The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาการจัดการเรียนการสอน รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thanannaphat Chanakulrattana, 2022-05-15 09:28:56

รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

เนื้อหาการจัดการเรียนการสอน รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและเสอร้ากงอสงคา์ควราปมรู้ร(ะIS๑ก)อบการเรยี น

รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ตามหลกั สูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย

I3๑201

IS ๑ การศกึ ษาคน้ ควา้ ม.๕
และสรา้ งองคค์ วามรู้

Research and Knowledge Formation

โรงเรยี นสนมวทิ ยาคาร
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษาสรุ นิ ทร์



คานา

เอกสารประกอบการเรียนเล่มนี้ จัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา
การศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS1) รหัสวชิ า I๓๑๒๐๑ รวบรวมขึน้ เพือ่ ส่งเสริมการศึกษาและ
การค้นคว้าของนักเรียนด้วยตนเอง โดยมีเนื้อหาประกอบด้วยการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
การตั้งคาถาม การตั้งประเด็นปัญหา การตั้งวัตถุประสงค์ การตั้งสมติฐาน การวางโครงเรื่อง ข้อมูล
และประเภทของขอ้ มูล แหล่งข้อมูลในการแสวงหาความรู้ การสืบค้นสารสนเทศ เคร่ืองมือการสืบค้น
สารสนเทศ การศกึ ษาค้นควา้ จากห้องสมดุ การศึกษาคน้ ควา้ จากอนิ เทอร์เนต็ การเขียนรายการอ้างอิง
การเขียนบรรณานกุ รม การรวบรวมข้อมลู เคร่ืองมือการเกบ็ รวบรวมข้อมูล สถติ ิพื้นฐาน การวิเคราะห์
ขอ้ มูล การสังเคราะห์ข้อมูล การเรียบเรียงข้อมูล การนาเสนอแนวคิดและข้อค้นพบ คุณค่าการศึกษา
ค้นควา้ ด้วยตนเองและการนาเสนอรายงานจากศกึ ษาค้นคว้า

รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑) รหัสวิชา I๓๑๒๐๑ เป็นรายวิชาที่อยู่ใน
ความรับผิดชอบของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสนมวิทยาคาร เป็นการจัดการเรียนรู้ใน
สาระการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study) นับเปน็ วธิ กี ารท่ีมปี ระสิทธิภาพวิธีหน่ึงที่ใช้
อย่างกว้างขวาง ในการพัฒนานักเรียนเพราะเป็นการเปิดโลกกว้างให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่าง
อสิ ระในเรอื่ งหรือประเด็นที่ตนเองสนใจ

ขอขอบพระคณุ อาจารยช์ ลติ า คาหอม ทชี่ แี้ นะแนวทางการพฒั นาเอกสารประกอบการเรียน
ผู้เขยี นหวังเปน็ อย่างยิง่ วา่ ตาราเลม่ นจี้ ะเปน็ ประโยชน์ต่อ นักเรยี นและผู้สนใจทัว่ ไป

ธนญญน์ ภสสร์ ชนะกลุ รตั นา
ผ้เู รยี บเรียง

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

สารบัญ

คานา............................................................................................................................. หนา้
สารบัญ.......................................................................................................................... (๑)
การศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study: IS).............................................. (๒)
คาอธิบายรายวิชา.......................................................................................................... (๕)
(๖)

หน่วยการเรยี นรู้ท๑่ี ...................................................................................................... ๑
ประเดน็ ที่ฉนั สนใจ.............................................................................................. ๑
การศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ ............................................................... ๑
การต้ังคาถาม...................................................................................................... ๕
๑๐
การตงั้ ประเดน็ ปัญหา.......................................................................................... ๑๓
การตัง้ วัตถปุ ระสงค.์ ............................................................................................ ๑๕
การตง้ั สมติฐาน................................................................................................... ๒๒
การวางโครงเรอื่ ง..................................................................................................

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

สารบญั (ต่อ)

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ๒......................................................................................................... หนา้
กระบวนการรวบรวมขอ้ มลู ....................................................................................
ขอ้ มูลและประเภทของข้อมลู .................................................................................. ๒๘
แหล่งขอ้ มลู ในการแสวงหาความรู้........................................................................... ๒๘
การสบื ค้นสารสนเทศ.............................................................................................. ๒๘
เครอื่ งมือการสบื ค้นสารสนเทศ............................................................................... ๓๕
การศกึ ษาค้นคว้าจากห้องสมดุ ............................................................................... ๓๙
การศกึ ษาค้นคว้าจากอนิ เทอร์เน็ต.......................................................................... ๔๕
การเขียนรายการอ้างอิง.......................................................................................... ๔๙
การเขียนบรรณานุกรม........................................................................................... ๕๗
๖๓
๗๐

หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๓......................................................................................................... ๗๕
การสงั เคราะหแ์ ละสรปุ องค์ความรู้........................................................................... ๗๕
การรวบรวมข้อมลู .................................................................................................... ๗๕

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้

เคร่อื งมอื การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ...................................................................... ๘๕
สถติ พิ ืน้ ฐาน..................................................................................................... ๙๒
การวิเคราะหข์ ้อมูล.......................................................................................... ๙๖
การสังเคราะหข์ ้อมลู ........................................................................................ ๑๐๒
การเรียบเรยี งขอ้ มูล......................................................................................... ๑๐๗
การนาเสนอแนวคิดและข้อค้นพบ................................................................... ๑๑๐
คุณค่าการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง.................................................................. ๑๑๓
การนาเสนอรายงานจากศึกษาค้นคว้า............................................................. ๑๑๗

บรรณานุกรม............................................................................................................. ๑๒๐

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study: IS)

การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น สามารถดาเนินการได้หลากหลายวิธีและการให้
เรียนได้เรียนรู้ สาระการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study : IS) นับเป็นวิธีการท่ีมี
ประสทิ ธิภาพวิธหี นงึ่ ท่ใี ช้อยา่ งกว้างขวางในการพัฒนาผู้เรียน เพราะเป็นการเปิดโลกกว้างให้ผู้เรียนได้
ศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระในเรื่องหรือประเด็นท่ีตนสนใจ เร่ิมต้ังแต่การกาหนดประเด็นปัญหาซ่ึงอาจ
เป็น Public Issue และ Global Issue และดาเนินการค้นคว้าแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่
หลากหลาย มีการวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพ่ือนาไปสู่การสรุป
องค์ความรู้ จากนั้นก็หาวิธีการท่ีเหมาะสมในการสื่อสารนาเสนอให้ผู้อื่นได้รับทราบ และสามารถนา
ความรู้หรือ ประสบการณ์ท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าไปทาประโยชน์แก่สาธารณะ ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีเป็น
กระบวนการ ที่เช่ือมโยงต่อเนื่องกันตลอดแนว ภายใต้สาระการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
(Independent Study : IS) ซง่ึ แบ่งเปน็ 3 สาระ ประกอบดว้ ย

IS ๑ การศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation)
เป็นสาระท่ีมุ่งให้ผู้เรียนกาหนดประเด็นปัญหา ตั้งสมมติฐาน ค้นคว้า แสวงหาความรู้และฝึก
ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้
IS ๒ การสื่อสารและการนาเสนอ(Communication and Presentation)
เปน็ สาระทมี่ ุ่งใหผ้ เู้ รยี นนาความรทู้ ่ีได้รบั มาพฒั นาวธิ กี ารถ่ายทอด/สอ่ื สารความหมายแนวคิด
ขอ้ มลู และองค์ความรู้ ดว้ ยวิธีการนาเสนอทีเ่ หมาะสมหลากหลายรปู แบบ และมปี ระสทิ ธิภาพ
IS 3 การนาองคค์ วามรู้ไปใช้บรกิ ารสังคม (Social Service Activity)
เปน็ สาระท่มี งุ่ ให้ผ้เู รียน นาองค์ความรู้ ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติ หรือนาไปใช้ให้
เกิดประโยชนต์ อ่ สังคม เกดิ บริการสาธารณะ (Public Service)
โรงเรียนตอ้ งนาสาระการศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง (Independent Study : IS) ไปสู่การเรียน
การสอน ด้วยการจัดทารายวิชาออกแบบหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามแนวทางท่ี
กาหนด โดยพจิ ารณาใหส้ อดคล้องกบั บริบท วัยและพัฒนาการของผู้เรียน ซ่ึงอาจแตกต่างกันในระดับ
ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมธั ยมศึกษาตอนปลาย

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

คาอธบิ ายรายวิชา

รายวิชา การศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS1) กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1/256๕
เวลาเรยี น 40 ชั่วโมง/ภาคเรยี น จานวน 1 หน่วยกิต

ศึกษา วิเคราะห์ ฝึกทักษะต้ังประเด็นปัญหา/ต้ังคาถามในเร่ืองที่สนใจโดยเริ่มจากตนเอง
เช่ือมโยงกับชุมชน ท้องถิ่นและประเทศ ต้ังสมมติฐานและให้เหตุผลโดยใช้ความรู้จากศาสตร์สาขา
ต่างๆ ค้นคว้าแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสมมติฐานที่ตั้งไว้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ออกแบบ
วางแผนรวบรวมข้อมูล วิเคราะหข์ ้อมูลโดยใช้วิธีการท่ีเหมาะสม ทางานบรรลุผลตามเป้าหมายภายใน
กรอบการดาเนนิ งานทกี่ าหนด โดยการกากบั ดแู ล ชว่ ยเหลอื ของครูอย่างต่อเนื่อง สังเคราะห์สรุปองค์
ความรู้และร่วมกันเสนอแนวคิด วิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้วยกระบวนการคิด กระบวนการ
สืบค้นข้อมูล กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการปฏิบัติและกระบวนการกลุ่มในการวิพากษ์ เพ่ือให้
เกิดทักษะในการค้นคว้าแสวงหาความรู้ เปรียบเทียบเช่ือมโยงองค์ความรู้ สังเคราะห์ สรุป อภิปราย
เพอื่ ใหเ้ ห็นประโยชน์และคุณคา่ ของการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง

ผลการเรยี นรู้
1. ต้งั ประเดน็ ปญั หา โดยเลอื กประเด็นท่ีสนใจ เรม่ิ จากตนเอง ชุมชน ทอ้ งถน่ิ ประเทศ
2. ตง้ั สมมติฐานประเดน็ ปญั หาท่ตี นเองสนใจ
3. ออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการการรวบรวมขอ้ มูลอย่างมีประสิทธภิ าพ
4. ศึกษาคน้ คว้า แสวงหาความรู้เก่ียวกับประเดน็ ทเ่ี ลือก จากแหลง่ เรียนรทู้ ่หี ลากหลาย

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

5. ตรวจสอบความน่าเช่ือถอื ของแหล่งท่ีมาของข้อมูลได้
6. วิเคราะหข์ ้อคน้ พบดว้ ยสถติ ทิ ่เี หมาะสม
7. สังเคราะห์ สรุปองคค์ วามรู้ด้วยกระบวนการกลมุ่
8. เสนอแนวคิด การแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบด้วยองค์ความรจู้ ากการคน้ พบ
9. เหน็ ประโยชนแ์ ละคุณค่าของการศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเอง
รวม ๙ ผลการเรียนรู้

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๑
ประเด็นทีฉ่ ันสนใจ

การศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้
การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ด้วยการค้นคว้า
ข้อมูลจากสารสนเทศ จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ด้วยตนเองมากกว่าการนั่งฟังครูบรรยายให้ความรู้ใน
ห้องเรยี นแตเ่ พยี งอย่างเดียว จดั เป็นการจดั การเรียนรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั อยา่ งแทจ้ ริง

ความหมายของการศกึ ษาคน้ คว้า
การศึกษาค้นควา้ หมายถงึ กระบวนการในการคน้ หาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการตอบปัญหา

เพื่อให้เกิดความรู้ในเรื่องน้ัน ๆ ด้วยตนเอง และสามารถนาความรู้น้ันไปใช้ในการแก้ปัญหาและ
ประกอบการตัดสินใจ การศึกษาค้นคว้าจึงมีความสาคัญท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเร่ืองท่ี
เรียนมากขน้ึ และชดั เจนยิ่งขึ้น

พวา พันธุ์เมฆา (2535 : 13) ให้ความหมายของการศึกษาค้นคว้าไว้ว่า หมายถึง วิธีหรือ
กระบวนการท่ีผู้เขยี นใช้ในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง โดยสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นขัน้ ตอนอยา่ งถูกต้อง

รัถพร ซ่ึงธาดา (2539 : 144) ให้ความหมายของการศึกษาค้นคว้าไว้ว่า หมายถึง การ
สบื เสาะแสวงหาความรดู้ ้วยตนเองอย่างมีหลักเกณฑ์ คือ ใช้วิธีการหรือกระบวนการที่มีระเบียบแบบ
แผนเป็นข้นั ตอน และสามารถปฏิบัตไิ ด้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

ดังน้ัน จึงสรุปได้ว่า การศึกษาค้นคว้า หมายถึง การแสวงหาสารสนเทศในเรื่องใด เรื่องหน่ึง
และมกี ารนาสารสนเทศหรือความร้ทู ไี่ ดม้ าน้นั มาเรียบเรยี ง จัดลาดับอย่างเป็นระเบียบ มีเหตุผล โดย
การใช้ภาษาทถี่ ูกต้อง สละสลวย เพอ่ื เสนอผลจาการศกึ ษาคน้ คว้า

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)



ความสาคญั ของการศกึ ษาค้นควา้
การศึกษาค้นคว้า คือ การแสวงหาความรู้ โดยการศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับทุก

คน ทุกวัย ความมีอยู่รอบตัวเรา มิได้มีเพียงในตารา หรือจากคาบรรยายของครูในห้องเรียน เท่านั้น
การแสวงหาความรู้ หรือการเรียนรู้ เป็นพื้นฐานของการดาเนินชีวิต เพราะคนเราจาเป็นต้อง เรียนรู้
ตั้งแต่เกดิ จนตาย การเรียนรชู้ ่วยให้เกิดความคิดในหลายด้านเป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
ด้านความรู้ ทักษะ และเจตคตอิ ันเนอ่ื งจากประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนานักเรียนให้เป็น
ผู้การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นบทบาทสาคัญประการหนึ่งของสถานศึกษา จะเห็นได้ว่าสถานศึกษาแต่ละ
แห่ง สอนให้นักเรียนคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดเป็น ทาเป็น และฝึกการเรียนรู้ อย่างเป็นระบบ
เพ่ือท่ีจะออกไป เป็นพลเมืองท่ีดีและจรรโลงสังคม ดังน้ันการเรียนรู้แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ จึงเป็นกุญแจ
สาคญั ท่ีจะนาไปสู่จดุ หมาย ทาใหน้ ักเรียนสามารถเรียนรู้ได้กว้างขวาง โดยไม่จากัดเฉพาะในห้องเรียน
เทา่ นน้ั
ความม่งุ หมายของการศึกษาคน้ ควา้

การศกึ ษาค้นควา้ มีความมุง่ หมายดงั น้ี
1. เพ่ือฝึกใหผ้ ้เู รียนร้จู กั วิธีศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง
2. เพ่ือส่งเสริมผู้เรียนให้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้กว้างขวางและลึกซ้ึงกว่าท่ีเรียนในช้ัน
เรยี น
3. เพอื่ ส่งเสริมให้ผเู้ รยี นมคี วามสามารถในการคน้ ควา้ หาความร้จู ากแหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ
4. เพื่อส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นคิดอย่างมเี หตุผลและเปน็ ระบบ
5. เพ่ือส่งเสริมผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาเพ่ือส่ือความรู้ ความคิดอย่างเป็น
ลาดบั ข้นั ตอนและมีระบบ

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)



กระบวนการศึกษาค้นคว้า
การเรียนรู้หรือกระบวนการศึกษาค้นคว้า เร่ิมจากการศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตนสนใจเพ่ือให้

ได้รับ ข้อมูล สารสนเทศและความรู้ เพ่ือเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ การรู้วิธีค้นหาสารสนเทศ และ
ความรูจ้ งึ มีความสาคัญที่ชว่ ยให้เรามคี วามรู้กว้างขวางขน้ึ ดงั นัน้ ความรู้ซ่งึ มี 2 ลักษณะ คือ ความรู้ใน
เนื้อหาวิชา น้ัน ๆ กับความรู้ว่าจะค้นหาความรู้ได้จากที่ใด กระบวนการศึกษาค้นคว้า มี 6 ขั้นตอน
ไดแ้ ก่

1. ความรู้ เกิดขึ้นจากการได้รับข้อมูลข่าวสาร (Information) แล้วประมวลสาระท่ี ได้ไปใช้
ให้เกิดประโยชน์หลังจากท่ีแต่ละคนได้เรียนรู้ จึงเกิดเป็นความรู้ติดตัวผู้เรียน โดยวัดจากการได้ หรือ
ปฏิบตั ไิ ด้

2. ความเขา้ ใจ คือ การท่ีบคุ คลสามารถแปลความหมาย หรืออธิบาย ความหมายของส่ิงที่ได้
เรียนรมู้ าแล้วในข้นั ท่ี 1 จนเกดิ เปน็ ความเขา้ ใจ

3. การนาไปใช้ เม่ือได้เรียนรู้จนมีความรู้และความเข้าใจแล้ว สามารถนาไปใช้ได้หรือบ้าไป
ปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ย่างดี

4. การวเิ คราะห์ เมื่อได้เรยี นรู้ถงึ ขั้นท่ี 3 แล้ว มีความสามารถในการวิเคราะห์ ท่ีมาของสูตร
ได้

5. การสงั เคราะห์ เช่น มคี วามสามารถในการสงั เคราะห์ หรอื สรา้ งสตู รขึน้ มาใหม่ได้
6. การประเมินผล เม่ือได้เรียนรู้ถึงข้ันท่ี 5 แล้ว สามารถตัดสินหรือประเมิน ส่ิงที่พบเห็นได้
วา่ ถกู ต้อง ดงี ามและเหมาะสม

ความหมายขององค์ความรู้
องค์ความรู้ คอื สารสนเทศทสี่ ามารถนาไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือตัดสินใจใน การดาเนินงาน

ให้ประสบความสาเร็จได้ ดังน้ัน องค์ความรู้จึงจาเป็นต้องอาศัย ประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่จะแกะ
สารสนเทศมาใช้ในการแก้ปัญหาซ่ึงข้ึนกบั การฝกึ ฝนและมมุ มองในการเลือกสารสนเทศไป

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)



ศรนั ย์ ชูเกียรติ (๒๕๔๑ : ๑๔) ไดใ้ หค้ วามหมายขององคค์ วามรู้ ไวว้ า่ หมายถงึ ความรู้ในการ
ทาบางส่ิงบางอย่าง (know how หรือ how to) ที่เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ท่ี
กจิ กรรมอ่ืนๆ ไมส่ ามารถกระทาได้

สรุปได้ว่า องค์ความรู้ เป็นความรู้ท่ีเกิดข้ึนต่อเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงอาจเกิดขึ้นจากการ
ถ่ายทอดจากประสบการณ์ หรือ จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล โดยความรู้เกิดข้ึนนั้นผู้รับ
สามารถนาไปใช้ได้โดยตรง หรือสามารถ นามาปรับใช้ได้ เพ่ือให้เหมาะกับสถานการณ์หรืองานที่
กระทาอยู่
แหล่งกาเนิดขององค์ความรู้

1. ความรูท้ ีไ่ ด้รบั การถา่ ยทอดจากบุคคลอื่น
2. ความรู้เกดิ จากประสบการณ์การทางาน
3. ความรู้ท่ีได้จากการวิจยั ทดลอง
4. ความรูจ้ ากการประดษิ ฐค์ ิดค้นส่ิงใหม่ ๆ
5. ความรูท้ ี่มีปรากฏอยใู่ นแหลง่ ความร้ภู ายนอกองคก์ รและองค์กรได้นามาใช้
ประเภทขององคค์ วามรู้
ประเภทขององค์ความรสู้ ามารถแบ่งได้เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้
1. องค์ความรู้ที่สามารถอธิบายได้เป็นองค์ความรู้ซึ่งทาความเข้าใจได้จากการฟัง การ
อธบิ าย การอ่าน และนาไปใช้ปฏิบัติ โดยจัดไว้อย่างมีแบบแผนมีโครงสร้างและอธิบายกระบวนการ
วิธี ข้นั ตอนทีส่ ามารถนาไปใช้ได้
2. องคค์ วามรทู้ ไี่ ม่สามารถอธบิ ายได้หรืออธบิ ายไดย้ าก เป็นองคค์ วามรู้ที่อธิบายไดย้ ากหรอื
ในบางคร้งั ไมส่ ามารถอธบิ ายว่าเกดิ ความรู้ เหลา่ นน้ั ไดอ้ ย่างไร ไมม่ ีแบบแผน โครงสรา้ งแนช่ ดั มกั
เกิด ขน้ึ กับตัวบคุ คล ผลของการถ่ายทอดขึ้นอยูก่ ับผถู้ ่ายทอดและผ้รู บั เปน็ สาคญั

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

การต้ังคาถาม

การต้ังคาถาม
คาถามเปน็ ส่อื สาคญั ท่จี ะช่วยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความสงสัยใคร่รู้ นาไปสู่การเสาะแสวงหาความรู้
โดยเร่ิมต้น จากการตั้งสมมติฐาน ซึ่งเป็นการคาดคะเนไว้ล่วงหน้า แล้วจึงศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล โดย
จะต้องพิจารณา ไตร่ตรอง และทบทวนอย่างมีเหตุผลและมีหลักการ ทฤษฎีรองรับ กระท่ังได้ข้อ
ค้นพบ ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่ที่เป็น ประโยชน์ สามารถนาไปใช้แก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบัน
และ ในอนาคตได้
ความหมายของคาถาม
คาถาม คือ ปัญหา ปริศนา หรือข้อสงสัย เมื่อมีคาถามเกิดขึ้น คาตอบก็ย่อมเกิดข้ึน ตามมา
คาถามจงึ เป็นปัจจัยสาคัญปัจจยั หนง่ึ ทจี่ ะช่วยให้ค้นพบซ่ึงคาตอบ ดังนั้น จึงควรกาหนดคาถามให้ตรง
ตามวตั ถปุ ระสงค์ คือ ตอ้ งการค่าตอบอย่างไร กต็ งั้ คาถามให้ไดม้ า ซ่ึงคาตอบอย่างน้ัน เพราะ “คาถาม
ท่ีดี จะทาให้พบแนวทางของคา่ ตอบที่ชัดเจน
ความสาคัญของการใช้คาถาม
คาถามเป็นส่ือช่วยทบทวนความรู้ที่มีอยู่เดิม หรือใช้เพ่ือค้นหาความรู้หรือประสบการณ์ใหม่
การใชค้ าถามจึงมีความสาคัญ ซึ่งสามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี
๑. ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการคิด เป็นการรับรู้เป็นการฝึกทักษะการคิด หาเหตุผล
และคาตอบ รวมถึง เปน็ การขยายความคดิ และ แนวทางในการเรียนร้สู ่ิงใหมๆ่

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)



๒. ช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วม เป็นการฝึกแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงในการสร้าง
ปฏสิ ัมพนั ธ์ทดี่ ีระหว่างคนในกลุ่มสงั คม

๓. ช่วยฝกึ นิสยั ให้มงุ่ มานะพยายาม เป็นการฝึกให้รู้จักทบทวน ความรู้หรือค้นคว้าหาความรู้
เพ่มิ เตมิ เพอ่ื นามาสงั เคราะห์ เปน็ คาตอบ

ระดับของการต้งั คาถาม
การตัง้ คาถามมี ๒ ระดับ คอื คาถามระดบั พน้ื ฐาน และคาถามระดับสูง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
๑. คาถามระดับพ้ืนฐาน เป็นการถามความรู้ ความจา เป็นคาถามที่ใช้ความคิดทั่วไป หรือ

ความคิดระดบั ต่า ใช้พ้นื ฐานความรู้เดิมหรือสิ่งท่ีประจักษ์ในการตอบ เนื่องจากเป็นคาถามท่ีฝึกให้เกิด
ความคลอ่ งตัวในการตอบ คาถามในระดับนี้เป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน วินิจฉัย
จดุ ออ่ น –จุดแขง็ และสรุปเน้ือหาทีเ่ รียนไปแลว้ คาถามระดับพ้นื ฐานได้แก่

๑.๑ คาถามให้สังเกต เป็นคาถามท่ีให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต เป็นคาถามท่ี
ต้องการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสท้ังห้าในการสืบค้นหาคาตอบ คือ ใช้ตาดู มือสัมผัส จมูกดมกลิ่น
ลนิ้ ชมิ รส และหฟู งั เสียง ตัวอยา่ งคาถาม เช่น

เม่ือนักเรียนฟงั เพลงน้ีแล้วรูส้ ึกอยา่ งไร
ภาพน้มี ลี กั ษณะอย่างไร
พื้นผิวของวตั ถุเป็นอย่างไร
๑.๒ คาถามทบทวนความจา เป็นคาถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เพ่ือใช้เชื่อมโยง
ไปสคู่ วามร้ใู หม่ก่อนเริม่ บทเรยี น ตวั อยา่ งคาถาม เช่น
วนั วสิ าขบชู าตรงกับวันใด
ดาวเคราะห์ดวงใดท่มี ีขนาดใหญท่ ่สี ุด
ใครเปน็ ผแู้ ตง่ เร่ืองอเิ หนา

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)



๑.๓ คาถามที่ให้บอกความหมายหรือคาจากัดความ เป็นการถามความเข้าใจ โดยการให้
บอกความหมายของขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ตัวอย่างคาถาม เชน่

คาวา่ สทิ ธมิ นษุ ยชนหมายความว่าอย่างไร
ภาษเี งินได้บคุ คลธรรมดาคืออะไร
สถิติ (Statistics) หมายความว่าอย่างไร
๑.๔ คาถามบ่งชี้หรอื ระบุ เปน็ คาถามทใ่ี หผ้ ู้เรยี นบ่งชหี้ รอื ระบุคาตอบจากคาถามใหถ้ กู ต้อง
ตัวอย่างคาถาม เชน่
คาใดต่อไปน้ีเปน็ คาควบกล้าไม่แท้
ระบชุ ื่อสัตว์ที่มีกระดูกสนั หลัง
ประเทศใดบา้ งที่เปน็ สมาชกิ APEC
๒. คาถามระดบั สงู เป็นการถามใหค้ ิดค้น หมายถึง คาตอบที่ผเู้ รียนตอบตอ้ งใช้ความคดิ
ซบั ซอ้ น เป็นการสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนสามารถใช้สมองทั้งซกี ซา้ ยและซกี
ขวาในการคดิ หาคาตอบ โดยอาจใช้ความรหู้ รอื ประสบการณ์เดมิ มาเป็นพนื้ ฐานในการคดิ และตอบ
คาถาม ตวั อย่างคาถามระดบั สงู ไดแ้ ก่
๒.๑ คาถามให้อธิบาย เป็นการถามโดยใหผ้ ู้เรียนตีความหมาย ขยายความ โดยการให้อธบิ าย
แนวคดิ ของข้อมูลตา่ ง ๆ ตวั อย่างคาถาม เช่น
เพราะเหตใุ ดใบไมจ้ ึงมีสเี ขียว
นักเรียนควรมีบทบาทหน้าท่ใี นโรงเรียนอย่างไร
นักเรียนจะปฏิบัตติ นอยา่ งไรจงึ จะทาให้ร่างกายแขง็ แรง
๒.๒ คาถามใหเ้ ปรยี บเทยี บ เป็นการตงั้ คาถามให้ผ้เู รียนสามารถจาแนกความเหมอื นความ
แตกต่างของขอ้ มลู ได้ ตัวอย่างคาถาม เชน่
พชื ใบเล้ยี งคตู่ า่ งจากพืชใบเลยี้ งเด่ียวอย่างไร
จงเปรยี บเทยี บวิถีชวี ิตของคนไทยในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของประเทศไทย
สังคมเมอื งกบั สงั คมชนบทเหมือนและตา่ งกันอยา่ งไร

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)



๒.๓ คาถามใหว้ เิ คราะห์ เปน็ คาถามใหผ้ เู้ รียนวิเคราะห์ แยกแยะปญั หา จดั หมวดหมู่ วิจารณ์
แนวคิด หรอื บอกความสัมพนั ธแ์ ละเหตุผล ตัวอยา่ งคาถาม เชน่

