในอเมริกา)
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 5
การจัดการธุรกิจโรงแรม
– โรงแรมขนาดเล็กในตัวเมือง City Inn (โรงแรมขนาดเล็กมีห้องพัก
น้อยในรูปแบบกะทัดรัดและราคาถูก)
City Inn Boutique Hotel
– โรงแรมสไตล์บูติค Boutique (โรงแรมขนาดเล็กที่มีสไตล์เป็นของตัว
เอง)
จุดแข็งและจุดอ่อน ธุรกิจโรงแรมไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจ
อาเซียน(SWOT)
Strengths
- ความหลากหลายของสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยว
- ความคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย
- การบริการที่เป็นมิตรของคนไทย
- ระบบการสื่อสาร โทรคมนาคม สาธารณูปโภค
Weaknesses
- บุคคลากรที่เกี่ยวข้องมีทักษะด้านภาษาต่างประเทศที่จำกัด
- การควบคุมคุณภาพของบุคลากรในภาคบริการยังไม่ทั่วถึง
- การบริหารจัดการของผู้ประกอบการบางราย ยังไม่คำนึงถึงผลกระทบ
ด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนเท่าที่ควร
- ผู้ประกอบการธุรกิจภาคบริการของไทยส่วนใหญ่ ดำเนินธุรกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม
Opportunities
- พฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ มุ่งแสวงหาความแปลกใหม่
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสื่อออนไลน์ ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า
ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
- ภาครัฐมีการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 6
การจัดการธุรกิจโรงแรม
Threats
- ปัญหาด้านการเมืองภายในประเทศ
- การแข่งขันกันตัดราคา
- ความผันผวนของปัจจัยในตลาดโลก
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภาวะโลกร้อน
- การพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่ง
สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมไทย 5 ข้อที่ควรให้ความสำคัญเพื่อพร้อม
รับการแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
1. กลยุทธ์หรือวิธีการกระตุ้นยอดจองห้องพักล่วงหน้า
2. ความเป็นไทยจุดเด่นโรงแรมไทยที่ยังได้เปรียบและขยายเพื่อชูเป็น
จุดขาย
3. พัฒนาไอทีรองรับลูกค้าโรงแรมในยุค ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
4. สร้างภาพลักษณ์ส่งเสริมการขายและการดูแลลูกค้าก่อน/ระหว่าง/
หลังใช้บริการ
5. เตรียมภาษาอังกฤษในส่วนพนักงานให้พร้อมเพื่อรองรับการแข่งขัน
11.5.1 วิเคราะห์การแข่งขันแรงงานด้านโรงแรม
ก่อนเปิดเสรีการค้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนการแข่งขันแรงงานด้าน
โรงแรมก่อนเปิดเสรีการค้าของไทย ในส่วนงานโรงแรมยังไม่มีความรุนแรง
มากนัก เนื่องจากจำนวนบุคลากรกับสถานประกอบการยังมีสัดส่วนที่ใกล้
เคียงกันแม้ว่าการผลิตบุคลากรจากสถาบันการศึกษาต่างๆอาจผลิต
บุคลากรสายการโรงแรมที่มีความรู้ความสามารถโดยตรงออกมายังไม่
เพียงพอกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมการโรงแรมก็ตาม แต่ยังมี
