๔๒
2. ผู้ค้นไม่ทราบรายละเอียดของทรัพยากรสารสนเทศต้องการค้น ผู้ค้นจะต้องคิดและ
กาหนดคาคน้ ท่ีเปน็ คาหรอื วลเี พื่อใชแ้ ทนเนื้อหาสาระหรอื ประเด็นหลัก ของคาถามหรือเรื่องท่ีต้องการ
จะคน้ หา เพื่อให้การคน้ หาขอ้ มลู มีประสทิ ธิภาพและรวดเร็ว คาค้นใน ลักษณะนี้มีหลายประเภท ได้แก่
หัวเรื่อง อภิธานศัพท์ และคาสาคัญ ซึ่งเป็นเครื่องช่วยกันท่ีสาคัญใน การเข้าถึงสารสนเทศท่ีต้องการ
การคน้ ลักษณะนเ้ี รียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า การต้นแบบขั้นสูง
รูปแบบการสืบค้นสารสนเทศ
รปู แบบการสืบค้นเสิร์ชเอนจิน (search engine) หรือโปรแกรมค้นหาและคือ โปรแกรมที่
ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมท้ังข้อความ รูปภาพ
ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอ่ืน ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่
โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย เสิร์ชเอนจิน ส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคาสาคัญ (คีย์เวิร์ด) ท่ี
ผ้ใู ช้ป้อนเข้าไป จากนัน้ ก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มนั คิดว่าผู้ใช้ น่าจะต้องการข้ึนมา ในปัจจุบัน เสิร์ช
เอนจ้ินบางตัว เช่น กูเกิลจะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ ของผู้ใช้ไว้ด้วยและจะนา
ประวัติท่บี ันทกึ ไว้น้ัน มาช่วยกรองผลลพั ธ์ในการค้นหาคร้ังตอ่ ๆ ไป
๑. หลักการใช้คา สัญลักษณ์ เครอื่ งหมาย ในการสบื ค้นข้อมลู
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยา การค้นหาโดยทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะใช้ Keyword เป็น
เครื่องมอื ในการนาทางการคน้ หา อย่างเดียว แต่ถ้าผู้ใช้ รู้จักใช้เครื่องหมายบางตัวร่วมด้วย ก็จะทาให้
ขอบเขตการค้นหาของ Google แคบลง ทาให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลท่ีตรง กับความต้องการมากขึ้น
เคร่อื งหมายทส่ี ามารถนามาชว่ ยในการคน้ หาได้ มีดังนี้
๑.๑ การใช้เครื่องหมายบวก (+) เช่ือมคาโดยปกติ Google จะไม่ใส่ใจในในการ
ค้นหาข้อมูลจากการพิมพ์ Keyword ประเภท Common Word คาง่าย ๆ เช่น at,with,on,what,
when,where,how,the,to,of แตเ่ นือ่ งจากเป็นบางครั้ง เหลา่ นี้เปน็ คาสาคญั ของประโยคที่ผู้ใช้จาเป็น
ตอ้ งคน้ หา ดงั นั้น เครื่องหมาย + จะช่วยเชื่อมคา โดยมีเง่ือนไข ว่าก่อนหน้าเครื่องหมาย + ต้องมีการ
เว้นวรรค 1 เคาะด้วย
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๔๓
๑.๒ ตัดบางคาที่ไม่ต้องการค้นหาด้วยเครื่องหมายลบ (-) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัด
เร่ืองที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ หรือไม่เก่ียวข้องออกไปได้ เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เก่ียวกับการล่อง
แก่ง แต่ไม่ต้องการการล่องแก่งท่ีเกี่ยวข้องกับจังหวัดตาก ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่าล่องแก่งตาก
(เช่นเดียวกับเคร่ืองหมาย + ต้องเว้นวรรคก่อนหน้าเครื่องหมาย ด้วย) Google จะทาการค้นหา
เว็บไซตท์ ี่เกย่ี วกบั การล่องแกง่ แต่ไม่มจี งั หวัดตากเขา้ มาเก่ียวข้อง
๑.๓ การค้นหาด้วยเครื่องหมายคาพูด (“...") เหมาะสาหรับการค้นหาคา Keyword
ที่มีลักษณะเป็นประโยควลีหรือกลุ่มคา ที่ผู้ใช้ต้องการให้แสดงผลทุกคาในประโยค โดยไม่แยกคา เช่น
ถ้าผู้ใช้ต้องการหาเว็บไซต์เก่ียวกับเพลงที่มีชื่อว่า ลาสิกขาตามหาหัวใจ ให้พิมพ์ว่า “ลาสิกขาตามหา
หัวใจ”Google จะทาการคน้ หาประโยค “ลาสกิ ขาตามหาหวั ใจ” ทัง้ ประโยคโดยไม่แยกคาค้นหา
๑.๔ ไม่ตอ้ งใชค้ าว่า “AND” ในการแยกคาคน้ หาแต่เดิมการใช้ Keyword ท่ีมากกว่า
1 คาในการคน้ หาเวบ็ ไซต์แบบแยกคา ผู้ใช้จาเป็นต้องใช้ AND ในการแยกคาเหล่าน้ัน ปัจจุบันไม่ต้อง
ใช้ AND แล้ว เพราะ Google จะทาการแยกคาให้โดยอัตโนมตั ิ
๑.๕ การค้นหาด้วยคาว่า OR เป็นการสั่งให้ Google ค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เช่น
ถ้าผู้ใช้ต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เก่ียวกับการล่องแก่ง ท้ังในจังหวัดตากและปราจีนบุรี ให้ผู้ใช้พิมพ์
Keyword วา่ ลอ่ งแก่ง ตาก OR ปราจีนบุรี Google จะทาการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการล่องแก่งท้ัง
ใน จงั หวัดตากและกาญจนบรุ ี
๑.๖ Google จะไม่ใส่ใจใน Common Word คาศัพท์พ้ืน ๆ อย่าง the,where,is,
how,a,toและอ่ืนๆ รวมท้ังตัวเลขและตัวอักษรเด่ียวๆ Google มักไม่ให้ความสาคัญและใส่ใจท่ีจะ
คน้ หา เนอ่ื งจากเครือ่ งมือที่ Google ใช้จัดเก็บและรวบรวมเว็บทั่วโลกจะค่อนข้างเสียเวลาในการเก็บ
รวบรวมเว็บท่ีมีคาเหล่าน้ี ซ่ึงมีเยอะมากๆ แต่ถ้าหากจาเป็น ผู้ใช้จะต้องใช้เครื่องหมาย " + " ในการ
เช่ือมคาเหล่าน้ีด้วย หรืออีกทางก็คือผู้ใช้อาจจะระบุคาท่ีต้องค้นหาทั้งหมดในรูปของวลีภายใต้
เครือ่ งหมาย “...”
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๔๔
เทคนิคการสืบค้นสารสนเทศมีประสิทธิภาพ
การกาหนดค่าต้นท่ีถูกต้องและเหมาะสม คาค้น หมายถึง ค่าท่ีใช้แทนเน้ือหาของ
ทรัพยากรสารสนเทศท่ตี ้องการสบื ค้น สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. คาค้นแบบควบคุม หมายถึง กลุ่มคาและวลี ที่ถูกกาหนดขึ้นอย่างมีระเบียบ
กฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เพื่อใช้เป็นคาที่มีความเก่ียวข้องกับเนื้อหาสาระของทรัพยากร
สารสนเทศ ซง่ึ การกาหนดคาศพั ทห์ นึ่งคามักกาหนดให้ใช้คาน้ัน ๆ เพียงคาเดียวแทนความหมาย
ของคา อนื่ ทีม่ ีความหมายเดียวกนั ด้วย
2. คาค้นแบบไม่ควบคุม หมายถึง คา กลุ่มคา และวลี ที่รู้จักกัน ท่ัวไปที่ปรากฏอยู่
ในเนื้อหาของทรัพยากรสารสนเทศ หรืออาจเป็นคาในภาษาธรรมชาติ ที่ใช้ในการพูดหรือเขียน
โดยท่ัวไปซงึ่ ถูกนามากาหนดเป็นคาค้น
การกาหนดค่าคนั เริ่มจากการวิเคราะห์หัวข้อเรื่องท่ีต้องการสืบค้น กาหนดประเด็นที่
ต้องการค้น เพื่อระบุคาค้น โดยแยกเป็นประเด็นหลักและประเด็นรองท่ีเกี่ยวข้อง เช่น เวลา
สถานท่ี ยุคสมัย เป็นตน้ จากน้ันจึงสร้างคาคน้ ดว้ ยคาที่เกยี่ วขอ้ ง ซงึ่ อาจมมี ากได้มากกวา่ 1 คา
ตวั อย่าง
เร่ือง : ไวรสั โคโรนากับผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ โลก
ประเด็นหลัก : ไวรัสโคโรนา
ประเดน็ รอง : เศรษฐกิจโลก
คาค้น : ไวรสั โคโรนา, โควิด-19, Coronavirus,COVID-19,เศรษฐกิจโลก
ปญั หาในการสืบคน้ สารสนเทศ
สารสนเทศท่ีมีอยู่มากมายท้ังในรูปสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หากผู้ใช้ไม่
สามารถ ค้นหาได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อหาความรู้ใหม่ เพ่ือประกอบการตัดสินใจ เพื่อ
การบันเทิง ฯลฯ และทันต่อความต้องการ สารสนเทศที่มีอยู่ก็ไม่มีคุณค่าเพราะไม่สามารถ
นามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ได้ โดยทัว่ ไปผู้ใช้มักมีปัญหาในการสืบค้นสารสนเทศดังนี้ (น้าทิพย์ วิภา
วนิ . 2547 : 110)
1. ไมท่ ราบความต้องการทแ่ี ท้จรงิ ว่าต้องการค้นเรื่องอะไร
2. ไมท่ ราบคาที่จะใชค้ ้น
3. ไม่ทราบว่าจะคน้ จากแหลง่ ขอ้ มลู ใดหรือใชเ้ คร่ืองมือใดชว่ ยค้น
4. ไม่ทราบวิธกี ารคน้ เพื่อให้ไดผ้ ลลัพธ์ทีต่ อ้ งการ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
เคร่อื งมอื การสบื ค้นสารสนเทศ
เครื่องมือการสืบคน้ สารสนเทศ
เครอื่ งมอื สบื ค้นสารสนเทศ เป็นวัสดุอุปกรณ์ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ท่ีจะทาให้เข้าถึง
สารสนเทศและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ตามต้องการอย่างสะดวก รวดเร็ว เครื่องมือสืบค้น
สารนเิ ทศมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ประเภทสบื คน้ ด้วยมือ และสืบคน้ ดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์
ความหมายของเครอ่ื งมือสืบคน้ สารสนเทศ
เคร่ืองมือสืบค้นสารสนเทศ เป็นเคร่ืองท่ีอยู่ในแหล่งสารสนเทศเพื่อช่วยเหลือให้การค้นหา
สะดวก รวดเร็วมากย่งิ ข้นึ และมีการนิยามความหมายไว้ ดงั นี้
ชลลดา หงษง์ าม (2549 : 14-15) อธิบายว่า เคร่ืองมือสืบค้น เคร่ืองมืออุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่อานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการสืบค้นรายการสารสนเทศท่ีต้องการได้อย่างรวดเร็วทันความ
ตอ้ งการ โดยทวั่ ไปเครอื่ งมือสืบค้นจะให้รายละเอียดเพื่อการเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศ ได้แก่ ข้อมูล
บรรณานุกรมของสารสนเทศ ข้อมูลดรรชนีและสาระสังเขป และอาจใหข้ ้อมูลเนอ้ื หาเต็มรูปดว้ ย
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (2549) นิยามว่า เคร่ืองมือและรวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่
อานวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในการสืบค้นรายการสารสนเทศท่ีต้องการได้อย่างรวดเร็วทันความ
ตอ้ งการ
สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดหนองบัวลาภู
(๒๕๖1) กล่าวว่าเครื่องสืบค้นสารสนเทศ คือ ส่ือหรืออุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้สืบค้น ค้นสารสนเทศได้
สะดวก รวดเร็วและตรงตามความต้องการซึ่งเครื่องมือสืบค้นสารสนเทศแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
เครือ่ งมอื สืบค้นดว้ ยระบบมือและระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอตั โนมตั ิ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
๔๖
ดังนน้ั เคร่อื งมอื สืบค้นสารสนเทศ หมายถึง เครอ่ื งมอื ที่สามารถสืบค้นสารสนเทศทีอ่ ยใู่ น
แหลง่ สารสนเทศ ซึง่ มีการบนั ทกึ สารสนเทศในรูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงสารสนเทศทีไ่ ด้มาอาจอยู่ใน
รปู ของบรรณานุกรม ต้นฉบบั เอกสาร คาตอบท่เี ฉพาะเจาะจง ตวั เลข หรือข้อความของเรอื่ งนน้ั
ประเภทของเครื่องมือสืบค้นสารสนเทศ
นกั วิชาการไดแ้ บง่ เครอื่ งมือสบื คน้ สารสนเทศตามรปู แบบการบนั ทึกออกเป็น 2 ประเภท
(ภาควชิ าบรรณารกั ษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2543) ได้แก่
1. เครื่องมอื สบื ค้นสารสนเทศด้วยมอื คือ เคร่ืองมือที่มีการบนั ทึกรายละเอียดของรายการ
สารสนเทศไวใ้ นรปู แบบที่ผู้ใช้สารสนเทศต้องสืบค้นด้วยมือ ตัวอย่างเช่น การบันทึกลงในบัตรรายการ
หรือ ลงทะเบียนเป็นเล่ม บันทึกรายละเอียดข้อมูลบรรณานุกรมของทรัพยากรสารสนเทศท่ีมีใน
ห้องสมดุ
2. เครื่องมือสืบค้นสารสนเทศด้วยเทคโนโลยี คือ เคร่ืองมือท่ีบันทึกรายละเอียดของ
รายการสารสนเทศไว้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้ผู้ใช้สารสนเทศ
สืบค้นได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เครื่องมือสืบค้นสารสนเทศโดยใช้เทคโนโลยี ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ
ผู้ใช้สารสนเทศ จาเป็นต้องศึกษาเรียนรู้เคร่ืองมือเหล่าน้ีเพ่ือใช้สืบค้นสารสนเทศมาตอบสนองความ
ต้องการของตน
๒.๑ อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมโยงเคร่ืองคอมพิวเตอร์
ให้สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นระหว่างกัน ได้ โดยลักษณะของ
สารสนเทศเป็นแบบส่ือประสม ได้แก่ ข้อความ ตัวอักษร ข้อมูลแบบไฮเปอร์มีเดีย เช่น ภาพนิ่ง
ภาพเคล่อื นไหว เสียง เป็นต้น ในส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือการ สืบค้นสามารถใช้บริการผ่าน www
โดยไมจ่ ากัดเวลา สถานที่ โดยการการระบุ URL ซ่ึงถือเป็นการระบุที่อยู่ของเว็บไซต์ (Website) หรือ
เว็บเพจ (Webpage)
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
๔๗
ท่ีให้บริการข้อมูลโดยตรง ผู้ใช้ต้องทราบว่าข้อมูลท่ีต้องการอยู่ที่เว็บไซต์ใด จากนั้นใช้
โปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ (Web browser) ติดต่อไปยงั เวบ็ ไซต์นัน้ ๆโดยตรง ทั้งน้ีผู้ใช้จะต้องทราบท่ีอยู่
ของเว็บไซต์ (URL) ทีม่ ขี อ้ มูลตามทีต่ อ้ งการด้วย ส่วนการติดต่อไปยังเว็บไซต์ (Web site) ท่ีให้บริการ
สืบค้นสารสนเทศในอินเทอร์เน็ต เป็นการสืบค้นสารสนเทศในกรณีที่ไม่ทราบว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ท่ี
เว็บไซต์ใด เว็บไซต์ท่ีให้บริการเคร่ืองมือสืบค้นสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตที่สาคัญมี 3 รูปแบบ (ชล
สดา หางาม. 2549 : 16-19) ดังน้ี
1. Directories บางครง้ั เรียก Web Directories หรือ Link Directories เป็นกลไก
