หน่วยงานของรฐั ที่เป็ นองคก์ ารมหาชน
1. โรงพยาบาลบา้ นแพว้
2. สาํ นกั งานรบั รองมาตรฐานและประกนั
คณุ ภาพการศึกษา
3. ศนู ยม์ านษุ ยวิทยาสิรนิ ธร
4. กองทนุ หมบู่ า้ นและชมุ ชนเมืองแห่งชาติ
5. สาํ นกั งานสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม
ซอฟตแ์ วรแ์ ห่งชาติ
51
เจ้าหน้าทขี่ องรัฐ
1. ผูป้ ฏิบตั ิงานในหน่วยงานทางปกครอง
2. คณะกรรมการวินิจฉยั ขอ้ พิพาท
คณะกรรมการหรือบคุ คลที่กฎหมายให้
อาํ นาจในการออกกฎ คําสงั่ หรือมติท่ีมีผล
ต่อบคุ คล
3. บคุ คลในบงั คบั บญั ชาหรือในกาํ กบั ดแู ลของ
หน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่
คดีปกครอง (มาตรา 9) 53
1. การออกกฎ คําสงั่ หรือการกระทาํ ฝ่ ายเดียว
โดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
2. ละเลยต่อหนา้ ที่หรือปฏิบตั ิหนา้ ที่ล่าชา้
3. ละเมิดหรือความรบั ผิดอย่างอื่น
4. สญั ญาทางปกครอง
5. คดีที่กฎหมายบงั คบั ใหฟ้ ้องศาล
เพื่อบงั คบั บคุ คลใหก้ ระทาํ
6. คดีอ่ืนท่ีกฎหมายกาํ หนด
ตัวอย่างของคาํ ส่ังทางปกครอง
คําสงั่ ท่ีมีผลต่อขา้ ราชการหรอื เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั
1. คําสงั่ ที่เก่ียวกบั การบรหิ ารงานบคุ คล เช่น
การบรรจุ การแต่งตงั้ การเลอ่ื นขนั้ เงินเดือน
การสง่ั พกั งาน หรอื สงั่ ใหอ้ อกจากงานไวก้ อ่ น
หรอื การใหพ้ น้ จากตําแหน่ง หรอื การลงโทษ
ทางวินยั
2. คําสง่ั ที่เก่ยี วกบั สวสั ดิการต่าง ๆ
3. คําวินิจฉยั อทุ ธรณค์ ําสงั่
4. คําสงั่ อ่ืน ๆ บางคําสงั่
มาตรา 42 วรรคหนึ่ง
ผูใ้ ดไดร้ บั ความเดือดรอ้ นหรือเสยี หาย
หรืออาจจะเดือดรอ้ นหรือเสยี หายโดยมิอาจ
หลกี เล่ียงได้ อนั เนื่องจากการกระทําหรอื การ
งดเวน้ การกระทําของหน่วยงานทางปกครอง
หรอื เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ... ตามมาตรา 9 และการ
แกไ้ ขหรอื บรรเทาความเดือดรอ้ นหรอื ความ
เสยี หาย หรอื ยตุ ิขอ้ โตแ้ ยง้ นนั้ ตอ้ งมีคําบงั คบั
ตามท่ีกาํ หนดในมาตรา 72 ผนู้ น้ั มีสิทธิฟ้ องคดี
ต่อศาลปกครอง 55
มาตรา 42 วรรคสอง
ในกรณีท่ีมีกฎหมายกาํ หนดขน้ั ตอนหรอื
วิธีการสาํ หรบั การแกไ้ ขความเดือดรอ้ นหรอื
เสียหายในเรอ่ื งใดไวโ้ ดยเฉพาะ การฟ้ องคดี
ปกครองในเรอื่ งนนั้ จะกระทําไดต้ ่อเม่ือมีการ
ดําเนินการตามขน้ั ตอนและวิธีการดงั กลา่ ว และ
ไดม้ ีการสงั่ การตามกฎหมายนน้ั หรอื มิไดม้ ีการ
สง่ั การภายในเวลาอนั สมควร หรอื ภายในเวลาท่ี
กฎหมายนนั้ กาํ หนด
56
พ.ร.บ.ระเบียบขา้ ราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551 (มาตรา 122)
ขา้ ราชการพลเรือนสามญั ผใู้ ดมีความคบั
ขอ้ งใจอนั เกิดจากการปฏิบตั ิหรือไม่ปฏิบตั ิต่อตน
ของผบู้ งั คบั บญั ชา และเป็ นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์
ตามหมวด 9 การอุทธรณไ์ ด้ ผนู้ นั้ มีสิทธริ อ้ งทุกข์
ไดต้ ามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่ีกาํ หนดไวใ้ น
หมวดน้ี
57
พ.ร.บ.ระเบียบขา้ ราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551 (มาตรา 114 วรรคหน่ึง)
ผูใ้ ดถกู ส่ังลงโทษตามพระราชบญั ญตั ิน้ีหรือ
ถกู ส่ังใหอ้ อกจากราชการตามมาตรา 110 (1)
