45
ตารางท่ี 1 ประเภทของการวจิ ยั (ตอ่ ) ตวั อยา่ งคำ� ถามวจิ ยั
ประเภทของการวจิ ยั เปา้ หมายของการวจิ ยั สถานการณข์ องครู
4. การวจิ ยั เชงิ สาเหตุ มุ่งคน้ หาสาเหต/ุ ปจั จยั ครูต้องการค้นหาสาเหตุ/ 1) ปจั จยั ใดบา้ งที่สง่ ผล
(Causal Research) สำ� คญั ทีส่ ง่ ผลตอ่ ตัวแปร ปจั จัยที่สง่ ผลตอ่ การ ตอ่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการ
ตา่ งๆของผูเ้ รยี น เรยี นรูข้ องผู้เรยี น เรยี นวิชาคณิตศาสตร์
ทง้ั ผลทางตรง ทางออ้ ม ของนกั เรียน
ซึ่งสามารถบอกไดว้ า่ 2) พฤติกรรมการสอน
ตัวแปรใดท่สี ำ� คญั ทส่ี ดุ ของครสู ง่ ผลต่อผล
สมั ฤทธนิ์ กั เรยี นมากน้อย
เพียงใด
5. การวิจัยเชงิ ทดลอง มงุ่ ตรวจสอบผลลพั ธ์ของ ครูต้องการพสิ ูจน์รูป 1) นักเรยี นที่เรยี นตามรูป
(Experimental ตัวแปรตามต่างๆของผู้ แบบ/วิธีการ/สอ่ื การ แบบการสอน 5E มีผล
Research) เรียนที่ไดร้ บั ผลมาจาก สอน/นวตั กรรมการเรียน สัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง
ตัวแปรตน้ รู้ใหม่ๆ วา่ ใชไ้ ดผ้ ลกบั กวา่ นักเรียนทีเ่ รยี นตาม
ผู้เรยี นอย่างไร คู่มือครหู รือไม่
2) นักเรยี นทเ่ี รียนผ่าน
กจิ กรรมโครงงานก่อน
เรียนและหลังเรียนมี
ทักษะการท�ำงานแตกตา่ ง
กันหรือไม่
6. การวจิ ัยและพฒั นา มงุ่ พฒั นานวตั กรรมการ ครตู อ้ งการสรา้ งสอื่ /รปู 1) สื่อ/รปู แบบการสอน/
(Research and เรยี นทช่ี ว่ ยใหก้ ารเรยี นรู้ แบบการสอน/นวตั กรรม นวตั กรรม มปี ระสิทธิภาพ
Development) ของผเู้ รยี นดยี ง่ิ ขน้ึ ทชี่ ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรไู้ ด้ และประสทิ ธภิ าพระดบั ใด
ดยี ง่ิ ขนึ้ ชว่ ยใหก้ ารสอนมี (E1/E2)
ประสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขนึ้ 2) สื่อ/รปู แบบการสอน/
นวตั กรรม ช่วยพัฒนาการ
เรียนรขู้ องผเู้ รยี นใหด้ ีขนึ้
มากนอ้ ยเพยี งใด
7. การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการ มงุ่ แกไ้ ข พฒั นาตวั แปร ในแต่ละภาคเรยี นทคี่ รู 1) การแก้ไขปญั หา
(Action Research) ต่างๆ ของผ้เู รียน โดยน�ำ พบปัญหาของผ้เู รียน นักเรยี นทมี่ ีพฤติกรรมไม่
ผลการวิจัยทไ่ี ดม้ าใช้กบั ผู้ ทต่ี นสอน ครูต้องการ สนใจเรยี นโดยใชว้ ิธกี าร
เรยี นทว่ี ิจยั ทันทว่ งที แกไ้ ขปัญหานัน้ ดว้ ย ปรบั พฤติกรรมไดผ้ ล
กระบวนการวจิ ัย อย่างไร
โดยทำ� อยา่ งต่อเนอื่ ง 2) นักเรียนมีพฒั นาการ
เปน็ ข้ันตอน เพือ่ ขจัด ด้านการเขียนอย่างไร
ปญั หาของเด็กเหล่านน้ั เมื่อครใู ช้วธิ ีการพัฒนา
ให้หมดไป ความสามารถด้านการ
เขียนเชิงสรรค์
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
46
ครูผู้สอนสามารถเลือกท�ำวิจัยได้ในทุกประเภทตามความสงสัย
ใคร่รู้ในสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในช้ันเรียน เพราะความรู้ที่ผ่าน
กระบวนการวิจัยของแต่ละรูปแบบล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
ผเู้ รยี นและการจดั การเรยี นรไู้ มม่ ากกน็ อ้ ย ถา้ หากเลอื กประเภทของการวจิ ยั
ที่จะท�ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนแล้วนั้น ครูควรเลือกท�ำ “การวิจัย
เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร” หรอื ทเ่ี รยี กวา่ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารในชน้ั เรยี น (Classroom
Action Research-CAR) เพราะเปน็ การวจิ ยั ทมี่ งุ่ ปรบั ปรงุ แกไ้ ข พฒั นาผเู้ รยี น
โดยตรง
ที่มาภาพ : สถาบนั วจิ ัยและพฒั นาวิชาชพี ครู ส�ำหรับอาเซยี น มหาวิทยาลัยขอนแก่น
47
การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร
ขั้นตอนของวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีลักษณะ
เป็นขนั้ ตอน เป็นระบบ และตอ่ เนือ่ ง ซง่ึ มีนักวชิ าการหลายท่านไดน้ ำ� เสนอ
แนวคิดดงั ตอ่ ไปน้ี
Kemmis & Mctaggart (1990 อา้ งถงึ ใน ยาใจ พงษบ์ รบิ รณู ,์ 2537)
น�ำเสนอขั้นตอน ดังแผนภาพท่ี 1 12
Plan Revised Cycle 3
Plan
Reflect Act Reflect Act
Observe Observe
Cycle1 Cycle2
แผนภาพท่ี 1 กรแะผบนวนภกาารพวจิทยั ี่เช5ิงปกฏริบะตั บิกาวรนในกชา้นั รเวรียจิ นยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร
ข้นั ท่ี 1 ข้ันวางแผน (Plan) เร่ิมตน้ ด้วยการสารวจปัญหาท่ีตอ้ งการให้มีการแก้ไข โดยมีการปรึกษา
ชร่วดั มเจกนในัหขร้ึน้มะหขีก้วนั าา่ทรง่ีผแข2ูเ้ กกขนั้่ีย้้ไนัวทขปขี่อ้ฏ1งโบิ ดกัตขาิยน(ั้รAมใวcชีกtาแ้)านงเปรแว็นคปผิดกรนวาึกรเิ คด(ษราPาเานะlaริหน่ว์nกสา่ิมง)รทกตเี่เกราันมี่ยมิ่ แรวตผขะนน้อ้ หงทดกวี่วว้บัา่างยปงไักญผว้าหู้เกราสี่ยทำ�าวใรขหว้้มอจองปงเญัหก็นาหสราภใทาชพต่ี ้แขอ้ อนงงวปกคัญาิดหรา
วิเครขา้นั ะทห่ี 3ส์ ขง่ิ ้ันทสีเ่ ักงเ่ยีกตวกขาอ้ รงณก์ (บัObปsญัervหe)าเปท็ นำ� กใาหรใม้ ชอ้เทงคเหนิคน็ วสิธภีต่าางพๆขทอ่ีเงหปมญัาะหสมามชาัดชเ่วจยนใขนน้ึการ
เรกวิดบขร้ึนวมเขพอ้ื่อขมใ้นั ูลหทไ้ใี่ ดนขข4ข้ขขน้ั้นัอ้ณ้ันมททะูสลที่ี่ทะี่ด23ท่ีจาะ้อเนขนนขินาั้นผไั้นกลปปิจกสสกฏางัู่กรรบิรเาปรกมฏตัปตติบราิ มกัับต(Aทิปา(่ีRวรcรุางeณtงแfไl)ลeว์cะ้tว(เ)Oาปเงปแน็็bนผกกsนาาeกรราrปรดvรปeะ�ำฏเเ)มิบนินตั เนิิตตปอ่รกน็วไาปจกรสาตอรบาใกมชรแะเ้ ทผบวนคนนทกิคีว่าราวแงิธกไีตป้ วัญา่ ้ งหๆาท่ี
ท่ีเหมาะสมมาช่วยในการรวบรวมข้อมูล ในขณะที่ด�ำเนินกิจกรรมตาม
คชุ้ณันภเรทตาียพนร่ีวงวาาโนจนPงดDไงสยพวลCนอบกั้ Aาษวบขเอา่เณปก้ัมนา็์นีคขวรท้วริวันะัาชงี่ ตมบจช4อสรยัวพนอ(นฒดขั2ข5คอกนั้น4ลงาา5อ้กคส)รงุาณพะกแริมภนทัวกพาิจดพ้อ้ปนยัังั งนปนธัญา้ี์ฏนเผดหิบเชลปัาตะ็นกิกทควุปาา่ีเงรตกรจ์(รปิ(ดA2พc5ขฏฒัt4i้ึนoิ5บนn)าัตไพRเดิพ้eืนก้s(ฐe่ือลRaา่าrนใวceหหถhf)ึงล้ไlขดกัไe้นัขป้ขcตอเ้ออปtงน)กรมีาขยูลรเบอพปทงเฒทัก็น่ีจาียนระกบาวคนกาจิ ุณยับัร�ำปภวปไฏางปพริบจสทะรตั ้พงัิูก่กเรมาฒั าะรินบนรในบา
(Totaปl QรuบัaliปtyรMุงaแnaลgeะmวeาntง:แTผQMน)กผาูท้ รี่คปิดฏค้นบิ กัตริตะบอ่ วไนปการหรือวงจรพฒั นาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart
นกั วิทยาศาสตร์ชาวอเมริกนั แต่ Deming ไดเ้ ผยแพร่ท่ีประเทศญี่ป่ ุนจนประสบผลสาเร็จ จนผลกั ดนั ให้ญี่ป่ ุน
(เปD็ นemปiรnะg)เทวศงจมรหPาDอาCนAาปจโรละกกอคบนดทว้ ยว่ั ไปขจ้นั ึงตรูอ้จนกั ดวงงั ตจรอ่ ไPปDนC้ี Aกรจะาบกวกนกาารกรเาสผรรวย้าิจแงัยคพชวรั้นา่มขเรรอียู้เพนง่ือD(ใCชe้พlmaัฒsinsนrgoากoจาmึงรเเรรRีียยeนกsกวeา่aารวrสcงอhจน):ร
13
48 2. การปฏิบัติ (Do-D) เป็ นข้นั ตอนการลงมือปฏิบตั ิตามแผนที่วางไว้ การวิจยั เพ่ือพฒั นาการเรียน
การสอนตามแผนการวจิ ยั คือ การลงมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพื่อตอบปัญหาการวจิ ยั ในแผน
3. 4ต.ร วจกสาอรบป(รCับhปecรkงุ-Cแ)กเป้ไ็ขนข(้นั Aตcอtน-ขAอ)งกเปารน็ ปขร้ันะเขมินอกงการาทรานงา�ำนขวอ้ า่ เบป็กนพไปรตอ่ างมมทาี่วางไวห้ รือไม่
ตมกขหรอาี้เรรปเวเกรวืบอืร่พอสจา็ตผรกื่อสงงอื่อทูพะ้้ออยแอนพาสรงะบๆผจง่อตัฒ4บไึนางนง.นรเเร้ีจคแปนกปกวะล็ปกนวาาน็็ไตจว้าฏารกกดอ้ลรกสิปมบาส้งปงาราอ่ิตตมัสฏงรรทรทบริือไั�เำบบิพาวรี่สดแเไเปตัจัฒนียกราต้ปรสเกิไ็้จนรื้าอเุงนรอข็าจมหแ่ืหกอบาตรแซกยราใาาแเ้่ผึไนงหมือรๆเขกใน้ืพอแสอ้ดนไ้ไหผ(่ือขอมขAีขามนา้นีขัจเแน่cน้ึมเรพtแนอ้ีพกืก่-จเอ่ืลอA้รีอาบ้งไึงบะแรือ่)าขอเกสหกจวเปยะปพ่ิพไง้ย่า็ๆไแ็นทนขุดบรรลี่เวขกอว่ปแมเทิจ้นปั้า่ว็ลางนีี่ขไยปั ไขแวร้น็ขมไ้อรปไอทลปอ้ก่สะปบงแบว้เส�ำาารกแกลกกไมบ่ืรอากปพงพ้ไพาครยไ้ มขรรนเวขรๆัฒ่รอถาออืาอ่อมื่งอปเขนแีีกกปทงสอ้ยฏ็ตกาตนี่ตอาบิๆ่บออไ้เอก้่อีกรกขไตัยงา็จไปพแรไิไา่หปซผพกมรดงงรง่ึ่ไอู้ฒ้ัวา่ืยม้ตอใขงนงิจนาอนงั่ีกามขมยาัยาขานาจอใหืนหวนั้รพหงขราหกนรบ้ดืงออาือแียขวอ้ีปงร้า่ผึนผุดากวฏนมเจิจู้ทวาริบีขยกัพื่ิอจร�ำตัเอ้าพยวัยบงริแบื่อิจาๆปไวลกพปนัยา่ฏว้พเปฒัไิบร็นม่นอตั ่ไกงาิกดอาการผ้ีการพรลแผเฒักรวกู้ ีย้ไนจิานขยรัา
อยา่ งยงั่ ยนื ดงั นนั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ วงจร PDCA กเ็ ปน็ กระบวนการพฒั นางานวจิ ยั
เพอ่ื พฒัดงั นนา้นั กอาจรกเรลยี่าวนไกดาว้ า่รวสงอจรนPหDรCอื Aกากรเ็ ปพ็นฒั กรนะาบกวานรกเารรยี พนฒั กนารงาสนอวนิจยัทเพเี่ ร่ือมิ่ พทฒั ลีนะากขานั้ รเรียนการสอน
หรPือ-กDาร-Cพ-ฒั Aนาแกลาระเรเคียนลก่อื านรสหอมนุนทไ่ีเปร่ิมเรทอ่ื ีลยะขๆ้นั โPด-ยDใ-นC-แAตแล่ ละะขเคน้ั ลห่ือนรอืหแมุนตไล่ ปะเตร่ือวั ยขๆองโวดงยจในรแต่ละข้นั หรือ
แตกล่ จ็ะตะวัตข้อองงวมงีวจงรจกรจ็ ขะอตอ้งงมPีวDงCจรAขอดงว้ PยDCดAงั แดผว้ ยนดภงั าแพผนทภี่ 2าพที่ 1
P
วางแผนการสอน
ปรับปรุง สอน
ตรวจ [C] [A] วางแผน A วางแผนการสอน D วางแผน [D]
[P] ทดลองแกไ้ ข [P] ปฏบิ ัติการสอน [P] [C] ตรวจ
สอบ [D] ทดลอง
แก้ไข แกไ้ ขแผน [A] [D] เขยี นแผน ปฏบิ ัติ [A] สอบ
การสอน [C] การสอน การสอน แกไ้ ขการสอน
ปฏิบตั ิทดลองแก้ไข
ตรวจสอบแผนการสอน
C
ตรวจสอบ
วางแผนสารวจนกั เรียน
[P]
แก้ไข [A] [D] ปฏบิ ัติการสารวจ
[C]
ตรวจสอบการสารวจ
แผนภาพทแ่ี 1(ผพวนิมงพภจนรัากธพา์ เรทดวช่ีจิ 6ะยั คเพุปวอื่ตไงพป,์จ2ฒักร5นบัก4(า5พากก)รมิ าาพวรรนัจิเจรธยัีดัย์ เเนกดพชกาอื่ะารครพเปสุรฒัตอยี ,์นนน2ค5กาว4กา5บรา)คสรู่ไเอปรนยีกบันกกาารรจสดั กอานรคเรวียนบกคาู่ รสอน
49
นงลักษณ์ วิรชั ชยั (2545) พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2545) ได้กล่าวถงึ
ขั้นตอนของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยน�ำเอาขั้นตอนของการวิจัย
ปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) ไปเปรยี บเทยี บกบั วงจรพฒั นาคณุ ภาพงาน
พบว่ามีความสอดคล้องกันดังนี้
PDCA เป็นวงจรพัฒนาคุณภาพงาน เป็นวงจรพัฒนาพื้นฐานหลัก
ของการพัฒนาคณุ ภาพทงั้ ระบบ (Total Quality Management : TQM)
ผู้ที่คิดค้นกระบวนการหรือวงจรพัฒนาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน แต่ Deming ได้เผยแพร่ท่ีประเทศญ่ีปุ่น
จนประสบผลสำ� เรจ็ จนผลกั ดนั ใหญ้ ปี่ นุ่ เปน็ ประเทศมหาอำ� นาจโลก คนทวั่ ไป
จงึ รจู้ กั วงจร PDCA จากการเผยแพรข่ อง Deming จงึ เรยี กวา่ วงจร (Deming)
วงจร PDCA ประกอบด้วยขัน้ ตอนดงั ต่อไปนี้
1. วางแผน (Plan-P) คือ การทำ� งานใดๆ ตอ้ งมขี ัน้ การวางแผน
เพราะท�ำให้มีความมั่นใจวา่ ท�ำงานได้ส�ำเร็จ เชน่ วางแผนการสอน วางแผน
การวจิ ยั หวั ขอ้ ทใี่ ชใ้ นการวางแผนคือ วางแผนในหัวข้อต่อไปน้ี 1) ท�ำท�ำไม
2) ท�ำอะไร 3) ใครท�ำ ท�ำกับกลุ่มเป้าหมายใด 4) ท�ำเวลาใด 5) ท�ำทีไ่ หน
6) ทำ� อยา่ งไร 7) ใชง้ บประมาณเทา่ ไร การวางแผนในชนั้ เรยี นเปน็ การวางแผน
ตามค�ำถามตอ่ ไปน้ี Why, What และ How
2. การปฏบิ ตั ิ (Do-D) เปน็ ขนั้ ตอนการลงมอื ปฏบิ ตั ติ ามแผนทวี่ างไว้
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนตามแผนการวิจัย คือ การลงมือเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ตอบปญั หาการวจิ ยั ในแผน
3. ตรวจสอบ (Check-C) เปน็ ขน้ั ตอนของการประเมนิ การทำ� งาน
ว่าเปน็ ไปตามที่วางไว้หรือไม่ มีเร่ืองอะไร ปฏิบัติได้ตามแผน มีเร่ืองอะไร
ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามหรือปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล การตรวจสอบน้ีจะได้
ส่งิ ที่สำ� เรจ็ ตามแผน และส่ิงท่ีเปน็ ขอ้ บกพรอ่ งทต่ี อ้ งแกไ้ ข
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
50
การวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental Research)
หลกั การออกแบบการทดลอง
หลกั การสำ� คญั ที่FredN.Kerlingerไดแ้ นะนำ� ไวค้ อื หลกั Max-Min-Con
เป็นหลักท่ีนักวิจัยจะต้องค�ำนึงถึงทุกคร้ังท่ีต้องท�ำวิจัย เพ่ือให้ผลการวิจัย
มีความแม่นย�ำและเช่ือถือได้มากย่ิงขึ้น รวมท้ังความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
และจรรยาบรรณในการวจิ ยั ดงั นี้
1. การก�ำหนดนวัตกรรมหรือวิธีการที่จะน�ำมาทดลองใช้มีความ
เดน่ ชดั มที ฤษฎรี องรบั เพอื่ ใหม้ คี วามมน่ั ใจวา่ สามารถนำ� มาใชแ้ กป้ ญั หาหรอื
พฒั นาการเรยี นการสอนไดจ้ รงิ หรือสามารถบอกได้อย่างชัดเจนวา่ แตกตา่ ง
จากวิธีการเดิม
2. คุณครูจะต้องพยายามลดความคลาดเคล่ือนของการวิจัยให้
เหลอื นอ้ ยทส่ี ดุ โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั ทม่ี คี วามตรง (Validity) กลา่ วคอื ผลการวดั
วัดได้ตรงกับสิ่งท่ีต้องการมุ่งวัด มีความเท่ียง (Reliability) กล่าวคือ
ผลการวัดมีความคงเส้นคงวาหรือสามารถวัดได้ในสิ่งเดียวกันไม่ว่าจะวัด
ก่คี รั้งก็ตาม
3. คุณครูจะต้องควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีอาจส่งผลต่อการวิจัย
ใหเ้ กิดขน้ึ นอ้ ยทีส่ ดุ ตวั อย่างของตัวแปรแทรกซอ้ น เชน่ สภาพของนกั เรียน
ที่มีความแตกต่างกันในทางสติปัญญา การเรียนพิเศษของนักเรียนบางคน
อาจส่งผลกระทบต่อผลการวิจัยได้ กรณีนี้คุณครูควรคัดนักเรียนเหล่าน้ัน
ออกไปโดยไม่นำ� ผลคะแนนการสอบมาวเิ คราะห์ผล
4. คุณครูควรค�ำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติจริง เช่น
การก�ำหนดนักเรียนที่จะใช้เป็นกลุ่มทดลอง ไม่ควรมีการจัดช้ันเรียนใหม่
เพ่ือท�ำการทดลองเพราะอาจจะท�ำให้เกิดความวุ่นวายในการจัดการหรือ