การสืบค้นท่ีค้นหาสารสนเทศโดยการเลือกหมวดหมู่ตามความต้องการ โดยเว็บไซต์ประเภท
Directories จะทาการจัดหมวดหมู่เว็บไซต์ เว็บเพจ ออกตามสาขาวิชาหรือตามเกณฑ์ที่กาหนดข้ึน
เอง การเลือกหมวดหมู่จะเริ่มจากการเลือกหมวดหมู่ใหญ่ แล้วเลือกหมวดหมู่ย่อย ตามลาดับ เหมือน
การเอกสารบญั ของหนังสือ ตวั อย่างของเวบ็ ประเภทน้ี ไดแ้ ก่ Yahoo Directory เป็นต้น
๒. Search Engine เว็บกลไกการสืบค้น โปรแกรมท่ีพัฒนาข้ึนเพื่อทาหน้าท่ีในการ
รวบรวมเวบ็ ไซต์ เว็บเพจ โดยการสั่งโปรแกรมให้จัดทาดรรชนีจากช่ือเรื่อง คาสาคัญ ข้อความที่อยู่ใน
เว็บ เม่ือผู้สืบค้นสารสนเทศต้องการสารสนเทศในเรื่องต่าง ๆ จะใช้วิธีพิมพ์คาค้น (Keyword) ลงใน
ช่องที่กาหนดให้แล้ว click เพ่ือค้นหากลไก Search Engine จะทาหน้าท่ีคัดเลือกสารสนเทศท่ีตรง
กับเรื่องทคี่ ้นนามาแสดงผล
2.1 Spider หรืออาจเรียกว่า Crawler ตัวสารวจหรือรวบรวมข้อมูล มี
หน้าท่ีออกไปสารวจเว็บไซต์ เว็บเพจใหม่หรือการปรับปรุงเว็บ (Update) จากนั้นทาการจัดเก็บ
รวบรวมข้อมลู ที่ไดม้ ายงั Indexer ซง่ึ แตล่ ะ Search Engine จะมตี ัวสารวจหลายตวั เพื่อความรวดเร็ว
ในการสารวจและเก็บรวบรวม วิธีการและระยะเวลาในการออกสารวจขึ้นอยู่กับนโยบายและ
ความสามารถของแต่ละ Search Engine
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
๔๘
2.2 Indexer หรือ Catalog ตัวดรรชนี ทาหน้าที่จัดเก็บข้อมูลที่ได้มาจาก
Spider นามาจัดทาเป็นดรรชนีคาค้น วิธีการในการเก็บรวบรวมจะแตกต่างกันในแต่ละ Search
Engine บางตัวอาจเก็บทุกคาสาคัญ บางตัวอาจเลือกเก็บเฉพาะในหัวข้อใหญ่ เมื่อผู้สืบค้นใช้คาค้น
พิมพ์ลงไปในช่องที่กาหนดแล้ว Click ค้นหา จากนั้น Indexer จะทาหน้าที่นาคาค้นไปหาเอกสารที่
ตรงกับคาค้นดังกล่าว แล้วเรียกเอกสารขึ้นมาแสดงผล โดยจะแสดงเน้ือหาโดยย่อเพื่อให้ผู้สืบค้น
พิจารณาความตรงหรือความสอดคล้องกับความต้องการ รายการทั้งหมด กลไกจะทาหน้าท่ีเชื่อมโยง
(Link) ไปยังเนอื้ หาโดยย่อแลว้ อยาก Search Engine ไม่ได้เป็นผู้จัดทาหรือรับผิดชอบเน้ือหาเหล่าน้ัน
จะทาหน้าที่เพียงจัดเก็บเน้ือหาโดยย่อและ URLหรือ Address เพื่อการเช่ือมโยงไปสู่แหล่งข้อมูลท่ี
แทจ้ ริง
2.3 Search Engine Software โปรแกรมสืบค้นทาหน้าท่ีเปรียบเทียบ
ความเกี่ยวข้องระหว่างคาค้นท่ีผู้ใช้พิมพ์ลงในช่องท่ีกาหนด กับตัวดรรชนี (Indexer) ว่าตรงกันมาก
น้อยเพียงใด แล้วจัดลาดับความเกี่ยวข้อง โดยเรียงความเก่ียวข้องมากท่ีสุดไปยังน้อยท่ีสุด บาง
Search Engine ยังสามารถประมาณการจานวนของสารสนเทศที่ค้นได้ รอ้ ยละที่คาคน้ ตรงกับเอกสาร
เปน็ ต้น
3. Meta Search Engine เว็บไซต์สืบค้นสารสนเทศจากหลากหลาย Search
Engine โดยเว็บไซต์นี้จะนาคาที่ผู้ใช้สืบค้น ไปค้นหาจากเว็บไซต์ที่เป็นกลไกการสืบค้น (Search
Engine) อ่ืนๆ ในคราวเดียวกัน ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องสืบค้นจากหลายเว็บไซต์ ในคราว
เดียวกัน Meta Search Engines แต่ละเว็บซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน คือ มีความเร็วในการสืบค้นเพราะ
การส่งคาถามไปแต่ละ Search Engines ใหท้ าการค้นหาพร้อมกันในเวลาเดียวกัน และมีโปรเซสเซอร์
ความเร็วสงู ช่วยส่งผลขอ้ มลู กลับมาหนา้ จอโดยรวดเร็ว
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
การศึกษาคน้ ควา้ จากห้องสมุด
การศกึ ษาค้นควา้ จากห้องสมุด
การค้นคว้าหาข้อมูล เป็นการเสาะแสวงหาสาระ เน้ือหาที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กับประเด็น
ปญั หา และสมมติฐานทก่ี าหนดไว้ โดยใชว้ ิธกี ารต่างๆ ซง่ึ ตอ้ งอาศัย ความร้เู กี่ยวกับช่องทางหรือวิธีการ
รับความรู้ รวมถึงแนวทาง และเคร่ืองมือที่ใช้บันทึกข้อมูลหรือความรู้น้ัน เพ่ือให้ได้สาระเน้ือหาที่
ถูกตอ้ ง มีประสทิ ธภิ าพ สามารถนาไปใช้ไขปญั หา หรือตอบขอ้ สงสัยได้
ความหมายการศึกษาคน้ คว้า
การศกึ ษาค้นควา้ หมายถึง การหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติมเพื่อหาคาตอบจากปัญหาใดปัญหา
หน่ึง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ได้รับความรู้ในเร่ืองนั้นๆ การศึกษาค้นคว้าจึงเป็นการแสวงหาความรู้
เพ่ือให้ได้รับ คาตอบ หรือเพื่อนาความรู้นั้นไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือประกอบการตัดสินใจ
การศึกษาค้นคว้าจึงมี ความสาคัญที่ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากข้ึนและชัดเจนขึ้น
จากการบันทึกและเผยแพร่ไว้ ในสื่อต่างๆ เช่น ส่ือส่ิงพิมพ์สื่อโสตทัศนูปกรณ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยใชว้ ิธีค้นหาในรปู แบบต่างๆ ดงั น้ี
1. การอ่าน เป็นวิธีการศึกษาคน้ คว้าทีใ่ ชก้ นั มากทส่ี ุด เพราะสามารถทาได้ทุกที่ทุกเวลาท่ีมี
หนังสือ หรือเคียงคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนักอ่านที่ดีจะต้องเข้าใจเนื้อหาได้มาก
ที่สดุ โดยใชเ้ วลาใน การอ่านน้อยทสี่ ุด
2. การฟัง เปน็ ทักษะสาคญั ในการศึกษาเล่าเรียนของนักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งบุคคล
ทวั่ ไปที่ สนใจหาความรู้จากการฟัง เช่น การฟังคาบรรยายในช้ันเรียน การฟังวิทยุเพ่ือการศึกษา การ
ฟงั การสมั มนา การฟงั เทศน์และการบรรยายธรรมมะ เปน็ ต้น
3. การดู เป็นการศึกษาเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่ทาให้ผู้ดูมีความรู้ในเรื่องที่ชอบและสนใจซึ่ง
สามารถ นาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การ วธิ กี ารปลกู ต้นไม้ การสอื่ วีดที ศั น์เก่ียวกับการศึกษา
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
๕๐
4. การสอบถาม เป็นการศึกษาเรียนรู้ด้วยการสอบถามจากผู้รู้ เป็นวิธีการเรียนรู้ท่ีชาญ
ฉลาด เพราะการสอบถามจากผรู้ โู้ ดยตรงจะชว่ ยให้เข้าใจสง่ิ ท่ีอยากรไู้ ดแ้ จม่ แจ้งและชดั เจน
5. การลงมือปฏิบัติจริง เป็นการศึกษาเพื่อเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การปลูก
เลี้ยงสตั ว์ การจัดสวน การซอ่ มแซมของใช้ในบา้ น การจาหนา่ ยสินค้า
ดังนัน้ จงึ สรปุ ไดว้ า่ การศึกษาคน้ ควา้ หมายถงึ การแสวงหาสารสนเทศในเรอ่ื งใด เร่ืองหน่ึง
และมีการนาสารสนเทศหรือความรู้ท่ีได้มาน้ันมาเรียบเรียง จัดลาดับอย่างเป็นระเบียบ มีเหตุผล โดย
การใช้ภาษาทีถ่ กู ตอ้ ง สละสลวย เพื่อเสนอผลจาการศึกษาค้นคว้า
ความสาคัญของการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศจากห้องสมดุ
1. ชว่ ยให้เกดิ ความคดิ ในหลายด้าน
2. ช่วยพัฒนาใหเ้ ปน็ ผใู้ ฝก่ ารเรยี นรู้
3. ชว่ ยให้คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ คดิ เปน็ ทาเปน็ และฝึกการเรียนร้อู ยา่ งเป็นระบบ
๔. สามารถเรยี นรู้ไดก้ วา้ งขวาง โดยไมจ่ ากัดเฉพาะในห้องเรียนเท่านน้ั
จดุ ประสงคข์ องการศกึ ษาค้นคว้าสารสนเทศจากหอ้ งสมดุ
1. เพอ่ื ฝกึ ให้รจู้ ักวธิ ีศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วย
๒. เพื่อสง่ เสริมในการศกึ ษาหาความรเู้ พ่ิมเตมิ ใหก้ วา้ งขวางกวา่ ที่เรยี นในช้ันเรียนตนเอง
3. เพือ่ ส่งเสรมิ ให้มีความสามารถในการ ค้นคว้าหาความรจู้ ากแหล่งเรียนรตู้ ่างๆ
4. เพ่อื สง่ เสริมให้คิดอย่างมเี หตผุ ลและเป็นระบบ
๕. เพ่ือส่งเสริมให้มีความสามารถในการ ใช้ภาษาเพ่ือส่ือความรู้ ความคิดอย่างเป็นลาดับ
ขนั้ ตอนและมีระบบ
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
๕๑
ความหมายและประเภทของทรพั ยากรสารสนเทศ
ทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึง ส่ือหรือวัสดุท่ีใช้เก็บบันทึกสารสนเทศ เราใช้วัสดุหลาย
รูปแบบในการบันทึก ท้ังน้ีเน่ืองจากสารสนเทศมีท้ังตัวอักษร ข้อความ รูปภาพ และเสียง ซ่ึงอาจจัด
กลุ่มทรัพยากร สารสนเทศได้เป็น 3 ประเภทคือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม.
2549)
1. วัสดุตีพิมพ์ หมายถึง วัสดุท่ีบันทึกสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและ
สัญลักษณ์ อื่น ๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กฤตภาค เป็นต้น
วสั ดุตพี ิมพ์ จัดแยกประเภทตามลกั ษณะรปู เลม่ และวัตถุประสงคใ์ นการจัดทาได้ดังน้ี
1.1 หนังสือหนังสือเป็นสิ่งพิมพ์ท่ีรวบรวมสารสนเทศท้ังทางด้านวิชาการ สารคดี
และบันเทิงคดี ให้เน้ือหาท่ีจบบริบูรณ์ในเล่มเดียวหรือหลายเล่มที่ เรียกว่า หนังสือชุด ประเภทของ
หนังสือจัดแยกตาม ลักษณะเนอื้ หา ได้ดังนก้ี ารอา่ น
1. หนังสือวชิ าการหรอื หนังสือตารา หมายถึง หนังสือท่ีให้ความรู้ในสาขาวิชา
ใดวิชาหนึ่ง โดยผู้ แต่งที่มีความรู้ความเช่ียวชาญเฉพาะสาขาวิชา การนาเสนอเนื้อหา มักใช้คาศัพท์
เฉพาะทางวชิ าการท่ีเกีย่ วข้อง มภี าพประกอบ ตาราง แผนภมู ิ แผนที่ แผนผัง เพ่ือการอธิบายเรื่องราว
ให้ละเอียดชดั เจน
2. หนังสือสารคดี หมายถึง หนังสือที่น่าเสนอ เร่ืองราวกึ่งวิชาการเพื่อ
ความเพลิดเพลนิ ในการอ่าน และหลกี เลย่ี ง การใชค้ าศพั ท์เฉพาะทางวิชาการเพ่ือให้เข้าใจเนื้อหาสาระ
ได้ โดยงา่ ย เชน่ หนงั สอื นาเที่ยว หนังสอื สรรพสาระ เป็นต้น
3. หนังสือแบบเรียน หมายถึง หนังสือที่จัดทาขึ้นตามหลักสูตร รายวิชา
เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนของนักเรียนนกั ศกึ ษาใน ระดับตา่ ง ๆ นาเสนอเนื้อหาตามข้อกาหนด
ในหลักสูตร ต่างจาก หนังสือตาราทั่วไปท่ีมีคาถามท้ายบทเพื่อให้ผู้เรียนได้ประเมินผล การเรียนและ
ทบทวนบทเรยี น
๔. วิทยานิพนธห์ รอื ปรญิ ญานพิ นธ์ เป็นรายงานผลการค้นคว้าวิจัยเพ่ือขอรับ
ปริญญาตามหลักสูตรในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก เน่ืองจากเป็นรายงานผลการค้นพบสาระ
ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทไ่ี ดจ้ ากการสารวจ ทดลอง วิเคราะห์ และสงั เคราะห์อย่างเป็นระบบภายใต้
การใหค้ าปรึกษาจากอาจารยท์ ป่ี รึกษาและผเู้ ช่ียวชาญในสาขาวิชา ต่าง ๆ จึงเหมาะสาหรับการใช้เป็น
ขอ้ มลู ประกอบการเขียนเอกสารตาราวิชาการ หรือรายงานภาคนพิ นธ์
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๕๒
6. รายงานการวิจัย เสนอสารสนเทศที่เป็นผลผลิตจากการศึกษา
ค้นคว้าวิจัย เนื้อหามักประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ข้อความเกี่ยวกับ ผู้เขียน สาระสังเขป บทนา
วตั ถุประสงค์ ขอบเขต และวธิ ดี าเนินการวิจยั ผลการวจิ ยั บทสรปุ และ รายการอา้ งองิ
7. รายงานการประชุมทางวิชาการ ให้สารสนเทศที่ได้จากการแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ของนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นข้อสรุปในการแก้ปัญหา ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ
ความรู้ใหม่ท่ีค้นพบ หรือข้อตกลงในแผนงานหรือนโยบายใหม่ ท่ีนักวิชาการนาเสนอในการประชุม
ทางวชิ าการหรือวชิ าชีพ
8. นวนิยายและเร่ืองส้ัน เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นตาม จินตนาการ เน้นความ
สนุกความเพลิดเพลิน และความซาบซึ้งในอรรถรสวรรณกรรม สารสนเทศจาก นวนิยายนามาใช้เป็น
หลักฐานอา้ งองิ ข้อเทจ็ จริงไมไ่ ด้
1.2 วารสารและนิตยสารวารสารและนิตยสารมาจากคาในภาษาอังกฤษ 3 คา คือ
Magazine,Journal และ Periodical มีความหมายแตกต่างกันตามลักษณะเนื้อหาท่ีนาเสนอ
Magazine หรือเรียกว่า “นิตยสาร มักจะเน้นเน้ือหาทางด้านบันเทิงคดี Journal หรือเรียกว่า
“วารสาร” จะเน้นเนื้อหาทางวิชาการ ส่วนคาว่า Periodical หมายถึงส่ิงพิมพ์ท่ีออกเป็นวาระ มี
ความหมายรวมทงั้ MagazineและJournal เชน่ เดยี วกบั คาว่า “วารสาร” ในภาษาไทยที่มีความหมาย
รวมถึงสิ่งพมิ พ์ท่ีออกเป็นวาระ มคี วามหมายรวมท้ังนติ ยสารและวารสาร
1. วารสารวิชาการ เช่น ราชภัฏกรุงเก่า/จุฬาลงกรณ์ รีวิว/วารสารวิจัย/
วารสารราชบัณฑิตยสถาน/พฒั นาชมุ ชน/วารสารกฎหมายเพือ่ ชีวติ เปน็ ต้น
2. วารสารทั่วไปหรอื นติ ยสาร (Magazine) เช่น เที่ยวรอบโลก / สารคดี /
สมุนไพรเพ่ือชีวิต /รักลูก/สกุลไทย/หญิงไทย/สร้างเงินสร้างงาน สานแสงอรุณ/ ไฮ-คลาส/ต่วย ตูน
พิเศษ เป็นต้น
3. วารสารข่าวหรือวิจารณ์ข่าว เช่น มติชน/สุดสัปดาห์/สยามรัฐ/สัปดาห์
วิจารณ์/เอกสารข่ารฐั สภา
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๕๓
1.3 หนังสือพมิ พห์ นงั สือพมิ พ์ (newspaper) เปน็ สิ่งพิมพ์ทอ่ี อกตามระยะเวลาที่
กาหนด อาจเป็นรายวัน รายสปั ดาห์ หรอื รายปักษ์ แตส่ ่วนใหญจ่ ะพิมพเ์ ผยแพร่เป็นรายวนั