(3) (5) (6) (7) และ (8) ผนู้ น้ั มีสิทธิ
อุทธรณต์ ่อ ก.พ.ค. ภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั
ทราบหรือถือว่าทราบคําสงั่
58
พบุค.รล.บาก.รระทเบาียงบกขารา้ ศราึกชษกาาฯร(คมร.1แู 2ล2ะ)
ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา
ผใู้ ดถกู สงั่ ลงโทษปลดออก ไลอ่ อกหรือถูกส่งั ให้
ออกจากราชการ ใหม้ ีสิทธิอทุ ธรณห์ รือรอ้ งทกุ ข์
แลว้ แต่กรณี ต่อ ก.ค.ศ. ภายในสามสิบวนั นบั แต่
วนั ท่ีไดร้ บั แจง้ คําสง่ั และให้ ก.ค.ศ. พิจารณาให้
แลว้ เสรจ็ ภายในเกา้ สิบวนั
59
ทพา.รง.กบา.รระศเึกบษียาบขพา้ .รศา.ช2ก5า4ร7คร(มแู าลตะบราุคล1า2ก5ร)
เมื่อ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรอื
อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตงั้ หรอื ก.ค.ศ. แลว้ แต่กรณี ได้
วินิจฉยั อทุ ธรณห์ รอื รอ้ งทกุ ขต์ ามมาตรา 121 หรอื
มาตรา 122 แลว้ ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการ
ศึกษาผใู้ ดเห็นว่าตนไมไ่ ดร้ บั ความเป็ นธรรม หรอื กรณีที่
มิไดบ้ ญั ญตั ิใหม้ ีสิทธิอทุ ธรณห์ รอื รอ้ งทกุ ขต์ ามหมวดน้ี
ผนู้ น้ั ยอ่ มมีสทิ ธิท่ีจะฟ้ องรอ้ งคดีต่อศาลปกครองได.้ ..
เมื่อศาลปกครองมีคําพิพากษาหรอื คําสงั่
เป็ นประการใดแลว้ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาดําเนินการแกไ้ ข
คําสงั่ ไปตามนนั้
60
การสอบสวนวินยั อย่างรา้ ยแรง 61
ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน
คดั คา้ นกรรมการหรือกรรมการถอนตวั
แจง้ ขอ้ กล่าวหา
รวบรวมพยานหลกั ฐาน
แจง้ สรปุ พยานหลกั ฐานและใหโ้ อกาสแกข้ อ้ กล่าวหา
ทาํ รายงานการสอบสวน
สงั่ ลงโทษทางวินยั
พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้ องกนั
และปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 91
เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนขอ้ เท็จจรงิ
แลว้
(1) ถา้ มีมลู ความผิดทางอาญาใหส้ ง่ รายงาน
สาํ นวนการไต่สวนและคําวินิจฉยั ใหอ้ ยั การสงู สดุ
ภายใน 30 วนั เพื่อใหอ้ ยั การสงู สดุ ฟ้ องคดีต่อไป
(2) ถา้ มีมลู ความผิดทางวินยั ใหส้ ง่ รายงาน
สาํ นวนการไต่สวนและคําวินิจฉยั ไปยงั
ผบู้ งั คบั บญั ชา ภายใน 30 วนั
เพ่ือดําเนินการต่อไป
62
พ.รแ.บล.ะปปรระากบอปบรราฐั มธกรารรมทนุจญู รวิตา่ฯดมว้ ายตกราารป9้ อ8งกนั
เม่ือผบู้ งั คบั บญั ชาไดร้ บั สาํ นวนการไต่สวน
แลว้ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา... พิจารณาโทษทางวินยั
ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไดม้ ี
มติโดยไมต่ อ้ งแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน
วินยั อีก ในการพิจารณาโทษทางวินยั แก่
ผถู้ กู กลา่ วหา ใหถ้ ือว่ารายงานเอกสารและ
ความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 63
เป็ นสาํ นวนการสอบสวนทางวินยั ของ
คณะกรรมการสอบสวนวินยั ...
การดําเนินการทางวินยั ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา
สง่ั ลงโทษ ภายใน 30 วนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ บั เรอ่ื ง
จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ...
