รายงาน การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ของ นางสาววรากร สายแก้ว เพื่อประกอบการแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งนักวิชาการศึกษาช านาญการ ต าแหน่งเลขที่ ๑๘๓ สังกัดกลุ่มส่งเสริมเครือข่ายการเรียนรู้ ส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
(ก) ค ำน ำ ตามหลักสิทธิมนุษยชน มนุษย์ทุกคนในโลกไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สีผิว ภาษา วัฒนธรรม หรือความแตกต่างทางด้านใด ย่อมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ติดตัวมาตั้งแต่ก าเนิด และมีสิทธิเสมอกัน ในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง เพื่อให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกัน ตามประกาศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ที่นานาประเทศให้การรับรอง ใช้เป็นมาตรฐานสากลร่วมกัน และยังเป็นพื้นฐานส าคัญของสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกหลายฉบับ “สิทธิในการศึกษา” นับเป็นสิทธิมนุยชนที่ส าคัญประการหนึ่ง มนุษย์ทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน อย่างน้อยในระดับชั้นประถมศึกษาให้เป็นการศึกษา ภาคบังคับ และต้องจัดการศึกษาแบบให้เปล่า อย่างน้อยในชั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพ ของมนุษย์ให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ส าหรับประเทศไทยให้ความส าคัญกับสิทธิทางการศึกษา ค านึงถึงความเหลื่อมล้ าและโอกาสทางการศึกษา ของเด็กทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มเด็กด้อยโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กชนกลุ่มน้อย เด็กที่ไม่มี หลักฐานทะเบียนราษฎร เด็กไม่มีสัญชาติไทย เด็กที่ติดตามแรงงานข้ามชาติ ฯลฯ จ านวนมากที่ยังไม่สามารถ เข้าถึงโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะในจังหวัดตาก ซึ่งมีแนวชายแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และเป็นพื้นที ่ที ่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงมีการหลั่งไหลของครอบครัวแรงงานข้ามชาติจ านวนมาก ซึ่งบางส่วนได้น าบุตรหลานติดตามเข้ามาด้วย กอปรกับจังหวัดตากยังมีเด็กที่ยังไม่สามารถระบุสถานะ ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กชนเผ่า เด็กเหล่านี้จ านวนมากยังไม่สามารถ เข้าถึงการศึกษาและมีความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิในมิติต่าง ๆ เช่น การถูกล่อลวงตกเป็นเหยื่อของขบวนการ ค้ามนุษย์ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาการใช้แรงงานเด็ก ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสังคม เศรษฐกิจและความมั่นของประเทศไทย ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาตระหนักถึงความส าคัญของปัญหาเหล่านี้ จึงเลือกจังหวัดตาก เป็นกรณีศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติซึ่งจังหวัดตากมีเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเด็กไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติจ านวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ทั้งนี้การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และน าไปสู่การจัดท าแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาคาดหวังว่า รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานและ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้น าข้อมูลไปใช้เป็นกรอบก าหนดทิศทาง แนวทางการบริการการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้อง กับความต้องการการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ต่อไป ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
บทสรุปผู้บริหาร การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตากครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาสภาพ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ๒) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก และ ๓) เพื่อจัดท าแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การระดมความคิดเห็นและการสังเกต ซึ่งมีอ าเภอแม่สอดเป็นกรณีศึกษาภาคสนาม เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึก (In-depth) สภาพการจัดการศึกษา ปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนแนวทางในการ จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติผลการศึกษา พบว่า 1. สภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก นักเรียนไม่มีสัญชาติไทย ประกอบด้วย ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มที่ติดตามบิดามารดาเข้ามา ๒) กลุ่มที่บ้านอยู่พื้นที่ห่างไกลและมาอาศัยอยู่กับหอพัก ของสถานศึกษา ๓) กลุ่มที่เดินทาง เข้า-ออก ข้ามด่านพรมแดนเข้ามาเรียนทุกวัน ส่วนรูปแบบที่มี การจัดการศึกษาสามารถแบ่งออกได้๓ รูปแบบ คือ ๑) การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน ทั้งโรงเรียนของรัฐ และโรงเรียนเอกชน ๒) การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และ ๓) การจัดการศึกษา ในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาตินอกจากนี้ มีการจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการจัดการศึกษาเด็กต่างด้าว” (Migrant Education Coordination Center) โดยส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตากเขต ๒ เพื่อเป็นศูนย์ประสานการปฏิบัติงาน ระหว่าง สพป.ตาก เขต ๒ กับศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ และ องค์กรเอกชน อย่างไรก็ตามยังไม่มีหน่วยงานใดในพื้นที่มีการส ารวจหรือจัดเก็บข้อมูลของนักเรียนไม่มี สัญชาติไทยทั้งหมดที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาทุกประเภท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ได้แก่ 1) โอกาสการ เข้าถึงการศึกษา ซึ่งเด็กที่บิดา มารดาหรือผู้ปกครอง ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา กฎหมาย นโยบายของรัฐ รวมถึงเด็กที่อยู่ตามสวน ไร่นา หรือพื้นที่ห่างไกล เด็กเหล่านี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา ๒) ข้อจ ากัดของสถานศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียน ที่จ ากัดจ านวนนักเรียน อายุนักเรียน ข้อจ ากัด ด้านภาษาไทย หลักสูตรที่ขาดความยืดหยุ่น ข้อจ ากัดด้านงบประมาณ ทรัพยากรการศึกษา จ านวนครู และบุคลากร ส่วนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มีข้อจ ากัดจากเงื่อนไขการเป็นนักเรียน กศน. หลักสูตรที่ยังไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก อีกทั้งครู กศน. มีภาระงานเยอะ และส าหรับการศึกษา ในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ มีปัญหามาตรฐานหลักสูตรที่แตกต่างกัน ความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี ส า รสนเทศ นักเ รียนไม่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ การสื่อสารภาษาไทย อีกทั้ง ศูนย์การเรียนมีแนวโน้มปิดตัวลงทุกปีเนื่องจากขาดเสถียรภาพทางการเงิน ๓) ปัญหาการออกกลางคัน เนื่องจาก ครอบครัวมีฐานะยากจน เด็กต้องย้ายตามผู้ปกครอง การปรับตัว รูปแบบการเรียนการสอน ๔) ปัญหาการเทียบโอนวุฒิการศึกษา ๕) เงื่อนไขด้านกฎหมาย ข้อจ ากัดในการออกนอกพื้นที่ ครูของ ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติสอนโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและยังไม่มีกฎหมายไทยรับรอง สถานะของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ ๖) การไม่มีระบบข้อมูลและสารสนเทศที่ชัดเจน (ข)
๓. แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ที่ตั้งอยู่บนหลักของกฎหมายและหลักมนุษยชน โดยมีหน่วยงานในพื้นที่ของกระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบ หลักในการด าเนินงานและแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่ “การเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข” โดยมีแนวทางดังนี้1) มีการวางแผนการส ารวจเด็กไม่มีสัญชาติไทยในพื้นที่ และส ารวจเชิงรุก 2) ควรสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบิดามารดา ผู้ปกครอง ตระหนักถึงประโยชน์ และความส าคัญของการศึกษา กฎหมายและนโยบาย สิทธิการศึกษา และสิทธิด้านต่าง ๆ 3) สนับสนุน การเตรียมความพร้อมด้านภาษาไทยส าหรับนักเรียนไม่มีสัญชาติไทย 4) ควรจัดการศึกษาในเชิงพหุวัฒนธรรม บูรณาการหลักสูตรตามรายวิชาให้สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน ชุมชน/ท้องถิ่น 5) ควรจัดการศึกษา แบบเรียนรวม (Inclusive Education) ในทุกระดับชั้น รวมทั้งชั้นปฐมวัย 6) ควรร่วมกันพัฒนาหลักสูตร ด้านอาชีพที ่เหมาะสมกับนักเรียน และสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดตาก 7) เตรียมความพร้อมครูในการสอนนักเรียนไม่มีสัญชาติไทย เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างของนักเรียน 8) ควรสนับสนุนตัวแทนผู้ปกครองของนักเรียนไม ่มีสัญชาติไทยร ่วมเป็นกรรมการสถานศึกษา 9) ร่วมประชุมหารือ หาแนวทางแก้ไขปัญหา และเสนอไปยังต้นสังกัด โดยอาจให้จังหวัดตากเป็นพื้นที่น าร่อง ที่ควรมีการจัดการศึกษาที่มีลักษณะพิเศษส าหรับนักเรียนไม่มีสัญชาติไทย 10) ควรก าหนดมาตรการส่งเสริม ให้ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติจัดการศึกษาที่ได้มาตรฐานสอดคล้องกัน 11) ควรแสวงหาความร่วมมือกับ ประเทศต้นทางในประเด็นด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดท าหลักสูตร Border Curriculum การเทียบโอนวุฒิการศึกษา ของไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 12) ส่งเสริมสนับสนุนให้ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติจัดตั้งให้ ถูกต้องตามกฎหมายไทย (ค)
(ง) สารบัญ หน้า ค าน า บทสรุปผู้บริหาร (ก) (ข) สารบัญ (จ) สารบัญตาราง (ฉ) สารบัญภาพประกอบ (ช) บทที่ 1 บทน า 1 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3 1.3 ข้อตกลงของการศึกษา 3 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 4 1.5 วิธีการด าเนินการ 4 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 1.7 นิยามศัพท์เฉพาะ 6 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง 7 ๒.๑ แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา 7 2.๑.1 ความหมายสิทธิการศึกษา 2.๑.2 องค์ประกอบของสิทธิการศึกษา 2.1.3 สาระส าคัญของสิทธิการศึกษา 7 8 9 2.2 ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 11 2.2.1 ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร 2.2.2 ความหมายของเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย 2.2.3 ความหมายของบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 11 12 12 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย 14 2.3.1 รูปแบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 2.3.2 การอุดหนุน (งบประมาณ) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2.3.3 ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย 15 20 24
สารบัญ (ต่อ) (จ) ๗) 2.4 กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 26 2.4.๑. กฎหมายระหว่างประเทศ 26 2.4.2 กฎหมายและนโยบายของประเทศไทย 28 2.5 บริบทของจังหวัดตาก 32 2.6 กรอบแนวคิดการศึกษา 35 บทที่ 3 วิธีด าเนินการศึกษา 36 3.1 วิธีด าเนินการศึกษา 36 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 44 บทที่ 4 ผลการศึกษา 45 ๔.1 สภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก - กรณีศึกษาภาคสนามอ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก 45 50 4.2 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ในจังหวัดตาก 67 ๔.3 แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 77 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรุปผลการศึกษา ๕.๒ อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 81 81 86 88 บรรณานุกรม 90 ภาคผนวก ๙3
(ฉ) ๗) สารบัญตาราง หน้า ตาราง 1 สถานศึกษาและศูนย์การเรียนภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษาตามแนวทาง การจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทย ที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ 2 แสดงอัตราอุดหนุนรายหัวนักเรียนแก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย (รหัส G) ที่เข้าเรียน ในโรงเรียนปกติ 3 แสดงงบประมาณที่รัฐอุดหนุนรายหัวให้แก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย 4 การวิเคราะห์ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 5 จ านวนนักเรียนไม่มีสัญชาติไทยในโรงเรียนของรัฐบาลไทย ปีการศึกษา 2560 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 6 จ านวนนักเรียน ครู และศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ (MLC) ปีการศึกษา 2560 7 องค์กรเอกชนที่สนับสนุนศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติใน 5 อ าเภอชายแดน จังหวัดตาก พ.ศ. 25๖๐ 8 จ านวนนักเรียนไม่มีสัญชาติไทยในสถานศึกษาที่สอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 5 อ าเภอชายแดน จังหวัดตาก ปีการศึกษา 25๖๐ 9 สภาพการจัดการศึกษา ข้อเสนอแนวทางการจัดการศึกษา และจุดเด่นการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานของการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน การจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย และศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติอ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก 10 ปัญหา อุปสรรค และข้อจ ากัดของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานแรงงานข้ามชาติ อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก 11 แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 18 22 23 25 45 47 48 49 52 68 78
(ช) ๗) สารบัญภาพประกอบ หน้า ภาพประกอบ 1 แสดงความเชื่อมโยงบุตรหลานของชนกลุ่มน้อยที่มีบัตรสี บุตรหลานของแรงงาน ข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว และ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร (คนไร้รากเหง้า) 2 ล าดับช่วงเวลาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายและ นโยบายของประเทศไทยที่เกี่ยวกับสิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3 สภาพพื้นที่ของจังหวัดตาก 4 กรอบแนวคิดการศึกษา 5 ขั้นตอนวิธีด าเนินการ 6 จ านวนนักเรียนที่ไม่มีสัญชาติไทยในโรงเรียนรัฐ ปีการศึกษา 2560 แยกตามสถานภาพการลงทะเบียน สังกัด สพป.ตาก เขต 2 7 สถิติจ านวนนักเรียนที่เดินทางผ่านเข้า-ออกบริเวณชายแดนอ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก 8 สภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือ ไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตากภาพรวม 9 ภาพรวมแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 13 31 32 35 43 46 48 76 80
บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ สิทธิการได้รับการศึกษา เป็นสิทธิมนุษยชนที ่ส าคัญประการหนึ ่ง ซึ ่งฐานแห ่งสิทธิเกิดจาก “ความเป็นมนุษย์” มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนาสีผิว ภาษา วัฒนธรรม หรือความแตกต่างใด ตามหลักการสิทธิมนุษยชนแล้ว ย่อมมีศักดิ์ศรีเสมอกัน ซึ่งต้องได้รับความคุ้มครอง อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ซึ่งนานาอารยประเทศต่างให้การยอมรับ และรับรอง ดังเห็นได้จากกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งได้คุ้มครองสิทธิมนุษย์ทุกคนให้ได้รับการศึกษาอย่างน้อย ในระดับประถมศึกษา โดยให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่มีสถานะเป็นพลเมืองของประเทศนั้น ก็ตาม คนที่ไม่ได้รับการศึกษานอกจากจะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิแล้ว ยังท าให้ขาดโอกาสในด้านต่าง ๆ อีกด้วย ประเทศไทยได้ด าเนินนโยบายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยมาเป็นล าดับ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2535 เห็นชอบการจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียน ราษฎรและเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ทั้งการรับเข้าเรียนและการออกหลักฐานทางการศึกษาเมื่อส าเร็จการศึกษา และเห็นชอบระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียน ในสถานศึกษา พ.ศ. 2535 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ระเบียบฯ ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นมา ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2547 ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้จัดท านโยบายการจัดการศึกษา ส าหรับเด็กด้อยโอกาสเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเด็กชนกลุ่มน้อย เด็กไม่ได้รับสัญชาติไทย เด็กไม่มีสูติบัตรหรือทะเบียนบ้าน เป็น ๑ ใน ๖ ประเภทของเด็กด้อยโอกาส ที่เข้าไม่ถึงบริการทางการศึกษา ขั้นพื้นฐานตามนโยบายดังกล่าว และปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการจัดการ ศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ในคราวประชุมวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 และเห็นชอบให้รับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนได้ โดยไม่จ ากัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา อีกทั้งจัดสรรงบประมาณ อุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มนี้ ในอัตราเดียวกับเด็กไทยด้วย แม้ว่าประเทศไทยได้มีการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และเด็กบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติมานานนับทศวรรษแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีเด็กกลุ่มนี้จ านวนไม่น้อย ที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาหรือได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นปัญหา ที่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา ทั้งนี้ ประยุทธ หลักค า (๒๕๕๙) ได้กล่าวถึง โอกาสทางการศึกษา ของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยว่า มีการคาดคะเนกันว่า มีเด็กกลุ่มนี้ ในประเทศไทยอยู่ประมาณไม่น้อยกว่า ๔๐๐,๐๐๐ คน และมีเพียงจ านวนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา กล่าวคือ มีเด็กที่ได้เข้าเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวน ๑๑๖,๗๑๘ คน สังกัดส านักงานการศึกษานอกระบบโรงเรียน จ านวน ๑๑,๔๕๖ คน และเข้าเรียน ในศูนย์การเรียนขององค์กรภาคเอกชน (Migrant Learning Center) จ านวน ๑๘,๔๗๕ คน แสดงให้เห็นว่า มีเด็กเพียงร้อยละ ๓๖.๖๖ เท่านั้น ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากการเข้าเรียนในสถานศึกษา ขณะที่เด็กร้อยละ ๖๓.๓๔ ไม่ได้เข้าเรียนและขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิในด้านต่าง ๆ อาทิ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์การใช้แรงงานเด็ก ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศไทยด้วย