อาจท�ำใหน้ กั เรียนรู้ตวั วา่ ก�ำลังถกู ทดลองซง่ึ อาจจะสง่ ผลต่อการวิจยั ได้
51
5. ไมค่ วรใหน้ กั เรยี นบางสว่ นเสยี เปรยี บหรอื เสยี โอกาสในการเรยี นรู้
จากการวิจยั ของคุณครู เชน่ ให้นักเรียนกล่มุ หน่งึ ได้เรยี นโดยใช้ส่อื การสอน
แบบใหม่ ในขณะทอี่ กี กลุ่มไม่ได้เรียน
แบบแผนการทดลอง
การวิจัยเชิงทดลองมีลักษณะที่ส�ำคัญได้แก่ มีการจัดกลุ่มควบคุม
(Control Group) และการสุ่ม (Randomization) การวิจัยเชิงทดลอง
มีรูปแบบการวิจัยที่หลากหลายซึ่งอาจแบ่งแยกย่อยได้อีกเป็นการวิจัย
เชิงทดลองเบื้องต้น การวิจัยก่ึงทดลอง และการวิจัยเชิงทดลองท่ีแท้จริง
ในที่นจ้ี ะนำ� เสนอ 4 รปู แบบ ทีค่ ณุ ครสู ามารถนำ� มาใชใ้ นการวิจัยปฏบิ ัติการ
ในชั้นเรียนได้จริง คุณครูสามารถท�ำได้พร้อมกับกิจกรรมการเรียนการสอน
ตามปกติ โดยไม่ท�ำให้กิจกรรมการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากเดิม และ
ทสี่ ำ� คัญไมเ่ พิ่มภาระใหก้ ับครผู ้สู อน ดังน้ี
แบบแผนท่ี 1 กลมุ่ ทดลองกลมุ่ เดยี ว วดั ผลเฉพาะหลงั การทดลอง
แบบนจ้ี ะเปน็ แบบทดลองใชน้ วตั กรรมในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
แลว้ ประเมนิ หลงั เรยี น แลว้ นำ� ผลไปเทยี บกบั เกณฑท์ วี่ างไว้ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั สามารถ
กำ� หนดเกณฑเ์ องได้ แบบนเ้ี หมาะสำ� หรบั การวจิ ยั ทม่ี นี กั เรยี นเพยี งกลมุ่ เดยี ว
และเนอ้ื หาทใี่ ชเ้ ปน็ จดุ พฒั นาหรอื แกป้ ญั หา เปน็ เรอ่ื งใหมส่ ำ� หรบั นกั เรยี นจงึ
ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งประเมนิ กอ่ นการเรยี นรู้ รปู แบบนสี้ ามารถสรปุ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
52
คณุ ลกั ษณะ คำ� อธบิ าย
แบบแผน ใช้กลุ่มตัวอยา่ งกลุ่มเดียวและมีการวัดผลการทดลอง 1 ครง้ั
แผนแบบวจิ ยั X O1
X การทดลองใชน้ วตั กรรมหรอื วธิ ีการ
กOา1รวเิ คราะหผ์ ล การวัดผลหลังการทดลองใช้นวัตกรรมหรือวธิ กี าร
ใชว้ ธิ ีการบรรยายขอ้ มูลจากการวดั ผลหลงั การทดลองเท่าน้นั
โดยควรกำ� หนดเกณฑ์ไวก้ ่อนลว่ งหนา้ เชน่ ถ้านวตั กรรมหรือวิธี
การของตนมีคณุ ภาพนกั เรยี นจะตอ้ งไดค้ ะแนนผลสัมฤทธิ์ไม่ตำ�่
กวา่ รอ้ ยละ 70 หรืออาจกำ� หนดเปน็ สัดส่วนของจำ� นวนนักเรียน
ทส่ี อบผา่ นเกณฑส์ งู กวา่ ร้อยละ 80 เปน็ ตน้
จดุ เดน่ งา่ ย ไม่ซับซ้อน มกี ารวดั หลงั การทดลองเพยี งคร้งั เดยี วและ
ใช้กลมุ่ ทดลองเพียงกลุ่มเดียว
จดุ ดอ้ ย 1. ไมม่ เี กณฑ์เปรยี บเทยี บว่า ก่อนใชน้ ักเรียนมีพ้นื ความรู้อยู่ใน
ระดบั ใด เนื่องจากวดั ผลเฉพาะหลังเพียงครงั้ เดยี ว
2. ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ท�ำใหไ้ มแ่ น่ใจวา่ หลังใชน้ วัตกรรมแลว้
นักเรียนจะมคี ะแนนสงู กวา่ กลุม่ ที่เรยี นโดยวิธีเดมิ หรือไม่
แบบแผนท่ี 2 กลุ่มทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการ
ทดลอง
แบบนี้จะเป็นแบบประเมินผลก่อนแล้วจึงทดลองใช้นวัตกรรมการ
สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และประเมินผลหลังเรียนอีกคร้ัง โดยใช้
เครอ่ื งมอื ในการประเมนิ ชดุ เดมิ แลว้ ทำ� การเปรยี บเทยี บคะแนนการประเมนิ
ผลก่อนและหลังการทดลองใช้นวัตกรรม แบบนี้จะมีความเหมาะสมกับ
การวจิ ัยทใ่ี ชเ้ น้อื หาการเรียนรู้ที่นกั เรียนอาจเรยี นรู้มาแล้ว และจะเหมาะสม
อยา่ งย่งิ ในวิจยั การสอนซอ่ มเสรมิ รปู แบบนสี้ ามารถสรปุ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
53
คณุ ลักษณะ คำ� อธิบาย
แบบแผน ใชก้ ลุม่ ตวั อยา่ งกลุม่ เดียวและมกี ารวัดผลการทดลอง 2 คร้งั
แผนแบบวจิ ยั คือ กอ่ นและหลงั การทดลอง
X O1 X O2
O1 การทดลองใชน้ วตั กรรมหรอื วธิ กี าร
O2 การวดั ผลกอ่ นการทดลองใช้นวัตกรรมหรอื วธิ กี าร (คร้ังที่ 1)
การวเิ คราะหผ์ ล การวัดผลหลังการทดลองใช้นวตั กรรมหรือวธิ ีการ(ครงั้ ที่ 2)
จดุ เดน่
เปรยี บเทียบระหวา่ งการวดั ผลก่อนและหลังการทดลอง โดย
จดุ ดอ้ ย ใช้สถิติทดสอบที (t-test) แบบ dependent group
มีการวัดผลก่อนและหลงั การทดลอง จะชว่ ยใหผ้ ลการวจิ ยั
มคี วามตรงภายใน คอื ผลการวจิ ยั สามารถสรุปได้อย่างถูก
ต้องแม่นย�ำมากขนึ้
1. ผลทเ่ี กิดขนึ้ กบั ตัวแปรตามอาจไมไ่ ดเ้ ป็นผลมาจากตัวแปร
ตน้ หรือตัวแปรอสิ ระโดยตรง
2. การวัดครงั้ ที่ 2 อาจไดร้ บั ผลกระทบมาจากการวดั ครัง้ แรก
ซง่ึ นักเรียนอาจจ�ำค�ำตอบของแบบประเมินไดซ้ ่งึ จะท�ำใหเ้ กดิ
ความคลาดเคลอ่ื นได้
แบบแผนท่ี 3 กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ แทจ้ รงิ วดั ผลหลงั การ
ทดลอง
แบบนี้เป็นแบบการวิจัยท่ีมีนักเรียนกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีอ่ืนหรือวิธีปกติ และมีนักเรียนกลุ่มทดลองใช้
นวตั กรรมในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และทำ� การประเมนิ ผลหลงั จากเรยี น
ทั้งสองกลุ่ม แล้วน�ำผลการประเมินมาเปรียบเทียบกัน แบบนี้จะมีความ
เหมาะสมเม่ือคุณครูสามารถจัดการเรียนรู้ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม โดยจะต้อง
ท�ำหรือเช่ือว่านักเรียนทั้งสองกลุ่มมีระดับสติปัญญาหรือทักษะเท่ากัน
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
54
เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบและเกิดความเชื่อถือได้ในค�ำตอบของการวิจัย
มากย่ิงขึ้น และเป็นเนื้อหาใหม่หรือเรื่องใหม่ท่ีนักเรียนไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
จึงไมจ่ ำ� เป็นตอ้ งประเมนิ กอ่ น รปู แบบนสี้ ามารถสรปุ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
คุณลักษณะ ค�ำอธบิ าย
แบบแผน ใชก้ ลมุ่ ตวั อยา่ ง 2 กลมุ่ มคี วามเทา่ เทยี มกนั ใชเ้ ปน็ กลมุ่ ทดลอง
1 กลมุ่ กลมุ่ ควบคมุ 1 กลมุ่ มกี ารวดั ผลการทดลอง 1 ครงั้
แผนแบบวจิ ยั เฉพาะหลงั การทดลองเทา่ นน้ั
X RX O1…………………………………….กลมุ่ ทดลอง
R R O1…………………………………….กลมุ่ ควบคมุ
O1
การวเิ คราะหผ์ ล การทดลองใชน้ วตั กรรมหรอื วธิ กี าร
กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามเทา่ เทยี มกนั โดยใชก้ ารสมุ่
จดุ เดน่ การวดั ผลหลงั การทดลองใชน้ วตั กรรมหรอื วธิ กี าร
จดุ ดอ้ ย เปรยี บเทยี บการวดั ผลหลงั การทดลองระหวา่ งกลมุ่ ทดลองกบั
กลมุ่ ควบคมุ โดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบที (t-test) แบบ Independent
group
มกี ลมุ่ ควบคมุ ทจ่ี ะชว่ ยในการเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ถงึ ประสทิ ธผิ ล
ของนวตั กรรมไดม้ ากยง่ิ ขน้ึ ซงึ่ จะทำ� ใหส้ ามารถสรปุ ผลการวจิ ยั
ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งแมน่ ยำ� มากยง่ิ ขน้ึ ดว้ ย
1. มขี อ้ จำ� กดั ในการจดั กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ โดยเฉพาะ
โรงเรยี นขนาดเลก็
2. นกั เรยี นกลมุ่ ควบคมุ มกั จะเสยี โอกาสในการเรยี นรเู้ รอื่ งใหมๆ่
55
แบบแผนท่ี 4 กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ แทจ้ รงิ วดั ผลกอ่ นและ
หลงั การทดลอง
แบบนเ้ี ปน็ แบบการวจิ ยั ทม่ี นี กั เรยี นกลมุ่ ควบคมุ และกลมุ่ ทดลองเชน่
เดยี วกบั รปู แบบท่ี 3 แตต่ า่ งกนั ตรงทแ่ี บบนจี้ ะมกี ารประเมนิ กอ่ นจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้ และมีการเปรียบเทียบผลการประเมินก่อนของท้ังสองกลุ่ม
มีการเปรียบเทียบผลการประเมินก่อนและหลังเรียนในแต่ละกลุ่ม และ
เปรยี บเทยี บผลการประเมนิ หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรขู้ องทง้ั สองกลมุ่ ดว้ ย
รปู แบบนสี้ ามารถสรปุ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
คณุ ลกั ษณะ ค�ำอธิบาย
แบบแผน ใชก้ ลุ่มตัวอย่าง 2 กลมุ่ ใชเ้ ป็นกลุม่ ทดลอง 1 กลมุ่ กลุ่มควบคมุ
1 กลุ่ม มกี ารวดั ผลการทดลอง 2 คร้ัง คอื ก่อนการทดลองและ
แผนแบบวจิ ยั หลังการทดลอง
X R O X O1 2…………………………………….กล่มุ ทดลอง
R R O1 O2…………………………………….กล่มุ ควบคมุ
O1
O2 การทดลองใชน้ วตั กรรมหรือวธิ ีการ
กลุม่ ตัวอยา่ งมคี วามเทา่ เทียมกันโดยใชก้ ารสมุ่
การวัดผลกอ่ นการทดลองใชน้ วตั กรรมหรือวิธีการ
การวัดผลหลงั การทดลองใช้นวัตกรรมหรือวิธกี าร
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
56
คณุ ลกั ษณะ ค�ำอธิบาย
การวเิ คราะหผ์ ล สามารถวเิ คราะหไ์ ด้ 4 ลกั ษณะ ดังนี้
1. เปรียบเทียบการวดั ผลก่อนการทดลองระหวา่ งกลุ่มทดลอง
กับกลมุ่ ควบคุมเพอ่ื ดคู วามเท่าเทยี มระหว่างกลมุ่ โดยใชส้ ถติ ิ
ทดสอบที (t-test) แบบ Independent group
2. เปรยี บเทียบการวดั ผลก่อนและหลงั การทดลองในแตล่ ะกลุ่ม
เพอ่ื ดูความก้าวหน้าหรอื ผลการเรยี นรทู้ ่ีเพิ่มขนึ้ ของแต่ละกลุ่ม
โดยใชส้ ถิตทิ ดสอบที (t-test) แบบ dependent group
3. เปรยี บเทยี บการวดั ผลหลังการทดลองระหว่างกลมุ่ ทดลอง
กับกลุ่มควบคุมเพอื่ ดปู ระสทิ ธผิ ลของนวัตกรรม โดยใช้สถติ ิ
ทดสอบที (t-test) แบบ Independent group
4. นำ� คะแนนเฉล่ยี ของผลตา่ งก่อนและหลงั การทดลองของ
แต่ละกลุ่มมาเปรียบเทียบกนั โดยใช้สถิติทดสอบที (t-test)
แบบ Independent group เพือ่ ดปู ระสิทธผิ ลของนวัตกรรม
ถา้ พบว่าคะแนนเฉล่ียของผลตา่ งกอ่ นและหลังการทดลองของ
กลมุ่ ที่ทดลองสอนโดยใชน้ วัตกรรมหรือวธิ กี ารใหม่สงู กว่ากลุม่ ที่
สอนแบบปกตแิ สดงวา่ นวตั กรรมหรือวธิ กี ารมคี ณุ ภาพ
จดุ เดน่ 1. มกี ล่มุ ควบคมุ ที่จะช่วยในการเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ถงึ
ประสทิ ธิผลของนวตั กรรมไดม้ ากย่งิ ข้ึน
2. มกี ารวัดผลกอ่ นและหลงั การทดลอง จะช่วยใหผ้ ลการวจิ ยั
มีความตรงภายใน คือ ผลการวิจยั สามารถสรุปได้อยา่ งถกู ต้อง
แมน่ ย�ำมากยง่ิ ขนึ้
จดุ ดอ้ ย 1. มีขอ้ จำ� กัดในการจดั กล่มุ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม
โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก
2. นักเรียนกลุ่มควบคมุ มกั จะเสยี โอกาสในการเรยี นรู้
เรอื่ งใหมๆ่
57
ใน 1 ภาคการศกึ ษา ควรวจิ ยั อะไรบา้ ง
สถานการณ์ ประเภทวจิ ยั ทส่ี มั พนั ธก์ บั ชว่ งเวลาใน 1 ภาคการศกึ ษา
เม่อื ไร สถานการณใ์ ด ควรท�ำการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาการเรยี นการสอนแบบใด
ประเภทวจิ ยั ค�ำถามวิจัย การจัดเก็บข้อมลู
W1 ครตู ้องการร้จู กั แบบที่ 1 1) นักเรยี นมีลกั ษณะ 1) พฒั นาการทุกด้าน
นักเรยี นเปน็ รายบคุ คล การวิจัยเชิงสำ� รวจ อยา่ งไร 2) ความสนใจ ความถนัด
W2 เพอ่ื วางแผนการจดั การ (การวิเคราะห์ 2) ควรปรบั ปรุงและ ศักยภาพ และความ
เรียนรู้ทเ่ี น้นผเู้ รยี นเปน็ ผเู้ รียนเปน็ ราย พฒั นานักเรยี นคนใดใน ต้องการจ�ำเปน็
เดือน ีท่ 1 ส�ำคัญ บคุ คล) เรอ่ื งอะไรบา้ ง
3) ควรใชแ้ ผนกิจกรรม
การเรียนรู้อยา่ งไร
W3
W4 ครูต้องการประเมนิ เพ่อื แบบท่ี 2 1) ความส�ำเรจ็ ของการ 1) บันทกึ ระหว่างสอน
พัฒนาแผนการจดั การ การวิจยั เชิง สอนมอี ะไรบา้ ง มีสาเหตุ และหลังสอน
เรียนรู้และพฤตกิ รรม บรรยาย และปัจจัยมาจากอะไร 2) การสงั เกตพฤตกิ รรม
W1 การสอน (การประเมิน 2) ปญั หาของการสอนมี นักเรียนทัง้ ในและนอก
W2 เพอื่ พัฒนา อะไรบา้ ง และมีสาเหตุ ห้องเรยี น
แผนการจดั และปจั จยั มาจากอะไร 3) การสมั ภาษณ์
เ ืดอน ่ที 2 การเรยี นรู)้ 3) แนวทางแกไ้ ขปรบั ปรุง ผ้ทู เี่ กีย่ วขอ้ ง
W3 พัฒนาแผนการจัดการ ผลงานนักเรยี น
เรยี นร้แู ละพฤตกิ รรมการ 4) การประชุมระดับชนั้
W4 สอนของตนเองมีอะไรบา้ ง และประชมุ กลุ่มสาระ
เดือน ่ที 3 W1 ครูสังเกตเหน็ วา่ แบบท่ี 3 1) นักเรยี นมปี ัญหา 1) การสังเกตในสภาพ
นักเรยี นบางคนมี การวิจัยกรณี อะไรบา้ ง ต่างๆ ทง้ั ในห้องเรยี น
ศกึ ษา 2) สาเหตุและปจั จัยของ และนอกหอ้ งเรยี น
W2 ปญั หาทค่ี รูตอ้ งช่วย (Case Study ปญั หามีอะไรบ้าง 2) การสมั ภาษณผ์ เู้ รียน
W3 คล่คี ลายและแกไ้ ข Research) 3) แนวทางแก้ไขควรมี และผเู้ ก่ียวขอ้ ง
เปา้ หมายและขั้นตอน 3) วเิ คราะหเ์ อกสารตา่ งๆ
อยา่ งไร
W4 4) ผลการแกไ้ ขมีความ
ส�ำเรจ็ และปญั หาอย่างไร
และควรพฒั นาต่อไป
อย่างไร
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
58
เมือ่ ไร สถานการณ์ใด ควรท�ำการวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรียนการสอนแบบใด
ประเภทวจิ ัย ค�ำถามวจิ ยั การจัดเก็บข้อมลู
W1 ครตู ้องการปรับปรุง แบบที่ 4 1) ผลลพั ธท์ ีต่ ้องการ 1) ข้อมูลสภาวะเริ่มตน้
ประสทิ ธิภาพและ การวจิ ัยและ พัฒนาและหลักในการ (baseline)
ประสิทธผิ ลของ พฒั นา (R&D) พัฒนามอี ะไรบ้าง 2) ข้อมูลพฒั นาทาง
การจดั กจิ กรรม (การพฒั นา 2) การสร้างนวตั กรรม พฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ อง
W2 การเรียนรจู้ งึ สร้าง นวตั กรรม) ควรทำ� อะไรบ้าง ผเู้ รยี น
การวจิ ยั 3) ผลการทดลองใช้ 3) ขอ้ มลู การเปลย่ี นแปลง
นวตั กรรมเพอื่ เชิงทดลอง นวตั กรรม ช่วยเพ่ิม ผลสัมฤทธขิ์ องนกั เรยี น
พัฒนาการจดั การ (การทดลอง ประสทิ ธิภาพและ
เดือน ่ที 4 W3 เรียนรู้ ใชน้ วัตกรรมท่ี ประสิทธิผลในการเรียนรู้
พัฒนาข้ึน) และการสอนหรือไม่
อย่างไร
W4 4) นวัตกรรมควรได้รับ
การปรับปรงุ และพัฒนา
ตอ่ ไปอยา่ งไร
ปรบั ปรงุ จาก: สริ พิ ันธุ์ สวุ รรณมรรคา และคณะ.(มปป.) การวิจัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรียน.
คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
59
ขนั้ ตอนท่ี 5 การกำ� หนดตวั อยา่ ง (Sampling Design)
ครนู กั วจิ ยั ตอ้ งกำ� หนดตวั อยา่ งในการวจิ ยั ใหช้ ัดเจนโดยยดึ หลกั การ
กลมุ่ ตวั อยา่ งตอ้ งเปน็ ตวั แทนทด่ี ขี องประชากร หรอื ตอ้ งเปน็ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั
หรือเป็นกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนา การใช้ “กลุ่มตัวอย่าง” หรือ
“กลุ่มเป้าหมาย” ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ถ้าเป็นงานวิจัย
เชงิ วชิ าการทต่ี อ้ งการผลวจิ ยั อา้ งองิ จากกลมุ่ ตวั อยา่ งไปสปู่ ระชากรตอ้ งมขี น้ั ตอน
การกำ� หนดขนาดตัวอยา่ ง (Sample Size) และวธิ ีการไดม้ า (Sampling)
ส�ำหรบั วจิ ยั เชงิ ปริมาณ (Quantitative Research)
1. บอกจำ� นวนประชากรทงั้ หมด เปน็ กลมุ่ ทสี่ ามารถนำ� ผลการวจิ ยั
ไปสรปุ อ้างองิ (inference) หรือเปน็ กลมุ่ ทส่ี ามารถน�ำผลการวจิ ัยไปใช้
2. บอกจ�ำนวนตัวอย่าง (sample size) อาจเป็นการค�ำนวณ
จากสตู ร เปดิ ตารางสำ� เรจ็ รปู หรอื ใชโ้ ปรแกรมการคำ� นวณตวั อยา่ ง เชน่ G*Power
เปน็ ตน้
3. บอกวธิ กี ารไดต้ วั อยา่ งมา (sampling) มี 2 แบบ คอื (1) แบบใช้
ความนา่ จะเปน็ เรยี กวา่ การสมุ่ (random) และ (2) แบบไมใ่ ชค้ วามนา่ จะเปน็
เรยี กวา่ การเลอื ก (selection)
สำ� หรับวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research)
เขียนถึงเกณฑ์การคัดเลือก ผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ (Key informant)
ผเู้ ขา้ รว่ มการวจิ ยั (Participants) เพราะจะเปน็ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั และตรงกบั
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั มากทสี่ ดุ
ประเภทของการสมุ่ (ใช้ความน่าจะเป็น/มีวัตถุประสงค์เพ่ือน�ำผล
การวจิ ัยไปอนมุ านถึงประชากร)
1. การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เป็นวิธที ่ี
ประชากรแตล่ ะหนว่ ยมโี อกาสถกู สมุ่ มาเปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งเทา่ ๆ กนั ประชากร
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
60
จะต้องก�ำหนดเฉพาะลงไปว่าเป็นกลุ่มใด การสุ่มแบบน้ีจะต้องก�ำหนด
เลขลำ� ดบั ใหก้ บั ประชากรแต่ละหนว่ ย
2. การสมุ่ อยา่ งเปน็ ระบบ (Systematic Random Sampling)
วธิ นี เ้ี ปน็ การสมุ่ ตวั อยา่ งโดยการอา่ นขา้ มทลี ะ n คน โดยจะตอ้ งสมุ่ เลขเรม่ิ ตน้
ใหไ้ ด้เสยี ก่อน ซ่งึ วิธนี ้จี ะคลา้ ยกับการสุ่มอยา่ งงา่ ย
3. การสมุ่ แบบแบง่ ชน้ั (Stratified Random Sampling) เปน็ วธิ ี
ที่ผู้วิจัยสามารถแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้แน่นอน มีประโยชน์
ช่วยให้ผู้วิจัยมีความม่ันใจว่าคุณลักษณะหรือตัวแปรที่สนใจศึกษาที่อยู่ใน
ประชากรนน้ั ก็มอี ยใู่ นกลมุ่ ตวั อย่างในสัดสว่ นที่เท่ากัน
4. การสมุ่ แบบแบง่ กลมุ่ (Cluster (Area) Random Sampling)
เป็นวิธีท่ีผู้วิจัยใช้ในการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มตามเขตพื้นท่ี (area)
ซ่ึงในแต่ละเขตพื้นที่จะมีประชากรที่มีคุณลักษณะที่ต้องการกระจายกัน
อย่อู ยา่ งเท่าเทียมกนั แล้วสุม่ กล่มุ มาจำ� นวนหนงึ่ ด้วยวธิ กี ารสมุ่ ทเ่ี หมาะสม
5. การสมุ่ แบบหลายขน้ั ตอน(Multi-StageSampling)มวี ธิ กี ารสมุ่
4 แบบทอี่ ธบิ ายไวแ้ ลว้ คอื การสมุ่ อยา่ งงา่ ย การสมุ่ อยา่ งมรี ะบบ การสมุ่ แบบ
แบง่ ช้ัน และการส่มุ แบบแบง่ กลุม่ ในการทำ� วิจัยจรงิ ๆ เราอาจจะใช้วิธกี าร
สุ่มที่ซบั ซอ้ นมากกว่าน้ี โดยหลักแลว้ จะต้องพจิ ารณาวิธีการสุ่มทั้ง 4 แบบน้ี
มาใชใ้ หไ้ ดป้ ระโยชนส์ งู สดุ เพอ่ื ใหไ้ ดก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทผี่ วู้ จิ ยั ตอ้ งการอยา่ งแทจ้ รงิ
ประเภทของการเลือก (ไม่ใช้ความน่าจะเป็น/ไม่ได้มีวัตถุประสงค์
เพอ่ื นำ� ผลการวจิ ยั ไปอนมุ านถงึ ประชากร ผลการวจิ ยั ขนึ้ อยกู่ บั บรบิ ททศ่ี กึ ษา
เท่านน้ั มกั ใชใ้ นการวิจยั เชงิ คุณภาพ)
1. การเลือกตัวอย่างแบบสะดวกสบาย (Convenience หรือ
Accidental Sampling) เปน็ การเลอื กแบบไมม่ กี ฎเกณฑ์ อาศยั ความสะดวก
ของผู้วิจัยเป็นหลัก กลุ่มตัวอย่างจะเป็นใครก็ได้ที่ให้ความร่วมมือกับผู้วิจัย
ในการให้ข้อมูลบางอยา่ ง
61
2. การเลอื กตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive หรอื Judgmental
Sampling) เปน็ การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งทจี่ ะเปน็ ใครกไ็ ดท้ ม่ี ลี กั ษณะตามความ
ตอ้ งการของผู้วิจยั โดยอาจจะก�ำหนดเปน็ คณุ ลักษณะเฉพาะเจาะจงลงไป
3. การเลอื กตวั อยา่ งแบบโควตา (Quota Sampling) เปน็ การเลอื ก
ตัวอยา่ งโดยก�ำหนดคณุ ลกั ษณะและสดั สว่ นทตี่ อ้ งการไว้ล่วงหนา้
4. การเลอื กตวั อยา่ งแบบลกู โซ่ (Snowball Sampling) เปน็ การ
เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยอาศัยการแนะน�ำของหน่วยตัวอย่างที่ได้เก็บข้อมูล
ไปแลว้
ส�ำหรับงานวิจัยชั้นเรียน ที่ครูนักวิจัยมีเป้าหมายของการพัฒนา
ชดั เจน ประเดน็ วจิ ยั อาจเกย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นานกั เรยี นทง้ั หอ้ ง หรอื บางคน
หรอื เพยี งคนเดยี ว จงึ ไมน่ ยิ มศกึ ษากบั กลมุ่ ตวั อยา่ งทไี่ ดจ้ ากการสมุ่ เนอ่ื งจาก
เป็นงานวิจัยท่ีเน้นการพัฒนาผู้เรียนขณะท่ีท�ำวิจัย ดังน้ันนักเรียนท่ีน�ำมาใช้
ในการวิจยั คือ นกั เรยี นท่ีเป็น “กลุ่มเป้าหมาย” ของการพฒั นา
ตวั อยา่ งการเขยี น กลมุ่ เปา้ หมาย คอื นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1
จ�ำนวน 15 คน ประจ�ำการศึกษา 2559 ท่ีขาดทักษะการสะกดค�ำ และ
มปี ัญหาด้านการอ่าน
หมายเหตุ หากใช้รูปแบบการวิจัยที่จ�ำเป็นต้องใช้กลุ่มตัวอย่าง
ในการทดลอง เช่น การวิจัยและพัฒนาในขั้นตอนของการสุ่มตัวอย่างมา
เพ่ือทดลองใช้นวัตกรรม ครูนักวิจัยจะต้องแสดงวิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่
การก�ำหนดขนาดตวั อยา่ งและวธิ ีการได้มาซง่ึ ตัวอยา่ งท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
ถ้าเป็นการวิจัยที่ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง ควรอธิบาย
รายละเอียดเกี่ยวกับการวางแผนการทดลอง กระบวนการทดลอง การจัด
กลุม่ ทดลองเพ่ือให้กลุ่มเทียมกนั กอ่ นการทดลอง
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
62
ส่งิ ท่ีน�ำมาใชใ้ นการพฒั นาผูเ้ รียน (Treatment) หรอื นวตั กรรม
เชน่ แผนการจดั การเรยี นรู้ โปรแกรมการพฒั นา คมู่ อื การดำ� เนนิ งาน หลกั สตู ร
แผนการทดลอง สอ่ื การเรยี นรู้ บทเรยี นสำ� เรจ็ รปู เปน็ ตน้ ครนู กั วจิ ยั ตอ้ งแสดง
ขนั้ ตอนการสร้างและการตรวจสอบคณุ ภาพโดยผู้เชีย่ วชาญ
หมายเหตุ ส�ำหรับนวัตกรรมประเภทสื่อและเทคโนโลยีการเรียนรู้
ครูนักวิจัยต้องอธิบายข้ันตอนการสร้างและพัฒนานวัตกรรมอย่างละเอียด
เชน่ การทดลองใชเ้ บอ้ื งตน้ ไดแ้ ก่ ทดสอบแบบเดย่ี ว แบบกลมุ่ และแบบสนาม
นำ� เสนอผลการตรวจสอบประสทิ ธภิ าพ E1/E2 เปน็ ตน้
ขน้ั ตอนท่ี 6 การออกแบบเครอ่ื งมอื วจิ ยั
ส�ำหรับการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เคร่ืองมือวิจัยท่ีใช้
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จะสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ใช้เคร่ืองมือที่หลากหลาย ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม
แบบสมั ภาษณ์ แบบประเมนิ คุณภาพการปฏบิ ตั ิงาน ผลงานนกั เรยี น ฯลฯ
มีการพัฒนาตัวเอง (Wiliam, D. ,2011: วิจารณ์ พานิช, 2557: ซาโต มานาบุ, 2559) รวมท้ังร่วมกันสร้าง
ความรู้สึกเป็นชุมชนการเรียนรู้ (Learning Community) ภายในหอ้ งเรียน
(Digital Lภeาaพrnขinอgง)สเื่ชอ่สนนกับารสเนรียุนนกการารเรสียอนนรอู้ คอรนูผไูส้ ลอนน์ eจ-lะeตarอ้ nงinใgช้สจดัื่อสแภลาะพเทแควโดนลโ้อลมยทีม่ีเอาส้ือนแลับะสยนึด6ุนห3กยาุน่ รตเร่อียกนารรู้
เกราียรนสรอู้ไนดกขท้ ลอุก่างทวคี่ทโกหรดุกูายลกเวรสาักลรสราพเุปรก(ฒัา้เFมณงนli่ือเpาฑคกpชาe้รนั์กรdอ่ืเจราCงดีัยรlมกaนพsาทอืsรrิจ่ีเแศoอoึกา้ลือmษรตะ)า่อณตสสกรา่งาาหวเรสกเรจรราับีิยมสรศนใอตเหรลบวู้ขผ้ รืออคเู้ รรงีณยกษุ นนทเกัภไคี่ เ2ดราร1ีแย้ พื่อนสมเีดคงกควงมารศารืมอกอ่ืัปเย/งปรภวมับลาิธ่ีเยอพืปนีกขวลแอา่ีจิยปงนรยัตลกเนงกาทเรอ็บ้งัเงรวอีขยธิ อนี้กอกรามูม้ทรจาูี่ไลอดัปยกไา่ ากงรเลเตรกม็ียวทนา่ ่ี
การ(ไสดุวร้ มิับลคววามอ่ รงู้แวบาบณง่าิชยๆ, 2ไป5ส4ู่ก5า)รเมนดีน้ ังพนฒั ้ีนาทกั ษะและทศั นคติ ทกั ษะการคิด ทกั ษะการแกป้ ัญหา ทกั ษะ
องค์การ ทศั น1คต. ิเชกิงบลวุ่มกผคทู้ วถี่ามกู เวคดัาร/พทตดนสเอองบน/วปตั รกะรรเมนิ ความสร้างสรรค์ ทกั ษะการสื่อสาร ทกั ษะและ
ค่านิยมทางเท2ค. โนพโฤลตยี กิครวรามมเหชื่อรอืมั่นลกัตนษเณองะคทว่มี าุ่งมวยดัืดหยุ่น การจูงใจตนเอง และความตระหนักใน
บส2eคf1วุภคfeาถาลcมพือิtกสiเแvภปุขeว็าlนดyพสลiสnิ่งอ้ ่วทoม6453นr่ีทd....แบ าe้ ทrลุคชลจปtะาoคยทำ�ว่กัรลuในี่งสะษsนเeเาวเพณวกคดiนื่tอาลญัน็ะรcผเาrผทคขวe้ใูใชือ่ีaจิจหอ้นtิญคะiยัมvกข้พวกeลูา้อาฒlัับyมรทม)นอสทถูลีต่านาำ�ืกอมอ้าวาเาคปงรริจ็ตกนเถรัยดาีทใย้วชรนกั ย้คใษรภชูว้เะพาา้ใทพม่ือนี่สรอใกู้าอนนคายาทญรั่าคางวจตงสิจาบรเใัยป้วาห็งนก้นสส(รกั oารเหpรคtียรi์mั(บนtihกมsemาีทรa)กัbเปทiษl็่ีนiมะtyีนททt้ักังoศั คเรนhวีaยคnานตมdใิlสeคน่าาkศนเnตรoิย็จวwมแรlรลeแษdะลgทมะeี่ี
จัดเก็บแดกล้าวะรผยทกเลค่ีตรกะ้อรบางอื่ มวรงนอี วมงกิจือคาั์ยครททวที่มา่ีเชี่มดีคื่อรีมณุู้ถทาือี่ถภจแกู าลสาะพรกต้าขงรขว้อึจน้ มสอูลอย่บาทงไเ่ีมหด้ีคมจาึงุณะจสาภเมปาก็นพับอผยู้เ่าขรงีย้อยน่ิงมส(ูลAาหpทpร่ีrคับoุชณp้ัrนiภaเรtาีeยdนพKขมnอาoงwคจlราeูใdกนgวeย)คุิธปีกัจาจรุบัน
การศึกษาช้ันเสรียงิ่ นสำ� (คLญeั ssทoเnี่ กSยี่ tวudขyอ้ )งกบั การสรา้ งและตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื วจิ ยั
การศึก1ษ. าช้กนั เารรียนนเิยป็นามวธิ ตีกัวารแพปฒั รนทาว่ีตชิ ้อาชงีพกคารรูทวี่เกัดิดขอ้ึนามจานเปาน็นแกลาะเรร่ินมติยน้ าใมนตปราะมเททศฤญษ่ีป่ฎุนแี ลว้ ขยาย
แนหวคริดืออกอากรไนปทยิ ว่ัาโมลเกชสงิ ปาหฏริบั ัตปริกะาเทรทศไี่เทฉยพผาูร้ ะิเรนิ่มำ�ในมกาาใรชนใ้ านแกนาวรทวางจิ นัย้ีมคารใชัง้ ้ในนนั้ โๆรงเรียนเป็ นท่านแรกคือ
ไมตรี อินทร์ปร2ะ. สิทกธ์าิ (ร25เข46ียอนา้ ชงถื่อึงเใคนรนื่อฤงมมลืออวินิจทัยร์ปรใหะส้สิทอธด์ิ,2ค55ล2้อ) นงกฤมับลลอักินษทณร์ปะรขะสอิทงธข์ิ (้อ2ม55ูล2) ไดเ้ ขียน
บททคว่ตี า้อมงเพกื่อาใรห้เกิดความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การศึกษาช้ันเรียน (Lesson Study) ไวว้ ่า การศึกษาช้ันเรียนเป็ น
แiนรm้อนวpยตหัวrกกoทรวvราอืา่eรงปmแมกี ทeผา(nี่ผรIนtnา่)พnน43ภแฒัoม..ลvา นาะaพtเาแกขiปoวล็นา้ัn(นิชะF)รตวาไlทตชิธดอo่ีเีีพกรร้ปนwับาว็คนกรจกรวทCาูาทสธิ ี่ครรhี่ีกอยรสเปาaูอบเรปร็ rมนา็้คtน(รกงM)ณุัผบแาแeผู้ตรลภtลสปhละาoกัอรดพdพดัดบง)นัมฒัขปแหาใอรตลนวหุงงกัา่ล่า้เกเกเเะใคปาิคดนร็ขรนกรสกอื่นั้วาอื่าอริธงรทงนปีกมพม่ีเารดอืฒกัอรืับ้วทวย่ีนวปยจิี่ทจวาิตรวยัาุโยวัังิชใยกขหคาอางอช้กรณุากงีพสาจคนัรลคอแรสรนกัูเสอูอใดษนนดงว้ ณปดง(ยีTขเรตปะ้ึeนะวั aสนเ็อขทcำ�ยhลอศคeา่งำ�ญrงคญั-ดยี่ปlรeงั่บัู่ขุนdเยอขอนืทiงnอ้่ีมเงsไกtน่ัมrิดuค่ตขcง้tอึ้นioเงเปมnร็aนื่ออl
ผูเ้ ชเ่ียควรชือ่ าญงมจาือกคภอื ายตนอ้ องกเชโ่ือดถยจอื ุดไปดรแ้ ะลสะงคให์หข้ลัก้อหมรลู ือทจุดถี่ เกูนต้นอ้ก็คงือแนบัก่งเรเียปน็น(S2tudรenะtย-foะcuดseงั dน) ี้ดงั น้ัน การนา
แนวทางน้ีมาใชกใ้ านรกตารรพวฒั จนสาอวชิบาคชีพุณคภรูจาึงพก่อเคใหรเ้ ่ือกิดงปมรือะกโย่อชน์อนย�ำา่ ไงปมาใกชต้อ่ เกปาร็นสกอนารขอตงรควรูจไสม่วอา่ บจะเป็นดา้ น
ความตรง (Validity) ท่ีนิยมใช้ดัชนี IOC (index of item-objective
congruence) เปน็ ความตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) พจิ ารณาเปน็
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
64
รายขอ้ โดยผเู้ ชย่ี วชาญ จำ� นวนอยา่ งนอ้ ย 3 ทา่ น คา่ IOC แตล่ ะขอ้ ตอ้ งได้ 0.5
ขน้ึ ไป นอกจากนต้ี อ้ งดคู วามเปน็ ปรนยั ของขอ้ ความวา่ เขา้ ใจไดต้ รงกนั หรอื ไม่
ส�ำหรับครูในโรงเรียนอาจก�ำหนดผู้เชี่ยวชาญภายในโรงเรียนท่ีมีความรู้
ความเช่ียวชาญในเนื้อหาและเครอื่ งมอื ทีใ่ ชว้ ัดผลได้
การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื หลงั นำ� ไปทดลองใช้ (pilot study)
เปน็ การตรวจสอบความเทยี่ ง/ความเชอ่ื มนั่ (Reliability) ของเครอื่ งมอื ทงั้ ฉบบั
ด้วยการน�ำไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มอ่ืนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่มี
ลักษณะที่ใกล้เคยี งกนั จ�ำนวนอยา่ งน้อย 30 คน สำ� หรับแบบทดสอบจ�ำเปน็
ต้องมคี วามยากง่าย และอ�ำนาจจำ� แนกของข้อสอบรายข้อดว้ ย
หมายเหตุ หากมีการยืมเคร่ืองมือนั้นจากหน่วยงานอ่ืนหรือจาก
นักวิจัยอื่น ต้องมีการแสดงหลักฐานการขออนุญาตการใช้เครื่องมือ และ
ควรมีการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือซ้�ำอีกครั้งว่ามีความเหมาะสม
ทีจ่ ะนำ� มาใชใ้ นงานวจิ ัยของตนมากนอ้ ยเพียงใด
เกณฑพ์ จิ ารณาคณุ ภาพเครอื่ งมอื วจิ ยั
ความตรงเชงิ เนอื้ หา ใช้คา่ IOC รายข้อ ควรได้ 0.5 ขน้ึ ไป
คา่ ความเทย่ี ง/ความเชอื่ มนั่ (Reliability) ทงั้ ฉบบั ควรได้ 0.7 ขน้ึ ไป
การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื วจิ ยั ประเภท แบบทดสอบ แบบวดั
แบบประเมนิ โดยอาศัยผู้เชีย่ วชาญ สงิ่ ทีต่ อ้ งจัดเตรยี มมีดงั น้ี
1. เค้าโครงการวิจัย (ช่ือเร่ืองวิจัย ความเป็นมาและความส�ำคัญ
ของปญั หา วตั ถปุ ระสงค์ ขอบเขต นิยามศพั ท์ ประโยชน์ กรอบแนวคดิ การ
วจิ ัย วธิ ีด�ำเนินการวิจยั เป็นตน้ )
2. ค�ำอธิบายเก่ียวกับการตรวจสอบว่าต้องการให้ผู้เช่ียวชาญ
ท�ำอะไร อย่างไร
3. ตารางโครงสร้างเน้ือหา (table of specification) และตาราง
แสดงวา่ ข้อค�ำถามแตล่ ะข้อมุง่ วดั ตวั แปรใด
65
ตวั อยา่ ง
แบบตรวจสอบความตรงเชงิ เนอ้ื หา (Content Validity) โดยผเู้ ชย่ี วชาญ
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรือ่ ง...................... ของรายวชิ า.............. ส�ำหรบั นกั เรียนชน้ั .........