64
พ.รแ.บล.ะปปรระากบอปบรราฐั มธกรารรมทนจุ ญู รวิตา่ฯดมว้ ายตกราารป9้ อ9งกนั
ในการพิจารณาโทษทางวินยั ตามคําวินิจฉยั
ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากผบู้ งั คบั บญั ชา
มีพยานหลกั ฐานใหมอ่ นั แสดงว่า ผถู้ กู กลา่ วหา
มิไดก้ ระทําผิดตามที่ถกู กลา่ วหา... ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา
มีหนงั สือพรอ้ มเอกสารและพยานถึงคณะกรรมการ
ป.ป.ช. เพื่อขอใหพ้ ิจารณาทบทวนมตินน้ั ไดภ้ ายใน
30 วนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ บั เรอ่ื งจากคณะกรมการ
ป.ป.ช.
65
พ.รแ.ลบะ.ปปรระากบอปบรราฐัมธกรารรมทนจุ ญูริตวฯา่ ดมว้ ายตกราาร1ป้ 0อ0งกนั
ผบู้ งั คบั บญั ชา...ผใู้ ดไมด่ ําเนินการ
ตามมาตรา 98 โดยไมม่ ีเหตอุ นั สมควร
ใหถ้ ือว่าผบู้ งั คบั บญั ชา...กระทําความผิด
วินยั หรอื กฎหมายตามกฎหมายหรอื
ระเบียบหรอื ขอ้ บงั คบั ว่าดว้ ยการ
บรหิ ารงานบคุ คลของผถู้ กู กลา่ วหานน้ั ๆ
66
พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการ
ป้ องกนั และปราบปรามการทุจริตฯ ม. 101
ผซู้ ึ่งถกู ลงโทษตามมาตรา 98 จะใชส้ ิทธิฟ้ องคดี
ต่อศาลปกครองภายใน 90 วนั นบั แต่วนั ท่ีถกู ลงโทษ
โดยไม่ตอ้ งอทุ ธรณต์ ามกฎหมายว่าดว้ ยการ
บรหิ ารงานบคุ คลของผถู้ กู ลงโทษนน้ั หรอื จะอทุ ธรณ์
ดลุ พินิจในการกาํ หนดโทษของผบู้ งั คบั บญั ชาตาม
กฎหมาย ระเบียบ หรอื ขอ้ บงั คบั ว่าดว้ ยการบรหิ ารงาน
บคุ คลของผถู้ กู ลงโทษนนั้ กอ่ นก็ได้
67
พ.ร.บ.พร.ะศเบ. ีย2บ5ข5า้1รา(มช.ก1า1รพ6)ลเรือน
เมื่อ ก.พ.ค. พิจารณาวินิจฉยั อุทธรณแ์ ลว้
ใหผ้ ูบ้ งั คบั บญั ชาซ่ึงมีอาํ นาจสงั่ บรรจุตามมาตรา 57
ดาํ เนินการใหเ้ ป็ นไปตามคําวินิจฉยั นนั้ ภายใน
สามสิบวนั นบั แต่วนั ท่ี ก.พ.ค. มีคําวินิจฉยั
ในกรณีที่ผูอ้ ุทธรณไ์ ม่เห็นดว้ ยกบั คําวินิจฉยั
อุทธรณข์ อง ก.พ.ค. ใหฟ้ ้องคดีต่อศาลปกครองสงู สดุ
ภายในเกา้ สิบวนั นบั แต่วนั ท่ีทราบหรือถือว่าทราบคํา
วินิจฉยั ของ ก.พ.ค. ...