บุคลากรหรือแรงงานซึ่งเรียนจบจากสาขาอื่นๆ ทดแทนได้ จึงทำให้ผู้
ประกอบการยังมีแหล่งแรงงานที่สามารถนำมาใช้ทดแทนได้ผู้ประกอบการ
เองอาจต้องรับภาระในส่วนการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้วิเคราะห์การแข่งขัน
แรงงานด้านโรงแรมคุณภาพของแรงงาน
ลักษณะเด่นของแรงงานไทยในสายงานบริการก็ต้องยอมรับว่า
วัฒนธรรมไทยมีส่วนเสริมให้การบริการของแรงงานไทยมีศักยภาพสูงกว่า
แรงงานของประเทศอื่ นๆแต่แรงงานไทยยังมีข้อด้อยหลายด้านด้วยกัน
หากเปรียบเทียบกับแรงงานจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ด้านความ
อดทน ความกระตือรือร้น ด้านภาษาในการสื่อสาร โดยเฉพาะทางด้านภาษา
อังกฤษซึ่งเป็นปัจจัยหลักของงานบริการด้วยปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลไปถึง
คุณภาพเฉพาะตัวและความมั่นใจในตัวเองของแรงงานของไทย
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 7
การจัดการธุรกิจโรงแรม
หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศวิเคราะห์การแข่งขันแรงงานด้านโรงแรม
หลังจากการเปิดเสรีการค้าอาเซียน ในช่วง 1-3 ปีแรกการแข่งขันด้าน
แรงงานของโรงแรม คาดว่าจะมีการเข้ามาของแรงงานจากประเทศเพื่อน
บ้านอย่างมากมายด้วยชื่อเสียงของไทยในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
และการโรงแรมจะเป็นแรงดึงดูดอย่างดี จะส่งผลกระทบแรงงานไทยทั้ง
ระยะสั้นและระยะยาวเป็นที่ทราบกันว่าความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ
ซึ่งมีความจำเป็นอย่างสูงของธุรกิจโรงแรมและเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งแรงงาน
ไทยยังมีจุดอ่อนแต่ความสามารถนี้มีอยู่ในแรงงานของประเทศอาเซียนเช่น
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และอื่นๆ คลื่นลูกแรกที่
จะส่งผลกระทบคือกลุ่มแรงงานระดับล่างสุด แรงงานของประเทศต่างๆ จะ
เข้ามาแทนที่แรงงานไทยด้วยความสามารถด้านภาษาอังกฤษ อีกทั้งอัตรา
จ้างงานขั้นต่ำของไทยก็อยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเปรียบเทียบกับของประเทศ
เพื่อนบ้าน แถมค่าครองชีพในประเทศไทยซึ่งถูกกว่าหลายๆ ประเทศเหล่านี้
จะเป็นแม่เหล็กอย่างดีในการดึงดูดให้มีการไหลของแรงงานระดับล่างสุด
วิเคราะห์การแข่งขันแรงงานด้านโรงแรมหลังจากการเปิดเสรีการค้า
(AEC) หรือผ่านไป 4-5 ปี หรือ ปี 2020 โรงแรมเป็นธุรกิจบริการที่ขาย
ความพึงพอใจให้กับลูกค้าการทำให้คนมีความรู้สึกพึงพอใจสูงสุดเป็น
ศาสตร์และศิลป์ที่ไม่มีบรรทัดฐานตายตัวการพลิกแพลงหรือการสร้าง
กลยุทธ์เอาใจลูกค้าจะไม่มีการหยุดนิ่งมีการพัฒนาวิธีการบริการต่อไป
เรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุด การเรียนในสถาบันเป็นการปูทางให้บุคลากรมีความ
เข้าใจถึงแนวทางการทำงานหรือวิธีปฏิบัติแต่สิ่งที่จะช่วยให้การบริการ
ประสบความสำเร็จสูงสุดได้คือ ประสบการณ์ของให้ผู้บริการหรือพนักงาน
