The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาการจัดการเรียนการสอน รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thanannaphat Chanakulrattana, 2022-05-15 09:28:56

รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

เนื้อหาการจัดการเรียนการสอน รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(IS1) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5

สถติ พิ ้ืนฐาน

สถติ ิพ้นื ฐาน
สถิติพื้นฐาน เป็นการค่าตัวเลขท่ีเกิดจากการคานวณมาจากกลุ่มตัวอย่างหรือตัวเลขแทน
ปริมาณจานวนข้อมูล หรือข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ และยังหมายรวมถึงระเบียบวิธีการสถิติอัน
ประกอบไปด้วยขนั้ ตอน 4 ขั้นตอนที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูล การนาเสนอข้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมูลและการตีความหมายของขอ้ มลู
ความหมายของสถติ ิ
สถิติ หมายถึง ตัวเลขแสดงข้อเท็จจริงเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง เช่น สถิติแสดงปริมาณ
น้าฝนสถิติอุบัติเหตุ สถิตินักเรียน จานวนผู้ป่วยเป็นเอดส์ของจังหวัดสุโขทัย สถิติ เป็นศาสตร์ หรือ
หลักการและระเบียบวิธีทางสถิติ ว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การบ้าน ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล
และการตคี วามหมายข้อมูล
สถิติเบ้ืองต้น ข้อมูลสถิติหรือข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง ของเรื่องใดเร่ืองหนึ่งที่เราสนใจ
จะศกึ ษา ซ่ึงอาจจะเปน็ ตัวเลขหรอื ข้อความกไ็ ด้
ความสาคัญของของสถิติ
สถิติเบ้ืองต้นสาคัญต่อการทางานต่อการเรียนการทาโครงงานการใช้สติ ช่วยในการ
ประหยดั เวลามากยิ่งขนึ้ ใช้ในการสารวจไม่ว่าจะเป็นงาน ข้อมูลข่าวสารการสารวจโพล การเก็บข้อมูล
นกั เรยี น การเก็บขอ้ มูลของโรงเรยี น การเกบ็ ข้อมูลของพนักงานในบริษัทและการเก็บข้อมูลต่างๆสถิติ
เบ้ืองตน้ เป็นการคิดอกี แบบหนึ่งทีจ่ ะสรา้ งความรวดเร็วให้กับคนทางานการทาข้อมูลต่างๆขององค์กร
และอกี อยา่ งปจั จบุ ันไดม้ ีการหาข้อมูลที่เก่ียวกับตัวเลขเกี่ยวกับประชากรมากยิ่งขึ้นสถิติจาเป็นต่อการ
ใชง้ านเพือ่ ความสะดวกสบาย

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

93

ประเภทของสถติ ิ
สถิตสิ ามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื สถติ พิ รรณนา และสถิตอิ นุมาน
1. สถิติพรรณนา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สถิติบรรยาย” เป็นสถิติที่มุ่งศึกษาเพ่ือ

อธิบายเร่ืองราวต่างๆ ของกลุ่มประชากร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะอาจเป็นกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กก็
ได้ โดย ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกทุกหน่วยในกลุ่มประชากรน้ัน ผลการศึกษาใช้อธิบาย
หรือสรุปเก่ียวกับเรื่องราวของกลุ่มที่ศึกษาเท่าน้ัน ไม่สามารถนาผลการศึกษาไปสรุปอ้างอิงถึงกลุ่ม
อื่นๆ ท่ีไม่ได้ศึกษา

ตัวอย่าง เชน่ ฝา่ ยแนะแนวของโรงเรยี นสนมวทิ ยาคาร การวัดสติปัญญา (IQ) ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ทุกคนของโรงเรียนนี้ ได้ค่าเฉล่ียเท่ากับ 115 เป็นค่าเฉล่ียของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ของโรงเรียนน้ีเท่านั้น จะ สรุปว่านักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ของโรงเรียนอ่ืน
หรอื ของจงั หวดั มีระดับสตปิ ัญญาเฉลย่ี เทา่ กบั 115 ด้วยไมไ่ ด้

สถิตพิ รรณนา มหี ลายชนิด ได้แก่
1.1 สถติ พิ น้ื ฐาน เชน่ ความถี่ สดั ส่วน ร้อยละ
1.2 การวัดตาแหนง่ เชน่ อนั ดับท่ี ควอไทล์ เดไซส์ เปอรเ์ ซน็ ไทล์
1.3 การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เช่น ฐานนิยม มัธยฐาน ค่าเฉล่ียเลขคณิต

ค่าเฉล่ียเรขาคณติ คา่ เฉล่ยี ฮาร์โมนคิ
1.4 การวัดการกระจาย เชน่ พสิ ัย นิสัยควอไทล์ ส่วนเบ่ียงเบนเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบน

มาตรฐาน ความแปรปรวนสมั ประสิทธิก์ ระจาย
1.5 การวัดความสมั พันธ์ เชน่ สมั ประสทิ ธิ์ถดถอย

ค่าต่างๆ ที่คานวณได้จากข้อมูล ท่ีเก็บรวบรวมจากสมาชิกทุกๆ หน่วยของกลุ่มประชากร
เรียกวา่ คาแท้ หรอื ค่า พารามเิ ตอร์ มคี ุณสมบตั เิ ป็นค่าคงที่

2. สถิติอ้างอิง หรือที่เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า สถิติอนุมาน เป็นสถิติท่ีมุ่งศึกษาเพื่อหา
ขอ้ สรุปเรอ่ื งราวของประชากร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มย่อยท่ีเรียกว่า กลุ่มตัวอย่าง แล้วนาผล
การศกึ ษาไป สรปุ อ้างอิงถงึ กลุ่มใหญท่ ่เี รียกว่า กลุ่มประชากร ซงึ่ เปน็ กลุ่มเป้าหมายทต่ี อ้ งการศกึ ษา

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

94

ค่าต่างๆ ที่คานวณได้จากข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมจากกลุ่มตัวอย่าง เรียกว่า ค่าสถิติ มี
คุณสมบัติเป็นตัวแปร

สถติ ิอา้ งองิ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ การประมาณคา่ และการทดสอบสมมติฐาน
2.1 การประมาณคา่ เปน็ การประมาณค่าแท้ของประชากร เรียกว่าค่าพารามิเตอร์

โดยใช้ค่าสถิติ ท่ไี ด้จากกลุ่มตัวอย่าง
2.2 การทดสอบสมมติฐาน เป็นการทดสอบสมมติฐานทางสถิติ เพื่อสรุปอ้างอิง

คา่ สถิติตา่ งๆ ไปยังกล่มุ ประชากร กล่าวได้อกี อยา่ งหน่งึ วา่ เปน็ การทดสอบความมนี ยั สาคญั ทางสถิติ
ความหมายของคาทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับสถิติ

ประชากร หมายถึง กลุ่มของสมาชิกทุกหน่วยท่ีเราต้องการศึกษาลักษณะ บางอย่าง
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการศึกษาอายุการใช้งานของหลอดไฟในโรงงานแห่งหน่ึง ประชากร คือ จานวน
หลอดไฟ ท้งั หมดในโรงงานนน้ี ้นั เอง

พารามิเตอร์ หมายถึง ตัวเลขซ่ึงแสดงคุณสมบัติบางประการของประชากร ตัวอย่างเช่น
ค่าเฉล่ียของประชากร (m) ความแปรปรวนของประชากร (s2) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ
ประชากร (s) เป็นตน้

ตัวอย่าง หมายถึง กลุ่มย่อยของสมาชิกในกลุ่มประชากรท่ีเลือกมาเพื่อศึกษาลักษณะท่ี
สนใจ เช่น ศึกษาอายุการใช้งานหลอดไฟ อาจจะสุ่มตัวอย่างหลอดไฟฟ้ามา 20 หลอด จากท้ังหมด
1000 หลอดในโรงงานนัน้ เปน็ ต้น

ค่าสถิติ หมายถึง การวัดผลท่ีได้จากตัวอย่าง ซึ่งพรรณนาลักษณะของตัวอย่าง เช่น
ค่าเฉลยี่ ของตัวอย่าง (x̄) ค่าความแปรปรวนของตัวอย่าง (S2) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง
(S) เปน็ ตน้

ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นตัวเลขหรือข้อความที่รวบรวมมาได้จากเร่ืองท่ีเรากาลัง
ศกึ ษา

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

95
ตัวแปร หมายถึง ลักษณะของประชากรที่เราสนใจวิเคราะห์ โดยลักษณะนั้นๆ

สามารถเปลยี่ นค่าได้เช่น เพศ คะแนนสอบ
ประโยชน์ของสถิติ

1. เป็นส่ิงช้ีให้เหน็ ถงึ ขอ้ เทจ็ จริงของเหตุการณ์ และเร่ืองราวทสี่ นใจอยู่
2. เปน็ เคร่อื งมือในการวางแผนงานของโครงการและกิจการตา่ งๆ
3. เป็นระเบียบวิธีสาหรบั การวิเคราะหใ์ นงานวจิ ยั โดยทวั่ ๆ ไป
4. เป็นเคร่ืองมอื ในการประเมินผลงานทไี่ ด้ทาไปแล้ว