๒ ด้วยตระหนักถึงความส าคัญดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ก าหนดคู่มือและแนวปฏิบัติส าหรับ การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยภายใต้หลักการว่า ให้บุคคลที่ ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย สามารถเข้าเรียนได้โดย ไม่จ ากัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา โดยให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับบุคคลที่มีสัญชาติไทยทุกประการ ทั้งการรับเข้าเรียนและการออกหลักฐานการศึกษา ซึ่งจะสอดคล้องกับการเป็นภาคีอนุสัญญาสิทธิเด็ก และเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาเหล่านั้น มีความเข้าใจ มีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย เพื่อการเสริมสร้าง ความมั่นคงของชาติในระยะยาวต่อไป โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่ สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่กลุ่มบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ตั้งแต่ระดับ ก่อนประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย ถึงแม้ว่าจะมีแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เอื้อให้เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีอยู่หลายช่องทางได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบเด็กกลุ่มนี้อีกจ านวนไม่น้อย ที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาในการเข้ารับการศึกษาไม่ว่าช่องทางใด หรือแม้ว่าเมื่อเด็กเข้าสู่การศึกษาของรัฐไปแล้ว ก็พบว่า เด็กไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสม มีคุณภาพ บางครั้งมีเหตุท าให้เด็กต้องออกเรียนกลางคัน เนื่องจาก ปัญหาทางเศรษฐกิจของครอบครัว เกิดปัญหาการปรับตัว หรือความกดดันจากหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก จึงเป็นเหตุให้เด็กไม่ได้พัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งไม่สอดคล้อง กับหลักการของสิทธิมนุษยชนและเป้าหมายของการจัดการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบปัญหาในการจัดการศึกษา ในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบกับการด าเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในหลายประเด็น ทั้งประเด็นเรื่องกฎหมาย ประเด็นเรื่องผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงของชาติประเด็นเรื่อง ความไม่มั่นคงของการจัดการศึกษาที่ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติมีแนวโน้มปิดตัวลงทุกปี ส่งผลให้การศึกษา ของเด็กต้องหยุดชะงัก เด็กไม่ได้รับการศึกษาที่ต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน และรอการแก้ไขจากภาครัฐอย่างจริงจัง ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุดและลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษา ส านักงาน เลขาธิการสภาการศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานนโยบายด้านการศึกษาของชาติ จึงได้ด าเนินการศึกษำสภำพ กำรจัดกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนส ำหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐำนทำงทะเบียนรำษฎร หรือไม่มีสัญชำติไทย และบุตรหลำนของแรงงำนข้ำมชำติในจังหวัดตำก แบบลงลึกในระดับจังหวัด เพื่อให้เห็นกระบวนการ จัดการศึกษา ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นของการจัดการศึกษาส าหรับเด็กกลุ่มนี้โดยใช้กรณีศึกษาจังหวัดตาก เนื่องจากจังหวัดตากมีเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงาน ข้ามชาติจ านวนมาก และยังมีการจัดการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มนี้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการศึกษาในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติซึ่งจากการ ส ารวจขององค์กรที่ท างานด้านประชากรข้ามชาติ พบว่า จังหวัดตากมีศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติมากที่สุด ในประเทศไทย (ไทยพีบีเอส, ๒๕๕๙) กอปรกับเด็กกลุ่มนี้ในจังหวัดตากยังมีความแตกต่างหลายชาติพันธุ์ มีทั้งเด็กชนเผ่าบนพื้นที่สูงที่มีสถานภาพและสิทธิไม่ชัดเจน เด็กไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กต่างด้าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กชาติพันธุ์พม่า กะเหรี่ยง มอญ และโรฮิงญา และเด็กกลุ่มบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่เกิดในประเทศไทยและที่ติดตามครอบครัวเข้ามาท างาน รวมถึงบุตรของชาวไทยกับแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่ได้แจ้งเกิด ท าให้เด็กกลุ่มนี้กลายเป็นบุคคลไร้สถานะ นอกจากนี้ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดตาก ที่มีแนวชายแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นระยะทางถึง ๕๓๕ กิโลเมตร ส่งผลให้ มีแนวโน้มการอพยพของคนต่างด้าวสูงขึ้นทุกปีอีกทั้งจังหวัดตากยังได้รับคัดเลือกให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนา เศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone: SEZ) ท าให้มีการลงทุนทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง และมีความต้องการแรงงานจ านวนมาก
๓ ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา จังหวัดตากจึงเป็นกรณีศึกษาที่มีความเหมาะสมส าหรับการศึกษาสภาพ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติในระดับจังหวัดซึ่งผลจากการศึกษาครั้งนี้สามารถน ามาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่มีบริบทใกล้เคียงกัน รวมถึงน ามาใช้ประกอบการก าหนดนโยบายการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของกำรศึกษำ 1) เพื ่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที ่ไม ่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 2) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 3) เพื่อจัดท าแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 1.3 ข้อตกลงของกำรศึกษำ การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตากครั้งนี้ จะมุ่งศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัญหา อุปสรรคการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สถิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะพื้นที่ ๕ อ าเภอของจังหวัดตาก คือ อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสอง ยาง เนื่องจากเป็นอ าเภอที่มีเขตแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและมีเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติจ านวนมาก นอกจากนี้ จะมีการศึกษากรณีศึกษา ภาคสนามอ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อศึกษาเชิงลึกถึงสภาพการจัดการศึกษา ปัญหา อุปสรรค และจัดท าเป็น แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติของอ าเภอแม่สอด แล้วเชื่อมโยงสู่การจัดท าแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็ก ที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในระดับจังหวัดตาก เหตุผลของการเลือกศึกษาอ าเภอแม ่สอด จังหวัดตากเป็นกรณีศึกษาภาคสนามนั้น เนื ่องจาก อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็น ๑ ใน ๕ อ าเภอ ที่มีแนวชายแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสองยาง) และเป็น ๑ ใน ๓ อ าเภอ ที่เป็นพื้นที่เขตพัฒนเศรษฐกิจพิเศษตาก (อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ และอ าเภอแม่ระมาด) ด้านประชากร อ าเภอแม่สอด มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทยภูเขาชนเผ่า นอกจากนี้ ยังมี แรงงานข้ามชาติ (Migrant Worker) ที่เข้ามาท างานในอ าเภอแม่สอดจ านวนมาก และมีชาวต่างด้าวที่อพยพ ข้ามพรมแดนเข้ามาฝั่งไทย ส าหรับการจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของอ าเภอแม่สอด ซึ่งรวมถึง ๕ อ าเภอชายแดนจังหวัดตากนั้น อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตากเขต ๒ (สพป.ตาก เขต ๒) โดยข้อมูลของ สพป.ตาก เขต ๒ ระบุว่า ในปีการศึกษา 2560 มีโรงเรียนภายใน สังกัดทั้งหมด 121 โรงเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 47,736 คน แบ่งเป็นนักเรียนที่มีสัญชาติไทย ๓๔,๑๑๖ คน หรือร้อยละ ๗๑.47 และเป็นนักเรียนที่ไม่มีสัญชาติไทยจ านวน 13,620 คน หรือร้อยละ 28.53 ซึ่งส่วนใหญ่ เรียนอยู่ในอ าเภอแม่สอด ถึง 4,082 คน หรือร้อยละ 29.97 ของนักเรียนไม่มีสัญชาติไทย นอกจากนี้ อ าเภอแม่สอดยังได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนที่ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ (Migrant Learning Center: MLC) ขึ้น เพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยในอ าเภอแม่สอด
๔ โดยรายงานของศูนย์ประสานงานการจัดการศึกษาเด็กต่างด้าว สพป.ตาก เขต ๒ ระบุว่า ในปีพ.ศ. ๒๕๖๐ มีจ านวนศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติใน ๕ อ าเภอชายแดน (อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสองยาง) ทั้งหมด ๕๙ ศูนย์ และ ๑๒ ห้องเรียนสาขา มีเด็กไม่มีสัญชาติไทย เข้าเรียนทั้งหมด ๑๒,๘๔๘ คน ซึ่งอ าเภอแม่สอดมีศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติอยู่มากที่สุดถึง ๔๕ ศูนย์ และ ๔ ห้องเรียนสาขาจาก 59 ศูนย์และ 12 ห้องเรียน และมีเด็กไม่มีสัญชาติไทยเรียนอยู่ถึง ๙,๔๗๓ คน หรือร้อยละ ๗๓.๗๓ ของเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่เรียนอยู่ในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติขององค์กรเอกชนใน ๕ อ าเภอชายแดน ๑.4 ขอบเขตของกำรศึกษำ ๑.4.๑ ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ๑) ศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการศึกษา ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กฎหมาย ระหว่างประเทศ และกฎหมายและนโยบายของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย และบริบท ทั่วไปของจังหวัดตาก ๒) การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก โดยการศึกษาจากเอกสารซึ่งมีขอบเขตการศึกษา เฉพาะ ๕ อ าเภอของจังหวัดตากที่มีเขตแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเท่านั้น คือ อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสองยาง ๓) การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก เลือกอ าเภอแม่สอดเป็นกรณีศึกษา ตามข้อตกลงของการศึกษา เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกในประเด็นสภาพการจัดการศึกษา ปัญหา อุปสรรค การจัดการศึกษา ด้วยการศึกษาจากเอกสารและการศึกษาภาคสนาม เพื่อจัดท าเป็นแนวทางการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลายของแรงงานข้ามชาติ ของอ าเภอแม่สอด แล้วเชื่อมโยงสู่แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในระดับจังหวัดตาก 1.4.2 ขอบเขตด้ำนเวลำ ด าเนินการศึกษาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ 1.5 วิธีการด าเนินการ การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก มีวิธีการด าเนินการดังนี้ 1) กำรก ำหนดกรอบแนวคิดและกำรศึกษำ (1) ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา ความหมายของเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ แนวคิดเกี่ยวกับการจัด การศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของ แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายและนโยบายของประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง กับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย จากนั้นก าหนดประเด็นโจทย์การศึกษา วัตถุประสงค์ และกรอบแนวคิดในการศึกษา (Conceptual Framework)
๕ (2) แต่งตั้งคณะท างานการศึกษาน าร่องการจัดการศึกษาส าหรับบุตรหลานแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย (3) จัดประชุมก าหนดกรอบการท างาน พิจารณาแผนการด าเนินงานและก าหนดพื้นที่กรณีศึกษา ร่วมกับคณะท างานการศึกษาน าร่องการจัดการศึกษาส าหรับบุตรหลานแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย 2) กำรเก็บรวบรวมข้อมูล กำรลงพื้นที่ศึกษำภำคสนำมและกำรสัมภำษณ์ (1) ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร บทความ รายงานการวิจัย และเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติของจังหวัดตาก (2) คัดเลือกสถานศึกษาที่จะใช้เป็นกรณีศึกษาภาคสนาม ก าหนดวัตถุประสงค์ของการลงพื้นที่ ก าหนดประเด็นในการศึกษา ประเด็นการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก (3) ลงพื้นที่ศึกษากรณีศึกษาภาคสนาม ณ อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก จ านวน ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 21 – 23 กุมภาพันธ์ 2561 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 3 – ๕ เมษายน 2561 โดยเก็บข้อมูลจาก การประชุมรับฟังความคิดเห็น การสนทนากลุ่ม (Focus Group) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และ การสังเกตการณ์กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและผู้ปกครอง พร้อมทั้งบันทึกภาพและข้อมูล และสรุปผลจากการลงพื้นที่ศึกษาภาคสนาม 3) กำรวิเครำะห์ข้อมูล น าข้อมูลจากการศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนาม มาเรียบเรียง วิเคราะห์และยกร่างรายงาน การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 4) จัดท ำรำยงำนฉบับสมบูรณ์ (1) น าร่างรายงานฯ เสนอผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา จ านวน 4 ท่าน และปรับปรุงร่างรายงานฯ ตามข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ (2) จัดท ารายงานการศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ฉบับสมบูรณ์ 1.6 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1) ได้ทราบสภาพการจัดการศึกษา ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม ่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบายได้น าข้อมูลไปใช้ประโยชน์ประกอบการ หาทางแก้ไขปัญหาในการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติจังหวัดตาก 2) ได้ทราบความต้องการและข้อเสนอแนะของครู ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน เจ้าหน้าที่ ผู้ดูแล และผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก เพื่อประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ น าไปใช้พิจารณาให้ความช่วยเหลือได้สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จริง 3) ได้แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น าข้อมูลไปใช้เป็นกรอบก าหนดทิศทาง แนวทางการบริการการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็ก ที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก และเป็นตัวอย่างในการจัดการศึกษาดังกล่าวให้กับจังหวัดอื่นต่อไป
๖ 1.7 นิยำมศัพท์เฉพำะ การศึกษาครั้งนี้ได้ก าหนดนิยามศัพท์เฉพาะของการศึกษา ดังนี้ สภำพกำรจัดกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน หมายถึง ลักษณะโดยทั่วไปของการจัดการศึกษาระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น รูปแบบการจัดการศึกษา ลักษณะของนักเรียน หน่วยจัดการศึกษา เป็นต้น กำรจัดกำรศึกษำในระบบ หมายถึง การจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ที่จัดขึ้นในระบบโรงเรียน กำรจัดกำรศึกษำนอกระบบ หมำยถึง การจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ที่จัดโดยส านักงาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กำรจัดกำรศึกษำในศูนย์กำรเรียนเด็กข้ำมชำติหมำยถึง การจัดการศึกษาระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงาน ข้ามชาติ ที่จัดขึ้นในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ ศูนย์กำรเรียนเด็กข้ำมชำติ หมายถึง ศูนย์การเรียนที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์กรเอกชนเพื่อใช้เป็นสถานที่ ส าหรับจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้กับเด็กที่ไม่มีทะเบียนราษฎรหรือเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ องค์กรเอกชน หมายถึง สมาคม มูลนิธิ องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) หรือองค์กร ระหว่างประเทศต่าง ๆ หรือองค์กรที่เรียกชื่ออื่น ที่สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์การเรียนส าหรับจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ เด็กที่ไม่มีหลักฐำนทำงทะเบียนรำษฎร หมายถึง บุคคลที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์ซึ่งไม่มี เอกสารหลักฐานของทางราชการไทยออกให้ กล่าวคือ ไม่มีสูติบัตร หนังสือรับรองการเกิด บัตรประจ าตัว ประชาชน หรือทะเบียนบ้าน หรือหลักฐานอื่นที่ทางราชการจัดท าขึ้นในลักษณะเดียวกัน เด็กที่ไม่มีสัญชำติไทย หมายถึง บุคคลที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์ซึ่งไม่มีสถานะของ ความเป็นคนไทยไม่ว่าโดยหลักสืบสายโลหิตจากบิดาหรือมารดา โดยหลักแผ่นดิน หรือโดยการแปลงสัญชาติ และหมายรวมถึงเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติด้วย บุตรหลำนของแรงงำนข้ำมชำติหมายถึง บุคคลไม่มีสัญชาติไทยที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ที่อยู่ในครอบครัวของแรงงานข้ามชาติ
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เด็กเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าซึ่งจะเป็นก าลังส าคัญหลักในอนาคตที่จะช่วยขับเคลื่อนพัฒนา ประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป โดยเฉพาะแนวโน้มของโลกอนาคตที่ซับซ้อนและมีการแข่งขันสูง ในหลายมิติเด็กทุกคนจึงต้องได้รับการเตรียมความพร้อมให้ก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและในฐานะ มนุษย์เด็กทุกคนย่อมมีศักด์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์เทียมเท่ากับผู้ใหญ่ มีความชอบธรรมในสิทธิและเสรี ที่จะได้รับการศึกษาซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนที่นานาประเทศต่างยอมรับ และรับรองโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติแม้ว่าจะไม่ใช่เป็นพลเมืองของประเทศนั้นก็ตาม ซึ่งการศึกษาในบทนี้ ผู้ศึกษาได้ท าการศึกษาตามกรอบแนวคิด ดังนี้ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา 2.๒ ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย 2.4 กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ 2.5 บริบทของจังหวัดตาก 2.6 กรอบแนวคิดการศึกษา 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา สิทธิการศึกษาได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ อาทิ ปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. ๑๙๘๙ ต่างชี้ชัดว่าสิทธิในการศึกษาเป็นสิทธิมนุยชน ซึ่งฐานแห่งสิทธิเกิดจาก “ความเป็นมนุษย์” (สุวรรณี เข็มเจริญ, ๒๕๔๗) ที่ให้ความส าคัญกับการพัฒนาบุคคล หรือมนุษย์ โดยการสามารถใช้สิทธิการศึกษาเป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยให้บุคคลสามารถเข้าถึงสิทธิอื่น ๆและสามารถ ใช้สิทธิเหล่านั้นได้(ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์, ๒๕๔๘) ๒.๑.๑ ความหมายของสิทธิการศึกษา สิทธิการศึกษา (Right to Education) เป็นการประสมกันระหว่างค าว่า สิทธิ(Right) และ การศึกษา (Education) เกิดเป็นค าที่มีความหมายใหม่ขึ้นมา โดยอาศัยอ านาจของกฎหมายรับรองและคุ้มครองบุคคล ทางด้านการศึกษาให้ได้รับการพัฒนาอย่างไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้ความหมายของค าว่า “สิทธิ” และ “การศึกษา” ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ ความหมายของสิทธิ หยุด แสงอุทัย (2535) อธิบายว่า สิทธิเป็นการก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นในอันที่จะต้องปฏิบัติการ ให้เป็นไปตามประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ รวมถึงมีหน้าที่ที่จะไม่รบกวนต่อสิทธิหรือหน้าที่ ที่จะกระท าการหรืองดเว้นกระท าอย่างหนึ่งอย่างใดให้เป็นไปตามสิทธิ ทั้งนี้ แล้วแต่ประเภทของสิทธินั้นๆ ด้วย พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๖) ให้ความหมายว่า สิทธิเป็นอ านาจที่กฎหมายรับรอง ให้กระท าการใด ๆ โดยสุจริตได้อย่างอิสระ แต่ต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของคนอื่น