อะไรเป็นสาเหตทุ ท่ี าให้เกิดภาวะโลกร้อน
วฒั นธรรมแบ่งออกเปน็ กป่ี ระเภท อะไรบา้ ง
การติดยาเสพตดิ ของเยาวชนเกดิ จากสาเหตใุ ด
๒.๔ คาถามให้ยกตวั อยา่ ง เปน็ การถามให้ผเู้ รียนใชค้ วามสามารถในการคดิ นามา
ยกตวั อยา่ ง ตวั อย่างคาถาม เช่น
ร่างกายขบั ของเสยี ออกจากส่วนใดบ้าง
หนิ อคั นสี ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ย่างไรบา้ ง
อาหารคาวหวานในพระราชนพิ นธก์ าพย์เห่ชมเคร่ืองคาวหวานได้แก่อะไรบา้ ง
๒.๕ คาถามใหส้ รุป เป็นการใชค้ าถามเมื่อจบบทเรยี น เพอื่ ให้ทราบวา่ ผูเ้ รยี นได้รบั ความรู้
หรอื มคี วามกา้ วหน้าในการเรียนมากนอ้ ยเพียงใด และเปน็ การช่วยเนน้ ยา้ ความรทู้ ไี่ ดเ้ รียนไปแลว้ ทา
ให้สามารถจดจาเนือ้ หาไดด้ ียิ่งข้ึน ตวั อย่างคาถาม เช่น
จงสรุปเหตผุ ลทที่ าให้พระเจ้าตากสินทรงยา้ ยเมืองหลวง
จงสรปุ แนวทางในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรน้าเพอื่ ให้เกดิ คุณคา่ สูงสุด
จงสรุปข้นั ตอนการทาผ้าบาตกิ
๒.๖ คาถามเพ่อื ให้ประเมินและเลือกทางเลือก เป็นการใชค้ าถามท่ใี ห้ผู้เรียนเปรยี บเทียบ
หรือใชว้ จิ ารณญาณในการตดั สินใจเลือกทางเลอื กที่หลากหลาย ตวั อย่างคาถาม เช่น
การวา่ ยน้ากับการวิ่งเหยาะ อยา่ งไหนเป็นการออกกาลังกายทด่ี ีกว่ากนั เพราะเหตุ
ใด
ดินร่วน ดินทรายและดนิ เหนียว ดินชนดิ ใดเหมาะแกก่ ารปลกู มะมว่ งมากกว่ากัน
เพราะเหตใุ ด
ไก่ทอดกบั สลดั ไก่ นกั เรียนจะเลือกรบั ประทานอาหารชนิดใด เพราะเหตใุ ด
นกั เรียนจะทาการสง่ ขอ้ ความผ่านทางอีเมลได้อยา่ งไร

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)



๒.๗ คาถามให้ประยุกต์ เปน็ การถามให้ผูเ้ รียนใช้พน้ื ฐานความรู้เดมิ ท่มี ีอยู่มาประยุกตใ์ ช้ใน
สถานการณใ์ หม่หรอื ในชวี ติ ประจาวัน ตวั อย่างคาถามเช่น

นักเรยี นมีวธิ กี ารประหยัดพลงั งานอยา่ งไรบ้าง
นกั เรยี นนาปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินชวี ติ ประจาวัน
อย่างไรบา้ ง
นกั เรยี นจะทาการสง่ ข้อความผา่ นทางอเี มลล์ได้อยา่ งไร
๒.๘ คาถามใหส้ รา้ งหรอื คิดคน้ ส่งิ ใหม่ ๆ หรือผลติ ผลใหม่ ๆ เปน็ ลักษณะการถามให้ผ้เู รยี น
คดิ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ากับผูอ้ ื่นหรือท่ีมีอยูแ่ ล้ว ตัวอยา่ งคาถามเชน่
กระดาษหนงั สือพิมพ์ทไี่ มใ่ ช้แล้ว สามารถนาไปประดษิ ฐ์ของเล่นอะไรได้บา้ ง
กล่องหรอื ลงั ไมเ้ กา่ ๆ สามารถดดั แปลงกลบั ไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ได้อยา่ งไร
เสือ้ ผา้ ท่ไี ม่ใชแ้ ลว้ นักเรยี นจะนาไปดัดแปลงเปน็ สิ่งใดเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์
นกั เรยี นจะนากระดาษท่ใี ช้เพยี งหนา้ เดียวมาประดิษฐเ์ ป็นส่ิงใดบา้ ง

เทคนิคการต้งั คาถาม
การใชค้ าถามเปน็ เทคนคิ สาคญั ในการเสาะแสวงหาความรู้ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ เป็นกลวิธีการสอน

ทก่ี อ่ ใหเ้ กิดการเรยี นร้ทู ีพ่ ัฒนาทักษะการคิด การตคี วาม การไตร่ตรอง การถา่ ยทอดความคิด สามารถ
นาไปสู่การเปลย่ี นแปลงและปรบั ปรงุ การจัดกระบวนการเรียนรไู้ ดเ้ ปน็ อย่างดี

การตั้งคาถามระดบั สูงจะทาให้ผ้เู รียนเกดิ ทกั ษะการคดิ ระดับสูง และเป็นคนมเี หตุผล ผู้เรียนไม่
เพียงแต่จดจาความรู้ ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์
และประเมินส่ิงท่ีถามได้ นอกจากน้ียังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสาคัญของเรื่องราวที่เรียนได้อย่าง
ถกู ตอ้ งและกระตุ้นให้ผเู้ รยี นค้นหาข้อมูลมาตอบคาถามดว้ ยตนเอง

การตอบคาถามระดับสูง ผู้สอนต้องให้เวลาผู้เรียนในการคิดหาคาตอบเป็นเวลามากกว่าการ
ตอบคาถามระดบั พ้ืนฐาน เพราะผูเ้ รยี นต้องใช้เวลาในการคดิ วิเคราะห์อย่างลกึ ซึ้งและมีวิจารณญาณใน
การตอบคาถาม ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการต้ังคาถามคือ การถามแล้วต้องการคาตอบในทันที
โดยไม่ให้เวลาผู้เรียนในการคดิ หาคาตอบ

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การต้งั ประเด็นปญั หา

การต้ังประเด็นปัญหา
การต้งั ประเด็นปญั หาหรือหัวข้อในการศกึ ษาคน้ ควา้ เปน็ การต้งั ประเด็นจากเหตุการณ์ปัจจุบัน
หรือความสนใจ แล้วกาหนดจุดประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า ก่อนศึกษาควรมีการตั้งสมมติฐาน
การศกึ ษาคน้ ควา้ เพอื่ มเี ปา้ หมายท่ีชดั เจนในการศึกษา
ความหมายของการตง้ั ประเดน็ ปญั หา
ปญั หา คือ ขอ้ สงสยั ทต่ี ้องการคาตอบ เกิดข้ึนได้ทกุ เมอ่ื ไม่วา่ จะเกดิ ข้ึนกับตนเอง ครอบครัว
หรือสังคม โดยเฉพาะสงั คมเป็นทีร่ วมของคนหมูม่ าก ย่อมตอ้ งมีปญั หาเกิดขน้ึ ได้ หนา้ ท่ีของสมาชกิ ใน
สงั คม คอื ตอ้ งชว่ ยกนั หาทางแกป้ ัญหาหรือปอ้ งกนั มิใหเ้ กดิ ปัญหา การกาหนดประเดน็ ปญั หา ที่
ชดั เจน จะทาให้การวางแผนเพอื่ แก้ปัญหาชดั เจนย่ิงขน้ึ เพราะการกาหนดประเดน็ ที่ดีจะสามารถ
มองเห็นแนวทางในการค้นหาคาตอบ เพื่อนาไปสกู่ ารแกป้ ญั หาได้งา่ ยขึน้
ประเดน็ ปัญหา หมายถงึ คาถามท่เี ราต้องการหาคาตอบ
การต้ังประเด็นปัญหา หมายถึง การคิดวิเคราะห์ การกาหนดหัวข้อการทา รายงาน เช่น
ประเด็นปัญหาระดับบุคคล ชุมชน ท้องถิ่น ประเทศ การต้ังสมมติฐาน และให้เหตุผลสนับสนุน หรือ
โต้แย้งประเด็นความรู้ โดยใช้ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ และมีทฤษฎีรองรับ ออกแบบ วางแผน ใช้
กระบวนการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การศึกษาค้นคว้า แสวงหาคาตอบประสบ
ผลสาเรจ็

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๑๑

หลกั เกณฑ์ในการต้งั ประเดน็ ปัญหา
เกณฑ์ในการการตงั้ ประเด็นปัญหา มีหลกั การตอ่ ไปน้ี
๑. เลือกจากความสนใจของตนเองเป็นที่ต้ัง ไม่ว่าจะทาการต้ังประเด็นปัญหา ความสาคัญ

มากน้อยเพียงใด และกาลังอยใู่ นความสนใจของคนทั่วไปหรือไม่ หากผู้ที่ไม่มีความสนใจในหัวข้อนั้นๆ
กไ็ ม่ควรเลอื กหวั ขอ้ นนั้ ความสนใจในเร่ืองที่จะทามีความสาคัญมากเพราะจะเป็นแรงจูงใจท่ีจะผลักดัน
ให้เกิดการติดตามค้นคว้า เพื่อให้โครงการได้บรรลุเป้าหมาย ไม่เบื่อหน่ายต่อการแก้ไขปัญหาท่ีอาจ
เกิดขึน้

๒. เลือกปัญหาที่ตรงกับความสามารถของตน ตั้งประเด็นปัญหาเป็นงานท่ีต้องอาศัยความรู้
ความเข้าใจ และความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การเก็บรวมรวบและรายการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสามารถในการให้รหัสข้อมูล ความสามารถในการเลือกใช้สถิติวิเคราะห์ และความสามารถใน
การตีความหมายขอ้ มูลและอา่ นผลทไ่ี ด้จากการวเิ คราะห์

๓. เลือกปญั หาทม่ี คี ุณคา่ ควรเป็นการเพม่ิ พูนใหเ้ ปน็ ความรใู้ หม่ และเสริมทฤษฎี อีกทั้งเปน็
ประโยชน์ในทางปฏบิ ตั งิ านต่อไป

๔. คานึงความเหมาะสมในเรือ่ งของเวลา งบประมาณและกาลังแรงงานของตน
๕. คานงึ ถึงสภาพแวดล้อมทเี่ ออ้ื อานวย เช่น

- ปัญหานัน้ จะไดร้ ับความร่วมมือมากนอ้ ยเพียงใด
- มีอุปกรณ์หรือเครอื่ งมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลหรือไม่
- ปัญหาน้ันมแี หล่งค้นคว้าหรือไม่

ข้อควรระวังในการเลอื กหวั ขอ้ ปญั หา
ผเู้ ขยี นมขี ้อเสนอแนะนา และข้อควรระวังในการเลือกหัวขอ้ ปญั หา ดังน้ี
1. ไม่ควรเลือกปญั หาที่กว้างเกินไป ไมม่ ขี อบเขต แต่ควรเลือกหวั ขอ้ ปญั หาทแ่ี คบแตม่ คี วาม

ลกึ ซง้ึ
2. ไมค่ วรเลอื กปัญหาที่หาขอ้ ยตุ ิไมไ่ ด้
3. ไมค่ วรเลือกปญั หาที่ไม่สามารถหาขอ้ มลู มาทดสอบได้
4. ไม่ควรเลือกปญั หาที่ไมม่ ีสาระสาคัญ

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๑๒

ลักษณะของปัญหาท่ดี ี
ลกั ษณะปัญหาท่ีดีมีดังตอ่ ไปน้ี
๑. เปน็ เรื่องทมี่ คี วามสาคัญ มีประโยชน์ ทาใหเ้ กดิ ความรู้ใหม่ ๆ และนาไปใช้ปรับปรุงแกป้ ญั หา

ต่าง ๆ ได้
๒. เปน็ ปัญหาท่ีสามารถหาคาตอบไดโ้ ดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์หรอื วิธกี ารวจิ ยั ได้
๓. เปน็ ปญั หาที่หาขอ้ มูลมาตรวจสอบสมมติฐาน เพื่อหาขอ้ มูลสรุปได้
๔. เปน็ ปญั หาท่ีให้คานยิ ามปัญหาได้
๕. สามารถวางแผนการดาเนนิ งานตามข้ันตอนต่าง ๆ ไวล้ ว่ งหนา้ และเห็นลทู่ างทีจ่ ะทาได้สาเรจ็

การเขยี นความเปน็ มาและความสาคัญ
การเขียนความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หาอาจมีแนวทางในการเขียนเป็นลาดบั ขัน้ ตอน

ดงั นี้
1. ขน้ั ปญั หา กล่าวถงึ สภาพปญั หาท่ีพบในการจัดการเรยี นการสอนหรือสภาพการจัดการ

เรียนการสอนทพ่ี ึงประสงค์
2. ข้นั วเิ คราะห์ปญั หา ระบุถงึ สภาพปัญหาของการจัดการเรยี นการสอนโดยการวเิ คราะห์

ปัญหานน้ั ๆ อย่างรอบคอบ เพ่ือชใ้ี ห้เหน็ ประเดน็ ของการวิจัย หากมีตวั เลขประกอบใหน้ ามาระบดุ ว้ ย
3. ขั้นสรปุ แนวทางทีจ่ ะแก้ปัญหาหรือพัฒนา ระบวุ ธิ ีการหรอื นวัตกรรมที่นามาแก้ไขปัญหา

หรอื พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอน

ตวั อย่างการตงั้ ประเดน็ ปัญหา
- ทาไมคนขา้ มถนนทางมา้ ลายจึงยงั ถูกรถชน
- ชว่ งเวลาใดท่เี กดิ อบุ ตั เิ หตุบนถนนมากที่สุด
- วิธกี ารดแู ลผู้พิการจากอุบตั เิ หตบุ นถนนอยา่ งไร