วัตถุประสงค์ของการทดสอบ เพ่ือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน..................หลังจากเรียนเร่ือง.............
ของรายวิชา.......... ไปแล้ว
ค�ำชี้แจง
1. ขอ้ สอบครงั้ นไ้ี ดอ้ อกตามสาระการเรยี นรทู้ .ี่ .....................มาตรฐานท.่ี ........และตวั ชวี้ ดั ท.ี่ ..........................
มีจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ประกอบดว้ ย......................และเน้ือหาสำ� คัญประกอบดว้ ย.......ดงั ตารางต่อไปน้ี
ตารางกำ� หนดรายละเอียดข้อสอบ Table of Specification
เนอื้ หา ความจำ� เขา้ ใจ ระดบั พฤตกิ รรม จำ� นวนขอ้
นำ� ไปใช้ วเิ คราะห์ ประเมนิ คา่ สรา้ งสรรค์ (%)
รวม
2. ให้ผู้เช่ียวชาญได้ตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบ โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่าง
ข้อสอบ (Item) แต่ละขอ้ กบั จุดประสงค์การเรียนรู้ (Objective) ตามตวั ชวี้ ดั ทอ่ี ยู่ในมาตรฐานที่น�ำมาออกข้อสอบครัง้ น้ี
พจิ ารณาตามระดับคะแนนดงั นี้
-1 หมายถึง ขอ้ สอบไม่มคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้
0 หมายถึง ไม่แนใ่ จว่าขอ้ สอบมีความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
+1 หมายถงึ ขอ้ สอบมคี วามสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ขอ้ สอบ ระดบั ความสอดคลอ้ ง ขอ้ เสนอแนะ
-1 0 +1
ขอ้ ท.ี่ ... ขอ้ ท.ี่ ....
(ระบจุ ดุ ประสงคก์ ารเรยี น) คำ� ถาม
ตวั ชว้ี ดั ระดบั พฤตกิ รรม
มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั เลอื ก
ก.
ข.
ค.
ง.
เฉลย ค.
ลงชอ่ื ……………………………………………………………..
ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ น......................................................
หมายเหตุ แบบตรวจสอบความตรงเชงิ เนอ้ื หาสามารถปรบั ใชก้ ับแบบวัดได้ แตไ่ มค่ วรนำ� ไปใชป้ ระเมนิ แผน
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
66
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ของการวจิ ยั ชน้ั เรยี น
การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซ่ึงมีความส�ำคัญใน
การวิจัย เพราะถ้าเก็บข้อมูลได้ถูกต้องสมบูรณ์จะท�ำให้ผลการวิจัยมี
ความถกู ตอ้ งและมคี วามนา่ เชอ่ื ถอื ไดม้ ากเชน่ กนั ซงึ่ แนวทางการเกบ็ รวบรวม
ข้อมูลมดี งั ต่อไปนี้
1. บนั ทกึ การทำ� งาน (Field Note) เปน็ การเขยี นบนั ทกึ สงิ่ ตา่ งๆ
ทพ่ี บเหน็ ขณะจดั การเรยี นการสอนตามทกี่ ำ� หนดไวใ้ นแผนการวจิ ยั บนั ทกึ นี้
เปน็ หลกั ฐานท่ดี กี วา่ และชดั เจนกว่าการจ�ำในสมอง
2. บันทกึ เหตุการณ์ (Logs) เปน็ การเขยี นบันทึกเหตกุ ารณต์ า่ งๆ
ทเ่ี กิดขนึ้ ตามล�ำดับกอ่ นหลงั อยา่ งเป็นระบบ
3. บนั ทึกความเห็น (Journals) เม่อื คณุ ครูไดพ้ ดู คุยกับเพ่อื นครู
หรอื ผู้ทเี่ กีย่ วขอ้ งอน่ื ๆกส็ ามารถเขยี นสรุปความคิดเห็นนั้นไว้ไดเ้ ชน่ กนั
4. บันทกึ ประจ�ำวนั (Diaries) เป็นการเขยี นบนั ทกึ ความคดิ เหน็
ของตนเองต่องานท่ีท�ำว่าเป็นอย่างไร คุณครูควรบันทึกประจ�ำวันให้ได้มาก
ท่ีสุดเทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้
5. การบอกเล่า (Verbal Report) หรอื การรายงานดว้ ยการพดู
เป็นกระบวนการคดิ ทมี่ ีเสยี งดัง (Think around) คอื เมือ่ คณุ ครขู อใหใ้ คร
สักคนท�ำในบางส่ิงบางอย่าง คุณครูก็จะเล่าสิ่งน้ันให้เขาฟัง การท�ำอย่างน้ี
จะท�ำให้คุณครูเองและผู้ท่ีฟังระมัดระวังตัวมากข้ึน ท้ังในการอธิบายหรือ
ให้ข้อเสนอแนะ นั่นหมายถึงต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนพูดออกมานั่นเอง
เมอื่ ไดม้ กี ารบอกเลา่ แลว้ คณุ ครกู อ็ าจนำ� ไปบนั ทกึ ความเหน็ หรอื บนั ทกึ ประจำ� วนั
ด้วยกไ็ ด้
6. การสังเกตการสอน (Observation) คุณครูสามารถท�ำได้
ตลอดเวลา แตต่ อ้ งทำ� อยา่ งรัดกมุ ชัดเจน ควรระบุใหช้ ดั ว่าตอ้ งสงั เกตอะไร
67
7. แบบสอบถาม (Questionnaires) ไมค่ วรมคี ำ� ถามยาวมากเกนิ
ไป เพราะนกั เรยี นจะเบ่อื ค�ำถามงา่ ยๆสั้นๆ เพยี ง 1-2 คำ� ถาม อาจได้ขอ้ มลู
จากนักเรยี นมากมาย
8. การสัมภาษณ์ (Interview) อาจเป็นเรื่องง่ายท่ีสุดในการ
เก็บข้อมูลก็ได้ ไม่ต้องเป็นทางการมาก แต่จะเป็นการดีหากคุณครูมี
การเตรียมค�ำถามไว้ล่วงหน้า วิธีการคือ คุณครูอาจใช้เวลาสัก 10 นาที
พดู คยุ กบั นกั เรยี นกลมุ่ เลก็ ๆเกยี่ วกบั ความเปลยี่ นแปลงทคี่ รทู ำ� ขน้ึ ในชนั้ เรยี น
9. กรณศี กึ ษา (Case Studies) เปน็ การดนู กั เรยี นเปน็ รายบคุ คล
คน้ หาศกั ยภาพทนี่ กั เรยี นมี หรอื คน้ หาวธิ กี ารแกป้ ญั หาหรอื พฒั นาใหน้ กั เรยี น
ได้รับการพัฒนาตามศักยภาพมากท่สี ุด
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
68
การตรวจสอบคณุ ภาพขอ้ มลู
สำ� หรบั ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative data) เชน่ ผลจากการสงั เกต
สัมภาษณ์ เอกสารหลักฐานต่างๆ ครูนักวิจัยควรใช้วิธีการตรวจสอบแบบ
สามเสา้ (Triangulation) เพอ่ื ยนื ยนั ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ทเี่ กบ็ รวบรวมมา
และเพม่ิ ความน่าเชือ่ ถอื ก่อนทจ่ี ะน�ำไปสกู่ ารสรุปผลการวิจัย การตรวจสอบ
ข้อมูลแบบสามเส้า (triangulation) มีวิธีการตรวจสอบ 4 วิธีหลัก ดังน้ี
(สภุ างค ์ จันทวานิช, 2553)
1. การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (data triangulation)
เป็นการพสิ จู นว์ า่ แหลง่ ข้อมลู ทีค่ รูนักวิจยั ได้มาน้นั ถูกตอ้ งหรือไม่ แหล่งทีจ่ ะ
พจิ ารณาในการตรวจสอบ ไดแ้ ก่ แหลง่ เวลา ถา้ ขอ้ มลู ตา่ งเวลากนั จะเหมอื นกนั
หรอื ไม่ แหลง่ สถานท่ี ถา้ ขอ้ มลู ตา่ งสถานทกี่ นั จะเหมอื นกนั หรอื ไม่ แหลง่ บคุ คล
ถ้าบคุ คลผใู้ ห้ข้อมูลเปลีย่ นไป ข้อมลู จะเหมอื นเดิมหรือไม่
2. การตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นผวู้ จิ ยั (investigator triangulation)
เป็นการตรวจสอบว่า ผู้วิจัยแต่ละคนจะได้ข้อมูลแตกต่างกันอย่างไร
โดยเปลี่ยนตัวผู้สังเกต แทนที่จะใช้ผู้วิจัยคนเดียวกันสังเกตโดยตลอด
ในกรณีท่ไี มแ่ น่ใจในคุณภาพของผู้รวบรวมข้อมูลภาคสนาม ควรเปล่ียนใหม้ ี
ผู้วิจยั หลายคน
3. การตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นทฤษฎี (theory triangulation)
เป็นการตรวจสอบว่า ถ้าผู้วิจัยใช้แนวคิดทฤษฎีท่ีต่างไปจากเดิมจะท�ำให้
การตีความข้อมูลแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด อาจท�ำได้ง่ายกว่าในระดับ
สมมตฐิ านชว่ั คราว (Working hypothesis) และแนวคดิ ขณะทล่ี งมอื ตคี วาม
สร้างข้อสรุปเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ ปกตินักวิจัยจะตรวจสอบสามเส้า
ดา้ นทฤษฎีไดย้ ากกวา่ ตรวจสอบด้านอ่ืน
การสอนของครู การพฒั นาช้นั เรียนที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ของนกั เรียน การปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ที่ไปไกลกวา่
การไดร้ ับความรู้แบบง่ายๆ ไปสู่การเนน้ พฒั นาทกั ษะและทศั นคติ ทกั ษะการคิด ทกั ษะการแกป้ ัญหา ทกั ษะ
องค์การ ทศั นคติเชิงบวก ความเคารพตนเอง นวตั กรรม ความสร้างสรรค์ ทกั ษะการสื่อสาร6ท9กั ษะและ
ค่านิยมทางเทคโนโลยี ความเชื่อม่ันตนเอง ความยืดหยุ่น การจูงใจตนเอง และความตระหนักใน
สภาพแวดล้อม4.แล ะกทา่ีสรตาครญั วคจือสคอวบามสสาามมเาสรา้ถดใชา้ ้คนววาธิมรีรู้วอยบ่ารงวสมร้าขงอส้ รมรลู ค์((Mtheeatbhiliotydtoo lhoangdilceaklnowledge
บe2คf1วุคfeาถลtขเcมือริrtกส้อiiเอ่ืvภaปุขมeง็าnlนyูลเพสgดiจสn่ิuงยี า่วทolวกนr่ีaทdกแบtาe้ นัiทrหุคotาoคลเnยชลu่งใ)sน่นเเeเอพกปiใก่ืtอาชน็รcสเrผทว้กeาช่ีธิaจารtิญะกีiรปvพใากeรชฒlัรับyะว้ส)นอกธิถงัานเีือกอเกากาเบคปบ็รต็ตดนเรรคดีทว้ยวว้วนยกบั ยบษรรภู้เคะพวาทกู่มพื่อี่สบัอขใานนอ้กคาทมาญั คารลูจตงซาตบเกัใปา่วห็ถงนก้นๆาส(ักมoากเหpรนัtพียรimับนรเiพกมอ้smาีทอมื่ ร)กัรเกปทษวนั็่ีนมะบนีนททร้ักน้ัังวศั คเกมรนวียศ็คขานตมอ้กึ ใิ สมษคน่าาลูศานเตริย็จวมแรรลแษะลทมะ่ีี
ความถดกกู ้าวรยตสทกอ้ง่ิี่ตรสะ้องบงำ� มวเคนชอี ญังก่ือคา์ขคถรทวออื า่ีเชมงไื่อรกดู้ถทา้ขือ่ีถรแกูอลเสงกะรขต้บ็างรอ้ รขวึมจน้วสอบูลอยร่บางวไเหดม้มจขาึงะอ้จสามเมปลูก็นับวอผจิยู้เ่ารยังียยชนิ่งนสั้ (Aาเหpรpรยีrับoนชpั้rนiคaเรtอืีeยdนกKขnาอoงรwคตlรeูใรdนgวeยจ)คุ สปัจอจบุบัน
การขศนึั้กษตาอชน้ันทเรี่ีย7นก(Lาeรsเsลonอื กStวuธิdyกี )ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การศึกษาช้นั เรียนเป็นวธิ ีการพฒั นาวชิ าชีพครูที่เกิดข้ึนมานานและเริ่มตน้ ในประเทศญ่ีป่ ุนแลว้ ขยาย
แนวคิดออกไปสทิ่งว่ั สโ�ำลคกัญสาทห่ีตรับ้อปงรพะิจเทาศรไณทยาผคูร้ ือิเริ่มขใน้อกมาูลรนทา่ีเแกน็บวรทวางบนร้ีมวามใชม้ใานนโร้ันงเปรีย็นนขเป้อ็ นมทูล่านแรกคือ
ไมตเรชี อิงินปทรริม์ปารณะสิท(ธต์ิ (ัว2เ5ล46ขอ) า้ งหถรึงือในขน้อฤมมูลลเชอินิงทครุณ์ปรภะาสพิทธ์ิ(,2ค5�ำ52ส)ัมนภฤมาลษอณิน์ ทผร์ปลรกะาสริทสธ์ังิ (เ2ก55ต2) ไดเ้ ขียน
บทคเมวอ่ืามแเพย่ือกใไหด้เแ้กลิดวค้ วกาด็ มำ� เขเน้าในิ จกเกาี่ยรววกเิบั คกราาระศึหกษเ์ พาชอ่ื ้ันตเรอียบนว(ตัLถesปุsoรnะSสtuงdคy)ข์ ไอวงว้ ก่า ากรารวศจิ ึกยั ษหาชร้ันอื เรียนเป็ น
แiนรm้อนวpยตัวรrกกoทาวvรายา่eรงปmงมกี ทาeา(n่ีผนรItnา่)พผnนแกสฒัoลมลvถลนแาะaติุ่มtเาแตiปoวทิทล็่ลnนิชะใ่ี)ี่ะวาไชท1ชิธสดส้ี่เีีพกร้ป่วสำ�ับา็คนนรหถกรวทขูาทรติิธี่ครอี่ีบักิบยรเงปาูอเขรปรก็ มนอ็้รนา(รกMยมรัผบาาeูผพลู้ตรtลยปhลเฒั ชoกัอรdดัดนบงิ )(นัมปปาหDาใผรรลวeหุงมิู้เกัา่ s้เกรกาเcใปาียิดณนรr็นนกiสกpวาใาอริธtหรนปiีกพvส้ ารดฒeัรัอบ้วทนยปดี่ทาตรSควาุวังtิชใลกขaหาอ้าอชtก้รงงiีพสาsคกรtคอรสiับรนูcเอูอใลsดนนง)ว้ักปด(ยษเีTขรตช้ึeนะณวั น่aเอขทcะยhอศคeา่ขงญrงคา่-้อยี่ปlรเeง่ัมู่ฉุนdเยอูลนลืทiงn่ีมเ่ียsไกtน่ัมrิดuค่ตขcง้tอึ้นioเงเปมnร็aนื่ออl
ผูเ้ ชี่คยววชาามญเจบาี่ยกภงเาบยนนอมกาโตดรยฐจุาดนประคสวงาคม์หถล่ีักรห้อรือยจลุดะเน้นสกถ็คิตือิวนัดักคเรวียานม(Sสtuัมdพenันt-fธo์cuเsปed็น)สดถงั นิต้ันิ การนา
แนวพทืน้างฐนา้ีมนาใทช่ีตใ้ นอ้ กงาใรชพก้ ฒั บั นกาวาชิ ราวชิจีพัยครเูกจึงอื กบ่อใทหกุ เ้ กเิดรปือ่ รงะโยชน์อยา่ งมากต่อการสอนของครู ไม่วา่ จะเป็นดา้ น
กลุ่มท่ี 2 สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) หรือสถิติอนุมาน
เป็นสถิติที่ใช้สรุปค่าสถิติไปยังค่าพารามิเตอร์ ใช้ในกรณีท�ำการวิจัยกับกลุ่ม
ตวั อยา่ ง โดยมากจะใชใ้ นการทดสอบสมมตุ ฐิ านทนี่ กั วจิ ยั ตงั้ ไว้ (Hypothesis
Testing) หรอื การทดสอบความมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ (Test of Significance)
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
70
หลกั การเลอื กสถติ ใิ หเ้ หมาะสม
1. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั เพอ่ื บรรยายขอ้ มลู (กรณที ำ� กบั ประชากร
ทงั้ หมดใช้สถิตบิ รรยาย) หรอื สรปุ อ้างองิ จากกลุม่ ตัวอยา่ งไปยังคา่ ประชากร
(กรณีทำ� การวจิ ัยกับกลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งใชส้ ถิตบิ รรยายและสถติ อิ า้ งองิ )
2. จ�ำนวนกลมุ่ ตวั อยา่ งทีใ่ ชม้ กี ่กี ลมุ่
3. ข้อมลู ทเ่ี กบ็ รวบรวมมาอยูใ่ นระดับใด นามบญั ญัติ เรียงอนั ดบั
อันตรภาค อตั ราส่วน
4. 34ตวั แปรทใี่ ชม้ กี ตี่ ัวแปร
สถิติให้เหมาะสม การนำ� เสนอขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ
คข์ องการวจิ ยั เพื่อบรรยายขคอ้ รมูนูลัก(กวริจณัยีทคากวบั รปนร�ำะเชสากนรอท้ขงั ห้อมมดูลใชใส้ หถ้นิติบ่ารสรนยาใยจ) แหลรือะมีความหมาย