นั่นเอง
สรุป
สิ่งที่ควรระวังเกี่ยวกับบุคลากรโรงแรมไทยในปี 2020 คือ หลังจาก
บุคลากรโรงแรมในระดับล่าง ซึ่งมาจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา
ทดแทนแรงงานของไทยด้วยความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ภายใน
ระยะเวลา 3 ปี แรงงานเหล่านั้นจะเรียนรู้และสะสมประสบการณ์การทำงาน
และพร้อมที่จะขยับขึ้นเป็นหัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับกลางของโรงแรม
ได้ทันทีด้วยคุณสมบัติที่เด่นกว่าแรงงานไทยจะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจ
มากกว่าซึ่งจะผลักให้แรงงานไทยลงไปเป็นแรงงานระดับล่างสุดหลังจาก
การเปิดเสรีการค้า (AEC)
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 8
การจัดการธุรกิจโรงแรม
แรงงานระดับคุณภาพจากประเทศเพื่อนบ้าน ในระดับหัวหน้างานและผู้
จัดการ จะเข้ามาเป็นตัวเลือกแข่งกับแรงงานไทย ซึ่งจะมีการแข่งขันอย่าง
เข้มข้น ผู้ประกอบการจะมีตัวเลือกเยอะ คุณสมบัติหรือความสามารถของ
แรงงานจะถูกใช้เป็นเงื่ อนไขของการพิจารณาจ้างงานการปรับตัวของ
สถาบันการศึกษาการผลิตแรงงานหรือบัณฑิตสายงานธุรกิจโรงแรมจะ
ต้องเข้มข้นมากกว่าเดิม การเรียนการสอนอาจจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้น
เนื้อหาลึกลงไปถึงรายละเอียดของตำแหน่งงานที่จะทำในอนาคตเช่น การ
เรียนเพื่อไปเป็นพนักงานต้อนรับพนักงานแม่บ้าน พนักงานเสริฟ์ฯ เพื่อให้
บัณฑิตที่จบการศึกษามีความสามารถตรงกับงานที่จะทำหลังจบการศึกษา
การใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังปี 2020
คำถามทบทวน
1. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมอย่างไร
2. ผลกระทบแรงงานไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาวประเด็นใดบ้าง ยก
ตัวอย่างมา 2 ข้อ
3. สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมไทย 5 ข้อที่ควรให้ความสำคัญเพื่อพร้อม
รับการแข่งขันประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคือ
4. จุดแข็ง ธุรกิจโรงแรมไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีอะไรบ้าง
5. จุดอ่อน ธุรกิจโรงแรมไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีอะไรบ้าง
6. โอกาสของธุรกิจโรงแรมไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีอะไรบ้าง
7. อุปสรรคของ ธุรกิจโรงแรมไทยในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีอะไร
บ้าง
8. ปัจจัยเสริมที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมของไทย คืออะไร
บ้าง
9. การเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้นผู้
ประกอบการแต่ละกลุ่มใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการพัฒนาธุรกิจโรงแรมโดยเน้น
ด้านใด
10. ช่องทางของการขายห้องพักในยุคปัจจุบันนิยมขายผ่านช่องทางใดบ้าง
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 8 9