68
กฎ
1. พระราชกฤษฎีกา
2. กฎกระทรวง
3. ประกาศกระทรวง
4. ขอ้ บญั ญตั ิทอ้ งถ่ิน
5. ระเบียบ ขอ้ บงั คบั
6. บทบญั ญัติอ่ืนท่ีมีผลบงั คบั เป็ นการ
ท่วั ไป โดยไม่ม่งุ หมายใชบ้ งั คบั แก่กรณี
ใดหรือบคุ คลใดเป็ นการเฉพาะ
1. ภายในร9ะย0ะเววนัลนาฟับ้แอตงว่ คนั ดรูห้ี (รมือ.ค4วร9รูเ้-ห5ต2ุหร)ือนบั แต่
วนั ที่พน้ กาํ หนด 90 วนั นบั แต่วนั ท่ีมีหนงั สือขอใหป้ ฏิบตั ิ
หนา้ ที่ตามกฎหมายและไม่ไดร้ บั ช้ีแจงหรือช้ีแจงแต่ไม่มี
เหตุผล (อาจขยายเป็ น 1 ปี ถา้ ไม่แจง้ สิทธิฟ้องคดี)
2. คดีละเมิดหรือความรบั ผิดอย่างอื่น ฟ้องภายใน
1 ปี นับแตร่ ูห้ รือควรรูเ้ หตุ แต่ไม่เกิน10 ปี นบั แต่มีเหตุ
3. เมือ่ ใดก็ได้ กรณีประโยชนส์ าธารณะหรือสถานะ
บคุ คล
ขอ้ ยกเวน้ กรณีประโยชนส์ ่วนรวม/เหตุจาํ เป็ น
พ.ร.บ.จัดตงั้ ศาลปกครองฯ (ม.50)
คําสง่ั ใดที่อาจฟ้ องต่อศาลปกครองได้ ใหผ้ ูอ้ อก
คําส่งั ระบวุ ธิ ีการยน่ื คําฟ้ องและระยะเวลาสาํ หรบั ย่นื
คําฟ้ องไวใ้ นคําส่งั ดังกล่าวดว้ ย
ในกรณีที่ปรากฏต่อผอู้ อกคําสงั่ ใดในภายหลงั ว่า
ตนมิไดป้ ฏบิ ตั ิตามวรรคหน่ึงใหผ้ นู้ น้ั ดําเนินการแจง้
ขอ้ ความซ่ึงพึงระบตุ ามวรรคหน่ึงใหผ้ รู้ บั คําสง่ั ทราบโดย
ไมช่ กั ชา้ ในกรณีน้ีใหร้ ะยะเวลาสาํ หรบั ยน่ื คําฟ้ องเรมิ่ นบั
ใหมน่ บั แต่วนั ท่ีผรู้ บั คําสง่ั ไดร้ บั แจง้ ขอ้ ความดงั กลา่ ว
ถา้ ไมม่ ีการแจง้ ใหมต่ ามวรรคสองและระยะเวลา
สาํ หรบั ยนื่ คําฟ้ องมีกาํ หนดนอ้ ยกว่าหนึ่งปี ใหข้ ยายเวลา
สาํ หรบั ยน่ื คําฟ้ องเป็ นหน่ึงปี นบั แต่วนั ท่ีไดร้ บั คําส่งั
ระเบียบของท่ีประชมุ ใหญ่ฯ วา่ ดว้ ย
วธิ ีพิจารณาคดีปกครองฯ (ขอ้ 69 วรรคหน่ึง)
การฟ้ องคดีต่อศาลปกครองเพ่ือ
ขอใหเ้ พิกถอนกฎหรอื คําสงั่ ทางปกครอง
ไมเ่ ป็ นเหตใุ หท้ เุ ลาการบงั คบั ตามกฎหรอื
คําสง่ั ทางปกครองนนั้ เวน้ แต่ศาลจะมี
คําสง่ั เป็ นอยา่ งอื่น
ระเบียบของท่ีประชมุ ใหญ่ฯ วา่ ดว้ ย
วธิ ีพิจารณาคดีปกครองฯ (ขอ้ 72 วรรคสาม)
ศาลมีอํานาจสงั่ ทเุ ลาการบงั คบั ตามกฎหรอื คําสง่ั
ทางปกครองไดต้ ามท่ีเห็นสมควรเม่ือ
1. ศาลเห็นว่ากฎหรอื คําสงั่ ทางปกครองที่เป็ นเหต ุ
แห่งการฟ้ องคดีนน้ั น่าจะไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
2. การใหก้ ฎหรอื คําสงั่ ทางปกครองดงั กลา่ วมีผล
ใชบ้ งั คบั ต่อไปจะทําใหเ้ กิดความเสียหายอยา่ งรา้ ยแรงที่
ยากแกก่ ารเยยี วยาแกไ้ ขในภายหลงั
3. การทเุ ลานนั้ ไมเ่ ป็ นอปุ สรรคแกก่ ารบรหิ ารงาน
ของรฐั หรอื แกบ่ รกิ ารสาธารณะ
การกระทําท่ีไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
1. ไมม่ ีอํานาจหรอื นอกเหนืออํานาจหนา้ ท่ี
2. ไมถ่ กู ตอ้ งตามกฎหมาย
3. ไมถ่ กู ตอ้ งตามรปู แบบ ขน้ั ตอนหรอื
วิธีการอนั เป็ นสาระสาํ คญั
4. ไมส่ จุ รติ
5. เลือกปฏิบตั ิที่ไมเ่ ป็ นธรรม
6. สรา้ งขนั้ ตอนโดยไมจ่ ําเป็ น
หรอื สรา้ งภาระเกินสมควร
7. ใชด้ ลุ พินิจโดยไมช่ อบ
คําพิพากษาท่ี อ.605/2555
-ผฟู้ ้ องคดีเดิมสอนอยทู่ ี่โรงเรยี น น. ถกู กรม
สง่ ใหไ้ ปช่วยราชการประจําที่โรงเรยี น ส. ตงั้ แต่
18 ก.ค. 2545 แต่ผูฟ้ ้ องคดีอา้ งวา่ ไม่ไดร้ บั แจง้
คําส่งั เป็ นลายลกั ษณอ์ ักษร จึงปฏิบตั ิหนา้ ท่ีอยู่
ที่โรงเรยี นเดิม