1.4 จุลสาร คือ ส่ิงพิมพ์ที่มีขนาดเล็ก ปกอ่อน ความหนาอยู่ระหว่าง 2 - 60 หน้า
เป็นสิ่งพิมพ์ที่หน่วยงานราชการ องค์การ บริษัท ห้างร้าน สถาบัน สมาคมและหน่วยงานต่าง ๆ
จัดพิมพ์เผยแพร่เร่ืองราวความรู้สั้น ๆ เน้ือหาทันสมัย อ่านเข้าใจง่าย แม้จะให้รายละเอียดไม่มากนัก
แตใ่ ชส้ าหรบั ค้นควา้ เพ่ิมเตมิ และอา้ งองิ ได้
1.5 กฤตภาค เป็นวัสดุตีพิมพ์ที่เกิดจากการเลือกและจัดเก็บ บทความที่น่าสนใจ
จากหนงั สือพมิ พ์หรือวารสารฉบับล่วงเวลา ซ่ึงอาจเปน็ ข่าว บทความวิชาการหรือรูปภาพ เร่ืองใดเร่ือง
หนึง่ เฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาหาความรู้
1.6 สิงพิมพ์ลักษณะพิเศษ หมายถึง ส่ิงพิมพ์ท่ีมีความพิเศษท่ีแตกต่างจากส่ิงพิมพ์
ทั่วไป ทางด้านลักษณะรูปทรง วัสดุที่ใช้ในการบันทึก และการนาเสนอเน้ือหาสารสนเทศในลักษณะ
พิเศษ เฉพาะเจาะจง ส่ิงพิมพ์ลักษณะพิเศษท่ีจัดให้บริการในห้องสมุดและสถาบันบริการสารสนเทศ
ได้แก่ เอกสารสิทธบิ ตั ร เอกสารมาตรฐาน แผนภูมิ แผนภาพ แผนท่ี
2. วัสดุไม่ตีพิมพ์ หมายถึง ทรัพยากรสารสนเทศที่บันทึกไว้ในสื่อที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ
ตพี ิมพ์ มหี ลายประเภทดังน้ี (ศรีสุภา นาคธน. 2548)
2.1 ต้นฉบับตัวเขียน คือ ทรัพยากรสารสนเทศท่ีจัดทาขึ้น โดยใช้ลายมือเขียน
ได้แก่ หนังสือท่ีจัดทาในสมัยโบราณก่อนที่จะมีการพิมพ์ โดยการใช้จาร หรือสลักลงบนวัสดุต่าง ๆ
เช่น สมดุ ข่อย ใบลาน แผ่นปาปริ ัส แผ่นดินเหนยี ว แผน่ หนงั สัตว์ ศิลาจารกึ เป็นตน้
2.2 โสตวสั ดุ คือ วัสดุสารสนเทศที่ใช้เสียงเป็นส่ือในการถ่ายทอด สารสนเทศ เช่น
แผ่นเสยี ง แถบบนั ทกึ เสยี งหรือเทปบนั ทึกเสียง แผน่ ซดี ี
2.3 ทัศนวัสดุ คือ วัสดุสารสนเทศทีต่ ้องใชส้ ายตาเป็นสื่อในการรับรู้สารสนเทศโดย
การมองดู อาจโดยตาเปล่าหรือใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์สาหรับฉายประกอบ เช่น รูปภาพ ลูกโลก
ภาพเลอื่ น หรอื ฟิล์มสตริป ภาพนง่ึ หรือสไลด์ แผนภาพ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
๕๔
2.4 โสตทัศนวัสดุ เปน็ วสั ดุสารสนเทศหลายของโดยการภาพและเสียงประกอบกัน
เชน่ ภาพยนตร์ สไลดป์ ระกอบเสียง วดิ ที ัศน์หรอื เทปบนั ทกึ ภาพ
2.5 วัสดุย่อส่วน เป็นวัสดุสารสนเทศท่ีใช้เทคนิคการถ่ายภาพย่อส่วนจากของจริง
ลงบนแผ่นฟิล์มหรือวัสดุที่ใช้บันทึกภาพ ประโยชน์ท่ีได้คือ เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ เมื่อ
ต้องการใชส้ ารสนเทศ จะตอ้ งนาฟลิ ม์ ยอ่ สว่ นน้นั มาเขา้ เครอ่ื งอ่าน จงึ จะสามารถอ่านได้และถ้าต้องการ
ทาสาเนาเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ ตอ้ งมีเคร่ืองพิมพห์ รอื เครื่องทาสาเนาภาพจากวัสดุยสวนด้วย สามารถ
แบ่งออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ได้อกี ได้แก่ ไมโครฟิล์ม ไมโครฟชิ ไมโครบูค อุลตราฟิค ไมโครโอเพค
2.6 วัสดุอิเล็กทรอนิกส์วัสดุอิเล็กทรอนิกส์ เป็นวัสดุสารสนเทศที่จัดเก็บสารสนเทศใน รูปอักษร
ภาพ และเสียงไว้โดยการแปลงสารสนเทศให้เปน็ สัญญาณอิเล็กทรอนกิ ส์ ซ่ึงจะต้องมีเครื่องมือ สาหรับ
จัดเก็บและแสดงผลออกมา โดยการแปลงสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นสัญญาณภาพและเสียง อีก
ครั้งหนึ่ง เช่น เทปแมเ่ หล็ก จานแมเ่ หล็ก/แผน่ ดิสเก็ต แผ่นจานแสง
3. ฐานขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนิกส์ หมายถงึ สารสนเทศที่จัดเกบ็ ไว้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยมี
ชุดคาสั่งระบบจัดการฐานข้อมูล ทาหน้าท่ีควบคุมการจัดการและการใช้ฐานข้อมูลประเภทของ
ฐานข้อมูลแบ่งตามลักษณะการใช้งานแบ่งได้ 2 ประเภทคือ ฐานข้อมูลออฟไลน์ และฐานข้อมูล
ออนไลน์ แบ่งตามเนื้อหาสารสนเทศที่ให้บริการแบ่งได้เป็นฐานข้อมูลบรรณานุกรม และ ฐานข้อมูล
ฉบับเตม็ ประเภทของฐานข้อมลู แบ่งตามลักษณะการใชง้ านแบง่ เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. ฐานข้อมูลออฟไลน์ หมายถึง ฐานข้อมูลที่จัดเก็บ สารสนเทศไว้ในสื่อ
อิเลก็ ทรอนิกสต์ ่าง ๆ เชน่ ซีดีรอม (CD-ROM) การปรับปรุงและการเรียกใช้งาน ฐานข้อมูลไม่สามารถ
ทาไดต้ ลอดเวลา
2. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Database) หมายถึง ฐานข้อมูลท่ีให้บริการผ่าน
ทาง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ท่ีผู้จัดการฐานข้อมูลสามารถปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยและผู้ใช้
สามารถ เข้าถึงไดต้ ลอดเวลา ซ่งึ ในปัจจุบนั จะใหบ้ รกิ ารผา่ นทางอินเทอร์เน็ต
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
๕๕
ประเภทของฐานข้อมูลแบ่งตามเนื้อหาสารสนเทศที่ให้บริการแบ่งเป็น 2 ประเภท
1. ฐานข้อมูลบรรณานุกรม หมายถึง ฐานข้อมูลท่ีให้สารสนเทศทางบรรณานุกรม
เช่น ช่ือผู้แต่ง ช่ือเร่ือง แหล่งผลิตและอาจมีสาระสังเขป เพ่ือแนะนาผู้ค้นคว้าให้ไปอ่านรายละเอียด
จากตน้ ฉบับจรงิ ไดแ้ ก่ ฐานข้อมลู โอแพค (OPAC)
2. ฐานข้อมูลเนือ้ หาฉบบั เต็ม หมายถึง ฐานขอ้ มูลท่ใี หส้ ารสนเทศครบถ้วนเช่นเดียว
เหมอื นต้นฉบบั เชน่ ฐานขอ้ มูล IEEE/IEE และ ACM เปน็ ฐานขอ้ มูลฉบับเต็มของบทความจากวารสาร
นิตยสาร รายงานการประชุมความก้าวหน้าทางสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ เป็นต้น
การเลอื กใชท้ รพั ยากรสารสนเทศ
เราสามารถเลอื กใช้ทรพั ยากรสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ โดยมีหลักใน
การ พิจารณาดงั น้ี (มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. 2549)
1. มีความสอดคล้องกับเน้ือหาสารสนเทศท่ีต้องการ เช่น ถ้าต้องการสารสนเทศเฉพาะ
วิชา ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศประเภทหนังสืออ้างอิง ตาราและวารสารวิชาการ มากกว่า
ประเภท หนังสือทั่วไปและนิตยสาร หากต้องการสารสนเทศท่ีแสดงความสัมพันธ์ของเร่ืองราวอย่าง
ชัดเจน ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศท่ีเป็นภาพเคลื่อนไหวเช่น วีดิทัศน์ วีซีดีหรือ ดีวีดี เป็นต้น
หากต้องการ ฟังการบรรยาย เพลง ดนตรี ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีบันทึกเสียง เช่น เทป
ซดี ี หรอื วีซดี ี เป็นต้น
2. การพิจารณาความน่าเช่ือถือในตัวทรัพยากร ผู้เรียนจะต้องพิจารณาจากช่ือเสียง
ประสบการณ์หรือคุณวุฒิของผู้แต่ง สานักพิมพ์หรือผู้ผลิตทรัพยากรสารสนเทศด้วย เช่น หนังสือ
อ้างอิงจะ มีความน่าเช่ือถือมากกว่าหนังสือท่ัวไป เพราะเขียนและรวบรวมโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือ
ผูเ้ ชี่ยวชาญในสาขาวชิ า
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๕๖
3. ความสะดวกในการใช้งาน ทรัพยากรประเภท พิมพ์จะสามารถนามาใช้งานได้ง่ายกว่า
ทรพั ยากรประเภทไมต่ ีพมิ พ์ หรือทรพั ยากรอิเล็กทรอนกิ ส์ เพราะสามารถใช้งานได้ทันที ไม่จาเป็นต้อง
ใช้ อุปกรณ์ในการแสดงผลเหมือนกับทรัพยากรประเภทไม่ตีพิมพ์หรือ ทรพั ยากรอเิ ล็กทรอนกิ ส์
4. ความทันสมัยของเน้ือหา เช่น หากผู้เรียนต้องการเกรสนเทศที่ทันต่อเหตุการณ์แล้ว
สมควรเลือกพิจารณาสารสนเทศท่ีได้จากทรัพยากรประเภทอินเทอร์เน็ต เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทา
ให้ ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา หรือเลือกใช้ทรัพยากรตีพิมพ์ประเภทหนังสือพิมพ์ที่มีการให้ข้อมูลที่กาลัง
เปน็ ที่ นา่ สนใจและได้รับความสนใจในปจั จบุ นั
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
การศกึ ษาค้นคว้าจากอนิ เทอร์เนต็
การศกึ ษาคน้ คว้าจากอินเทอร์เนต็
การค้นคว้าหาข้อมูล เป็นการเสาะแสวงหาสาระ เน้ือหาท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประเด็น
ปญั หา และสมมตฐิ านทกี่ าหนดไว้ โดยใช้วิธกี ารต่างๆ ซ่งึ ตอ้ งอาศัย ความรู้เก่ยี วกบั ชอ่ งทางหรือวิธีการ
รับความรู้ รวมถึงแนวทาง และเคร่ืองมือท่ีใช้บันทึกข้อมูลหรือความรู้น้ัน เพื่อให้ได้สาระเน้ือหาท่ี
ถูกต้อง มปี ระสิทธิภาพ สามารถนาไปใชไ้ ขปัญหา หรือตอบขอ้ สงสยั ได้
ความหมายการศึกษาคน้ คว้า
การศึกษาคน้ คว้า หมายถึง การหาข้อมูลความรู้เพ่ิมเติมเพื่อหาคาตอบจากปัญหาใดปัญหา
หน่ึง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ได้รับความรู้ในเรื่องนั้นๆ การศึกษาค้นคว้าจึงเป็นการแสวงหาความรู้
เพ่ือให้ได้รับ คาตอบ หรือเพ่ือนาความรู้นั้นไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือประกอบการตัดสินใจ
การศึกษาค้นคว้าจึงมี ความสาคัญที่ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องท่ีเรียนมากขึ้นและชัดเจนขึ้น
จากการบันทึกและเผยแพร่ไว้ ในส่ือต่างๆ เช่น สื่อส่ิงพิมพ์ส่ือโสตทัศนูปกรณ์ และส่ืออิเล็กทรอนิกส์
โดยใช้วิธคี น้ หาในรูปแบบต่างๆ ดงั นี้
1. การอ่าน เป็นวธิ กี ารศกึ ษาค้นคว้าทีใ่ ชก้ นั มากที่สุด เพราะสามารถทาได้ทกุ ทีท่ กุ เวลาท่ีมี
หนังสือ หรือเคียงคอมพิวเตอร์เช่ือมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนักอ่านท่ีดีจะต้องเข้าใจเนื้อหาได้มาก
ทสี่ ุดโดยใช้เวลาใน การอ่านน้อยที่สุด
2. การฟงั เปน็ ทกั ษะสาคญั ในการศึกษาเล่าเรียนของนักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งบุคคล
ทั่วไปที่ สนใจหาความรู้จากการฟัง เช่น การฟังคาบรรยายในช้ันเรียน การฟังวิทยุเพ่ือการศึกษา การ
ฟังการสมั มนา การฟังเทศน์และการบรรยายธรรมมะ เป็นต้น
3. การดู เป็นการศึกษาเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งท่ีทาให้ผู้ดูมีความรู้ในเร่ืองท่ีชอบและสนใจซึ่ง
สามารถ นาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การ วธิ ีการปลกู ตน้ ไม้ การส่อื วีดีทศั นเ์ ก่ียวกับการศึกษา
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๕๘
4. การสอบถาม เป็นการศึกษาเรียนรู้ด้วยการสอบถามจากผู้รู้ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ชาญ
ฉลาด เพราะการสอบถามจากผรู้ ูโ้ ดยตรงจะช่วยให้เข้าใจสิง่ ทอ่ี ยากรู้ไดแ้ จม่ แจง้ และชดั เจน
5. การลงมือปฏิบัติจริง เป็นการศึกษาเพ่ือเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การปลูก
เล้ยี งสัตว์ การจัดสวน การซอ่ มแซมของใชใ้ นบา้ น การจาหนา่ ยสนิ ค้า
การค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต คือ การค้นหาข้อมูลจานวนมากที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ซ่ึง
ข้อมูล กรทั้งภาพ เสียง หนังสือ ตึงกระจายอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ถ้าเราเปิดโปรละหน้าจออาจจะต้อง
เสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การท่ีเราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่าง
รวดเร็วจะต้องใช้เว็บใซต์สาหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine เสิร์ชเอนจิน) ซ่ึงจะหา
หน้าท่ีคน้ หาขอ้ มลู พานค้าทีเ่ ราค้นหา จากเวบ็ ต่าง ๆ มาแสดงให้เราเหน็
ดังน้นั จงึ สรุปไดว้ ่า การศึกษาค้นคว้า หมายถึง การแสวงหาสารสนเทศในเรอื่ งใด เร่ืองหนึ่ง
และมีการนาสารสนเทศหรือความรู้ที่ได้มานั้นมาเรียบเรียง จัดลาดับอย่างเป็นระเบียบ มีเหตุผล โดย
การใช้ภาษาทถ่ี กู ตอ้ ง สละสลวย เพ่ือเสนอผลจาการศกึ ษาค้นคว้า
แหลง่ การเรียนรู้อนิ เทอรเ์ น็ต
การใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื เชื่อมโยงในการรับ สง่ สารสนเทศ โดยผา่ นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็น
ความหมายของอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีผู้นิยมใช้มาก มีกาเนิดจากการใช้เครือข่าย
คอมพวิ เตอร์เพ่อื การสอื่ สารในกิจการทหารของสหรฐั อเมริกา (ยนื ภู่วรวรรณ. 2546 : 180-182)
อินเทอร์เน็ตมีลักษณะคล้ายกับห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หรือห้องสมุดของโลก มีบริการ
สืบค้นสารสนเทศโดยการโอนย้ายสารสนเทศจากเซิร์ฟเวอร์ มายังเคร่ืองที่ใช้บริการ จดหมาย
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การถ่ายโอนแฟม้ ขอ้ มูล กล่มุ ขา่ วทน่ี า่ สนใจ บรกิ ารค้นหาขอ้ มูล และแฟ้มขอ้ มลู
บรกิ ารอนิ เทอรเ์ นต็ ต้องใช้รหัสยูอาร์แอล เป็นรูปแบบมาตรฐานสาหรับระบบอินเทอร์เน็ต
โดยกาหนดให้ขึ้นต้นด้วยคาว่า http:// มีความหมายแสดงถึงการเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลด้วยระบบ
โตต้ อบแบบเอชทีทีพี สามารถรับสง่ สารสนเทศไดต้ รง และรวดเร็ว ดว้ ยการเชือ่ มต่อเคร่อื ง