การจัดการธุรกิจโรงแรม
เอกสารอ้างอิง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.(2545). การบริหารและการจัดการโรงแรม.
กรุงเทพฯ: บริษัทไทยยูเนี่ยนกราฟฟิกส์ จำกัด.
Hotel Guru.(2012). การให้บริการอาหารเครื่องดื่ม[ออนไลน์] ได้จาก
http://www.ihotelguru.com/index.php?option=com_
k2&view=item&id=88:tablesettings-guide&Itemid=331
[สืบค้นเมื่อFebrury 8, 2016]
Hotel Guru.(2012).แผนกบริการส่วนหน้า[ออนไลน์] ได้จาก
http://www.ihotelguru.com/index.php?option=com_
k2&view=item&id=88:tablesettings-guide&Itemid=331
[สืบค้นเมื่อFebrury 8, 2016]
Lucienne Anha.(2014). The Definition of Boutique Hotels -
Written By: - HVS International[Online] Avaliable from
https://www.google.co.th/search?q=boutique+hotel
&espv [Retrieved Febuary 7, 2017]
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 0
การจัดการธุรกิจโรงแรม
ศัพท์ในการปฏิบัติงานโรงแรมที่ควรทราบ
ศัพท์พื้นฐานทั่วไปที่ควรทราบในธุรกิจโรงแรมได้แก่ ศัพท์ที่เกี่ยวกับ
ประเภทห้องพัก เตียง อัตราราคา และแผนกบริการมื้ออาหาร
1. ประเภทห้องพักและเตียง (Room Categories &
Bedding Types)
ห้องพักและขนาดของเตียงจัดเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาห้องพัก
ซึ่งอาจจำแนกได้ดังนี้
Deluxe room ห้องนอนขนาดปกติหรืออาจกว้างกว่าห้องมาตรฐาน
(standard) มักจะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เช่น สามารถมองเห็นทัศนียภาพ
สวยงามที่สุด และได้รับการตกแต่งสวยงามประณีต พร้อมทั้งมีเตียงขนาด
ใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในห้องพัก เป็นประเภทห้อง (ขนาด
ปกติ) ที่มีราคาสูงสุด
Superior room ห้องนอนขนาดมาตนฐาน แต่อาจตั้งอยู่ในตำแหน่งด้านที่ดี
กว่าห้องมาตรฐาน(มีทัศนียภาพที่ดีกว่า) หรือสะดวกกว่า และอาจมีเตียงขนาด
ใหญ่กว่าห้องมาตรฐาน จึงเป็นประเภทห้อง(ขนาดปกติ) ที่มีราคาสูงระดับกลาง
หรือสูงกว่าห้องมาตรฐานเล็กน้อย
Standard room คือห้องพักมาตรฐาน เป็นห้องนอนขนาดปกติตกแต่ง
มาตรฐานทั่วไป อาจมีเตียงคู่(double) 1 เตียง หรือเตียงเดี่ยว 2 เตียง จัด
เป็นประเภทห้องพักที่โรงแรมตั้งราคามาตรฐานเริ่มต้น ในต่างประเทศห้อง
มาตรฐานธรรมดานี้อาจแบ่งย่อยเป็น (1) ห้องพักเดี่ยว หรือ single room มี
ขนาดห้องไม่น้อยกว่า 5.6 ตารางเมตร และมีเพียงเตียงเดียว (2) ห้องพัก
เตียงแฝด หรือเรียกว่า twin room มีขนาดห้องใหญ่ขึ้นคือไม่น้อยกว่า 10.2
ตารางเมตร และมีเตียงขนาดเดียวกัน 2 เตียง (3) ห้องพักที่มีเตียงคู่
(double) 1 เตียง
Economy room เป็นห้องพักราคาประหยัดที่มีเพียงบางโรงแรมเท่านั้น
ราคาห้องพักจะมีราคาต่ำกว่าราคามาตรฐาน เป็นห้องพักที่โรงแรมอาจสำรองไว้
ในยามที่มีอัตราการเข้าพักเต็มหรือไว้เสนอสำหรับราคาลด(discount) หรือใน
ช่วงส่งเสริมการขาย(promotion) ห้องพักประเภทนี้จะมีลักษณะด้อยบาง