อยา่ งไปยงั ค่าประตชวั าอกยร่า(งกเรชณน่ ีทาการวจิ ยั กบั กลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งใชส้ ถิติบรรยายและสถิติ
1. การน�ำเสนอพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้กราฟแสดง
ตวั อยา่ งท่ีใชม้ ีก่ีกแลนุ่มวโน้ม
รมวีกบี่ตรวั วแมปมราอยใู่ นระดบั ในดกั เนรายี 1มนบคญันทญ่ี ตั ิ เรคียะงแอนนั นดคบั รงอั้ ทนั ่ี ต1รภาคคะอแตันรนาคสร่วง้ั นที่
35 2 คะแนนครงั้ ที่ 3
8
28 7 9
อมูลเชิงปริมาณ 3 4 6 9
นาเสนอขอ้ มูลใหน้ ่าสนใจแล4ะมีความหมาย ตวั 5อยา่ งเช่น 6 8
พฒั นาการเรียนรู้ของนักเรียน5โดยใช้กราฟแสดง6แนวโน้ม 6 7
ที่ คะแนนคร้ังท่ี คะแนนคร้ังที่ 10
23 8
58 6
79 4
69 2
68
6 70
123
อการเปรียบเทยี บข้อมูลโดยใช้แผนภูมิแบบต่างๆ วิชาการ
15%
ความถี่ ร้อยละ วิทยาศาสตร์
23%
รวมมาอยใู่ นระดบั ใด นามบสอญั า้รงุญปออตัิงา้ิ)เงรอียิงงจอานั กดกบัลุ่มอตนั วั ตอรยภา่ างคไปอยตั งัรคา่าสป่วรนะชากร (กรณีทาการวจิ ยั กบั กลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งใชส้ ถิติบรรยาย
วแปร 2) จานวนกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชม้ ีกี่กลุ่ม
นชนะปาิแงอรกนปียาขน576626รรบอค้ ิมเรเมร้ทังาียทูลณยี นี่ใบหรขคู้ขน้ ะ้ออแ่ามนงสูลนน398987นคโักใดรเ้จังรยทแียใี่ ลชน้ะแโมผด1ีคนย068402 2วใภช.า ูมน้มกคกัิแรหก2นเ2431บรามที.ยาฟบ34กค11นี่าร)))ารแต ยกนรูวขตนส่าร1านตทิอวง้ัำ�กดัร้อรววคๆัแากสมยเนวงนาชิะยเอสปาาูลสาแจิแายยิายลรรนศนนยรเทันกกสา่า์ตคน81354ทคะาว่ีเงออยาานกคูนดวส่ีใเโขรรรชก็บอนชรี้ตัง้อ่นนพทา้รม้มรม่ีวราีก์ฒั ูลเบเี่ตสคนปเรชวันะาว2ริแแงอกมนปียปาขน65762มรบรรอค้ าิมเรมเรอ้ังาทีคยทูลยณนี่วูใ่ยีใ1นหร6759าบ3คู้ขรมน้ ะขะอถแ่าด้อนงส่ี บนน88939ัมนค3ใักลูใรดเ้จังรโทแนีดยี่ ลนายะมโใมรดบ312111ช้อีคย0462872522ญั ้แยวใ.....ญช50555ผาล้มก00000ตันะรหิ ภเารมฟียมูาแงยแิ อสตบนัดวั บงดอแบัตยนา่า่อวงงนัเโชนๆต่น้7มรภ1าค อตั ราส่วน0
5 วทิ ยาศาสตร์ 6 6 7 วิชาการ
1 2
23% 15%
ความถ่ี ร้อยละ
6 15.00 2) การนาเสนอการเปรียบเทยี บข้อมูลโดยใช้แผนภูมิแบบต่างๆ
2.1) ร้อยละ สารคดี
5 12.50 ความถ่ี ร้อยละ 12% วทิ ยาศาสตร์
7 17.50 รายการ 23%
13 32.50 วชิ าการ 6 15.00
9 22.50 สารคดี 5 12.50 แผ
นิยาย 7 17.50 นิยาย
17%
ก3า3ร์%ตวกนู ทิารย์ตานูศาสตร์ 13 32.50
9 22.50
14
12 การ์ตนู
10 33%
จำนวน ันกเ ีรยน 8
6
รคดี นิยาย การ์ตนู วิทยาศาสตร์
4
5 7 13 9
2
0 วชิ าการ สารคดี นิยาย การ์ตนู วทิ ยาศาสตร์
ชดุ ข้อมลู 1 6 5 7 13 9
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
72
2.2 ค่าเฉลี่ย ระดบั ความพงึ พอใจ
X SD
ประเดน็ 3.52 0.12
4.31 0.11
เนอื้ หา 3.95 0.09
4.54 0.82
ครผู สู้ อน 4.82 0.43
สอ่ื
35 การวดั ผล
บรรยากาศ
ะดบั ความพึงพอใจ เนือ้ หา 35
X SD 5
3.52 0.12 ผ้สู อน
4.31 0.11 2.2) ค่าเฉลยี่ 4
3.95 0.09 3
4.54 0.82
4.82 0.43 บรรยากาศ 2 ระดบั ความพึงพอใจ
ประเด็น 1 X SD
เน้ือหา 0 3.52 0.12
ครูผสู้ อน 4.31 0.11 บรรยากาศ
สื่อ 3.95 0.09
การวดั ผล 4.54 0.82
การวดั ผลบรรยากาศ 4.82 0.4ส3อื่
6
5 การวดั ผล
4
สอ่ื การวดั ผล บรรยากาศ 3
2
ณภาพ 1
0
งขอ้ มูลเชิงคุณภาพท่ีวิเคราะห์แลว้ เนจือ้ ะหาอยูใ่ นลกัผ้สูษอณน ะคาบรรสยือ่ าย จากกขารอ้ วมดั ผูลล บรรยากาศ
ล่า การสัมภาษณ์ บนั ทึกจากการสังเกตของครู หรือบนั ทึกของผเู้ รียน เป็ น
การวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
จยั ควรเขา้ ใจในการวเิ คราะห์ขอ้โมดูลยเธชริงรคมุณชภาาตพิลกั ษณะของขอ้ มูลเชิงคุณภาพท่ีวเิ คราะห์แลว้ จะอยูใ่ นลกั ษณะ
73
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ
โดยธรรมชาติลักษณะของข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีวิเคราะห์แล้ว
จะอยใู่ นลกั ษณะคำ� บรรยาย จากขอ้ มลู ทคี่ รรู วบรวมมาในรปู ของคำ� บอกเลา่
การสัมภาษณ์ บันทึกจากการสงั เกตของครู หรือบันทกึ ของผู้เรียน เป็นต้น
แนวทางเบ้ืองต้นท่ีครูนักวิจัยควรเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูล
เชิงคณุ ภาพ
1. การใชข้ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพเปน็ ขอ้ มลู ประกอบในงานวจิ ยั ของครู
โดยปกตจิ ะเปน็ การนำ� ขอ้ มลู ทคี่ รเู กบ็ รวบรวมไดม้ าใชเ้ สรมิ และยนื ยนั ขอ้ มลู
การวิเคราะห์ข้อมูลกระท�ำได้ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ทั้งนี้ครูอาจจะเลือก
ข้อมูล ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องมาบรรยาย ซ่ึงอาจจะใช้ค�ำพูด (quotes) ของ
ผู้เรียน หรือผ้ใู ห้ขอ้ มูลจากแหลง่ ขอ้ มูลอืน่ ๆ มาเสรมิ การบรรยายผลการวิจยั
ของครเู พิ่มก็ได้
2. การใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลหลักในการวิจัยของครู
ในกรณีน้ีมีลักษณะของการวิเคราะห์ที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่ากรณีแรก
ซ่ึงนักวิชาการด้านการวิจัยคุณภาพได้แบ่งระดับของการวิเคราะห์ออกเป็น
3 ระดบั คอื
2.1 การวเิ คราะหเ์ ชงิ บรรยาย ระดบั นเี้ ปน็ การวเิ คราะหเ์ บอื้ งตน้
เพื่อน�ำเสนอข้อมูลรายละเอียดตามข้อเท็จจริง ประกอบกับการตีความของ
ครูที่ทำ� วจิ ยั โดยมกี ารน�ำค�ำพูดของผูใ้ หข้ ้อมลู จากแหล่งขอ้ มูลที่เกยี่ วข้องมา
เขียนประกอบ
2.2 การวิเคราะห์ความเช่ือมโยง ระดับนี้เป็นการหารูปแบบ
ความเชื่อมโยงในขอ้ มลู เพอื่ ใชใ้ นการอธิบายข้อค้นพบทีล่ ึกซง้ึ มากขน้ึ
2.3 การสรา้ งทฤษฎจี ากขอ้ มลู ระดบั นเ้ี ปน็ การวเิ คราะหข์ น้ั สงู
เพอื่ ให้ไดข้ ้อสรุปเชงิ ทฤษฎีจากรูปแบบของความเช่อื มโยงต่างๆ จากข้อ (2)
ซ่ึงทฤษฎีทไี่ ด้เรยี กว่า ทฤษฎีจากฐานราก (grounded theory)
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
74
อย่างไรก็ตามส�ำหรับการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนน้ัน
ครคู วรใหค้ วามสนใจการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทจ่ี ะทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ ทจี่ ะเปน็ ประโยชน์
ต่อครูในการจัดการเรียนการสอน มิใช่การสร้างทฤษฎี ดังน้ันจึงใช้การ
วิเคราะห์ขอ้ มูลเฉพาะในระดับที่ 1 และ ระดับท่ี 2 เทา่ น้นั ก็เพียงพอแลว้
ขน้ั ตอนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ มดี งั น้ี
1. การวิเคราะหข์ นั้ ต้น ขั้นนีเ้ ป็นการวเิ คราะหข์ อ้ มูลทดี่ �ำเนนิ การ
ในระหว่างท่ีครูเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น ภายหลังที่ครูด�ำเนินการสังเกต
พฤตกิ รรมของผเู้ รยี น ภายหลงั ทไี่ ดพ้ ดู คยุ /สมั ภาษณ์ ผเู้ รยี น เปน็ ตน้ ในขน้ั ตอนนี้
ส่ิงที่ควรด�ำเนินการ ได้แก่ การบันทึกข้อมูล การถอดเทปบทสัมภาษณ์
(ถ้ามี) และการจดบนั ทกึ ขอ้ สงั เกตต่างๆ ที่พบ
2. การจดั กลมุ่ ขอ้ มลู ขน้ั นคี้ รอู าจเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการจดั กลมุ่ ของขอ้ มลู
ล่วงหน้าแล้วจัดท�ำตารางแสดงความสัมพันธ์ของค�ำส�ำคัญท่ีก�ำหนดไว้
อ่านข้อความ/ข้อมูลแล้วขีดเส้นใต้ข้อมูลที่ตรงกับค�ำส�ำคัญที่ก�ำหนดไว้น้ัน
พร้อมทั้งก�ำหนดประเด็นต่างๆ ลงในช่องตารางเพื่อเตรียมหาความสัมพันธ์
ในกรณีทขี่ อ้ มลู ไมส่ ามารถจดั เขา้ กล่มุ ได้ ใหจ้ ัดแยกไว้ตา่ งหาก
การนำ� เสนอและการแปลผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู คอื การนำ� ผลการ
วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาน�ำเสนอในรูปแบบที่ท�ำให้เข้าใจง่าย เป็นการยืนยัน
ผลการใชน้ วัตกรรมว่า ได้ช่วยแก้ไข หรอื พฒั นาการเรียนรู้ได้ผลอยา่ งไรบา้ ง
การนำ� เสนอทำ� ไดห้ ลายลกั ษณะเชน่ นำ� เสนอในรปู ของการบรรยายความเปน็
รอ้ ยแกว้ ธรรมดาหรอื นำ� เสนอในรปู ของตาราง ถา้ หากขอ้ มลู นนั้ มตี วั เลขมาก
หรอื นำ� เสนอในรปู แบบของแผนภมู แิ ทง่ วงกลม หรอื เสน้ ตรง จะเลอื กใชแ้ บบ
ไหนกข็ ้ึนอยูก่ บั ขอ้ มูลน้ันๆ
75
ตวั อยา่ งการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีได้มาจากการสัมภาษณ์ปัญหา
กา้ วรา้ วของเด็กชายสัญญา
ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณเ์ ด็กชายสัญญา (นามสมมุต)ิ
วนั ท่สี ัมภาษณ์ 19 มกราคม 2550
ขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ ้นั ตน้ ของผู้วจิ ยั
“ที่บา้ นไม่มีใครกล้าวา่ ผมได”้ ทางบ้านไมใ่ ห้ความสนใจเด็ก
“ผมท�ำผิดทุกคนกเ็ ฉย” ชายสญั ญาเทา่ ท่ีควร
“คนทผ่ี มเชอ่ื ก็ไม่อยูแ่ ลว้ ไปกรงุ เทพฯ
ดีทไ่ี มม่ ีใครมาคมุ ผม”
“วนั น้นั นอ้ งปว่ ยยายตะคอกให้ดูนอ้ ง ชอบประชดครอบครัว
ผมก็เดนิ หนเี ลย” และโรงเรยี น
“วันนั้นเห็นครูดผุ มผมแกล้งท�ำเปน็ ไม่
สนใจเลย”
“วันนน้ั ครพู ูดดีกบั ผมวา่ ครูตาฝาดหรอื
เปลา่ เธอเรยี บรอ้ ยจัง คาบนนั้ ผมก็ไม่
เอาเสื้อออกนอกกางเกง”
“เพ่อื นชมวา่ โห..นายกล้าขัดคำ� สัง่ ครู คิดว่าพฤตกิ รรมก้าวร้าวเป็น
นายแน่มาก” เรอื่ งปกติ เปน็ ท่ียอมรบั ของ
“ครดู ผุ มมนั เป็นเรื่องปกติผมชินแล้ว” เพ่อื น
“ด่ากด็ ่าไปสิ ชา่ งคร”ู
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
76
เกณฑก์ ารแปลความหมายของขอ้ มลู ประเภทตา่ งๆ
1. แบบทดสอบ แบบปรนยั หลายตัวเลอื ก
ความยากง่าย (p) ที่ใช้ไดอ้ ยรู่ ะหวา่ ง 0.2 ถงึ 0.8
เกณฑพ์ จิ ารณา (p) ความหมาย
0.80 – 1.00 งา่ ยมาก
0.60 – 0.79
0.40 – 0.59 คอ่ นขา้ งงา่ ย
0.20 – 0.39 ยากงา่ ยปานกลาง
0 – 0.19
คอ่ นขา้ งยาก
ยากมาก
อ�ำนาจจำ� แนก (r) ท่ีใชไ้ ด้ ตงั้ แต่ 0.2 ขึ้นไป
เกณฑพ์ จิ ารณา (r) ความหมาย
0.60 – 1.00 ดมี าก
0.40 – 0.59 ดี
0.20 – 0.39 พอใชไ้ ด้
0.10 – 0.19 คอ่ นขา้ งตำ�่ ควรปรบั ปรงุ
0 – 0.09 ตำ�่ มาก ควรปรบั ปรงุ
2. แบบวัด/แบบประเมิน ท่ีมีลักษณะมาตรประมาณค่า (Rating
Scale) เช่น 5 ระดบั 5 4 3 2 1 เชน่ แบบวดั ความพึงพอใจ แบบประเมิน
ความเหมาะสม เป็นต้น
ชว่ งคะแนน ความหมาย
4.51 – 5.00 มากทส่ี ดุ
3.51 – 4.50 มาก
2.51 – 3.50 ปานกลาง
1.51 – 2.50 นอ้ ย
1.00 – 1.50 นอ้ ยทส่ี ดุ
77
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบรบู รกิ ส์ (Scoring Rubric) เปน็ เกณฑ์
ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ (Performance Assessment) ทตี่ อ้ งกำ� หนด
รายละเอยี ดใหค้ ะแนนอยา่ งชดั เจน แบง่ เปน็ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบภาพรวม
(Holistic Rubric Score) และเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกสว่ น (Analytic
Rubric Score)
ทม่ี าภาพ : สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาวิชาชีพครสู ำ� หรับอาเซยี น มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
7
คมวีก7าาม8รรพู้สฒั ึกเนปา็นตชวั ุมเอชงน(กWารiเlรiaียmน,รDู้ (.L,e2a0r1n1in:gวิจCาoรmณm์ uพnาiนtyิช) ภ, 2าย5ใ5น7:หซอ้ างโเรตียนมานาบุ, 2559) รวมท้ังร่วมกันสร้าง
(Dขigนั้itaตl Lอภeานaพrทnขiี่nอ8gง)สกเื่ชอา่สนรนเกขับารยีสเนนรียุนรนกากายรางรเราสียนอนนวรอจิู้ คอยั รนูผไูส้ ลอนน์ eจ-lะeตarอ้ nงinใgช้สจดัื่อสแภลาะพเทแควโดนลโ้อลมยทีม่ีเอาส้ือนแลับะสยนึดุนหกยาุ่นรตเร่อียกนารรู้
เรียนรู้ไดท้ ุกทกี่ทาุกรเวรลาย(Fงliาppนeผd ลClกasาsrรoวomิจ)ัยสม่งีจเสุดริมมใุ่งหหผ้ เูม้ รียานยไเดพแ้ ื่อสดนง�ำศเกั สยภนาอพอของงคต์คนเวอางอมอรกู้ใมหาอ้ ยา่ งเตม็ ที่
เป็นรกะลบ่าวบโดยชสัดรุปเจเนม่ือแกลาระจเดัชก่ือาถรศือึกไษดา้สสาห�ำรหับรศตับวกรราษรทวี่ ิจ21ัยมชีคั้นวาเมรเียปลน่ียน(แCปlลaงsทs้งั rวoธิ ีกoาmรจดั การเรียน