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

การวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวเิ คราะหข์ ้อมูล
ข้อมูลเป็นสง่ิ ทีพ่ บเจอในชีวติ ประจาวัน เป็นได้ทั้งส่ิงที่ศึกษาค้นคว้ามาและส่ิงท่ีได้ยิน ได้ฟัง
มา การนาข้อมูลมาคิดและทาความเข้าใจ เป็นจุดเร่ิมต้นของการวิเคราะห์ข้อมูล อันจะนาไปสู่การ
เขา้ ใจข้อมูลน้ันอย่างลึกซ้ึง
ความหมายของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การวิเคราะหข์ ้อมลู คอื การนาสิง่ ทไ่ี ด้ยิน ไดฟ้ ัง ได้รบั รู้ ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ และรวบรวม มาทา
การแยกแยะออกเป็นส่วนย่อย เพ่ือทาความเข้าใจแต่ละส่วนให้แจ่มแจ้ง ซึ่งแต่ละส่วนย่อย จะมี
ความสัมพันธ์กัน รวมถึงการสืบค้นเพ่ือหาความสัมพันธ์ของส่วนย่อยต่าง ๆ ที่จะทาให้สามารถเข้าใจ
ขอ้ มูลได้อย่างถอ่ งแท้
การวิเคราะห์ข้อมูลนับเป็นทักษะพื้นฐานของมนุษย์ท่ีทุกคนสามารถฝึกฝนให้เกิด ความ
ชานาญได้ การใช้ทักษะการวิเคราะห์ เช่น เม่ืออ่านหนังสือเสร็จ สามารถวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล
แล้วสรุปในรูปแบบความเรยี งหรอื แผนภาพ
ความสาคัญของการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การวิเคราะหข์ ้อมลู มคี วามสาคญั ดังนี้
๑. ทาให้เข้าใจขอ้ มูลอย่างลึกซงึ้
๒. ทาให้มคี วามรเู้ พิ่มเตมิ จากการค้นควา้
๓. ทาให้มีวิจารณญาณในการใช้ชวี ติ
๔. ทาให้เกิดกระบวนการคดิ ท่ีมีประสิทธิภาพ

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

97

ขั้นตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
๑. จดั หรอื แยกประเภทขอ้ มลู
๒. ทาการวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยเลอื กใชเ้ ทคนคิ ต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของข้อมลู
๓. นาเสนอข้อมูลในรูปแบบตาราง
๔. สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น คาร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เป็น

ตน้

หลกั การวเิ คราะหข์ ้อมูล
๑. กระทาพร้อมๆ กับการเก็บรวบรวมข้อมูล กระทาพร้อม ๆ กันไปตลอดระยะเวลาของ

การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
2. อาศัยข้อมูลท่ีเป็นบริบทของปรากฏการณ์น้ัน ๆ เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล

เพ่อื ความเข้าใจถึงความหมายและความสมั พันธ์
3. คานึงถงึ
๓.1 ทัศนะคนใน หมายถึง ผูท้ ใี่ ห้ข้อมูลทอ่ี ยูใ่ นสถานการณน์ ั้นจริง ๆ
๓.2 ทัศนะคนนอก หมายถึง มุมมองของผจู้ ัดทา

องค์ประกอบของการคดิ วเิ คราะห์
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน (2548 : 52) กล่าววา่ องคป์ ระกอบของ

การคิดวิเคราะหป์ ระกอบด้วย
1. การตคี วาม ความเข้าใจ และให้เหตผุ ลแก่สง่ิ ท่ตี อ้ งการวเิ คราะหเ์ พื่อแปลความของสง่ิ

นนั้ ขน้ึ กบั ความรู้ประสบการณ์และค่านยิ ม
2. การมคี วามร้คู วามเข้าใจในเร่อื งทีจ่ ะวเิ คราะห์
3. การชา่ งสังเกต สงสยั ชา่ งถาม ขอบเขตของคาถาม ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การคดิ เชงิ วเิ คราะห์

จะยึดหลัก 5 W 1 H คือ ใคร (Who) อะไร (What) ทไ่ี หน(Where) เมอ่ื ไร (When)ทาไม (Why)
อย่างไร (How)

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

98

4. การหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (คาถาม) ค้นหาคาตอบได้ว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เรื่อง
น้ันเช่ือมกับสิ่งนี้ได้อย่างไร เรื่องน้ีใครเกี่ยวข้อง เมื่อเกิดเรื่องน้ีส่งผลกระทบอย่างไรมีองค์ประกอบ
ใดบ้างที่นาไปสู่สิ่งนั้น มีวิธีการ ข้ันตอนการทาให้เกิดส่ิงน้ีอย่างไร มีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง
ถา้ ทาเชน่ นจ้ี ะเกิดอะไรข้นึ ในอนาคต ลาดบั เหตุการณ์น้ีดูว่าเกิดข้นึ ได้อยา่ งไรเขาทาส่ิงน้ีได้อย่างไร สิ่งนี้
เก่ียวข้องกบั สิ่งท่เี กิดขึน้ ได้อย่างไร

รปู แบบการวิเคราะห์ขอ้ มลู
การวิเคราะหข์ ้อมลู มีหลายรูปแบบ โดยมีรปู แบบพนื้ ฐานสาคัญ ดังน้ี
1. การวิเคราะห์เชิงพรรณนา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีอาศัยกระบวนการทาง

วิทยาศาสตร์ ในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยหลังจากรวบรวมข้อมูลท่ีต้องการศึกษาแล้ว
จะต้อง ต้ังคาถามหรือตั้งปัญหาท่ีต้องการคาตอบ แล้วแยกแยะข้อมูลเหล่านั้นเป็นกลุ่มๆ หรือเป็น
ระบบระเบียบ จากน้ันตั้งสมมติฐานเพื่อคาดเดาคาตอบ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือหาคาตอบให้กับ
คาถามหรือปัญหาที่ได้กาหนดไว้ สรุปคาตอบจากข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ด้วยการบรรยายและให้ เหตุผล
ประกอบ จะทาใหไ้ ด้คาตอบที่มขี อ้ มูลหลักฐานอ้างอิง ซ่ึงมาจากข้อมูลท่ีรวบรวมท้ังหมด เช่น การอ่าน
บทความ การอ่านเร่ืองสั้น แล้ววิเคราะห์ข้อคิดท่ีได้จากเร่ืองท่ีอ่าน การสัมภาษณ์ ประวัติบุคคลท่ีมี
ชื่อเสยี ง การศึกษาประวัติบุคคลสาคัญ แล้วต้ังคาถามว่า เขาเป็นใคร มีชื่อเสียง ได้อย่างไร เป็นบุคคล
สาคัญเพราะอะไร

ตวั อย่าง การนาเสนอการวิเคราะหเ์ ชิงพรรณนา เรอื่ ง ภาวะโลกรอ้ น
ภาวะโลกร้อน หมายถึง การท่ีอุณหภูมิเฉล่ียของอากาศ สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอากาศบริเวณ
ใกล้ผิวโลกและน้าในมหาสมุทร ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉล่ียของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.1 ถึง
6.4 องศาเซลเซียส ภาวะโลกร้อนเกิดจากแก๊สเรือนกระจก เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน
แก๊สไนตรัสออกไซด์ และแก๊ส คลอโรฟลูออโรคาร์บอน เป็นต้น ซ่ึงเพ่ิมขึ้นจากการทากิจกรรมต่างๆ
ของมนุษย์ ทากจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ท้ังการเผาผลาญถ่านหินและเช้ือเพลิง รวมไปถึงสารเคมีท่ีมี
สว่ นผสมของแกส๊ เรือนกระจกที่ มนุษย์ใช้ จึงทาให้แก๊สเรือนกระจกเหล่าน้ีลอยขึ้นไปรวมตัวกันบนชั้น

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

99

บรรยากาศโลก ทาให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปในปริมาณท่ีเหมาะสม กลับถูก
แก๊สเรือนกระจกเหล่านี้ถูกเก็บไว้ ทาให้อุณหภูมิของโลกสูงข้ึนจากเดิม ผลกระทบของภาวะโลกร้อน
นนั้ มใี หเ้ ราเหน็ อยู่บอ่ ย ๆ สภาพลมฟ้าอากาศที่ผิดแปลกไปจากเดิม ภัยธรรมชาติท่ีรุนแรงมากข้ึน น้า
ท่วม แผ่นดินไหว พายุ อากาศร้อนผิดปกติจนมีคนเสียชีวิต รวมไปถึงโรคระบาดชนิดใหม่ และพาหะ
นาโรคทเี่ พมิ่ จานวนมากขึน้

ตัวอยา่ ง การเขยี นบรรยายแยกแยะเป็นรายขอ้
สาเหตุของการเกิดภาวะเรอื นกระจก
1. การเผาผลาญถา่ นหินและเช้ือเพลิงในโรงงานอตุ สาหกรรม
2. การใชส้ ารเคมที ี่มสี ่วนผสมของแก๊สเรอื นกระจก ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์
3. การสะสมแก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลกมากเกินสมดุล ทาให้รังสีของดวง

อาทติ ย์ถูกกกั เกบ็ ไว้ จึงทาใหโ้ ลกมอี ณุ หภูมิสูงขึ้น
ผลกระทบของภาวะโลกร้อน
1. น้าทว่ ม
2. แผน่ ดินไหว
3. พายุทรี่ นุ แรง
4. อากาศรอ้ นผดิ ปกติ
5. โรคระบาดชนิดใหม่
6. พาหะนาโรคทม่ี ากขน้ึ
ข้อค้นพบ ภาวะโลกร้อนเกิดจากพฤติกรรม การดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ท่ีเก่ียวข้องกับการใช้

เชือ้ เพลงิ
2. การวิเคราะห์เชิงปริมาณ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีอาศัยค่าทางสถิติมาจัดการข้อมูล

ประเภทตัวเลข เพ่อื นาเสนอข้อสรุปให้เข้าใจง่าย โดยค่าทางสถิติเบื้องต้นท่ีนิยมนามาวิเคราะห์ ข้อมูล
มีดังน้ี

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

100

2.1. ค่าร้อยละ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ีแสดงการเปรียบเทียบข้อมูล
แต่ละ ส่วนตอ่ หนึ่งร้อย โดยถูกแจงนับเป็นความถี่ ซ่ึงบางคร้ังสรุปเปรียบเทียบข้อมูลต้ังแต่ 2 กลุ่มข้ึน
ไป หากจานวนข้อมูลของทั้ง 2 กลุ่มไม่เท่ากันจะเปรียบเทียบได้ยาก จึงต้องปรับให้เป็นร้อยละ หรือ
เปอรเ์ ซ็นต์ (%)

สตู รการหาค่าร้อยละ = จานวนข้อมูลท่ศี กึ ษา x 100
จานวนข้อมลู ทงั้ หมด

2.2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยวัดออกมาเป็นค่าของ
ตัวเลข โดยตรง ซ่งึ เป็นการหาตวั แทนของข้อมูลกลุ่ม โดยค่าเฉล่ียเลขคณิตหาได้จากผลรวมของข้อมูล
ทัง้ หมดหารดว้ ยจานวนข้อมลู ทงั้ หมด