๘ จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า สิทธิคือ อ านาจที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองแก่บุคคลในการ กระท าการใด ๆ โดยสุจริต ซึ่งบุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องเคารพและปฏิบัติการให้เป็นไปตามประโยชน์ตามที่ กฎหมายรับรองและคุ้มครอง ทั้งนี้ต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของคนอื่นด้วย ความหมายของการศึกษา Good (1973) ให้ความหมายการศึกษาว่า หมายถึง การด าเนินกระบวนการเพื่อให้บุคคลสามารถ พัฒนาความสามารถด้านต่าง ๆ อันรวมถึงทัศนคติและพฤติกรรมตามค่านิยมและคุณธรรมที่มีอยู่ในสังคม วิทยากร เชียงกูล (2542) อธิบายว่า การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคน ในสังคม ความรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ที่ถ่ายทอดผ่านระบบการศึกษา ผ่านสื่อมวลชน และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ของสังคม มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมของประชาชน การศึกษามีผลกระทบต่อการพัฒนาทางสังคม ในขณะเดียวกันการพัฒนาสังคมมีผลกระทบต่อการศึกษาด้วย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติว่า การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม สร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากข้างต้นสรุปได้ว่า การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ของบุคคลในการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ ทัศนคติและพฤติกรรมของตนเอง น าไปสู่ความเจริญงอกงามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งการศึกษาสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ดังนั้น เมื่อน าค าว่า “สิทธิ” มาประสมกับ “การศึกษา” จึงสามารถนิยามได้ว่า “สิทธิการศึกษา” หมายถึง อ านาจที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองแก่บุคคล เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนา ความสามารถ ทัศนคติ และพฤติกรรม น าไปสู่ความเจริญงอกงาม ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ก่อให้เกิดหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องเคารพสิทธินั้น ๆ และเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกันด้วย ทั้งนี้ สุวรรณี เข็มเจริญ (๒๕๔๗) ได้ให้ความหมายสิทธิการศึกษาไว้2 ด้าน คือ ด้านแรกพิจารณาด้านรูปแบบ หมายถึง สิทธิการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตลอดชีวิต และด้านที่สองพิจารณาในด้านลักษณะ หมายถึง สิทธิในการ เข้าเรียนในสถานศึกษา สิทธิในการได้รับการศึกษาในมาตรฐานเดียวกัน และสิทธิในการได้รับหลักฐานทางการศึกษา ๒.๑.๒ องค์ประกอบของสิทธิการศึกษา ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ (๒๕๕๘) กล่าวถึง องค์ประกอบของสิทธิการศึกษา 4 ประการ โดยสรุปดังนี้ ประการที่ 1 การจัดหาและให้บริการ (Availability) หมายถึง การจัดการให้มีสถาบันการศึกษา และโครงการการศึกษาที่มากเพียงพอภายในพื้นที่ที่รัฐภาคีมีอ านาจทางกฎหมายครอบคลุมถึง โดยสถาบันการศึกษา จะต้องสามารถท าหน้าที่ให้บริการการศึกษาได้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ และมีปัจจัยที่เอื้อให้เกิดการบริการการศึกษา เช่น ตัวอาคาร สิ่งอ านวยความสะดวกครูอาจารย์ที่ได้รับการฝึกอบรม อุปกรณ์การเรียนการสอน และปัจจัยอื่นๆ ประการที่ 2 การสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้(Accessibility) หมายถึง การที่เด็กและประชาชน สามารถเข้าถึงและใช้บริการจากสถาบันการศึกษาและโครงการการศึกษาที่รัฐได้จัดหาให้ในพื้นที่ที่รัฐภาคี มีอ านาจทางกฎหมายครอบคลุมถึงโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งความสามารถเข้าถึงและใช้บริการทางการศึกษาได้ มีองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ (1) การไม่เลือกปฏิบัติ(Non-Discrimination) การศึกษาจะต้องสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ โดยไม ่มีการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย ่างยิ ่งส าหรับชนกลุ ่มน้อยและกลุ ่มที ่เสี ่ยงต ่อการถูกละเมิดสิทธิ การไม่เลือกปฏิบัติในที่นี้จะต้องเป็นจริงทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ
๙ (2) การสามารถเข้าถึงได้ทางกายภาพ (Physical Accessibility) นั่นคือสถานศึกษาและโครงการ ศึกษาจะต้องตั้งอยู่ในที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางไปถึงได้อย่างสะดวก มีการกระจายทางภูมิศาสตร์อย่างเหมาะสม และไม่อยู่ไกลจนเกินไป นอกจากนี้สถานศึกษาและโครงการศึกษาอาจช่วยให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น จากโครงการเรียนรู้ทางไกล (Distance LearningProgram) เช่นการเรียนทางไปรษณีย์หรืออินเทอร์เน็ต (3) การสามารถเข้าถึงได้ทางเศรษฐกิจ (Economic Accessibility) หมายถึง การที่บริการทาง การศึกษาจะต้องไม่แพงเกินกว่าที่ประชาชนสามารถซื้อได้ การเข้าถึงได้ทางเศรษฐกิจมีความหมายแตกต่างไป ตามระดับการศึกษา กล่าวคือ รัฐจะต้องจัดบริการทางการศึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ในระดับประถม และจะต้องไม่คิดค่าใช้จ่ายที่สูงนักส าหรับในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา และจะต้องด าเนินการ อย่างก้าวหน้าเพื่อให้สามารถให้บริการทางการศึกษาในระดับมัธยมและอุดมศึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ประการที่ 3 ความสามารถยอมรับได้(Acceptability) หมายถึง รูปแบบและเนื้อหาสาระของ การศึกษา รวมทั้งหลักสูตรและวิธีการสอนจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ส าหรับนักเรียน และในบางครั้งส าหรับ พ่อแม่ ซึ่งรวมถึงคุณภาพของการศึกษา ความข้องเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาและความเหมาะสม ทางวัฒนธรรม นั่นคือรูปแบบและเนื้อหาของการศึกษาจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา และจะต้องมีคุณภาพผ่านมาตรฐานขั้นต่าง ๆ ที่ก าหนดไว้ ประการที่ 4 ความสามารถปรับเปลี่ยนได้(Adaptability) หมายถึง การศึกษาจะต้องยืดหยุ ่น ให้สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบรับกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเพื่อให้ตอบสนองความต้องการ ของชุมชน ความต้องการของนักเรียน ในบริบทของความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้นจากข้างต้น องค์ประกอบของสิทธิการศึกษา จึงประกอบด้วย 1.การจัดหาและให้บริการ 2.การสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ 3.ความสามารถยอมรับได้ และ 4.ความสามารถปรับเปลี ่ยนได้ ซึ ่งรัฐมีหน้าที ่จัดหาและให้บริการเพื ่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงได้และใช้บริการ ตามสิทธิ์ที่ควรได้รับ โดยมีรูปแบบ เนื้อหาหลักสูตร วิธีการสอนที่มีความเหมาะสมกับผู้เรียน และสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพบริบทของสังคม ๒.๑.๓ สาระส าคัญของสิทธิการศึกษา ๒.๑.๓.๑ สิทธิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (The Right to Fundamental Education) คณะกรรมการสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมได้อ้างอิงสิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐานนี้ กับปฏิญญาโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน ค.ศ.1990 (World Declaration Education For All 1990) หรือปฏิญญาจอมเทียน ที่มุ่งรับรองการศึกษาเพื่อปวงชนและเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการเรียนรู้ ซึ่งปฏิญญาฉบับนี้ได้ให้ความหมายการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า เป็นการศึกษาที่มุ่งตอบสนอง “ความต้องการ ในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน” ซึ่งความต้องการดังกล่าวนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) เครื่องมือในการเรียนรู้ เช่น ความสามารถอ่านออกเขียนได้ความสามารถพูดสื่อสารได้ ความรู้เกี่ยวกับตัวเลข และการแก้ไขปัญหา (2) เนื้อหาของการเรียนรู้พื้นฐาน ได้แก่ ความรู้ ทักษะ ค่านิยม และทัศนคติ โดยความต้องการในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน 2 ประการนี้ เป็นสิ่งจ าเป็นที่มนุษย์ต้องมีเพื่อที่จะสามารถ อยู่รอด และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตนเอง มีชีวิตและท างาน อย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อจะตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่จะเรียนรู้ต่อไป สรุปจากข้างต้น สิทธิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการศึกษาที่มุ่งตอบสนองความต้องการ ในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ซึ่งความต้องการนี้ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ เครื่องมือในการเรียนรู้และเนื้อหาของ การเรียนรู้เพื่อศักดิ์ศรีและความอยู่รอดของมนุษย์
๑๐ ๒.๑.๓.๒ การรับรองสิทธิการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ(2542) อธิบายถึง การรับรองสิทธิการศึกษา 4 ประการ ซึ่งเป็นการประกันสิทธิต่าง ๆอันเกิดจากสิทธิการศึกษา สรุปดังนี้ 1. สิทธิในการเข้ารับบริการด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นของประชาชนทั่วไป ผู้ด้อยโอกาส เด็กและเยาวชนที่ไม่มีผู้ดูแล ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือศึกษาไม่ครบก าหนดระยะเวลาของการศึกษาภาคบังคับ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน อีกทั้ง สิทธิในการเลือกสถานศึกษาส าหรับเด็ก ของบิดา มารดาและผู้ปกครอง 2. สิทธิระหว่างรับการศึกษา หมายถึง สิทธิในการรับการศึกษาที่มีคุณภาพ สิทธิในการเทียบโอน ผลการเรียนที่ได้สะสมไว้ ทั้งรูปแบบการศึกษาเดียวกันหรือต่างรูปแบบกัน สิทธิในการได้รับการพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สิทธิในการรับการศึกษาจากสถานศึกษาที่มีระเบียบสอดคล้องกับศักดิ์ศรี แห่งความเป็นมนุษย์ รวมถึงสิทธิในการรับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถ 3.สิทธิได้รับเงินอุดหนุนในการรับการศึกษา หมายถึง สิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สิทธิในการได้รับทุนการศึกษา สิทธิในการได้รับเงินอุดหนุนการศึกษาของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ 4. สิทธิประโยชน์จากการศึกษา หมายถึง สิทธิที่จะน าความรู้ความสามารถจากการศึกษาไปใช้ ในการพัฒนาตนเองให้เกิดประโยชน์ โดยสามารถเข้าถึงสิ่งนั้นได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เช่น การได้รับ การรับรองวุฒิการศึกษา ซึ่งสามารถน าไปใช้สมัครศึกษาต่อหรือใช้สมัครงานเพื่อประกอบอาชีพ เป็นต้น สรุปได้ว่า การรับรองสิทธิการศึกษา เป็นการประกันสิทธิการศึกษา ๔ ประการ คือ ๑. สิทธิในการ เข้ารับบริการด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒.สิทธิระหว่างรับการศึกษา อาทิการศึกษาที่มีคุณภาพ การเทียบโอน ๓. สิทธิได้รับเงินอุดหนุนในการรับการศึกษา และ ๔. สิทธิประโยชน์จากการศึกษา เช่น การได้รับวุฒิการศึกษา ๒.๑.๓.๓ ภาระหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติตามสิทธิการศึกษา ศรีรักษ์ผลิพัฒน์(๒๕๔๘) กล่าวถึง ภาระหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิการศึกษา ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ 1. ภาระหน้าที่ทั่วไป ได้แก่ ประการแรก รัฐต้องปฏิบัติตามสิทธิการศึกษาโดยการท าให้สิทธิทางการศึกษาเป็นจริงอย่างก้าวหน้า (Progressive Realization) กล่าวคือ รัฐต้องด าเนินการเพื่อให้เด็กและบุคคลได้รับการศึกษาและเสรีภาพ ทางการศึกษาตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงประเมินปัญหาอุปสรรคของการท าให้สิทธิทางการศึกษาเป็นจริง ถือเป็นภาระหน้าที่มีผลทันที ประการที่สอง รัฐภาคีจะต้องด าเนินการทันทีโดยให้หลักประกันว่าสิทธิการศึกษาจะได้รับ การท าให้เป็นจริงโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ประการที่สาม รัฐมีภาระหน้าที่ในการเคารพ หมายถึง รัฐต้องหลีกเลี่ยงไม่ใช้มาตรการที่ท าให้ บุคคลไม่สามารถบรรลุถึงสิทธิทางการศึกษาได้ และรัฐมีภาระหน้าที่ในการคุ้มครอง หมายถึง การที่รัฐจะต้อง ออกมาตรการในการปกป้องคุ้มครองไม่ให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นรบกวนหรือขัดขวางไม่ให้บุคคลได้รับสิทธิ การศึกษา อีกทั้งรัฐมีภาระหน้าที่ในการท าให้เป็นจริง หมายถึง การที่รัฐภาคีจะต้องใช้มาตรการและด าเนินการ จัดหาให้บริการและช่วยเหลือให้บุคคลได้รับสิทธิการศึกษา 2. ภาระหน้าที่เฉพาะเจาะจง รัฐมีหน้าที่ให้การประกันว่า หลักสูตรการศึกษาในทุกระดับจะตอบสนอง วัตถุประสงค์ของการศึกษา นั่นคือ บุคคลสามารถพัฒนาตนเอง บุคลิกภาพ ความรู้สึกในศักดิ์ศรีของมนุษย์ และการท าให้สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานเข้มแข็งขึ้น รวมทั้งช่วยให้บุคคลมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และสร้างความเข้าใจในความหลากหลาย สร้างมิตรภาพระหว่างคนต่างชาติ ต่างเชื้อชาติ ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา สนับสนุนกิจกรรมของสหประชาชาติในการคงไว้ซึ่งสันติภาพ ทั้งนี้ รัฐจะต้อง
๑๑ จัดตั้งและดูแลรักษาระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส และรัฐมีหน้าที่ในการจัดระบบ ทุนการศึกษาให้กับนักเรียนกลุ่มที่อยู่ในสภาพเสียเปรียบทางสังคม รวมถึงดูแลไม่ให้ครอบครัวและชุมชนได้ ประโยชน์จากการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งเป็นสาเหตุส าคัญอย่างหนึ่งที่ท าให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการศึกษาได้ ดังนั้นสรุปได้ว่า ภาระหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติตามสิทธิการศึกษา ประกอบด้วย ๑. ภาระหน้าที่ทั่วไป ได้แก่ ท าให้สิทธิทางการศึกษาเป็นจริงอย่างก้าวหน้า โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ และหลีกเลี่ยงมาตรการที่ท าให้ บุคคลไม่สามารถบรรลุถึงสิทธิทางการศึกษาได้๒. ภาระหน้าที่เฉพาะเจาะจง เช่น การประกันหลักสูตรที่ ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการศึกษา นั่นคือ พัฒนาตนเอง บุคลิกภาพ ความรู้สึกในศักดิ์ศรีของมนุษย์เป็นต้น 2.2 ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงาน ข้ามชาติ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ให้นิยามว่า “เด็ก” (Child) หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่มีอายุต่ ากว่าสิบแปดปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้น ตามกฎหมายที่บังคับ แก่เด็กนั้น ซึ่งสอดคล้องกับนิยามของเด็ก ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในมาตรา 4 ว่า เด็ก หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุต่ ากว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส จากนิยามดังกล่าว มนุษย์ทุกคนที่มีอายุต่ ากว่า 18 ปี จึงอยู่ในความหมายของค าว่าเด็กทั้งสิ้น เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีของประเทศไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ว่าด้วยบุคคล มาตรา 19 ก าหนดว่า บุคคลจะบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แต่หากบุคคลนั้นได้ท าการสมรสก่อนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยผู้เยาว์ฝ่ายชายมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ และฝ่ายหญิงมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ และตามมาตรา 20 บุคคลนั้นเป็นผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ดังนั้น หากเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่ได้ท าการสมรสก่อนและเข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย ก็ถือว่าเด็กคนนั้น ได้พ้นจากสภาวะความเป็นเด็ก และได้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้วจึงไม่ใช่เด็กอีกต่อไป จากค าจ ากัดความ ดังกล่าวจึงสามารถสรุปนิยามได้ว่า “เด็ก” หมายถึง บุคคลที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์ซึ่งไม่รวมถึงบุคคลที่ บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้ว 2.2.1 ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติว่า การทะเบียนราษฎร คือ งานทะเบียน ต่าง ๆ ซึ่งในพระราชบัญญัติฉบับนี้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทะเบียนคนเกิดและทะเบียนบ้าน มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2548 ในเรื่องของการศึกษาว่าด้วยหลักฐานในการรับ นักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา ได้อธิบายถึง เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร ไว้ว่าหมายถึง เด็กที่ไม่มีเอกสารหลักฐานที่แสดงให้ทราบถึง สัญชาติ วัน เดือน ปีเกิด และถิ่นที่อยู่ ที่ทางราชการออกให้ ดังนั้น เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร ในที่นี้ หมายถึง บุคคลที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์ ซึ่งไม่มีเอกสารหลักฐานของทางราชการไทยออกให้ กล่าวคือ ไม่มีสูติบัตร หนังสือรับรองการเกิด บัตรประจ าตัวประชาชน หรือทะเบียนบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการไทยจัดท าขึ้นในลักษณะเดียวกัน 2.2.2 ความหมายของเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ บัญญัติถึงหลักการได้มาของสัญชาติไทย แบ่งออกได้ ๒ หลัก คือ ๑) การได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ได้แก่ (๑) บิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยไม่ว่าจะเกิดใน หรือนอกราชอาณาจักรไทย และ (๒) ผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ยกเว้น ผู้ที่บิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ถ้าในขณะที่เกิดบิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดา หรือมารดาของผู้นั้นเป็นผู้ที่ได้รับการ ผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษหรือเป็นการชั่วคราว หรืออยู่โดยผิดกฎหมาย