สกอคกา่างภาRเรรคนพาไสe์กพิยดอื่อาแมsร้นรใวeับทหขดทคaาอเ้ลศัวงหrง้อนาเcคท21น็มมครh..รคทูต ู้แกแ)โิเม่ีบาชลนคสราิบะมงโภพำ� บขทงีหลถฒัา่าวี่อสยยาลพกนางีๆมคัคกากปคชไญขวักาวัญ้ปนัาอคารามสเมหือรสงรู่เกีเยคกชคราสานื่วอาปทุาร�ำทารเรมนคผี่เมพ่ีเวกั่อนนส้ลัญต้ิจือิดตพากนตยัมคขนฒัา่อเา/อือ้ึนเรนกรวองวถกาาัตงรนทกจิใับเถคชวกรัยัานีปุค้วยตษั รนาตวกกัะรแมารรแวัเะมูส้ขยรรลอสรืมอดดะยี ูย้องงทหนงคยานค่ ศัหยว่างกั์ขนุง่นาหลเสมอครีวัักยกตรสงนข้าิาฐกรทงรอ้้าากาสกัจงทนารษรูสงรวรเี่ะใหรปขคิจจกรรร์ยีตาคัย(ับือรtน์นhเทคปขeเใิดกัอลน้อaษงbท่ียรมiนะกัlแาiูลกกษtลยyาาปะะงรtรกoครสาเราhื่ะนวอีรยaาแสกนnมเกdารอชปต้lูร้ทeน่บัรญี่ไทkะปหnกั หoไาษwกนทะลlักแeกั กdลใษวgนะะeา่
effectively in3or.d erวtธิoกีusาeรiอt cอreกaแtivบelบy)วถจิ ือยั เปแ็ นสทดกั งษระาทยี่สลาะคญเั อจยี าเดป็กนรสะาหบรวับนกกาารเรปว็ นจิ นยั ักทเรงั้ียหนมในดศตวรรษที่
21 ถือเป็ นส่ิง4ที่.ท า้ ทผาลยกในากราวรจิ ทัยี่จะพฒั นาการเรียนรู้เพื่ออนาคต ให้นกั เรียนมีทกั ษะ ทศั นคติ ค่านิยม และ
บุคลิกภาพส่5วน. บุบคคทลเรเพยี ื่อนเทผชไ่ี ิดญเ้กรับยี อนนราู้ คคตวดร้วรยาภยางพาในนผทลากงบาวรกวพิ (oาpกtimษiร์smาย) ทล่ีมะีทเอ้ังยีควดาขมอสงาเร็จและมี
ควกามาสรุขท�ำวิจัยในทุกข้ันตอนกบั เพ่ือนร่วมงาน
ท่ชี ดั เจนดกแ้าวกรลยาทกะร่ีตรผเะ้อขู้อบงยีมวน่ื นนอี สงกราคาา์คมรยทวางา่ีเรชามถ่ือนรู้ถทอวือ่ีถา่จิ แกูนยั ลสงเะรปาต้านน็งรขวโวึจน้อจิสอกยัอยา่บาไสงดไเขหด้อ้มอจยาึงง่าะจคงสารเเมปขนู ก็นา้ กับั อใผวจยู้เ่จิารงแียยั ยนลใิ่งนสะ(Aากนหpาpำ�รรrับไoสปชpร้ัrนใiา้ชaเรงt้ไีeยสดdนรง้Kขร่าnอคยoงอw์คมlรงาeูใคdกนgค์ ขeยว)คุึน้ าปมัจจรุบู้ ัน
การศึกษาช้ันสเร�ำียหนร(ับLeกssาoรnเขStียuนdyร)ายงานวิจัยแบบเป็นทางการ (Formal) หรือ
การวกจิ ายัรศเชึกงิษวาชิช้นาั กเราียรนเ(ปA็นcวaธิ dีกeารmพiฒัcนRาeวชิseาชaีพrcคhรูท)่ีเมกิสดี ขว่ ้ึนนมปารนะานกแอลบะใเรนิ่มรตาน้ยใงนาปนรแะบเทง่ ศอญอี่ปก่ ุนแลว้ ขยาย
แนเปวคน็ ิดอ3อกสไ่วปนทใวั่หโญลก่ ดสงัานหรี้ ับประเทศไทยผูร้ ิเร่ิมในการนาแนวทางน้ีมาใช้ในโรงเรียนเป็ นท่านแรกคือ
ไมตรี อินทร์ป1ร.ะ สิทสธว่ ์ิ (น25น4ำ�6 อปา้ งรถะึงกในอบนฤดม้วลยอินทร์ประสิทธ์ิ,2552) นฤมล อินทร์ประสิทธ์ิ (2552) ไดเ้ ขียน
แiนบรm้อนวททกpยตัวคrกร่สีกoทววะvรังาาา่eรดกงมปmมกีาเดัทeพาษ(n่ีผรIื่อtnา่อ)พ ใnนแหอ่ัฒoมลv้เนนากะa11tิเดาแiปoว..ลค็12nนิชะว) วาไาทปปชิธดมี่เีีพกร้กปเกขับา็คนหใรา้ กรวใทนนูาทจิธ่ีครา้ีเี่กยกรเจปาูจอเ่ียปร็ มนะะว็ น(รกกบเMัผบหบัาอeูผ้ตรกมtกลปhลาือoกัชอรรdดัดบศอน่ื )นัึมกปรหกาใษารลวัหบุยางกัา่ ้ชเกปงกเ้ใันปาาิดนกร็นนเกรสกหวีากยาอรธินนรานปีกพร้า(ารดฒวัLรับท้วจิeทนยปsุกยัี่ทsาตรoวปาุวังชnิชใกขรหอื่าSาอชะt้กผรuงีพสากวdู้ครคyอจิารส)รนูเยัรอูอไใดนนวงแว้ ว้ปแด(ลย่าีTขรลตะ้ึeนะกวัะหaเาอขทcรพนยhอศศeา่ว่งิมญึrงกค-ยยี่พปlษรeงงัูุ่่นdเาย์าใอชนืทiสนง้nัน่ีมเs่ไกเtน่ัรมrิดuียค่ตขcนง้tอึ้นioเเงเปปมnร็็aนนื่ออl
ผูเ้ ชี่ยวชาญจา กภา1ยน.3อ กบโทดยคจัดุดยป่อระสซงึ่งคเ์หปล็นกั ขห้อรืสอจรุดุปเนข้นอกง็คกือานรักวเิจรียัยน(คStวuรdeปnรt-fะoกcuอseบd)ดด้วงั ยน้ัน การนา
แนเวนทือ้ างหนา้ีมทาใี่สช�ำใ้ คนัญการไพดฒั ้แนกา่ววชิ ตั าชถีพปุ ครระูจึงสกง่อคใหข์ เ้อกงิดกปาระรโวยิจชัยน์อวยธิา่ งีกมาารกวติจอ่ กัยารผสลอสนรขุปองกคารูรไวมิจ่วา่ยั จะเป็นดา้ น
และข้อเสนอแนะ
79
1.4 กิตติกรรมประกาศ เป็นการกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความ
ช่วยเหลือในการวิจัยหรือให้ความร่วมมือต่างๆอาจจะเป็นบุคคลหรือ
หนว่ ยงานก็ได้
1.5 สารบัญ ซ่ึงประกอบด้วย สารบัญเน้ือหา สารบัญตาราง
สารบัญภาพ หรือแผนภมู ิ
2. สว่ นเนอ้ื หา ประกอบดว้ ย
บทท่ี 1 บทน�ำ ประกอบดว้ ย
2.1 ความเปน็ มาและความสำ� คญั ของปญั หา เขยี นรายละเอยี ด
เกย่ี วกบั ความเปน็ มา สภาพปญั หาทมี่ หี ลกั ฐานบง่ ชดั วา่ เปน็ ปญั หาทมี่ อี ยจู่ รงิ
และสามารถด�ำเนินการวิจัยได้ งานวิจัยที่ผ่านมาในอดีต เหตุผลและ
ความส�ำคัญท่ตี ้องท�ำวิจยั
2.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย มีจุดมุ่งหมายท่ีต้องการอะไร
ต้องการวจิ ยั อะไรบ้าง (อาจเพิม่ ค�ำถามของการวิจัย)
2.3 ขอบเขตของการวจิ ยั เปน็ การเขียนอธบิ ายใหเ้ หน็ ภาพว่า
ขอบเขตของการวจิ ยั แคไ่ หน ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ หค้ ำ� ตอบเปน็ ใคร
วิจัยเนอื้ หาใด ตวั แปรท่จี ะวจิ ยั คอื อะไรบ้างวจิ ัยชว่ งเวลาไหน พืน้ ทีว่ ิจัยใด
2.4 นยิ ามศพั ทเ์ ชงิ ปฏิบตั ิการ มีค�ำบางค�ำที่เป็นศพั ท์เฉพาะที่
เกย่ี วข้องกับการวจิ ัย ตอ้ งให้ค�ำจ�ำกดั ความ ความหมายที่ชดั เจน และนำ� ไป
สกู่ ารปฏิบตั ไิ ด้ เพื่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทีต่ รงกัน ไมส่ บั สน
2.5 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ จากการวิจัยน้ีผู้วิจัยต้องระบุ
ให้ชัดเจนว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการวิจัยครั้งน้ี ท้ังระดับบุคคล
หนว่ ยงานทีค่ าดว่าจะน�ำผลการวจิ ัยไปใช้
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
80
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ ง
ในบทนจ้ี ะเรยี บเรยี งเอกสารทฤษฎี หลกั การ แนวคดิ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง
กับงานวิจัย งานวิจัยในอดีตที่ผ่านมา ผู้วิจัยต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์
และสงั เคราะหเ์ อกสาร เพอื่ ใหเ้ หน็ ถงึ สภาพขององคค์ วามรอู้ ดตี และปจั จบุ นั
จัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย และเห็นถึงกรอบแนวคิดของ
การวจิ ัย
บทท่ี 3 วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั
ในบทท่ี 3 ประกอบด้วย รายละเอียดทเี่ กีย่ วข้องดังนี้
3.1 ประเภทของการวิจัย การวิจัยน้ีเป็นวิจัยประเภทใด
เทคนิคใด แบบแผนการวิจยั ใด
3.2 ตัวแปรที่ต้องท�ำการวิจัย อาจเป็นตัวแปรต้นหรือตัวแปร
จัดกระท�ำท่ีเป็นนวัตกรรมท่ีน�ำมาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน ตัวแปรตามท่ีเป็น
ปัญหาของผู้เรียนทีต่ อ้ งการแก้ไขปรบั ปรงุ พัฒนา
3.3 กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มผู้ให้ข้อมูล เป็นใครบ้าง ได้มา
อย่างไร มีจ�ำนวนเทา่ ไร
3.4 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อการวิจัย
มีอะไรบ้าง มีวิธีการสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือเหล่านั้นอย่างไร
ลกั ษณะของข้อค�ำถามครอบคลุมประเดน็ ใดบ้าง เก่ียวกบั เรือ่ งใดบ้าง
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล อธิบายให้เห็นว่าข้ันตอนการเก็บ
รวบรวมมาอย่างไร ใช้วธิ กี ารใดในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลที่รวบรวมมาได้จัดหมวดหมู่
อยา่ งไร และวิเคราะห์แบบใด ใชส้ ถิตใิ ดในการวเิ คราะห์
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ในบทที่ 4 จะนำ� เสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ตามวัตถปุ ระสงค์
ของการวจิ ัย ซึ่งการนำ� เสนออาจทำ� ได้หลายรูปแบบ เช่น เปน็ การบรรยาย
ข้อความ นำ� เสนอด้วยตาราง กราฟ แผนภาพ แผนภูมิ ภาพถ่าย เป็นต้น
81
บทท่ี 5 สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
ในบทท่ี 5 ผวู้ ิจยั ควรจะแยกประเดน็ เปน็ 3 ประเดน็ ดังนี้
5.1 ผลการวิจัยโดยสรุป เป็นการเขียนสรุปผลการวิจัย
มีรายละเอียดในเร่ืองวัตถุประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการ
เกบ็ รวบรวมข้อมลู และสรุปผลการวิจยั ตามวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั
5.2 อภิปรายผล เป็นการน�ำเอาประเด็นหลักท่ีได้จากการ
วิเคราะห์มาอภิปรายในรูปแบบของความสัมพันธ์หรือเหตุผล โดยใช้ข้อมูล
สารสนเทศหรอื หลกั ฐานงานวจิ ยั มาสนบั สนนุ รวมทงั้ ใชค้ วามคดิ เหน็ อธบิ าย
เพม่ิ เตมิ หรอื ใชข้ อ้ มลู จากคำ� ถามปลายเปดิ มาสนบั สนนุ ขอ้ สรปุ หรอื อธบิ ายวา่
ท�ำไมผลการวจิ ัยจงึ เปน็ อย่างนั้น
5.3 ขอ้ เสนอแนะจากผลการวจิ ยั เปน็ การนำ� เสนอแนวคดิ หรอื
ข้อคิดเห็นในการศึกษารวบรวมขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ หรือนำ� เอาผลไปใช้ เป็นส่วน
สำ� คญั มากทก่ี ารเขยี นตอ้ งใหม้ คี วามเปน็ ไปไดแ้ ละเปน็ รปู ธรรม โดยอาจใหข้ อ้
เสนอแนะในเชงิ นโยบาย หรอื ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ มบี คุ คลหรอื หนว่ ยงานทสี่ ามารถ
นำ� ขอ้ เสนอแนะไปปฏบิ ัติได้
3. สว่ นภาคผนวก ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื บรรณานกุ รม เปน็ การ
รวบรวมเอกสารทใี่ ช้ในการอา้ งอิงในการวิจัย หรือเก่ียวขอ้ งกับเน้อื หาท่ีวจิ ัย
โดยเขยี นใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ทางบรรณารกั ษศาสตร์ และภาคผนวก เปน็ สว่ น
ของรายงานทผ่ี วู้ จิ ยั สามารถนำ� เอาเอกสารตา่ งๆทไ่ี มส่ ามารถใสไ่ วใ้ นเนอ้ื เรอื่ ง
ได้มารวบรวมไว้ในส่วนนี้ ซึ่งอาจจะเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบฟอร์มหรือรายช่ือต่างๆ ภาพถ่ายกระบวนการ กิจกรรม ผลิตภัณฑ์
ทเี่ ห็นว่าจ�ำเปน็ ตอ้ งแสดงไว้
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
82
คณุ ภาพของงานวจิ ยั
สุวิมล ว่องวาณิช (2545) ได้กล่าวว่า ความตรงเป็นส่ิงที่ต้องให้
ความส�ำคัญในการท�ำวิจัย งานวิจัยแต่ละช้ินต้องสามารถตอบคำ� ถามส�ำคัญ
2 ประการ ได้อย่างชัดเจน คอื งานวจิ ัยนั้นใหผ้ ลการวจิ ัยจรงิ ตามท่กี ล่าวอ้าง
หรอื ไม่ และผลทไี่ ดจ้ ากการวจิ ยั สามารถเชอ่ื ไดห้ รอื ไม่ ความตรงของการวจิ ยั
อยู่ที่ความสามารถในการชี้แนวทางการพัฒนาปรับปรุงการท�ำงานส�ำหรับ
ผปู้ ฏบิ ัติ
หลกั เกณฑ์สำ� คัญในการพจิ ารณาคุณภาพของงานวจิ ัย มีดังนี้
1. การสรา้ งความรู้ใหก้ ับสาขาวชิ า
2. ความเหมาะสมระหว่างค�ำถามวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย
กระบวนการรวบรวมข้อมลู และเทคนคิ การวิเคราะห์ขอ้ มลู
3. วิธีการรวบรวมข้อมูลและเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลที่เลือกมา
ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิผล
4. ความส�ำคัญและประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย หรือคุณค่าของ
การวิจัย ผลการวิจัยนำ� ไปสูก่ ารปรบั ปรุงการปฏิบัตทิ างการศกึ ษา
5. ความสามารถในการสรุปรวบยอดให้เป็นที่เข้าใจได้ ซ่ึงเป็น
คณุ ภาพรวมในเชงิ ทฤษฎแี ละเทคนคิ โดยตอ้ งมกี ารคำ� นงึ ถงึ ความรทู้ สี่ รา้ งขนึ้
ความกระจา่ ง ความเก่ยี วข้อง และสมรรถนะของกระบวนการวจิ ัย ค�ำนงึ ถึง
การสร้างความสมดุลระหว่างคุณภาพของเทคนิค คุณค่าของการวิจัย และ
ความเส่ียงท่ีเกิดข้ึนจากการวิจัย และค�ำนึงถึงการใช้ความรู้เชิงทฤษฎีต่างๆ
มาอธบิ ายความหมายของขอ้ มลู ทีม่ ีอยู่
การประเมนิ คณุ ภาพงานวจิ ยั
ความจำ� เปน็ อกี ประการหนงึ่ สำ� หรบั นกั วจิ ยั คอื ตอ้ งมคี วามรู้ เกยี่ วกบั
การประเมินงานวจิ ัย (Evaluation of research) เพอื่ ใหส้ ามารถคัดเลือก
งานวิจัยต่างๆ ที่มีคุณภาพมาไว้ใช้ประกอบการศึกษาเพ่ิมเติมให้เกิดความรู้
83
และความเข้าใจท่ีกว้างข้ึนในการท�ำวิจัยของตน อีกท้ังให้ทราบว่าในการ
ประเมินงานวิจัยน้ันมีการพิจารณาในเรื่องใดบ้าง เพื่อท่ีว่าตนจะได้สามารถ
ทำ� งานวจิ ยั ใหม้ ีความถกู ตอ้ งสมบูรณ์ และมีคณุ ภาพย่ิงขึน้
การประเมินงานวจิ ยั น้นั อาจพจิ ารณาได้ใน 2 มิติ ดงั น้ี
1. มติ ดิ า้ นคณุ คา่ ซึง่ เป็นการพิจารณาประโยชน์หรอื ความสำ� คัญ