สตู รการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต = ผลรวมของข้อมลู ท้งั หมด
จานวนของขอ้ มลู ท้ังหมด

การสรุปผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
เม่ือได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและเชิงปริมาณแล้วจะสรุปผล

การวิเคราะห์ ซ่งึ การสรุปผลการวิเคราะหม์ ี 2 ลักษณะ ดงั นี้
1. สรุปในรูปแบบการบรรยาย เป็นการสรุปโดยการบรรยายเป็นความเรียงหรือเป็น

เรือ่ งราวด้วยตัวอกั ษร เพ่อื นาไปพูดอธบิ ายผลการวิเคราะห์น้ันๆ โดยมหี ลักการ ดังน้ี
1.1. อา่ นผลการวเิ คราะห์ให้เข้าใจ แลว้ บอกประเดน็ สาคัญจากผลการวเิ คราะห์น้ัน
1.2 นาประเด็นสาคัญที่เข้าใจ มาเรียบเรียงใหม่ในลักษณะของการบรรยายให้

เขา้ ใจงา่ ยมีใจความสาคัญครบถ้วน
1.3 เขยี นสรุปจากประเด็นสาคัญอกี ครงั้ โดยมคี วามยาว 3-5 บรรทัด

2. สรุปในรูปแบบตาราง แผนภูมิ สถิติ เป็นการสรุปโดยการนาผลการวิเคราะห์ที่ได้มา
เขียนเปน็ ตาราง แผนภมู ิ สถติ ิ เพื่อนาเสนอใหเ้ ขา้ ใจได้ด้วยภาพ โดยมหี ลักการ ดังน้ี

2.1 อา่ นผลการวิเคราะห์ใหเ้ ข้าใจ แล้วบอกประเด็นสาคัญจากผลการวเิ คราะหน์ นั้

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

101

2.2 นาประเด็นสาคัญที่เข้าใจมาออกแบบ ในลักษณะของตาราง แผนภูมิ สถิติให้
เข้าใจง่าย มีข้อมูลที่สาคัญครบถ้วนจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปได้หลายลักษณะ ท้ังใน
รปู แบบตาราง และในรปู แผนภมู ิ เพื่อให้ผลการสรุปเข้าใจง่ายและน่าสนใจมากย่งิ ข้นึ
การเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

1. การบรรยาย
2. นาเสนอในรปู ความสมั พนั ธก์ ันหรอื ตาราง
๓. นาเสนอใน ลักษณะแผนภูมิ รปู แบบกราฟฟิก เช่น แผนภูมิแทง่ ภาพ ฯลฯ
ขอ้ ควรระวงั ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
การวเิ คราะห์ข้อมลู ต้องพึงระวงั ดงั น้ี
1. การวเิ คราะห์ข้อมลู ตอ้ งวิเคราะห์ตามวตั ถปุ ระสงค์ สมมตุ ฐิ าน
2. การคียข์ ้อมูล ต้องดาเนินการใหถ้ ูกตอ้ ง
3. ควรเลือกใช้สถติ ิให้เหมาะสมกบั งานของเรา ซงึ่ มีสถิตหิ ลายตวั ท่ีวเิ คราะหไ์ ดเ้ หมอื นกัน
แตข่ ้อตกลงก่อนใช้สถติ ไมเ่ หมือนกนั เพราะฉะนนั้ ตอ้ งมกี ารตรวจสอบข้อตกลงใหร้ อบคอบก่อนการ
วิเคราะหข์ อ้ มลู
4. ในข้นั ตอนการวิเคราะห์ข้อมูล ชว่ งการวิเคราะห์ขอ้ มลู ต้องเลือกตวั แปรให้ถกู ต้องในการ
วิเคราะหข์ อ้ มูล

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

การสงั เคราะห์ขอ้ มูล

การสงั เคราะหข์ อ้ มูล
การสังเคราะหข์ อ้ มลู มคี วามสาคญั เป็นอย่างมากในกระบวนการคดิ เพราะจะช่วยจัดระบบ
ข้อมูลที่เก่ียวข้องกันมารวมกัน ทาให้ข้อมูลเป็นระเบียบครบถ้วนและค้นคว้าได้อย่าง สะดวก ซ่ึงจะ
นาไปสกู่ ารสรปุ ข้อค้นพบต่อไป
ความหมายของการสังเคราะห์ข้อมูล
การสังเคราะห์เป็นกระบวนบูรณาการปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่สองปัจจัยข้ึนไปซ่ึงอาจเป็นได้ทั้ง
คน สตั ว์ สงิ่ ของรวมทั้ง เหตุการณ์และส่ิงท่ีอยู่ในรูปของแนวคิดเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมกันเพ่ือให้
เกิดสิ่งใหม่หรือเกิดปรากฏการใหม่ที่อาจเรียก ได้ว่าเป็นการบูรณาภาพ โดยปัจจัยหรือองค์ประกอบ
ต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่กระบวนบูรณาการในการสังเคราะห์น้ันบางปัจจัย อาจจะได้ผ่านการวิเคราะห์
แยกแยะสบื ค้นมากอ่ นแลว้ ขณะทบ่ี างปัจจัยก็อาจจะยังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะสืบค้นมา ก่อน
สภาวะรูปของปัจจยั และองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีนามาเป็นปัจจัยและองค์ประกอบในการสังเคราะห์น้ัน
อาจเป็นไปได้ทั้ง แบบรูปธรรมและนามธรรม ซ่ึงบูรณภาพที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่หรือสิ่งใหม่อัน
เกดิ ขน้ึ จากการสงั เคราะหน์ ัน้ ก็เปน็ ไปได้ท้ัง แบบรปู ธรรมและนามธรรมเชน่ กัน
การสังเคราะห์ข้อมูล หมายถึง ความสามารถในการจัดการกับข้อมูลท่ีศึกษาค้นคว้าและ
รวบรวมขอ้ มลู ท่ีเกีย่ วข้องเพ่อื นาองค์ประกอบมาหลอมรวมกัน แล้วสร้างส่ิงใหม่ อาจเป็นแนวคิด หรือ
สงิ่ ของ เพอ่ื ตอบสนองวัตถุประสงคท์ ่ตี ั้งไว้การสงั เคราะหข์ ้อมูลจะช่วยจดั ระบบข้อมลู ให้เป็นระเบียบ
การคิดสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดที่ดึงองค์ประกอบต่าง ๆ มาหลอม
รวมกัน ภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม เพอื่ ให้เกิดสงิ่ ใหม่ท่มี ีลกั ษณะเฉพาะแตกตา่ งไปจากเดิม

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

103

สรุปได้ว่า การสังเคราะห์ครอบคลุมถึงการค้นคว้า รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่จะ
คิดซ่ึงมีมากหรือกระจายกันอยู่มาหลอมรวมกัน คนท่ีคิดสังเคราะห์ได้เร็วกว่าย่อมได้เปรียบกว่าคนที่
สังเคราะห์ไม่ได้ ซ่ึงจะทาให้เขา้ ใจและเห็นภาพรวมของสงิ่ นั้นไดม้ ากกวา่
ความสาคญั ของการคิดสังเคราะห์

การคิดสังเคราะห์มีความสาคัญอย่างมากในกระบวนการคิด เน่ืองจากช่วยจัดระบบข้อมูล
ใหม้ คี วาม ชัดเจนในประเด็นและเปน็ ระเบยี บมากข้ึน ทาให้มีข้อมูลท่ีจาเป็นครบถ้วน ซ่ึงมีความสาคัญ
ดงั น้ี

๑. ชว่ ยใหห้ าทางออกของปญั หาโดยไม่ตอ้ งเร่ิมจากศูนย์ เราสามารถนาสิ่งท่ีคนอื่นคิดหรือ
ปฏิบัติ มาแล้วมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม นามาผสมผสานกันเป็นทางออก
ในการแก้ปัญหา

๒. ช่วยให้มีความเข้าใจที่คมชัดและครบถ้วนเก่ียวกับเร่ืองต่าง ๆ แต่เดิมเรามักจะหา
ทางออกของ ปัญหาโดยการเลียนแบบหรือลองผิดลองถูก ทางท่ีดีกว่าและปลอดภัยกว่าคือการใช้การ
คดิ สงั เคราะห์เขา้ มาช่วยสรปุ ความรทู้ ่กี ระจดั กระจาย ให้เข้าใจเรอื่ งได้คมชัดและครบถว้ น

๓. ช่วยขยายขอบเขตความสามารถของสมองในการพยายามสืบเสาะแสวงหาข้อมูล
เพ่ิมเติมจาก แหล่งต่าง ๆ ภายนอกนามาสังเคราะห์เข้าด้วยกันเพ่ือได้แนวทางแก้ปัญหาท่ีมีความ
สมบูรณ์ครบถว้ น สามารถนามาใชไ้ ดจ้ ริง และประสบความสาเร็จ

๔. ข้อมูลท่ีสังเคราะห์จะเป็นประโยชน์ในการติดต่อยอดความรู้ ทาให้ไม่เสียเวลาเร่ิมต้น
ใหม่ คดิ คือ ยอดได้ทนั ที นาไปสูก่ ารพัฒนาสง่ิ ใหม่ ๆ ท่ีมปี ระโยชน์

๕. ช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ เพราะมีส่วนสาคัญท่ีทาให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ อย่าง
ต่อเนอ่ื งจากการสร้างสรรคท์ ีไ่ ม่หยุดยั้งของมนุษย์

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

104

ประเภทการคิดสงั เคราะห์
การคิดสงั เคราะห์แบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื
๑. การคิดสังเคราะห์เพ่ือสร้างส่ิงใหม่ เช่น ประดิษฐ์ส่ิงของเคร่ืองใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ตาม

ต้องการ
๒. การคิดสังเคราะห์เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ เป็นการพัฒนาและคิดค้นแนวคิดใหม่ ถ้าเรา