๑๒ (มาตรา ๗ และ มาตรา ๗ ทวิ หนึ่ง) ย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย (๓) ผู้ซึ่งได้รับการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (มาตรา ๙/๖) ๒) การได้สัญชาติไทยโดยกระบวนการของกฎหมาย ได้แก่ “การยื่นเรื่องและพิจารณา” ของบุคคลนั้น แบ่งได้3 กรณี คือ (๑) ภรรยาซึ่งเป็นคนต่างด้าวขอถือสัญชาติตามสามีไทย (๒) คนต่างด้าวขอแปลงสัญชาติ เป็นคนไทย โดยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขของกฎหมาย และ (๓) คนต่างด้าวขอกลับคืนสัญชาติไทย (กรณีคนสัญชาติไทยสละสัญชาติเพื่อสมรสกับคนต่างด้าว/คนสัญชาติไทยเสียสัญชาติตามบิดามารดา ก่อนบรรลุนิติภาวะ) ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (๒๕๖๐) ให้ความหมายของ เด็กไม่มีสัญชาติไทยว่า หมายถึง ผู้ที่ไม่มีสูติบัตรและทะเบียนบ้านของบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (ทร.๑๔) หรือทะเบียนประวัติของชนกลุ่มน้อย /ทะเบียนส ารวจบัญชีบุคคลในบ้าน/ มีบัตรประจ าตัวชนกลุ่มน้อย (บัตรสี) และมีหนังสือรับรองการเกิด ที่ทางราชการออกให้และเอกสารอื่น ๆ ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย และยังรวมถึงบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียน ราษฎร หมายถึง ผู้ที่ไม่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรที่แสดงถึงสัญชาติ วัน เดือน ปีเกิด ถิ่นที่อยู่ที่ ทางราชการออกให้ ดังนั้น “เด็กไม่มีสัญชาติไทย” ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์ซึ่งไม่มี สถานะของความเป็นคนไทยในกรณีต่าง ๆ กล่าวคือ ไม่มีสถานะเป็นคนไทยโดยหลักสืบสายโลหิต จากบิดาหรือมารดา ไม่มีสถานะเป็นคนไทยโดยหลักแผ่นดิน ไม่มีสถานะเป็นคนไทยโดยการแปลง สัญชาติรวมทั้งเด็กทุกคนในประเทศไทยที ่ไม ่ได้รับการรับรองจากรัฐไทยว ่าเป็นพลเมืองของรัฐ และหมายรวมถึงเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติด้วย 2.2.3 ความหมายของบุตรหลานแรงงานข้ามชาติ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 บัญญัติว่า คนต่างด้าว หมายถึง ผู้ซึ่งมิได้มีสัญชาติไทย พระราชบัญญัติการท างานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติว ่า คนต ่างด้าว หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย เปรมใจ วังศิริไพศาล (2557) ให้ความหมาย บุตรแรงงานต่างชาติไว้ว่า หมายถึง เด็กต่างชาติ อายุ 0-18 ปีในครอบครัวแรงงานต่างชาติไร้ฝีมือ 3 สัญชาติ (กัมพูชา พม่า และลาว) ที่ท างานในประเทศไทย ทั้งที่มีสถานะตามกฎหมายและได้รับการผ่อนผันให้ท างานชั่วคราวในประเทศไทย หรือแรงงานที่ไม่มี สถานะทางกฎหมาย ศิรินาถ อุดมถิรพันธุ์ (๒๕๕๙) ให้ความหมายของเด็กต่างด้าวว่า หมายถึง เด็กไร้สัญชาติ เด็กต่างชาติพันธุ์ เด็กที ่ไม ่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือเด็กที ่ไม ่ใช ่เชื้อชาติหรือสัญชาติไทย แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ตามกฎหมาย โดยเป็นเด็กที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการจัดการศึกษา ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาต้องมี ส่วนเกี่ยวข้องตามกฎหมายและตามหน้าที่ความรับผิดชอบ สรุปได้ว่า บุตรหลานแรงงานข้ามชาติหมายถึง บุคคลไม่มีสัญชาติไทยที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ซึ่งอยู่ในครอบครัวของแรงงานต่างชาติ3 สัญชาติ ได้แก่ พม่า กัมพูชาและลาว จะเห็นได้ว่าเด็กทั้ง ๓ กลุ่ม ซึ่งได้แก่ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ มีคุณลักษณะหนึ ่งที ่ตรงกัน คือ เป็นบุคคลที ่ไม ่ได้รับสัญชาติไทย จากทางราชการไทย ดังนั้น เพื่อให้การศึกษาครั้งนี้เข้าใจง่าย การใช้ภาษาสั้น กะทัดรัด ผู้ศึกษาจะใช้ค าว่า “เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย” ซึ ่งให้หมายรวมถึง เด็กที ่ไม ่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรและบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติด้วย ซึ ่งสอดคล้องกับ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (๒๕๖๐) ได้กล ่าวถึง
๑๓ เด็กที ่ไม ่มีสัญชาติไทยว ่า ได้แก ่ เด็กบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติเด็กชนเผ ่า และเด็กกลุ ่มอื ่นที ่ไม ่มี สถานะทางทะเบียน เป็นกลุ่มหนึ่งของเด็กด้อยโอกาส ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับผู้มีปัญหาสถานะ และสิทธิ อย่างน้อย ๓ ลักษณะ คือ ๑) กลุ่มเด็กที่มีผู้ปกครองเป็นชนกลุ่มน้อย หรือเป็นผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยและอาศัยอยู่ใน ประเทศไทยติดต่อกันยาวนานไม่ต่ ากว่า ๑๐ ปี ซึ่งจะมีทั้งเด็กที่มีทะเบียนประวัติของชนกลุ่มน้อย/ทะเบียน ส ารวจบัญชีบุคคลในบ้าน/มีบัตรประจ าตัวชนกลุ่มน้อย (บัตรสี) และไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือ เป็นคนไร้รากเหง้า ๒) กลุ่มเด็กที่เป็นบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ หรือแรงงานต่างด้าวตามนิยามของยุทธศาสตร์ การแก้ปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ซึ่งมีทั้งกลุ่มผู้ปกครองที่ได้รับการจดทะเบียนและกลุ่มแรงงาน ต่างด้าวอื่น ๆ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงาน จึงมีทั้งลักษณะที่มีเอกสารที่แสดงสัญชาติแต่ไม่ใช่สัญชาติไทย และกลุ่มที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรใด ๆ โดยบุตรหลานแรงงานข้ามชาติ มีอย่างน้อย ๕ กลุ่ม ได้แก่ (๑) เด็กที่เกิดในประเทศไทย (๒) เด็กที่ติดตามอพยพมากับผู้ปกครอง (๓) เด็กที่เกิดจากทายาทรุ่นสองของ แรงงานข้ามชาติที่มาพ านักอาศัยเป็นการชั่วคราวและมีครอบครัวในประเทศไทย (๔) เด็กที่เดินทางเข้ามาเอง ภายหลังเพื่อมาท างานหรือติดตามผู้ปกครอง (๕) เด็กข้ามชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยล าพัง หรือแยกจากผู้ปกครองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมาหางานท า หรือมาโดยกระบวนการชักจูง/น าพาเข้ามา เพื่อหาประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ๓) กลุ่มเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร คือ เด็กที่ไม่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎร ที่แสดงถึงสัญชาติ วัน เดือน ปีเกิด ถิ่นที่อยู่ ที่ทางราชการออกให้ ซึ ่งหากพิจารณาจากลักษณะของเด็กกลุ ่มที ่ ๑ และ กลุ ่มที ่ ๒ จะเห็นว ่าเด็กกลุ ่มที ่ ๓ นี้จะมี ลักษณะทับซ้อนอยู ่ ทั้งในกลุ ่มของเด็กที ่เป็นบุตรหลานของชนกลุ ่มน้อย และเด็กที ่เป็นบุตรหลานของ แรงงานข้ามชาติ บุตรหลานของ ชนกลุ่มน้อย ที่มีบัตรสี บุตรหลานของ แรงงานข้ามชาติ ที่ขึ้นทะเบียน แรงงานต่างด้าว เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร (คนไร้รากเหง้า) แผนภาพที่ 1 แสดงความเชื่อมโยงบุตรหลานของชนกลุ่มน้อยที่มีบัตรสีบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียน แรงงานต่างด้าวและเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร (คนไร้รากเหง้า)
๑๔ 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือ ไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ภายหลังที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติซึ่งได้มีการรับรอง หลักการของ “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” ที่ว่ามนุษย์มีสิทธิติดตัวมาตั้งแต่ก าเนิด มนุษย์มีศักดิ์ศรี และมีความเสมอภาคกัน ห้ามเลือกปฏิบัติ(Non-Discrimination) ต่อมนุษย์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ซึ่งสิทธิ ในการศึกษาเป็นสิทธิมนุษยชนหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในปฏิญญาสากลฉบับนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิก จึงมีพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะต้องให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในการศึกษาของมนุษย์ทุกคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น บุคคลทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อชาติศาสนา สัญชาติ สีผิว เผ่าพันธุ์ก าเนิด หรือความแตกต่างในสถานะอื่นใดก็ตาม หรือแม้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย เมื่ออาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับการศึกษาตามหลักการของสิทธิมนุษยน นอกจากนี้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ยังเป็นพื้นฐานส าคัญของสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกหลายฉบับ อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1965 กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมค.ศ. 1966 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1989 ส าหรับประเทศไทยได้น าเอาหลักการสิทธิมนุษยชนมาบัญญัติไว้ในกฎหมายของประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ โดยเฉพาะการด าเนินการที่ส าคัญของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งรับผิดชอบหลักในการจัดการศึกษา ของประเทศ ได้เสนอหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ ่งเป็นหลักการในการจัดการศึกษาแก ่บุคคลที ่ไม ่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม ่มีสัญชาติไท ย และขยายโอกาสทางการศึกษาเปิดกว้างให้บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเข้าเรียนได้และเมื่อส าเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับหลักฐานทางการศึกษา อีกทั้ง ยังจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับสถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้กับกลุ่มบุคคลดังกล่าว ในอัตราเดียวกับเด็กไทยตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย อยู่ในกลุ่มเด็กขาดโอกาสที่เข้าไม่ถึงบริการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ กลุ่มของเด็กด้อยโอกาส ตามนโยบายการจัดการศึกษาส าหรับเด็ก ด้อยโอกาสของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๘ (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๖๐) เพื่อให้ได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงตามสิทธิ (ยกเว้นเด็กกลุ่มที่หลบหนีภัยจากการสู้รบ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ ของกระทรวงมหาดไทย จัดให้เรียนในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ๙ แห่ง ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี) อย่างไรก็ตาม จ านวนเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ยังไม่ปรากฏ ตัวเลขที่ชัดเจนแน่นอน เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของระบบทะเบียน ข้อมูลเท่าที่ปรากฏ เช่น จากส านัก ทะเบียนราษฎร กระทรวงมหาดไทย (ส านักทะเบียนราษฎร, 2548) ระบุว่าในปีพ.ศ. 2547 จากการจดทะเบียน ครอบครัวของแรงงานต่างชาติไร้ฝีมือ พบว่ามีเด็กอายุ 0-15 ปี จ านวน 93,082 คน และในปี พ.ศ. 2549 จากข้อมูลชนกลุ่มน้อยและประชากรต่างชาติ จากพม่า ลาว และกัมพูชา ที่มาจดทะเบียน ประวัติ (ทร 38/1) แสดงว่ามีเด็กและเยาวชนอายุ 5-18 ปี ประมาณ 2๕๐,๐๐๐ คน กระจายอยู่ในจังหวัด ต่าง ๆ (รัตนา จักกะพาก, 2558) และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ นางอธิตา ออร์เรลล์ ผู้ประสานงานองค์การ World Education คาดการณ์ว่ามีตัวเลขประมาณการของเด็กข้ามชาติ ประมาณ 200,000 -400,000 คน (เอชโฟกัส, ๒๕๕๙)
๑๕ ๒.๓.๑ รูปแบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือ ไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ รายงานการตรวจสอบนักเรียนที่มีเลขประจ าตัวไม่ถูกต้องที่เรียนอยู่ในระบบการศึกษากับฐานข้อมูล ทะเบียนราษฎร (เลขประจ าตัวประชาชน) พบว่า ในปีการศึกษา 2560 มีนักเรียนที่มีเลขประจ าตัวไม่ถูกต้อง ในสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวน 155, 954 คน ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จ านวน 19,325 คน และส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 129,125 คน รวมทั้งสิ้น จ านวน 304,431 คน (ฐานข้อมูลทะบียนราษฎร, สป.ศธ., 2561) ทั้งนี้ จากการศึกษา ของส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (๒๕๖๐) และผู้ศึกษาพบว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ในปัจจุบันแบ่งออกได้ ๓ รูปแบบใหญ่ ๆคือ ๑) การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนภายใต้การก ากับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ๒) การจัดการ ศึกษานอกระบบ โดยส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และ ๓) การจัดการ ศึกษาในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติซึ่งบริหารจัดการโดยองค์กรเอกชนหรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) สรุปได้ดังนี้ 1. การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนภายใต้การก ากับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบโรงเรียนส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม ่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติภายใต้การก ากับดูแลของหน ่วยงานภาครัฐมี หน่วยงานที่ก ากับดูแลแบ่งออกได้๒ หน่วยงาน ได้แก่ (๑) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ (๒) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาของเด็กที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ (อายุ ๖-๑๕ ปี) การจัดการศึกษาประเภทนี้จะให้เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยเรียนร่วมกับเด็กไทยในโรงเรียนสังกัด ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เด็กรหัส G หรือเลข ๐) หรือสังกัดส านักงานคณะกรรมการ ศึกษาเอกชน (เด็กรหัส P หรือ เลข ๐) โดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในการเรียนการสอน เมื่อเรียนจบการศึกษาแล้วเด็กจะได้รับวุฒิการศึกษาจากโรงเรียน และสามารถน าไปใช้เป็น หลักฐานเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ อีกทั้ง เด็กนักเรียนทั้ง รหัส G รหัส P หรือ เลข ๐ ยังได้รับเงินอุดหนุน เป็นค่าใช้จ่ายรายหัวใน ๕ รายการ ได้แก่ ๑) ค่าจัดการเรียนการสอน ๒) ค่าหนังสือเรียน ๓) ค่าเครื่องแบบนักเรียน ๔) ค่าอุปกรณ์การเรียน และ ๕) ค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ในอัตราเดียวกันกับเด็กไทย นอกจากนี้ ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานยังได้จัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนในโรงเรียนหรือห้องเรียนสาขา โดยน าชื่อเด็กของศูนย์การเรียนไปขึ้นทะเบียนไว้กับโรงเรียนของรัฐ และจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยที่ตัวเด็กยังเรียนอยู่ที่ศูนย์การเรียน ซึ่งแนวทางนี้ช่วยให้เด็กได้รับการศึกษาที่มี คุณภาพ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตนเอง รวมถึงได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัว และวุฒิการศึกษาเช่นเดียวกับเด็กในโรงเรียนด้วย ซึ่งในรูปแบบนี้ยังมีจ านวนไม่มากนัก สอดคล้องกับที่ลัดดาวัลย์หลักแก้วและคงชษิณ สุวิชา(2559) ได้ศึกษาพบว่า ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานมีแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทย 4 แนวทางคือ แนวทางที่ 1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เข้าเรียนในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2548 โดยการเรียนการสอนใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อนักเรียน จบการศึกษาขั้นพื้นฐานจะได้รับวุฒิการศึกษา สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โดยมีการจัดรูปแบบ การเรียน 2 ลักษณะ ได้แก่ การจัดให้เข้าเรียนร่วมกับเด็กไทยปกติ และการจัดร่วมกับองค์การกุศลเอกชน จัดเป็นห้องเรียนสาขา โดยองค์การกุศลเอกชนจะเป็นผู้จัดสถานที่ สนับสนุนครูผู้สอน ส่วนส านักงานเขตพื้นที่ โดยสถานศึกษาเป็นโรงเรียนแม่จะสนับสนุนเครื่องแบบนักเรียน หนังสือแบบเรียนให้กับนักเรียน จัดอบรมครู และบุคลากรทางการศึกษา นิเทศ ติดตาม ประเมินผล และออกวุฒิทางการศึกษา
๑๖ แนวทางที่ 2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ศูนย์การเรียนขององค์กรเอกชนจัดตั้งเป็นสถานศึกษาเอกชน การจัดการเรียนการสอนสามารถใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งของไทย หรือของประเทศอื่นที่ได้รับการ อนุญาตแล้ว เมื่อนักเรียนเรียนจบตามหลักสูตรจะได้รับวุฒิการศึกษาของโรงเรียนนั้น ๆ แนวทางที่ 3 ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ท าข้อตกลงร่วมกัน (MOU) จัดการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐ (School with in school) โดยสามารถใช้ทรัพยากรร ่วมกัน และอยู่ภายในการก ากับดูแลของโรงเรียนรัฐ แต่ให้ความยืดหยุ่นในเรื่องหลักสูตรและคุณสมบัติของผู้สอน แนวทางที่ 4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลหรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) จัดการเรียนการสอน ในศูนย์การเรียน เพราะเนื่องจากปัจจุบันมีบุคคลและองค์กรเอกชนท าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ หลากหลาย ทั้งหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน แต่ยังขาดกฎหมายในการรับรองสถานะของศูนย์การเรียน ในการจัดการศึกษาส าหรับเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติในแนวทางนี้อยู่ บทเรียนจากการด าเนินงานที่ผ่านมาพบว่า การเข้าถึงการศึกษาในระบบโรงเรียนของเด็กที่ไม่มี สัญชาติไทยนั้นยังมีปริมาณที่จ ากัด เนื่องจากปัญหาหลายประการ พอสรุปได้ดังนี้ ๑) ปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาในระบบโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากทรรศนะชาติพันธ ุ์นิยม (Ehtnocentrism) ของคนในสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ที่รู้สึกว่าแรงงานข้ามชาติเป็นอันตราย ต่อความมั่นคงของชาติ รู้สึกว่าชาติพันธุ์อื่น ๆ มีความด้อยกว่าหรือเป็นศัตรูกับคนไทยมาตั้งแต่อดีต เช่น กรณีที่ ผู้ปกครองเด็กไทยยื่นค าขาดว่า หากสถานศึกษารับบุตรหลานแรงงานข้ามชาติเข้าเรียน ตนจะน าให้ลูกลาออก ย้ายไปเรียนที่อื่น ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจและก าหนดนโยบาย จ ากัดการรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติของโรงเรียนอื่น ๆ ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน หรือกรณีที่สถานศึกษาบางแห่ง มีการเรียกเก็บหลักฐานจากนักเรียนเพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอกสารประจ าตัวของเด็ก เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องการขอเงินอุดหนุนรายหัว และปัญหาเรื่องความมั่นคง ของชาติทั้งที่มีกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เอื้ออ านวยให้ด าเนินการได้ก็ตาม (ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘) นอกจากนี้ เงื่อนไขในการรับเข้าเรียนยังเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กไม่มีสัญชาติไทย กล่าวคือ เงื่อนไขด้านภาษาไทย ที่ก าหนดให้มีการทดสอบความรู้ การฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาไทย เป็นเงื่อนไขในการ รับเข้าเรียน ท าให้เด็กไม่มีสัญชาติไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุตรหลานแรงงานข้ามชาติ ถูกปฏิเสธในการรับเข้าเรียน และเงื่อนไขด้านอายุ ซึ่งในทางกฎหมายสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. มีบทบาทในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเด็กที่จะรับเข้าเรียนในระดับประถมได้นั้นต้องอายุไม่เกิน ๑๒ ปี ดังนั้น เด็กไม่มีสัญชาติไทยที่อายุเกิน ๑๒ ปี ที่ต้องการเริ่มเรียนในระดับประถมศึกษา จึงถูกปฏิเสธที่จะรับเข้าเรียน (ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘) ๒) ปัญหาเด็กไม่มีสัญชาติไทยออกจากระบบโรงเรียนกลางคัน เนื่องจาก สาเหตุหลัก ๓ ประการ ได้แก่ (๑) รูปแบบการเรียนการสอนไม่สอดคล้องกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยของเด็ก กล่าวคือ การที่ เด็กไม่มีสัญชาติไทยจะต้องไปเริ่มต้นเรียนภาษไทยกับเด็กเล็กในชั้นอนุบาล ท าให้เกิดปัญหาเรื่องการปรับตัว และรู้สึกแปลกแยก จึงท าให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนและหลุดออกจากระบบไปในที่สุด ทั้งนี้ สถานศึกษาได้ให้ เหตุผลว่าเนื่องจากมีข้อจ ากัดเรื่องบุคลากรและงบประมาณ จึงไม่สามารถจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ให้เด็กกลุ่มนี้ได้เป็นการเฉพาะ (๒) ปัญหาด้านเศรฐกิจของผู้ปกครอง ครอบครัวยากจน ไม่มีเงินเพียงพอส าหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน ในสถานศึกษา เช่น ค่าอาหารกลางวัน ค่ารถรับส่ง หรือค่าใช้จ่ายในการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน เป็นต้น ผู้ปกครองจึงตัดสินใจให้เด็กออกจากโรงเรียน หรือบางกรณีต้องการให้เด็กไปช่วยท างานหารายได้ให้แก่ครอบครัว (๓) ปัญหาเด็กที่ต้องย้ายตามผู้ปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เป็นแรงงานในกิจการ ต่อเนื่องประมง จะมีการเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง ซึ่งการย้ายออกจากโรงเรียนของเด็กส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการ สื่อสารมายังครูประจ าชั้น ซึ่งท าให้คุณครูต้องสอบถามจากเพื่อนหรือผู้ปกครองในชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่า เด็กย้ายออกจริงแล้วจึงจ าหน่ายชื่อออกจากระบบทะเบียน (ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘)