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

การต้งั วัตถปุ ระสงค์

การตั้งวัตถปุ ระสงค์
การตงั้ วัตถปุ ระสงค์ เปน็ การคาดการณ์สาหรบั การระบุเหตุการณ์ การประเมินความเส่ียง และ
การตอบสนองความเส่ียง การมีวัตถุประสงค์ก่อนการบริหารสามารถระบุความเสี่ยงสาหรับการ
บรรลุผลสาเรจ็ และเปน็ การนาการปฏิบตั ทิ ่ีจาเป็นมาใช้ในการจดั การกบั ความเสีย่ ง
ความหมายการต้ังวัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ เปน็ สิ่งท่ชี น้ี าใหร้ ู้ว่า การค้นควา้ ประเด็นในเรือ่ งน้ีเพื่อต้องการรู้อะไร เป็นขั้นตอน
ที่ต่อจากการกาหนดปัญหา การเขียนวัตถุประสงค์ท่ีดีจึงเป็นประตูเพื่อให้สามารถค้นหาความจริงที่
ต้องการได้ เป็นทศิ ทางทีส่ ามารถทาใหห้ าคาตอบได้ คอื ทาใหเ้ กิดสมมตฐิ าน
การตั้งวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมาย เป็นข้ันตอนที่สาคัญอีกข้ันตอนหน่ึงของการกาหนด
ประเด็นปัญหา ถ้ากาหนดวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจนจะทาให้ผลการค้นหาคาตอบท่ีได้ไม่สอดคล้องกับ
ความต้องการของปัญหาที่จะศึกษา ในบางคร้ังถ้าพิจารณาช่ือเรื่องอย่างเดียวไม่สามารถตอบข้อ
คาถามได้ครบตามต้องการจึงจาเป็นจะต้องกาหนดวัตถุประสงค์ เพ่ือเป็นแนวทางให้สามารถบอก
รายละเอียดได้ว่า จะต้องศึกษา อะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอได้
อย่างชดั เจน การกาหนดวัตถุประสงค์ ควรกาหนดเปน็ ข้อๆ เพอ่ื ความสะดวกและมีความชัดเจนในการ
วิเคราะหแ์ ละตอบคาถามของแตล่ ะข้อ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๑๔

การเขียนวัตถุประสงคก์ ารมหี ลกั เกณฑ์การเขียน ดงั น้ี
๑. ตอ้ งมคี วามสอดคล้องกบั หัวข้อและประเด็นปัญหา
๒. มคี วามเปน็ ไปไดท้ ่ีจะคน้ คว้าเพ่อื ใหไ้ ด้คาตอบจากประเด็นปัญหาน้ี
๓. ใชป้ ระโยคบอกเลา่
๔. ใช้ภาษาท่ีชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย

คาสาคัญที่ใชเ้ ขยี นวตั ถุประสงค์ ๖. เพือ่ วิเคราะห์
๑. เพอ่ื ศึกษา ๗. เพอ่ื สังเคราะห์
๒. เพอ่ื สารวจ ๘. เพ่ือศึกษาความสมั พันธ์
๓. เพื่อบรรยาย ๙. เพ่ือประเมิน
๔. เพอ่ื อธิบาย ๑๐. เพอื่ พฒั นา
๕. เพื่อเปรยี บเทยี บ

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

การต้ังสมมตฐิ าน

การต้ังสมมติฐาน
สมมตฐิ าน เป็นข้อความที่ระบุความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร หรือแนวคิด ซึ่งผู้วิจัยต้องการจะ
ทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยเป็นข้อความที่คาดคะเนคตอบหรือทาไว้ล่วงหน้าอย่าง
สมเหตสุ มผลตอ่ ปัญหาทีต่ ้องการศกึ ษาหาคาตอบ และเป็นข้อความท่กี ลา่ วถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร
ต้ังแต่ 2 ตัวข้ึนไป ข้อความน้ีอาจถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้จึงต้องมีการทดสอบหรือพิสูจน์โดยอาศัย
การรวบรวมและวิเคราะหข์ อ้ มลู
ความหมายของสมมตฐิ าน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคาว่า “สมมติฐาน หรือ
“สมมุติฐาน” ว่าหมายถึง ข้อคิดเห็นหรือถ้อยแถลงที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลอง
หรือการวจิ ัย
สมมติฐาน หมายถึง ความเชื่อของบุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือ ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรืออาจ
กล่าวได้ว่า สมมติฐานเป็นส่ิงท่ีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลคาดว่าจะเกิดขึ้นโดยท่ีความเชื่อหรือสิ่งท่ีคาดนั้น
จะเปน็ จรงิ หรือไม่กไ็ ด้ เชน่
- เจ้าของร้านค้าสหกรณ์คาดว่าจะมีกาไรสุทธิจากการขายสินค้าต่อปีไม่ต่ากว่า 500,000
บาท
- หัวหน้าพรรคการเมือง คาดว่าการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในคราวหน้าพรรคอื่น ๆ
จะได้ทน่ี ัง่ ในสภาไมต่ ่ากว่าร้อยละ 50 ของทงั้ หมด
- คาดว่ารายได้เฉลีย่ ตอ่ เดือนของประชากรในจงั หวัดพิษณโุ ลกเท่ากบั 15,000 บาท

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๑๖

การตั้งสมมติฐานเป็นการคาดคะเนหาคาตอบที่อาจเป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผลสาหรับ
ประเด็นปัญหาท่ีตั้งไว้ ซึ่งการคาดคะเนดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่น้ัน ผู้ต้ังสมมติฐานจะต้องทาการ
พิสูจน์หรือทดลองเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยอาศัยข้อมูลต่างๆ วิธีการทางสถิติ หลักการ ทฤษฎี หรือข้อ
คน้ พบจากการศกึ ษาวจิ ยั ท่ที ามาก่อนหน้านี้

การต้ังสมมติฐานเป็นการคาดเดาคาตอบจากสิ่งท่ีนักเรียนต้องการอยากรู้จากประเด็นปัญหา
หรือข้อคาถามในการศึกษาคน้ ควา้ เรียนร้ขู องนักเรียน การตั้งสมมติฐานในการศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ของ
นักเรียนจะช่วย

1. เปน็ แนวทางในการศกึ ษาเรยี นรใู้ นเรือ่ งท่นี กั เรียนสนใจ
2. สามารถเรยี นรู้ได้ถกู ต้องตรงประเด็นปญั หา หรือเป้าหมายของการเรียนรู้
ดังนนั้ การตัง้ สมมติฐาน เป็นการคาดคะเนคาตอบไว้ล่วงหน้าอย่าง เหตุผล หรือสมมติฐานคือ
ข้อความที่อยู่ในรูปของการคาดคะเนความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร ๒ ตัว หรือมากกว่า 2 ตัวเพื่อใช้
ตอบปัญหาทีต่ ้องการศึกษา

ลกั ษณะของสมมตฐิ าน
สมมตฐิ านเป็นการคาดเดาคาตอบของประเด็นปัญหาอย่างสมเหตุสมผลไว้ล่วงหน้า ซ่ึงคาตอบ

ท่ีคาดเดาไวน้ ้จี ะถกู ตอ้ งหรือไมก่ ็ได้ ด้ังนนั้ การคาดคะเนเพอ่ื หาคาตอบเปน็ การกล่าวถึงสิ่งท่ีเป็นสาเหตุ
และส่ิงท่ีเป็นผลที่เกิดจากสาเหตุนั้น หมายความว่า “จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุทาให้
เกิดปรากฎการณ์ คุณลกั ษณะ หรอื คุณสมบัติ และตัวเหตุนเ้ี องท่ีทาใหเ้ กิดผลตามมา

ส่ิงท่ีเกิดขึ้นก่อนและเป็นตัวเหตุทาให้เกิดผลตามมา เราเรียกว่า “ตัวแปรอิสระ หรือตัวแปร
ตน้ ”

สง่ิ ท่เี ปน็ ผลอนั เกดิ จากตวั เหตุหรือตัวแปรอิสระ เราเรียกวา่ “ตวั แปรตาม”
ตัวอย่าง เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมในการรับประทานอาหารแตกตา่ งกนั

- แปรตน้ คอื เพศ (ชาย หญงิ )
- ตวั แปรตาม คือ พฤตกิ รรมในการรบั ประทานอาหาร

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๑๗

ความแตกตา่ งของสมมติฐานกบั การพยากรณ์
การต้ังสมมติฐาน คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยไม่มีหรือไม่ทราบ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง

ระหว่างข้อมูล การพยากรณ์ คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยการมีหรือทราบความสัมพันธ์ระหว่าง
ข้อมลู ท่ี เกีย่ วข้องในการทานายลว่ งหนา้
แหลง่ ท่ีมาของสมมติฐาน

สิ่งท่ชี ่วยทาใหส้ ามารถตั้งสมมติฐานได้ดี มคี วามสมเหตสุ มผล มีหลายประการ ดงั นี้
๑. ความรู้พื้นฐาน เป็นความรู้พื้นฐานของผู้ศึกษาท่ีได้เคยประสบกับปัญหาเร่ืองนั้นมาก่อน
จะทาใหม้ ขี ้อมลู ท่ีเป็นแนวทางใหส้ ามารถตัง้ สมมติฐานได้
๒. การศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้อง เป็นการศึกษาเอกสารหรืองานวิจัยที่เก่ียวข้องจะทาให้ได้รู้
ทฤษฎีและผลการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ทาให้เกิดความเข้าใจและเกิดแนวคิดท่ีทาให้สามารถ
ตง้ั สมมตฐิ านได้
๓. การสังเกต เป็นการสังเกตความสัมพันธ์รวมท้ังการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของส่ิงแวดล้อม
ตา่ งๆ ทาให้ไดแ้ นวทางในการตง้ั สมมติฐาน
๔. การสนทนากับผู้ท่ีมีความเช่ียวชาญ เป็นการสนทนากับผู้ที่มีความรู้ความเช่ียวชาญใน
เรือ่ งท่ตี ้องการศกึ ษา เพือ่ นามาเป็นแนวทางใหผ้ ู้ศึกษาสามารถตั้งสมมติฐานได้
๕. การได้ร่วมอภิปรายกับบุคคลอ่ืน เป็นการร่วมอภิปรายปัญหาที่จะศึกษากับบุคคลอ่ืนท่ี
เก่ียวข้องกับเรื่องน้ัน ๆ ทาให้เกิดความคิดเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมของผู้ศึกษาช่วยให้
ตงั้ สมมตฐิ านให้

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๑๘

การตั้งสมมติฐานท่ีดี
การต้งั สมมตฐิ านท่ดี ี ควรมลี กั ษณะดงั น้ี
๑. สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย คือ สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะศึกษา หาก

ต้องการศกึ ษาเรอ่ื งใด สมมตฐิ านกค็ วรตงั้ ไปในแนวทางเดียวกัน
๒. สอดคล้องกับความจริง คือสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและตรงกับความเข้าใจ

หรือความรบั รขู้ องคนส่วนใหญ่ ซงึ่ เปน็ ทย่ี อมรับ
๓. มีขอบเขตเหมาะสม คือ มีขอบเขตที่พอเหมาะไม่แคบ หรือกว้างเกินไปถ้าแคบเกินไป

จะทาให้อธบิ ายได้ไม่ครบถว้ น ถ้ากวา้ งเกินไปจะหาขอ้ มูลได้ไม่เพียงพอ
๔. เขยี นชัดเจน เข้าใจงา่ ยคือ เขยี นดว้ ยถ้อยคาที่อ่านเข้าใจง่าย และมีความชัดเจนภายใน

ตวั เอง
๕. อธิบายหรือตอบคาถามได้ คือ ต้องอธิบายหรือตอบปัญหาได้ครอบคลุมทุกด้าน และ

สามารถสรุปแนวทางไดว้ ่าจะสนับสนุนหรือคัดคา้ น
๖. ตรงตามทฤษฎีและความรู้พ้ืนฐาน คือ จะต้องมีความสมเหตุผมผลตามทฤษฎีและ

ความรพู้ ื้นฐานจากการศกึ ษาเอกสารท่เี กี่ยวข้อง
๗. สามารถตรวจสอบได้ คือ สามารถตรวจสอบไดม้ ีขอ้ มูลหรือหลักฐานท่ีจะสนับสนุนหรือ

คดั ค้าน ซงึ่ สมมตฐิ านทีด่ ไี ม่จาเปน็ ต้องถกู เสมอไป
สมมตฐิ านท่เี คยยอมรับอาจล้มเลิกไดถ้ า้ มีข้อมลู จากการทดลองใหม่ๆ มาลบล้าง แต่ก็มีบาง

สมมตฐิ านท่ีไม่มีข้อมูลจากการทดลองมาคัดค้านทาให้สมมติฐานเหล่าน้ันเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้อง เช่น
สมมติฐานของเมนเดลเก่ียวกับหน่วยกรรมพันธ์ุ ซ่ึงเปล่ียนกฎการแยกตัวของยีนหรือสมมติฐานของ
อโวกาโครซงึ่ เปล่ยี นเป็นกฎของอโวกาโคร

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๑๙

หลักการตงั้ สมมตุ ฐิ าน
การตงั้ สมมติฐานในประเด็นปัญหาหรอื หวั ข้อทีน่ กั เรียนต้องการศึกษาสามารถต้ังสมมตฐิ าน ได้

มากกวา่ หนึง่ สมมติฐาน ซง่ึ การตั้งสมมตฐิ านนนั้ จะพจิ ารณาจากวตั ถุประสงค์หรือเปา้ หมายของ
ประเด็น ปัญหาหรือหัวขอ้ ทีต่ ้องการศึกษาคน้ คว้า

นักเรียนจะสามารถตั้งสมมตฐิ านเพอื่ คาดคะเนคาตอบของประเดน็ ปัญหาได้อย่างสมเหตุสมผล
ตอ้ งทาการศกึ ษาคน้ ควา้ จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้

1. การศึกษาเอกสาร ตารา บทความวิชาการ และผลงานวิจัย ควรกระทาหลังจากท่ีได้ศึกษา
เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาน้ันๆ มาเป็นอย่างดี เพราะจะทาให้ผู้ศึกษาเกิดความคิด
เกีย่ วกบั หัวขอ้ ปัญหาทจี่ ะศึกษา ทาให้สามารถ ตั้งสมมติฐานได้สมเหตุสมผลและสอดคล้อง กับปัญหา
นั้น