- ผอ.เขตพ้ืนที่จึงงดจ่ายเงินเดือน และแจง้ ให้
โรงเรยี นสง่ ตวั ผฟู้ ้ องคดีไปปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยเรว็
- ผฟู้ ้ องคดีอทุ ธรณค์ ดั คา้ นการงดเบิกจ่าย
เงินเดือน แต่ยงั ไมร่ บั แจง้ ผล จึงฟ้ องคดีต่อศาล
คําวนิ ิจฉยั
...เห็นว่า เม่ือเจา้ หนา้ ท่ีของโรงเรยี นไดม้ ี
หนงั สือแจง้ คําสงั่ ใหผ้ ฟู้ ้ องคดีทราบถึง
3 ครง้ั แต่ผูฟ้ ้ องคดีไม่ยอมลงช่ือรบั ทราบ
คําส่งั จึงมีผลใหผ้ ฟู้ ้ องคดีพน้ จากหนา้ ท่ีท่ี
โรงเรยี นเดิมและตอ้ งไปปฏิบตั ิหนา้ ที่ท่ี
โรงเรยี น ส. ตงั้ แต่ 19 ก.ค. 2545 เป็ นตน้
ไป ผฟู้ ้ องคดีจึงมีหนา้ ที่ตอ้ งปฏิบตั ิตาม
คําสงั่ ของผบู้ งั คบั บญั ชาที่สามารถใช้
ดลุ พินิจไดต้ ามความเหมาะสม
• การที่ผอู้ ํานวยการโรงเรยี นแจง้ ใหผ้ ฟู้ ้ องคดีไป
รายงานตวั ท่ีโรงเรยี น ส. ตง้ั แต่วนั ที่ 18 ก.ค.
45 เมื่อไมไ่ ดร้ ายงานตวั จึงถือว่าละท้ิงหนา้ ท่ี
ราชการท่ีตอ้ งปฏิบตั ิในสถานศึกษาแห่งใหมโ่ ดย
ไมม่ ีเหตอุ นั สมควร ผอู้ ํานวยเขตพ้ืนที่จึงมี
อํานาจสงั่ งดจ่ายเงินเดือนในช่วงที่ละท้ิงหนา้ ที่
ราชการได้ ตาม ม. 16 วรรคหน่ึง แห่งพระราช
กฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บําเหน็จ
บํานาญ และเงินอ่ืนในลกั ษณะเดียวกนั พ.ศ.
2535 คําสง่ั ดงั กลา่ วจึงชอบดว้ ย กม.
พ.ร.บ. วธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 (ม. 42)
คําสง่ั ทางปกครองใหม้ ีผลใชย้ นั
ต่อบุคคลตง้ั แต่ขณะที่ผนู้ นั้ ไดร้ บั แจง้
เป็ นตน้ ไป
คําสงั่ ทางปกครองยอ่ มมีผล
ตราบเท่าท่ียงั ไม่มีการเพิกถอนหรือ
ส้นิ ผลลงโดยเงื่อนเวลาหรอื โดยเหตอุ ื่น78
ประเด็นโต้แย้งคาํ ส่ังลงโทษทางวนิ ัย
1. กระบวนการดําเนินการทางวินยั
2. มีการกระทําท่ีเป็ นการทําผิดวินยั
3. ดลุ พินิจในการลงโทษทางวินยั
การดําเนินการทางวินยั (ม. 102)
การดําเนินการทางวินยั ใหส้ อบสวน
เพ่ือใหไ้ ดค้ วามจริงและยตุ ิธรรมโดยไมช่ กั ชา้
การดําเนินการตามวรรคหนึ่ง กรณี
กลา่ วหาว่าทําผิดวินยั อยา่ งไมร่ า้ ยแรง
ใหด้ ําเนินการตามวธิ ีการท่ีผูบ้ งั คบั บญั ชา
เห็นสมควร
80
พ.ร.บ.วธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง
มาตรา 30 วรรคหนง่ึ
ในกรณีท่ีคําสงั่ ทางปกครองอาจ
กระทบถึงสิทธิของค่กู รณี เจา้ หนา้ ที่ตอ้ ง
ใหค้ ก่ ู รณีมีโอกาสที่จะไดร้ บั ทราบ
ขอ้ เท็จจรงิ อยา่ งเพียงพอและมีโอกาสได้
โตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลกั ฐานของตน
81
พ.ร.บ.ระเบียบขา้ ราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 (มาตรา 98 วรรคหน่ึง )
การดําเนินการทางวินยั แกข่ า้ ราชการคร ู
และบคุ ลากรทางการศึกษาซึ่งมีกรณีอนั มีมลู ท่ี
ควรกลา่ วหาว่ากระทําผิดวินยั ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา
แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน เพื่อดําเนินการ
สอบสวนใหไ้ ดค้ วามจรงิ และความยตุ ิธรรมโดยมิ
ชกั ชา้ และในการสอบสวนจะตอ้ งแจง้ ขอ้ กลา่ วหา
และสรปุ พยานหลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ ขอ้ กลา่ วหา
เท่าท่ีมีใหผ้ ถู้ กู กลา่ วหาทราบ โดยระบหุ รอื ไมร่ ะบ ุ
ช่ือพยานกไ็ ด้ เพ่ือใหผ้ ถู้ กู กลา่ วหามีโอกาสช้ีแจง
และนําสบื แกข้ อ้ กลา่ วหา 82