๑๗ สรุปได้ว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบโรงเรียนภายใต้การก ากับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ มีหน่วยงานที่ดูแลแบ่งได้๒ หน่วยงาน คือ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) โดยที่เด็กจะได้รับเงินอุดหนุนเป็นค่าใช่จ่ายรายหัวใน ๕ รายการและ ได้รับหลักฐานการศึกษาเมื่อส าเร็จการศึกษาแล้ว ทั้งนี้ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในเกณฑ์ การศึกษาภาคบังคับ (อายุ 6 – 15 ปี) อย่างไรก็ตามการจัดการศึกษาในระบบยังคงพบปัญหาอุปสรรคหลาย ประการทั้งปัญหาในการเข้าถึงการศึกษาและปัญหาเด็กออกโรงเรียนกลางคันด้วย ๒. การจัดการศึกษานอกระบบ โดยส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.๒๕๕๑ ได้ก าหนดให้ ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) มีหน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนได้รับความรู้ และทักษะพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ และได้เรียนรู้ในสาระที่สอดคล้องกับความสนใจและความจ าเป็นในการยกระดับ คุณภาพชีวิต และยังเน้นการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเป็นการจูงใจให้กับภาคสังคมอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ดังนั้น การจัดการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานส าหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป จึงเป็นหน้าที่ รับผิดชอบของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งก็ยังมีเด็กอายุ ต่ ากว่า ๑๕ ปีจ านวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้ารับการศึกษาในระบบได้ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติจึงเป็นที่มาความร่วมมือของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ (ศกพ.) ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กับ ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ น าโดยมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท (มยช.) ร่วมกันจัดท า “แนวทางการจัดการศึกษานอก ระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑” เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการจัดการศึกษาส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทยโดยเฉพาะ เพื่อเติมเต็มช่องว่างทาง นโยบายให้ กศน. มีแนวทางที่สามารถจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาให้กับกลุ่มเด็กที่อายุไม่ถึง ๑๕ ปี (ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มเป้าหมายพิเศษ, ๒๕๕๗) ปัจจุบันส านักงานส ่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) มีการจัด การศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ๒ รูปแบบ คือ ๑) รูปแบบสถานศึกษา กศน. จัดการศึกษาให้กับเด็กไม่มีสัญชาติไทยโดยน าเด็กที่หลุดออกจากระบบ โรงเรียนและเด็กที่มีความพร้อมด้านภาษาไทย แต่ไม่ประสงค์จะเข้าเรียนในระบบโรงเรียน มาลงทะเบียนเรียน โดยใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ ๒) รูปแบบสถานศึกษา กศน. จัดการศึกษาร่วมกันกับศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ(Migrant Learning Center) ขององค์กรพัฒนาเอกชน คล้าย ๆ รูปแบบโรงเรียนในโรงเรียน เป็นการท าข้อตกลงร่วมกัน ระหว่าง กศน. อ าเภอและศูนย์การเรียน โดยเด็กในศูนย์การเรียนจะลงทะเบียนกับ กศน. แต่ตัวเด็กยังเรียนอยู่ที่ศูนย์การเรียน ซึ่งจะท าให้เด็กได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวตามอัตราของ กศน. เช่นเดียวกับคนไทย และ กศน.สามารถออก หลักฐานทางการศึกษาให้กับเด็กได้เมื่อส าเร็จการศึกษา จัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ (ส าหรับเด็กอายุเกิน ๑๕ ปี) และจัดตาม“แนวทางการจัด การศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ ระดับประถมศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑”
๑๘ (ส าหรับเด็กที่มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปี) การเติมเต็มช่องว่างทางนโยบายให้ กศน. มีแนวทางที่สามารถจัดการศึกษา ระดับประถมศึกษาให้กับกลุ่มเด็กที่อายุไม่ถึง ๑๕ ปีได้ทดลองในบางพื้นที่และเริ่มขยายผลโดยมีสถานศึกษาของ กศน. ที่สนใจเป็นพื้นที่น าร่อง ทั้งหมด ๗ แห่ง และมีศูนย์การเรียนของภาคีเครือข่าย เข้าร่วมจัดการศึกษา ทั้งหมด ๒๒ แห่ง ดังนี้ ตารางที่ ๑ สถานศึกษาและศูนย์การเรียนภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษาตามแนวทางการจัดการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษา นอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานศึกษาในสังกัด กศน. ศูนย์การเรียนภาคีเครือข่าย ๑. กศน. เมือง จังหวัดระนอง ๑. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย-พม่า (แพสาคร) ๒. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย-พม่า (วัฒนา) ๓. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย-พม่า (ซอยสามัคคี) ๔. ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย-พม่า (ซอย ๗) ๕. ศูนย์การเรียนมูลนิธิมาริสท์เอเชีย ๒. กศน.เม่สอด จังหวัดตาก ๖. ศูนย์การเรียนปารมี ๗. ศูนย์การเรียนอายอนอู ๘. ศูนย์การเรียนซีดีซี ๙. ศูนย์การเรียนมอนิงกลอรี ๑๐. ศูนย์การเรียนอโวด้า ๑๑. ศูนย์การเรียนเอยาวดี ๑๒. ศูนย์การเรียน B.H.S.O.H ๑๓. ศูนย์การเรียนนิวโซไซตี้ ๑๔. ศูนย์การเรียนนิวบลัด ๑๕. ศูนย์การเรียนแบกาลา ๓. กศน.พบพระ จังหวัดตาก ๑๖. ศูนย์การเรียนพาราหิตะทู ๑๗. ศูนย์การเรียนตูเมคี ๔. กศน. แม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑๘. ศูนย์การเรียน มูลนิธิพัฒนาศรัทธาชน ๑๙. ศูนย์การเรียน ศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน ๕. ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้า หลวง (ศศช.) บ้านหนองตาดั้ง กศน. สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี - ๖. กศน. เมือง จังหวัดสมุทรสาคร ๒๐. ศูนย์การเรียนมูลนิธิรักษ์ไทย ๒๑. ศูนย์การเรียน ศูนย์นักบุญอันนา ๗. กศน. บางบอน กทม. ๒๒. ศูนย์การเรียน มูลนิธิเพื่อเยาวชนบท การด าเนินการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ยังมีปัญหาหลายประการ (ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘) ดังนี้ 1) หลักสูตรไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับผู้ใหญ่ซึ่งมีสมมติฐานว่า บุคคลเหล่านี้ มีประสบการณ์และวุฒิภาวะในการเรียนรู้พอสมควร ดังนั้น โครงสร้างหลักสูตรเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และรูปแบบการเรียนการสอน จึงยังไม่เหมาะที่จะน ามาใช้ในการจัดการศึกษาให้กับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีอายุน้อยและมีพื้นฐานภาษาไทยที่ไม่ดีนัก
๑๙ ๒) ครู กศน. ยังไม่เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ รวมทั้งยังมีบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง จากคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องภาษา ชาติพันธุ์ ท าให้การออกแบบการเรียนการสอน ยังไม่สอดคล้อง กับพัฒนาการและข้อจ ากัดในการเรียนรู้ของเด็กลุ่มนี้ ดังนั้น จึงต้องทดลองและปรับแนวทางการจัดการเรียน การสอนมากพอสมควร ๓) อัตราก าลังของครู กศน. มีไม่เพียงพอส าหรับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติ เนื่องจาก การเรียนการสอนส าหรับเด็ก จ าเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ที่แตกต่างจากการสอน ผู้ใหญ่ เช่น ควรจะต้องเรียนอย่างน้อย ๕ วันต่อสัปดาห์ ต้องการครูที่สามารถสื่อสารและเข้าใจธรรมชาติ การเรียนรู้และการพัฒนาของเด็กในแต่ละช่วงวัย ท าให้ครูมีความรับผิดชอบมากขึ้น ในขณะที่ค่าตอบแทน ยังอยู่ในอัตราเดิม ดังนั้น จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในการจัดการศึกษาแบบนี้ สรุปได้ว่า การจัดการศึกษานอกระบบ โดยส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย (กศน.) ปัจจุบันมี ๒ รูปแบบ คือ ๑) รูปแบบสถานศึกษา กศน. จัดการศึกษาให้กับเด็กไม่มี สัญชาติไทย และ ๒) รูปแบบสถานศึกษา กศน. จัดร่วมกับศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติโดยท าเป็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งทั้งสองรูปแบบเมื่อส าเร็จตามหลักสูตรของกศน. แล้ว เด็กจะได้รับวุฒิการศึกษาของไทย อย่างไรก็ตาม การจัดการศึกษาโดยกศน. ยังพบปัญหาเกี่ยวกับหลักสูตร การไม่เข้าใจธรรมชาติเด็ก ขาดแคลนครูและบุคลากร ๓. การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติโดยองค์กรเอกชน (Migrant Learning Center: MLC) การจัดการศึกษาประเภทนี้เป็นการจัดการศึกษาโดยองค์กรเอกชน ซึ่งหมายรวมถึง มูลนิธิ องค์กรชุมชน (Community Based Organization) หรือกลุ่มแรงงานข้ามชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) องค์กรศาสนา หรือองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆในรูปแบบของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ (Migrant Learning Center-MLC) และมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนงบประมาณมาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ จากรายงานของ 12 เขตพื้นที่ การศึกษา พบว่า มีจ านวนศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ 88 ศูนย์มีนักเรียน 15,855 คน ซึ่งการจัดการศึกษา ในรูปแบบศูนย์การเรียนดังกล่าว มีความแตกต่างหลากหลายกันไป ทั้งรูปแบบ วิธีการ ภาษาที่ใช้ หลักสูตร การเรียนการสอน ที่ยังขาดระบบและกลไกที่จะประสาน ก ากับ ติดตามประเมินผล ซึ่งลัดดาวัลย์ หลักแก้ว (๒๕๕๘) ได้จ าแนกการจัดการศึกษาของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ ออกเป็น ๔ ลักษณะ ได้แก่ ๑) ศูนย์การเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนที่ส่งเข้าสู่ระบบโรงเรียน โดยส่วนใหญ่ จะใช้หลักสูตรแกนกลางในการจัดการเรียนการสอน โดยจะเป็นการเตรียมความพร้อมในด้านการสื่อสาร ภาษาไทย ทักษะในวิชาพื้นฐาน เพื่อให้เด็กสามารถปรับตัวกับระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ซึ่งศูนย์การเรียนเหล่านี้ จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหรือองค์กรพัฒนาเอกชนไทย ๒) ศูนย์การเรียนที่จัดการศึกษาร่วมกับ กศน. ซึ่งมีสถานะเป็นห้องเรียนที่มี กศน. อ าเภอ เป็นสถานศึกษา โดยใช้หลักสูตรตามแนวทางการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งก็พบปัญหา ในเรื่องของหลักสูตรไม่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก ๓) ศูนย์การเรียนที่จัดการเรียนการสอนเพื่อแสวงหาแนวทางในการเชื่อมโยงกับประเทศต้นทาง ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดการเรียนการสอนที่ใช้หลักสูตร กศน.ของประเทศพม่า เช่น โครงการน าร่อง ของมูลนิธิช่วยไร้พรมแดนในพื้นที่อ าเภอแม่สอด ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกระบบของรัฐกะเหรี่ง จังหวัดเมียวดี ประเทศพม่า เพื่อให้เด็กที่เรียนในศูนย์การเรียนสามารถกลับไป เรียนต่อที่ประเทศพม่าได้ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบ ๔) ศูนย์การเรียนในพื้นที่อ าเภอแม่สอดที่เชื่อมโยงกับการศึกษาประเทศต้นทาง โดยการทดสอบกับ ข้อสอบมาตรฐานจากส่วนกลางของประเทศต้นทาง ทั้งในระดับ Grade ๔ และ Grade ๘ รวมถึง การสอบ เข้ามหาวิทยาลัยในประเทศต้นทาง โดยจะมี Burmese Migrant Worker Education Committee หรือ BMWEC
๒๐ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและส่งครูจากประเทศพม่า มาให้ค าปรึกษาด้านวิชาการอย่างสม่ าเสมอ (เครือข่ายองค์กรท างานด้านประชากรข้ามชาติ, ๒๕๕๘ อ้างในลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘) ทั้งนี้ การจัดการศึกษาในรูปแบบของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติมีข้อดีคือ เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าถึงได้ง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก แต่ปัญที่พบประการแรก คือ เด็กเรียนไปแล้วไม่ได้การรับรอง วุฒิการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย ซึ่งจ าเป็นจะต้องใช้เป็นใบเบิกทางในการยกระดับการประกอบอาชีพ และการศึกษาต่อในประเทศไทย ซึ่งบริบทของเด็กเหล่านี้ ค่อยข้างที่จะไม่แน่นอนว่าครอบครัวจะย้ายกลับไป ประเทศต้นทางหรือไม่ ดังนั้น การเข้ารับการศึกษาทั้ง ๒ ระบบ ทั้งของประเทศไทยและประเทศต้นทาง ยังเป็นสิ่งที่จ าเป็นส าหรับเด็กกลุ่มนี้ และประการที่สอง คือ ความไม่ยั่งยืนของศูนย์การเรียน เนื่องจาก สถานการณ์การสนับสนุนจากแหล่งทุนลดลง ประกอบกับแหล่งทุนส่วนใหญ่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสนับสนุน ในประเทศต้นทางมากขึ้น ท าให้ศูนย์การเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุนจากแหล่งทุนต่างประเทศ ๑๙ แห่ง มีความเสี่ยงที่จะปิดตัวลง นั่นหมายถึง เด็กไม่มีสัญชาติไทย จ านวน ๕,๕๐๐ คน จะได้รับผลกระทบ ไม่มีที่เรียน (เครือข่ายองค์กรท างานด้านประชากรข้ามชาติ, ๒๕๕๘ อ้างใน ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว, ๒๕๕๘) สรุปได้ว่า การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติโดยองค์กรเอกชน (Migrant Learning Center: MLC) เป็นการจัดการศึกษาโดยองค์กรเอกชน ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนมาจากแหล่งเงินทุนทั้งใน และนอกประเทศไทย โดยใช้หลักสูตรของประเทศต้นทาง (พม่า) ในการเรียนการสอน การจัดการศึกษาใน ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติพบปัญหา ด้านมาตรฐานการศึกษา ปัญหาความมั่นคงของประเทศ เด็กไม่ได้ การรับรองวุฒิการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย รวมไปถึงปัญหาความไม่ยั่งยืนของศูนย์การเรียน ๒.๓.๒ การอุดหนุน (งบประมาณ) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย การจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวส าหรับเด็กไม่มีสัญชาติไทย เริ่มเมื่อปีพ.ศ.๒๕๔๘ ตามมติ คณะรัฐมนตรีวันที่ ๕ กรฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้อนุมัติหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย หลักฐานวัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษาและเห็นชอบแนวปฏิบัติการจัด การศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เปิดกว้างให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ใน ประเทศไทยสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จ ากัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา รวมทั้งอนุมัติการจัดสรร งบประมาณอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่กลุ่มบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ตั้งแต่ระดับก่อนประถมถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ในอัตราเดียวกันกับที่จัดสรรให้ เด็กไทยด้วย รัฐจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายปีส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยในการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกสังกัด โดยก าหนดรหัสเลข ๑๓ หลัก (ขึ้นต้นด้วยตัว G, P หรืออื่น ๆ) และอุดหนุนค่าใช้จ่ายใน ๕ รายการ ได้แก่ ๑) ค่าจัดการเรียนการสอน ๒) ค่าหนังสือเรียน ๓) ค่าเครื่องแบบนักเรียน ๔) ค่าอุปกรณ์การเรียน และ ๕) ค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งนักเรียนรหัส G และ P หมายถึง นักเรียนที่ยังไม่มีบัตรประชาชนคนไทย ซึ่งจ าเป็นต้องมีตัวเลขประจ าตัว เพื่อใช้ในระบบการศึกษา สังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และ ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แต่ไม่เกี่ยวกับเลข ๑๓ หลักของกระทรวงมหาดไทย โดยมีหลักการ การก าหนดเลขใช้แทนเลข ๑๓ หลัก ดังนี้ เลขหลักที่ ๑ G คือ Generate หมายถึงการออกเลขประจ าตัว ๑๓ หลัก ซึ่งเป็นเลขที่ถูก ก าหนดขึ้นโดยระบบ DMC (Data Management Center) เลขหลักที่ ๒ และ ๓ หมายถึง รหัสจังหวัด เลขหลักที่ ๔ และ ๕ หมายถึง รหัสอ าเภอ
๒๑ เลขหลักที่ ๖ และ ๗ หมายถึง รหัสปีการศึกษา เลขหลักที่ ๘ ถึง ๑๓ หมายถึงเลขล าดับที่ของนักเรียนที่ไม่มีเลขประจ าตัวคนที่เท่าใดของระบบ ฐานข้อมูล DMC เมื่อโรงเรียนรับสมัครนักเรียน เมื่อเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ในแต่ละภาคเรียน และหากพบว่า เด็กคนใดไม่มีหลักฐานแสดงตัวตน หรือเอกสารที่ระบุสถานะการเป็นพลเมืองไทย (เลขประจ าตัว ๑๓ หลัก) ทางโรงเรียนจะด าเนินการสอบประวัติและส่งข้อมูลให้กับส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อด าเนินการก าหนดหมายเลขประจ าตัวนักเรียน 13 หลัก อัตราการอุดหนุนรายหัวแก่เด็กที่ใช้รหัส G เป็นอัตราเดียวกับที่อุดหนุนเด็กในโรงเรียนปกติ ดังนี้
ตารางที่ ๒ แสดงอัตราอุดหนุนรายหัวนักเรียนแก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย (รหัส ที่ ชั้น ๑.ค่าจัดการเรียนการสอน ๒.ค่าหนังสือเรียน ๓.ค่าเครื่องแบ ๑ อนุบาล ๓ขวบ ๘๕๐ ๒๐๐ ๓ ๒ อนุบาล ๑ ๘๕๐ ๒๐๐ ๓ ๓ อนุบาล ๒ ๘๕๐ ๒๐๐ ๓ ๔ ป.๑ ๙๕๐ ๕๖๑ ๓ ๕ ป.๒ ๙๕๐ ๖๐๕ ๓ ๖ ป.๓ ๙๕๐ ๖๒๒ ๓ ๗ ป.๔ ๙๕๐ ๖๕๓ ๓ ๘ ป.๕ ๙๕๐ ๗๘๕ ๓ ๙ ป.๖ ๙๕๐ ๘๑๘ ๓ ๑๐ ม.๑ ๑,๗๕๐ ๗๐๐ ๔ ๑๑ ม.๒ ๑,๗๕๐ ๘๖๓ ๔ ๑๒ ม.๓ ๑,๗๕๐ ๙๔๙ ๔ ๑๓ ม.๔ ๑,๙๐๐ ๑,๒๕๗ ๕ ๑๔ ม.๕ ๑,๙๐๐ ๑,๒๖๓ ๕ ๑๕ ม.๖ ๑,๙๐๐ ๑,๑๐๙ ๕
22 ส G) ที่เข้าเรียนในโรงเรียนปกติ บนักเรียน (๒ชุด) ๔.ค่าอุปกรณ์การเรียน ๕.ค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวม (บาท/คน) ๓๐๐ ๑๐๐ ๒๑๕ ๑,๖๖๕ ๓๐๐ ๑๐๐ ๒๑๕ ๑,๖๖๕ ๓๐๐ ๑๐๐ ๒๑๕ ๑,๖๖๕ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๓๐๖ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๓๕๐ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๓๖๗ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๓๙๘ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๕๓๐ ๓๖๐ ๑๙๕ ๒๔๐ ๒,๕๖๓ ๔๕๐ ๒๑๐ ๔๔๐ ๓,๕๕๐ ๔๕๐ ๒๑๐ ๔๔๐ ๓,๗๑๓ ๔๕๐ ๒๑๐ ๔๔๐ ๓,๗๙๙ ๕๐๐ ๒๓๐ ๔๗๕ ๔,๓๖๒ ๕๐๐ ๒๓๐ ๔๗๕ ๔,๓๖๘ ๕๐๐ ๒๓๐ ๔๗๕ ๔,๒๑๔
ทั้งนี้ ใน ๓ ปีงบประมาณที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐) รั ในระบบโรงเรียนและการจัดการศึกษานอกระบบในทั่วประเทศ ผ่านโรงเรียน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็นจ านวนเงิน ตารางที่ ๓ แสดงงบประมาณที่รัฐอุดหน ปีงบประมาณ การศึกษาในโรงเรีย จ านวนนักเรียนอนุบาล- (คน) ๒๕๕๘ (ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๗ และภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๘) ๖๕,๔๕๕ ๒๕๕๙ (ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๘ และภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๙) ๖๗,๕๗๗ ๒๕๖๐ (ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๙ และภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๐) ๖๘,๙๑๔ รวม ๑ ข้อมูลนี้เป็นงบประมาณที่อุดหนุนเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยเฉพาะในสังกั
23 ัฐได้อุดหนุนการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ทั้งการจัดการศึกษา นในสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และส านักงาน ๗๗๗,๕๔๔,๖๐๗ บาท (เฉลี่ยราวปีละ ๒๕๙ ล้านบาท) ดังนี้ นุนรายหัวให้แก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย๑ ยนขั้นพื้นฐานสังกัด สพฐ. การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ม.๖ งบประมาณที่อุดหนุน (บาท) จ านวนผู้ลงทะเบียน (คน) งบประมาณที่อุดหนุน (บาท) ๒๓๗,๖๗๔,๒๖๙ ๕,๘๐๙ ๑๑,๙๑๘,๓๐๐ ๒๔๘,๔๗๘,๑๙๓ ๖,๐๗๑ ๑๑,๙๙๔,๐๐๐ ๒๕๕,๙๔๗,๗๙๕ ๕,๘๔๓ ๑๑,๕๓๒,๐๕๐ ๗๔๒,๑๐๐,๒๕๗ ๓๕,๔๔๔,๓๕๐ รวม ๓ ปีงบประมาณ ๗๗๗,๕๔๔,๖๐๗ บาท ัด สพฐ. และ กศน. เท่านั้น