2. สนทนากบั ผรู้ ู้ ผเู้ ชย่ี วชาญหรือครทู ีป่ รึกษา
3. การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ หรอื ปรกึ ษาหารือกับบคุ คลอนื่ ๆ ในลักษณะการระดมสมอง
วิธีการตงั้ สมมติฐาน มีวิธีการดงั นี้
เม่อื นกั เรยี นกาหนดประเด็นปญั หาหรือเร่ืองทต่ี นเองต้องการศกึ ษาค้นคว้าแล้ว การต้งั
สมมติฐานในเรือ่ งที่นกั เรียนสนใจศกึ ษามดี งั น้ี
1. คาดเดาคาตอบจากเรื่องท่ีตอ้ งการจะศึกษาว่านักเรียนตอ้ งการไดร้ บั อะไรจากการศกึ ษาใน
ครง้ั นี้ ซ่งึ นกั เรียนจะตอ้ งทราบก่อนว่าตัวแปรอสิ ระตวั แปรต้น ตัวแปรตามคอื อะไร
๒. เขยี นสมมตฐิ านทีน่ ักเรียนคดิ วา่ จะได้จากการศกึ ษาคน้ คว้า เขียนเปน็ ประโยคบอกเล่าให้
ส้ัน กระชับ อา่ นเขา้ ใจงา่ ย
3. สมมตฐิ านทน่ี ักเรยี นเขยี นข้ึนมาน้นั จะตอ้ งเขยี นให้สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคห์ รือ
เป้าหมายของการศึกษาความรู้

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๒๐

4. ในการเขียนสมมตฐิ านในแตล่ ะขอ้ นัน้ ให้นกั เรยี นเขยี นสมมติฐานตอบคาถาม เพยี งหน่งึ ข้อ
ต่อหนง่ึ คาถาม ไม่ควรเขียนสมมติฐานครัง้ เดยี วเพือ่ ตอบคาถามหลาย ๆ ขอ้ เพราะอาจจะทาให้สับสน
ได้

5. การเขียนสมมติฐานจะต้องเขยี นโดยคานงึ ถงึ ความเปน็ ไปได้ของการไดม้ าของคาตอบ ที่
นักเรยี นจะตอ้ งไปศึกษาคน้ ควา้

ตวั อยา่ งการตั้งสมมตฐิ าน
สมมตฐิ าน : ถั่วงอกท่ีปลกู กลางแจ้งจะเจรญิ เตบิ โตไดด้ ีกว่าถ่ัวงอกทป่ี ลกู ในทร่ี ม่
สมมติฐาน : ถา้ แสงแดดต่อการเจรญิ เติบโตของถ่ัวงอก ดงั นนั้ ถวั่ งอกทป่ี ลูกกลางแจ้งจะ

เจรญิ เตบิ โตได้ดี
สมมตฐิ าน : เทยี นหอมสมุนไพรที่เกดิ ข้นึ ได้น่าจะมีกในของเป็นไพรซึ่ง ได้แก่ ตะไคร้หอม

ให้กล่ินทห่ี อมสดชืน่
สมมตฐิ าน : ยอดงบประมาณในการใช้จ่ายเพ่อื การโฆษณาน้าอดั ลมมีความสัมพันธก์ ับ

ยอดขายในทางบวก
สมมตฐิ าน : ความรสู้ ึกเหน็ คณุ ค่าในตนเองของนกั เรยี นมีความสมั พันธก์ ับความกล้า

แสดงออก ของนักเรียน
สมมติฐาน : ตน้ พชื ทีป่ ลกู ในบรเิ วณทไ่ี ดร้ บั แสงแดดไม่เทา่ กนั จะมกี ารเจรญิ เติบโต

แตกต่าง
สมมตฐิ าน : ถ้าโลกนีข้ าดคณุ ธรรม สังคมจะดารงอยู่ได้ยาก
สมมติฐาน : การลดน้าหนักด้วยวิธีออกกาลังกายดีกว่าการอดอาหาร

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๒๑
ประโยชนข์ องสมมติฐาน
การตงั้ สมมตฐิ านมปี ระโยชน์ตอ่ การศกึ ษาหาคาตอบในข้อปัญหาหรือข้อสงสัยหลายประการ
ดังต่อไปน้ี
๑. บอกขอบเขตของปญั หา เป็นเคร่ืองมอื ทชี่ ว่ ยบอก ให้ทราบว่าปัญหานัน้ จะศกึ ษา อยา่ งไร
หรือศึกษาแง่มมุ ใดบ้าง
๒. ชี้แนวทางในการ วางแผนการศกึ ษา เปน็ การชแ้ี นะแนวทางวา่ จะใช้ขอ้ มูลอะไรบา้ ง จะ
เกบ็ ข้อมลู อย่างไร รวมถงึ จะเลอื กใช้ เคร่ืองมือใดเพอื่ วเิ คราะห์ข้อมลู อย่างเหมาะสม
๓. เป็นแนวทาง ในการสรปุ เป็นแนวทางในการสรปุ สิง่ ท่ไี ด้คน้ พบ ซง่ึ การสรุป จะเขียนใน
ลกั ษณะคัดค้าน หรอื สนบั สนุนสมมติฐานทต่ี ้ัง ไว้ ทาให้เกิดความชดั เจนและ เขา้ ใจงา่ ย

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การวางโครงเรื่อง

การวางโครงเร่อื ง
การเขยี นโครงเรื่องเป็นการจัดลาดับความคิด วางแนวทางหรือกรอบของเนื้อหาของงานเขียน
ทาใหผ้ ้เู ขียนสามารถจัดลาดบั หัวขอ้ เนอ้ื หาการเขียนได้ครบถว้ นตรงกบั หวั ขอ้ หรือชือ่ เรอื่ งท่ีวางไว้ การ
เขียนโครงเรื่องผู้เขียนจะแบ่งเน้ือหาการเขียนเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อรอง หัวข้อย่อย โครงเร่ืองทาให้
ผเู้ ขยี นรวบรวมข้อมลู งา่ ย ไมเ่ สียเวลาและเนื้อหางานเขียนเป็นลาดับต่อเน่ืองไม่วกวนสมบูรณ์คุณภาพ
อ่านเข้าใจงา่ ยสามารถนาโครงเรื่องท่ีวางไว้มาปรับเขียนเป็นสารบัญได้ด้วย การเขียนโครงเรื่องจึงเป็น
ข้ันตอนสาคญั ท่ผี ้เู ขียนควรทากอ่ นหาข้อมลู และเรยี บเรยี งเน้ือหา
ความหมายของโครงเร่ือง
โครงเร่ืองเป็นการกาหนดแนวทางการเขียน การเรียบเรียงข้อมูล การจัดลาดับความคิด การ
จัดลาดับหัวข้อ วางแนวทางหรือกรอบของเน้ือหาของงานเขียน การเขียนโครงเรื่องผู้เขียนจะแบ่ง
เนือ้ หาการเขียนออกเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อรอง หัวข้อย่อย ทาให้ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลง่ายไม่เสียเวลา
และเนอื้ หางานเขียนเปน็ ลาดับ ตอ่ เน่อื งไมว่ กวน สมบูรณ์ มคี ณุ ภาพอา่ นเขา้ ใจงา่ ย การเขียนโครงเรื่อง
จึงเป็นขั้นตอนหน่งึ ท่ีสาคญั ในงานเขยี น แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้เขียนจะต้องเขียนตามโครงเร่ืองท่ีวาง
ไว้เสมอ เพราะเมื่อลงมือเขียนจริงอาจมีการปรับเปล่ียนโครงได้ตามความเหมาะสม นอกจากน้ีการ
เขียนโครงเรื่องยังช่วยให้ผู้เขียนไม่สับสนเวลาเขียน หรือเขียนหัวข้อใดข้อหน่ึงยาวเกินไป และอาจจะ
ลืมเขียนบางหัวข้อ ดังนั้นการเขียนโครงเร่ืองก่อนที่จะลงมือเขียนจะทาให้งานเขียนมีความสมบูรณ์
มากทสี่ ุด

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

๒๓

ประโยชนข์ องการเขียนโครงเรือ่ ง
การเขียนโครงเรื่องมีประโยชนใ์ นการเขยี นหลายประการ ดังนี้
๑. โครงเร่ืองช่วยในการนาเสนอเน้ือหา ทาให้ผู้เขียนเตรียมเน้ือหาได้อย่างเหมาะสมกับ

จุดมุ่งหมายในการเขียน รู้จักกาหนดขอบข่ายของเน้ือหา รวมท้ังช่วยให้เห็นแนวทางการเรียบ
เรียงความคิด ว่าควรจะใช้แบบใด และมีเนื้อหาในประเด็นหรือหัวข้อใดที่เรายังไม่รู้ดีพอหรือยังหา
รายละเอยี ดไม่ได้ เราก็สามารถเตรยี มความรเู้ หลา่ นเ้ี พ่ิมเติมได้อีกจนเพียงพอ

๒. โครงเร่ืองช่วยแบ่งหัวข้อได้ชัดเจน การแบ่งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยอย่างชัดเจนทาให้
ผเู้ ขียนสามารถจดั ลาดบั เพอื่ เชือ่ มโยงหวั ข้อยอ่ ยกับหวั ข้อย่อย หัวข้อใหญ่กบั หวั ข้อยอ่ ยได้ง่าย

๓. โครงเรื่องช่วยเขียนเรื่องอย่างมีเหตุผล ทาให้ผู้เขียนมองเห็นความสัมพันธ์ของประเด็น
ต่างๆ ในเน้ือหาจากโครงเรื่องได้ชัดเจน ว่ามีประเด็นหรือหัวข้อใดเกี่ยวข้องกันบ้าง และความคิดของ
ประเด็นต่าง ๆ เหล่านั้นเชื่อมโยงสัมพนั ธก์ ันอย่างไร จึงจะท้าให้เนื้อหามนี ้าหนักและสมเหตสุ มผล

๔. โครงเร่ืองช่วยในการวางสัดส่วนของเรื่องได้เหมาะสม โครงเรื่องช่วยให้ทราบว่าควรเขียน
ในประเด็นอะไรบ้าง มีประเด็นใดที่ไม่ควรเขียน หรือประเด็นใดควรน้าความคิดหรือรายละเอียดมา
สนบั สนนุ มากนอ้ ยแคไ่ หน จงึ จะพอเหมาะกับความยาว ซง่ึ จะชว่ ยให้สัดสว่ นของเรอื่ งเหมาะสม

๕. โครงเร่ืองช่วยไม่ให้ลืมหัวข้อเรื่องท่ีจะเขียน ในขณะเขียนเราอาจจะจดจ่อกับเรื่องท่ีเขียน
จนลืมเขียนหวั ขอ้ อน่ื ๆ ได้ แต่การเขยี นโครงเรอื่ งจะชว่ ยเตอื นความจ้าใหเ้ ราไม่ลมื เขียนหัวขอ้

๖. โครงเร่ืองช่วยไม่ให้สบั สนเวลาเขยี น การเขียนโครงเรือ่ งกอ่ นลงมือเขียนเปรยี บเสมือน
การเขยี นฉบบั ร่างของงานเขียน เม่อื ลงมอื เขียนจึงสามารถเขยี นตามหัวขอ้ ตา่ งๆ ท่ีผเู้ ขยี นได้วางโครง
เรื่องไวท้ ้าใหไ้ ม่เกิดความสับสนเวลาเขียน

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๒๔

หลักการเขยี นโครงเรอื่ ง
๑. การประมวลความคดิ คือ รวบรวมข้อมูลเปน็ หวั ขอ้ ต่างๆ
๒. การจดั สรรความคดิ คอื จดั หมวดหมู่ข้อมลู และจดั ลาดบั ความสาคญั ของแตล่ ะหวั ข้อ
๓. การจัดหมวดหมู่หรือแยกประเภทความคิด จัดลาดับของหัวข้อแต่ละหัวข้อให้มีเนื้อหา

ต่อเนื่องเป็นลาดับและสัมพันธ์กัน ผู้เขียนสามารถจัดลาดับเน้ือหาตามลาดับเวลา ตามประเพณีนิยม
ตามความสาคัญนอ้ ยไปสาคญั มากหรือสาคัญมากไปหาสาคัญนอ้ ย เปน็ ต้น
๔. การเขียนโครงเร่ือง เขียนโครงเร่ืองให้เป็นระเบียบโดยใช้รูปแบบการเขียนแบบเดียวกันตลอด

เน้อื หา และจดั หวั ขอ้ ยอ่ ยแต่ละข้อเย้ืองไปทางขวา

รปู แบบการวางโครงเร่อื ง
โครงเรือ่ งมี 3 ประเภท ดงั นี้
๑. โครงเรอื่ งแบบคร่าวๆ เป็นการเขียนโครงเรื่องอย่างครา่ วๆ ดว้ ยคาหรือวลอี ย่างหยาบๆ

เพือ่ วางแนวเรอ่ื งท่ีสน้ั ๆ เรียงลาดับลดหลัน่ กันมา โดยอาจจัดเป็นหัวข้อใหญแ่ ละมีหวั ขอ้ ย่อยกไ็ ด้
ตวั อย่าง เรอ่ื ง สาเหตุของอาหารเปน็ พษิ
- สารพษิ ตามธรรมชาติ พชื สัตว์
- สารพิษทีป่ นเปอ้ื นในอาหารจุลนิ ทรีย์ เชื้อโรค
- สารพษิ จากการกระทาของมนุษย์สารเคมกี ารเกษตร/วตั ถุเจือปนในอาหาร สผี สมอาหาร
๒. โครงเรอ่ื งแบบหัวข้อ โครงเรอื่ งแบบน้เี ขยี นดว้ ยคาวลสี ้ันๆ หรืออนปุ ระโยคที่ไม่ไดค้ วาม

ครบถว้ นในตวั เอง และมีตัวเลขหรืออักษรยอ่ กากบั ประเด็นทุกประเดน็ ท่ีสังเขปด้วยคาวลหี รืออนุ
ประโยค

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๒๕

ตวั อยา่ ง เรือ่ ง ภาวะโลกร้อน
๑. ความหมายภาวะโลกร้อน
๒. สาเหตุภาวะโลกร้อน
๓. ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
๓.๑ ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม
๓.๒ ดา้ นเศรษฐกิจ
๓.๓ ดา้ นสุขภาพ
๔. การแกป้ ญั หา
๔.๑ ลดการใชพ้ ลงั งาน
๔.๒ ปลกู ต้นไมแ้ ละรักษาปา่ ไม้
๔.๓ ลดการใช้ถงุ พลาสตกิ