พ.ร.บ. ระเบยี บข้าราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 99
เมื่อไดด้ ําเนินการสอบสวนผถู้ กู กลา่ วหา
ตามมาตรา 98 แลว้ ถา้ ฟังไดว้ ่าผถู้ กู กลา่ วหา
มิไดก้ ระทําผิดวินยั ใหส้ งั่ ยตุ ิเรอื่ ง ถา้ ฟังไดว้ ่า
กระทําผิดวินยั ใหด้ ําเนินการตามมาตรา 100
และในกรณีท่ีกระทําผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรง
ตอ้ งลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อก ถา้ มีเหต ุ
อนั ควรลดหยอ่ นผอ่ นโทษ หา้ มมิใหล้ ดโทษ
ต่ํากว่าปลดออก
83
พ.ร.บ.ระเบยี บข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาฯ (ม. 100 ว.หนง่ึ )
ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา
ผใู้ ดกระทําผิดวินยั ไมร่ า้ ยแรงใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา
สงั่ ลงโทษภาคทณั ฑ์ ตดั เงินเดือนหรือลดขนั้
เงินเดือนตามควรแกก่ รณีใหเ้ หมาะสมกบั
ความผิด ถา้ มีเหตอุ นั ควรลดหยอ่ นจะนํามา
ประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สาํ หรบั
การลงโทษภาคทณั ฑใ์ หใ้ ชเ้ ฉพาะกรณีกระทําผิด
วินยั เลก็ นอ้ ย หรอื มีเหตอุ นั ควรลดหยอ่ นซ่ึงยงั
ไมถ่ ึงกบั จะตอ้ งถกู ลงโทษตดั เงินเดือน 84
พ.ร.บ.วธิ ีปฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 มาตรา 12
คําสงั่ ทางปกครองจะตอ้ ง
กระทําโดยเจา้ หนา้ ท่ีซึ่งมีอํานาจ
หนา้ ที่ในเรอ่ื งนน้ั
85
ความหมายของดุลพนิ จิ
การท่ีกฎหมายให้อํานาจฝ่ ายปกครอง
ตดั สินใจที่จะเลือกกระทําการหรือไม่กระทํา
การอย่างใดอย่างหน่ึง หรือกระทําการไป
ในทางใดทางหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม ใน
กรณีท่ีกฎหมายใหท้ างเลือกหลายทาง ซึ่ง
ห า ก เ ลื อ ก ก ร ะ ทํ า ก า ร ไ ป ใ น ท า ง ใ ด โ ด ย มี
เหตุผลอันสมควรแล้ว ก็ล้วนเป็ นการ
กระทําท่ีชอบดว้ ยกฎหมาย
การลงโทษทางวินยั
กระทําผิดวินยั อยา่ งไมร่ า้ ยแรงใหล้ งโทษ
ภาคทณั ฑ์ ตดั เงินเดือน หรอื ลดขนั้ เงินเดือน
ตามควรแกก่ รณีใหเ้ หมาะสมกบั ความผิด
กระทําผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรงใหล้ งโทษ
ปลดออก หรอื ไลอ่ อก ตามความรา้ ยแรง
แห่งกรณี
87
และบุคลาพกร.รท.าบง.กราะเรบศยี ึกบษข้าารฯาช(มก.าร1ค0ร3ู ว.หนึง่ )
ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา
ผใู้ ดมีกรณีถกู กลา่ วหาว่ากระทําผิดวินยั อยา่ ง
รา้ ยแรงจนถกู ตง้ั คณะกรรมการสอบสวน หรอื
ถกู ฟ้ องคดีอาญา หรอื ตอ้ งหาว่ากระทําความผิด
อาญา เวน้ แต่เป็ นความผิดท่ีไดก้ ระทําโดย
ประมาทหรอื ความผิดลหโุ ทษ ผมู้ ีอํานาจตาม
มาตรา 98 วรรคสอง วรรคส่ี หรอื วรรคหา้
แลว้ แต่กรณี มีอํานาจสงั่ พกั ราชการหรอื สงั่ ให้
อสออกบจสาวกนรพาิจชากราณรไาวไก้ดอ่ ้ นเพื่อรอฟังผลการ
แต่ถา้ ภายหลงั ปรากฏผลการสอบสวน
พิจารณาว่าผนู้ น้ั มิไดก้ ระทําผิดหรอื กระทําผิด
ไมถ่ ึงกบั จะถกู ลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อกจาก
ราชการ และไมม่ ีกรณีท่ีจะตอ้ งออกจาก
ราชการดว้ ยเหตอุ ่ืน ก็ใหผ้ มู้ ีอํานาจดงั กลา่ วสงั่
ใหผ้ นู้ นั้ กลบั เขา้ รบั ราชการในตําแหน่งและ
วิทยฐานะเดิม หรอื ตําแหน่งเดียวกบั ที่ผนู้ น้ั มี
คณุ สมบตั ิตรงตามคณุ สมบตั ิเฉพาะสาํ หรบั
ตําแหน่งและวิทยฐานะนน้ั ทงั้ น้ี ใหน้ ํามาตรา
100 วรรคหก มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม
คาํ พพิ าทกี่ ษอาบศ.1าล/ป2ก5ค6ร3องสูงสุด
ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูอํานวยการโรงเรียน ไดรับความ
เดือดรอนหรือเสียหายจาการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (ศึกษาธิการ
จังหวัดสุรินทร (ผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาสุรินทร เขต ๓ เดิม) ไดมีคําสั่งลงโทษลดข้ัน
เงินเดือนผูฟองคดี จํานวน ๑ ข้ัน เน่ืองจากกระทําผิดวินัย
ไมรายแรง กรณีถูกกลาวหาวา ใชสิทธิเบิกเงินคาเชาบาน
จากทางราชการเปนเท็จ จัดทําบันทึกการประชุมเท็จ ใช
จา ยเงนิ บรจิ าคของโรงเรียนไมเ ปน ไปตามวัตถปุ ระสงค
ผูฟองคดีจึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว แตผูถูกฟองคดี
ที่ ๒ (คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร
(อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร
เขต ๓ เดิม)) มีมติใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลเพิกถอนคําสั่งท่ีลงโทษลดขั้น
เงินเดือนผูฟองคดี จํานวน ๑ ข้ัน และเพิกถอนมติ
ทใี่ หย กอทุ ธรณของผูฟ อ งคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การท่ีผูฟองคดีซ่ึงดํารง
ตาํ แหนงผอู ํานวยการโรงเรยี น ตอ งทราบดีวาการท่ีตนเขา
พักอาศัยอยูในบานพักของทางราชการ แมจะพักอาศัย
เพียงคร้ังคราว แตการใชบานพักครูเพื่อเก็บของใช
สวนตัวยอมเปนการตัดโอกาสไมใหขาราชการรายอื่น
เขาพกั อาศยั ในบานหลังดงั กลาว และถือไดวาเปนการเขา
พักอาศัยในบานพักของทางราชการแลวโดยปริยาย
ย อ ม มี ผ ล ต า ม ก ฎ ห ม า ย ใ ห ถู ก ร ะ งั บ สิ ท ธิ ใ น ก า ร เ บิ ก
คา เชา บา นจากทางราชการ
แตผูฟองคดีกลับนําหลักฐานการผอนชําระราคาบานท่ีเคย
ไดรับอนุมัติจากผูอํานวยการสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
สุรินทร เขต ๓ มาใชประกอบแบบขอเบิกเงินคาเชาบาน
และทําเรื่องใชสิทธิขอเบิกคาเชาบานจากทางราชการ
ต้ังแตเดือนกุมภาพันธ ๒๕๕๑ เปนตนมา จึงเปนการใช
สทิ ธโิ ดยไมชอบดว ยกฎหมาย
นอกจากน้ีผูฟองคดีมีหนาท่ีควบคุม กํากับดูแล
การใชจาย การบริหารเงินบริจาคใหเปนไปตามกฎหมาย
และระเบียบของทางราชการตามระเบียบระทรวงการคลัง
แมผูฟองคดีจะมิไดเปนกรรมการเก็บรักษาเงินบริจาค
แตการนําเงินบริจาคไปใชในกิจการใดยอมตองขออนุมัติ
จากผูฟอ งคดเี สมอ และหากกรณเี ปนการขออนุมัตินําเงิน
บริจาคไปใชจายในการอ่ืนนอกเหนือจากวัตถุประสงค
ของผูบ ริจาค ผูฟองคดีก็ชอบท่ีจะทักทวงเพ่ือปองกันมิให
มีการนําเงินบริจาคไปใชผิดวัตถุประสงคการละเลย
ไมควบคุม กํากับดูแล บริหารการใชจายเงินบริจาค
ใหเปนไปตามวัตถุประสงคและถูกตองตามระเบียบ
ของทางราชการ
ร ว ม ถึ ง ไ ด อ นุ มั ติ ใ ห นํ า เ งิ น ไ ป ใ ช จ า ย น อ ก เ ห นื อ
วัตถุประสงคของเงินบริจาค จึงเปนการปฏิบัติหนาที่
ไมเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทาง
ราชการและหนวยงานการศึกษา อันเปนความผิดวินัย
ไมรา ยแรง การท่ผี ูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงโทษลดขั้น
เงินเดือนผูฟองคดีจํานวน ๑ ข้ัน และผูถูกฟองคดีที่ ๒
มมี ตยิ กอทุ ธรณของผฟู องคดี จึงชอบดว ยกฎหมาย