24 2.3.3 ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที ่ไม ่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม ่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติมีนักวิชาการกล่าวไว้ ดังนี้ ทวีสิทธิ์ ใจห้าว (2554) กล่าวว่า ปัญหาการจัดการศึกษาแก่ลูกแรงงานต่างชาติในประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาอุปสรรคในการจัดการศึกษาหลายด้าน ได้แก่ ปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน เข้าประเทศ ท าให้เกิดปัญหาการให้บริการขั้นพื้นฐานและการให้บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักมนุษยธรรม ของไทยเพิ่มขึ้น ปัญหาด้านความเชื่อ เจตคติและความเข้าใจในนโยบายการจัดการศึกษาแก่ลูกแรงงานต่างชาติ ซึ่งพบว่ายังมีผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และชุมชน ที่มีเจตคติทางลบต่อการจัดการศึกษาและการให้บุตรหลาน เรียนร่วมกับลูกแรงงานต่างชาติหรือเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ปัญหาผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดการศึกษาตามบทบาทหน้าที่และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ที่บัญญัติไว้ว่า ให้สถานศึกษาถือเป็นหน้าที่ ในการที่จะรับเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับเข้าเรียนในสถานศึกษา ปัจจุบันการจัดการศึกษาโดยบุคคลและองค์กรชุมชนหรือองค์กรเอกชนในรูปศูนย์การเรียน โดยเฉพาะพื้นที่ จังหวัดตากและจังหวัดระนอง ส่วนใหญ่มีปัญหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐไม่สามารถเข้าถึงควบคุม ก ากับ หรือมีส่วนร่วมในการก าหนดหลักสูตร กิจกรรมการสอน และการประเมินผลการเรียนได้การจัดการศึกษา ในศูนยก์ารเรียนดังกล่าวปัจจุบัน นอกจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วยังมีความเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบ ด้านสิทธิมนุษยชนและอาจและอาจส่งผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคงของชาติได้เป็นต้น มหาวิทยาลัยมหิดลและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (2557) กล่าวว่า ปัญหาการจัดการศึกษา ส าหรับเด็กต่างด้าวได้แก่ 1) อุปสรรคทางภาษาระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง 2) การปรับตัว โดยเฉพาะบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติที่เข้าเรียนปีแรก คือ ป.1 ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับ วัฒนธรรมและสังคมไทย 3) โรงเรียนมีทรัพยากรจ ากัด ทั้งจ านวนครูและงบประมาณ เนื่องจากจ าเป็นต้อง จ้างครูล่าม หรืออาจต้องจ้างผู้ประสานงานต่างชาติ4) ทัศนคติของผู้ปกครองของนักเรียนไทยที่กังวลเกี่ยวกับ คุณภาพของโรงเรียนเหล่านี้ว่า อาจจะมีคุณภาพลดลงถ้ารับเด็กข้ามชาติเข้าเรียน 5) หลักสูตรและเนื้อหา การเรียนการสอนโดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องสงครามระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 6) เด็กข้ามชาติ จ านวนหนึ่งมักจะลงทะเบียนเรียนไม่ทันภายในระยะเวลาที่โรงเรียนก าหนด อันเป็นผลมาจากลักษณะการท างาน ของผู้ปกครอง ส่งผลให้โรงเรียนมีจ านวนของนักเรียนที่เข้าเรียนจริงไม่แน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการได้รับ ทุนอุดหนุนจากภาครัฐอย่างเหมาะสม ส่งผลให้โรงเรียนบางแห่งต้องจัดสรรทุนส่วนอื่นในการอุดหนุนเด็กกลุ่มนี้ ในขณะที่มีบางโรงเรียนฉวยโอกาสหาประโยชน์จากจ านวนเด็กที่ไม่แน่นอนเหล่านี้โดยรายงานจ านวนเด็กเกินจริง ประยุทธ หลักค า (2559) กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาส าหรับเด็กต่างด้าว พบว่า มีปัญหาการสื่อสาร โดยเฉพาะเมื่อเด็กเข้าเรียนกับโรงเรียนในปีการศึกษาแรก จึงเป็นช่วงเวลาที่ ประสบปัญหามากที่สุดส าหรับโรงเรียนในการจัดการเรียนการสอน ทั้งระหว่างครูกับนักเรียนต่างด้าว หรือระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง นอกจากนี้ ปัญหาจ านวนครูและห้องเรียนมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กหรือขนาดกลางไม่มีความพร้อมรับเด็กต่างด้าวเข้าเรียน และยังมีทรัพยากรเท่าเดิม สัดส่วนของครูผู้สอนไม่เพียงพอต่อการให้สิทธิการศึกษาแก่เด็ก ปัญหาการออกกลางคัน เนื่องมาจากการย้ายที่อยู่ ของผู้ปกครอง ท าให้เด็กไม่ได้รับการศึกษาที่ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีปัญหาทัศนคติของผู้ปกครองที่ไม่ต้องการให้ ลูกหลานของตนเรียนร่วมกับเด็กต่างด้าว บ้างก็คิดถึงเรื่องการแบกรับภาระด้วยงบประมาณของประเทศว่า มาจากภาษีของคนไทย รวมไปถึงความกังวลที่มีต่อคุณภาพการศึกษาของประเทศ
25 อัสซูวรรณ เปาะหะ (2560) กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิการศึกษาของคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติในหมู่บ้านห้วยหยวกป่าโซ มี 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านตัวบุคคล มีทัศนคติว่าตนเป็นผู้ไม่มีสัญชาติ ขาดความมั่นใจในการเข้าร่วมเรียนและท าข้อสอบ ไม่มีความมั่นใจว่าหากเข้าเรียนแล้ว ตนจะได้รับวุฒิการศึกษา หรือไม่ อีกทั้งช่วงอายุก็เป็นปัญหาในการตัดสินใจเข้าศึกษาซึ่งต้องปรับพื้นฐานใหม่ท าให้ล่าช้าและเสียเวลา มากกว่าคนทั่วไป และในด้านทุนสนับสนุนการศึกษาที่ยังไม่เปิดกว้างให้คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติเข้าถึงทุน ทางการศึกษาต่าง ๆ รวมถึงสิทธิในการเดินทาง 2) ปัจจัยด้านสถานศึกษา เนื่องจากความจ ากัดของทรัพยากรของ สถานศึกษาโดยเฉพาะงบประมาณและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงภาระหน้าที่ของครูมีมากเกินไปท าให้ ช่วงเวลาในการเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง 3) ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและบริบทชุมชน การที่ชุมชนเป็นเขต รอยต่อกับชายแดนพม่าจึงท าให้มีการเคลื่อนย้ายของชาวพม่าอยู่เสมอ เป็นเหตุให้สถานศึกษาไม่รับกลุ่มคนเหล่านี้ เข้ามาเรียนในสถานศึกษา นอกจากนี้ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและบริบทชุมชน เนื่องจากคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้จึงท าให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างเรียน ส่งผลให้ผลการประเมินระดับโรงเรียนต่ า และกลายเป็นเหตุผลในการคัดนักเรียนในกลุ่มไร้รัฐ ไร้สัญชาติออกจากสถานศึกษา และการถูกล้อในปมด้อย เช่น เป็นเด็กพม่า เด็กต่างด้าว จนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็ก ดังนั้นจึงสามารถวิเคราะห์ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติตามที่นักวิชาการได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนี้ ตารางที่ ๔ การวิเคราะห์ปัญหาการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ปัญหา นักวิชาการ ทวีสิทธิ์ ใจห้าว (2554) มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันเทคโนโลยี แห่งเอเชีย (2557) ประยุทธ หลักค า (2559) อัสซูวรรณ เปาะหะ (2560) 1. ปัญหาด้านทัศนคติของผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และชุมชนที่มีต่อเด็กไม่มีสัญชาติไทย 2. ผู้บริหาร ครู นักเรียนและผู้ปกครอง ขาดความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และกฎหมายการศึกษา 3. ปัญหาการสื่อสารอุปสรรคทางภาษา 4. ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและสังคมไทย 5. โรงเรียนมีทรัพยากรการศึกษาที่จ ากัด ทั้งจ านวนครู บุคลากรการศึกษา และงบประมาณ 6. ปัญหาหลักสูตรและเนื้อหาการเรียนการสอน 7. ปัญหาการไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ 8. ปัญหาเด็กออกเรียนกลางคัน 9. ปัญหาความกังวลของตัวนักเรียน ทั้งเรื่องการเรียน การปรับตัว 10. การจัดการศึกษาในรูปแบบศูนย์การเรียน ส่วนใหญ่มี ปัญหาหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถเข้าถึงควบคุม ก ากับ หรือมีส่วนร่วมในการก าหนดหลักสูตร กิจกรรมการสอน และการประเมินผลการเรียนได้
26 สรุปได้ว่า ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลาน แรงงานข้ามชาติคือ ปัญหาด้านทัศนคติของผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครองและชุมชนที่มีต่อเด็กไม่มีสัญชาติไทย ทั้งการปฏิเสธเด็กเข้าเรียน ความกังวลถึงผลกระทบต่อคุณภาพของโรงเรียน ผู้ปกครองไม่ต้องการให้เรียนร่วมกับ เด็กไทย รวมถึงการคัดชื่อนักเรียนออกเมื่อผลการประเมินโรงเรียนอยู่ในระดับต่ า ปัญหานี้ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อตัวเด็กในการเข้าถึงสิทธิการได้รับการศึกษาตามหลักสิทธิมนุษยชน ปัญหาที่พบรองลงมาคือ ปัญหาจาก ข้อจ ากัดของโรงรียนทั้งในด้านงบประมาณ ขาดแคลนครูและบุคลากร การสื่อสาร หลักสูตร การจัดการเรียน การสอน และการวัดผลประเมินผล และปัญหาที่มาจากสภาพสังคมเศรษฐกิจของนักเรียนและครอบครัว นอกจากนี้ในส ่วนการจัดการศึกษาในรูปแบบศูนย์การเรียนยังพบปัญหา หน ่วยงานที ่เกี ่ยวข้องภาครัฐ ไม่สามารถเข้าถึงควบคุม ก ากับ หรือมีส่วนร่วมในการก าหนดหลักสูตร กิจกรรมการสอน และการประเมินผล การเรียนได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคงของประเทศชาติได้ 2.4 กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ๒.๔.๑ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศถือเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน อันได้แก่ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ที่นานาประเทศต่างให้การยอมรับ ถือเป็น หลักกฎหมายหรือข้อตกลงร่วมกันที่ใช้บังคับระหว่างประเทศ โดยเริ่มจากการปฏิบัติต่อกันจนกลายเป็นจารีต ประเพณี สนธิสัญญา และแนวคิดในการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ (นิติพล คงสมบูรณ์, ๒๕๕๙) ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิการศึกษานั้นจะเป็นกรอบในการให้ความคุ้มครองการเข้าถึงสิทธิ การศึกษาของมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่ในรัฐที่เข้าร่วมลงนามเป็นรัฐภาคี และเป็นแนวทางในการก าหนด นโยบายในการจัดการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีกฎหมายระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติดังนี้ ๒.๔.๑.1. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 (Universal Declaration of Human Rights) ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติรับรองและประกาศใช้ฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2491 โดยปฏิญญาฉบับนี้ได้รับรอง หลักการของสิทธิมนุษยชนที่ว่า “มนุษย์มีสิทธิติดตัวมาแต่ก าเนิด มนุษย์มีศักดิ์ศรี และมีความเสมอภาคกัน ห้ามเลือกปฏิบัติต่อมนุษย์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ” ซึ่งรัฐต่าง ๆ ได้น าเอาหลักการเหล่านี้ไปบัญญัติเป็นกฎหมาย ในรัฐของตน จนถือได้ว่าปฏิญญาสากลฉบับนี้มีผลผูกพันในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (สุวรรณนี เข็มเจริญ, ๒๕๔๗) อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานส าคัญของสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกหลายฉบับ โดยสาระส าคัญเกี่ยวกับสิทธิการศึกษาปรากฏอยู่ในข้อ 26 รับรองว่า 1) บุคคลมีสิทธิในการศึกษา การศึกษาจะต้องเป็นสิ่งที่ให้เปล่า โดยไม่คิดมูลค่าอย่างน้อยที่สุด ในขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน ขั้นระดับประถมศึกษาให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ ขั้นเทคนิคและขั้นประกอบ อาชีพจะต้องจัดให้มีขึ้นโดยทั่ว ๆ ไป และขั้นสูงเป็นขั้นที่จะเปิดให้ทุกคนเท่ากันตามความสามารถ 2) การศึกษาจะมุ่งไปในทางพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่ และเพื่อเสริมพลังการเคารพ ต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานให้แข็งแกร่ง ที่มุ่งจะเสริมความเข้าใจ ขันติ และมิตรภาพระหว่างประชาชาติ กลุ่มเชื้อชาติหรือกลุ่มศาสนา และมุ่งขยายกิจกรรมของสหประชาชาติเพื่อการธ ารงไว้ซึ่งสันติภาพ 3) ผู้ปกครองมีสิทธิก่อนผู้อื่นที่จะเลือกชนิดของการศึกษาส าหรับบุตรหลานของตน
27 ๒.๔.๑.2. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1965 (International Convention on the Elimination of all Forms of Racial Discrimination, 1965) อนุสัญญาฉบับนี้ได้ก าหนดหลักการการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ โดยก าหนดให้ รัฐภาคีประกันสิทธิของบุคคลทุกคนอย่างเสมอภาคกัน โดยปราศจาก “การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ” ซึ่งในที่นี้การเลือกปฏิบัติหมายถึง การจ าแนก การกีดกัน การจ ากัด หรือการเอื้ออ านวยพิเศษเพราะเชื้อชาติ สีผิว เชื้อสาย ชาติก าเนิด หรือเผ่าพันธุ์ ส าหรับนโยบายของรัฐภาคีและการด าเนินมาตรการเพื่อขจัด การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ อาทิการห้ามการโฆษณาชวนเชื่อ ประกันสิทธิอันเท่าเทียมกัน ของบุคคลภายใต้กฎหมาย การเยียวยาเมื่อถูกละเมิด การให้ความส าคัญด้านมาตรการในการศึกษา วัฒนธรรมและข้อมูลเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติโดยสิทธิของบุคคลในการได้รับการศึกษา และการฝึกอบรมปรากฏในข้อ 5 ของสนธิสัญญาฉบับนี้ ๒.๔.๑.3. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights, 1966) กติการะหว่างประเทศฉบับนี้ จัดท าขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับรองสิทธิของบุคคลตามที่บัญญัติไว้ ในปฏิญญาสากลว ่าด้วยสิทธิมนุษยชน เป็นการก าหนดพันธกรณีของรัฐที ่จะต้องด าเนินการให้สิทธิ ที่บัญญัติไว้บรรลุผลอย่างแท้จริง โดยต้องประกันว่าสิทธิตามที่ก าหนดไว้ในกติกาฉบับนี้จะสามารถใช้โดย ปราศจากการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวกับเชื้อชาติสีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือทางอื่น (สุวรรณนี เข็มเจริญ, ๒๕๔๗) ซึ่งสาระส าคัญของสิทธิการศึกษาปรากฏอยู่ในข้อ 13 ว่า ประเด็นส าคัญคือ การรับรองสิทธิของทุกคนในการศึกษามุ่งไปในทางพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ การศึกษาขั้นประถมศึกษา ให้เป็นการศึกษาภาคบังคับ โดยมีการจัดให้ทุกคนแบบให้เปล่า ส าหรับการศึกษาขั้นมัธยมรูปแบบต่าง ๆ การศึกษามัธยมทางเทคนิคและอาชีวศึกษาให้จัดโดยทั่ว ๆ ไป ให้ทุกคนมีสิทธิได้รับ โดยวิธีการที่เหมาะสมทุกทาง และน าการศึกษาแบบให้เปล่ามาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป การศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องได้รับการสนับสนุนหรือ ส่งเสริมให้มากที่สุด ส าหรับผู้ที่ไม่ได้รับหรือเรียนไม่ครบตามช่วงระยะเวลาทั้งหมดของการศึกษาขั้นประถม เป็นต้น ๒.๔.๑.4. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1989 (Convention on the Rights of the Child) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กก าหนดขึ้นตามหลักของกฎบัตรสหประชาชาติที่ว่าด้วยศักดิ์ศรีและคุณค่า ของมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยการไม่เลือกปฏิบัติ โดยระลึกว่าเด็กมีสิทธิพิเศษที่จะได้รับการดูแลช่วยเหลือใน สิ่งแวดล้อมของครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือคุ้มครองบนรากฐานของประเพณีและค่านิยมทางวัฒนธรรม ซึ่งทุกประเทศที่เป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้จะต้องให้ความส าคัญด้านการศึกษาแก่เด็กทุกเชื้อชาติและทุกเผ่าพันธุ์ โดยยึดหลักว่าเด็กมีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และเด็กทุกคนต้องได้รับสิทธิรับการศึกษาที่ดี โดยสาระส าคัญของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 28 ก าหนดให้รัฐภาคีจะต้องให้สิทธิเด็กในการ ได้รับการศึกษาโดยเน้นในประเด็นส าคัญ คือ 1) จัดการศึกษาระดับประถมเป็นภาคบังคับที่เด็กทุกคนสามารถเรียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 2) สนับสนุนการพัฒนาของการศึกษาระดับมัธยมในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการศึกษาสายสามัญ และสายอาชีพ จัดการศึกษาให้แพร่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน และด าเนินมาตรการที่เหมาะสม เช่น การน ามาใช้ซึ่งการศึกษาแบบให้เปล่า และการเสนอให้ความช่วยเหลือทางการเงินในกรณีที่จ าเป็น 3) ท าให้การศึกษาในระดับสูงเปิดกว้างแก่ทุกคนบนพื้นฐานของความสามารถโดยทุกวิธีการที่เหมาะสม 4) ท าให้ข้อมูลข่าวสารและการแนะแนวทางการศึกษาและอาชีพ เป็นที่แพร่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน 5) ด าเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการเข้าเรียนอย่างสม่ าเสมอ และลดอัตราการออกจากโรงเรียนกลางคัน
28 ๒.๔.๑.๕. ปฏิญญาโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน ค.ศ.1990 (World Declaration for All 1990) ปฏิญญาโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน (World Declaration for All) หรือปฏิญญาจอมเทียน เป็นข้อตกลงของประเทศสมาชิกองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ทุกประเทศ เห็นพองกันวา การศึกษาเปนสิทธิอันพึงมีของประชากรโลก เพราะการศึกษาจะพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง ประเทศสมาชิกจะตองมีนโยบายและเรงรัดจัดการศึกษา ใหกับประชาชนใหทั่วถึงโดยไม่แบ่งแยก และถือเปนพันธกิจที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ตองด าเนินการ ใหบรรลุผลส าเร็จภายในระยะเวลา 10 ปีพันธกิจที่ทุกประเทศจะตองด าเนินการผลักดันให้เป็นไปตาม เป้าหมายการพัฒนาการศึกษาเพื่อปวงชน 6 ประการ (The Six EFA Goals) ได้แก่ ขยายและปรับปรุง การศึกษาและดูแลเด็กเล็กก่อนวัยเรียน จัดการศึกษาประถมศึกษาภาคบังคับแก่เด็กทุกคนโดยไม่เก็บ ค่าใช้จ่าย ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้แก่เยาวชนและผู้ใหญ่ เพิ่มอัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่ ท าให้เกิดความเท่าเทียมและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ก าหนดเป้าหมายในการเข้าถึงการศึกษาไว้๓ ประเด็น ได้แก่ 1) เด็กควรได้รับการศึกษาในระดับก่อนประถมศึกษา 2) เด็กทุกคนโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เด็กที่อยู่ในสถานการณ์ยากล าบาก และเด็กจากชนกลุ่มน้อย จะสามารถเรียนในระดับประถมศึกษาภาคบังคับที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 3) ควบคุม/ลด อัตราการออกกลางคันของเด็กทุกกลุ่ม ต่อมาจึงได้ยกระดับขึ้นไปเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development goals: SDGs) โดยในเป้าหมายที่ ๔ เป็นเป้าหมายด้านการศึกษาใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การเข้าถึงการศึกษา ภาคบังคับ (2) การลดการออกกลางคัน และ (3) การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ๒.๔.๒ กฎหมายและนโยบายของประเทศไทย กฎหมายและนโยบายของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติถือเป็นหลักเกณฑ์ในการ รับรองและประกันสิทธิการศึกษาของกลุ่มบุคคลดังกล่าวในประเทศไทย ซึ่งมีผลให้หน่วยงานของรัฐและ เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องปฏิบัติตามและด าเนินการตามภารกิจหน้าที่ที่กฎหมายและนโยบายของรัฐก าหนด สรุปได้ดังต่อไปนี้ ๒.๔.๒.๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สิทธิเสรีภาพในการศึกษาอบรม เริ่มปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ.2475 แต่พัฒนาการที่ส าคัญ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 ระบุว่าเป็นหน้าที่ ของรัฐในการจัดการศึกษาภาคบังคับให้กับประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และภายหลังการประชุมปฏิญญา โลกวาดวยการศึกษาเพื่อปวงชน ประเทศไทยก็ได้น าเอาหลักการ “สิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน” มาบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 43 ความว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 49 ก าหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาให้ทั่วถึง และมีคุณภาพ และบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งค าว่า “บุคคล” ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งสองฉบับนั้น แสดงให้เห็นว่า รัฐต้องให้ความคุ้มครองต่อสิทธิการศึกษาของบุคคลทุกคน ไม่เฉพาะแต่บุคคลสัญชาติไทย เท่านั้น