๓. โครงเร่อื งแบบประโยค โครงเรอื่ งแบบน้ีเขยี นดว้ ยขอ้ ความซ่งึ เป็นประโยคทส่ี มบรู ณแ์ ละ
ชัดเจน มเี ลขหรืออกั ษรยอ่ กา้ กับประโยคทกุ ประโยคที่เปน็ ประเด็นของเรื่องนน้ั

ตัวอย่าง เรอ่ื ง ภาวะโลกร้อน
๑. ความหมายของภาวะโลกรอ้ น
๒. สาเหตขุ องการเกดิ ภาวะโลกรอ้ น
๓. ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
๔. การแกป้ ญั หาภาวะโลกร้อน

๔.๑ อนรุ กั ษ์พลงั งาน
๔.๒ อนุรักษ์ปา่ ไม้
๔.๓ อนรุ ักษส์ งิ่ แวดล้อม

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๒๖

วิธกี ารเขียนโครงเรอ่ื ง

วธิ ีการเขยี นโครงเร่ืองมที ง้ั หมด 4 ขัน้ ตอน

๑. รวบรวมความคดิ ข้อมลู เปน็ ข้อ ๆ (ระดมความคิด)

๒. จดั หมวดหมขู่ ้อมลู และจัดลาดบั ความสาคัญของแตล่ ะหัวข้อ

๓. จัดลาดับของหัวข้อแต่ละหัวข้อให้มีเนื้อหาต่อเนื่องเป็นลาดับและสัมพันธ์กัน ผู้เขียน

สามารถจัดลาดับเน้ือหาตามลาดับ เวลา ตามประเพณีนิยม ตามความสาคัญน้อยไปสาคัญมากหรือ

สาคญั มากไปหาสาคญั น้อย เปน็ ต้น

4. เขียนโครงเรื่องให้เป็นระเบียบใช้รูปแบบการเขียนแบบเดียวกันตลอดเนื้อหา และจัด

หวั ข้อแตล่ ะขอ้ เยื้องไปทางขวาเชน่

๑. หวั ข้อหลกั หรือ หัวข้อหลกั

๑.๑ หวั ขอ้ รอง ก. หัวข้อรอง

๑.๑.๑ หวั ข้อยอ่ ย - หัวข้อย่อย

๑.๑.๒ หวั ข้อยอ่ ย - หวั ข้อยอ่ ย

๑.๒ หัวขอ้ รอง ข. หัวข้อรอง

๑.๒.๑ หวั ข้อย่อย - หัวขอ้ ยอ่ ย

๑.๒.๑ หวั ขอ้ ย่อย - หัวขอ้ ย่อย

๒. หัวขอ้ หลกั หัวข้อหลัก

ตวั อย่างการจดั ลาดบั หัวขอ้ และการเขยี นโครงเรือ่ ง
ชือ่ เรือ่ ง ยาเสพติดให้โทษกับชวี ิตเป็นพิษกบั สงั คม
หัวข้อท่ีจะเขียน ยาบ้า/ ยาอี/ กัญชา/ เฮโรอีน/ ลักษณะของยาเสพติดชนิดต่าง ๆ/ อาการ

ของผู้ตดิ ยาเสพติด/ การรณรงค์ต่อต้านการเสพยาเสพติด/ ผลกระทบท่ีเกิดกับสังคม/ ปัญหาคุณภาพ
ของทรพั ยากรมนุษย/์ การบาบดั รกั ษาผู้ติดยาเสพติด/ การกาหนดบทลงโทษของผู้เก่ียวข้องกับยาเสพ
ตดิ / ปญั หาอาชญากรรม /แนวทางการแก้ไขปญั หายาเสพตดิ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๒๗

เขียนโครงเรอื่ ง “ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษกบั ชวี ติ เป็นพิษกบั สังคม”
๑. ลกั ษณะของยาเสพติดชนดิ ตา่ งๆ

๑.๑ ยาบ้า
๑.๒ ยาอี
๑.๓ กญั ชา
๑.๔ เฮโรอนี
๒. อาการของผู้ติดยาเสพติด
๓. ผลกระทบที่เกดิ ขึน้ กับสังคม
๓.๑ ปัญหาอาชญากรรม
๓.๒ ปญั หาคณุ ภาพของทรพั ยากรมนษุ ย์
4. แนวทางการแกไ้ ขปญั หายาเสพตดิ
๔.๑ การบาบัดรกั ษาผู้ตดิ ยาเสพตดิ
๔.๒ การกาหนดบทลงโทษผูเ้ ก่ียวกับยาเสพติด
๔.๓ การรณรงค์ตอ่ ต้านยาเสพติด
***ผ้เู ขียนสามารถเพ่มิ หวั ขอ้ ยอ่ ยได้ตามความเหมาะสม***

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๒
กระบวนการรวบรวมข้อมลู

ข้อมลู และประเภทของขอ้ มลู
ข้อมลู เป็นทรพั ยากรที่มีความสาคัญ สาหรับการดาเนินงานด้านต่างๆ เปน็ เคร่ืองมอื ท่จี ะช่วย
ชี้แนะให้เห็นทิศทางเพ่อื ให้บรรลุ เป้าหมายทีก่ าหนด เพราะเปน็ เสมอื นตวั แทน ของข้อเท็จจริงหรอื
ความเปน็ ไปของสง่ิ ท่เี รา สนใจศกึ ษาคน้ ควา้ ดงั นน้ั การทจี่ ะสามารถ ไขปัญหาหรือสมมติฐานที่ตัง้ ไว้
ผูศ้ กึ ษาจงึ ตอ้ ง ทาความเข้าใจประเภทและลักษณะของข้อมลู รวมถึงวิธีการตรวจสอบคณุ ภาพของ
ข้อมลู
ความหมายของข้อมูล
ข้อมูล เป็นข้อความจริงหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพ สถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ใด
ปรากฏการณ์ หนึง่ โดยทีข่ อ้ มลู อาจเปน็ ตัวเลขหรือข้อความก็ได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2547 คณะรัฐมนตรี
กาหนดมาตรการ ควบคุมการแพร่ระบาดของเช้ือโรคไข้หวัดนก หรือในเดือนกันยายน 2547 น้ามัน
เบนซนิ 91 จาหน่าย ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราคาลิตรละ 20.00 บาท โดยทั่วไป ข้อมูลมักจะ
อยู่ในรูปตัวเลขซ่ึงมีหลาย ๆ จานวนท่ีสามารถนามาเปรียบเทียบขนาดกันได้ เช่น ต้ังแต่วันที่ 1
มกราคม ถึง 30 กันยายน 2547 ไทยส่งออกข้าวไปยังประเทศหนึ่งรวม 2.88 ล้านตัน ลดลงจาก
5,00 ลา้ นตัน ของการสง่ ออกในช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.4
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงของสิ่งท่ีเราสนใจ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาพ เสียงไม่ว่าจะ
เปน็ คน สัตว์ ส่งิ ของ หรอื เหตุการณท์ เี่ กี่ยวขอ้ งกับส่งิ ตา่ งๆ ขอ้ มูลเป็นเรื่องเก่ียวกับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น
อย่างต่อเนื่อง ถูกต้อง แม่นยา ครบถ้วน ดังน้ัน การเก็บข้อมูลจึงเป็นการเก็บรวบรวมเก่ียวกับ
ข้อเทจ็ จริงของสิง่ ท่สี นใจ โดยปกติขอ้ มูลจะได้มาจากแหล่งทีม่ า 2 ประเภท คอื

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๒๙

๑. แหล่งข้อมูลภายใน เป็นแหล่งข้อมูลที่อยู่ภายในองค์กรทั่วไป จะให้ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับ
ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ภายในองค์กรแต่ อย่างเดียว อาจเป็นข้อมูล ที่สามารถเปิดเผยให้บุคคลภายนอก
ทราบหรือไม่ ก็ได้ หากข้อมูลนั้นเกี่ยวกับการดาเนินงานหลักขององค์กร ก็อาจปกปิดไว้ไม่ให้
บคุ คลภายนอกรบั รู้

๒. แหลง่ ข้อมูลภายนอก เป็นแหล่งข้อมูลท่ีอยู่ภายนอกองค์กร โดยทั่วไปแล้วเราสามารถนา
ข้อมูลเหล่าน้ันมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ข้อมูลจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ส่ือส่ิงพิมพ์ หรือข้อมูลจากส่ือ
สาธารณะอ่ืน ๆ

ประเภทของขอ้ มลู
การจัดแบ่งประเภทของข้อมูลมีหลักการหรือวิธีการแบ่งหลากหลายวิธี ตามเกณฑ์ในการ

จาแนกได้ ดงั นี้
1. การจาแนกข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจาแนกประเภทของข้อมูลตาม

แหลง่ ขอ้ มูลสามารถจาแนกได้ 2 ประเภท ขอ้ มลู ปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิ ดังน้ี
ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลท่ีผู้ใช้จะต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูล

โดยตรง ซึ่งอาจทาได้โดยการสัมภาษณ์ วัด นับ หรือสังเกตจากแหล่งข้อมูลโดยตรง เน่ืองจากข้อมูล
เหลา่ นไี้ มเ่ คยมีผใู้ ดเกบ็ รวบรวมไว้กอ่ น

การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ทาได้ 2 วิธีคือ การสามะโน และการสารวจ จากกลุ่ม
ตวั อยา่ ง

๑. การสามะโน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่
เราตอ้ งการศึกษา ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทาให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล
มาก การเกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยวธิ นี จี้ ึงไมค่ ่อยนิยมใช้ในทางปฏิบัติ ยกเว้นกรณีที่ประชากรมีขนาดเล็ก
หรอื มีขอบเขตไม่กว้างขวางนกั

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๓๐

๒. การสารวจจากกลุ่มตัวอย่าง คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบางหน่วยที่เลือกมา
เป็น ตัวแทนจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือส่ิงที่เราต้องการศึกษาเท่านั้นเน่ืองจากการเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู จากทกุ หน่วยของประชากร อาจทาให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จาเป็น เพราะส่ิงที่
ต้องการศึกษา อาจจะมีบางกลุ่มที่มีลักษณะท่ีต้องการศึกษาอยู่เหมือน ๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมาก
การเลือกตัวอย่างหรือ ตัวแทนของแต่ละกลุ่มมาทาการศึกษาที่เป็นการเพียงพอที่จะทาให้สามารถ
ประมาณค่าของส่ิงท่ีเรา ต้องการศึกษาท้ังหมดได้ เช่น การสารวจราคาเฉล่ียของสินค้าชนิดหน่ึงที่มี
ขนาดบรรจุใกล้เคียงกันจาก ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ ราคามักจะใกล้เคียงกันด้วย ดังนั้นเราอาจเลือก
ร้านค้าปลีกเพียงบางร้านมาเป็น ตัวแทนของร้านค้าปลีกท้ังหมดได้ แต่จานวนร้านค้าปลีกท่ีเลือกมา
เป็นตัวแทนจะมีจานวนมากหรือน้อย เพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่า
ต้องการให้ราคาเฉลี่ยของราคาสินค้าชนิดนั้นท่ี หาได้จากราคาสินค้าในร้านค้าตัวอย่างที่เลือกขึ้นมา
เพ่อื เกบ็ รวบรวมข้อมลู นี้ใกลเ้ คยี งกบั คา่ ที่ควรเป็นจริง ซ่ึงได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากร้ายค้าปลีก
ทุก ๆ ร้านมากน้อยเพียงใด ถ้าต้องการให้ได้ผลใกล้เคียง มากก็ควรเลือกตัวอย่างร้านค้าปลีกมาเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลเปน็ จานวนมาก

2. ข้อมูลทุตยิ ภูมิ คือข้อมูลทีผ่ ใู้ ช้ไมต่ อ้ งเกบ็ รวบรวมจากผใู้ หข้ อ้ มลู หรือแหล่งท่ีมาของ ข้อมูล
โดยตรง แต่ได้จากข้อมูลท่ีมีผู้อ่ืนเก็บรวบรวมไว้แล้ว ข้อมูลประเภทนี้ ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาและ
ค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอง สามารถนาข้อมูลท่ีมีผู้อ่ืนเก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ได้เลย แต่
อยา่ งไร กต็ ามผู้ใช้จะต้องระมัดระวังในการนาข้อมูลประเภทนี้มาใช้ให้มาก เน่ืองจากมีโอกาสผิดพลาด
ไดม้ ากหากผูเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั กล่าวใชว้ ิธีเก็บรวบรวมข้อมูลท่ไี มเ่ หมาะสม

แหล่งที่มาของขอ้ มลู ทุติยภูมิท่สี าคัญ คือ
๑. รายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาล โดยท่ัว ๆ ไป

หน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐบาล มกั จะมีรายงานแสดงขอ้ มลู พมิ พ์ออกมาเผยแพร่เป็นประจา
ซึ่ง อาจเป็นรายงานรายเดือน รายสามเดือน รายปี ข้อมูลท่ีได้จากรายงานต่าง ๆ ของหน่วยงาน
ราชการ และองค์การของรัฐบาลนอ้ี าจถอื ไดว้ ่าเป็นที่มาของข้อมลู ทุติยภมู ิท่สี าคัญที่สดุ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๓๑

๒. รายงานและบทความจากหนังสือหรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน หน่วยงาน
ของเอกชนบางแห่งโดยเฉพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ จะพิมพ์รายงานเก่ียวกับผลการดาเนินงานของตน
ออกเผยแพร่เช่นเดียวกับหน่วยงานของราชการ เช่น รายงานประจาเดือนของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนหี้ นังสือพมิ พ์รายวนั หรอื ส่ืออ่นื ๆ มกั จะมขี ้อมลู ทุตยิ ภมู ปิ ระกอบบทความหรือรายงานดว้ ย

๒. การจาแนกประเภทของข้อมูลตามลกั ษณะของข้อมลู
การจาแนกประเภทของขอ้ มลู ตามลกั ษณะของข้อมลู สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท ขอ้ มูล
เชิงปรมิ าณ และขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ดงั น้ี