สามารถคิด สังเคราะห์ได้ดี จะทาใหพ้ ัฒนาความคดิ หรอื สงิ่ ใหม่ ๆ ท่เี ป็นประโยชนต์ อ่ สงั คม
ขัน้ ตอนการสงั เคราะห์

1. กาหนดหัวเรื่องและจุดประสงค์ที่จะสังเคราะห์ให้ชัดเจนว่าต้องการสังเคราะห์เพ่ือให้
เกิดบูรณาภาพหรือปรากฏการณ์ใหม่ในรูปแบบใด เช่น เพื่อให้เกิดผลผลิต เพ่ือให้เกิดข้อสรุป หรือ
เพ่อื ให้ เกิดการทานายเหตุการณ์ในอนาคต โดยกาหนดวตั ถุประสงคใ์ หช้ ัดเจนดว้ ยวา่ จะสังเคราะห์เพื่อ
นาผล การสงั เคราะหท์ ่ไี ด้ไปดาเนินการในสิ่งใดตอ่

2. จัดเตรียมปัจจัยและองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีจะนาเข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์ซ่ึงอาจ
เปน็ คน สัตว์ สงิ่ ของ หรือเป็นประเดน็ นามธรรมต่าง ๆ คัดกรอง คดั เลอื กใหไ้ ดข้ อ้ มูลหรือปัจจัยวัตถุดิบ
ตา่ งๆ ทม่ี ี คณุ ภาพเพ่ือนาสู่กระบวนการสงั เคราะห์

3. สังเคราะห์ปัจจัยและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ตามจุดประสงค์ท่ีกาหนด โดยให้
กระบวนการสังเคราะห์มุ่งที่การนาปรากฏการใหม่หรือบูรณาภาพท่ีได้จากการสังเคราะห์ไปใช้ให้เกิด
ประโยชนต์ ามท่ีได้กาหนดไวใ้ นวตั ถุประสงค์ของการสังเคราะห์

๔. ตรวจสอบและประเมนิ ผลการสังเคราะห์ท่ีได้ว่าน่าจะมีความแม่นยาา ความเท่ียง และ
ความเปน็ ไป ไดม้ ากน้อยเพียงใดเพอ่ื เตรียมนาไปใชต้ ามวัตถปุ ระสงค์

๔.๑ ผลการสังเคราะหท์ ่มี ีคณุ ภาพ มคี วามแม่นยาน่าเชื่อถือและมีความเป็นไปได้สูง
สามารถนา่ ผลของการสงั เคราะหด์ าเนินการนาไปใช้ในข้นั ตอ่ ไปได้ตามวตั ถปุ ระสงค์

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

105

4.2 ผลของการสังเคราะห์ที่ไม่มีคุณภาพ ให้นาผลของการสังเคราะห์น้ันเข้าสู่
กระบวนการวเิ คราะหเ์ พื่อ ดาเนินการแยกแยะตรวจสอบหาท่มี าของปจั จัยและองค์ประกอบต่างๆ
ทไ่ี ด้มาเข้าสูก่ ระบวนการสงั เคราะหร์ วมท้งั ตรวจสอบคุณภาพของผู้ทาการสังเคราะห์เพื่อสืบค้นหา
ทม่ี า และเหตุปจั จยั ที่ทาให้ผลของการการสงั เคราะหเ์ ป็นผลการสังเคราะห์ท่ีไม่มีคุณภาพ และเมื่อ
วิเคราะห์ หาเหตุปัจจัยต่างๆ น้ันได้ แล้วให้แก้ไขปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงเพ่ือพัฒนาข้อมูลหรือ
องค์ประกอบ ปัจจัยต่างๆ น้ันให้มีคุณภาพ ต่อไปเพื่อมาเข้าสู่กระบวนการสังเคราะห์ใหม่อีกคร้ัง
หนงึ่

5. นาผลการสังเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมาย โดยจะนาเสนอต่อสาธารณะ
หรือเก็บเปน็ ขอ้ มลู สังเคราะห์ส่วนตัวก็แล้วแต่จุดประสงค์ของผู้ทาการสังเคราะห์ เช่น สังเคราะห์
สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อนาไปใช้ประกอบการคาดเดาโอกาสของเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ใน
อนาคต

ตวั บ่งชกี้ ารคดิ สงั เคราะห์
๑. สามารถกาหนดวัตถุประสงค์ของสง่ิ ใหม่ท่ีต้องการสังเคราะห์
๒. สามารถวิเคราะห์สว่ นประกอบหรือข้อมูลท่ตี อ้ งการสงั เคราะห์
๓. สามารถเลอื กข้อมูลทีเ่ หมาะสมกับวัตถุประสงคท์ ่ตี ้องการสงั เคราะห์
๔. สามารถสร้างกรอบแนวคิดตามวตั ถุประสงค์ทก่ี าหนด
๕. สามารถสร้างใหมไ่ ด้ตามวตั ถุประสงคแ์ ละกรอบแนวคดิ กาหนด
๖. สามารถตรวจสอบความถกู ตอ้ งตามหลักเกณฑ์ไดอ้ ย่างตรงประเด็น
๗. สามารถนาสิง่ ท่ีสังเคราะห์ไปใช้ประโยชน์ได้

การพฒั นานกั คดิ สงั เคราะห์
การคดิ สังเคราะห์เปน็ สิง่ ท่ีมอี ยใู่ นตัวมนุษย์ และสามารถสง่ เสรมิ ได้โดยฝกึ ดงั น้ี
๑. ไมพ่ อใจสิ่งเดมิ ชอบถามหาสิ่งใหม่ ชอบแสวงหา ชอบการเปลยี่ นแปลง

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

106

๒. ไม่น่ิงเฉย ชอบสะสมข้อมูล ทาให้มีวัตถุดิบทางความคิดมากเพียงพอท่ีจะนาไปใช้ใน
การเคราะห์ส่ิงต่าง ๆ

๓. มีความเข้าใจและมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงต่าง ๆ นามาเชื่อมโยงอย่างสมเหตุ
และสมผล

๔. ไม่แปลกแยก ชอบผสมผสาน การผสมผสานองค์ประกอบหรือความคิดท่ีดูเหมือน
ขัดแย้งกนั ดว้ ยกนั โดยผสมผสานอย่างกลมเกลียว และเชื่อมโยงอยา่ งสมเหตุสมผล

๕. ไม่คลุมเครือ ชอบความคมชัดในประเด็น เข้าใจว่าแนวความคิดหนึ่งประกอบด้วย
ประเดน็ หลักสปาะเห็นรองอะไรบา้ ง ฝึกจับประเดน็ บทความ หนังสอื หนงั สือพิมพ์

๖. ไม่ลาเอียง ชอบวางตนเป็นกลาง ไม่อคติต่อข้อมูลท่ีได้ ต้องแยกความรู้สึกออกจาก
ขอ้ เท็จจรงิ

๗. ไมย่ งุ่ เหยงิ ชอบระบบระเบียบ
๘. ไม่ท้อถอย มคี วามมานะพากเพยี ร

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

การเรียบเรยี งข้อมูล

การเรยี บเรยี งขอ้ มูล
การเรยี บเรียงคือการนาเนื้อหาที่รวบรวมไว้มาเขียนใหม่ด้วยภาษาของตนเอง ซึ่งนอกจากจะ
ทาให้ผลงานมีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน และอ่านได้ราบร่ืนแล้ว ยังช่วยให้ผู้ทาผลงานเกิดความ
เข้าใจในเน้ือหาและเอ้ือต่อการสรุป วิเคราะห์ และอาจสังเคราะห์ได้อีกด้วย เพราะการจะเรียบเรียง
ต้องผา่ นการอา่ น กระบวนความคดิ ตา่ ง ๆ ก่อน ถือเปน็ การศึกษาไปในตวั อกี ดว้ ย
ในการเรียบเรียงนั้นควรพิจารณาถึงปริมาณเนื้อหาของแต่ละหัวข้อให้ใกล้เคียงกัน หากเกิด
ปัญหาเนือ้ หาทีค่ ้นคว้ามาได้แตกต่างกนั กต็ ้องค้นควา้ เพิ่มหรอื สรปุ ใหใ้ กลเ้ คียงกนั กรณีที่เนื้อหาท่ีค้นมา
ได้มีหัวข้อท่ีไม่สอดคล้องกัน ก็ต้องปรับชื่อหัวข้อให้สอดคล้องกัน หรือหากไม่มีหัวข้อก็อาจต้องตั้งเป็น
หวั ข้อใหม่
ความหมายของการเรยี บเรยี งขอ้ มูล

การเรียบเรียงข้อมูลเป็นกระบวนการที่สาคัญและต้องทาเป็นประจาในการประมวลผล
ขอ้ มลู เนอื่ งจากขอ้ มลู ที่เรยี งลาดับอยา่ งมรี ะเบียบ มักทาให้การตีความ การหาความสัมพันธ์ของข้อมูล
ต่าง ๆ กระทาได้ง่ายข้ึน การศึกษาขั้นตอนวิธีการเรียงลาดับข้อมูลซ่ึงมีอยู่มากมายหลากหลายวิธีจึง
เป็นเร่ือง สาคัญ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดและประสิทธิภาพการทางาน รวมถึงจุดเด่นจุดด้อยของข้ันตอน
วธิ ดี ังกล่าว
ความสาคญั ของการเรยี บเรียงข้อมลู

การเรียบเรียงข้อมูล เป็นการจัดการข้อมูลที่กระทากันมากในงานประยุกต์ต่างๆ การได้มา
ซึ่ง ข้อมลู หลายๆแหล่ง จึงเป็นความจาเปน็ ทต่ี อ้ งเรียบเรยี งขอ้ มูลท่ไี ด้มาจากอ่าน วิเคราะห์ สังเคราะห์
จนเกดิ เป็นขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการศึกษาคน้ คว้า

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

108

การเรียบเรยี ง
เมอื่ ได้ศึกษาค้นควา้ ข้อมลู ทีห่ ลากหลายแล้ว ผู้คน้ ควา้ จะเกดิ ข้อค้นพบใหม่ ซ่ึงอาจเป็น องค์