ประการ เช่น ห้องและเตียงอาจมีขนาดเล็กกว่า
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 1
การจัดการธุรกิจโรงแรม
Suit(อ่านว่า สวีท) หมายถึง ห้องชุดซึ่งภายในประกอบด้วยห้องตั้งแต่ 2 ห้อง
ขึ้นไป (โดยทั่วไปจะเป็นห้องนั่งเล่น/รับแขก และห้องนอน) ในห้องชุดขนาดใหญ่
บางห้องอาจมีห้องนอนมากกว่าหนึ่งห้อง และอาจเพิ่มบริเวณพื้นที่สำหรับ
เตรียมและประกอบอาหารแบบง่ายๆ มีห้องนั่งเล่น/รับแขกขนาดใหญ่ ห้องรับ
ประทานอาหาร หรือห้องประชุมขนาดเล็ก ห้องชุดส่วนมากโดยเฉพาะโรงแรม
ขนาดใหญ่มาตรฐานชั้นนำจะตกแต่งสวยงามเป็นพิเศษ และมีสิ่งอำนวยความ
สะดวกมากกว่าห้องพักมาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม ในบางโรงแรมอาจมีห้องชุดขนาดเล็กที่ภายในมิได้ประกอบ
ด้วยห้อง2 ห้อง แต่เป็นเพียงห้องใหญ่กว่าปกติ แบ่งเนื้อที่ภายในเป็น 2 ส่วน
โดยใช้ฉากกั้นระหว่างบริเวณนั่งเล่น และห้องนอน หรือออกแบบให้ยกพื้นต่าง
ระดับกัน และนิยมเรียกห้องแบบนี้เป็น juniorsuit (หรือ minisuit)
สำหรับห้องชุดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของอาคารสูงซึ่งนิยมออกแบบ
ให้สวยงาม มีความหรูหราเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลและมี
ราคาแพง คือ ห้องชุดแบบเพนท์เฮาส์ (Penthouse suite)
Connecting rooms ห้องพักอยู่ติดกันโดยมีประตูภายในเปิดถึงกันได้
Adjoining rooms ห้องตั้งแต่ 2 ห้องขึ้นไปอยู่ติดกัน (แบบใช้ฝากั้นห้อง
ร่วมกัน) แต่ไม่มีประตูภายในเปิดถึงกัน ต้องใช้ระเบียงทางเดินหน้าห้องร่วมกัน
Duplex ห้องใหญ่ที่มีพื้นที่ครอบคลุม 2 ชั้น หรือออกแบบให้ภายในแบ่งเป็น
2 ชั้น โดยมีบันไดเชื่อมถึงกัน ใช้เป็นห้องนั่งเล่น/รับแขกและห้องนอน
Cabana ห้องที่อยู่ใกล้หรือติดกับบริเวณสระน้ำ หรือมีทางเดินตรงไปสระน้ำ
หรือตรงไปที่ชายหาด เป็นห้องที่อยู่ระดับพื้นดินหรือชั้นเดียวกับสระว่ายน้ำ อาจ
มีที่นอนหรือไม่ก็ได้ มักอยู่แยกออกจากตัวอาคารโรงแรม
Studio ห้องนั่งเล่น(หรือรับแขก) ที่สามารถปรับเปลี่ยนใช้เป็นห้องนอนได้
โดยทั่วไปจะมีเก้าอี้นวมขนาดยาว 1–2 ตัว ซึ่งเปลี่ยนเป็นเตียงนอนได้
Triple ห้องพักที่จัดไว้สำหรับนอน 3 คน อาจประกอบด้วยเตียงคู่ 1 เตียง และ
เตียงเดี่ยว 1 เตียง หรือเตียงเดี่ยว 3 เตียง
Twin–double, Double–double ห้องพักที่มีเตียงคู่ 2 เตียงสำหรับใช้
นอนได้ตั้งแต่ 2–4 คน บ้างเรียกเป็น family room
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 2
การจัดการธุรกิจโรงแรม
King เตียงขนาดใหญ่ที่สุด ในบางครั้งโรงแรมอาจใช้เตียงเดี่ยวขนาดเตียง
แฝด (twin) 2 เตียงวางต่อกันแล้วจึงปูที่นอน
Queen เตียงขนาดกลางที่เล็กกว่าเตียง king 10-25% แต่ใหญ่กว่าเตียง
ปกติ(double) 25% บางโรงแรมอาจไม่มีการจำแนกระหว่างเตียง queen
และ double
Double เตียงคู่ปกติหรือเตียงคู่มาตรฐาน หรือมีขนาดเล็กกว่าเตียง
queen 25% เป็นเตียงที่จัดให้ในห้องพักแบบใดก็ได้ สามารถนอนได้ 2 คน
แต่ปัจจุบันหลายแห่งนิยมจัดเตียงขนาดเตียงคู่นี้สำหรับผู้ใหญ่นอน 1 คน หรือ
ใช้เป็นห้องเดี่ยวสำหรับผู้ต้องการความสบาย
Twin เตียงเดี่ยวขนาดนอนคนเดียว มีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของเตียงใหญ่
สุด(king) และเป็นชนิดเตียงที่ปกติจะจัดบริการให้ในห้องพักแบบมาตรฐาน
โดยตั้งวางเป็นคู่ จึงอาจเรียกว่าเตียงแฝด
Single เตียงเดี่ยวขนาดนอนได้ 1 คน อาจหมายถึงลักษณะ ห้องเดี่ยว ที่
เสนอให้สำหรับพักคนเดียว ซึ่งโรงแรมอาจจัดเตียงไว้ให้ในห้องเป็นเตียงเดี่ยว
หรือเตียงขนาดอื่น 1 เตียง
Baby cot/Crib เตียงเด็ก
Extra bed เตียงเสริม นิยมใช้เตียงแบบ roll– away bed คือ เตียงขนาด
เตียงเดี่ยวที่สามารถพับเก็บและมีล้อเลื่ อนใช้เคลื่ อนย้ายได้
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 3
การจัดการธุรกิจโรงแรม
2. อัตราราคาห้องพัก (Roomrate)
สามารถจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้
Rack rate หมายถึงอัตราค่าห้องพักราคาปกติ(ราคาเต็มหรือ full rate) ที่
โรงแรมกำหนดขึ้นและพิมพ์เผยแพร่ในขณะนั้นหรือในแต่ละปีสำหรับห้องพัก
ประเภทต่าง ๆ ราคาปกตินี้จะยังไม่รวมค่าบริการ(service charge) และค่า
ภาษี(VAT–Value Added Tax)
Group rate คืออัตราค่าห้องพักสำหรับการเข้าพักเป็นหมู่คณะหรือการจอง
ห้องพักปริมาณมาก โรงแรมจะเสนอราคาลดจากราคาปกติแก่ผู้ซื้อที่ตกลงว่า
จะมีการใช้บริการ (จองและเข้าพักโรงแรมอย่าสม่ำเสมอหรือในปริมาณมาก) ผู้
ซื้ออาจเป็นหน่วยงานที่มาจัดกิจกรรม จัดประชุมในโรงแรม หรือเป็นผู้จัดนำ
เที่ยวที่ตกลงจะนำนักท่องเที่ยวมาพัก หรือองค์กรที่ตกลงว่าจะจอง (และมีผู้เข้า
พัก) อย่างน้อยจำนวนหนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนด อัตราราคาพิเศษที่โรงแรมให้ผู้
ซื้อแต่ละรายอาจไม่เท่ากัน(มีตั้งแต่ 30–50% จากราคาเต็ม ขึ้นอยู่กับความ
สามารถในการสร้างรายได้ให้แก่โรงแรม)
การเสนอราคาสำหรับหมู่คณะในอัตราลดเป็นวิธีหนึ่งที่โรงแรมนิยมใช้เพื่อ
เพิ่มอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ย(occupancy rate) หรือเพื่อรักษาปริมาณการ
เข้าพักให้มีระดับสม่ำเสมอตลอดปี อย่างไรก็ตาม ในบางโรงแรมที่ปกติจะมี
อัตราการเข้าพักสูงสม่ำเสมออยู่แล้ว การเสนออัตราสำหรับหมู่คณะอาจไม่ให้
ส่วนลด แต่เป็นเพียงให้การประกันการสำรองห้องพักจำนวนหนึ่งไว้ว่ามีให้
แน่นอนล่วงหน้า
Special/Promotion rate เป็นอัตราราคาพิเศษที่ลดจากราคาปกติ ซึ่ง
โรงแรมเสนอให้แก่ผู้พักที่มาพักซ้ำ(repeatclients) โดยอาจแบ่งเป็นกลุ่ม
ต่างๆ ได้แก่
* corporate rate / business rate เป็นอัตราราคาที่โรงแรมประเภท
ธุรกิจเสนอเพื่อจูงใจให้ผู้พักเป้าหมายคือ กลุ่มพนักงานบริษัทมาพักโรงแรมใน
นามของบริษัท ซึ่งจะได้รับในอัตราที่มีส่วนลด บริษัทที่ต้องการส่วนลดนี้อาจ
ต้องทำการตกลงกับโรงแรม โดยรับประกันว่าภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีการ
จองและใช้บริการห้องพักจำนวนหนึ่ง ในขณะที่บางโรงแรมอาจเสนออัตราราคา
นี้ให้สำหรับนักธุรกิจทั่วไปที่เดินทางมาพัก
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 4
การจัดการธุรกิจโรงแรม
* government rate เป็นอัตราราคาลดที่โรงแรมเสนอให้แก่กลุ่ม
ข้าราชการตามข้อตกลงที่ทำเป็นสัญญาระหว่างโรงแรมและหน่วยราชการ หรือ
ตามนโยบายโรงแรมที่ต้องการสร้างแรงจูงใจให้มาใช้บริการ
* agent rate เป็นอัตราราคาลดสำหรับการจองจากบริษัทตัวแทนทางการ
ท่องเที่ยว และอาจรวมถึงพนักงานบริษัทสายการบิน ปกติจะมีการทำสัญญา
ข้อตกลงหรือเงื่ อนไขของการได้รับอัตราราคาพิเศษ
* day rate(หรือday use) เป็นอัตราราคาพิเศษสำหรับผู้พักหรือใช้บริการ
ห้องพักระหว่างวันโดยไม่พักค้างคืน โดยมากจะคิดครึ่งราคาจากราคาเต็ม
สำหรับการใช้ห้องช่วงกลางวัน เช่น ระหว่าง 10.00– 16.00 น. หรือออกก่อน
17.00 น. หรือตามแต่โรงแรมกำหนด
ในบางครั้งการเสนอให้ราคาพิเศษนี้อาจเสนอไปพร้อมกับกิจกรรมส่งเสริม
การขาย (promotion) เพื่อกระตุ้นให้มีผู้เข้าพักหรือใช้บริการในช่วงนอก
ฤดูกาล
Package rate อัตราราคาเหมาจ่ายสำหรับค่าห้องพักรวมกับบริการอื่นๆ
เช่น อาหาร(บางมื้อหรือทุกมื้อ) ค่าเดินทาง บริการนำเที่ยว บัตรเข้าชมงานกีฬา
หรือการแสดงที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ ที่โรงแรมนิยมจัดและเสนอให้ใน
ราคาแบบอัตราเหมาจ่ายได้แก่ ราคาพิเศษที่เสนอให้สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์
(สำหรับโรงแรมในเมือง) และให้ในช่วงวันธรรมดา(สำหรับโรงแรมตาก
อากาศ) รายการที่เสนอให้สำหรับคู่วิวาห์ รายการที่เสนอพร้อมกิจกรรมเพื่อ
สุขภาพและการเล่นกีฬา หรือในโอกาสฉลองเทศกาลสำคัญ เป็นต้น ราคาเหมา
จ่ายนี้โดยทั่วไปจะต้องต่ำหว่ายอดรวมราคา(ปลีก)ของแต่ละบริการในอัตราปกติ
จึงจะสามารถดึงดูดใจตลาดผู้บริโภค และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้เพื่อส่งเสริมการ
ขายโดยมุ่งแนะนำผู้บริโภครายใหม่ๆ ให้มาลองใช้บริการ
นอกจากนั้น โรงแรมยังอาจมีนโยบายเสนออัตราค่าบริการแบบอื่นๆ ได้ เช่น
การกำหนดแผนการคิดค่าบริการสำหรับการจองเข้าพักแบบครอบครัว หรือ
family plan(หรือfamilyrate) โดยผู้พักจะได้แก่ พ่อ แม่ และลูก (1- 2คน)
พักในห้องเดียวกัน จะไม่คิดค่าบริการสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่ากำหนด (เช่น ต่ำ
กว่า 12 ปี) และเก็บค่าบริการเฉพาะผู้ใหญ่ แต่หากขอเตียงเสริมก็จะคิดเพิ่ม
เฉพาะค่าเตียงเสริม(extra bed) และถ้าจองห้อง 2 ห้องจะนิยมคิดราคาต่อ
ห้องในอัตราเดียวกับห้องเดี่ยว (single)Run–of–the–house–rate เป็น
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 5
การจัดการธุรกิจโรงแรม
อัตราราคานิยมใช้กับกลุ่มผู้พักเป็นหมู่คณะ หรือกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยขณะที่
โรงแรมได้รับการจอง จะยังไม่มีการกำหนดห้องพักที่แน่นอน จนกว่าจะถึงเวลา
ที่นักท่องเที่ยวมาถึงและลงทะเบียนเข้าพัก ในโรงแรมรีสอร์ทหลายแห่งจะเสนอ