29 ส าหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีแนวคิดส าคัญในการบัญญัติรับรองสิทธิ และเสรีภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ มีการบัญญัติรับรองให้เป็นหน้าที่ของรัฐ เพื่อบังคับให้รัฐ ท าหน้าที่และก่อให้เกิดผลส าเร็จแห่งสิทธิได้อย่างแท้จริง มากกว่าการบัญญัติรับรองให้เป็นเพียงสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคลโดยวางหลักทั่วไปไว้ในมาตรา 4 วรรค 1 ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่จะให้ความคุ้มครองหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผลให้เกิดความผูกพันต่ออ านาจรัฐทั้งหลาย (นิติพล คงสมบูรณ์, ๒๕๕๙) และรับรองสิทธิการศึกษาไว้ในหมวดที่ 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 กล่าวคือ รัฐต้องด าเนินการให้ เด็กทุกคนได้รับการศึกษา เป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ อย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริม และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการด าเนินการด้วย โดยที่รัฐมีหน้าที่ก ากับส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน เป็นหลักให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ๒.๔.๒.2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้น าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เรื่องของการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล รวมถึง สิทธิทางการศึกษามาบัญญัติรับรองไว้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในมาตรา 10 และ มาตรา 12 มีสาระบัญญัติที่ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยก าหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องจัดการศึกษาให้บุคคลอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน และบุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รวมไปถึง กลุ่มผู้ด้อยโอกาส โดยจัดในรูปแบบในระบบ การศึกษานอกระบบ หรือการศึกษาตามอัธยาศัย รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือทั้งสามรูปแบบตามความเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ รวมถึงได้วางหลักการให้ บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาน ประกอบการ สถาบันประกอบการ สถาบันสังคมอื่น ๆ สามารถสนับสนุนหรือจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้โดย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ อันได้แก่ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยง ดูบุคคลที่อยู่ในความดูแล และเงินอุดหนุนจากรัฐส าหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนได้รับการ ลดหย่อนหรือการยกเว้นภาษีส าหรับค่าใช้จ่ายในการการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ“ทุกคนเพื่อการศึกษา” (All for Education) ขององค์การสหประชาชาติ ๒.๔.๒.3. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 (การจัดการศึกษา แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย) และเห็นชอบแนวปฏิบัติการจัดการศึกษา แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย โดยให้ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มี หลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเปิดกว้างให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สามารถเข้าเรียน ได้โดยไม่จ ากัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา และออกหลักฐานทางการศึกษาให้เมื่อส าเร็จการศึกษา รวมทั้งจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค ่าใช้จ ่ายรายหัวให้แก ่สถานศึกษาที ่จัดการศึกษาแก ่กลุ ่มบุคคล ที ่ไม ่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม ่มีสัญชาติไทย ตั้งแต ่ระดับก ่อนประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย
30 ๒.๔.๒.4. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียน ในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548 โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนใน สถานศึกษาให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสแก่บุคคลให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยเปิดกว้างให้แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐาน ที่ทางราชการออกให้ให้ใช้เอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการก าหนด หรือให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ องค์กรเอกชนท าบันทึกแจ้งประวัติบุคคลเพื่อเป็นหลักฐานที่จะน ามาลงหลักฐานทางการศึกษาได้ ๒.๔.๒.5. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561 ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561 ให้สถานศึกษารับเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐาน ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเข้าเรียน หากมีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจ าตัว 13 หลัก ให้ด าเนินการตามขั้นตอนปกติ และหากไม ่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือ เลขประจ าตัว 13 หลัก ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการก าหนดรหัสประจ าตัวผู้เรียนตามที่หน่วยงานต้นสังกัด ก าหนด (G,P หรืออื ่นๆ) และให้ใช้เลขรหัสประจ าตัวนั้นไปจนกว ่าจะได้รับการจัดท าทะเบียนราษฎร และได้เลขประจ าตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร นอกจากนี้ได้เปิดกว้างให้สถานศึกษารับเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยเข้าเรียน โดยให้สถานศึกษาประสานผู้ปกครองของเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียน ราษฎรและไม่มีเลขประจ าตัว ๑๓ หลัก เพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ประสานกับส านักทะเบียน อ าเภอ/ส านักทะเบียนท้องถิ ่น เพื ่อแจ้งขอจัดท าเอกสารทะเบียนราษฎรและบัตรประจ าตัวในระบบ ฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎรตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และน าเลขประจ าตัว ๑๓ หลักนั้น มาใช้เป็นฐานข้อมูลผู้เรียน ในกรณีตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นบุคคลที่ไม่สามารถก าหนดสถานะและเลขประจ าตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรได้ อาทิ มีภูมิล าเนาอยู่ต่างประเทศหรือเดินทางไปกลับ บริเวณชายแดนหรือเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตน ให้สถานศึกษาก าหนดรหัสประจ าตัวผู้เรียนตามที่ต้นสังกัดก าหนด (G,P หรืออื่นๆ)
31 สรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของ ประเทศไทยเกี่ยวกับการจัดการศึกษาส าหรับ เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย มาจากหลักการเดียวกัน นั่นคือ “หลักสิทธิมนุษยชน” ฐานแห่งสิทธิ คือ “ความเป็นมนุษย์” ซึ่งสิทธิการได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสิทธิมนุษยชน ประการหนึ่งที่ได้รับการรับรอง และคุ้มครอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งที่มีลักษณะ เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 และสนธิสัญญาที่ประเทศไทยลงนามเป็นภาคี ซึ่งได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือก ปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1965 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 และ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ดังนั้น มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด หรือสัญชาติใดหรือเป็น “คนไร้สัญชาติ” ย่ อมมีสิท ธิใน ก า รศึกษ าเ ช่นเดี ย ว กัน (ศุภากร เมฆขยาย, ๒๕๕๙) ซึ่งนอกจากได้รับสิทธิในการศึกษาแล้ว ยังรวมถึงสิทธิการศึกษาที่รัฐต้องจัดแบบให้เปล่า อย่างน้อยขั้นประถมศึกษาและขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการให้ความเสมอภาคทางการศึกษา (ส านักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา, 2556) หลักการส าคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ มีส่วนส าคัญที่ส่งผลให้เกิดการก าหนด นโยบายระดับประเทศ ให้สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน ดังที่ปรากฎในบทบัญญัติของกฎหมายสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ท าให้มีผลผูกพันต่อหน่วยงานของรัฐ ทุกหน่วยงานต้องน าไปปฏิบัติทั้งนี้สืบเนื่องจากบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองสิทธิบุคคลอย่างเสมอกัน ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กระทรวงศึกษาธิการได้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 อันเป็น กฎหมายแม่บทในการบริหารและจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติ รองรับสิทธิการศึกษาส าหรับบุคคลทุกคนรวมถึงบุคคลไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในประเทศไทย และออกแนวทาง ปฏิบัติต่าง ๆ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน าไปใช้เป็นแนวทางการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย รวมทั้งบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติด้วย โดยพัฒนามาเป็นล าดับ เห็นได้จาก มติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปี เกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 และ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561 เพื ่อเปิดโอกาสให้เด็กไม ่มีสัญชาติไทยได้เข้าถึงสิทธิการศึกษาได้ อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ภาพที่ 2 ล าดับช่วงเวลาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมาย และนโยบายของประเทศไทยที่เกี่ยวกับสิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน
32 ๒.๕ บริบทของจังหวัดตาก ๒.๕.๑ สภาพภูมิศาสตร์ จังหวัดตากตั้งอยู่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 16,406.65 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 10,324,156.25 ไร่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ และเป็นอันดับ 2 ของภาคเหนือ สภาพภูมิประเทศทั่วไปเป็น พื้นที่ตามแนวเทือกเขา แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ โดยมีเทือกเขา ถนนธงชัยกั้นกลาง ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออก ประกอบด้วย 4 อ าเภอ ได้แก่ อ าเภอเมืองตาก อ าเภอบ้านตาก อ าเภอสามเงา และอ าเภอวังเจ้า สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและที่ราบสูง ลาดเอียงลงไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ าปิงและแม่น้ าวัง ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ประกอบด้วย 5 อ าเภอ ได้แก่ อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสองยาง สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง และมีแนว อาณาเขตแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นระยะทาง ประมาณ ๕๓๕ กิโลเมตร โดยมีแม่น้ าเมยเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ๒.๕.2 ด้านสภาพสังคม จังหวัดตากแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 อ าเภอ 63 ต าบล 563 หมู ่บ้าน ด้านประชากร จังหวัดตากมีประชากรที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทยภูเขาชนเผ่าต่าง ๆ อาทิ กะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ ลีซอ เย้า อาข่า โดยรวมผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานแต่ไม่มีชื่อในทะเบียน ราษฎร และชาวต่างด้าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า กะเหรี่ยง มอญ และโรฮิงญาที่อพยพข้ามพรมแดนเข้ามา จากประเทศใกล้เคียงซึ่งมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงแรงงานข้ามชาติ (Migrant Worker) ที่เข้ามาท างาน ในภาคส่วนต่าง ๆ ของจังหวัดตากจากรายงานของส านักงานสถิติแห่งชาติ ประจ าปี ๒๕๕๙ (กองยุทธศาสตร์ และสารสนเทศที่อยู่อาศัย ฝ่ายวิชาการพัฒนาที่อยู่อาศัย การเคหะแห่งชาติ, 2560) ระบุว่า จังหวัดตาก มีประชากรจ านวน ๖๓๑,๙๖๕ คน ซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในช่วงอายุวัยเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวน ๑๒๗,๔๕๘ คน ซึ่งมีประชากรชนเผ่าบนพื้นที่สูงถึงจ านวน218,253 คน ด้านอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพเกษตรกรรม ได้แก่การท านา ท าไร่ ท าสวน ปลูกพืชผักผลไม้ที่ส าคัญ ได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถั่วเหลือง ถั่ว เขียว มันส าปะหลัง ฯลฯ รองลงมาได้แก่ อาชีพรับจ้างและค้าขาย ด้านศาสนา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนา พุทธ รองลงมาคือศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลาม และอื่นๆ (ซิกส์ฮินดู และอื่นๆ เช่น นับถือผี) ตามล าดับ ด้านวัฒนธรรม วัฒนธรรมประเพณีที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดตาก ได้แก่ ประเพณีกระทงสายไหล ประทีป 1000 ดวง จังหวัดตาก เป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมีหนึ่งเดียวในโลก และประเพณีขึ้นธาตุเดือน 9 ศิลปะการแสดงที่สร้างชื่อเสียง ได้แก่ ระบ าเกลียวเชือกของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง 2.5.3 ด้านเศรษฐกิจ จังหวัดตากเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Border Economic Zone) เป็นประตู การค้าเชื่อมสู่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จีนและอินเดีย รองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจบริเวณชายแดน ด้านทิศตะวันตก ในปี พ.ศ. 2560 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) มูลค่าเท่ากับ 47,799 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) เท่ากับ 94,902 บาทต่อคนต่อปีมูลค่าการค้าชายแดน ภาพที่ 3 สภาพพื้นที่ของจังหวัดตาก
33 ไทย–เมียนมา ด้านอ าเภอแม่สอด มีมูลค่าการส่งออก 79,217 ล้านบาท และมีมูลค่าการน าเข้า 5,438 ล้านบาท ด้านการเกษตร ในปีการผลิต พ.ศ. 2559/60 พื้นที่การเกษตรของจังหวัดตาก เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ข้าวนาปี มันส าปะหลัง อ้อยโรงงานและล าไยด้านอุตสาหกรรม จังหวัดตากมีโรงงานที่ ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ ณ วันที่ ๑๑ มกราคม 25๖๑ จ านวน ๗๒๐ โรงงาน และมีจ านวนแรงงาน 52,103 คน สาขาอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้แก่ การผลิต ซ่อมเครื่องยนต์เคาะ พ่นสี 2) อุตสาหกรรมการเกษตร ได้แก่ การผลิตแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และ3) อุตสาหกรรมเครื ่องแต ่งกาย ด้านการท ่องเที ่ยวและบริการ จังหวัดตากมีแหล ่งท ่องเที ่ยว ที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศิลปะและประเพณีวัฒนธรรม 2.5.4 ด้านการศึกษา ในปีการศึกษา 2560 จังหวัดตากมีสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดการศึกษาในระบบ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 จ านวน 110 แห่ง สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 จ านวน 121 แห่ง สังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 21 แห่ง สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตาก 20 แห่ง สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 263 แห่ง สังกัดกองบัญชาการต ารวจตระเวนชายแดน 23 แห่ง และสังกัดส านักงานพระพุทธศาสนา 2 แห่ง และมีสถานศึกษานอกระบบสังกัดส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 9 แห่ง นอกจากนี้ยังมีการจัดการศึกษาในรูปแบบของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติจ านวน 45 ศูนย์ และ 4 ห้องเรียนสาขา ทั้งนี้คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในปีการศึกษา 2560 ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาคณิตศาสตร์ 31.66 คะแนน วิทยาศาสตร์ 35.46 คะแนน ภาษาอังกฤษ 30.50 คะแนน และภาษาไทย 41.59 คะแนน และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาคณิตศาสตร์ 23.43 คะแนน วิทยาศาสตร์ 30.93 คะแนน ภาษาอังกฤษ 28.24 คะแนน และภาษาไทย 45.71 คะแนน ๒.๕.5 สถานการณ์การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ แรงงานข้ามชาติในจังหวัดตากส่วนใหญ่เป็นแรงงานสัญชาติพม่า ทั้งที่เข้ามาท างานอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย และบางส่วนได้น าบุตรหลานติดตามเข้ามาด้วย จากสถิติแรงงานข้ามชาติ ปี ๒๕๕๘ ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตให้ท างานในจังหวัดตาก จ านวน ๓๑,๔๓๖ คน (ส านักบริหาร แรงงานต่างด้าว, ๒๕๕๘) สาเหตุส าคัญมาจากสภาพเศรษฐกิจและปัญหาความไม ่สงบทางการเมืองของ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ข้อมูลการใช้แรงงานในจังหวัดตาก ๑) ภาคอุตสาหกรรม จังหวัดตากมีโรงงาน ๗๒๐ โรงงาน (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๑ มกราคม 25๖๑) อยู่ ในอ าเภอแม่สอด จ านวน ๔๒๗ โรงงาน นายจ้างมีความต้องการใช้แรงงานเป็นจ านวนมากแต่แรงงานไทย มีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในอ าเภอแม่สอด ซึ่งเป็นแหล่งการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ส าคัญ ส่วนใหญ่เป็น โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส าเร็จรูปและอุตสาหกรรมการเกษตร 2) ภาคเกษตรกรรม อ าเภอพบพระมีการลงทุนในภาคเกษตรกรรมคลอบคลุมพื้นที่จ านวนมาก ส่วนอ าเภอแม่ระมาด อ าเภอท่าสองยาง และอ าเภออุ้มผางเป็นการท าการเกษตรกรรมขนาดเล็ก เช่น ปลูกพืชไร่ ท านา ท าสวน ภาคเกษตรกรรมส่วนใหญ่ท าเป็นฤดูกาลประมาณ ๕ – ๖ เดือน/ปีเท่านั้น แรงงานข้ามชาติ จึงมีการหมุนเวียนเคลื่อนย้ายเป็นประจ า
34 3) ภาคการบริการและงานรับใช้ในบ้าน ได้แก่ ร้านอาหาร สถานีบริการน้ ามัน โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้าต่าง ๆ และงานรับใช้ในบ้าน ล้วนแต่มีความต้องการใช้แรงงานข้ามชาติทั้งสิ้น 4) ภาคก่อสร้าง จังหวัดตากมีการพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ ขยายมากขึ้น มีการลงทุนในกิจการโรงแรมและคอนโดมิเนียมจ านวนมาก จึงมีความต้องการแรงงานข้ามชาติในกิจการก่อสร้าง ในอัตราที่สูง แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดตาก สามารถแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๑) แรงงานภาคการเกษตรตามฤดูกาล ซึ่งเข้ามารับจ้างท างานตามฤดูกาล เช่น รับจ้างท านา ปลูกข้าวโพด หรือพืชเกษตรอื่น ๆ เมื่อสิ้นฤดูกาลเพาะปลูกหรือห้วงการเก็บเกี่ยวแล้ว แรงงานกลุ่มนี้ จะเดินทางกลับภูมิล าเนา จึงมักจะไม่จดทะเบียนแรงงานหรือท าใบอนุญาตท างาน ซึ่งล้วนเป็นการด าเนินตาม วิถีชีวิตของราษฎรท้องถิ่นในพื้นที่ทั้งสองฝั่ง ทั้งนี้ แรงงานกลุ่มนี้ต้องมีเงื่อนไข ดังนี้ (1) ต้องมีทะเบียนบ้าน ในจังหวัดเมียวดี (2) ท างานได้ 3 อ าเภอ คือ อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่สอด และอ าเภอแม่ระมาด (3) อนุญาตให้ท างาน 2 ประเภทงาน คือ งานกรรมกรและงานรับใช้ในบ้าน (4) สามารถอยู่ในประเทศไทย ครั้งละ 1 เดือน (5) อนุญาตให้ท างานครั้งละไม่เกิน 3 เดือน (6) ต้องเข้าระบบประกันสุขภาพเท่านั้น (7) นายจ้างสามารถจ้างคนต่างด้าวท างานได้ตลอดเวลา ๒) แรงงานภาคเกษตรหมุนเวียนที่มีผลผลิตทั้งปีเช่น การปลูกดอกกุหลาบ กะหล่ าปลี เป็นต้น ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้จะมีอยู่มากในพื้นที่อ าเภอพบพระ และอ าเภอแม่สอด ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและ ไม่ถูกกฎหมาย แรงงานกลุ่มนี้จะเดินทางกลับภูมิล าเนา ในห้วงเทศกาลวันหยุดยาว หรือเทศกาลงานบุญต่าง ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเข้ามาเป็นครอบครัว ท าให้เกิดชุมชนแรงงานต่างด้าวในพื้นที่เป็นจ านวนมาก ๓) แรงงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก และขนาดกลาง เป็นจ านวนมาก แรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยสามารถแบ่งประเภท ออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ (๑) กลุ่มแรงงานเช้ามา–เย็นกลับ โดยในปีพ.ศ. ๒5๖๐ มีจ านวน ๑๖,๘๘๓ คน (๒) กลุ่มแรงงานที่อยู่ประจ าตามวีซ่าแรงงานต่างด้าว เมื่อพ.ศ. ๒๕๖๐ มีจ านวน ๓,๖๑๘ คน และ (๓) กลุ่มแรงงานที่ผู้ประกอบการแอบแฝงจ้างท างานร่วมกับแรงงานที่ถูกกฎหมาย