ความรู้ หลักการ หรือแนวคิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่เพื่อใช้ ในการ
แกป้ ญั หาหรอื พัฒนาสิง่ อื่นๆ ในอนาคต การเรียบเรียงขอ้ คน้ พบมหี ลกั ท่ตี ้องคานงึ ถึง ดงั นี้

1. แนวคดิ หลกั การ วิธีการ การค้นพบแนวคิด หลักการ หรือวธิ ีการจากข้อมูลที่ได้ ศึกษา
มา ต้องเป็นข้อค้นพบที่มีความน่าเชื่อถือ ผ่านการคิดอย่างละเอียด สามารถอ้างอิงจากผู้รู้ท่ีได้รับการ
ยอมรับในด้านที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อให้ข้อค้นพบนั้นมีความชัดเจนมากยิ่งข้ึนและได้รับ การยอมรับใน
อนาคต

2. ข้นั ตอน กระบวนการ รูปแบบ การปฏิบัติตามขั้นตอน กระบวนการ หรือรูปแบบ เพื่อ
เรียบเรียงข้อค้นพบ จะช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อค้นพบอีกคร้ังหน่ึง ซ่ึงมี
กระบวนการเรยี บเรียงขอ้ ค้นพบ ดงั นี้กระบวนการเรียบเรยี ง

๑. กลา่ วถงึ ปญั หาหรอื คาถามที่กาหนดไว้ เพื่อคน้ หาคาตอบ
๒. แสดงวตั ถปุ ระสงค์ของการค้นหาคาตอบ
๓. เขียนสรุปกระบวนการทัง้ หมด เรม่ิ จากการศึกษาค้นคว้า วิธีการ รวบรวมข้อมูล
เครื่องมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสังเคราะห์ข้อมูล จนกระท่ังได้มาซ่ึงข้อ
คน้ พบ
๔. เขียนสรุปผลข้อค้นพบท่ีได้ โดยเขียนให้เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ ท่ีกาหนดไว้
เพือ่ เน้นให้เห็นถึงการตอบสนองวตั ถุประสงค์ทไ่ี ด้อยา่ งแท้จริง
๕. เขียนข้อเสนอแนะแนวทางที่ได้จากการสรุปผลและข้อค้นพบ เพ่ือประโยชน์ ใน
การต่อยอดองคค์ วามรู้ เพอ่ื นาไปใช้กบั ชุมชน หรือสังคมตอ่ ไป
3. การต้ังช่ือเรื่อง ข้อมูลท่ีศึกษาค้นคว้าและรวบรวม จะได้รับการต้ังชื่อเรื่องตาม
วตั ถุประสงคข์ องการหาข้อสรุปหรือ ข้อค้นพบ โดยอาจอยู่ในรูปแบบของบทความ โครงงาน งานวิจัย
ในการตง้ั ชื่อเรอ่ื งสิง่ ทคี่ วรคานงึ ถงึ มดี ังนี้

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

109

๑. ตั้งชื่อเรื่องให้ส้ัน กระชบั ใช้ภาษาท่เี ขา้ ใจง่าย สามารถ สอ่ื ความหมายเฉพาะเร่ือง
ได้ แต่ไม่ควรสนั้ เกนิ ไปจนขาด ความหมายทางวิชาการ

๒. ต้ังช่ือเรื่องให้ตรงกับประเด็นของปัญหาเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่า เป็นการศึกษา
คน้ คว้าเกยี่ วกับสิง่ ใดได้ทนั ที

๓. ตั้งชื่อเรื่องโดยใช้คานามข้ึนต้น จะทาให้ชื่อมีความไพเราะ มากกว่าการใช้
คากริยาขนึ้ ต้น เช่น ใชช้ ่อื ว่า “การศึกษาวงจรชีวิตของหนอนผีเสื้อ" แทน “ศึกษาวงจรชีวิตของหนอน
ผีเส้อื ” เป็นต้น

๔. ต้ังชื่อเร่ืองด้วยความเรียง สละสลวยและมีใจความสมบูรณ์ เช่น การศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างเพศและการกล้าแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอน
ปลายโรงเรยี นสนมวทิ ยาคาร ปีการศึกษา 25๖๕

๔. การเขียนส่วนนา เน้ือหา สรุป การนาเสนอข้อมูลที่สมบูรณ์ต้องอาศัยส่วนประกอบ ที่
ครบถว้ น สว่ นประกอบหลกั ที่สาคญั มีดังน้ี

๑. ส่วนนา ควรเขียนส่วนนาที่อธิบายถึงความสาคัญของปัญหา เนื่องจากส่วน
สาคัญท่ีสุด คือ ที่มาและความสาคัญของปัญหา ซ่ึงเกิดจากกระบวนการคิดวิเคราะห์ พร้อมท้ังอ้างอิง
หลักการและแนวคิด เพ่ือเป็นเหตุผลสนับสนุนความสาคัญของปัญหานั้น จากน้ันควรกาหนดกรอบ
แนวคิดในการดาเนินงาน เพ่ือให้มีทิศทางการดาเนินงานที่ชัดเจน ต้ังแต่ ขั้นเร่ิมต้นจนถึงขั้นตอน
สุดท้าย

๒. เน้ือหา ควรเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับปัญหาที่กาหนดข้ึน เพื่อทาการศึกษา
และหาข้อ ค้นพบ โดยเนื้อหาต้องมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน จะนาไปสู่การสังเคราะห์ให้เกิด
การบูรณาการพฒั นาเปน็ ขอ้ ค้นพบ และมีหลักฐานอา้ งองิ ที่นา่ เช่ือถือ

๓. สรปุ ควรเขียนการสรปุ ผลให้สอดคล้องกับปัญหาท่ีได้กล่าวไว้ในส่วนนา เพ่ือให้
ได้ผลสรุป ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยสามารถเขียนในรูปแบบของการพรรณนา บรรยาย
หรอื ในรูปแบบตาราง แผนภมู ิ สถติ ิ ซงึ่ จะทาให้เข้าใจไดง้ ่ายข้นึ และนาไปใช้ประโยชน์ ในด้านยืนต่อไป

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การนาเสนอแนวคิดและขอ้ ค้นพบ

การนาเสนอแนวคดิ และขอ้ ค้นพบ
การจัดวางโครงร่าง ในการนาเสนอแนวคิดและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าไว้
ล่วงหน้าจะเป็น สิ่งท่ีช่วยให้ผู้นาเสนองานเรียงลาดับขั้นตอนความคิด และหาข้อมูลต่าง ๆ มา
สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง ให้มีความน่าเชื่อถือ และช่วยให้สื่อความหมายกับผู้รับสารได้ตรง
ประเดน็
ข้ันตอนในการนาเสนอแนวความคดิ
ข้ันตอนในการนาเสนอแนวความคดิ มีขั้นตอนดังน้ี
1. ช่ือเรอ่ื งหรือชื่อหัวข้อเรื่องที่สะท้อนใจความสาคัญหรือแก่นของประเด็นปัญหาหรือข้อ
คาถามโดยใชภ้ าษาที่สั้น กะทัดรดั ไดใ้ จความชดั เจนและไมใ่ ช้คาท่เี ป็นเชอื้ ฟุ่มเฟือย
2. การแจกแจงเหตผุ ลและความจาเปน็ ในการศกึ ษาคน้ ควา้ เปน็ การเขียนหลกั และเหตุผล
หรือ ความสาคญั จาเปน็ ที่นกั เรยี นตอ้ งการศึกษาคน้ คว้าในเร่ืองหรือประเด็นปัญหาที่ตนเองสนใจ และ
เป็นหลักยึด โยงให้ศึกษาค้นคว้าในเชิงลึกเพ่ือหาค้าตอบหรือแนวทางท่ีเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
คน้ คว้าด้วยตนเอง
3. กาหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า เป็นการบอกวัตถุประสงค์ของการศึกษา
ค้นคว้าความรู้ ด้วยตนเองตามที่ได้ออกแบบและวางแผนการศึกษาค้นคว้าไว้แล้ว ซ่ึงวัตถุประสงค์ท่ี
กาหนดขึน้ จะต้อง สอดคล้องกบั หัวข้อเรื่องหรอื ประเดน็ ปญั หาทจ่ี ะศกึ ษา
4. ระบุประโยชน์และคุณค่าท่ีจะได้รับจากการศึกษาค้นคว้า ซ่ึงไม่ใช่ผลท่ีเกิดจาก
การศกึ ษาค้นควา้

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

111

5. ระบุขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า เป็นการระบุขอบเขตของการศึกษาค้นคว้าเป็นการ
อธบิ ายวา่ ใหท้ าการศึกษาคน้ คว้ากับประชากรหรือกลมุ่ ตัวอยา่ งใด หรอื ศกึ ษาค้นคว้ากับใครหรือวิธีการ
ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล

6. สรุปการศึกษาค้นคว้า เช่น เอกสาร ตารา หนังสือ บทความ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเป็น
การศึกษาทบทวนเนื้อท่ีเก่ียวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาความรู้ท่ีปรากฏ
และผ่านการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงมาแล้ว ซ่ึงทาให้นักเรียนได้เรียนรู้เพ่ิมเติมจากเอกสาร ตารา บทความ
และงานวิจัยที่เก่ียวข้องได้ เนื้อหาที่ชัดเจนมาสนับสนุนหัวข้อหรือประเด็นปัญหา รวมถึงช่วยในการ
พัฒนาแนวคิดเก่ียวกับการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองในทางสร้างสรรค์ และเกิดการพัฒนาให้เกิดการ
สรา้ งนวตั กรรมท่ใี หมก่ วา่ มีคณุ ภาพทด่ี กี วา่ ของเดมิ ท่มี ีอยู่

7. ระบุวิธีการดาเนินการศึกษาค้นคว้า หรือทดลองเพ่ือให้ได้คาตอบหรือผลของการศึกษา
คน้ คว้า

8. นาเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหา เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
ซึ่งสามารถปา่ เสนอดว้ ยการบรรยาย การใชต้ าราง แผนภาพ หรอื แผนภมู ิ

การตรวจสอบขอ้ คน้ พบ
การตรวจสอบข้อค้นพบเป็นวิธีการท่ีสาคัญวิธีการหนึ่ง หลังจากการเรียบเรียงข้อค้นพบ

เพ่ือให้สามารถม่ันใจและยืนยันได้ว่า ข้อค้นพบนั้นถูกต้องจริง โดยจะต้องมีหลักฐานในการอ้างอิง ข้อ
ค้นพบน้นั

1. ตรวจสอบข้อค้นพบกับหลักฐาน ข้อมูลอ้างอิง ข้อค้นพบท่ีน่าเช่ือถือจะต้องเป็น ข้อ
ค้นพบท่ีมีหลักฐานประกอบ หรือมีข้อมูลอ้างอิง เพ่ือสนับสนุนข้อค้นพบน้ัน แม้ว่าข้อค้นพบ จะได้มา
จากกระบวนการวเิ คราะห์ขอ้ มูล และการสังเคราะห์ขอ้ มลู อย่างละเอียดถ่ีถว้ นตามลาดับ แลว้ ก็ตาม

2. ตรวจสอบข้อค้นพบกับสมมติฐาน ข้อค้นพบหรือองค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษา ค้นคว้า
จะต้องนามาตรวจสอบกบั สมมติฐานทีไ่ ดต้ ั้งไว้ โดยเม่ือเรม่ิ ตน้ กาหนดปัญหา จะมีการ ต้ังสมมติฐานของ
ปัญหาน้ันไว้ เพ่ือคาดเดาคาตอบล่วงหน้า การตรวจสอบข้อค้นพบกับสมมติฐาน จะช่วยให้สามารถ
ดาเนนิ การตอ่ หรอื สรปุ ขอ้ มลู ได้อย่างถกู ต้อง

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

112

การจัดการข้อคน้ พบ
เมื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์จนได้ข้อค้นพบ หรือองค์ความรู้แล้ว ควรจัดการส่ิงที่ได้มาโดย

การนาไปใช้ นาไปบรู ณาการอย่างเหมาะสม หรือนาไปสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ เพ่ือนาไป ใช้ให้เกิด
ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสงั คมต่อไป

๑. การใช้ตามวัตถุประสงค์การจัดการโดยการใช้ขังค้นพบหรือองค์ความรู้ตาม
วัตถุประสงค์ คือ การนารักกันพบ และองค์ความรู้ที่สรุปได้ ไปนาเสนอตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
ซ่ึงวัตถุประสงค์ที่ดีต้องมีความ กะทัดรัดและชัดเจน มีความเป็นไปได้จริงในทางการปฏิบัติ แสดงถึง
เป้าหมายของการค้นคว้า ไม่ใช่วิธีการท่ีจะค้นคว้า โดยควรอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า สามารถ
หลายขอ้ ไดแ้ ละเรียงลาดบั ตามความสาคญั ของวตั ถุประสงค์นนั้

๒. การใช้ในกิจการงานอื่นๆ เพ่ือประโยชน์ของสังคมการจัดการโดยการใช้ข้อค้นพบหรือ
องค์ความรูใ้ นกจิ การงานอ่ืนๆ คือ การนาข้อค้นพบและ องค์ความรู้ท่ีสรุปได้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน
กิจการงานอ่ืนๆ เพ่ือประโยชน์ต่อสังคม ซ่ึงเป็นการ แบ่งปันข้อค้นพบที่ได้ให้กับผู้อื่นและส่งผลดีต่อ
สว่ นรวมต่อไป

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

คุณคา่ ของการศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง

คณุ คา่ ของการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
การศึกษาค้นคว้าและสร้างความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการค้นหา
ความรู้งาน ความสนใจ ความต้องการ และความถนัดของตนเองอย่างไม่มีขีดจากัด และเป็นส่วนหน่ึง
ทาให้นักเรียนได้อีก ความมีวินัย การทางานร่วมกับผู้อ่ืน ฝึกภาวการณ์เป็นผู้นาและผู้ตาม มีการ
บริหารจัดการเวลา การพัฒนา ทักษะทางด้านการอสาร การคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ สามารถ
พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิดต่อยอด มีอิสระในความคิดเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ส่วนตัว ส่ิง
เหล่านลี้ ว้ นเป็นความรู้ความสามารถในศตวรรษท่ี ๒๑ ทงั้ สน้ิ
ความหมายของการศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเอง
การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หมายถึงการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือการพัฒนาส่ิงเดิมให้มีองค์
ความรู้มาก ย่ิงข้ึน สาหรับการค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ จะเป็นการค้นคว้าที่เห็นได้ชัดถึงการกาเนิดส่ิง
ใหม่ๆ เช่น การค้นคว้าวิจัยพฤติกรรมของลิง การค้นคว้าวิจัยถึงจุดกาเนิดของพืชและสัตว์ เช่น การ
กาเนิดของแมวนา้ ส่วนการค้นคว้าเชิงสังคมศาสตร์อาจจะเห็นไม่เด่นชัดในเร่ืองของการดาเนินสิ่งใหม่
อาจจะเป็นการนาสง่ิ ทม่ี ีผู้ศกึ ษามาแลว้ มาศกึ ษาเพ่ิมเติมเพ่ือใหค้ ้นพบสงิ่ ทแ่ี ตกต่างไปจากเดิม เช่น การ
วิจัยพัฒนาคุณภาพบัณฑิต จะมีการพัฒนาแทบทุกสถาบันและแทบทุกปี เพราะในแต่ละปีจะเกิด
ปจั จัยทีก่ ระทบเปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา
ความสาคัญของการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
นอกจากมคี วามจาเป็นดังกล่าวแล้ว อาจกลา่ วถึงความสาคญั ของการเขียนโดยสรปุ ไดด้ งั นี้
1. เป็นเคร่อื งมือสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทต่ี อ้ งการถ่ายทอดความคิดความเข้าใจ และ
ประสบการณ์ของตนเองออกเสนอผู้อ่าน

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๑๑๔

2. เป็นการเกบ็ บันทกึ รวบรวมข้อมลู ท่ตี นไดม้ ีประสบการณม์ าก่อน
3. เป็นการระบายอารมณ์อย่างหน่ึง ในเร่ืองที่ผู้เขียนเกิดความรู้สึกประทับใจหรือมี
ประสบการณ์
4. เปน็ เครอ่ื งถ่ายทอดมรดกวฒั นธรรม เช่น ถ่ายทอดสมัยหนงึ่ ไปสอู่ ีกสมัยหน่ึง เป็นต้น
5. เป็นเครื่องมือพัฒนาสติปัญญา เนื่องจากการเรียนรู้ทุกอย่างต้องอาศัยการเขียนเป็น
เครอ่ื งมือ สาหรบั บนั ทึกสง่ิ ทไี่ ดฟ้ งั และได้อา่ นและนาไปสู่การพัฒนาสบื ไป
6. เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ตามจุดประสงค์ท่ีแต่ละคนปรารถนา เช่น เพื่อ
ต้องการทาให้ รู้เรอื่ งราว ทาให้รัก ทาใหโ้ กรธและสร้างหรือทาลายความสามัคคีของคนในชาติ
7. เปน็ การแสดงออกซึ่งภมู ปิ ญั ญาของผูเ้ ขียน
8. เป็นอาชีพอย่างหน่งึ ชาติ
9. เปน็ การพฒั นาความสามารถและบุคลกิ ภาพ ทาให้บุคคลมคี วามเชอื่ มั่นในตัวเองในการ
แสดง ความรู้สึกและแนวคิด
1๐. เป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและ
สงั คม

ประโยชนข์ องการศกึ ษาคน้ ควา้
1. ทาให้รู้จักการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง การมอบหมายให้นักศึกษารู้จักการทารายงาน

หรืองานเขียนทางวิชาการอื่นๆ ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า จัดเป็นกระบวนการฝึกฝนให้รู้จักค้นคว้า
หาข้อมูลได้ด้วยตัวเอง เพ่ือเป็นทักษะพื้นฐานในการแสวงหาสารสนเทศไปใช้ประโยชน์ได้กับ
ชีวิตประจาวันต่อไปจะทาเป็นช่วงเวลาสั้น ซ่ึงต้องเสร็จส้ินภายในภาคเรียนท่ีมีการเรียนการสอนใน
รายวชิ านนั้ ๆ

2. ทาให้รู้จกั ใชค้ วามคิดอย่างมีเหตุผล ด้วยการกาหนดข้ันตอนในการแสวงหาสารสนเทศ
ประกอบการ เขียนงานอย่างเป็นระบบ และรู้จักใช้เหตุผลในการคัดเลือกข้อมูลท่ีต้องใช้ประกอบการ
เขยี นผลอันเปน็ การสร้างทกั ษะในการแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

115

3. ทาให้รู้จักการถ่ายทอดความรู้ให้ปรากฏเป็นลักษณ์อักษร การนาเสนอผลงาน จัดเป็น
การเพิ่มพูน ทักษะในการเขียนงานวิชาการ ซึ่งจะเป็นพ้ืนฐานของการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการอื่น ๆ
ต่อไป

4. ทาให้เกิดความรู้สุ่มลึก นอกเหนือจากการฟังคาบรรยายในห้องเรียนเพราะนักศึกษา
จะมีโอกาส ในการศึกษาความรู้ที่ลึกซ้ึงในเร่ืองท่ีทาการศึกษาค้นคว้าเนื่องจากมีการค้นคว้าข้อมูลจาก
แหล่งต่างๆ อยา่ ง กวา้ งขวางและครอบคลุม

5. ทาใหเ้ กดิ พัฒนาทางวชิ าการในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะการศึกษาค้นคว้าเรื่องท่ีเป็น
ประเด็นใหม่ ๆ ซึ่งอาจมีการค้นพบหลักการ หรือแนวคิดท่ีเป็นประโยชน์ทางวิชาการและยังไม่มีการ
กล่าวถงึ มากอ่ น