อัตราราคาต่ำแบบเหมาจ่าย(package) โดยไม่ระบุประเภทห้องพัก แต่ขึ้นอยู่
กับสภาพกิจการขณะที่ผู้พักมาถึงว่ามีห้องประเภทใดพร้อมเปิดให้บริการได้
3. แผนการเสนอมื้ออาหารรวมในอัตราค่าห้องพัก (Meal Plans)
ในแบบแผนสากลนิยม กำหนดแผนการบริการมื้ออาหารในโรงแรมซึ่งจำแนก
แผนต่างๆ ได้ดังนี้
EP(EuropeanPlan) เป็นแผนการคิดอัตราค่าบริการที่ไม่รวมมื้ออาหารอยู่
ด้วย แผนการให้บริการเฉพาะห้องพักนี้ได้รับความนิยมมากในยุโรปช่วง
ศตวรรษที่ 19 แต่ปัจจุบันเป็นที่นิยมทั่วไป การเลือกแผนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่พัก
หลายคืนและต้องการเปลี่ยนบรรยากาศออกไปรับประทานอาหารนอกโรงแรม
(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่มีต่อสภาพแวดล้อมแหล่งที่ตั้งโรงแรมด้วยว่ามี
ความปลอดภัยเพียงใด และยังขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจทำให้ผู้พักเลือกที่
จะใช้บริการภายในโรงแรมมากกว่า)
AP(American Plan) เป็นแผนการให้บริการห้องพักรวมอาหาร 3 มื้อ และ
เสนอราคาเป็นอัตราเดียว บางแห่งให้ผู้พักสามารถเลือกสั่งอาหารได้ตามชอบ
ในแต่ละมื้อ ในขณะที่บางแห่งจะกำหนดให้เป็นอาหารชุดที่จัดไว้ให้ทุกมื้อ หรือให้
เลือกได้บ้างจากรายการที่กำหนดไว้ต่างหาก โรงแรมตากอากาศในอเมริกาสมัย
ก่อนนิยมเสนอแผนนี้เพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้พัก หากปัจจุบันได้ลดความ
นิยมลงมากยกเว้นเฉพาะโรงแรมที่ตั้งในทำเลที่ห่างไกล ไม่มีร้านค้าบริการ
อาหารภายนอกให้เลือก หรือมีแต่จำกัดมาก แผนจัดบริการลักษณะเดียวกันนี้
บางครั้งจะเรียก Full American Plan หรือ FAP และในยุโรปนิยมเรียก
full board หรือ en pension
MAP(Modified American Plan) เป็นแผนการคิดค่าบริการห้องพัก
รวมอาหาร 2 มื้อหลัก โดยมากนิยมเสนอให้บริการมื้อเช้าและค่ำ สำหรับผู้พักใน
โรงแรมตากอากาศ โรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งอาจไม่ต้องการรับประทาน
อาหารมื้อกลางวันในโรงแรม เนื่องจากไม่สะดวกเพราะเป็นนักท่องเที่ยวที่มี
แผนไปเที่ยวชมนอกสถานที่ในช่วงทั้งวัน และบ้างอาจรับประทานอาหารเช้าใน
เวลาที่สายมาก แผนจัดให้บริการห้องพักรวมอาหาร 2 มื้อหลักนี้อาจเรียกเป็น
half board หรือ demi– pension ในยุโรป
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 6
การจัดการธุรกิจโรงแรม
CP(ContinentalPlan/ContinentalBreakfastPlan) เป็นแผนที่
คิดอัตราค่าบริการห้องพักรวมอาหารเช้าแบบเบาๆ(light) หรือแบบคอนติ
แนนตัล คือมีเพียงน้ำผลไม้ ขนมปังแบบต่างๆ เนย แยม ผลไม้(อาจมีหรือไม่
ก็ได้) และชา/กาแฟ (ไม่มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์) เหมาะสำหรับกลุ่มนักธุรกิจ
หรือแขกผู้พักที่ต้องการเพียงอาหารปริมาณน้อยในมื้อเช้า
แ น ว โ น้ ม ทิ ศ ท า ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข อ ง ธุ ร กิ จ โ ร ง แ ร ม | 1 9 7