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๕๙
คอมพิวเตอร์ ที่ใช้งาน กับเครื่องแม่ข่าย และเคร่ืองท่ีมีสารสนเทศ เม่ือไม่ทราบรหัสยูอาร์แอล ของ
เร่ืองท่ีจะค้น ควรใช้ เครื่องช่วยค้นรวบรวมเว็บไซต์ท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวข้องกับกับเร่ืองท่ีผู้ใช้ต้องการ มี
ขั้นตอนการสบื คน้ ดงั นี้
1. กาหนดหวั ขอ้ เรือ่ งทต่ี ้องการคน้ ให้ชดั เจน
2. แยกเร่อื งทต่ี ้องการคน้ ใหเ้ ป็นหัวข้อย่อย
3. กาหนดคาคน้ ใหต้ รงกับหัวขอ้ เร่อื งทตี่ ้องการ
4. การเชอื่ มคา เพื่อแสดงความสมั พนั ธข์ องกลุม่ คา
อินเทอรเ์ น็ตกบั การศึกษา
อินเทอร์เน็ตมาใช้ในการศึกษาสามารถทาไดห้ ลายรูปแบบด้วยกัน
การประยุกต์เน็ตเป็นเครือข่ายท่ีสามารถติดต่อสื่อสารกันได้กับแหล่งท่ีเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
สามารถสืบค้นข้อมูลได้และมีสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้เช่ือมเครือข่ายร่วมกัน จึง
เป็นแหล่งท่ีจะสืบค้นข้อมูลเพื่อนามาศึกษาหาความรู้ได้ การนาอินเทอร์เน็ตใช้งานเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตทางการศกึ ษา ดงั น้ี
๑. การใช้เครือข่ายเพื่อการติดต่อส่ือสารเป็นการติดต่อระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เพ่ือส่ง
รายงาน การบ้าน วิทยานิพนธ์ ในรูปแบบแฟ้มข้อมูล การเป็นสมาชิกกลุ่มสนทนาเพื่อเป็นเวที
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เผยแพร่ผลงานวิจัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางด้านวิชาการ และแจ้งข่าว
ความเคลื่อนไหวทางวชิ าการ
๒. การใช้เครือข่ายเพ่ือการสืบค้นข้อมูลซ่ึงผู้เรียน นักวิจัย และผู้สอนสามารถสืบค้นจาก
ฐานข้อมูลทางการศึกษาของห้องสมุดต่าง ๆ ที่เช่ือมโยงในอินเทอร์เน็ตจากประเทศในทวีปต่าง ๆ ทั่ว
โลก
๓. การใช้เครือข่ายเพ่ือการสอน หรือการสอนทางไกลโดยผ่านเครือข่าย โดยเปิดเป็น
หลักสูตรการสอนในระดับปริญญาและในแบบประกาศนียบัตร เรียกว่า Online Program ซึ่งผู้เรียน
สามารถสมัครและเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วนกิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารและการ
ตดิ ตอ่ ตา่ ง ๆ อยใู่ นรปู ของแฟ้มข้อมูลอิเลก็ ทรอนิกส์
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๖๐
การใช้ Internet ในชีวิตประจาวันส่งผลในด้านการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อ
คน้ คว้าหาขอ้ มูลได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการจากท่ีต่าง ๆ ซ่ึงในกรณีนี้ อินเตอร์เน็ต จะทาหน้าที่
เหมือนหอ้ งสมดุ ขนาดยกั ษ์ ส่งข้อมูลท่เี ราต้องการ มาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือท่ีทางานของ
เรา ไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม
สังคมศาสตร์ กฎหมาย ความบันเทิง และการ พักผ่อนหย่อนใจ หรือสันทนาการ เช่น เลือกอ่าน
วารสารต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า magazine แบบ online รวมถึงหนังสือพิมพ์ และข่าวสาร
อ่ืน ๆ โดยมีภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอรเ์ หมือนกบั หนังสือ
การใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ เพื่อการคน้ หาขอ้ มูลในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
เน่ืองจากข้อมูลท่ีอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันมีมากมายและกระจัดกระจายอยู่
ตามที่ต่างๆ ดังนั้นผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจึงจาเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้บริการอินเตอร์เน็ตและเลือกใช้ให้
เหมาะสม เพ่ือการค้นหาข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้
อินเตอรเ์ น็ตในการสืบคน้ ข้อมูล ศกึ ษา ค้นคว้า และวจิ ยั ไดห้ ลายวิธีด้วยกัน วิธีที่เป็นที่นิยมมากท่ีสุดใน
ปัจจุบัน คอื
การสืบค้นทางเวิลด์ไวด์เว็บ เนื่องจากสามารถรองรับข้อมูลได้หลายๆ รูปแบบ และ
เชือ่ มโยงข้อมลู ท่ีเกยี่ วเนอ่ื งกันใหเ้ ราได้ศกึ ษาอย่างสะดวกสบาย และมีซอฟต์แวร์ สาหรับอ่านข้อมูลใน
เว็บที่สมบูรณ์แบบมากการค้นหาข้อมูล ในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องใช้
เครื่องมือช่วยค้น (Search engine) ซง่ึ ซอฟต์แวร์สาหรับอ่านข้อมูลในเว็บ (Web Browser) ส่วนใหญ่
บรกิ ารเชือ่ มต่อกบั เครอ่ื งมือเหลา่ น้ีไวใ้ หแ้ ลว้ ผใู้ ช้เพียงแต่กดปุ่มสาหรับเรียกเคร่ืองมือนี้ข้ึนมา พิมพ์คา
หรือข้อความท่ีต้องการสืบค้นลงไป เคร่ืองก็จะแสดงผลการค้น โดยการแสดงช่ือของข้อมูลท่ีเรา
ต้องการศึกษา ซ่ึงถ้าต้องการเข้าไปอ่าน ก็สามารถกดลงไปบนชื่อน้ันได้เลย ข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏ
บนจอไม่ว่าจะเปน็ ขอ้ มูลจากเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์เครื่องใดในโลกก็ตาม
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
๖๑
นอกจากนกี้ ารเข้าใช้คอมพวิ เตอรเ์ ครอ่ื งอน่ื ๆ ทต่ี ่ออยู่กับเครือข่าย และมีการอนุญาตให้เข้า
ไปใช้ได้ เช่น การติดต่อเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพ่ือค้นหายืม ต่อเวลาการยืม หรือการ
จองหนังสือส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ ก็เป็นที่นิยมกันมาก ปัจจุบันมีห้องสมุดหลายแห่งเปิดให้บริการบริการนี้
สามารถเข้าใช้ได้โดยการใช้คาส่ังและตามด้วยช่ือเครื่อง หรือหมายเลขของเคร่ืองแล้วพิมพ์ช่ือในการ
ขอเข้าใช้ (Login) บางเคร่ืองอาจต้องใช้รหัสลับ (Password) ด้วย หลังจากน้ันต้องทาตามคาสั่งที่
ปรากฏบนจอ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละระบบของเคร่ือง นอกจากห้องสมุดแล้ว เราอาจจะใช้
คอมพิวเตอร์ท่ีเป็นฐานข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วย โดยในบางฐานข้อมูล นอกจากผู้ใช้จะเข้าไปค้นหา
บทความท่ีเคยตีพิมพ์ในวารสารตา่ ง ๆ แลว้ ยังสามารถใช้บรกิ ารพิเศษอ่นื ๆ เชน่ บริการส่งอีเมล์แจ้งให้
ทราบเกี่ยวกบั บทความใหม่ ๆ ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาที่สนใจเล่มล่าสุด โดยต้องมีการกาหนด
ชอ่ื ของวารสารท่ีสนใจไวล้ ว่ งหนา้ หรอื มบี รกิ ารส่งแฟกซ์ บทความน้นั ใหแ้ กผ่ ู้ใชท้ สี่ นใจ
ผลกระทบทางบวก
1. เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร เช่น การหางานท่ีบ้าน ติดต่อส่ือสารด้วยระบบ
เครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ เปน็ ตน้
2. เป็นสังคมแห่งการสื่อสารเกิดสังคมโลกขึ้น โดยสามารถเอาชนะเร่ืองระยะทาง เวลา
และสถานที ด้วยความเร็วในการติดต่อส่ือสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง และท่ีเป็นเครือข่ายแบบไร้
สายทาใหม้ นุษยแ์ ต่ละ คนในสงั คมสามารถติดต่อถงึ กนั อย่างรวดเร็ว
3. พัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจแก่
ผ้เู รยี น โดยใชค้ อมพวิ เตอรเ์ ปน็ สอื่ ในการสอน และการเรียนรูโ้ ดยใช้คอมพิวเตอร์ ทาให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเขา้ ใจในบทเรยี นมากยงิ่ ขนึ้ ไม่จาเจ ผ้เู รียนสามารถเรียนรสู้ ิง่ ตา่ งๆ ไดด้ ้วย ระบบท่ีเป็นมัลติมีเดีย
นอกจากนั้นยงั มีบทบาทตอ่ การนามาใช้ในการสอนทางไกล เพ่ือผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในชนบทที่
ห่างไกล
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
๖๒
4. การทางานเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดีข้ึน กล่าวคือช่วยลดเวลาในการทางานให้น้อยลง
แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เช่น การโปรแกรมประมวลผลคา เพ่ือช่วยในการพิมพ์เอกสาร การใช้
คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานลกั ษณะต่างๆ
โทษของอนิ เทอร์เนต็
1. อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ท่ีมีผู้คนมากมายเข้าไปใช้บริการ เป็นเวทีท่ีเปิด
กว้างและให้ อสิ ระกับทกุ คนไดเ้ ข้ามาเขยี นข้อมูล หรือติดประกาศต่างๆ โดยปราศจากการกล่ันกรองที่
ดี ทาให้ข้อมลู ท่ไี ด้รบั ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเปน็ ขอ้ มลู ที่เป็นความจริงหรือไม่
2. เกิดปัญหาของการละเมิดลิขสิทธ์ิ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือรูปภาพ มารวบรวม
ขาย หรือ เป็นปัญหาอย่างยิ่งการติดต่อภายบุคคลสาคัญท่ีมีชื่อเสียงให้กลายเป็นภาพท่ีสื่อในทาง
อนาจารมาเผยแพรใ่ ห้บุคคลเหล่านน้ั เสียหาย
3. กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาดา้ นอาชญากรรม เพราะการเล่นอินเทอร์เน็ต เช่น การล่อลวงหญิงไป
ในทางไม่ดี โดยรู้จักกันผ่านทางอนิ เทอร์เน็ต การกอ่ คดีขม่ ขืน เน่ืองเว็บไซตไ์ ป
4. เลน่ มากไป เสียสุขภาพ
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
การเขยี นรายการอา้ งองิ
การเขียนรายการอิงองิ
การเขียนอ้างอิงเปน็ การบอกแหล่งที่มาของขอ้ มลู ข้อความหรือแนวคิดที่นามาใช้ใน
การเขียน วิทยานิพนธ์ การเขียนเอกสารวิชาการ การเขียนรายการการวิจัย และเอกสาร
วิชาการอ่ืนๆ ซึ่งเป็นจรรยาบรรณของนักเขียนที่ควรมี เพื่อเป็นการให้เกียรติและรับรู้สิทธิของ
เจ้าของผลงานที่ถูกนามาอ้าง โดยได้รวบรวมและเรียบ เรียงลาดับเนื้อหา เรียกว่าการอ้างอิง
แบบแทรกในเนื้อหา เฉพาะรปู แบบระบบนาม ปี
ความหมายของการอา้ งอิง
การอา้ งองิ หมายถงึ การแสดงแหลง่ ท่ีมาของหลักฐานท่ีใช้ประกอบการเขียน ซึ่งจะ
ช่วยให้ผอู้ ่านสามารถกลับไปสอบหลกั ฐานดัง้ เดมิ ได้ รายงานทางวชิ าการและบทนิพนธ์ประเภท
ตา่ ง ๆ ควรจะมีการอ้างอิงเสมอในส่วนที่ควรอ้าง เช่น นิยามศัพท์ หลักการ ทฤษฎีการจาแนก
หมวดหมู่ ความเห็นของ นักวชิ าการ ตัวเลข สถติ ิ ผลการวจิ ัย เปน็ ต้น
องคป์ ระกอบของการอ้างอิงแทรกในเนื้อหา
การอ้างอิงท่ีสมบูรณ์และชัดเจนจะต้องให้ผู้อ่านทราบว่าจะอ้างอิงเรื่องอะไร ของผู้ใด
มใี จความ วา่ อย่างไร ใจความสาคัญที่นามาอ้างนั้นเริ่มจากข้อความใดไปส้ินสุดลงท่ีข้อความใด
ข้อความเหล่าน้ี ได้จากหนังสือ ตารา บทความหรือส่ิงพิมพ์ใด ฉะน้ัน องค์ประกอบของการ
อ้างอิงจึงควรประกอบด้วย 3 ส่วน คอื
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๖๔
1. การกลา่ วนา จะอา้ งอิงเรื่องอะไร ของผูใ้ ด
2. ขอ้ ความที่นามาอ้างอิง อาจจะยกมาอ้างอยา่ งสรุป หรืออย่างคัดลอกทาอญั ประภาษก็ได้
3. แหล่งอ้างอิง ได้แก่ รายละเอียดบางส่วนของบรรณานุกรมนามาแจ้งไว้ด้วยวิธีใดวิธีหน่ึง
ตาม วิธอี า้ งองิ เพอื่ ใหผ้ ู้อา่ นสามารถติดตามอ่านหรือตรวจสอบได้อย่างสะดวก
รปู แบบการอา้ งอิงแทรกในเน้ือหาจากหนงั สอื
ตาแหน่งของการอา้ งองิ
หนงั สอื หรือสงิ่ พิมพ์ภาษาไทย
วางไว้หนา้ ข้อความ ช่ือผแู้ ตง่ (ปีท่ีพิมพ/์ :/ เลขหน้า) เช่น สนุ ทร แกว้ ลาย (2555 : 2-5)
วางไว้ท้ายข้อความ (ชื่อผู้แต่ง.// ปีท่ีพิมพ์ /:/ เลขหน้า) เช่น (สุนทร แก้วลาย. 2555 : 2-
5)
หนังสอื หรือสิ่งพมิ พ์ภาษาองั กฤษ
วางไว้หน้าข้อความ นามสกุล (นามสกุล. ปีท่ีพิมพ์ : เลขหน้า) เช่น บรานส์ (Brown. 2011 :
10-12)
วางไว้ทา้ ยขอ้ ความ (นามสกลุ . ปีทพี่ มิ พ์ : เลขหน้า) เช่น (Brown. 2011 : 10-12)
วธิ ีการอ้างองิ
การอ้างอิงสามารถทาได้ 2 วิธีคือ การอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา และการอ้างอิงแบบ
เชงิ อรรถ แตป่ จั จบุ ันนิยมการอ้างอิงแบบแทรกในเน้ือหา หลกั เกณฑ์ในการลงรายการ ดังน้ี
1. ช่อื ผแู้ ต่ง มีหลกั เกณฑใ์ นการลงรายการ ดงั นี้
1.1 ช่ือและนามสกุล ให้ลงชื่อและสกุลผู้แต่งสาหรับคนไทย ส่วนชาวต่างประเทศ
ใหล้ งเฉพาะชอ่ื สกลุ เทา่ นั้น หรือผู้แต่งที่เป็นหนว่ ยงานตามด้วยเคร่ืองหมายมหัพภาค สาหรับส่ิงพิมพ์ท่ี
ไม่ปรากฏชอ่ื ผู้แตง่ หรือหน่วยงาน ให้ลงช่อื หนังสือแทนช่ือผแู้ ตง่ หรือหน่วยงาน
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๖๕
1.2 ผ้แู ต่งมากกวา่ 1 คน ใหเ้ รยี งลาดบั ชอ่ื ผูแ้ ต่งตามทป่ี รากฏในหน้าปกใน
1.3 ผู้แต่งสองคนให้ใช้คาว่า “และ” ในการอ้างอิงภาษาไทย และ “and” ในการอ้างอิง
ภาษาองั กฤษคน่ั ระหว่างชอ่ื ผู้แต่งท้งั สอง
1.4 ผู้แต่งสามคนให้ใช้คาว่า “และ” หรือ “and” ดังกล่าว คั่นระหว่างช่ือผู้แต่งคนท่ีสอง
และทส่ี าม และใชเ้ ครอ่ื งหมายจุลภาคระหว่างช่ือผู้แต่งคนแรกและช่ือผู้แต่งคนท่ีสอง
1.5 ผู้แต่งมากกว่าสามคน ให้ลงชื่อผู้แต่งคนแรกส่วนผู้แต่งคนต่อไปใช้คาว่า “และคนอ่ืน
ๆ” ในภาษาไทย สาหรับภาษาอังกฤษให้ใช้ “and others” หรอื et al.