6. ทาให้เกิดความรู้หรือทฤษฎีใหม่ ๆ อันเป็นผลจากการแสวงหาคาตอบในเร่ืองใดเร่ือง
หนึง่ อยา่ งเปน็ ระบบ มเี หตุผลและเท่ียงตรง ความรู้ที่ค้นพบเป็นข้อมูลพ้ืนฐานที่พัฒนาเป็นทฤษฎีใหม่
ๆ ทางวิชาการ ไดเ้ ปน็ อย่างดีโดยเฉพาะผลการทดลอง หรือผลการวจิ ัย

๗. ทาให้นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านตา่ งๆ เช่น ใช้เป็นส่วนหน่ึงของการประเมินผลนักศึกษา
วา่ มีความร้ใู นสาขาวิชานนั้ ระดบั ใด หรอื นาไปใชแ้ กป้ ญั หาอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งทก่ี าลังประสบอยู่

จากประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทาให้การเขียนผลงานวิชาการได้กลายเป็นส่วน
หนึ่ง ของระบบการศกึ ษาในปัจจุบัน

การสรุปผลการศกึ ษาคน้ ควา้
เพอ่ื ให้ผู้อื่นได้ศึกษาโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซึ่งประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย วิธีดาเนินงาน และ

ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ วิธีการสรุปผลดงั นี้
๑. กล่าวถึงปัญหา จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า ท่ีดาเนินงาน และสรุปผล โดยจึงรับ

ความ ทก่ี ระชบั อา่ นเข้าใจง่าย หลกี เลีย่ งการกล่าวถึงเรอ่ื งท่ีไม่เกย่ี วขอ้ ง
๒. สรุปผลการศึกษาค้นคว้าภายในขอบเขตจุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า เหตุผล ตาม

ขอ้ มูล และผลการวิเคราะห์

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

116

๓. ไม่ลาเอียง หรือไม่มีอคติส่วนตัว เพื่อให้ผู้อื่นศึกษาทาความเข้าใจ และสามารถ
ตรวจสอบได้
อภปิ รายผลการศกึ ษาค้นควา้

การแปลผลการศึกษาคน้ คว้าจาการสงั เคราะหข์ ้อมลู หลายด้าน โดยการกล่าวถึง การศึกษา
คน้ ควา้ เปน็ ไปตามสมมติฐานหรอื ไม่ เช่ือมโยงถงึ ทฤษฎีทเี่ ปน็ พืน้ ฐาน โดยมีหลักการอภปิ รายผล ดงั น้ี

๑. อภิปรายผลที่ไดจ้ ากการวิเคราะหข์ ้อมลู อยา่ งสมเหตสุ มผล และนา่ เชือ่ ถอื
๒. แสดงให้เห็นความสัมพันธข์ องการศึกษาค้นควา้ กบั ผลงานท่เี ก่ียวข้องอย่าง
๓. อภิปรายจดุ อ่อนของขอ้ มูล และวิธีการวเิ คราะหข์ อ้ มูลชัดเจน
๔. กล่าวถึงขอบเขต และข้อควรระวังในผลการศึกษาค้นคว้า เช่น ความขัดแย้ง ความไม่
คง เส้นคงวา ความเขา้ ใจผดิ ในผลการศกึ ษาคน้ ควา้ เปน็ ตน้
๕. อภิปรายความสาคัญของผลการศกึ ษาคน้ คว้า
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะอาจเสนอแนะเก่ียวกับการนาผลจากการศึกษาค้นคว้าไปปฏิบัติ เพื่อใช้
ประโยชน์ และเสนอแนะเพ่ือการศกึ ษาคน้ ควา้ ครัง้ ต่อไป ดังนี้
๑. กรณีผลการศึกษาค้นคว้าสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ควรเสนอแนะให้นาผลการศึกษา
คน้ คว้าไปใชป้ ระโยชน์ในการแกป้ ัญหา
๒. ขอ้ เสนอแนะ เพื่อการพัฒนา หรอื ปรบั ปรุงขอ้ คน้ พบให้มีลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
๓. มีข้อเสนอแนะสาหรับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เสนอแนวทาง หรือประเด็นปัญหาท่ี
ควร ศึกษาค้นคว้าคร้ังต่อไปอย่างสมเหตุสมผล กว้างขวาง และปฏิบตั ิไดจ้ ริง

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

การนาเสนอรายงานจากการศึกษาคน้ ควา้

การนาเสนอรายงานจากการศึกษาค้นคว้า
การนาองค์ความรู้ ข้อค้นพบ หรือ แนวคิดไปออกแบบนาเสนอในลักษณะต่างๆ ตาม
วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใช้ปอ้ งกัน แก้ไขปญั หา หรือพฒั นากิจการงาน องค์กร ชุมชน หรือสังคม ด้วยวิธีการ
แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเร่ิมต้นจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา กาหนดวัตถุประสงค์ ในการ
แกป้ ัญหา ออกแบบนาองค์ความรู้ไปใช้วางแผน ดาเนินการติดตาม และข้ันสุดท้ายคือการประเมินผล
ซึง่ จะสามารถช่วยในการแก้ปญั หาได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
ความหมายของความหมายการนาเสนอผลงาน
การนาเสนอ หมายถึง วิธีการนาเสนองาน หรือผลงานหรือ ข้อมูล เพ่ือให้ผ่านการ
พิจารณาแก่ผู้รับฟัง ผู้รับข่าวสารข้อมูล เพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ที่ผู้นาเสนอกาหนดไว้หรือให้
ความชักจูงใจ
การนาเสนอผลงาน หมายถึง การนาข้อมูลและ รายละเอียดต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวม มาจัด
ใหเ้ ป็นระเบียบ เพอื่ นาเสนอข้อมูลจากผู้นาเสนอไปยังผู้ฟังให้เกิดความเข้าใจในเร่ืองท่ีนาเสนอ โดยใช้
เทคนคิ และสือ่ ต่าง ๆ ในการนาเสนอผลงาน
จุดมงุ่ หมายในการนาเสนอผลงาน
1. เพ่อื ให้ผรู้ บั สารรับทราบความคิดเหน็ หรือตอ้ งการ
2. เพอื่ ใหผ้ ู้รับสารพิจารณาเรือ่ งใดเรอ่ื งหนึ่ง
3. เพอ่ื ให้ผรู้ ับสารไดร้ ับความรู้จากขอ้ มูลที่นาเสนอ
4. เพ่อื ให้ผรู้ บั สารเกดิ ความเข้าใจทีถ่ กู ต้อง

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

118

ดังนั้น จุดมุ่งหมายในการนาเสนองาน เพื่อเป็นการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารท่ีได้จาก
การศึกษาค้นคว้าจากการทางาน แล้วนามาถ่ายทอดให้แก่เพ่ือน ๆ คุณครู ผู้ฟัง เพื่อเป็นการ
แลกเปลย่ี นความรู้ มีการอภิปรายรว่ มกนั ทาให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้มากย่ิงข้นึ

ประเภทของการนาเสนอผลงาน
1. การนาเสนอเฉพาะกลุ่ม เปน็ การนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ต่อผู้ท่ี มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่

ไดร้ ับเชญิ ให้เข้าร่วมรบั ทราบขอ้ มลู ในการ นาเสนอ
2. การนาเสนอท่ัวไปในท่ีสาธารณะ เป็นการนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้บุคคล

ทั่วไปเข้าร่วมฟังการนาเสนอได้ มีการ เปิดโอกาสให้ผู้ฟัง ได้ซักถามเพ่ิมเติมหรือแสดงความคิดเห็นได้
อกี ดว้ ย

องคป์ ระกอบในการนาเสนอผลงาน
๑. ผู้นาเสนอ เป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญที่สุดในการนาเสนอ ผู้นาเสนอจะต้องเป็นคน

ถ่ายทอดขอ้ มูลดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ ให้ผ้ฟู งั เข้าใจ
๒. ผรู้ ับขอ้ มูล หรอื ผู้ฟงั
๓. งาน เปน็ สงิ่ ทผ่ี นู้ าเสนอต้องการถ่ายทอดใหแ้ กผ่ ู้รับข้อมลู ผ่านสื่อ
๔. สื่อ เปน็ เครือ่ งมือสาคญั ทีจ่ ะนาขอ้ มลู ต่าง ๆ ไปยังผู้รบั ข้อมลู
5. โพรโตคอล เป็นวธิ กี ารท่ผี ้นู าเสนอใช้ถ่ายทอดงานใหแ้ กผ่ ูร้ บั ขอ้ มลู

หลักการนาเสนองานทดี่ ี
1. เลอื กรูปแบบการนาเสนอทเ่ี หมาะสม
2. เนื้อหาท่นี าเสนอมีวัตถุประสงค์ทชี่ ัดเจน
3. มรี ปู แบบในการนาเสนอทีด่ ี เหมาะสมและเขา้ ใจง่าย
4. เนอ้ื หาการนาเสนอทีด่ ี
5. ใหข้ ้อเสนอท่ดี ี

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

119

ดังนั้น หลักการนาเสนอท่ีดี นักเรียนจะต้องมีการศึกษาค้นคว้าที่ ดี มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
เลอื กรปู แบบทเ่ี หมาะสมกับงานของนักเรยี น เน้ือหาท่นี ามาเสนอจะตอ้ งเปน็ ข้อมลู ทีช่ ัดเจนกะทัดรัด
คุณสมบัติผนู้ าเสนองานท่ีดี

1. มีบุคลิกท่ีดี
2. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเนื้อหา
3. มีจติ วิทยาทด่ี ี
4. มคี วามสามารถในการใช้อุปกรณใ์ นการนาเสนอ
การเลือกใช้สอื่ ประกอบการนาเสนอผลงาน
1. ชว่ ยดึงดูดความสนใจ
2. ช่วยให้เข้าใจเรอ่ื งท่นี าเสนอได้ง่ายขึน้
3. ชว่ ยรักษาระดบั ความสนใจและสร้างความพงึ พอใจให้ผู้ฟัง
ประเภทของสื่อประกอบการนาเสนอ
1. การนาเสนอด้วย Powerpoint
2. แผน่ พับ
3. กระดาษชาร์ท
4. สอ่ื อน่ื ๆ เชน่ วดี ิโอ เอกสารประกอบ การสาธติ ฟวิ เจอร์บอรด์ เป็นต้น

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

บรรรณานุกรม

กฤตยิ า อตั ถากร. (2528,กรกฎาคม ๑). “ระบบสารนเิ ทศและบรกิ าร” วทิ ยบรกิ าร. 7 (1) :
26-31.