ของงานวจิ ยั นน้ั เชน่ ชว่ ยแกป้ ญั หาเรง่ ดว่ น ปญั หาสำ� คญั พฒั นาสง่ิ ใหม่ หรอื
เปน็ ประโยชน์ในเชงิ วชิ าการ เช่น ทดสอบทฤษฎี สร้างองค์ความรใู้ หม่
2. มิติด้านคุณภาพ เป็นการพิจารณาถึงความถูกต้อง เหมาะสม
ตามหลักของการวิจยั ทีด่ ีการประเมนิ คุณภาพ การประเมินคุณภาพงานวิจัย
นน้ั เปน็ การพจิ ารณาในด้านวิธวี ิทยาการวิจัย (Research Methodology)
ในมติ ดิ า้ นคณุ ภาพอาจพจิ ารณาถงึ คณุ สมบตั ขิ องงานวจิ ยั ทดี่ ี ดงั นี้
1. งานวิจัยต้องมีความตรงภายใน (internal validity) หมายถึง
มีการควบคุมตัวแปรหรือเหตุการณ์ที่จะส่งผลต่อสิ่งท่ีนักวิจัยก�ำลังศึกษา
เพื่อให้ได้ผลวิจัยท่ีเช่ือถือได้ ในภาษาสถิติเรียกว่า มีการควบคุมตัวแปร
แทรกซ้อน ปัจจัยที่มีผลต่อความตรงภายใน ได้แก่ เคร่ืองมือ และการ
ออกแบบการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ถา้ เครอื่ งมอื วดั ไดต้ รง จะทำ� ใหน้ กั วจิ ยั ไดข้ อ้ มลู
ทม่ี คี วามตรง และถา้ นกั วจิ ยั เลอื กการวเิ คราะหท์ ถ่ี กู ตอ้ งจะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลสรปุ ท่ี
ถูกต้องด้วย ดงั นัน้ ความตรงภายในจึงแสดงถงึ ความน่าเชอ่ื ถอื ของผลวิจยั
2. งานวิจัยมีความตรงภายนอก (external validity) หมายถึง
ความถกู ตอ้ งในการนำ� ผลวจิ ยั ไปใชไ้ ด้ ในภาษาสถติ เิ รยี กวา่ ผลวจิ ยั สามารถ
สรุปอ้างอิงไปสู่กลุ่มประชากรได้ ปัจจัยที่มีผลต่อความตรงภายนอก คือ
การได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่าง และการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
ถ้าตัวอย่างที่ได้มีความเป็นตัวแทนและเลือกใช้สถิติได้เหมาะสม มีผลท�ำให้
การอ้างอิงมปี ระสทิ ธภิ าพดีดว้ ย
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
84
เกณฑพ์ จิ ารณาคณุ ภาพของงานวจิ ยั ชน้ั เรยี น
1. ช่ือเร่ืองวิจัยแสดงให้เห็นตัวแปรของนักเรียนท่ีเป็นปัญหา
มีความชัดเจน กระชับ และสมบูรณ์
2. ความเป็นมาและความส�ำคัญของปัญหาแสดงเหตุผลให้เห็นว่า
เป็นปญั หาในช้ันเรียนที่ควรไดร้ บั การแก้ไขด้วยกระบวนการวิจัย
3. ก�ำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้สอดคล้องกับปัญหาและ
สามารถหาคำ� ตอบได้
4. ก�ำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เหมาะสม เป็นกลุ่มท่ีต้องแก้ไข และ
สามารถแกไ้ ขได้
5. ตัวแปรชัดเจน (ตน้ /ตาม/ควบคุม) มคี วามสอดคลอ้ งกับปญั หา
นกั เรยี น และพฒั นาได้
6. มีทฤษฎีหรือแนวคิดมาสนับสนุนกระบวนการพัฒนา/แก้ไข/
ปรับปรุง
7. นวัตกรรมท่ีน�ำมาใช้มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมกับ
ปญั หาของนกั เรียน
8. ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมท้ังที่เป็นข้อมูล
เชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ
9. แสดงหลักฐานร่องรอยการพัฒนาท่ีชัดเจน (กราฟ/แผนภูมิ/
ภาพ/ช้ินงาน/ผลงานฯลฯ)
10. มีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และแปลผลวิจัยได้อย่างถูกต้อง
(ใชส้ ถติ ิได้เหมาะสมกบั ขอ้ มลู )
11. เขยี นรายงานผลการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย มคี วามถกู ตอ้ ง
และเหมาะสม
85
12. ผลการวิจัยเกิดประโยชน์ต่อนักเรียน (พัฒนาได้ตรงจุดของ
ปญั หา)
13. ผลการวิจัยสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ได้
(พฒั นาความเป็นครูมืออาชพี )
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
86
ตอนท่ี 3 ตัวอยา่ งงานวิจัย
ตัวอย่างงานวิจยั เร่อื งที่ 1
ป่าชายเลนสูก่ ารพฒั นาศิลปะและภาษา1
อำ� พร ไหวพริบ2
“ครผู ใู้ หก้ ำ� ลงั ใจ”
อาจารย์อ�ำพร ไหวพริบ สอนในระดับช้ันอนุบาล 1 และ 2
ในโรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่บนเกาะในภาคเรียนแรก ได้บทเรียนจากการ
วจิ ยั ของตนเองวา่ สอื่ การสอนเปน็ สงิ่ จำ� เปน็ สำ� หรบั นกั เรยี นในระดบั อนบุ าล
เพื่อถักทอให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเรียนรู้จาก
สิ่งแวดล้อมใกล้ตัวจะท�ำให้เด็กเข้าใจได้ดี เพราะเชื่อมโยงกับชีวิตประจ�ำวัน
ของเขาเอง ในภาคเรียนท่ีสอง สิ่งท่ีรบกวนจิตใจของผู้สอนคือนักเรียนไม่มี
ความคิดสร้างสรรค์ เม่อื ให้เด็กวาดภาพตามจนิ ตนาการ จะมผี ลงานออกมา
เหมอื นๆ กนั จากการสะท้อนความคิดจึงสรุปได้ว่าเพราะครูใชค้ �ำสั่งกับเดก็
และให้แรงเสริมเฉพาะคนเก่ง ท�ำให้นักเรียนที่เหลือขาดความม่ันใจ
เมอ่ื ครปู รบั ยทุ ธศาสตรก์ ารสอนใหม่ โดยใชส้ อ่ื จากแหลง่ เรยี นรแู้ ละเปดิ โอกาส
ให้นักเรียนร่วมกันออกเสียงและลงมติในส่ิงที่สนใจ และให้แรงเสริมกับเด็ก
ทุกคนเพือ่ เป็นกำ� ลงั ใจในการเรยี น ภาพผลงานของนักเรียน จงึ เปน็ เรื่องเล่า
ของตนเองตามศกั ยภาพท่มี อี ยู่ ขอแต่ให้ “ครเู ป็นผูใ้ ห้กำ� ลังใจ” Minci ut
1งานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารภายใตโ้ ครงการสรา้ งความเขม้ แขง็ สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษาในประเทศไทย (SEET)
2อาจารยโ์ รงเรยี นบา้ นคลองประสงค์ หมู่ 2 คลองประสงค์ ต.คลองประสงค์ อ.เมอื ง จ.กระบ่ี 81000
87
ขา้ พเจา้ นางอ�ำพร ไหวพริบ ต�ำแหนง่ อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียน
บ้านคลองประสงค์ มีประสบการณ์การท�ำงาน 19 ปี ปัจจุบันท�ำการสอน
ระดับชั้นอนุบาล 1 และอนุบาล 2 สภาพโรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก
ตง้ั อย่บู นเกาะ ซ่ึงได้รบั คัดเลือกเปน็ โรงเรียนในพื้นท่พี เิ ศษ มีจ�ำนวนนักเรียน
94 คน ครู 7 คน นกั การภารโรง 1 คน การเดนิ ทางไปโรงเรยี นตอ้ งโดยสาร
ดว้ ยเรอื หางยาว ใชเ้ วลาในการเดนิ ทางจากบา้ นไปโรงเรยี นประมาณ 10 นาที
โรงเรียนบา้ นคลองประสงค์ เป็นโรงเรียนหนง่ึ ทไ่ี ด้รับคดั เลือกใหอ้ ยู่
ในโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาแห่งประเทศไทย (SEET) เร่ิมโครงการตั้งแต่
ปีการศกึ ษา 2545 เปน็ ตน้ มา ขา้ พเจา้ และเพือ่ นครไู ดเ้ ขา้ ร่วมอบรมพฒั นา
ตนเองเกย่ี วกบั วธิ กี ารสอนสงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษาทกุ ครง้ั จนในปกี ารศกึ ษา 2546
ได้มีกิจกรรม “การวิจัยปฏิบัติการ” ของโครงการ SEET ข้าพเจ้าได้สมัคร
เข้าร่วมในการวิจยั นด้ี ้วย ในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2546 โดยการบันทึก
Diary แลว้ สรุปเป็นกรณีศกึ ษา 1 เรื่อง
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 ข้าพเจ้าก็ได้เข้าร่วมเป็นอาสา
สมัครในกิจกรรมการวิจัยปฏิบัติการอีกคร้ังหน่ึง และเข้าร่วมประชุมปฏิบัติ
การประมาณมกราคม 2547 ณ ห้องประชุมเหลืองกระบ่ี หลังจากน้ันก็
กลบั ไปโรงเรยี น ข้าพเจา้ เร่มิ ทบทวนปญั หาตา่ งๆ ท่เี กดิ กบั เด็ก ปรากฏวา่
มปี ญั หาหนง่ึ ทข่ี า้ พเจา้ พบมาตลอดและซำ้� ซาก ไมเ่ ขา้ ใจวา่ ทำ� ไมถงึ เปน็ เชน่ น้ี
ทง้ั ๆ ทข่ี า้ พเจา้ คิดวา่ ตวั เองสอนดีทส่ี ุดแล้ว เหตเุ กดิ ในกิจกรรมสร้างสรรค์
จะมีกิจกรรมหนึ่งท่ีจะต้องจัดให้กับเด็กคือ การวาดภาพระบายสีตาม
จินตนาการ เม่อื ข้าพเจ้าส่ังงานเด็กก็จะท�ำงาน ข้าพเจ้ากลับมาน่ังทโ่ี ต๊ะบา้ ง
เดนิ ดเู ดก็ บา้ ง สว่ นใหญจ่ ะดทู ช่ี น้ิ งานทสี่ ำ� เรจ็ แลว้ เดก็ จะเขา้ แถวเรยี งลำ� ดบั
มาส่งงานครู ผลงานของเด็กส่วนใหญ่โดยเฉพาะอนุบาล 2 จะคล้ายกัน
ซงึ่ ขา้ พเจา้ สงั เกตวา่ หลายครงั้ แลว้ ทเี่ ปน็ อยา่ งนี้ กพ็ ยายามซกั ถามเดก็ วา่ ทำ� ไม
คลา้ ยกนั ละ่ ลกู มเี ดก็ ผหู้ ญงิ คนหนง่ึ ซงึ่ มคี วามพรอ้ มในดา้ นตา่ งๆ ดมี าก ขา้ พเจา้
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
88 43
หสกขซ่จิึา้างนพเขก่รึงาร้็เจซจทกนจพรแ่ึงา้งึ็ชลมี่ำ�เลสจมทสะใ่มว้า้ี่ัคงหสรำ�คงเว้เาใังชาดะเ้่างหเนดม็กกสยกเข้กจ็ตพรดเาะวรสคา้ร็กเรา่ค้อขพมกนห์ใมา้็จอหลจเแอใะจะาถวแน้นื่ทยมา้ว่าดรคาๆีกเรงาง้รถิจี้ยนาังเวกรงึงนสแตารสลู้บลร่ารดาวกึ้งามิมดขทๆภไงหบัา้ก่ีเมพาอปดมนบั ็ม่ีพเนม่าอ้ึงจเสทาอนั่ดา้!สก่งกยี่จก็ใวงา่ะทลจางขใยตบันนนันา้อ้ แมค้พี ทงบมรกาลเจูจนวีา็ีพคดัะผา้ ง่ังา่ยใวกขลทคหา็ชางผยา่ีก้รามมาโดลนบัง้ัมเตคชกคขเทซด๊ะยิดอจ็กัว็กขบี่เงสถจะคาา้า้เาดมืมงิอนมพม็กอผีตเเสดวเเชกดลจ่น่วาก็ าอ่ืินนกวรา้าวมาวด่ใชรกาทหาูเะน่ัดดมดาาญทภ็ไกภใรเ่โมาชนบบาดทพคพ้ายยตกี่สสลงรเคฉนบัา้ะวรยพนบยเส้เากอดาา่งเวมนัะยกงก็นสีคอลสง่ควใรน่ะีไตอหามลนรุบามูญยกมคก่าอคลจบู่่จ์ลดนื่ิดมินะ2อ่จา้ีีเมดดตดินคยจูวา้ท็กนตะๆดิผก่ียชาคนกหู้ิ้นลาาญง้รกาายิงาเนคกมรนันททื่อ่ีี่
สร้างอสอรรกคน์ดีอมากกลนู่นี่ลอ่ะกคท่ะ ากงารใขห้้าแรพงเเจสร้าิมคกิดับวเด่า็กวใิธนีกบาารงสครอ้ังนก็จขะอมงีผคลรกูมระีผทลบกกับับเเดด็ก็กคมนาอก่ืนจดน้วยในจึงทาให้
ข้าพเบจ้าาถงึงคบรา้ังงทอ้อ�ำ!ใหท้เันดท็กีวข่า าผดลทค่ีขว้าาพมเจค้าิดชมรเิเชรยิ่มคนกเกา่งรอยย้อู่บ่นอยถๆาทมาตใหัว้เดเอ็กงควน่าอทื่นๆี่เดร็กู้สเึกปไ็นม่มเช่ัน่นใจนแี้ ละขาด
ความเเพชื่อรมา่ันะใอนะตไนรเอขงา้ ไพม่กเจลา้้าคติดอ้ องอกกานรอใกหล่เู้นดอก็กเทกางดิ ขกา้าพรเคจา้ ดิ คแิดวลา่ ะวกิธีกาารรกสรอะนทขอำ� งลครกั ูมษีผณลกะบั เเชด็กน่ มนาี้กจนใน
บางคคร้ังือทาใหเ้ ด็กขาดความคิดริเริ่ม การยอ้ นถามตวั เองวา่ ท่ีเดก็ เป็นเช่นน้ีเพราะอะไร ขา้ พเจา้ ตอ้ งการใหเ้ ด็ก
เกิดการคิดและการกระทา ลกั ษณะเช่นน้ี คือ
กล้าคดิ กล้าตัดสนิ ใจ กลา้ ทาอยา่ งมัน่ ใจ
ความคาดหวงั ของครูต่อการคดิ และการกระทาของนักเรียน
ควขาา้มพคเจาา้ ดเริ่หมววางังขแผอนงเคพื่อรทตู ดอ่ ลกอางรใชคว้ ดิ ธิ แีกลาระใกหา้เดร็กกไรดะเ้ รทียนำ� รขู้ออยงา่ งนสกั ร้าเรงสยี รนรค์ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั แนวคิด
ของ ศาสตราจารยศ์ รียา นิยมธรรม วา่ เดก็ เล็กๆ น้นั ความอยากรู้อยากเห็นจะเป็ นพ้ืนฐานท่ีสาคญั ซ่ึงนาไปสู่
ความคิดสร้างสขรร้าคพ์ เหจา้กาไเรด่ิมร้ ับวกาางรแส่งผเสนรเิมพแ่ือละทสดนลบั อสงนใุนชก้ว็จิะธเีกิดาครวใาหม้เมดุ่ง็มกน่ัไดท่ีจ้เะรทียานสิ่รงใู้อหยม่าๆงโดยการ
หลอมสรรว้ามงอสงครค์รวคาม์ รซู้เดึ่งิมสใอหดเ้ กคิดลเป้อ็นงอกงคับค์ วแามนรู้วใหคมิด่ ขแลอะงส่ิงศทา่ีเดส็กตคิดรหาาจกาไรดยร้ ับ์ศกราียรยากยนอ่ งิยหมรืธอชรมรเมชยกจ็ ะทา
ให้เดว็กา่มเีคดวก็ ามเลมก็ นั่ ๆใจนมน้ัากขค้ึนวาคมวอายมคาิกดสรอ้รู ้ายงาสกรรเหค์เน็ ป็จนะสเ่ิงปทน็ี่มพีอยนื้ ู่แฐลา้วนต้งัทแส่ี ตำ�่เดค็กญั หซางึ่ กนไำ�ดไร้ ปับสกคาู่ รวสา่งมเสริมด้วย
กสค่วรงเะาสมบสทครควิมง่ิดิำ�ิดนทวสสเกิคธพเี่ง่ิราดีวก่ืใอรา้ าหกา็ทเงมรรคมบสีคหยดิิทดนๆ่รรสืหวรอรโูน้รทคกาด้ายี่รสก์งยอ้ะสหรไกนบ้ดารางกาวรร้ กสคนลรบั ไทร์บหักกดร่ีมแาลคาร้รีอลอ์รขับยะมยอู่อถเกดางการ็กจาคมวยหรกรตมอู่า็สจสวั ยองะเง่าไอหมมงเปงสีคการวไรราอค์ื่าดถริม้ชเวพทมแาม่ือฒาั มลไเเนดชดระ็กาย้อเู้สขมดยก้นึนีป่ามิ จ็ งัับแญใะหตหหสทล่ใเ้านนาำ�กเกกนุใทดิ ่ียหหากเวลงเ้ปก็จดตาบัน็ะยรก็ กงเอมกขกางรคี้าันิดควพวขคาค์เาดา้จววมมภา้ าานหมามมพาาน่ั คมกทรใววใู้ี่งุ่คจาห่ามลมมเดมา้ั่นราย็กู้่แทกคแไลลขี่จมละึงนึ้่ไะะปกดนรั ้ระับมแกลวาละร
รายลคะเวอียาดมขคอิดงภสารพ้ากง็มสกั มรีนรคอ้ ย์เปพ็นอสที่จิ่งะทสี่มรุีปออยอู่แกลม้วาเตป็น้ังแเหตต่เุแดล็กะผลหดางั นก้ีได้รับการส่งเสริมด้วย
กรคะรบูสวั่งงนากนารเรยี นรทู้ ส่ี รา้เดงก็ สปรฏรบิ คัต์ เิ ดก็ กจ็ ะมกี าเรกพดิ ผฒั ลนงาานขทน้ึ ค่ี แล้าตยใ่ คนลทงึ กานั งตรงกนั ขา้ ม
หายกดึ วค่านเเดกก็่งเไปม็ นไ่แดบร้บับการสค่งรูเใหส้แรรมิ งเสครวิมาคมนคเกิด่งสรา้ งสครนรอค่ืน์ทขาีม่ ดีอคยวาูอ่ มาเชจ่ือหมานั่ ยไปได้
ครูต้องการแก้ไข ค้นหาตัวเอง วางแผน ดาเนินการ
เกดิ ปัญหา แก้ไข พอใจ