1.6 ผู้แต่งท่ีมียศ บรรดาศักดิ์ ราชทินนาม เป็นกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และสถาบันต่าง ๆ ให้
เขียนปกติเหมอื นทป่ี รากฏในหนา้ ปกใน และตามดว้ ยเครอื่ งหมายมหพั ภาค
2. ปีพิมพห์ รอื ปีลขิ สทิ ธิ์ ให้ลงหมายเลขปพี ิมพ์ หรอื ปีลิขสิทธิต์ ามดว้ ยเครื่องหมาย มหัพภาค
ถ้าหากไม่ปรากฏปีพิมพ์ให้ใช้อักษรย่อ “ม.ป.ป.” ซึ่งย่อมาจาก “ไม่ปรากฏปีพิมพ์” ส่วนภาษาอังกฤษ
ใช้ “n.d.” ซึ่งย่อมาจาก “no date of publication” ในภาษาองั กฤษ
3. เลขหน้า ลงเลขหน้าท่ใี ชใ้ นการอา้ งอิง
4. รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเน้ือหาของส่ิงพิมพ์ที่ผู้แต่งเป็นชาวไทยให้ใช้รูปแบบดังน้ี (ช่ือ
นามสกุล. ปีพิมพ์ : เลขหนา้ )
การอา้ งองิ แทรกในเนื้อหาของสิ่งพมิ พ์ท่ีผูแ้ ต่งเปน็ ชาวตา่ งประเทศให้ใช้รูปแบบดังน้ี
(นามสกุล. ปีพิมพ์ : เลขหนา้ )
ตัวอยา่ งวิธีการอา้ ง
1. ผแู้ ต่งคนเดียว และผู้แตง่ เปน็ หน่วยงาน
เปล้อื ง ณ นคร. (2511 : 160)
Gordon. (1991 : 114)
* ในกรณีผู้แต่งเป็นหน่วยงานให้ระบุตามท่ีปรากฏในหนังสือ กรมประชาสัมพันธ์. (2524 :
33)
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๖๖
2. ผูแ้ ตง่ 2 คน
สมภพ ภิรมย์ และ สภุ าวดี โกมารทตั . (2535 : 150 - 154)
Schlachter and Thomson. (1979 : 114)
3. ผแู้ ตง่ 3 คน
คณิต มสี มมนต์, แสวง โพธเิ์ งนิ และ สนอง ค้าสทิ ธ์ิ. ( 2522 : 55 - 58)
Sorensen, Compbell, and Poss. (1989 : 55)
4. ผแู้ ตง่ มากกวา่ 3 คน ขนึ้ ไป
แสวง รตั นมงคลมาศ และคณะ. (2528 : 5 - 8)
Fama et al. (1969 : 20)
5. ผู้แตง่ หลายคน เอกสารหลายเลม่ และตอ้ งการอา้ งอิงพร้อมๆ กัน
ทิพากรวงศ์. 2504 : 39 - 48 ; แสงโสม เกษมศรี และวิมล พงศ์พิพัฒน์. (2515 :
123 - 126)
Hrock et al. 1970 : 1075 ; Seidenfaden. (1958 : 117)
6. เอกสารไมป่ รากฏผ้แู ตง่
100 ปี กลยุทธฝ์ ่าวกิ ฤตธรุ กิจไทย. (2534 : 162)
7. เอกสารไม่ปรากฏผแู้ ต่ง แตม่ ผี ู้ทาหนา้ ทบ่ี รรณาธิการ หรือผรู้ วบรวม
ทวน วริ ิยากรณ.์ ผูร้ วบรวม. (2507 : 237)
8. หนงั สอื แปล
บ็อค. (2505 : 189)
กมล จนั ทรสร. ผ้แู ปลและเรียบเรียง. (2506 : 258)
Handerson and Parson. Trans. (1966 : 340)
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๖๗
รปู แบบการอา้ งองิ ท่ีไมเ่ ปน็ หนงั สอื
เอกสารท่ีไม่เป็นหนังสือ ได้แก่ บทความ (รวมบทความ) วารสาร จุลสาร หนังสือพิมพ์ บท
วจิ ารณ์ แผน่ พับ เอกสารอดั สาเนา
ถา้ มชี ่ือผู้แต่ง ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการอ้างอิงหนังสือ ถ้าไม่มีชื่อผู้แต่งให้ระบุช่ือบทความ
หรอื หัวขอ้ ขา่ ว ในเครื่องหมายอัญประกาศ (“ ”) แทนในตาแหน่งผแู้ ตง่
“โทรเคล่ือนที่เตรยี มบกุ อินเตอร์เนต็ .” (2541 : 7 - 8) ประกอบดว้ ย
ตวั อยา่ งวธิ ีการอา้ งองิ
1. การอ้างอิงเฉพาะบทความบางเรอ่ื งจากหนงั สือรวบรวมบทความ
ภาสกร ศิรยิ ะพนั ธ์. ใน เขียน ธีระวิทย์. รวบรวม. (2524 : 46 - 48)
Weatherbee. in Weatherbee. ed. (1985 : 32)
2. การอ้างอิงเอกสารทงั้ เลม่
กมล รงุ่ เจริญไพศาล. (2528)
3. การอา้ งอิงจากเว็บไซต์
ขอ้ ความ........(ยืนยง ราชวงษ์. 2549 : ออนไลน์)
ยืนยง ราชวงษ์ (2549 : ออนไลน์) ข้อความ........
ข้อความ.........(Dale 2004 : Online : 1)
การอา้ งอิงจากแหล่งรอง
การอ้างอิงนั้นถ้าเป็นไปได้ควรจะอ้างจากแหล่งด้ังเดิม (Original source) แต่ถ้าไม่สามารถ
หาแหล่งเดิมของ วัสดุอ้างอิงได้ จึงให้อ้างแหล่งรอง (Secondary source) คือที่ท่ีพบข้อความน้ันๆ
โดยให้ใช้คาว่า “อ้างอิงมาจาก” หรือ “Citing” หลังจากแหล่งรองนั้นตามด้วยช่ือแหล่งเดิม ดัง
ตวั อย่าง
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
๖๘
...(สวรรค์ สวุ รรณโชติ. 2529 : 44 อา้ งองิ มาจาก กรมโฆษณาการ. 2482 : 30)...
...(Cleary. 1972 : 82-83 citing Russell. 1938 : 282 - 285)...
หรอื (กรมโฆษณาการ 2482 : 30 อา้ งถงึ ใน สวรรค์ สุวรรณโชติ. 2529 - 44 ) ....
...( Russell. 1938 : 282 285 citing Cleary. 1972:82-83)
ตวั อยา่ งการอา้ งอิงแบบแทรกในเนอ้ื หาหนา้ ข้อความ
คาว่าสารนิเทศมาจากคาในภาษาอังกฤษคือ Information ซ่ึงคาน้ีมีผู้แปลไว้แตกต่าง
กันหลาย คาเช่น สารนิเทศ สนเทศ ข้อสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร ข้อความรู้ แต่อย่างไรก็ตาม
ราชบัณฑิตยสถาน (2526 : 768) ได้บัญญัติคานี้ไวว้ ่า สารนเิ ทศและมผี ู้ให้คาจากัดความดังน้ี
แม้นมาส ชวลิต (2521 : 1) ให้ความหมายว่า สารนิเทศ หมายถึง ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
ซึ่งมี ผู้ทาให้เกิดขึ้นรวบรวมเก็บในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใช้คาพูด ภาพเขียน หรือเก็บในรูปแบบไม่เห็น
ด้วยตา เปล่า ตอ้ งใช้เคร่ืองแสดงเพ่ือส่งต่อหรือกระจายไปสู่ผู้ทีต่ ้องการได้
นงลักษณ์ ไม่หน่ายกิจ (2526 : 17) สรุปคาว่า สารนิเทศหมายถึง ข่าวสาร ข้อเท็จจริง
ข้อมูล ตลอดจนความรู้ที่ได้จากการสารวจการศึกษาหรือการสอน ซึ่งได้มีการบันทึกในรูปแบบต่าง ๆ
ทงั้ ในรูป แบบของวสั ดตุ พี ิมพแ์ ละวสั ดไุ มต่ ีพมิ พ์
จากความหมายดังกล่าว จึงอาจสรุปได้ว่า สารนิเทศ หรือสารสนเทศ ก็คือ ข่าวสาร ความรู้
ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความคิดที่ได้มีการบันทึกไว้ในสื่อหรือทรัพยากรสารนิเทศแบบต่าง ๆ ซึ่งบุคคล
สามารถรับรู้ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพอื่ นาไปใช้ประโยชนต์ ามท่ีต้องการ
ตวั อยา่ งการอ้างองิ แบบแทรกในเนอ้ื หาทา้ ยข้อความ
สารนิเทศ หมายถึง ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ซึ่งมีผู้ทาให้เกิดข้ึนรวบรวมเก็บในรูปแบบต่างๆ
เช่น ใช้คาพูด ภาพเขียน หรือเก็บในรูปแบบไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องแสดงเพื่อส่งต่อหรือ
กระจายไปสผู่ ู้ทต่ี ้องการได้ (แม้นมาส ชวลิต. 2521 : 1)
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
69
ประโยชนข์ องการเขียนรายการอ้างองิ
การรายการอ้างองิ ในรายงานมปี ระโยชนต์ ่อผูอ้ ่านและการเขียนรายงานดังนี้
1. ช่วยให้ผ้อู ่านไดท้ ราบถงึ หลกั ฐานทม่ี าของข้อความท่ียกมาประกอบการเขียนรายงาน
2. ช่วยใหผ้ อู้ า่ นติดตามเรอ่ื งทีแ่ นะนาให้อา่ นสามารถตดิ ตามอ่านเพิ่มเตมิ ได้อย่างสะดวก
3. เป็นการแสดงว่าผลงานที่เขียนขึ้นมีความน่าเช่ือถือสูง เพราะได้มีการค้นคว้าเป็นอย่างดี
มีได้ เขียนขึ้นจากความคดิ ของผ้เู ขียนเพียงอยา่ งเดยี ว
4. เพ่อื ใหเ้ กียรติเจา้ ของความรู้ความคดิ อนั เป็นมารยาทของนกั วิชาการเอกสารการอ้างอิง
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
การเขียนบรรณานกุ รม
การเขียนบรรณานุกรม
บรรณานกุ รม เปน็ การรวบรวมรายชอื่ หนังสือ เอกสาร ส่ิงพมิ พ์ และสือ่ ประเภทต่างๆ ท่ีเรา
ใช้ประกอบการอ้างอิงข้อมูลในการเขียน โดยบรรณานุกรมจะถูกระบุไว้ในส่วนท้ายของหนังสือ
งานวิจัย บทความ รายงาน ฯลฯ เพ่อื เปน็ การแสดงหลกั ฐานความน่าเช่อื ของข้อมูลนนั่ เอง
ความหมายของการเขียนบรรณานกุ รม
บรรณานุกรม (Bibliography) หมายถึง รายชื่อสิ่งพิมพ์หรือวัสดุอ้างอิงต่างๆ ท่ีผู้เขียนใช้
ประกอบการค้นคว้า เรียบเรียง เขียนรายงาน ตารา หรือบทนิพนธ์อื่นๆ มักจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ
การพิมพ์ ประกอบด้วย ช่ือและนามสกุล ของผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ ชื่อเรื่อง คร้ังท่ีพิมพ์ สถานที่พิมพ์
สานกั พิมพ์ จานวนหนา้ ราคาบรรณานุกรมมักจะจดั ไว้ตอนท้าย ของรายงานเสมอ
ความสาคัญของการเขียนบรรณานกุ รม
ความสาคัญของการเขยี นบรรณานุกรม มีดังน้ี
1. เพื่อแสดงวา่ รายงานฉบบั น้ันเปน็ รายงานทม่ี ีเหตุผล มสี าระนา่ เชื่อถอื ได้
2. เพ่ือแสดงว่าผู้เขียนรายงานเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้แต่งหนังสือท่ีได้นามาใช้
ประกอบการเขยี นนั้น
3. เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้สนใจได้ศึกษารายละเอียด หรือข้อเท็จจริงท่ีนามาประกอบการเขียน
เพ่มิ เตมิ ไดอ้ กี
4. เพื่อตรวจสอบหลกั ฐานดัง้ เดิมทผ่ี เู้ ขยี นนามาประกอบในรายงาน
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
71
ประเภทของการเขยี นบรรณานุกรม
จาแนกตามวตั ถปุ ระสงคห์ รือความมงุ่ หมายของผจู้ ดั ทา ได้ดงั น้ี
1. บรรณานุกรมทั่วไป เป็นบรรณานุกรมท่ีรวบรวมรายช่ือหนังสือส่ืออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่
จากัดวา่ พิมพ์ในประเทศใด หรอื ภาษาใด หนงั สือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ตา่ งๆ
2. บรรณานุกรมแห่งชาติ เป็นบรรณานุกรมของหนังสือและสิ่งพิมพ์ ตลอดจนสื่อ
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ของประเทศ ใดประเทศหนง่ึ โดยเฉพาะ
3. บรรณานุกรมเพื่อการค้าหรือบรรณานุกรมของสานักพิมพ์ เป็นบรรณานุกรมที่สานักพิมพ์
บริษทั หรอื ร้านค้าจัดทาขึน้ เพอื่ ประโยชน์ในการขายหนังสือหรือสิ่งพมิ พ์เหลา่ น้ัน
4. บรรณานุกรมฉบับพิเศษ เป็นบรรณานุกรมท่ีจัดพิมพ์เฉพาะในหัวข้อใต้หัวข้อหนึ่ง หรือ
ส่ิงพิมพ์ของนักเขยี น คนใดคนหน่ึง
5. บรรณานุกรมเลือกสรร เปน็ บรรณานกุ รมที่เลือกสรรแล้วว่าดีที่สดุ
6. บรรณานุกรมเฉพาะวิชา เป็นบรรณานุกรมท่ีรวบรวมรายช่ือหนังสือ สิ่งพิมพ์ และส่ือ
อิเลก็ ทรอนกิ สเ์ ฉพาะสาขาวชิ าใดวชิ าหนึง่ เทา่ นั้น
7. บรรณานุกรมของบรรณานุกรม เป็นหนังสือบรรณานุกรมที่ให้รายช่ือหนังสือท่ีเป็น
บรรณานุกรมท่มี ปี ระโยชน์ โดยมากจัดทาในแขนงวิชาใดวิชาหนึ่ง หรือจัดพิมพ์ข้ึนเพื่อบุคคลในวงการ
อาชีพหน่งึ
แหลง่ ท่ีมาของบรรณานุกรม
แหลง่ ท่ีมาของบรรณานกุ รม ประกอบด้วย
1. หนงั สือดูข้อมลู จากหนา้ ปกใน และดา้ นหลังหนา้ ปกใน
2. วารสารดูข้อมลู จากหน้าปก
3. หนังสือพิมพด์ ขู อ้ มลู จากหนา้ แรกของหนงั สือพิมพ์
4. สอ่ื อิเล็กทรอนิกสด์ ูขอ้ มลู จากหนา้ แรกของเวบ็ เพจ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
72
รูปแบบการลงรายการบรรณานุกรม
การลงรายการบรรณานุกรม จะแตกต่างกันไปตามประเภทของหลักฐานหรือทรัพยากรสารสนเทศท่ี
นามาอา้ งอิง ดงั น้ี
หมายเหตุ ข้อความ ขีดเส้นใต้ในการลงรายการ หมายถึง ข้อความที่จะต้องพิมพ์ด้วยตัวหนา
ส่วนเครือ่ งหมายหมายถึงการเว้นระยะในการพมิ พ์
การเขียนบรรณานกุ รมมีหลักการเขียน ดงั นี้
1. หนงั สือ
ผู้แต่ง ถ้าผู้แต่งเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต้องใส่คานาหน้านาม วุฒิ ให้ลงช่ือตามด้วยนามสกุล
ยกเว้นผู้แต่งท่ีมี ราชทินนาม และฐานันดรศักดิ์ เช่น หลวง, ม.ร.ว., พระองค์เจ้า ให้ลงนามด้วย ถ้าผู้
แตง่ เปน็ ชาวต่างประเทศ ใชช้ อ่ื สกุลชน้ั ตน้ ตามด้วยชอื่
ตัวอย่าง นายธนญญน์ ภสสร์ ชนะกุลรตั นา >> ธนญญ์นภสสร์ ชนะกลุ รตั นา
William R. Robinson >> Robinson, William R.
หลวงวิจติ รวาทการ >> วจิ ิตรวาทการ, หลวง
ช่อื สกุลผู้แต่ง.//(ปที ่พี มิ พ)์ .//ช่อื หนงั สือ.//ครั้งท่พี ิมพ์.//เมืองที่พมิ พ์/:////////สานักพิมพ์
1.1 ผแู้ ตง่ 1 คน
ตวั อยา่ ง เรงิ ชยั หมน่ื ชนะ. (2538). จิตวิทยาธุรกิจ. พิมพค์ รัง้ ท2่ี .
กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
O’Brien, J. A. (1999). Management information :
Managing Information technology in the
internet worked enterprise. 4th ed. Boston :
McGraw-Hill.
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
73
1.2 ผู้แตง่ 2 คน ใหล้ งช่อื ผแู้ ตง่ ทุกคน โดยใช้คาวา่ “และ” หรอื “and” เชอ่ื ม
ตัวอย่าง ศรสี ุรางค์ พูลทรัพย์ และสุมาลย์ บา้ นกล้วย.
Galton, M. and Williamson, J.
1.3 ผูแ้ ตง่ 3 คน ใหล้ งชอ่ื ผแู้ ตง่ คนที่ 1 ตามด้วยเคร่อื งหมายจลุ ภาค และชื่อผู้แต่ง
คนที่ 2 คนที่ 3 โดยมวี ่า “และ” หรือ “and” เช่ือม
ตวั อยา่ ง หิรญั ประดิษฐ์, สขุ วัฒน์ จนั ทร ปรณิก และเสริมสขุ
สลกั เพ็ชร.
O’Brien, J. A., Galton, M. and Williamson, J.
1.4 ผู้แต่งมากกว่า 3 คน ให้ลงช่ือผู้แต่งคนแรก ตามด้วยคาว่าคาว่า และคนอื่นๆ
หรือ and others หรือ et al
ตัวอย่าง ครรชติ มาลัยวงศ์ และคนอน่ื ๆ
Galton, M., et.al.
2. วารสาร
ชื่อผู้เขียน // (ปี,เดือน วันท่ี). // “ชื่อบทความ”.// ชื่อวารสาร.//ปีที่หรือเล่มที่ (ฉบับท่ี)./
หนา้ /:/
ตวั อย่าง กรี ติ บุญเจือ. (2554, กรกฎาคม - ธนั วาคม). สาเหตกุ ระตุ้น
ให้เกดิ สานกั วจิ ัยแฟรงค์เฝริ ท์ . วารสารวิชาการวทิ ยาลยั
แสงธรรม. 3(2) 1-11.
3. หนังสือพิมพ์
ชื่อผ้เู ขียน//(ปี เดือน วันท่ี).// “ช่ือบทความ”. //ชอื่ หนงั สือพิมพ์. //เลขหน้า.
ตัวอยา่ ง ชตยิ า มหาสินธ์. (2545, พฤษภาคม 19). เปิดศูนย์เทยี บ
ประสบการณ์สร้างชีวติ ใหม่ใหแ้ รงงานไทย. มตชิ น.
หนา้ 4.
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
๗๔
4. การสมั ภาษณ์
ชื่อผูใ้ ห้สมั ภาษณ์.//(ปี, เดือน วันท)่ี .//ตาแหนง่ (ถ้ามี).//สัมภาษณ์.
ตัวอยา่ ง อภสิ ิทธิ์ กฤษเจริญ. (2554, พฤษภาคม 20). รองอธกิ ารบดี
ฝา่ ยวิชาการวทิ ยาลัยแสงธรรม. สัมภาษณ์.
5. ขอ้ มูล สารสนเทศอืน่ ๆบนอนิ เทอร์เน็ต
ผู้แตง่ .//ปที ี่พมิ พ.์ //ช่อื เรือ่ ง. //[ออนไลน์].//เข้าถึงได้จาก/:/เว็บไซต์/สบื คน้ (วันทค่ี ้นข้อมูล
วัน/เดอื น/ปี)
ตัวอยา่ ง สมศักดิ์ ดลประสทิ ธิ์. (2544). ความสงสยั ในการเดินหนา้
ปฏริ ปู การศกึ ษา. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก :
http://www.moe.go.th. สืบคน้ 31 พฤษภาคม
2545
Webb, S.L. (1992, January). Dealing with sexual
harassment. Small Business Report. [Online].
17, 11-14. Available :
http://find.galegroup.com. Retrieved March
1,1992
หมายเหตุ
ถ้าไมม่ ชี ื่อผูแ้ ตง่ ให้ใส่ชื่อบทความแทน
ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ ใช้ ม.ป.ป.
พิมพ์ครั้งแรกหรือพมิ พค์ ร้งั ท่ี 1 ไมต่ อ้ งใส่ ใหใ้ สพ่ มิ พ์คร้งั ที่ 2 ขึ้นไป
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๓
การสงั เคราะห์และสรปุ องคค์ วามรู้
การรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลถือเป็นขั้นตอน สาคัญของการศึกษาค้นคว้าความรู้ด้วยตนเอง เพราะ
เปน็ ขนั้ ตอนการเริม่ ต้นในการแสวงหา คาตอบใหก้ ับประเดน็ ปัญหาหรอื สมมติฐาน ทไี่ ด้ต้งั ไว้ ซ่ึงการจะ
ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ผู้รวบรวมข้อมูลต้องทราบขั้นตอนและวิธีการ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ การ
สังเกต การสอบถาม และการสัมภาษณ์ เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับประเด็นปัญหา
หรือสมมติฐานท่ตี ้ังไว้
ความหมายของการรวมรวมขอ้ มูล
การรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนหน่ึงของกระบวนการการแสวงหาคาตอบเพ่ือท่ีจะทาให้ได้
ข้อมูลที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ สอดคล้องกับแนวคิด สมมติฐาน เป็นการนาข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบ
ต่างๆ มาศึกษาวิเคราะห์ ซ่ึงการจะรวบรวมข้อมูลให้มีประสิทธิภาพต้องดาเนินการเป็นกระบวนการ
โดยเร่ิมต้ังแต่ การออกแบบวางแผน การกาหนดขอบเขต ข้ันตอน และการเก็บรวบรวมข้อมูล
ตามลาดบั
๑. ออกแบบ วางแผน
๒. กาหนดขอบเขตและขน้ั ตอน ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
๓. ดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ความสาคญั ของการรวบรวมขอ้ มลู
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล เป็นขัน้ ตอนหนึ่งของกระบวนการ ทางสถิติ ท่ีมีความสาคัญ เพ่ือให้
ได้มาซง่ึ ข้อมลู ท่ตี อบสนอง วตั ถปุ ระสงค์ และสอดคลอ้ งกับกรอบแนวความคดิ สมมุติฐาน เทคนิค การ
วัด และการวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงหมายรวมทั้ง การเก็บข้อมูล (Data Collection) คือ การเก็บข้อมูล
ข้ึนมาใหม่ และการรวบรวม ข้อมูล (Data Compilation) ซึ่งหมายถึง การนาเอาข้อมูลต่างๆ ท่ี ผู้อ่ืน
ไดเ้ กบ็ ไว้แลว้ หรอื รายงานไวใ้ นเอกสารต่างๆ มาทาการศกึ ษา วเิ คราะห์ตอ่
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
76
ข้นั ตอนการรวบรวมข้อมลู
การจะเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ ปัญหา จะต้องใช้ข้ันตอนท่ีดี
และเหมาะสม จึงจะสามารถนาขอ้ มลู นน้ั ไปใช้ในการศกึ ษาค้นควา้ ของตนเองได้
๑. ศกึ ษารปู แบบ วเิ คราะหร์ ูปแบบของ ประเดน็ ปัญหาทจ่ี ะศึกษา ค้นคว้า เป็นคาถามแบบ
ใด โดยสามารถพจิ ารณาจากคา “อย่างไร” “ทาไม” “ใคร” “ท่ไี หน” “เมือ่ ไหร่”
๒. เลือกวธิ ีการ เลอื กวิธีการที่จะเกบ็ รวบรวมข้อมูลให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวม
ข้อมูล โดยการสารวจ ทดลอง หรือใช้ กระบวนการทางประวัติศาสตร์
๓. เลือกชนิด เลือกชนิดของข้อมูลท่ีจะเก็บรวบรวมว่า เป็นข้อมูล เชิงปริมาณหรือเชิง
คณุ ภาพ แตค่ วรเน้นข้อมลู ปฐมภมู ิ เพราะกรามหลากหลายและครบถ้วน
๔. กาหนดขอบเขต กาหนดขอบเขตของ ประเด็นปัญหาที่ต้องการหา คาตอบ เช่น
จานวนผสู้ งู อายทุ ่ี ใช้บรกิ ารรถไฟฟา้ ชว่ งวนั หยดุ เทศกาลสงกรานต์
๕. เลือกเครื่องมือ เลือกเคร่ืองมือหรือวิธีการ ท่ีจะใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น การส่งสาร
การสอบถามการ สมั ภาษณ์ ท้ังนีต้ ้องเลอื ก ใช้ใหเ้ หมาะสมกับชนิดของข้อมลู
๖. กาหนดรายละเอียด กาหนดรายละเอียดใน การเก็บข้อมูล เช่น จะเก็บ ข้อมูลจากใคร
จากสถานที่ เก็บในชว่ งเวลาใด ใช้เวลานานเท่าใด
กระบวนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
การท่ีนักเรียนจะเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ข้อมูลท่ีถูกต้องตรงกับประเด็น
ปัญหา หรือข้อคาถาม การเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีมีขั้นตอน มีกระบวนการท่ีจะส่งผลให้ได้ข้อมูลที่เป็น
ประโยชน์ สามารถนาไปใชก้ ับการศึกษาค้นคว้าความร้ขู องนักเรียนได้
1. การออกแบบการเก็บรวบรวมข้อมูลการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพต้อง
ดาเนินการในรูปแบบกระบวนการ หมายถึงการออกแบบเพ่ือวางแผนในการพิจารณาวิธีการหรือ
รปู แบบในการศึกษาค้นคว้า การกาหนดขอบเขต ของข้อมูล รวมท้ังการกาหนดขั้นตอน กระบวนการ
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ซง่ึ มกี ระบวนการเกบ็ รว รวบรวมข้อมูล
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
77
การศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเองเปน็ รายวิชาท่ีนักเรียนต้องรู้จักการวางแผนการเรียนอย่างเป็น
ระบบ เมื่อนักเรียนทาการสารวจความต้องการ ความสนใจ และความถนัดทางการเรียนของตนเอง
และได้ กาหนดประเด็นปัญหาหรือคาถามท่ีต้องการจะศึกษาค้นคว้าความรู้เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว
นักเรียน จาเป็นต้องศึกษาหาแนวทางในการแสวงหาคาตอบภายใต้กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล
ตามแผนผงั กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมลู และดาเนนิ การออกแบบการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ก่อน ก า ร
ออกแบบการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการนาเอาสิ่งท่ีเป็นแนวความคิดหรือจินตนาการ เกี่ยวกับ
องค์ประกอบตา่ ง ๆ ท่เี กี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ได้คาตอบของประเด็นปัญหาหรือ ข้อ
คาถามที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่ทาการศึกษาค้นคว้า โดยนาองค์ประกอบของความคิด ดังกล่าวมาจัดวาง
ให้ เชื่อมตอ่ สมั พันธ์กนั และมองเห็นความเปน็ ไปได้ในการปฏิบตั ติ ลอดแนว
อย่างไรก็ตาม การจาแนกประเภทหรือชนิดของข้อมูลมีหลากหลายประเภท นักเรียน
จะต้อง วางแผนการเลือกใช้ข้อมูลในการศึกษาค้นคว้าความรู้ด้วยตนเอง ออกแบบการเก็บรวบรวม
ข้อมูล แต่ละ ประเภทให้มีความเหมาะสม ตลอดจนการเลือกใช้เครื่องมือในการแสวงหาความรู้หรือ
การเก็บรวบรวม ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมัน , 2003) กล่าวว่า ลักษณะของ
คาถามหรือประเด็น ปัญหามีความสัมพันธ์กับการเลือกใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือ
การศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่ือใหไ้ ด้ คาตอบของประเด็นปญั หาและไดแ้ นะนาวา่ รูปแบบ (Form) ของ ประเด็น
ปัญหาหรือข้อคาถามจะเป็น ส่ิงที่กาหนดว่าผู้ทาการศึกษาค้นคว้าควรเลือกใช้วิธีการใดในการเก็บ
รวบรวมข้อมูล ซ่ึงถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้น ของการวางแผน การกาหนดขอบเขตของข้อมูล รวมถึงการ
กาหนดขนั้ ตอนในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และ ดาเนินการเก็บขอ้ มูลจะดาเนินการอยา่ งไร
เมื่อนักเรียนได้คาตอบแล้วว่าจะใช้วิธีการใดในการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคาตอบของประเด็น ปัญหา
หรือประเด็นคาถามแล้ว ในการดาเนินการข้ันตอนต่อไปคือ ขั้นตอนการออกแบบการเก็บรวบรวม
ข้อมูลในลักษณะของการคิดหรือสร้างจินตภาพว่าควรจะดาเนินการอย่างไร ใช้องค์ประกอบ ด้าน
ใดบ้างทัง้ น้ี วธิ ีการออกแบบการเกบ็ รวบรวมข้อมลู มีขนั้ ตอนงา่ ย ๆ ดังน้ี
1. ศึกษาวิเคราะห์รูปแบบของประเด็นปัญหาหรือประเด็นคาถามท่ีจะศึกษาค้นคว้าว่า
เป็น ประเด็นปญั หารปู แบบใดตามตารางการวเิ คราะห์รูปแบบของคาถาม/ประเดน็ ปญั หา
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
78
2. เลือกวิธีการท่ีจะเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึงอาจจะใช้วิธีการสารวจ การทดลอง
กระบวนการ ทางประวัติศาสตร์ หรือกรณศี กึ ษา ทงั้ น้แี ลว้ แต่ความเหมาะสม
3. กาหนดเลือกชนิดของข้อมูลท่ีจะจัดเก็บว่าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพ
และ ควรเน้นขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ปฐมภมู ิเปน็ หลักหรอื หากจาเป็นผสมผสานข้อมูลทุติยภูมดิ ว้ ยกไ็ ด้
4. กาหนดขอบเขตของข้อมูลทตี่ ้องการหาคาตอบของประเด็นปัญหา เช่น จานวนนักเรียน
ในระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ทเี่ ปน็ คนอว้ นเท่าน้นั
5. เลือกวิธีการหรือเครื่องมือท่ีจะใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เหมาะสม เช่น อาจจะใช้
วิธกี ารสงั เกต การสมั ภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การศกึ ษาเอกสาร เปน็ ต้น
6. กาหนดขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล นั่นคือจะเก็บข้อมูลโดยติดต่อหน่วยงานใด
เปน็ ข้อมลู จากใคร สถานที่ใด ใครเป็นผู้เก็บ เก็บข้อมูลอะไร เก็บในช่วงระยะเวลาใด จานวนครั้ง แต่
ละครง้ั ใช้ เวลาเท่าใด
รูปแบบวธิ กี ารรวบรวมข้อมลู
การรวบรวมข้อมูลเปน็ กระบวนการท่มี คี วามสาคัญในการศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเอง โดยเป็น
กระบวนการท่ีจะนาไปสู่การหาคาตอบที่ถูกต้อง ชัดเจน การรวบรวมข้อมูลจึงต้องอาศัยวิธีการ
หลากหลาย เพ่อื ให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของข้อมลู ดงั นี้
1. การสังเกต การสังเกตเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิธีหน่ึง โดยใช้การเฝ้า ดู
อากปั กริ ยิ า การกระทา พฤตกิ รรม หรือสง่ิ ที่เกิดขึ้น ซ่ึงผู้สังเกตต้องวิเคราะห์หาความเชื่อมโยง ของสิ่ง
ท่ีเกดิ ขนึ้ โดยผถู้ ูกสงั เกตอาจร้ตู วั หรอื ไมร่ ตู้ ัวกไ็ ด้
1.1. ลักษณะของการสงั เกต การสงั เกต สามารถจาแนกไดเ้ ปน็ 2 ลักษณะ ดงั นี้
๑.๑.๑ สงั เกตโดยมีสว่ นร่วมคือ การท่ีผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมใน กิจกรรม
ของผ้ถู ูกสงั เกต ซง่ึ การสงั เกต ประเภทนมี้ ขี อ้ ดี คือ ช่วยลดความ หวาดระแวง ความไม่ไว้ใจจากกลุ่มผู้
ถูก สังเกต ทาให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นความจริง เป็น ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงผู้สังเกตยังสามารถ ที่จะมีความ
พฤติกรรมหรอื อวจั นภาษาของ ผถู้ ูกสังเกตได้ถกู ต้องแม่นยามากข้นึ
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
79
๑.๑.๒ สังเกตโดยไม่มีส่วนร่วมคือ การที่ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วม
ทากิจกรรมกับกลุ่มผู้ถูกสังเกต ซ่ึงผู้ถูกสังเกต อาจรู้ตัวหรือไม่ก็ได้ การสังเกตประเภทนี้ มีข้อดี คือ
ประหยดั เวลาและงบประมาณ แต่มีข้อเสยี คอื อาจได้ขอ้ มูลท่ีไม่ละเอียด ลึกซ้ึง เพราะผู้ถูกสังเกตอาจ