๑. ข้อมูลเชิงปรมิ าณ คือ ขอ้ มูลท่ใี ช้แทนขนาดหรอื ปรมิ าณซ่งึ วดั ออกมาเป็น
จานวนทสี่ ามารถนามาใชเ้ ปรยี บเทียบกันไดโ้ ดยตรง เชน่ ปริมาณการผลติ น้ามันดบิ ของกล่มุ โอเปกใน
แต่ละปี อตั ราดอกเบย้ี เงินกขู้ องธนาคารพาณชิ ย์ จานวนสมาชกิ โดยเฉลย่ี ของครอบครัวไทย

2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ข้อมูลท่ีไม่สามารถวัดออกมาเป็นจานวนได้โดยตรงแต่
อธิบายลักษณะหรอื คุณสมบตั ิในเชงิ คุณภาพได้ เช่น เพศของสมาชิกในครอบครัวสถานภาพสมรสของ
พนักงานในบริษัทห้างร้านหรือความคิดเห็นของประชาชน การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ส่วนใหญ่ทา
โดยการนับจานวนจาแนกตามลักษณะเชิงคุณภาพ เช่น นับจานวนพนักงานที่เป็นโสด ท่ีสมรสแล้ว
หย่ารา้ ง และท่ีเปน็ หมายว่ามอี ยา่ งละกี่คน ข้อมลู เชิงคณุ ภาพบางลักษณะสามารถวัดออกมาเป็นลาดับ
ทห่ี รอื ตาแหน่งที่ได้เช่น ความชอบ วัดในรปู ชอบมากท่สี ดุ ชอบมาก ขอบปานกลาง ชอบน้อย ไม่ชอบ
เลย

ในกรณีท่ีข้อมูลเชิงคุณภาพใดไม่สามารถวัดออกมาเป็นลาดับที่หรือตาแหน่งที่ได้ เช่น กลุ่ม
นักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลกับกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนเอกชน หรือ กลุ่มพนักงานชายกับกลุ่ม
พนักงานหญิง หากมีความจาเป็นต้องกาหนดเป็นจานวนเพ่ือใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ
อาจใช้ 0 แทนกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลหรือกลุ่มพนักงานชาย และใช้ 1 แทนกลุ่มนักเรียน
โรงเรียนเอกชน หรือกลุ่มพนักงานหญิง จานวนท่ีใช้แทนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่าน้ีไม่สามารถนาไป
ตีความหมายในเชิง ปริมาณได้ ความหมายของจานวนท่ีใช้แทนข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้
แทน “กลมุ่ ต่าง ๆ เท่านั้น

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๓๒

3. การจาแนกประเภทตามสภาพของข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับกลุ่มตัวอย่าง การจาแนกประเภท
ของข้อมูลตามลกั ษณะของข้อมูล สามารถจาแนกได้ ๓ ประเภท ดังนี้

1. ข้อมูลส่วนบคุ คล คอื ข้อมลู ทเ่ี กย่ี วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ สว่ นตวั ของ กลุ่มตัวอยา่ ง เช่น
ชือ่ สกุล อายุ เพศ อาชีพ ศาสนา เปน็ ต้น

2. ข้อมูลส่ิงแวดล้อม คือ ข้อมูลท่ีเป็นข้อเท็จจริงเก่ียวกับ สิ่งแวดล้อมของกลุ่ม
ตัวอย่าง เช่น ลักษณะทอ้ งถิน่ ท่กี ลุม่ ตวั อย่างอาศัย

3. ข้อมูลพฤติกรรม คือ ข้อมูลท่ีเป็นคุณลักษณะท่ีมีอยู่ในตัวของ กลุ่มตัวอย่าง เช่น
คณุ ลักษณะดา้ นความสามารถมอง ได้แกผ่ ลสัมฤทธทิ์ างวชิ าการ หรอื การเรียน เช่น ความรูค้ วามเข้าใจ
การวิเคราะห์ความถนัด สติปัญญา ความสนใจ ความวิตกกังวล แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ในภาพเกี่ยวกับ
ตนเอง การปฏิบัติ การกระทาส่ิงต่าง ๆ

4. การจาแนกประเภทตามการนาไปใช้กับคอมพิวเตอร์
1. ข้อมูลตัวเลข ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นจานวนตัวเลข สามารถนาไปคานวณได้ เช่น

จานวนเงินเดอื น ราคาสนิ คา้
2. ข้อมูลตัวอกั ษร ไดแ้ ก่ ข้อมูลท่ีเปน็ ตวั อักษร และสัญลกั ษณ์ เชน่ ช่ือ สกุล ท่ีอยู่
3. ข้อมูลเสยี ง ไดแ้ ก่ ข้อมูลที่เปน็ เสยี งตา่ ง ๆ เช่น เสยี งดนตรี เสยี งพูด
4. ข้อมูลภาพ คือ ข้อมูลที่เป็นจุดสีต่าง ๆ เมื่อนามาเรียงต่อกันแล้วเกิดรูปภาพข้ึน

เช่น ภาพถา่ ย ภาพลายเสน้ เปน็ ต้น
5. ข้อมูลภาพเคลื่อนไหว ได้แก่ ข้อมูลท่ีเป็นภาพเคลื่อนไหวต่าง เช่น

ภาพเคล่ือนไหวทถี่ ่ายดว้ ยกล้องวิดโี อ หรือภาพทที่ าจากโปรแกรมตา่ ง ๆ เป็นตน้

ลกั ษณะของขอ้ มูลท่ีดี
ข้อมูลทมี่ ีประสทิ ธิภาพและสามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการศึกษาค้นคว้าได้ ควรมี

ลกั ษณะ ดังน้ี
๑. ถูกต้อง น่าเช่ือถือ ข้อมูลจะมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือย่อมข้ึนอยู่กับวิธีการควบคุม

ขอ้ มลู และจะต้องผ่านการวิเคราะห์ ตรวจสอบกอ่ นนาไปใช้

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

๓๓

๒. ตรงตามความตอ้ งการ ผ้ใู ชไ้ ม่ควรเกบ็ ขอ้ มลู ท่ีไม่เกี่ยวข้องกบั การศกึ ษาค้นคว้า ควรเลือก
เฉพาะข้อมูลทจี่ าเปน็ และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้จรงิ

๓. ทันสมัย ข้อมูลที่เก็บรวบรวมต้องเป็นข้อมูลที่ทันสมัย เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ
นาไปใชไ้ ดท้ ันเวลา

๔. สมบูรณ์ ครบถว้ น ขอ้ มลู ที่เก็บรวบรวมมาควรเป็นข้อเท็จจริงและมีสาระสาคัญครบถ้วน
ทุกประการ

๕. กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมควรเป็นข้อมูลท่ีกะทัดรัด ไม่ใช้คาฟุ่มเฟือย
เพอ่ื สะดวกตอ่ การค้นหาหรือนาไปใช้

๖. ตอ่ เนอ่ื ง ข้อมูลควรได้รับการเก็บรวบรวมอย่างสม่าเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเป็นประโยชน์ใน
การหาแนวโนม้ ในอนาคต

การตรวจสอบคณุ ภาพของข้อมูล
ความน่าเช่ือถือของผลการศึกษาค้นคว้า ย่อมต้องขึ้นอยู่ท่ีว่า ผู้จัดทาจะสามารถทาให้ผู้อ่าน

มัน่ ใจในข้อมลู และแหล่งขอ้ มลู เพียงใด โดยการตรวจสอบคุณภาพของข้อมูลและแหล่งข้อมูล มีแนวทาง
ปฏบิ ตั ิ ดังนี้

1. แนวทางการตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล ข้อมูลท่ีจะนาไปใช้ในการศึกษา วิเคราะห์
แก้ปัญหา ควรเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน และมีความคลาดเคล่ือนน้อยที่สุด โดยมีแนว
ทางการตรวจสอบ ดงั นี้

๑.๑ ตรวจสอบความครบถ้วน เป็นการตรวจสอบรายการต่างๆ ว่ามีการบันทึก
ครบถ้วนทกุ รายการ

๑.๒ ตรวจสอบความถูกต้อง เป็นการตรวจสอบความสัมพันธ์สอดคล้องกัน โดยใช้
ความรู้ ความสามารถมาชว่ ยพิจารณา

๑.๓ ตรวจสอบข้อมูลสถิติ เป็นการตรวจสอบตั้งแต่ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลและ
ความครบถ้วนของขอ้ มูล

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๓๔
๑.๔ ตรวจสอบการอ้างอิง เป็นการตรวจสอบรายการอ้างอิงในบรรณานุกรม เพื่อ
ชว่ ยสรา้ งความเชอ่ื มั่นในคณุ ภาพของงาน
๑.๕ ทบทวนเน้อื หา เปน็ การอ่านทวนซ้าหลายๆ ครั้ง เพื่อใหเ้ ห็นความเช่ือมโยงของ
งาน และสามารถเห็นขอ้ บกพรอ่ งไดง้ ่ายและชดั เจนขน้ึ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

แหลง่ ข้อมูลในการแสวงหาความรู้

แหล่งขอ้ มูลในการแสวงหาความรู้
แหล่งข้อมูลท่ีสาคัญ ได้แก่ บุคคล เช่น ผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้กรอกแบบสอบถาม บุคคลท่ีถูก
สังเกต เอกสารทุกประเภท และข้อมูลสถิติจากหน่วยงาน รวมไปถึง ภาพถ่าย แผนที่ แผนภูมิ หรือ
แม้แตว่ ตั ถุ สิง่ ของ ก็ถือเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ไดท้ ง้ั สิ้น
ความหมายของแหลง่ ข้อมลู
แหล่งข้อมลู หมายถงึ ต้นกาเนิดหรอื ทีม่ าของข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสอื อนิ เทอรเ์ น็ต
บคุ คล และอาจรวมไปถงึ สานที่ต่าง ๆ ทสี่ ามารถใหข้ ้อมูลแก่เราได้ เช่น พพิ ิธภณั ฑ์ แหล่งท่องเท่ยี ว
เปน็ ตน้
แหล่งข้อมูล เป็นสถานท่ีหรือแหล่งที่เกิดข้อมูล แหล่งข้อมูลจะแตกต่างกันไปตามข้อมูลที่
ต้องการ เช่น บ้านเป็นแหล่งข้อมูลท่ีเก่ียวกับนักเรียน โดยบันทึกข้อมูลไว้ในทะเบียนบ้าน ห้องสมุด
เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ต่าง ๆ ข้อมูลบางอย่างเราอาจจะนามาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งได้
เช่นราคาของเล่นชนิดเดียวกัน เราอาจจะหาข้อมูลจากร้านค้าหลายร้านได้ และข้อมูลหรือราคาท่ีได้
อาจจะแตกต่างกันไป หนังสือ สิ่งพิมพ์ เป็นแหล่งข้อมูลที่มีท้ังข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เราสามารถ
แบง่ แหล่งข้อมูลตามลักษณะการเกดิ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

๓๖

ประเภทของแหลง่ ข้อมูล
แหล่งข้อมลู ที่อยรู่ อบตัวเรา แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
๑. แหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ หมายถึง แหลง่ ข้อมลู ทีใ่ ห้ข้อมูลแก่เราโดยตรง อาจเกิดจากการที่ เรา

พบเห็นส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเอง แล้วจดบันทึกข้อมูลไว้หรือสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ หรือการสังเกต จาก
แหล่งข้อมลู รวมไปถงึ การสารวจขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถาม เช่น ถ้าเราต้องการทราบจานวน นักเรียน
ชั้นม.๕ ท่ีว่ายน้าเป็น เราก็อาจหาข้อมูลโดยการสัมภาษณ์นักเรียนที่อยู่ช้ัน ม.5 หรือการให้ตอบ
แบบสอบถาม เป็นต้น แล้วจึงนาข้อมูลมาประมวลผล จากน้ันจึงนาข้อมูลท่ีได้ไปใช้ ประโยชน์ และ
จัดเก็บขอ้ มลู ให้เป็นระเบยี บ

การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ทาได้ 2 วิธีคือ การสามะโน และการสารวจ จากกลุ่ม
ตัวอย่าง

๑. การสามะโน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งท่ี
เราต้องการศกึ ษา ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะน้ีทาให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล
มาก การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยวธิ ีนจ้ี ึงไม่คอ่ ยนิยมใช้ในทางปฏิบัติ ยกเว้นกรณีที่ประชากรมีขนาดเล็ก
หรือมี ขอบเขตไม่กว้างขวางนัก

๒. การสารวจจากกลุ่มตัวอย่าง คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบางหน่วยท่ีเลือกมา
เป็น ตัวแทนจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือส่ิงท่ีเราต้องการศึกษาเท่าน้ันเน่ืองจากการเก็บ
รวบรวมข้อมลู จากทุกหนว่ ยของประชากร อาจทาให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จาเป็น เพราะส่ิงที่
ต้องการศึกษา อาจจะมีบางกลุ่มท่ีมีลักษณะที่ต้องการศึกษาอยู่เหมือน ๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมาก
การเลือกตัวอย่างหรือ ตัวแทนของแต่ละกลุ่มมาทาการศึกษาท่ีเป็นการเพียงพอท่ีจะทาให้สามารถ
ประมาณค่าของสิ่งท่ีเรา ต้องการศึกษาท้ังหมดได้ เช่น การสารวจราคาเฉลี่ยของสินค้าชนิดหน่ึงท่ีมี
ขนาดบรรจุใกล้เคียงกันจาก ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ ราคามักจะใกล้เคียงกันด้วย ดังนั้นเราอาจเลือก
ร้านค้าปลีกเพียงบางร้านมาเป็น ตัวแทนของร้านค้าปลีกทั้งหมดได้ แต่จานวนร้านค้าปลีกที่เลือกมา
เป็นตัวแทนจะมีจานวนมากหรือน้อย เพียงใดข้ึนอยู่กับความต้องการของผู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่า
ต้องการให้ราคาเฉลี่ยของราคาสินค้าชนิดน้ันที่ หาได้จากราคาสินค้าในร้านค้าตัวอย่างท่ีเลือกข้ึนมา
เพ่ือเก็บรวบรวมขอ้ มลู นีใ้ กลเ้ คยี งกบั คา่ ทีค่ วรเป็นจริง ซ่ึงได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากร้ายค้าปลีก
ทุก ๆ ร้านมากน้อยเพียงใด ถ้าต้องการให้ได้ผลใกล้เคียง มากก็ควรเลือกตัวอย่างร้านค้าปลีกมาเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู เป็นจานวนมาก