การดาเนินการของขา้ พเจา้ จะยดึ เด็กเป็ นศูนยก์ ลาง เริ่มแรกก็ใชว้ ิธีการใหเ้ ด็กไดเ้ ลือกโดยยดึ เสียง
89
วิธีการหรือกระบวนการของครูสามารถท�ำได้อย่างหลากหลาย
ข้าพเจ้าน�ำความรู้และประมวลความคิด เพื่อทบทวนย้อนกลับและถามตัว
เองวา่ เมอ่ื เดก็ มปี ญั หาเกย่ี วกบั การวาดภาพทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั และรายละเอยี ด
ของภาพก็มักมนี ้อย พอท่จี ะสรุปออกมาเป็นเหตแุ ละผลดงั นี้
ครูสง่ั งาน เด็กปฏบิ ตั ิ เกดิ ผลงานทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั
ยดึ คนเก่งเปน็ แบบ ครใู หแ้ รงเสรมิ คนเกง่ คนอนื่ ขาดความเชอื่ มน่ั
ครตู อ้ งการแก้ไข คน้ หาตวั เอง วางแผน
ดำ� เนินการ
เกดิ ปญั หา แก้ไข พอใจ
การดำ� เนินการของขา้ พเจ้าจะยึดเดก็ เป็นศนู ย์กลาง เริม่ แรกกใ็ ช้วิธี
การให้เด็กได้เลือกโดยยึดเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ เมื่อถึงเวลาท�ำกิจกรรม
สรา้ งสรรคจ์ ะใหเ้ ดก็ ออกนอกชนั้ เรยี น แลว้ เลอื กธรรมชาตริ อบตวั เปน็ แบบใน
การวาด โดยเนน้ ตน้ ไมบ้ รเิ วณโรงเรยี นเปน็ หลกั ครง้ั แรกเมอื่ เดก็ ออกไปนอก
หอ้ งเรยี นกม็ ปี ญั หาวนุ่ วายมาก เพราะเดก็ จะไมค่ อ่ ยกลบั มาหอ้ งเรยี นพรอ้ มกนั
กเ็ ลยตกลงกนั ใหมอ่ กี วา่ เมอื่ ออกไปดอู ะไรกต็ อ้ งดใู หล้ ะเอยี ด และถา้ จบั ตอ้ ง
หรอื สมั ผสั ไดก้ ต็ อ้ งทำ� ทดลองทำ� อยา่ งนป้ี ระมาณ 7 ครง้ั เดก็ เรมิ่ มจี นิ ตนาการ
เชน่ มรี ายละเอยี ดของภาพเพม่ิ ขน้ึ จากทต่ี น้ ไมเ้ ปน็ ตน้ ไมม้ กี งิ่ กา้ น หลงั จาก
ใช้วิธีการเรียนรู้จากของจริง เด็กสามารถวาดโดยมีใบ กิ่งก้านดอก และผล
โดยแตล่ ะคนกจ็ ะไมเ่ หมอื นกนั ในเรอ่ื งของการวางลกั ษณะของภาพ การตง้ั ชอ่ื ภาพ
ส่วนประกอบย่อยในภาพ เช่น จะมีสัตว์และคนประกอบ เพ่ือเพ่ิมความ
สมบูรณ์ของภาพ บางคนก็สามารถจินตนาการว่า ต้นไม้พูดได้ เขาบอกว่า
“อยา่ มาเดด็ ฉนั นะ ฉนั เจบ็ ” ผลงานกแ็ ตกตา่ งกนั ออกไป แตข่ า้ พเจา้ มคี วาม
รู้สกึ วา่ เด็กเร่ิมเบื่อกบั การออกไปนอกหอ้ ง หลงั จากนน้ั ข้าพเจ้าเรม่ิ ใหเ้ ดก็ ได้
เลา่ เรอื่ งเกยี่ วกบั ภาพของตนเอง เพอื่ ตอ้ งการใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาดา้ นภาษาไปดว้ ย
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
90
ตน้ เดอื นกุมภาพันธ์ 2547 ขา้ พเจ้าเรม่ิ ทบทวนสิ่งท่ไี ดท้ �ำกบั เด็กวา่
ผลเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เพ่ือเป็นแรงดึงดูดให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น
ในบางคร้ังเวลาที่ข้าพเจ้าให้เด็กท�ำกิจกรรมนั้นมากบ้างน้อยบ้าง จึงท�ำให้มี
ผลตอ่ กระบวนการคดิ ของเดก็ เพราะถา้ เวลามากเกนิ ไปเดก็ กจ็ ะเบอ่ื ถา้ เวลา
น้อยเกินไปเด็กก็จะรีบ จึงหาวิธีการที่จะให้เด็กได้มีอิสระในการคิด โดยท�ำ
หนังสือถึงผปู้ กครองขอความร่วมมือในการทำ� กิจกรรมกับเด็ก
ข้าพเจ้าเริ่มวิธีการที่ 2 เมื่อผู้ปกครองตอบรับมา ข้าพเจ้าก็จัดหา
สมดุ วาดเขียนเลม่ เล็กและสเี ทยี นคนละ 1 กล่อง เพื่อไว้ท�ำกจิ กรรมการวาด
ภาพทบ่ี า้ น โดยใหผ้ ปู้ กครองมสี ว่ นรว่ ม สว่ นเรอื่ งทจ่ี ะวาดกเ็ ปน็ เรอ่ื งเกย่ี วกบั
ปา่ ชายเลน ซง่ึ เดก็ จะคนุ้ เคยมาก เพราะใกลบ้ า้ นจะมปี า่ ชายเลนทกุ คน กอ่ น
จะให้งานเด็กทุกคนข้าพเจ้าถามเด็กก่อนว่า ลูกอยากวาดอะไร เก่ียวกับป่า
ชายเลน เม่อื เด็กบอกข้าพเจา้ ก็บันทึกเอาไว้ทหี่ วั กระดาษทุกคร้ัง เม่ือเด็กน�ำ
ผลงานมาส่งข้าพเจ้าก็จะถามถึงบทบาทของผู้ปกครองและบทบาทของเด็ก
ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ผลงาน ตอนแรกๆ ผปู้ กครองมีสว่ นรว่ มในการทำ� ผลงานมาก
หลงั จากนน้ั กจ็ ะลดบทบาทลงเรอื่ ยๆ ในเรอ่ื งของการวาดภาพ สว่ นภาระงาน
ที่โรงเรียน ข้าพเจ้าก็จะให้เด็กเลือกแหล่งเรียนรู้เอง เสียงส่วนใหญ่เลือก
เอาป่าชายเลนหลังโรงเรียนเป็นแหล่งศึกษา ในการสอนแต่ละคร้ังข้าพเจ้า
จะสอดแทรกวธิ กี ารสงั เกต สำ� รวจ เพอื่ เดก็ จะไดฝ้ กึ การสงั เกตอยา่ งมจี ดุ หมาย
สามารถพูดอธิบายได้โดยวิธีการพูดคุย สนทนา โต้ตอบ เพ่ือกระตุ้นให้
เด็กได้คิดค�ำถามท่ีใช้ส่วนใหญ่จะเน้นท่ีค�ำถามปลายเปิด เช่น วันน้ีไปเที่ยว
ป่าชายเลนแล้วลูกเห็นอะไรบ้าง ชอบอะไรท่ีสุด ที่ชอบเพราะอะไร
ใบโกงกางมลี กั ษณะอยา่ งไร ฯลฯ และจะใหโ้ อกาสเดก็ แสดงความคดิ เหน็ ทกุ คน
เม่ือเด็กท�ำได้ก็จะให้รางวัลท่ีเรียกว่า “แรงเสริม” การสอนในบางครั้งก็ได้
เชญิ วิทยากรมาให้ความร้เู พิ่มเตมิ กบั เดก็ โดยเฉพาะความรูเ้ ก่ียวกับ พชื สัตว์
และส่งิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปา่ ชายเลน ขา้ พเจา้ จะเชอ่ื มโยงเน้ือหาทส่ี อนใหเ้ ขา้ กับ
91
สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา อยา่ งเชน่ เรอื่ งศาสนาของเรา ฟังเรอื่ งแลว้ ไมน่ า่ จะเชอ่ื ม
โยงกนั ได้ ดงั นน้ั ขา้ พเจา้ ไดเ้ ชญิ ผทู้ ม่ี คี วามรเู้ กยี่ วกบั ศาสนาอสิ ลามมาใหค้ วามรู้
กับเด็ก ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่ด้วย ก็รู้ว่าแม้แต่อัลเลาะห์ก็ยังเป็นห่วงเร่ืองการ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ วิทยากรพูดให้เด็กฟังว่า ให้ทุกคนใช้ทรัพยากร
ให้คุ้มค่าและยาวนานที่สุด ทุกครั้งที่เด็กวาดพืช หรือสัตว์ในป่าชายเลน
ก่อนวาดเด็กจะต้องออกไปดูมาก่อน เม่ือวาดแล้วเกิดความสงสัยหรือ
จ�ำไม่ได้ก็สามารถไปดูซ�้ำได้อีก ในขณะที่วาดข้าพเจ้าก็จะมีแบบสังเกต
พฤตกิ รรมการร่วมกิจกรรมของเดก็ ทกุ ครัง้ ดังนี้
ท่มี าภาพ : สถาบนั วิจยั และพฒั นาวชิ าชีพครู ส�ำหรบั อาเซยี น
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้พัฒนาการเรียนการสอน
92
แบบสงั เกตพฤตกิ ร4ร6มการรว่ มกจิ กรรม
วนั ท.่ี ว..นั..ท.แ..#ี.บ.....บ......ส....งั...เ..ก.เ.ด.ต..พเอื ดฤนอื ตน.ิก...ร.....ร...ม....ก.....า...ร...ร..พ.่วพ.มศ.ก.ศจิ....ก...ร...ร....ม.....................
เลขเทล#ีขที่ ชื#อ -ชสื่อกุล- สกุล ความคสวนาุกมสสนนาุกนสนานการมกีสา่วรนมรีส่วว่มนร่วมควาคมวสานมใสจนใจ หหมมายาเยหเตหุ ตุ
มี มี ไมม่ ีไมม่ ี มี มี ไมม่ ไี มม่ ี มี มี ไมไม่ ีม่ ี
ผลของ ปัญหา
วธิ ีการ
คิด
ทบทวน
แกป้ ัญหา หาวิธีแก้
ปัญหา วางแผน
ชินI งาน ร่วมดว้ ยชว่ ยกนั
ครู+ผปู้ กครอง
เมอ#ื เดเม็กนื่อาํ เผดล็กงานนม�ำาผสล่งงกา็จนะใมหาเ้ ดสก็ ่งเล่ากเก็จีย# ะวกใบัหผ้เลดง็กานเขลอ่างเตกน่ียเอวงกเปับ็นปผรละงโายคนพขรอ้อมงกตบั นตIงเั อช#ืองภาพ
ขอเงปตน็นเอปงรดะว้ ยโยทคกุ พครรIัง้อขา้มพกเจบั า้ จตะ้ังบชนั ทอ่ื ึกภคาาํ พพดู ขของเตด็กนไเวอ้ เงชดน่ ้วผยลทงากุนกคารั้งวาขด้าภพาพเขจอ้างจนะอ้ บงชนั าคทริกึต คใน�ำเร#ือง
“ป่ าพชดูายขเลอนงขเดองก็ ผไมว”้ ใเนชวน่ นั ทผ#ี 1ล0งมาีนนาคกมา2ร5ว4า7ดเขภาเาลพ่าวข่าอ“ใงนนปอ้่ าชงาชยาเลคนรมติ ีตน้ ใไนมเม้ราอื่ กงมา“ยปครา่ ับชคารยู มเีสลัตนวด์ ว้ ย
พกา่อรขคผใมอรหไับเ้งวปผกลคหามารารแป”วูลมิจดูะใยัาํสีโนใปอัตนฏกวปวบิานั ่สา์ดตั ชทกกิว้าบัาี่ยย1รผเลใ0ูเ้พนรนียคมอ่เนวรนีผIลังนาามกนIีทคาไIาํราํปมขใใIนึหชห2มค้ข้ า5ากาั้ํ ปถพ4จาะเดู7จมม้าำ�ปีปไเใลขดลนา้เาายปตปเเลปวลั า่ิี#ยใดา่ ชนหสวแญาอา่ ปยดข่ ลI“แนึเงลทมใตนรนาวักดปเอเว้เพาย่วงื#อ”เชลกกี#ยาารเวปยะนก็นตเำ้�บัลุน้ตขเนใน้รน้ึ#ืหอมงเ้มดกตี ็กกัาน้ ไรจดใไชะค้ม้ิดมม้แหปีาตลกลล่งอมาดตาจยเัวรนียกนารรู้
ใหใ้แหรงญเส่ขริมน้ึ กมบั าเดด็ก้วทยกุ ”คนเปเพน็ #ือตเปน้็นกาํ ลงั ใจในการเรียนตอ่ ไป และอย่าคาดหวงั มากเกนิ ไป เพราะเดก็ แต่
ละคนมคี วามพร้อมไมเ่ หมอื นกนั
ความเปลี#ยนแปลงของผูเ้ รียนจากการใช้แหล่งเรียนรู้เกี#ยวกับป่ าชายเลนและการใช้วิทยากรใน
ทอ้ งถ#ินตลอดจนธรรมชาติรอบตวั เป็ นแบบในการสร้างผลงานดา้ นศลิ ปะ และการเล่าเร#ืองจากผลงานของ
93
การวิจัยปฏิบัติการในครั้งน้ีท�ำให้ข้าพเจ้าได้เปล่ียนแปลงตัวเอง
เก่ียวกับเรื่องการใช้แหล่งเรียนรู้ การให้เวลาและโอกาสกับผู้เรียน การใช้
คำ� ถามปลายเปดิ สอดแทรกเพอื่ กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ไดค้ ดิ ตลอดจนการใหแ้ รงเสรมิ
กบั เดก็ ทกุ คน เพอ่ื เปน็ กำ� ลงั ใจในการเรยี นตอ่ ไป และอยา่ คาดหวงั มากเกนิ ไป
เพราะเดก็ แต่ละคนมีความพรอ้ มไม่เหมอื นกนั
ความเปลย่ี นแปลงของผเู้ รยี นจากการใชแ้ หลง่ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั ปา่ ชายเลน
และการใชว้ ทิ ยากรในทอ้ งถน่ิ ตลอดจนธรรมชาตริ อบตวั เปน็ แบบในการสรา้ ง
ผลงานด้านศิลปะ และการเล่าเร่ืองจากผลงานของตนเอง สามารถพัฒนา
ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามคดิ จนิ ตนาการดา้ นศลิ ปะ และภาพดขี น้ึ กวา่ เดมิ นอกจากนนั้
ยังทำ� ใหผ้ ู้เรยี นเกิดทักษะและมพี ฤติกรรมที่แสดงออกในทางบวกดังนี้
- เดก็ มีความเช่อื มน่ั ในตนเอง
- เดก็ กลา้ คิดกล้าตดั สนิ ใจ
- รจู้ กั ใชป้ ระสบการณเ์ ดมิ ผสมผสานกบั ความคดิ จนิ ตนาการ เชน่
การวาดต้นโกงกางในป่าชายเลน แล้วมีนกบินมาเกาะที่กิ่ง
บางคนกม็ รี งั มดแดงอยทู่ ต่ี น้ ไมด้ ว้ ย ทงั้ ๆ ทเ่ี มอ่ื ไปสงั เกตแลว้ ไมม่ ี
แสดงวา่ เดก็ คดิ จติ นาการไปวา่ นก และมดแดงควรจะอยทู่ ต่ี น้ ไม้
บางคนกว็ าดตน้ จาก แลว้ วาดผลของตน้ จากเพมิ่ มกี ารวาดระดบั
ของน�้ำ ซึ่งมีสัตว์อาศัยอยู่ เช่น ปู ปลา กุ้ง และแบ่งพื้นที่
ในการวาดเป็นสว่ นๆ เชน่ นำ�้ พ้ืนดิน และทอ้ งน�ำ้
- ร้จู กั แสดงออกและภาคภมู ใิ จในผลงานของตนเอง
- เดก็ มีความใกลช้ ิดกบั ผปู้ กครองมากข้ึน
- เดก็ และผู้ปกครองได้เรยี นรู้รว่ มกัน
- เดก็ ได้ศกึ ษาปา่ ชายเลนอย่างละเอียด
- เดก็ เหน็ คณุ ค่าของปา่ ชายเลน
การวิจัยช้ันเรียน (Classroom Research):
กระบวนการสร้างความรู้เพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอน
94
การปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารของครสู ง่ ผลตอ่ ผเู้ รยี นในเชงิ บวกมากกวา่ เชงิ ลบ
การท�ำวิจัยปฏิบัติการของโครงการ SEET เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถ
พฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การทเ่ี ราจะพฒั นาผเู้ รยี นใหเ้ กดิ ผลตาม
ทค่ี าดหวงั ในบางครงั้ เราตอ้ งยอ้ นถามตวั เองวา่ ผลทเี่ กดิ มาจากสาเหตอุ ะไร
แลว้ ตอ้ งทำ� อยา่ งไรกบั ปญั หานนั้ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ แนวทางในการพฒั นาตนเอง
ในอนาคต
วธิ กี ารทข่ี า้ พเจา้ ใชเ้ พอ่ื พฒั นาทกั ษะดา้ นศลิ ปะและภาษา ซงึ่ จรงิ ๆ แลว้
อาจจะมวี ธิ กี ารอนื่ ๆ ทส่ี ามารถนำ� มาใชแ้ ละเกดิ ผลได้ เหมอื นกบั ทข่ี า้ พเจา้ ได้
เสนอไวแ้ ลว้ ซง่ึ วธิ กี ารทข่ี า้ พเจา้ ไดใ้ หเ้ ดก็ ทำ� งานและเรยี นรรู้ ว่ มกบั ผปู้ กครอง
ทบี่ า้ น เมอ่ื ดจู ากผลงานแลว้ เดก็ สว่ นใหญว่ าดภาพเกย่ี วกบั ปา่ ชายเลน และ
พูดเล่าเรื่องผลงานของตนเองท่ีบ้านและที่โรงเรียน ผลจะคล้ายคลึงกัน
แต่ก็ไม่ได้มีข้อจ�ำกัดว่า จะเกิดผลดีกับเด็กทุกคนเสมอไป เพราะมีเด็ก
จำ� นวน 2 คน ทมี่ ผี ลของการใชว้ ธิ กี ารใหท้ ำ� กจิ กรรมระหวา่ งโรงเรยี นกบั บา้ น
ไม่เหมือนกันคือ ผลงานการวาดภาพที่โรงเรียนจะมีรายละเอียดของภาพ
มากกว่าท่ีบ้าน ข้าพเจ้าก็ได้ถามเดก็ 2 คน น้ี เขาก็บอกว่า ข้เี กียจ ไมว่ ่าง
เพราะต้องไปเรียนเกี่ยวกับศาสนา เพราะฉะน้ันวิธีการแต่ละวิธีการจะสรุป
ไมไ่ ด้เสมอไปวา่ พฒั นาไปในทางบวกกับเด็กทกุ คน
ในการทำ� วจิ ยั ครงั้ นท้ี ำ� ให้ ขา้ พเจา้ มที กั ษะการเขยี นกรณศี กึ ษาเพมิ่ ขน้ึ
และจะบันทึก Diary ตลอดไป เพื่อเป็นกุญแจหรือกระจกส�ำหรับมอง
ตวั เองในการพัฒนาการทำ� งานให้เปน็ ครูท่ีดขี องศิษย์