กิตติชยั พินโน และอมรชัย คหกิจโกศล, บรรณาธกิ าร. (2554). ภาษากบั การสอ่ื สาร. พิมพ์คร้ังที่
2. นนทบุรี : เชน ปริ้นตง้ิ .

กล่มุ สาระการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง. (2561). ชุดฝึก IS1 การศกึ ษาค้นคว้าและ
สร้างองคค์ วามรู้. ยโสธร : โรงเรยี นมหาชนะชัยวิทยาคม.

เกษม วฒั นชยั . (2544 พฤษภาคม) “นโยบายการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาของ
กระทรวงศกึ ษาธิการ”. Thailand Education. 2 (11): 39-40.

คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพ่อื การสือ่ สาร. (2556). ภาษาเพือ่ การส่งสาร. กรงุ เทพฯ :
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

คณาจารย์ภาควชิ าภาษาไทย คณะศิลปะศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. (2546).
การใชภ้ าษาไทย 2. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

คณาจารยส์ าขาบรรณารักษศาสตรแ์ ละสารสนเทศศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ นิ ทร์. (2558). การรสู้ ารสนเทศ. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. สุรินทร์ :
โรงพมิ พร์ ่งุ ธนเกยี รติ.

คณาจารยภ์ าควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก. (2549). ศลิ ปะการแสดงออกทางภาษา.
พมิ พ์คร้งั ท่ี 2. มหาสารคาม : อภชิ าตการพิมพ์.

จินดา จินเสวี. (2525). ศลิ ปะการพูดในที่ประชุมชน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์
ฉัตรแกว้ เภาวิเศษ. (ม.ป.ป.). หนงั สือเรยี น รายวิชาเพมิ่ เตมิ การศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ ง

องคค์ วามรูช้ ัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1-3. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานิช
ชุติมา สจั จานันท์. (2531). การเลอื กและการจดั หาวสั ดหุ ้องสมุด. กรงุ เทพฯ :

หนว่ ยศกึ ษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหัดครู.

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS๑)

๑๒๑

ธนู ทดแทนคณุ . (2554). การเขยี นรายงานทางวิชาชพี (Professional Report Writing).
พิมพค์ รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์

ธนู บญุ ญานุวัตร. (2561). “บทท่ี 1 ความรู้เรือ่ งสารสนเทศช่อื เรือ่ ง” [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก :
https://tanoo.wordpress.com สบื คน้ ๗ เมษายน ๒๕๖๑.
. (2561). “บทท่ี ๓ ทรพั ยากรสารสนเทศ”. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก :
https://tanoo.wordpress.com สบื คน้ ๗ เมษายน ๒๕๖๑.

นภาลยั สุวรรณธาดา และคณะ. (2553). การเขยี นผลงานเชิงวชิ าการและบทความ.
พิมพ์คร้ังท่ี 20. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพภ์ าพพิมพ์.

นงลักษณ์ ไมห่ นา่ ยกจิ . (2526 มกราคม-มนี าคม). “บรกิ ารสารสนเทศ”. หอ้ งสมดุ . 27
(1) : 17-26

น้าทิพย์ วภิ าวนิ . (2547). การจัดการความรูก้ ับคลังความรู้ Knowledge Management and
Knowledge Center. กรุงเทพฯ : เอสอาร์ พริ้นต้ิงแมสโปรดักส์.
. (2547). การใชห้ อ้ งสมดุ ยคุ ใหม่ (Using Modern Library). พิมพค์ รงั้ ที่ 2 กรุงเทพฯ :
สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

นพิ นธ์ อินสินและสมาน ลอยฟ้า. (2521). การคน้ ควา้ และการเขยี นรายงาน. สกลนคร :
สกลนครการพมิ พ์.

พวา พันธุ์เมฆา. (2541). สารนเิ ทศกับการศกึ ษาค้นควา้ . พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ :
ภาควชิ าบรรณารักษศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ.

พลู สขุ เอกไทยเจรญิ . (2551). การเขยี นรายงานการค้นคว้า. กรงุ เทพฯ : สุวิริยาสาส์น.
ไพโรจน์ คชชา. (2538). สารสนเทศศาสตรแ์ ละการคน้ ควา้ . กรงุ เทพฯ : สถาบันราชภฏั ธนบุรี.
ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. (2556). การคน้ คว้า

และการเขียนรายงาน. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรงุ เทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ
คณะอกั ษรศาสตร์.

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ (IS๑)

๑๒๒

มนตรี จฬุ าวัฒนฑล. (2537). ระบบการวิจยั และพฒั นาในประเทศ. กรงุ เทพฯ :
สานักงานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั .

ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2556). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพค์ ร้งั ที่ 2.
กรุงเทพฯ : นานมบี คุ๊ สลเิ คช่ัน.

วชิ าการ โรงเรยี นวัดสทุ ธวิ ราราม. (๒๕๖๓). “เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ าการศึกษาค้นควา้
ดว้ ยตนเอง ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕” [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : https://issuu.com/
krurattapon/docs/i30201 สืบคน้ ๒๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.

วชิ าการ โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์ คลองสิบสาม ปทมุ ธานี. (ม.ป.ป.). “เอกสารประกอบการเรยี นราย
วชิ าการศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๒” [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก :
https://anyflip.com/hfkro/lnjo/basic สืบค้น ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๕.

วชิ าการ โรงเรียนวชั รวิทยา. (ม.ป.ป.). “เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ าการศึกษาค้นควา้
ดว้ ยตนเอง ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒ บทท่ี ๑ เน้นความสนใจ” [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :
https://anyflip.com/ugph/rrcy สืบคน้ ๒๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.
. (ม.ป.ป.). “เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ช้นั มัธยมศกึ ษา
ปที ่ี ๒ บทท่ี ๒ มงุ่ ม่ันแสวงหาคาตอบ” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://anyflip.com/pricing/ สืบค้น ๒๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.
. (ม.ป.ป.). “เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง ชัน้ มัธยม
ศกึ ษาปที ่ี ๒ บทที่ ๓ รอบรู้และไขข้อข้องใจ” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://anyflip.com/ugph/njed สบื คน้ ๒๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.

วิจิตร ศรสี อา้ น. (2546). โฉมหน้าการศกึ ษาไทยภายหลงั การปฏริ ปู การศกึ ษา. กรงุ เทพฯ :
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.

วิภาภรณ์ บารุงจติ ต์. (2542). ทกั ษะทางสารนเิ ทศและการใช้ทรัพยากรสารนิเทศของนกั
ศึกษาสถาบันเทคโนโลยรี าชมงคล. วิทยานพิ นธ์ ปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบัณฑติ
บรรณารักษศาสตร์และสารนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าการศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS๑)

๑๒๓

ศรสี ภุ า นครน. (2548). สารสนเทศอเิ ลก็ ทรอนิกส์และการคน้ คนื . ลพบุรี :
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี.

ศรีอร เจนประภาพงศ์. (2557). “เกณฑ์การประเมนิ ค่าทรพั ยากรสารสนเทศบน
อนิ เทอร์เนต็ ”. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก : http://www.slideshare.net/thai/ pdf
สบื ค้น ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.

ศูนย์บรรณสารและสอ่ื การศกึ ษา. (2561). หอ้ งสมุด. นครราชสีมา : มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี
สรุ นารี

สานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี. “บทที่ 8
การศึกษาคน้ ควา้ และการเขียนบทนพิ นธ์” [ออนไลน์].
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://library.tru.ac.th/aritc-tru/images/ academic/book
/chap8. สืบค้น ๒๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.

สุกันยา ชืน่ รส. (๒๕๖๒). “เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองค์
ความรู้ (IS๑)”. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://pubhtml5.com/ktdz/qsfg
สืบคน้ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.

สกุ ญั ญา กลุ นิติ. (2549). หอ้ งสมดุ และสารนเิ ทศเพอ่ื การศกึ ษาค้นคว้า. กรงุ เทพฯ :
โอเดียนสโตร.์

สนุ ีย์ คล้ายนลิ . (2546 พฤศจิกายน 24). “คิดแบบวทิ ยาศาสตร์ ใน สนชวนคดิ วทิ ย์วันนี้”
ผจู้ ัดการรายวนั . 14 (4042) : 5.

สุภางค์ จนั ทวานิช. (2545). วธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ. พมิ พ์ครั้งที่ 10. กรงุ เทพฯ :
สานกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.

กุณฑรี า บุญเล้ียง และคณะ. (ม.ป.ป.). “หนงั สือเรยี น รายวิชาเพมิ่ เติม การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตน
เอง 1 (IS 1) ม.4-6”. ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://www.aksorn.com
/store/2/product-details-968 สบื คน้ ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๕.

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)

๑๒๔
อรสิ า บตุ รดามา. (2561). เอกสารประกอบการเรยี น ISI การศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความ

รู้(Research and Knowledge Formation) รหสั วิชา(32201 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5.
กรงุ เทพฯ : โรงเรยี นเตรยี มอดุ มศึกษาพฒั นาการรชั ดา เอกสารประกอบการเรยี น.
อัมพร ป่นิ ศรี. (2520). วิธใี ชห้ อ้ งสมุด. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง
เอกภพ อนิ ทรภู่. (2558). “ความรูเ้ ทา่ ทันสารสนเทศ” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
http://www.th ssnu.ac.th/ackkaphob in/filephp/1/PDF Units pdf
สืบค้น ๒๓ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๕.

เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ (IS๑)



เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (IS๑)


Click to View FlipBook Version