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

๓๗

2. ขอ้ มลู ทตุ ิยภูมิ คือขอ้ มลู ที่ผูใ้ ชไ้ มต่ อ้ งเกบ็ รวบรวมจากผูใ้ ห้ข้อมูลหรือแหล่งท่ีมาของ ข้อมูล
โดยตรง แต่ได้จากข้อมูลท่ีมีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้ว ข้อมูลประเภทนี้ ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาและ
ค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอง สามารถนาข้อมูลที่มีผู้อ่ืนเก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ได้เลย แต่
อยา่ งไร ก็ตามผ้ใู ชจ้ ะต้องระมดั ระวังในการนาขอ้ มลู ประเภทน้ีมาใช้ให้มาก เน่ืองจากมีโอกาสผิดพลาด
ได้มากหากผู้เกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังกล่าวใช้วิธเี ก็บรวบรวมข้อมลู ท่ไี มเ่ หมาะสม

แหล่งท่มี าของข้อมูลทุตยิ ภมู ิท่ีสาคัญ คือ
๑. รายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาล โดยทั่ว ๆ ไป

หน่วยงานราชการหรือองคก์ ารของรฐั บาล มกั จะมรี ายงานแสดงข้อมลู พมิ พ์ออกมาเผยแพร่เป็นประจา
ซึ่ง อาจเป็นรายงานรายเดือน รายสามเดือน รายปี ข้อมูลท่ีได้จากรายงานต่าง ๆ ของหน่วยงาน
ราชการ และองคก์ ารของรฐั บาลน้อี าจถือได้วา่ เปน็ ทม่ี าของข้อมลู ทตุ ิยภูมิทสี่ าคัญที่สดุ

๒. รายงานและบทความจากหนังสือหรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน หน่วยงาน
ของเอกชนบางแห่งโดยเฉพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ จะพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลการดาเนินงานของตน
ออกเผยแพร่เช่นเดียวกับหน่วยงานของราชการ เช่น รายงานประจาเดือนของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้หนงั สอื พมิ พร์ ายวัน หรอื ส่อื อน่ื ๆ มักจะมขี ้อมลู ทุติยภมู ปิ ระกอบบทความหรือรายงานด้วย

ลกั ษณะของแหลง่ ขอ้ มูลทด่ี ี
ในการหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ย่อมต้องเร่ิมต้น จากการเลือกแหล่งข้อมูลท่ีเหมาะสม มี

คุณภาพ โดยท่ัวไปแหล่งข้อมูลไม่ว่าจะเป็นบุคคล สถาบัน หน่วยงาน ควรเป็นแหล่งที่ทันสมัย ทันยุค
ทันเหตุการณ์ เพ่ือให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันและถูกต้อง มากท่ีสุด โดยการจะกล่าวถึงลักษณะของ
แหล่งขอ้ มูลทด่ี ี จะอธิบายโดยจาแนกได้ ดงั นี้

๑. แหล่งขอ้ มูลท่ีเป็นแผน่ พับ ใบปลวิ แหลง่ ขอ้ มูลประเภทน้ตี อ้ งมีรายละเอียดของแหล่งท่ีมา
ของ เอกสาร ผู้เขียนเอกสาร การจัดพิมพ์เอกสาร ระยะเวลาการเผยแพร่ และจุดประสงค์ในการ
เผยแพรใ่ หช้ ดั เจน

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๓๘

๒. แหล่งข้อมูลที่เป็นหนังสือ ตารา แหล่งข้อมูลประเภทนี้ต้องเขียนโดยผู้เขียนที่มี
ความสามารถ ตรงกบั ศาสตรแ์ ขนงนั้นๆ มแี หลง่ ท่มี าของข้อมลู ท่ีน่าเชอื่ ถือ

๓. แหล่งข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ แหล่งข้อมูลประเภทน้ีต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้
สัมภาษณ์ ว่ามมี นุษยสมั พนั ธ์ ปฏิภาณไหวพริบ และมีทกั ษะในการบนั ทึกสรปุ มากนอ้ ยเพียงใด

๔. แหล่งข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต แหล่งข้อมูลประเภทนี้ต้องพิจารณาจากจุดมุ่งหมาย ที่
เฉพาะเจาะจง มกี ารวางแผนอยา่ งเปน็ ระบบ แบบสังเกต มคี วามครบถ้วน เที่ยงตรง

แหล่งข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์และการสังเกตเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นบุคคล จึงจาเป็นต้อง
พิจารณาเพ่ิมเตมิ ว่า บคุ คลผูใ้ หข้ อ้ มลู น้ันตอ้ งเปน็ ผ้เู ชยี่ วชาญ มคี วามรู้ ความสามารถตรงตาม สาระที่ผู้
ศึกษาค้นคว้าต้องการ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทันสมัย ไม่มีจิตอคติต่อเร่ืองหรือต่อผู้ท่ี ต้องการ
ขอ้ มูลน้นั ไม่วา่ แหลง่ ข้อมูลจะเป็นบุคคล เอกสาร ตารา หรือสถานที่ ประสิทธิภาพของข้อมูลท่ีได้จาก
แหลง่ ต่าง ๆ เหล่านัน้ กย็ อ่ มข้ึนอยู่กับผู้แสวงหาข้อมูลเป็นสาคญั ท่ีจะต้องมศี ักยภาพในการบันทึก และ
พจิ ารณาเพอ่ื ให้ไดส้ าระของข้อมูลทต่ี รงกับวัตถุประสงค์
การตรวจสอบคุณภาพของแหลง่ ข้อมูล

การตรวจสอบคุณภาพของแหล่งข้อมูล สามารถกระทาตามแนวทางได้ ดังนี้
๑. ตอ้ งสอดคล้อง แหล่งขอ้ มูลตอ้ งมีความสมั พันธ์สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลนนั้ ๆ
๒. ต้องทันสมัย แหลง่ ข้อมูลต้องมีความทันสมยั ทนั เหตกุ ารณ์ สามารถนาไปใช้ไดท้ ันที
๓. ต้องนา่ เชือ่ ถือ แหล่งขอ้ มูลต้องมคี วามนา่ เชอื่ ถือ เป็นท่ียอมรบั ของคนทัว่ ไป
๔. ต้องมีระบบ แหล่งข้อมูลต้องมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก
รวดเรว็
๕. ต้องตดิ ต่องา่ ย แหล่งข้อมลู ตอ้ งสามารถติดต่อได้ง่าย ประหยัดและปลอดภัย

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การสืบค้นสารสนเทศ

การสบื ค้นสารสนเทศ
การสืบค้นสารสนเทศ เป็นกระบวนการหรือวิธีการในการค้นสารสนเทศ โดยมีเป้าหมาย
หรือเพื่อ ช้ี ระบุ และดึงสารสนเทศ เฉพาะท่ีเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้ออกมาจากท่ีจัดเก็บ
โดย อาศัยเคร่ืองมือในการสืบค้นสารสนเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความ สะดวก รวดเร็วในการค้นหา
สารสนเทศ
ความหมายการสบื ค้นสารสนเทศ
การสืบค้นข้อมูล หมายถึง วิธีการต่างๆ ท่ีใช้ประกอบ ในการสร้างประโยคการค้นหา
เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ตรงกับ ความต้องการมากที่สุด เทคนิคในการค้นหานั้น สามารถแบ่ง ออกเป็น
2 ประเภท คือ การค้นหาพ้ืนฐานหรืออย่างง่าย และการค้นหาแบบซับซ้อนหรือขั้นสูง การนาความรู้
เกี่ยวกับ อินเทอร์เน็ต มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ได้แก่ การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
โดยการใชง้ านอินเทอรเ์ นต็ เกีย่ วกับการศกึ ษานีจ้ ะสามารถแบ่งเน้ือหาออกเป็น 3 ระดบั
1. การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
2. การนาข้อมูลจากอนิ เทอร์เน็ตมาใช้งาน
3. การสรา้ งแหลง่ ขอ้ มูลดว้ ยตนเอง
ชลธิชา สุทธินริ นั ดร์กลุ (2535 : 2) กล่าวว่า การสืบค้นสารสนเทศ หมายถึง กระบวนการ
ค้น เอกสารเพื่อให้ได้เอกสารท่ีเก่ียวข้องเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง สืบค้นสารสนเทศท่ีตรงกับความต้องการ
และ นาส่งผู้ใชอ้ ย่างรวดเร็วทันการณ์
ชัชวาลย์ วงศ์ประเสริฐ (2537 : 130) ให้ความหมายว่าเป็นการค้นหาสารสนเทศ
เก่ียวกับกิจกรรมต่าง ๆ ตามความตอ้ งการสารสนเทศของผ้ใู ช้

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๔๐

พิชชุดา ศรีอนันต์ (2553 : 8) สรุปความหมายไว้ว่า การสืบค้นสารสนเทศ หมายถึง
บรกิ ารที่ จดั ข้นึ เพ่ือชว่ ยเหลอื ผู้ใชเ้ พ่อื เข้าถงึ สารสนเทศท่ีต้องการไดอ้ ย่างถกู ต้อง สะดวก และรวดเร็ว

สรุปได้ว่า การสืบค้นสารสนเทศ หมายถึง ความพยายามของบุคคลในการค้นหาให้ได้ซ่ึง
สารสนเทศทตี่ ้องการโดยใช้เคร่ืองมือสืบค้น

วตั ถปุ ระสงคข์ องการสืบคน้ สารสนเทศ
1. เพือ่ การศกึ ษา
2. เพื่อหาขอ้ มลู หรอื ความรู้ใหม่ ๆ
3. เพื่อความบันเทงิ และการพักผ่อนหย่อนใจ
4. เพอ่ื ประกอบการทางาน การคา้ การประกอบธุรกิจ
5. เพื่อประกอบการตดั สนิ ใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

การเตรยี มตวั กอ่ นจะเรมิ่ ต้นการค้นหา
1. ผูค้ นจะต้องทราบว่าตนเองตอ้ งการค้นหาข้อมลู เกีย่ วกบั เรอ่ื งใด
2. รูจ้ ักแหล่งสารสนเทศ ท้ังห้องสมุด อินเทอร์เน็ต และแหล่งอ่ืนๆ เพื่อสืบค้นให้ได้ข้อมูล

ตามทตี่ อ้ งการ เปน็ ต้น
3. ต้องรู้จักวิธีการใช้แหล่ง เช่น รู้จักวิธีค้นหาแบบ พื้นฐาน นอกจากน้ียังต้องรู้จักวิธีการ

จัดการผลลัพธ์ ได้แก่ การบันทึก การสั่งพิมพ์ การส่งข้อมูลทาง E-mail การจัดการรายการ
บรรณานุกรม เปน็ ต้น

4. รู้จักกฎ กติกา มารยาทในการใช้แหล่งสารสนเทศ เน่ืองจากปัจจุบันได้มีการละเมิด
ลขิ สทิ ธิก์ นั มากขน้ึ

การวางแผนการคน้ สารสนเทศ
เรม่ิ ตน้ จาก การตอบคาถามเหล่าน้ี
๑. กาลงั คน้ หาอะไร
๒. จะค้นหาจากที่ไหนไดบ้ ้าง
๓. คน้ หาอยา่ งไร
๔. ข้อมลู ท่ไี ดม้ า ตรงตามความต้องการ หรือไม่

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๔๑

ขั้นตอนการวางแผนการคน้ สารสนเทศ
๑. กาหนดประเด็นเรื่องทสี่ นใจ
๒. รขู้ อบเขตเน้ือหา หรือประเภททรัพยากร
๓. กาหนดคา คาสาคญั และหวั เรื่อง ท่ีจะใชค้ น้
๔. ใชท้ ักษะหรอื เทคนิคการสืบคน้
๕. เลอื กเครื่องมอื ชว่ ยค้น และวิธกี ารค้น
๖. วิเคราะหแ์ ละประเมนิ ผลการสบื คน้ ท่ไี ด้

กระบวนการสบื คน้ สารสนเทศ
ปัจจุบันการค้นหาสารสนเทศท่ีท่ีอยู่ในแหล่งต่าง ๆ นั้นสามารถทาได้ง่าย เพราะมีการ

บันทึกไว้ ในฐานข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องมือและกลยุทธ์การแสวงหาและการสืบค้น
เปล่ียนแปลงไปจากเดิม ผู้ศึกษาค้นคว้าไม่จาเป็นต้องมาจดจาช่ือนามสกุล ผู้เขียน ช่ือหนังสือ หรือชื่อ
บทความใด ๆท้ังส้ิน เมื่อต้องการจะค้นหาเร่ืองใด ก็คิดคาค้นได้อย่างอิสระโดย สามารถใช้คาสาคัญ
(keywords) ที่สื่อความหมายถึงเรื่องท่ีเราต้องการจะค้นหา แล้วพิมพ์เข้าไปใน เครื่องคอมพิวเตอร์ซ่ึง
มีฐานข้อมูลในสาขาวิชาหรือเร่ืองราวด้านนั้นๆอยู่ เราต้องการความรู้ลักษณะใด เป็นคาถามที่ผู้
แสวงหาความรตู้ อ้ งถามตนเอง กอ่ นท่จี ะลงมือค้นหาตามแหลง่ ที่เหมาะสม โดยท่วั ไปจาแนกการสืบค้น
สารสนเทศไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะ คอื

1. ผู้คน้ ทราบรายละเอียดบางสว่ นของทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการค้น เช่น ทราบชื่อผู้
แต่งก็จะใช้ชื่อผู้แต่งเป็นคาค้น ทราบช่ือเร่ืองก็จะใช้ช่ือเรื่องเป็นคาค้น เป็นต้น ทาให้ค้นหาได้รวดเร็ว
และไม่จาเป็นต้องมีความชานาญในการค้นหามากนัก การค้นลักษณะน้ีเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า การค้น
แบบพ้นื ฐาน (Basic Search) การค้นแบบน้ีต้องรู้ครบ และสะกดถูกต้อง ถ้าซ้ือ ท่ีสะกดแปลก ๆ อาจ
หาไมพ่ บ เชน่ ช่อื บุคคล พะเยา พเยาว์ เพยา เพยาว์

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)


Click to View FlipBook Version