เกิดอาการ ระแวง ประหม่า ทาให้แสดงพฤติกรรมที่ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งผลให้ข้อมูล
คลาดเคลอ่ื นได้
1.2. ข้ันตอนการสังเกต การสังเกตส่ิงต่างๆ มีแนวทางในการปฏิบัติโดยแบ่งเป็นข้ันตอน
ดงั น้ี
๑.๒.๑ ก่อนการสังเกต
• ศกึ ษาประเด็นปญั หา
• วิเคราะหว์ ่าจะสงั เกตเรื่องใดบ้าง
• กาหนดกลุ่มเป้าหมายเตรยี มแบบบนั ทกึ การสงั เกต
๑.๒.๒ ขณะสงั เกต
• เลอื กจุดทีส่ ามารถสังเกตพฤติกรรมไดช้ ดั เจน
• บันทึกส่งิ ที่ปรากฏตอ่ สายตา โดยไม่ใสค่ วามคิดเหน็ ส่วนตวั ลงไป
๑.๒.๓ จบการสงั เกต
• กล่าวขอบคณุ กลมุ่ ผถู้ ูกสงั เกต
• จดั ทาสาเนาเอกสารในการบันทกึ ขอ้ มูลและการจดั เกบ็ เปน็ ระบบ
2. การสอบถาม การสอบถามเปน็ เครอื่ งมือชนดิ หน่ึงในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยจัดทา
เป็นชุดของคาถามให้ผู้ตอบได้สะท้อนข้อมูลท่ีต้องการศึกษา โดยส่วนใหญ่นิยมใช้วัดสภาพท่ี เป็นจริง
ความรู้สกึ ความคดิ เหน็ หรือทัศนคติต่างๆ ซง่ึ สามารถแบง่ เป็น 2 ประเภท ดังน้ี
2.๑ แบบสอบถามที่มีคาถามแบบปลายปิด เป็นแบบสอบถามที่ให้ผู้ตอบเลือกตอบตาม ตัวเลือกท่ี
กาหนดให้เพียง 1 คาตอบ หรอื หลายคาตอบ
1. แบบให้เลือกเพียง 1 คาตอบ แบบสอบถามประเภทนี้จะมีลักษณะเป็น
ชุดคาถามที่มี ตัวเลือกตัง้ แต่ 2 ตัวเลอื กข้ึนไป แลว้ ให้ผ้ตู อบเลือกเพยี ง 1 ตัวเลือก
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
80
2. แบบให้เลือกได้หลายคาตอบ แบบสอบถามประเภทนี้จะมีลักษณะ
เป็นชุดคาถามท่ีมี ตัวเลือกต้ังแต่ 2 ตัวเลือกข้ึนไป โดยให้ผู้ตอบเลือกตอบได้หลายคาตอบที่ตรงกับ
ความเป็นจรงิ
3. แบบเรียงลาดับ แบบสอบถามประเภทน้ีจะมีลักษณะเป็นคาถามที่มี
ตัวเลอื กใหผ้ ้ตู อบ เรยี งลาดบั จากมากทส่ี ุดไปหานอ้ ยทสี่ ุด
4. แบบให้ประมาณค่า แบบสอบถามประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นชุด
คาถามท่มี ตี วั เลือก ไลร่ ะดับโดยใหผ้ ูต้ อบเลือกตอบได้เพยี ง 1 ระดับ จากการประมาณของตน
2.2 แบบสอบถามท่ีมีคาถามแบบปลายเปิด เป็นแบบสอบถามที่ให้ผู้ตอบเขียน
ตอบ อสิ ระตามเงอ่ื นไขที่กาหนดไวใ้ นข้อคาถาม
1. แบบให้เขียนตอบสั้น แบบสอบถามประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นชุด
คาถามท่ีแบง่ เป็นโดยใหผ้ ู้ตอบเขยี นตอบด้วยคาหรือวลีสัน้ ๆ
2. แบบให้เขียนตอบยาว แบบสอบถามประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นชุด
คาถามท่ีแบ่งเป็นข้อๆ โดยผู้ตอบจะต้องเขียนตอบโดยแจกแจงส่วนประกอบหรือแสดงเหตุผล
สนบั สนุนคาตอบ
๓. การสัมภาษณ์ การสอบถามเป็นการรวบรวมข้อมูลท้ังที่เป็นข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น
รวมถึงค่านิยมและเจตคติของผู้ให้ข้อมูลหรือผู้ถูกสัมภาษณ์ โดยใช้วิธีสนทนาโต้ตอบระหว่าง “ผู้
สมั ภาษณ์” และ “ผถู้ กู สัมภาษณ์
3.๑ ประเภทของการสัมภาษณ์ โดยทั่วไปการสัมภาษณ์สามารถแบ่งออกเป็น 3
ประเภทใหญๆ่ ดังนี้
๑. การสัมภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง
• เปน็ การสัมภาษณท์ ่ไี ด้มีการนดั หมายผใู้ ห้สมั ภาษณไ์ ว้ ลว่ งหน้าและมีการ
เตรียมประเดน็ คาถามไวก้ ่อนแล้ว
• ดาเนินการสนทนาอย่างเป็นข้นั เปน็ ตอน โดยเรยี งลาดบั คาถามตามที่
เตรยี มไว้ อาจใชก้ ารบันทึกเทปหรอื จดบนั ทึกการสมั ภาษณ์ไว้
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
81
๒. การสมั ภาษณ์แบบกง่ึ มีโครงสร้าง
• เปน็ การสัมภาษณท์ ่มี กี ารนดั หมายผูใ้ ห้สัมภาษณไ์ ว้ลว่ งหน้า
• ผู้สัมภาษณ์จะจัดเตรียมคาถามไว้จานวนหน่ึง ซ่ึงจะมีการคิด คาถาม
บางสว่ นในสถานการณจ์ ริงเม่อื สมั ภาษณ์
• ผู้สัมภาษณ์สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ลึกซึ้งและทันต่อ เหตุการณ์
มากกว่า
๓. การสมั ภาษณ์แบบไมม่ โี ครงสรา้ ง
• เปน็ การสัมภาษณท์ ีมกี ารนดั หมายผ้ใู หส้ ัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า
• ผู้สัมภาษณ์จะเตรียม คาถามไวอ้ ย่างคร่าวๆ หรอื เตรยี มเพียง ประเดน็
หลักๆ ส่วน ประเดน็ อนื่ มักเพมิ่ เพิ่มข้ึนระหวา่ งการสนทนา
• จะปดิ การสมั ภาษณ์ เมอ่ื ใดกไ็ ด้ ตามท่ผี สู้ ัมภาษณ์เหน็ วา่ ไดข้ อ้ มลู เพียงพอ
แลว้
กอ่ นการสมั ภาษณ์
• ทบทวนประเด็นปัญหาคดั เลือกกล่มุ เปา้ หมาย
• จัดทาคาถามให้ตรง กับประเด็นปัญหา
• จัดเตรยี มเครอื่ งมอื ในการบันทึก
• ตดิ ตอ่ ขออนญุ าตเพื่อทาการสัมภาษณ์
ขณะสมั ภาษณ์
• แนะนาตวั และบอกวตั ถปุ ระสงคข์ องการสัมภาษณ์
• กระตุ้นผู้ใหส้ มั ภาษณ์ ใหบ้ อกขอ้ มลู อยา่ งละเอียดที่สดุ
• แสดงกริ ิยาหรอื ใชถ้ อ้ ยคาให้สภุ าพ
จบการสัมภาษณ์
• ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
• กลา่ วขอบคุณผ้ใู หส้ ัมภาษณ์
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
82
วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู
วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มหี ลายวิธีท่ใี ชก้ นั มากในทางพฤติกรรมศาสตร์
1. วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มูลปฐมภูมิ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิซึ่งอาจทาได้โดยการสามะ
โน หรือสารวจสามารถทาได้หลายวธิ ี แตว่ ิธีทน่ี ยิ มใชก้ นั ท่วั ๆ ไปมี 5 วธิ คี อื
1. การสัมภาษณ์โดยตรง การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ นิยมใช้กัน
มากกว่าการเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยวิธีอ่ืน ๆ เน่ืองจากโอกาสท่ีจะได้คาตอบกลับคืนมามีมาก
นอกจากนี้หากผู้ตอบข้อถาม ไม่เข้าใจข้อถามใด ๆ ก็สามารถถามได้จากผู้สัมภาษณ์โดยตรง แต่การ
เกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยวธิ ีนี้ ผู้สมั ภาษณ์ต้องมคี วามซอื่ สตั ย์ไมต่ อบข้อถามแทนผู้ถูกสัมภาษณ์ เพราะจะ
ทาใหข้ อ้ มูลทีร่ วบรวมไดม้ ี ความคลาดเคลอื่ นจากทค่ี วรจะเป็นจรงิ มาก
๒. การสัมภาษณ์ทางโทรศพั ทใ์ นกรณีทคี่ าถามไมม่ ากและไม่ซบั ซอ้ น ปริมาณคาถาม
มีไม่มากนัก การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จะ ทาให้ได้ข้อมูลเร็วขึ้น แต่มีข้อเสียคือ สัมภาษณ์ได้เฉพาะ
หน่วยตัวอย่างที่มีโทรศัพท์เท่านั้น บางกรณีผู้ตอบ อาจจะไม่เกรงใจ หรือไม่พอใจที่จะตอบ หรือ
อาจจะวางหูโทรศัพท์กไ็ ด้
๓. การตอบแบบสอบถามเป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยมอบแบบสอบถามพร้อมทั้งอธิบายวิธีบันทึก
ตลอดจนคาอธบิ ายศัพท์ ต่างๆ ให้แก่หน่วยตัวอย่างล่วงหน้า ผู้วิจัยจะกลับไปรับแบบสอบถามตามวัน
เวลาท่ีนัดหมายไว้ ถ้าการ บันทึกแบบสอบถามไม่ถูกต้องหรือไม่เรียบร้อยก็จะได้มีการสอบถามหรือ
สัมภาษณเ์ พิ่มเตมิ จนกระท่งั ได้ ข้อมูลตามที่ต้องการ
๔. การสอบถามทางโทรศัพท์ การสอบถามวิธีนี้นิยมใช้น้อยกว่าวิธีอื่นถึงแม้ว่าการ
เลอื ก ตัวอย่างผ้ตู อบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทาไดง้ ่ายและเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้อยก็
ตาม ทั้งน้ี เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทาได้เฉพาะผู้ตอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เท่าน้ันการ
สอบถามทางโทรศัพท์โดยท่ัว ๆ ไป มักใช้กับแบบสอบถามที่ไม่ใช้เวลาในการ สัมภาษณ์มากนักและ
ข้อมูลท่ีต้องการถามจากผู้ตอบสัมภาษณ์เป็นข้อมูลท่ีผู้ตอบสัมภาษณ์สามารถตอบได้ ทันทีโดยไม่ต้อง
ไปคน้ หาหลักฐานหรือสอบถามจากผู้อื่น การสอบถามทางโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่เสมอ ๆ เช่น การสารวจ
ความคดิ เห็นเกย่ี วกบั เหตกุ ารณท์ ี่กาลังได้รบั ความสนใจ
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
83
๕. การส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลส่งแบบสอบถามทาง
ไปรษณยี ์ วธิ ีน้เี หมาะสาหรับการเกบ็ ขอ้ มลู ที่ไม่มี ความสาคัญมากนัก เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน ไม่
มีศัพท์หรือคาจากัดความที่ต้องการคาอธิบายจานวนข้อคาถามมีไม่มากนัก วิธีนี้มีข้อดีคือ เสีย
ค่าใช้จ่ายน้อย แต่มีข้อเสียคือได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาน้อย หรือผู้บันทึกอาจจะเข้าใจข้อคาถาม
ไม่ถูกต้อง หรือบันทึกอย่างขาดความรับผิดชอบ ข้อจากัดคือ วิธีนี้ใช้สาหรับหน่วยตัวอย่างท่ีอ่านออก
เขียนไดเ้ ทา่ นน้ั
๖. การนับและการวัดในการเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างต้องใช้วิธีนับ เช่น การ
สารวจจานวนรถท่ีผ่านจุดท่ีต้องการศึกษา และในเวลาท่ีสนใจศึกษา จานวนลูกค้าท่ีเข้าแถวเพ่ือชาระ
เงินในคาบเวลาหนง่ึ ๆ จานวนผปู้ ว่ ยท่ีเข้ารับบริการในโรงพยาบาลในคาบเวลาหนึ่ง การเก็บข้อมูลโดย
ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทาแบบสอบ แบบวัดเปน็ ต้น
๗. การสังเกตวิธีนี้ใช้ในโครงการวิจัยต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ และทางสังคมศาสตร์
เช่น การสังเกตตาแหน่งของ ดวงดาวบนท้องฟ้า การสังเกตพฤติกรรมของคนในชุมชนที่มีต่อผู้ป่วย
เอดส์ เป็นต้น ข้อมูลท่ีได้จากการ สังเกตอาจจะเป็นข้อมูลเชิงคุณลักษณะหรือปริมาณก็ได้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจยั ตอ้ งกาหนดข้นั ตอน ใหร้ ัดกมุ ตั้งแต่ การวางแผนการเก็บรวบรวมกาหนดวิธีการให้
เหมาะสมกบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง กาหนดวิธีบนั ทึก ขอ้ มูล ถ้ามีผู้ช่วยในการเก็บข้อมูลต้องอบรมวิธีการเก็บให้
มีความรู้ ความเข้าใจและชานาญเท่าเทียมกัน จากน้ันจึงเก็บข้อมูลตามท่ีวางแผนไว้ เม่ือได้ข้อมูล
กลับมาต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมลู ทไี่ ด้รับ ก่อนนาไปวเิ คราะหข์ ้อมลู ต่อไป
๘. การทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่
ต้องมี การทดลองหรือปฏิบัติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทาง
วิทยาศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาแก้ปวดหลาย ๆ ชนิด ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้
จากการทดลองน้ี จะมคี วามถูกต้องและเชอ่ื ถอื ได้มาก ถ้าไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากการวัดหรือการ
วางแผนการทดลอง
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
84
2. วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหนังสือ รายงาน บทความ
หรอื เอกสารตา่ ง ๆ ควรดาเนินการดังตอ่ ไปน้ี
1. พิจารณาตัวบุคคลผู้เขียนรายงาน บทความ หรือเอกสารเหล่าน้ัน
เสียก่อนว่าเป็นผู้มี ความรู้และมีความเชี่ยวชาญในเร่ืองท่ีเขียนถึงข้ันพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่ การ
เขียนอาศัยเหตุผลและหลัก วิชาการมากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่จะนามาใช้ซ่ึงรวบรวมจากรายงาน
บทความ หรือเอกสารดังกล่าวควรใช้ ข้อมูลที่ผู้เขียนเก็บรวบรวมมาเองโดยตรง เช่น ข้อมูลท่ีได้จาก
การสารวจหรือสามะโน หากไม่มีความจาเป็นไม่ควรใช้ข้อมูลท่ีผู้เขียนนามาจากแหล่งข้อมูลอื่น
เนือ่ งจากอาจมกี ารคลาดเคลอ่ื นจากขอ้ มูลท่ี ควรจะเบนิ จริงได้มาก
2. ถ้าข้อมูลท่ีต้องการเก็บรวบรวมสามารถหาได้จากหลาย ๆ แหล่ง ควร
เก็บรวบรวมมา จากหลาย ๆ แหล่งเพ่ือใช้ในการเปรียบเทียบว่าข้อมูลที่ต้องการมีความผิดพลาด
เนื่องจากการลอกผิด พิมพ์ผิด หรือเข้าใจผิดบ้างหรือไม่ นอกจากน้ีผู้เก็บรวบรวมข้อมูลควรจะใช้
ความรู้ความชานาญของตนเอง เกี่ยวกับข้อมูลเร่ืองน้ัน ๆ มาพิจารณาว่าข้อมูลที่จะนามาใช้นั้นน่าจะ
เป็นไปได้หรือไม่ เช่นจานวนประชากร ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2546 ท่ีนาเสนออยู่ในรายงาน
ฉบบั หนงึ่ เปน็ 36 ล้านคน จานวนดังกลา่ วน่าจะ เป็นไปไมไ่ ด้ ที่ถูกต้องควรจะเป็น 65 ล้านคน ความ
ผิดพลาดดังกล่าว อาจเนื่องมาจากการคัดลอกของผู้ นาเสนอหรือการพิมพ์ก็ได้ กล่าวคือคัดลอกหรือ
พิมพเ์ ลขโดดกลบั กนั
3. พิจารณาจากลักษณะของข้อมูลท่ีต้องการเก็บรวบรวมว่าเป็นข้อมูลท่ีเป็น
ข้อความจริง ข้อมูลท่ีได้จากทะเบียน ข้อมูลท่ีเป็นความคิดเห็นหรือเจตคติ ข้อมูลประเภทความลับ
หรือข้อมูลซ่ึงผู้ตอบ อาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ถ้าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความจริง ข้อมูลท่ีได้
จากทะเบียนหรือข้อมูลที่ เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติส่วนใหญ่มักจะมีความถูกต้องเช่ือถือได้สูง แต่
ถา้ เป็นขอ้ มูลประเภทความลบั หรอื ข้อมลู ซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ส่วนใหญ่มักจะ
มคี วามถูกต้องเชอื่ ถอื ไดน้ ้อย
4. ถ้าข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาจากการสารวจจากกลุ่มตัวอย่าง หรือต้องผ่าน
ข้ันตอนการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติมาก่อน ควรจะต้องตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่าง ขนาดกลมุ่ อย่าง และวธิ ีการวิเคราะห์วา่ เหมาะสมที่ใชห้ รือไม่
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)
เคร่อื งมอื การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
เครื่องมอื การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
เคร่ืองมือการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นสิ่งพิมพ์ วัสดุอุปกรณ์ วิธีการ ท่ีผู้วิจัยได้นามาใช้
สาหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง หรือประชากรท่ีศึกษา เพ่ือนาข้อมูล มาวิเคราะห์ใช้
ตอบปัญหาการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งเคร่ืองมือวิธีการท่ีใช้ในการวิจัยมีหลากหลาย ซึ่งผู้วิจัย
จะตอ้ งมีความเข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวตั ถุประสงค์ กลุม่ ตัวอย่าง และ การวเิ คราะหข์ ้อมลู
ความหมายของเครือ่ งมอื การเกบ็ ขอ้ มูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง กระบวนการทางสถิติ ที่มีความสาคัญ เพื่อให้ได้มาซ่ึง
ข้อมูลท่ีตอบสนองวัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับกรอบแนวความคิด สมมุติฐาน เทคนิคการวัด และ
การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งหมายรวมทั้งการเก็บข้อมูล คือ การเก็บข้อมูลขึ้นมาใหม่ และการรวบรวม
ข้อมูล ซึ่งหมายถึง การนาเอาข้อมูลต่างๆ ท่ีผู้อ่ืนได้เก็บไว้แล้ว หรือรายงานไว้ในเอกสารต่าง ๆ มาทา
การวเิ คราะหต์ อ่
ความสาคญั ของเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมลู
เครอ่ื งมือการเก็บรวบรวมขอ้ มูลมคี วามสาคญั ดงั น้ี
1. กาหนดตวั แปรท่ตี อ้ งการศึกษา
2. กาหนดขอ้ มูลหรอื
3. กาหนดแหล่งขอ้ มูล
4. เลอื กวิธรี วบรวมข้อมลู ต้องวางแผนในวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบ
5. นาเครอื่ งมือรวบรวมข้อมลู ไปทดลองใช้ในการใชเ้ คร่อื งมือรวบรวมข้อมลู
6. ออกรวบรวมข้อมูล ตอ้ งมีการวางแผนเป็นอย่างดวี ่าจะเกบ็ ขอ้ มูล
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)
86
ความหมายของแบบสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ คือ การส่ือสารระหว่างบุคคลซ่ึงแตกต่างจากการสนทนาโดยทั่วไปเพราะ
การสัมภาษณ์จะต้องมีจุดมุ่งหมาย ต้องเตรียมคาถามและติดต่อกับผู้ให้สัมภาษณ์โดยมีกาหนดเวลาท่ี
แน่นอนการสัมภาษณ์มีจุดมุ่งหมายทานองเดียวกับการใช้แบบสอบถาม มีผู้เรียกการสัมภาษณ์ว่าเป็น
แบบสอบถามปากเปล่า แต่มีความแตกต่างกันตรงวิธีการกล่าวคือ การสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์เป็นฝ่าย
จัดการโดยการพูดผู้ตอบ ตอบโดยการพูดแล้วผู้สัมภาษณ์เป็นฝ่ายบันทึกค้าครบ ส่วนการใช้
แบบสอบถาม ผ้ตู อบตอบโดยการเขยี นตอบลงในแบบสอบถาม
รูปแบบของแบบสมั ภาษณ์
รปู แบบของสมั ภาษณ์มี 2 รปู แบบดังนี้
๑. การสัมภาษณ์งานแบบไม่มีโครงสร้างนี้เป็นที่นิยมใช้กันมากในแวดวงของการคัดเลือก
และการประเมนิ บุคคลเขา้ ส่ตู าแหน่งขององคก์ าร
๒. การสัมภาษณ์งานแบบมีโครงสร้าง พิจารณาได้หลายนัยแต่ล้วนมุ่งเพ่ือเพิ่มพูนความ
น่าเชอ่ื ถอื ได้ และความเทย่ี งตรง ตามมาตรฐานเปน็ แนวทางเดยี วกันของการสัมภาษณง์ าน
องค์ประกอบของการสมั ภาษณ์
การสมั ภาษณใ์ นครงั้ หนึง่ ๆ ต้องประกอบไปดว้ ย องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
๑. ผู้สัมภาษณ์อาจเป็นผู้ศึกษาหรือบุคคล ที่ผู้ศึกษาเลือกให้เป็นผู้สัมภาษณ์ ซ่ึงต้องได้รับ
การฝึกฝนวิธีการ สัมภาษณ์และต้องทาความเข้าใจ วัตถุประสงค์ของเรื่อง เพ่ือให้ สามารถซักถามให้
ได้ค่าตอบตาม วัตถุประสงคน์ ั้น
๒. ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลท่ีสาคัญในการให้ ข้อมูลที่แท้จริง ปัจจัยทางด้าน สิ่งแวดล้อม
วัฒนธรรม ประเพณี อาจมีผลต่อการตอบคาถามของ ผู้ให้สัมภาษณ์ ซึ่งทาให้ไม่กล้า ตอบข้อมูลที่
แทจ้ รงิ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
87
๓. เรื่องที่จะสัมภาษณ์เป็นหัวข้อคาถามที่ผู้สัมภาษณ์ กาหนดขึ้นเพ่ือใช้ในการซักถาม หา
ขอ้ เทจ็ จรงิ จากผใู้ ห้สมั ภาษณ์
๔. เป้าหมายการสัมภาษณ์เป็นจุดมุ่งหมายท่ีผู้สัมภาษณ์ กาหนดไว้ว่าจะสัมภาษณ์เพื่อให้
ได้ ข้อมลู เรอ่ื งใด เพ่อื นามาตอบปัญหา หรอื พสิ ูจน์สมมตฐิ านที่ต้ังไวไ้ ด้
๕. วิธีการสัมภาษณ์เป็นรูปแบบหรือลักษณะการ สัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์จะเลือก ใช้ให้
เหมาะสมกับสถานท่ี เวลา และโอกาส รวมถึงสถานะของผู้ให้สัมภาษณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มี
ประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมาย
ความหมายแบบสังเกต
การสังเกต หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบสังเกตหรือหลายอย่าง
รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ โดยมี
จดุ ประสงคท์ ่ีจะหาข้อมูลซ่งึ เปน็ รายละเอยี ดของสิ่งน้ัน ๆ
รปู แบบของแบบสังเกต
รูปแบบของแบบสงั เกต สามารถแบ่งออกเปน็ 2 รูปแบบ
1. การสังเกตโดยมีส่วนร่วม เป็นการส่ง การสังเกตจะเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ถูกสังเกต และ
การทากิจกรรมกับผู้ถูกสังเกตการเข้าไปร่วมสามารถการเข้าไปร่วมได้ 2 ลักษณะ คือ การมีส่วนร่วม
โดยสมบูรณ์ และการมสี ่วนรว่ มไม่สมบรู ณ์
2. การสังเกตโดยการมีส่วนร่วม ผู้สังเกตจะต้องเฝ้ามองพฤติกรรมผู้ถูกสังเกตอยู่ห่างๆ
และโดยไมเ่ ข้าไปร่วมกิจกรรมของกลุ่มเลยการสังเกตแบบนีผ้ ูถ้ ูกสงั เกตอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ทั้งนี้
แล้วแตก่ ารสังเกต ถ้าผู้ถูกสังเกตรู้ตวั กจ็ ะทาให้ขอ้ มูลทไ่ี ด้บดิ เบือนไป
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
88
องค์ประกอบของการสังเกต
การสังเกตจะได้ผลดีหรือประสบความสาเร็จหรือไม่นั้น ต้องเกิดจากองค์ประกอบ 3 ส่วน
ดงั นี้
๑. ประสาทสมั ผัส ผสู้ งั เกตควรมีประสาทสัมผัส ท่ีมีประสิทธิภาพ มีความเฉียบคม ซ่ึงการ
สังเกตควรสังเกตขณะที่ ประสาทสัมผัสของผู้สังเกตดีพอ โดยหม่ันฝึกฝนการใช้ประสาท สัมผัสต่างๆ
อยา่ งสม่าเสมอ
๒. ความต้ังใจ ผู้สังเกตควรมีความตั้งใจจริง และสนใจเฉพาะเร่ืองท่ีกาลังสังเกต รวมทั้ง
ตอ้ งตดั อคติหรือความ ลาเอียงตา่ งๆ ออกไปดว้ ย
๓. การรับรู้ ผู้สังเกตต้องมีความรู้และ ประสบการณ์ที่เก่ียวกับเร่ืองท่ีจะ สังเกต จึงจะ
สามารถทาความ เข้าใจเรอ่ื งน้นั ๆ ไดอ้ ยา่ งถอ่ งแท้
หลกั การสงั เกต
การสังเกตเป็นวิธีการท่ีจะช่วยให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับตัวบุคคลท่ีเช่ือถือได้ การสังเกตต้องมี
กระบวนการในการดาเนนิ การ โดยยึดหลกั ดังน้ี
1. มีจดุ มุ่งหมายตอ้ งทราบวา่ จะสงั เกต เรอ่ื งใด แลว้ ทาการ สังเกตใหล้ ะเอยี ดทกุ แงม่ มุ
2. รับรูร้ วดเรว็ ตอ้ งสามารถสังเกต อาการต่างๆ ไดอ้ ย่าง รวดเรว็ ทนั ที
๓. สงั เกตซา้ ต้องสังเกต หลายครงั้ หรอื สังเกตหลายคนเพอื่ ให้ไดข้ ้อมลู ท่ีนา่ เช่อื ถือ
๔. การบนั ทึกผลควรบนั ทกึ ขอ้ ความเปน็ ลายลกั ษณ์ เพือ่ ป้องกัน ความคลาดเคลื่อน
การสังเกตทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ
การสังเกตที่ดจี ะทาใหไ้ ดข้ ้อมูลท่เี ที่ยงตรง สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ ซ่ึงข้อมูลจะมี
ความเทย่ี งตรงเท่าไร ก็ย่อมขน้ึ อยกู่ บั ผทู้ าการสังเกตและ วิธีการสังเกต ดังนี้
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)
89
1. ผู้สังเกตผู้สังเกตต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและมีความพร้อม ท่ีจะสังเกต คือ
เป็นผ้มู ีความว่องไว มไี หวพริบ ไมม่ ีความลาเอียง หรืออคติ ทั้งตอ่ ผูถ้ ูกสังเกตและ เรือ่ งทจี่ ะสงั เกต
๒. วิธีการสังเกตวิธีการสังเกตต้องสอดคล้องกับข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลบางชนิด ต้องใช้
การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แต่บางชนิดอาจสังเกตโดยไม่ให้ ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ี ถูกต้อง
ตรงกับความเป็นจรงิ มากท่ีสุด
ข้อจากัดของการสังเกต
การสืบค้น รวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต ในบางกรณีอาจ ทาไม่ได้ทุกแง่มุม ทาให้ข้อมูลท่ี
ไดผ้ ิดพลาดหรือคลาดเคล่ือน ซึง่ มาจากข้อจากดั ตา่ งๆ ดงั น้ี
๑. ความสามารถผลของการสังเกตน้นั จะ ข้นึ อยู่กับความสามารถและ ประสบการณ์ของผู้
สังเกต ถ้าผู้สังเกตไม่มีความรู้ใน เรื่องท่ีจะสังเกตหรือไม่มี ความเข้าใจในวิธีการสังเกต จะทาให้ได้
ขอ้ มลู ผดิ พลาด
2. เวลาพฤตกิ รรมบางอย่างอาจไม่ เกิดข้ึนในระยะเวลาอันส้ัน ดังน้ัน จึงต้องรอเวลา เพ่ือ
ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทีค่ รบถว้ น
3. ลักษณะปรากฏการณ์เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ บางอย่าง ไม่สามารถมอง เห็นด้วย
ตาเปล่า ซึง่ อาจต้อง ใช้เคร่อื งมือหรือปัจจัยต่างๆ ประกอบ ช่วยในการมอง ทาให้ข้อมูลท่ีได้ไม่แม่นยา
ขาดความเทีย่ งตรง
ความหมายของแบบสอบถาม
แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือชนิดหนึ่งท่ีสร้างขึ้นเพื่อความคิดเห็นต่างๆหรือวัดความจริง ไม่
ทราบ อนั จะทาให้ได้มาซึ่งขอ้ เทจ็ จรงิ ทั้งในอดตี ปัจจุบัน และการจากเหตุการณ์ในอนาคตส่วนใหญ่จะ
อยูใ่ นรูปของคาถามเป็นชดุ ๆ เพยี งวัดสง่ิ ท่ตี ้องการวัด โดยมคี าถามเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้า ให้บุคคลตอบ
ออกมา นบั ว่าเป็นเคร่อื งมือทนี่ ิยมใชว้ ดั ทางด้านจิตพสิ ยั
เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
90
รปู แบบของแบบสอบถาม
รูปแบบของแบบสอบถาม สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 รูปแบบ
๑. แบบสอบถามแบบปลายเปิด แบบสอบถามแบบน้ไี มไ่ ด้กาหนดคา่ ตอบไว้ผู้ตอบสามารถ
เขียนตอบหรอื แสดงความคดิ เห็นได้อยา่ งอิสระด้วยคาพดู ของตนเองคล้ายกบั ข้อสอบแบบอตั นัย
2. แบบสอบถามแบบปลายปดิ แบบสอบถามแบบน้ปี ระกอบด้วยขอ้ คาถามและตัวเลือก (
คาตอบ) ซ่ึงตัวเลือกน้ีสร้างข้ึนโดยคาดว่าผู้ตอบแบบสอบถามสามารถเลือกตอบได้ตามต้องการและมี
อยา่ งเพยี งพอเหมาะสม
หลกั การสร้างแบบสอบถาม
๑. สอดคล้องกับวตั ถุประสงคข์ องรายงาน
๒. ใช้ภาษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกบั ผูต้ อบ
๓. ใช้ข้อความทส่ี ัน้ กะทดั รดั ไดใ้ จความ
๔. ไมค่ วรใชค้ าย่อ
๕. ไมช่ น้ี าการตอบใหเ้ ป็นไปแนวทางใตแนวทางหน่งึ
๖. หลกี เล่ยี งคาถามทท่ี าให้ผู้ตอบเกิดความลาบากใจในการตอบ
๗. คาตอบท่มี ใี หเ้ ลือกตอ้ งชัดเจนและครอบคลุม คาตอบทเ่ี ป็นไปได้
๘. หลีกเลี่ยงคา ที่อความหมายหลายอยา่ ง
สว่ นประกอบของแบบสอบถาม
๑. สว่ นหวั เรอื่ ง เปน็ หัวเร่อื ง หรือชอื่ เร่ืองรายงาน
๒. คาช้ีแจง เป็นระบถุ ึงวตั ถปุ ระสงค์ ให้ตอบแบบสอบถาม วธิ กี ารตอบแบบสอบถาม
๓. โครงสรา้ งของแบบสอบถาม ส่วนคาถามท่ผี ้ทู ารายงานต้ังข้ึน อาจประกอบด้วย 3 ตอน
ได้แก่
ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 คาถาม
ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)
91
ขัน้ ตอนการสร้างแบบสอบถาม
1. กาหนดวตั ถุประสงค์
2. ระบเุ น้ือหาหรือประเด็นหลกั ทจี่ ะตาม
3. กาหนดประเภทของคาถาม
4. รา่ งแบบสอบถาม
5. ตรวจสอบข้อคาถาม
6. ใหค้ รูผู้สอนตรวจสอบเนอ้ื หา และภาษาทใี่ ช้
7. ปรับปรงุ แก้ไข
๘. ดาเนินการแจกแบบสอบถาม
ความหมายของแบบสารวจ
แบบสารวจหมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ืองใด
เรอ่ื งหนึ่งของกล่มุ บุคคลที่เกี่ยวข้องกบั เร่ืองน้ี
รูปแบบของแบบสารวจ
แบบสารวจสามารถแบง่ 5 รูปแบบ
๑. การสารวจโรงเรียน เป็นการสารวจสภาพทั่ว ๆไปของโรงเรยี น เชน่ การเรียน การสอน
การวดั ผล การเงิน บุคลากร อาคารสถานท่ี ๆ ว่ามคี วามเหมาะสมเพยี งใด
๒. การวิเคราะห์งาน เปน็ การสารวจสภาพการทางาน ความรับผิดขอบ แถมประสิทธิภาพ
ของบุคลากรในการทางาน คณุ ภาพของงาน ฯลฯ
๓. การวเิ คราะห์เอกสาร เป็นการสารวจสภาพความเป็นจริงของเหตุการณ์ท้ังในอดีตและ
ปัจจบุ ัน โดยอาศัยเอกสารหรือส่ิงพมิ พต์ า่ ง ๆ เป็นหลกั ฐาน
4 การสารวจประชามติ เปน็ การสารวจความคิดเห็นและความนิยมของประชากรส่วนใหญ่
เครอ่ื งมอื ท่ีใช้กนยิ มใชแ้ บบสอบถาม
๕. การสารวจชุมชน เปน็ การสารวจลักษณะของประชากร ชวี ิตความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ
เจตคตขิ องประชากร และสง่ิ แวดล้อม เชน่ เช้ือชาติ ศาสนา อาชีพ
เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)