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อบ.187/2563
ผูฟองคดีเปนขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตําแหนงครู วิทยฐานะครูชํานาญการ โรงเรียน พ. สังกัด
สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาสุราษฎรธานี เขต ๒ ไดรับ
ความเดือดรอนเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
(ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎรธานี (ผูอํานวยการสํานักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๑ เดิม)) มีคําส่ัง
ตามมติของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการขาราชการครู
และบุคลากรทางศึกษา) ใหเพิ่มโทษจากลดข้ันเงินเดือน
หนง่ึ ขน้ั เปนไลออกจากราชการ
กรณีถูกกลาวหาวา ผูฟองคดีไดกระทําอนาจารกับเด็กหญิง ท.
นอกจากน้ี ยังมีความสนิทสนมกับเด็กหญิง จ. เกินสมควร
ผูฟองคดีจึงยื่นอุทธรณคําสั่งลงโทษตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เห็นวา อุทธรณฟงข้ึนบางสวน จึงมีมติ
ลดโทษ จากไลออกจากราชการเปนปลดออกจากราชการ
ผูฟองไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟองตอศาล ขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ลงโทษ
ปลดผูฟองคดีออกจากราชการ และใหผูฟองคดีกลับ
เขารับราชการตามเดมิ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ในประเด็นท่ีผูฟองคดี
อางวา การรายงานการดําเนินการทางวินัย และการ
พิจารณาของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมชอบดวยกฎหมาย น้ัน
เห็นวาการรายงานการลงโทษดังกลาวเปนการดําเนินการ
ตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหน่ึง (๒) แหง พ.ร.บ. ระเบียบ
ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบกับ ขอ ๘ ของระเบียบ ก.ค.ศ. วาดวยการรายงาน
เก่ียวกับการดําเนินการทางวินัยและการออกจากราชการ
ของขาราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๑
ซึ่งเปนสวนหน่ึงของกระบวนการพิจารณาลงโทษทางวินัย
เมือ่ ผูถกู ฟองคดีที่ ๑ โดย อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเก่ียวกับวินัยและการ
ออกจากราชการ ซ่ึงเปนองคกรท่ีพิจารณาการลงโทษ
ข้ันสุดทายไดพิจารณาจากสํานวนการสอบสวนแลวเห็นวา
การดําเนินการทางวินัยแกผูฟองคดีไดมีการสอบสวนโดยชอบ
แลว ในช้ันการพิจารณาอุทธรณ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับ
การอุทธรณและการรองทุกข ทําการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดพิจารณาเห็นวา พฤติการณของผูฟองคดีเปนความผิดวินัย
อยางรายแรง กรณีกระทําการลวงละเมิดทางเพศตอผูเรียน
ไมวาจะอยใู นความปกครองดูแลรับผิดชอบของตนหรอื ไม
ตามมาตรา ๙๔ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ระเบียบขาราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งกรณีครูชาย
กระทําอนาจารตอศิษยหรือผูเยาว แนวทางการพิจารณา
โทษของผูถูกฟองคดีที่ ๑ กําหนดใหเปนความผิดวินัยอยาง
รายแรงโดยมีระดับโทษปลดออกจากราชการ จึงมีมติให
ผูบังคับบัญชามีคําส่ังลดโทษใหแกผูฟองคดีจากโทษไลออก
จากราชการเปนโทษปลดออกจากราชการ การที่ผูฟองคดี
ถูกลงโทษปลดออกจากราชการ จึงเปนการลงโทษที่ชอบ
ดว ยกฎหมายและเหมาะสมแกค วามผดิ แลว