35 2.6 กรอบแนวคิดการศึกษา (Conceptual Framework) สภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของ แรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก กรณีศึกษาภาคสนาม อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก 1. สภาพการจัดการศึกษา 2. ปัญหาและอุปสรรค 3. แนวทางการจัดการศึกษา กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาส าหรับ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ๑. กฎหมายระหว่างประเทศ (1) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 (2) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือก ปฏิบัติทางเชื้อชาติ ในทุกรูปแบบ ค.ศ.1965 (3) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 (4) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1989 (5) ปฏิญญาโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน ค.ศ.1990 ๒. กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย (๑) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (๒) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (๓) มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 (๔) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการ รับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 (๕) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษา ที่ไม่มีหลักฐาน ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับ สิทธิการศึกษา ความหมายของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานขอแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก บริบทจังหวัดตาก 1.สภาพภูมิศาสตร์ด้านสภาพสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านการศึกษา ๒. สถานการณ์การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ แนวคิดเกี่ยวกับ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มี หลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย 1) ประเภทการจัดการศึกษา 2) การอุดหนุนงบประมาณการจัดการศึกษา 3) ปัญหาและอุปสรรคการจัดการศึกษา ภาพที่ 4 กรอบแนวคิดการศึกษา
บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรศึกษำ การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตากครั้งนี้ ใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยมีวิธีการด าเนินการศึกษา ขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา และประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 3.1 วิธีด ำเนินกำรศึกษำ การศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก มีวิธีด าเนินการศึกษาดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 กำรก ำหนดกรอบแนวคิดและกำรศึกษำ การก าหนดกรอบแนวคิดและการศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๓ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. กำรศึกษำเอกสำร งำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร รายงานการวิจัย เอกสารทางวิชาการ บทความ วารสาร และเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิการศึกษา ความหมายของ เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มี สัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายและนโยบาย ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของ แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย และบริบทของจังหวัดตาก เพื่อน ามาก าหนดโจทย์การศึกษา วัตถุประสงค์ และกรอบแนวคิดการศึกษา (Conceptual Framework) ๒. แต่งตั้งคณะท ำงำนกำรศึกษำน ำร่องกำรจัดกำรศึกษำส ำหรับบุตรหลำนแรงงำนข้ำมชำติในประเทศไทย ๑)ติดต่อประสานงานกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติเพื่อขอความอนุเคราะห์ร่วมเป็นคณะท างาน การศึกษาน าร่องการจัดการศึกษาส าหรับบุตรหลานแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย และจัดท า (ร่าง) ค าสั่ง แต่งตั้งคณะท างานฯ ๒)แต่งตั้งคณะท างานการศึกษาน าร่องการจัดการศึกษาส าหรับบุตรหลานแรงงานข้ามชาติใน ประเทศไทย (ค าสั่งส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาที่ ๕/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๑) ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารและข้าราชการของส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ส านักงานปลัด กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ส านักงานศึกษาธิการจังหวัดตาก ส านักงานศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร กรมการปกครอง กรมการจัดหางาน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กองอ านวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 ซึ่งมีคณะท างานฯ ทั้งสิ้น ๒๗ คน โดยมีข้าราชการส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ท าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
๓๗ ๓. จัดประชุมคณะท ำงำนกำรศึกษำน ำร่องกำรจัดกำรศึกษำส ำหรับบุตรหลำนแรงงำนข้ำมชำติ ในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมพจน์ สะเพียรชัย อาคาร ๒ ชั้น ๕ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมก าหนดกรอบและแผนการด าเนินงาน ปฏิทินการท างาน และพิจารณาคัดเลือกพื้นที่กรณีศึกษาภาคสนาม เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึก (In-depth) สภาพการจัดการศึกษา ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษา และแนวทางการจัดการศึกษา เพื่อเชื่อมโยงสู่การจัดท าแนวทาง การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลาน ของแรงงานข้ามชาติในระดับจังหวัดตาก คณะท างานฯ คัดเลือกพื้นที่อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นกรณีศึกษาภาคสนามเพื่อศึกษาข้อมูล ด้วยการเก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกดังนี้ เกณฑ์กำรคัดเลือก พื้นที่ สภำพของอ ำเภอแม่สอด จังหวัดตำก ด้านภูมิศาสตร์ มีแนวชายแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นระยะทางยาวถึง 75 กิโลเมตร ซึ่งแม่น้ าเมยกั้นพรมแดน ด้านเศรษฐกิจ เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Border Economic Zone) เป็นแหล่งลงทุนทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมและภาคบริการที่ส าคัญ แม่สอดเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมถึงจ านวน ๔๒๗ โรงงาน (จังหวัดตากมีโรงงาน อุตสาหกรรมทั้งหมด ๗๒๐ โรงงาน) (ข้อมูลปี ๒๕๖๐) มีมูลค่าการค้าขายชายแดนที่สูงที่สุดในภาคเหนือ (ในปี ๒๕๕๗ มีมูลค่ามวลรวมถึง ๕๗,๗๓๘ ล้านบาท) (ส านักงานพาณิชย์จังหวัดตาก, ๒๕๕๘) ด้านคมนาคม เป็นที่ตั้งของสนามบินพาณิชย์ ๑ แห่ง มีจุดผ่านแดนถาวรไทย-เมียนมา ๑ แห่ง จุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย - เมียนมา ๑ แห่ง และมีท่าข้ามเรือซึ่งเป็นจุดผ่านแดนที่ไม่เป็นทางการอยู่ตามแนว ชายแดนแม่สอด-เมียวดีหลายแห่ง ด้านประชากร ประชากรมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ได้แก่ ๑) ชาวไทยพื้นราบ ๒) ชาวไทยภูเขาชน เผ่าต่าง ๆ อาทิ กะเหรี่ยง ม้ง เมี่ยน ลาหู่ ลีซอ และอาข่า ๓) ชาวต่างด้าวซึ่งส่วนใหญ่เป็น ชาวพม่า มอญ โรฮิงญา ซึ่งอพยพมาจากฝั่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๔)ชาติพันธุ์ผสม การด ารงชีวิตของประชากรเป็นแบบสังคมพหุวัฒนธรรมที่เด่นชัด สามารถอยู่ร่วมกันได้บน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ด้านการศึกษา เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาทั้ง ๓ ประเภท คือ โรงเรียนในระบบ การศึกษานอกระบบและ ตามอัทธยาศัย (กศน.) และศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ มีจ านวนนักเรียนไม่มีสัญชาติไทยที่เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเรียนอยู่ในระบบโรงเรียน ถึงร้อยละ ๓๐ ของเด็กไม่มีสัญชาติไทยที่เรียนอยู่ในระบบโรงเรียนใน ๕ อ าเภอชายแดน มีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดย กศน.อ าเภอแม่สอด ให้กับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยให้เด็ก ในศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติขึ้นทะเบียนเรียนกับ กศน.อ าเภอแม่สอด ในปีการศึกษา ๒๕๖๐ มีจ านวน ๑79 คน ใน 10 ศูนย์การเรียน (กศน.แม่สอด, ๒๕๖๐) เป็นที่ตั้งของศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติที่มากที่สุดในจังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีศูนย์การเรียน เด็กข้ามชาติถึงจ านวน ๔๕ ศูนย์ และ ๔ ห้องเรียนสาขาและมีเด็กไม่มีสัญชาติไทยเรียนอยู่ถึง ๙,๔๗๓ คน ซึ่งมากที่สุดในจังหวัดตาก (สพป.ตาก เขต 2, 2560) มีศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติที่เป็นศูนย์น าร่องในการจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงกับศูนย์การศึกษา นอกระบบ ระดับประถมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการเมียนมาร์และเขตการศึกษาเมียวดี โดยน าหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับประถมศึกษาของเมียนมาร์มาจัดการศึกษาใน ศูนย์การเรียนน าร่อง
๓๘ ขั้นตอนที่ 2 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล กำรลงพื้นที่ศึกษำภำคสนำมและกำรสัมภำษณ์ 1. กำรเก็บรวบรวมข้อมูลและกำรศึกษำข้อมูลเชิงลึก สามารถจ าแนกตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการจัดการศึกษา ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส าหรับเด็กที ่ไม ่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ ในจังหวัดตาก ที่ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 ใช้วิธีการเก็บข้อมูลและเครื่องมือ ดังนี้ 1)กำรศึกษำจำกเอกสำร โดยศึกษาจากบทความ รายงานการวิจัย และเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เกี่ยวกับสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ซึ่งมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะพื้นที่ ๕ อ าเภอของจังหวัดตาก ที่มีแนวเขตแดนติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้แก่อ าเภอแม่สอด อ าเภอพบพระ อ าเภอแม่ระมาด อ าเภออุ้มผาง และอ าเภอท่าสองยาง 2)กำรลงพื้นที่ภำคสนำม ผู้ศึกษาก าหนดสถานศึกษาที่เป็นกรณีศึกษาภาคสนาม ในอ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมคณะท างานฯ ครั้งที่ 1/2561 โดยพิจารณาคัดเลือกจาก สถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้เกณฑ์ความแตกต่างด้านรูปแบบ การจัดการศึกษา หน่วยงานต้นสังกัด/แหล่งงบประมาณ จ านวนนักเรียนไม่มีสัญชาติไทยในสถานศึกษา (คิดเป็นร้อยละ) และที่ตั้งของสถานศึกษา ดังนี้ ที่ ชื่อสถำนศึกษำ ระดับกำรสอน เปอร์เซ็นต์ของนักเรียน ไม่มีสัญชำติไทย ในสถำนศึกษำ (%) (ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๐) หน่วยงำนต้นสังกัด/ แหล่งงบประมำณ รูปแบบ กำรศึกษำ สถำนที่ตั้ง 1. โรงเรียนแม่ตาวแพะ อนุบาล ๑- ประถมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ 76.73 ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) การศึกษา ในระบบ ต าบลแม่ตาว/ ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม 2. โรงเรียนบ้านหัวฝาย อนุบาล ๑- ประถมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๙๑.๓๘ ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต าบลพระธาตุผาแดง/ ชุมชนคนต่างด้าว 3. โรงเรียนบ้านท่าอาจ อนุบาล ๑- ประถมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๘๙.๐๕ ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต าบลท่าสายลวด/ติด ชายแดนสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมา 4. โรงเรียนอนุกูลวิทยา (วัดดอนแก้ว) อนุบาล ๑- มัธยมศึกษาที่ ๓ ร้อยละ ๗๖.๐๕ ส านักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (โรงเรียนเอกชนการกุศล) ต าบลแม่สอด 5. โรงเรียนอิสลามศึกษา อนุบาล ๑- มัธยมศึกษาที่ ๓ ร้อยละ ๗๐ ส านักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โรงเรียนเอกชนการกุศล ต าบลแม่สอด/ ชุมชนมุสลิม วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก 2. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทาง ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก
๓๙ ที่ ชื่อสถำนศึกษำ ระดับกำรสอน เปอร์เซ็นต์ของนักเรียน ไม่มีสัญชำติไทย ในสถำนศึกษำ (%) (ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๐) หน่วยงำนต้นสังกัด/ แหล่งงบประมำณ รูปแบบ กำรศึกษำ สถำนที่ตั้ง 6. สถานศึกษา กศน. อ าเภอแม่สอด มัธยมศึกษาปีที่ ๓-๖ -- ส านักงานส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย (กศน.) การศึกษา นอกระบบ ต าบลแม่ปะ 7. ศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ เพื่อเด็กด้อยโอกาส ซีดีซี ปฐมวัย - มัธยมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๑๐๐ องค์กรเอกชน (แม่ตาวคลีนิค) การศึกษา ใน ศูนย์การ เรียนเด็ก ข้ามชาติ ต าบลท่าสายลวด/ติด ชายแดนสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมา 8. ศูนย์การเรียนรู้ปารมี ปฐมวัย - มัธยมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๑๐๐ องค์กรเอกชน (Help Without Frontier : HWF) ต าบลแม่ปะ 9. ศูนย์การเรียนรุ่งอรุณ ปฐมวัย - มัธยมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๑๐๐ องค์กรเอกชน (All You Need is Love) ต าบลแม่กาษา ติดชายแดนสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมา 10. ศูนย์การเรียนซันเซท ประถมศึกษาที่ ๑- มัธยมศึกษาที่ ๖ ร้อยละ ๑๐๐ องค์กรเอกชน (Burmese Migrant Worker's Education Committee : BMWEC) ต าบลแม่สอด/ ชุมชนคนต่างด้าว ทั้งนี้การลงพื้นที่ภาคสนามใช้วิธีการเก็บข้อมูลและเครื่องมือ ดังนี้ 2.1) กำรประชุมรับฟังควำมคิดเห็น ผู้ศึกษาเข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการด าเนินการ จัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย ในพื้นที่อ าเภอแม่สอด จังหวัดตากโดยประธานในการลงพื้นที่ ได้แจ้งวัตถุประสงค์และประเด็นในการศึกษา จากนั้นผู้บริหารสถานศึกษาน าเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับการด าเนินการ ดังกล่าวและตอบประเด็นข้อซักถาม ทั้งนี้ ผู้ศึกษาใช้วิธีการก าหนดประเด็นและแนวค าถามไว้ก่อนล่วงหน้า 2.2) กำรสนทนำกลุ่ม (Focus Group) ผู้ศึกษาใช้วิธีการก าหนดประเด็นและแนวค าถามไว้ก่อน ล่วงหน้า โดยก าหนดประเด็นในการสนทนากลุ่มจากการศึกษาเอกสาร รายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามวัตถุประสงค์ ของการศึกษา และด าเนินการสนทนากลุ่ม ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จ านวน 24 คน และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จ านวน 24 คน ทั้งนี้ผู้ให้ข้อมูล ส าคัญประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล นักเรียน และผู้ปกครอง ตัวอย่ำงประเด็นกำรสนทนำกลุ่ม (Focus Group) (1) การด าเนินการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ (2) ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษา (3) ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการศึกษา 2.๓) กำรสัมภำษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ศึกษาใช้วิธีการก าหนดประเด็นและแนวค าถามไว้ ก่อนล่วงหน้า โดยก าหนดประเด็นสัมภาษณ์จากการศึกษาเอกสาร รายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามวัตถุประสงค์ ของการศึกษา และด าเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้ให้สัมภาษณ์ จ านวน 15 คน และ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ผู้ให้สัมภาษณ์ จ านวน 15 คน ทั้งนี้ ผู้ให้ข้อมูลส าคัญ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล นักเรียน และผู้ปกครอง
๔๐ ตัวอย่ำงค ำถำมกำรสัมภำษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้บริหารสถานศึกษา (๑) ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรในการจัดการศึกษาส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ (๒) โรงเรียนของท่านมีปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาให้ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทาง ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติหรือไม่ อย่างไร (๓) ท่านมีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาในการจัดการศึกษาให้ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติอย่างไร ครู (๑) ท่านมีวิธีการจัดการเรียนการสอนส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติอย่างไร (๒) ท่านมีปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติ หรือไม่ อย่างไร (๓) ท่านมีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาในการจัดการศึกษาให้ส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐาน ทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย และบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติอย่างไร ผู้เรียน (๑) นักเรียนเข้ามาเรียนในสถานศึกษาได้อย่างไร (๒) นักเรียนมีปัญหาและอุปสรรคในการเรียนหรือไม่ อย่างไร (๓) นักเรียนวางแผนชีวิตไว้อย่างไร หลังจากที่เรียนจบการศึกษา ผู้ปกครอง (๑) บุตรหลานของท่านเรียนอยู่ในระดับชั้นใด มีปัญหาในการเรียนหรือไม่ อย่างไร (๒) เมื่อบุตรหลานของท่านเรียนจบการศึกษาแล้ว ท่านจะให้เรียนต่อหรือไม่ หรือวางแผนไว้อย่างไร (๓) อะไรเป็นปัจจัยส าคัญที่ท าให้ท่านส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษา 2.๔) กำรสังเกต (Observe) ผู้ศึกษาใช้วิธีการสังเกตร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม พร้อมทั้งสังเกตบรรยากาศการจัดการเรียนการสอน หนังสือแบบเรียน สื่อการเรียนการสอน ที่ตั้ง อาคาร สถานที่ บริบทสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ฯลฯ โดยผู้ศึกษาได้บันทึกภาพจากการสังเกตไว้ด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก ที่ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ใช้วิธีการเก็บข้อมูลและเครื่องมือ ดังนี้ วัตถุประสงค์ 3. เพื่อจัดท าแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานส าหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทยและบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก