The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 0 ติวเข้ม เคมี ทรูปลูกปัญญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sssmce, 2023-08-21 00:47:26

บทที่ 0 ติวเข้ม เคมี ทรูปลูกปัญญา

บทที่ 0 ติวเข้ม เคมี ทรูปลูกปัญญา

ทรูปลูกปญญา หนวยงานเพื่อการศึกษา ภายใตกลุมบริษัท ทรู คอรปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่บูรณาการเทคโนโลยีและความ เชี่ยวชาญดานคอนเทนต พัฒนาเปนสื่อไลฟสไตลเพื่อสงเสริม การศึกษาและคุณธรรม สามารถเชื่อมโยงทุกมิติการเรียนรูได อยางครบวงจร www.trueplookpanya.com ทรูปลูกปญญาดอทคอม คลังความรูคูคุณธรรมที่ใหญ ที่สุดในประเทศไทย อัดแนนดวยสาระความรูในรูปแบบมัลติมีเดีย สนุกกับการเรียนรูดวยตัวเอง ทั้งยังเปดโอกาสใหทุกคนสราง เนื้อหา แบงปนความรูรวมกัน โดยไมมีคาใชจาย พบกับความเปนที่สุดทั้ง 4 ดานแหงการเรียนรู • คลังความรู รวบรวมเนื้อหาการเรียนทุกระดับชั้นครบ 8 กลุมสาระการเรียน • คลังขอสอบ ขอสอบออนไลนพรอมเฉลยที่ใหญที่สุดใน ประเทศไทย พรอมการประเมินผลสอบทางสถิติ • แนะแนว ขอมูลการศึกษาตอ พรอมเจาะลึกประสบการณ การเรียนและการทํางาน • ศูนยขาวสอบตรง/Admissions ขาวการสอบทุกสนาม ทุกสถาบัน พรอมระบบแจงเตือนเรียลไทม ชองทรูปลูกปญญา โทรทัศนความรูดูสนุก ทางทรูวิชั่นส 6 ทุกรายการสาระความรู สาระบันเทิง และการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมตลอด 24 ชั่วโมง พบกับเรื่องราวสรางแรงบันดาลใจ • รายการสอนศาสตร รายการสอนเสริมแนวใหมครบ 8 วิชา ม.3 ม.6 ติวสดทุกวันโดยติวเตอรชื่อดัง • รายการ I AM แนะนําอาชีพนาสนใจโดยรุนพี่ในวงการ • รายการสารสังเคราะห นําขาวสารมาสังเคราะหอัพเดทกัน แบบไมตกเทรนด นิตยสารปลูก plook นิตยสารสงเสริมความรูคูคุณธรรมสําหรับเยาวชนฉบับแรก ในประเทศไทย วางแผงทุกสัปดาหแรกของเดือน หยิบฟรีไดที่ True Coffee TrueMove Shop สถานศึกษา แหลงการเรียนรู หองสมุด และโรงพยาบาล ทั่วประเทศ หรืออานออนไลนใน www.trueplookpanya.com แอพพลิเคชั่น Trueplookpanya.com ตอบโจทยไลฟสไตลการเรียนรูของคนรุนใหม ดวยฟรีแอพพลิเคชั่น “Trueplookpanya.com” ใหคุณพรอมสําหรับการเรียนรูในทุก ที่ทุกเวลา รองรับการใชงานบน iOS (iPhone, iPod, iPad) และ Android : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya


คำนำ หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” สรางสรรคโดย ทรูปลูกปญญา มีเดีย โครงการเพื่อสังคมของบริษัท ทรู คอรปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เลขที่ 46/8 อาคารรุงโรจนธนกุล ตึก B ชั้น 9 ถนนรัชดาภิเษก แขวงหวยขวาง เขตหวยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร : 02-647-4511, 02-647- 4555 โทรสาร : 02-647-4501 อีเมล : [email protected] : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” ใชสัญลักษณอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส แบบ แสดงที่มา-ไมใชเพื่อการคา-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย


คำนำ การสอบ O-NET หรือชื่ออยางเปนทางการวา การจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test) โดย สทศ. ถือเปนอีกสนามสอบที่สําคัญสําหรับนองๆ ในระดับ ป.6, ม.3, ม.6 เพื่อเปนการประเมินผลการเรียนรูของนองๆ ในระดับชาติเลยทีเดียว และยังเปนตัวชี้วัดคุณภาพการเรียน การสอนของแตละโรงเรียนอีกดวย คะแนน O-NET ก็ยังเปนสวนสําคัญในการคิดคะแนนในระบบ Admissions เพื่อสมัครเขาคณะที่ใจปรารถนา ไดคะแนนดีก็มีชัยไปกวาครึ่ง และเพื่อเปนอีกตัวชวยหนึ่งในการเตรียมความพรอมใหนองๆ กอนการลงสนามสอบ O-NET ทาง ทรูปลูกปญญาจึงไดจัดทําหนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” สุดยอดคูมือเตรียมตัวสอบ O-NET สําหรับนองๆ ในระดับ ม.3 และ ม.6 ที่เจาะลึกเนื้อหาที่มักออกสอบบอยๆ โดยเหลารุนพี่เซียนสนามในวงการติว รวบรวมแนว ขอสอบตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน พรอมเฉลยอยางละเอียด และคําอธิบายที่เขาใจงาย จําไดแมนยํา นํานองๆ Get 100 ทําคะแนนสูเปาหมายในอนาคต หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” โดยทรูปลูกปญญา ประกอบดวยวิชาคณิตศาสตร ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ที่รวบรวมเนื้อหาระดับมัธยมศึกษาตอนตน และมัธยมศึกษาตอนปลาย และวิชา ฟสิกส เคมี ชีววิทยา ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งหมด 11 เลม โดยสามารถศึกษาเนื้อหาหรือทําขอสอบ ออนไลนเพิ่มเติมไดจาก www.trueplookpanya.com ที่มี link ใหในทายบท สามารถดาวนโหลดหนังสือไดฟรี ผานเว็บไซตทรูปลูกปญญา ที่ www.trueplookpanya.com/onet ทีมงานทรูปลูกปญญา


สารบัญ คุยกอนอาน เรื่อง หนา คุยกอนอาน บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ 7 บทที่ 2 สารชีวโมเลกุลเบื้องตน 26 บทที่ 3 ธาตุและสารประกอบ 53 บทที่ 4 เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ (Fossil) 71 บทที่ 5 พอลิเมอร (Polymer) 87 บทที่ 6 ปฏิกิริยาเคมี (Chemical reaction) 103


สารบัญ คุยกอนอาน หนังสือติวเขม O-NET Get 100 วิชาเคมีเลมนี้ไดรวบรวมเนื้อหาวิชาเคมีพื้นฐานระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่นองๆจะตองใชในการสอบ O-Net ตอน ม.6 ซึ่งในหนังสือเลมนี้พี่ก็เขียนใหนองอานงายๆ ใชภาษาที่เปนกันเอง เสมือนนองนั่งฟงพี่อธิบาย สําหรับวิชาเคมีพื้นฐานนั้น ก็ไมไดเปนเร� องยากอะไรมาก หากนองตั้งใจ พยายามทําความ เขาใจ ไมตองทองจําอะไรมาก และกอนสอบนองไดทําขอสอบเกามาบาง พี่คิดวานองๆก็น�าจะทําขอสอบไดแลว บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ ก็จะกลาวถึงความเปนมาของการคนพบธาตุตางๆ การทําการทดลอง ของนักวิทยาศาสตร การรูจักองคประกอบพื้นฐานของธาตุ รูจักการใชตารางธาตุ และอานคาตางๆ เปน ซึ่งบทนี้ถือวา เปนพื้นฐานที่สําคัญสําหรับการเรียนรูในบทตอๆ ไปเลยนะ ขอใหนองทําความเขาใจดีๆนะ บทที่ 2 สารชีวโมเลกุล ในบทนี้จะคอนขางคลายกับวิชาชีววิทยาที่นองเคยเรียนมา เชน คารโบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน กรดนิวคลิอิก แตจะเนนมาทางโครงสรางทางเคมีมากขึ้น ในบทนี้คอนขางจะเปนความรูใหม ซึ่งนองสามารถ นําความรูไปเช� อมโยงกับทางชีววิทยาได ซึ่งจะทําใหนองๆ เรียนไดอยางเขาใจมากขึ้น บทที่ 3 สมบัติธาตุและสารประกอบ บทนี้คอนขางจะเปนบรรยาย นองสามารถอานไปไดเร� อยๆ เหมือนทําความ รูจักกับสมบัติของธาตุตางๆ และที่สําคัญคือเร� องของแนวโนมตามตารางธาตุ ในสวนนี้จะสอนลักษณะที่เหมือนกัน หรือตางกันตามคาบและหมูของตารางธาตุ ซึ่งจะทําใหนองสามารถคาดเดาลักษณะ สมบัติตางๆ ของธาตุได นอกจาก นี้ยังมีเรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ในส่วนนี้ออกข้อสอบทุกปี เช่น การคํานวณหาค่าครึ่งชีวิต การคํานวณอายุของ ซากดึกดําบรรพ ซึ่งตองใชความรูทางดานสารกัมมันตรังสี บทที่ 4 เชื้อเพลิงและซากดึกดําบรรพ ในบทนี้นองๆ จะไดเรียนรูเกี่ยวกับชนิดของเชื้อเพลิงถานหิน นํามัน ปโตรเลียม กระบวนการผลิต การปรับปรุงคุณภาพนํามัน และแกสธรรมชาติ ซึ่งถือไดวาเปนประโยชนอยางยิ่ง เพราะ เชื้อเพลิงเหลานี้นองๆ ก็ใชกันอยูในชีวิตประจําวันอยูแลว บทที่ 5 พอลิเมอร บทนี้จะกลาวถึงวัสดุพอลิเมอรชนิดตางๆ การผลิต ปฏิกิริยาที่เกี่ยวของกับการผลิต ซึ่งพบได ทั่วๆ ไป เชน ขวดพลาสติก ยางรถยนต โดยจะทําใหนองๆ เขาใจถึงรายละเอียดของพอลิเมอรแตละชนิดไดดียิ่งขึ้น


คุยกอนอาน บทที่ 6 ปฏิกิริยาเคมี ในบทนี้ถือไดวาเปนบทที่สําคัญมากหนึ่งบทเลยก็วาได นอกจากจะออกขอสอบในทุกๆ ปแลว เร� องของการเกิดปฏิกิริยาเคมีนั้นยังเปนพื้นฐานที่สําคัญ ของการเกิดปฏิกิริยาตางๆ ที่นองๆ อาจจะไดเรียนตอไป หรือ เรียนในวิชาเคมีเพิ่มเติม ในบทนี้นองๆ จะไดรูจัก หลักการของการเกิดปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยา พลังงาน ที่เกี่ยวของ และกฎอัตรา ฟงดูแลวอาจจะคิดวายากมากแน�เลย แตนองๆ อยาเพิ่งทอแท จริงๆ แลวไมไดยากอยางที่ คิดนะ ทุกอยางเปนเหตุเปนผล และดวยเทคนิคตางๆ ที่พี่ๆ ให จะทําใหนองเขาใจไดมากขึ้นครับ พี่เขาใจดีวา “วิชาเคมี” อาจเปนยาขมของนองหลายๆ คน แตนองลองเปดใจรับมัน เขาใจในหลักการและเหตุผล ที่พี่อธิบายในหนังสือเลมนี้ ไมตองทองจํามาก และทําขอสอบเกา เพียงเทานี้พี่ก็เช� อวานองทุกคนจะสามารถเรียนเคมี ไดอยางมีความสุข และประสบความสําเร็จในการสอบแน�นอน ทีมงานทรูปลูกปญญา


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 7 คุยกอนอาน บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ Introduction สําหรับบทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ นับไดวาเปนบทพื้นฐานที่สุดของการเรียนเคมีเลยนะ เพราะฉะนั้นพี่ อยากใหนองๆทําความเขาใจบทนี้ใหดีๆ เพราะเปนพื้นฐานที่สําคัญของบทอื่นๆ ตอไปอีกดวย เนื้อหาในบทนี้ก็จะมีตาม Outlines ในหัวขอตอไปนี้ ซึ่งเปนเสมือนกับจุดประสงคการเรียนรูของบทนี้ ที่นองๆ ตอง เขาใจหลังจากไดอานจบแลว Outlines 1. โครงสรางอะตอม 2. อนุภาคมูลฐาน 3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเล็กทรอนิก 4. คลื่นแมเหล็กไฟฟา และ สเปกตรัมเบื้องตน 5. การจัดเรียงอิเล็กตรอน 6. ตารางธาตุและการใชประโยชนจากตารางธาตุ 7. พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy : IE) 8. อิเล็กโตรเนกาติวิตี (Electronegativity : EN) 1. โครงสรางอะตอม จริงๆแลวการศึกษาทางดานเคมี มีมาชานาน ตั้งแตยุคกรีกโบราณนับจนบัดนี้ ความรูทางดานเคมีก็ยังไมสิ้นสุด ดังนั้น ในหัวขอนี้ ก็จะเปรียมเสมือนกับการสอนประวัติศาสตรของเคมีนั่นเอง ในสมัยกรีกโบราณมีนักปรัชญาอยูหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ลูชิพปุส (Leucippus) และ เดโมคริตุส(Democritus) ได อธิบายไววา “สสารประกอบดวยอนุภาคขนาดเล็กที่มองไมเห็น” เขาจึงใหชื่อวา อะตอม ซึ่งแปลวาไมสามารถแบงแยกไดอีก แตในขณะนั้นมีนักปรัชญาหลายคนไมเห็นดวย จึงยังไมเปนที่ยอมรับ แตแนวความคิดของเดโมคริตุสก็เปนแรงจูงใจในการศึกษา เคมีตอมา เวลาลวงเลยมาหลายพันป ในป ค.ศ. 1808 (พ.ศ. 2351) ก็ไดมีนักเคมีชาวอังกฤษชื่อวา จอหน ดาลตัน (John Dalton) ก็ไดเสนอทฤษฏีเกี่ยวกับรูปแบบของอะตอมไวหลายประการ โดยทฤษฏีของดอลตันไดกลาวไววา 1. สารประกอบดวยอะตอม ซึ่งเปนหนวยที่เล็กที่สุด แบงแยกตอไปอีกไมได และไมสามารถสรางขึ้นหรือทําลายให สูญหายไป 2. ธาตุเดียวกันประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกัน มีมวลและคุณสมบัติเหมือนกัน แตจะแตกตางจากธาตุอื่น 3. สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของอะตอมของธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปดวยสัดสวนที่คงที่ 4. อะตอมของธาตุแตละชนิดจะมีรูปรางและนํ้าหนักเฉพาะตัว 5. นํ้าหนักของธาตุที่รวมกัน ก็คือนํ้าหนักของอะตอมทั้งหลายของธาตุที่รวมกัน ซึ่งทําใหเขาคาดคะเนวารูปแบบของอะตอมนาจะเปน “ทรงกลมตัน” มาถึงตรงนี้ นองๆ หลายคนอาจจะนึกไมออกวาทรงกลม ตันมันเปนอยางไร พี่อยากใหนองนึกถึงลูกบอล นั่นแหละทรงกลมตัน


8 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ซึ่งในปจจุบันก็ไดมีการพิสูจนทฤษฏีของดาลตันมาแลว และก็พบวาบางขอก็ถูกตอง บางขอก็ไมถูกตอง และในเวลาตอ มาก็ไดมีนักวิทยาศาสตรอีกหลายคนสามารถหาเหตุผล การทดลองตางๆ มาลมลางโครงสรางอะตอมของดาลตันได ทรงกลมตัน โครงสรางอะตอมของดาลตัน กอนจะไปถึงโครงสรางอะตอมแบบตอๆ ไป พี่อยากทําความเขาใจกับนองๆ กอนวา ในการศึกษาเรื่องโครงสรางอะตอม ในสมัยนั้นทําไดยากมาก เพราะวาอะตอมเปนสิ่งที่คนมองไมเห็น การที่นักวิทยาศาสตรในสมัยกอนเสนอทฤษฎีขึ้นมาวารูปแบบ ของอะตอมจะเปนอยางไรนั้น มาจากการทําการทดลอง และก็คาดคะเนถึงโครงสรางของอะตอม ดังนั้นหากมีนักวิทยาศาสตร ที่ทดลองและไดขอมูลใหมๆ ซึ่งไมสอดคลองกับนักวิทยาศาสตรที่เสนอทฤษฎีไวกอนหนา ก็จะนําเหตุผลของตนไปลมลาง และ ตั้งทฤษฎีของตนขึ้นมาใหม และจะเปนอยางนี้ไปเรื่อยๆ พี่จึงบอกวาการเรียนในหัวขอนี้ เหมือนกับเรานั่งอานประวัติศาสตร ของการศึกษาเคมีนั่นเอง ตอมามีนักฟสิกสชาวอังกฤษชื่อวา เจ.เจ. ทอม สัน (Sir Joseph John Thomson) ไดทําการทดลองเกี่ยว กับหลอดรังสีแคโทด (นองอาจจะสงสัยวาหลอดรังสี แคโทดมันคืออะไรกันนะ เอาเปนวาเดี๋ยวพี่จะมาอธิบาย ทีหลังแลวกันนะ) และไดผลการทดลองที่ไมสอดคลอง กับทฤษฎีอะตอมของดาลตัน จึงไดตั้งโครงสรางอะตอม ขึ้นมาใหมวา “อะตอมเปนทรงกลม ที่เปนกลางทาง ไฟฟา มีประจุบวก และประจุลบกระจายตัวอยางสมํ่าเสมอและเทาๆ กัน บนผิวของทรงกลม” ลักษณะเปนดังรูป นองๆ เคยสงสัยไหมวา ปกติที่เราเคยเรียนๆ กันมา เกี่ยวกับการนําไฟฟานั้น ประจุไฟฟาจะเคลื่อนที่ได จะตองผานวัสดุที่นํา ไฟฟาได เชน โลหะ แตจะไมเคลื่อนที่ในสิ่งของที่เปนฉนวน เชน อากาศ ยาง ผา เปนตน แตทําไมเวลาฟาแลบ ฟาผา ประจุไฟฟา สามารถเคลื่อนที่ในอากาศได ความสงสัยนี้ไมไดเกิดขึ้นกับนองๆ เทานั้น แตเกิดขึ้นกับ เจ.เจ. ทอมสัน ดวย เพียงแตถาสงสัย แลวปลอยมันผานไปมันก็ไมเกิดประโยชนอะไร แต เจ.เจ. ทอมสัน สงสัยแลวอยากคนหาคําตอบ จึงไดทําการทดลองโดยนํา หลอดแกวที่เปนสุญญากาศ ติดขั้วไฟฟาไวทั้งสองขางปลายหลอด และตอกับแหลงกําเนิดไฟฟาที่มีความตางศักยสูงๆ 10,000 โวลตแลววางฉากเรืองแสงที่เคลือบดวยซิงสซัลไฟด (ZnS) ไวภายในหลอด จะเห็นเสนเรืองแสงสีเขียวพุงจากแคโทด (ขั้วลบ) ไปยังแอโนด(ขั้วบวก) (เปนการจําลองการเกิดฟาแลป ฟาผา) และเรียกหลอดนี้วา “หลอดรังสีแคโทด”


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 9 ที่มา : ch-atom.blogspot.com อุปกรณที่มิลลิแกนพัฒนาขึ้น ปรากฏวาเมื่อปลอยกระแสไฟฟาความตางศักยสูงๆ ประจุไฟฟาจากขั้วไฟฟาแคโทดสามารถเคลื่อนที่ไดในหลอดรังสี แคโทด โดยสังเกตจากรอยบนแผนเรืองแสงที่เขาไดดัดแปลงใสไวในหลอดรังสี และไดมีทอมสันไดทดลองตอ โดยการนําสนาม ไฟฟามาลอประจุนั้น ปรากฏวาประจุชนิดนี้เบนเขาหาขั้วบวก นั่นก็แสดงวาประจุชนิดนี้เปน ประจุลบ (เพราะเปนประจุตางชนิด กัน จะดึงดูดกัน แตถาเปนประจุชนิดเดียวกันจะผลักกัน) ซึ่งในเวลาตอมาประจุลบที่วานั้น ก็ไดถูกตั้งชื่อวา อิเล็กตรอน (electron) นั่นเอง พี่เพิ่มเติมใหสําหรับนองๆ ที่เรียนทางสายวิทยาศาสตรอยูแลว (สําหรับนองๆ สายศิลป ไมตองกังวลหากไมเขาใจเนื้อหา ในยอหนานี้นะ) สําหรับการทดลองของทอมสัน นอกจากจะนําสนามไฟฟามาลอประจุลบนั้นแลว ยังไดใชสนามแมเหล็กมาลอ ดวยเชนกัน ปรากฏวาประจุลบที่เคลื่อนที่ในหลอดรังสีแคโทดเบนเขาหาขั้วใตของแมเหล็ก ทอมสันจึงไดทําการลอประจุลบนั้น ดวยสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กพรอมกัน และปรับคาของสนามไฟฟา จนใหประจุลบนั้นไมเบนเขาหาขั้วใดๆ ทั้งนั้น และก็ได แกสมการทางฟสิกส จนไดคาคงที่มาคาหนึ่ง ซึ่งคือคาประจุตอมวล เทากับ 1.76x1011คูลอมบ/กิโลกรัม หรือเทากับ 1.76x108 คูลอมบ/กรัม (คูลอมบ คือ หนวยของประจุไฟฟา) ทอมสันไมสามารถบอกไดวาประจุลบที่พบนั้นมีคาประจุกี่คูลอมบ และไม สามารถบอกไดวาประจุลบนั้นมีมวลเทาใด เขาบอกไดเพียงวาถานําคาประจุมาหารดวยมวลของประจุ จะไดคาคงที่ประจุตอ มวล นองๆ มาถึงตรงนี้แลว ลองคิดถึงสถานการณในสมัยนั้น ทอมสัน ทดลองหลอดรังสีแคโทดมาเยอะแยะ ไดคาประจุตอ มวลมาแลว แตไมรูวาคาประจุเทาไร ไมรูวามวลเทาไร รูแตคาสองคานี้เวลาหารกัน เพราะฉะนั้นหากมีนักวิทยาศาสตรสัก คนหนึ่งที่หาคาใดคาหนึ่งได ก็จะไดอีกคาหนึ่งไปโดยปริยาย (เพราะคานั้นมันหารกันอยู ถาหาคาหนึ่งได อีกคาก็แกสมการหา ไดเชนกัน) โชคดีวามีนักวิทยาศาสตรคนหนึ่งเปนนักวิทยาศาสตรชาวอเมริกันชื่อวา รอเบิรต มิลลิแกน (Robert Millikan) ทําการ ทดลองหาคาประจุอิเล็กตรอนโดยใชเวลาอยู 7 ป ก็สามารถพัฒนาอุปกรณและปรับปรุงวิธีของทอมสันไดสําเร็จ


10 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya มิลลิแกนไดเปลี่ยนจากการใชนํ้ามาใชนํ้ามันเพราะระเหยไดชากวานํ้าและสามารถหาความเร็วปลายของละอองนํ้ามัน และสามารถคํานวณคาประจุแตละละอองนํ้ามันไดเทากับ 1.6x10-19 คูลอมบ ดังนั้นจึงแกสมการหามวลของอิเล็กตรอนไดเทากับ 9.1x10-31กิโลกรัม และเรียกการทดลองนี้วา “การทดลองหยดนํ้ามันของมิลลิแกน” ตอมาในป ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ไดมีนักวิทยาศาสตรชาวนิวซีแลนด ชื่อวา รัทเทอฟอรด (Rutherford) ไดทําการทดลอง ยิงอนุภาคแอลฟา ซึ่งมีประจุเปนบวกผานแผนทองคําบางๆ (หากนึกไมออก ใหนองๆนึกถึงทองคําเปลว) ซึ่งไดผลการทดลอง ที่ไมสอดคลองกับโครงสรางอะตอมของ เจ.เจ. ทอมสัน ดังนั้นเขาจึงไดตั้งทฤษฎีอะตอมแบบใหมขึ้นมา โดยโครงสรางอะตอม ของรัทเทอฟอรด มีลักษณะเปนที่วางเปนสวนมาก มีของแข็งขนาดใหญอยูตรงกลาง มีประจุบวกอยูภายในและมีอิเล็กตรอน โคจรอยูรอบนอก ซึ่งของแข็งที่วานั้น รัทเทอฟอรดเรียกวา นิวเคลียส (nucleus) และประจุบวกที่พบวาอยูในนิวเคลียสตอมาก็ คือ โปรตอน (proton) นั่นเอง ดังรูป และในเวลาตอมาก็มีนักวิทยาศาสตรชื่อ เจมส แชดวิก คนพบอนุภาคอีกชนิดหนึ่งที่เปนกลางทางไฟฟาอยูภายใน นิวเคลียสเชนเดียวกันกับโปรตอน และไดใหชื่อวา นิวตรอน (neutron) ในตอนนี้อนุภาคของอะตอมที่นองๆ รูจักก็มี 3 อยางแลวนะ ไดแก 1. โปรตอน (proton) เปนประจุบวก อยูภายในนิวเคลียส 2. นิวตรอน (neutron) เปนกลางทางไฟฟา (ไมมีประจุ) อยูภายในนิวเคลียส 3. อิเล็กตรอน (electron) เปนประจุลบ โคจรอยูรอบๆ นิวเคลียส และพวกอนุภาคพวกนี้เราเรียกรวมๆวา “อนุภาคมูลฐาน” 2. อนุภาคมูลฐาน กอนที่จะไปรูจักกับโครงสรางอะตอมอีกสองแบบที่เหลือ ไหนๆ ตอนนี้นองๆก็รูจักกับคําวาอนุภาคมูลฐานแลว พี่ก็จะ ขอสอนเรื่องอนุภาคมูลฐานกอนแลวกัน แตกอนอื่นเราตองไปทําความรูจักกับสัญลักษณของธาตุกอนนะ โครงสรางอะตอมของรัทเทอฟอรด นิวเคลียส ภายในมีโปรตอน อิเล็กตรอน


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 11 ตอนนี้เริ่มมีศัพทใหมที่นองๆ อาจกําลังงงกันอยู แตพี่จะอธิบายใหนองเขาใจเอง ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ซึ่งประกอบดวยอะตอมเพียงหนึ่งชนิด และเปนกลางทางไฟฟา เชน C (คารบอน) , N (ไนโตรเจน) , Na (โซเดียม) เปนตน เลขอะตอม คือ จํานวนโปรตอนที่อยูภายในนิวเคลียสของธาตุ ซึ่งนองๆทุกคนรูแลววา โปรตอนเปนประจุบวก และเมื่อกี้พี่เพิ่ง บอกไปวาธาตุตองเปนกลางทางไฟฟา ดังนั้นถามีประจุบวกก็ตองมีประจุลบ ซึ่งก็คือ อิเล็กตรอน นั่นเอง ดังนั้นนอกจากเลข อะตอมจะบอกถึงจํานวนโปรตอนแลว ยังบอกถึงจํานวนอิเล็กตรอนของธาตุนั้นไดดวย เลขมวล คือ มวลของธาตุนั้นๆ ซึ่งเลขมวลไดมาจากจํานวนโปรตอนรวมกับจํานวนนิวตรอน นองๆ บางคนอาจจะสงสัยวา อาว ก็ไหนพี่บอกวาอนุภาคมูลฐานมีสามอยางอยูในอะตอม แตทําไมพูดถึงมวลของธาตุ ไมรวมอิเล็กตรอนดวยละ? นั่นก็เปนเพราะ วาอิเล็กตรอนมันมีมวลนอยมากๆ เมื่อเทียบกับมวลของโปรตอนและนิวตรอนดังนั้นถาใหนองหาจํานวนนิวตรอน ก็งายมากแค นําจํานวนโปรตอน (เลขอะตอม) ไปลบออกจากเลขมวล นองหลายคนอาจมองไมเห็นภาพวามวลอิเล็กตรอนมันนอยกวามากๆ ยังไง งั้นพี่จะขอบอกมวลของอนุภาคมูลฐานให นองๆไดรู แตไมตองจํานะ แคอยากใหนองๆ เห็นความนอยของมันไดอยางชัดเจน ดูอยางนี้ก็อาจจะยังไมเห็นภาพชัดเจน นองลองนํามวลโปรตอนหรือมวลนิวตรอนหารดวยมวลอิเล็กตรอนดูซิ.... จะได วามวลโปรตอนหรือนิวตรอน หนักกวาอิเล็กตรอนถึง 1,835 เทา นี่แหละคือเหตุผลวาทําไมมวลของธาตุจึงไมคิดอิเล็กตรอน ตอนนี้นองไดรูจักกับสัญลักษณนิวเคลียรของธาตุแลว งั้นพี่จะขอลองนําสัญลักษณจริงๆ มาเปนตัวอยาง ใหนองๆ ฝก ตอบตามแลวกันนะ สัญลักษณที่นองๆ เห็นดานขวามือนี้ เปนสัญลักษณ สากลที่ใชสําหรับบงบอกธาตุ เราเรียกสัญลักษณ ลักษณะนี้วา “สัญลักษณนิวเคลียร” - X คือ ธาตุ เชน O ก็คือ ธาตุออกซิเจน C คือ ธาตุคารบอนเปนตน - Z คือ เลขอะตอม (atomic number) - A คือ เลขมวล (mass number) มวลโปรตอน = 1.67x10-27 กิโลกรัม มวลนิวตรอน = 1.67x10-27 กิโลกรัม มวลอิเล็กตรอน = 9.1x10-31 กิโลกรัม


12 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ธาตุ ออกซิเจน จํานวนโปรตอน 8 จํานวนอิเล็กตรอน 8 จํานวนนิวตรอน 16-8 = 8 ธาตุ ฟลูออรีน จํานวนโปรตอน 9 จํานวนอิเล็กตรอน 9 จํานวนนิวตรอน 19-9 = 10 ธาต โซเดียม จํานวนโปรตอน 11 จํานวนอิเล็กตรอน 11 จํานวนนิวตรอน 23-11 = 12 ดังนั้น “อะตอม” ก็คือ “ธาตุ” นั่นเอง ตองเปนกลางทางไฟฟา อยางที่บอกไปแลวในหนาที่ผานมา แตเนื่องจากอะตอม ไมเสถียรในสภาพธรรมชาติอะตอมหรือธาตุก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองใหอยูในธรรมชาติได โดยการเปลี่ยนแปลงจํานวน อิเล็กตรอนซึ่งจากอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟา (โปรตอน = อิเล็กตรอน) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอิเล็กตรอน ก็จะทําใหมัน ไมเปนกลางทางไฟฟาอีกตอไป และเราจะเรียกวาอะตอมที่มีการเปลี่ยนแปลงอิเล็กตรอนวา “ไอออน (Ion)” ซึ่งลักษณะการ เปลี่ยนแปลงก็จะแบงออกเปน 2 แบบ คือ 1) ไอออนบวก (Cation) คือ อะตอมที่เสียอิเล็กตรอนออกไป ก็จะทําใหมีจํานวนโปรตอนมากกวาจํานวนอิเล็กตรอน (มีความเปนบวกมากกวาลบ) เชน Na+ (โซเดียมไอออน) Ca2+ (แคลเซียมไอออน) เปนตน 2) ไอออนลบ (Anion) คือ อะตอมที่รับอิเล็กตรอนเขาไป ก็จะทําใหมีจํานวนอิเล็กตรอนมากกวาจํานวนโปรตอน (มีความ เปนลบมากกวาบวก) เชน O2- (ออกไซดไอออน) F- (ฟลูออไรดไอออน) เปนตน สิ่งที่เปลี่ยนไปตอนนี้ที่นองๆ คงเห็นไดชัดคือ วิธีการเรียกชื่อไอออน อยางเดิมถาเปนธาตุ Na (โซเดียม) พอมันเปน ไอออน Na+ ก็อานวา โซเดียมไอออน ก็ไมไดแปลกอะไร แตทําไม O (ออกซิเจน) พอเปนไอออน O2-แลวอานวา ออกไซดไอออน หรือ ออกไซด พี่จะอธิบายการเรียกชื่อไอออนใหฟงกอนแลวกันนะ หลักการก็มีงายๆ ดังนี้ 1. ไอออนบวก ใหเรียกเหมือนชื่อธาตุเดิม และเติมคําวา “ไอออน” ไวดานหลังของชื่อเชน Mg2+ อานวา แมกนีเซียมไอออน เปนตน 2. ไอออนลบ ใหเปลี่ยนชื่อธาตุเดิมใหเปนเสียง “ไ_ด (_ide)” เชน S2- อานวา ซัลไฟด , Cl- อานวา คลอไรด เปนตน นองอาจจะเริ่มงงวาแลวทําไมอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟาอยูดีๆ มันจะไปเปลี่ยนแปลงจํานวนอิเล็กตรอนทําไมใหยุง ยาก เดี๋ยวพี่จะขอขามเรื่องเหตุผลไปกอนนะ และจะไปอธิบายอีกทีในหัวขอการจัดเรียงอิเล็กตรอน แตตอนนี้รูคราวๆ ไปกอน วา การที่มันตองเปลี่ยนแปลงก็เพื่อใหมันสามารถอยูในธรรมชาติได เพื่อทําใหนองๆเขาใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับไอออน ลองดู ตัวอยางตอไปนี้แลวกันนะ


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 13 หลักการ 1. ถาเปนไอออนลบ แสดงวา อะตอมรับอิเล็กตรอนเขาไป 2. ถาเปนไอออนบวก แสดงวา อะตอมเสียอิเล็กตรอนเขาไป นองๆ จะเห็นไดวา “ออกไซด” เปนไอออนลบ ซึ่งหมายความวารับอิเล็กตรอนเขาไป 2 ตัว (เพราะประจุเปน -2) ดังนั้น จํานวนอิเล็กตรอนก็ตองบวกเพิ่มเขาไปอีก 2 จึงกลายเปน 10 นองๆ จะเห็นไดวา “ฟลูออไรด” เปนไอออนลบ ซึ่งหมายความวารับอิเล็กตรอนเขาไป 1 ตัว (เพราะประจุเปน -1 แต มักเขียนยอๆเปน -) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองบวกเพิ่มเขาไปอีก 1 จึงกลายเปน 10 นองๆ จะเห็นไดวา “โซเดียมไอออน” เปนไอออนบวก ซึ่งหมายความวาเสียอิเล็กตรอนออกไป 1 ตัว (เพราะประจุเปน +1 แตมักเขียนยอๆ เปน +) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองลบออกไปอีก 1 จึงกลายเปน 10 ไอออน ออกไซด (Oxide) จํานวนโปรตอน 8 จํานวนอิเล็กตรอน 8+2 = 10 จํานวนนิวตรอน 16-8 = 8 ไอออน ฟลูออไรด (Fluoride) จํานวนโปรตอน 9 จํานวนอิเล็กตรอน 9+1= 10 จํานวนนิวตรอน 19-9 = 10 ไอออน โซเดียมไอออน (Sodium ion) จํานวนโปรตอน 11 จํานวนอิเล็กตรอน 11-1= 10 จํานวนนิวตรอน 23-11 = 12


14 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ไอออน อะลูมินัมไอออน (Aluminum ion) จํานวนโปรตอน 13 จํานวนอิเล็กตรอน 13-3= 10 จํานวนนิวตรอน 27-13 = 14 นองๆ จะเห็นไดวา “อะลูมินัมไอออน” เปนไอออนบวก ซึ่งหมายความวาเสียอิเล็กตรอนออกไป 3 ตัว (เพราะประจุ เปน +3) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองลบออกไปอีก 3 จึงกลายเปน 10 ตัวอยางขอสอบ ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+ ) ขาดอนุภาคมูลฐานใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 2. โปรตอนและอิเล็กตรอน 4. นิวตรอน และอิเล็กตรอน เฉลย ขอ 4. (hydrogen) มีโปรตอน 1 ตัว และอิเล็กตรอน 1 ตัว จะเห็นไดวาไมมีนิวตรอนนะ แตถาเปน ก็คือไฮโดรเจน เสียอิเล็กตรอนออกไป 1 ตัว เปนไอออน เพราะฉะนั้นก็จะไมมีอิเล็กตรอนเหลือดวย 3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเล็กทรอนิก กอนอื่นเลย นองๆควรรูความหมายของคําวา “ไอโซ (iso)” กอน ซึ่งแปลวา เทากัน ดังนั้นในหัวขอนี้ก็จะเกี่ยวของกับ ความเทากันของอะไรสักอยาง - ไอโซโทป (isotope) คือ ธาตุชนิดเดียวกัน(มีโปรตอนเทากัน) แตมีเลขมวลไมเทากัน หรือกลาวไดวา มีนิวตรอนไมเทา กัน นั่นเองเชน กับ เปนไอโซโทปกัน - ไอโซโทน (isotone) คือ ธาตุสองชนิดที่มีนิวตรอนเทากัน หลักการจํางายๆ คือ โทน น. ก็คือ นิวตรอน เชน กับ เปนไอโซโทนกัน เพราะทั้งคูตางมีนิวตรอนเทากับ 12 - ไอโซบาร (isobar) คือ ธาตุสองธาตุที่มีเลขมวลเทากัน เชน กับ จะเห็นไดวาทั้งสองธาตุมีเลขมวลเทากัน - ไอโซอิเล็กทรอนิก (isoelectronic) คือ ธาตุหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอนเทากัน เชน กับ นองๆจะเห็นวา ทั้งโซเดียมไอออนและฟลูออไรดไอออนมีอิเล็กตรอนเทากัน ตัวอยางขอสอบ ธาตุในขอใดที่เปนไอโซโทปกับธาตุที่มีสัญลักษณเปน 1. 2. 3. 4. เฉลย ขอ 2. ไอโซโทป มันตองเปนธาตุเดียวกันใชปะ แตมีเลขมวลไมเทากัน (มีนิวตรอนไมเทากัน) ซึ่งสิ่งที่บอกวาเปนธาตุเดียวกัน ก็คือ เลขอะตอม (จํานวนโปรตอน) นั่นเอง ดังนั้น นองก็ตองเลือกกอนวา ตองเปน B ที่มีเลขอะตอมเปน 5 เหมือนกัน แตใหมี เลขมวลตางกัน


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 15 กลับมาที่เรื่องโครงสรางอะตอมของเราอีกรอบนะ จากที่พี่ได ขามไปอธิบายเรื่องสัญลักษณนิวเคลียรของธาตุและไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร และไอโซอิเล็กทรอนิก สําหรับโครงสรางอะตอมในรูปแบบถัด ไปที่จะสอนนองๆ นั้น เรียกไดวาเกิดความเปลี่ยนแปลงอยางมากจาก 3 แบบที่เราไดรูจักกันไปกอนหนานี้ เพราะวา 3 แบบกอนหนานี้ ทั้งของ ดาลตัน ทอมสัน และรัทเทอฟอรด อธิบายทฤษฎีของตนดวยการทดลอง ทางเคมีและฟสิกสแบบสมัยเกา แตตั้งแตแบบจําลองอะตอมตอไปนี้ เปนตนไปจะเขาสูชวงที่การศึกษาทางฟสิกสและเคมีกาวหนาขึ้นอยาง มาก อาจจะมีหลายสาเหตุ แตสาเหตุหนึ่งพี่คิดวาเปนเพราะอยูในชวง สงครามโลก จึงทําใหการศึกษาทางดานฟสิกสและเคมีกาวหนากวาใน อดีต นองๆ คงจะกําลังงงสิวา ทําไมการศึกษาในชวงสงครามโลกถึงไดรุงเรือง ทั้งๆ ที่แตละประเทศนาจะตั้งหนาตั้งตากับการ ทําสงคราม นั่นก็เปนเพราะวาในชวงการทําสงครามโลก แตละประเทศก็ทําการวิจัยอาวุธยุทโธปกรณที่ทันสมัยมาตอสูกัน ใน ชวงนั้นมีการติดตอสื่อสารแบบไรสายเปนครั้งแรก เชน พวกวิทยุสื่อสาร โทรศัพทมือถือ และที่สําคัญที่สุดก็มีนักวิทยาศาสตร ที่สามารถคิดคนอาวุธที่รายแรงที่สุดได นั่นก็คือ ระเบิดนิวเคลียร จะเห็นไดวาในชวงสงครามโลก มีการคนควาวิจัย เกิดองค ความรูใหมๆ ขึ้นมามากมาย และในชวงเวลานั้นเองก็มีนักฟสิกสชื่อวา “นีลส โบร (Niels Bohr)” ไดเสนอทฤษฎีอะตอมแบบ ใหมขึ้นมา โดยทําการทดลองเกี่ยวกับสเปกตรัมของไฮโดรเจน (สเปกตรัม คือ แถบรังสีของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ขอใหนองๆ เขาใจไปกอนวาเปนรูปแบบหนึ่งของพลังงานแลวกัน) และไดขอสรุปเปนโครงสราง ดังรูป โดยหลักการที่เขาเสนอพี่ขออธิบายใหเขาใจงายๆ นะ คือวา เขาทําการทดลองโดยการนําอะตอมของไฮโดรเจนมาแลว ใหพลังงานเขาไปในอะตอม ปรากฏวาอะตอมสามารถคายพลังงานที่เขาใสเขาไปออกมาได โดยเขาสามารถสังเกตเห็นพลังงาน ที่อะตอมไฮโดรเจนคายออกมาได และเขาเรียกพลังงานที่มันคายออกมาวา “สเปกตรัม (spectrum)” โบรอธิบายวา การที่เขาใหพลังงานเขาไปในอะตอมของไฮโดรเจน ทําใหอิเล็กตรอนที่โคจรอยูในวงโคจรชั้นลาง (ground state) ถูกกระตุนใหขึ้นไปอยูในวงโคจรที่สูงขึ้น (excited state) ทําใหอิเล็กตรอนนั้นไมเสถียร จึงคายพลังงานที่รับเขาไปออก มา เพื่อจะไดกลับมาอยูในวลโคจรเดิม โดยพลังงานที่คายออกมาก็คือ สเปกตรัม นั่นเอง พี่เชื่อวาตอนนี้นองหลายคนกําลังไมเขาใจวาอะไรคือ สเปกตรัม พอพี่บอกวา สเปกตรัมคือแถบรังสีของ คลื่นแมเหล็กไฟฟา ก็จะเกิดคําถามตอไปอีกวา แลวอะไรคือคลื่นแมเหล็กไฟฟา? ดังนั้นพี่จะขออธิบายใหนองๆเขาใจเกี่ยวกับ คลื่นแมเหล็กไฟฟาเบื้องตนกอนนะ 4. คลื่นแมเหล็กไฟฟาและสเปกตรัมเบื้องตน คลื่นแมเหล็กไฟฟา คือ คลื่นชนิดหนึ่งที่ไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เชน คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด คลื่นแสง รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ เปนตน สามารถเคลื่อนที่ไดในสุญญากาศ เชน แสงและความรอนจากดวงอาทิตยสามารถ เคลื่อนที่ผานสุญญากาศเขามาในโลกได ตางจากคลื่นเสียงที่เปนคลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ซึ่งก็คืออนุภาคของ อากาศ เสียงไมสามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศได เชน ถานองไปพูดบนดวงจันทร นองก็จะไมไดยินเสียงตัวเอง เพราะบนดวง จันทรไมมีอากาศ


16 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ที่มา : wiki.stjohn.ac.th จากภาพนี้นองจะเห็นไดวา คลื่นแมเหล็กไฟฟามีเยอะมาก เรียงจากความถี่นอย (ซาย) ไปความถี่มาก (ขวา) แตที่พี่ อยากใหนองสังเกตคือ ชองที่เขียนวา visible หรือ “แสงที่มองเห็นไดดวยตาเปลา” ซึ่งก็คือแสงที่เรามองเห็นไดอยูในชีวิต ประจําวัน ซึ่งก็มีสี มวง คราม นํ้าเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง ทําไมพี่ถึงใหนองสังเกต visible เปนพิเศษ ก็เพราะจะบอก วา จริงๆแลวแสงหรือสีที่เรามองเห็นนั้นก็คือ คลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงๆหนึ่ง นั่นเอง แตคลื่นแมเหล็กไฟฟาไมไดมีแคแสงที่เรา มองเห็นยังมีอีกเยอะ เชน ไมโครเวฟ รังสีอินฟราเรด (คลื่นความรอน) รังสีอัลตราไวโอเลต ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา ทั้งสิ้น แตที่เราเห็นไดดวยตาเปลา มีเพียงแตคลื่นชวง visible light เทานั้น สิ่งที่ตางกันของคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็คือ ความถี่ (frequency) ความยาวคลื่น (wave length) ซึ่งคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ เรามองเห็นได จะมีความความยาวคลื่นอยูในชวง 400 – 700 nm (นาโนเมตร) ซึ่งถาไมไดอยูในชวงนี้มนุษยก็ไมสามารถมอง เห็นได โดยถาคลื่นที่มีความยาวเกิน 700 nm ก็จะเปนชวงของรังสีอินฟราเรด (infrared) ซึ่งเราไมเห็นแตสัมผัสไดดวยความ รอน เพราะรังสีอินฟราเรดคือรังสีความรอน ในขณะที่คลื่นที่มีความยาวคลื่นตํ่ากวา 400 nm ก็จะเปนชวงของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเราก็มองไมเห็นเชนกัน ตอนนี้พี่เชื่อวานองๆ นาจะเขาใจหลักการเบื้องตนของคลื่นแมเหล็กไฟฟาบางแลว พี่ขออธิบายไวคราวๆ หากนอง ตองการรูเพิ่มเติม นองสามารถไปสืบคนจากแหลงตางๆ ไดนะ กลับมาที่โครงสรางอะตอมของเรากอนดีกวา จากการที่นีลส โบร เสนอโครงสรางอะตอมของเขามา ทําใหสรุปไดวา ลักษณะอะตอมของเขาคลายๆ กับของรัทเทอฟอรด ตางกันตรงที่รัทเทอฟอรดไมไดอธิบายเกี่ยวกับวงโคจรของอิเล็กตรอน โคจรมากนัก เพียงแคบอกวาอิเล็กตรอนอยูในวงโคจรที่อยูรอบนอกเทานั้น แตโครงสรางอะตอมของโบร เนนไปที่ลักษณะวง โคจรของอิเล็กตรอนที่มีลักษณะเปนชั้นๆ โดยอิเล็กตรอนสามารถเคลื่อนที่ขึ้น – ลงระหวางชั้นได แตตองอาศัยพลังงานในการ เปลี่ยนแปลงวงโคจร (ระดับพลังงาน) ซึ่งหากเปนการเปลี่ยนระดับพลังงานจากชั้นลาง (ground state) ไปอยูในระดับพลังงาน ที่สูงกวาจะเปนการดูดพลังงาน แตหากเปนการเปลี่ยนระดับพลังงานจากชั้นบน (excited state) กลับมาอยูในระดับพลังงาน ที่ตํ่ากวา จะเปนการคายพลังงานออกมา เนื่องจากวาแบบจําลองอะตอมของโบรสามารถอธิบายเสนสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจนไดดีแตไมสามารถอธิบายเสน สเปกตรัมที่มีหลายอิเล็กตรอนได จึงไดมีการศึกษาเพิ่มเติมทางกลศาสตรควอนตัม มาถึงโครงสรางอะตอมแบบสุดทายเลยดีกวา โครงสรางนี้มีชื่อวา “โครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอก” คิดคนโดยกลุม นักวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบไปดวยนักเคมีและนักฟสิกส โดยหลักการของโครงสรางอะตอมแบบนี้คอนขางยากและซับซอน เพราะใชหลักการของควอนตัมฟสิกสมาอธิบาย แตพี่ขอพูดคราวๆ ใหนองๆไดพอจะรูจักแลวกันนะ สวนนองคนไหนที่สนใจเพิ่ม เติมก็ลองไปหาขอมูลเพิ่มเติมไดนะ


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 17 สําหรับหลักการคราวๆ ของโครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอก คือ ตรง กลางของอะตอมเปนนิวเคลียสที่ประกอบดวยโปรตอนและนิวตรอน สวนรอบ นอกจะเปนกลุมหมอก โดยที่กลุมหมอกหมายถึงความนาจะเปนที่จะพบ อิเล็กตรอนบริเวณนั้น นองๆ จะเห็นไดวาใกลๆ กับนิวเคลียสจะมีความหนา แนนของกลุมหมอกมากกวาดานนอก นั่นหมายความวา มีโอกาสที่จะพบ อิเล็กตรอนบริเวณใกลๆ กับนิวเคลียสไดมากกวารอบนอกนั่นเองโดยใน ปจจุบันเรายึดถือ โครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอกนี้ในการอธิบาย ปรากฏการณตางๆ ของอะตอม 5. การจัดเรียงอิเล็กตรอน หลังจากที่เราไดเรียนเรื่องโครงสรางอะตอมไปแลว เราก็ไดรูจักกับ อนุภาคมูลฐานไปแลว ซึ่งไดแก โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน สําหรับ โปรตอนและนิวตรอนมันก็อยูภายในนิวเคลียส แตอิเล็กตรอนมันจะโคจรอยู รอบนอก ซึ่งอะตอมหนึ่งๆ ก็มีวงโคจร (ระดับพลังงาน) หลายชั้นมาก ดังนั้นในหัวขอนี้เราจะมาเรียนวาในแตละระดับพลังงาน มีอิเล็กตรอนอยูกี่ตัว และทําไมมันถึงตองอยูแบบนั้น และก็จะสามารถอธิบายการเกิดพันธะเคมีกับอะตอมธาตุอื่นๆ ไดอีกดวย เพราะฉะนั้นพี่อยากใหนองตั้งใจเรียนหัวขอนี้ดีๆ เพราะเปนหัวขอที่สําคัญมากและเชื่อมโยงกับหัวขออื่นๆ อีกมากมาย สําหรับการจัดเรียงอิเล็กตรอน จริงๆ แลว มีอยูหลายวิธี แตพี่จะขออธิบายวิธีที่พื้นฐานที่สุด เพื่อใหนองๆ เขาใจไดงาย และนําไปใชไดจริง จากรูปที่นองเห็นทางดานขวามือนี้ คือรูปแบบของอะตอมที่มีนิวเคลียส ตรงกลาง และมีระดับพลังงานลอมรอบนิวเคลียสอยู กอนอื่นที่เราจะรูไดวา อิเล็กตรอนมันจัดเขาไปอยูในระดับพลังงาน เราตองรูกอนวาในแตละชั้นของ ระดับพลังงานสามารถบรรจุอิเล็กตรอนเขาไปอยูไดกี่ตัว โดยมีวิธีคํานวณ ดังนี้ จํานวนอิเล็กตรอนในแตละชั้น = 2n2 เม� อ n คือระดับพลังงาน n = 1 : 2(12 ) = 2 n = 5 : 2(52 ) = 50 n = 2 : 2(22 ) = 8 n = 6 : 2(62 ) = 72 n = 3 : 2(32 ) = 18 n = 7 : 2(72 ) = 98 n = 4 : 2(42 ) = 32 นองๆจะเห็นจากกรอบดานขวามือ นี้นะนั่น คือ จํานวนอิเล็กตรอนที่มากที่สุด ที่จะบรรจุในชั้นตางๆได ดังนั้นเราลองมา ดูตัวอยางกันนะ


18 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตัวอยางที่ 1 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (คารบอน) ขั้นตอนการทํา พออานโจทยเสร็จ นองๆก็ตองรูกอนวา มีอิเล็กตรอนเทาไหร จะไดวา มีอิเล็กตรอน เทากับ 6 เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) บรรจุอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว เพราะฉะนั้น อิเล็กตรอนอีก 4 ตัว ก็ตองไปอยูในระดับพลังงานที่ 2 (n=2) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 2,4 ตัวอยางที่ 2 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (นีออน) จากสัญลักษณของธาตุ ทําใหรูวา Ne มีอิเล็กตรอน 10 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 8 ตัว จะอยูในระดับพลังงานที่ 2 (n=2) สรุปวา Ne จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 ตัวอยางที่ 3 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โซเดียม) จากสัญลักษณ ทําใหรูวา มีอิเล็กตรอน 11 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว และระดับพลังงานที่ 2 (n=2) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 8 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 1 ตัว ตองอยูในระดับพลังงานที่ 3 (n=3) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 1 ตัวอยางที่ 4 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โปแตสเซียม) จากสัญลักษณ ทําใหรูวา มีอิเล็กตรอน 19 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว และระดับพลังงานที่ 2 (n=2) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 8 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 9 ตัว ตองอยูในระดับพลังงานที่ 3 (n=3) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 2 , 8 , 9 แตจริงๆ แลว ไมไดจัดอยางนี้!!! แตกลับจัดเปน 2 , 8 , 8 , 1 ทําไมละ? นองคงจะสงสัยกัน ก็ในเมื่อระดับพลังงานที่ 3 (n=3) บรรจุอิเล็กตรอนได 18 ตัว ไมใชหรอ เราใสเขาไป 9 ตัว เปน 2, 8, 9 ก็ไมนาจะผิดหนิ เดี๋ยวพี่จะอธิบายเหตุผลใหนะ ในตัวอยางดานบนที่นองๆ ไดเรียนไปนั้น เราเรียกวาเปนการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก (shell) ก็คือ n=1, 2, 3, 4… ซึ่งแทจริงแลวยังมีระดับพลังงานยอย (subshell) ลงไปอีก ไดแก s, p, d, f ดังเชน ในรูปนี้


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 19 จากรูปนี้นองจะเห็นไดชัดเจนขึ้น คือระดับพลังงานยอยจะซอนทับ กันที่ระดับพลังงานที่ 3 (n=3) โดยไปซอนทับกับระดับพลังงานที่ 4 (n=4) ทีนี้นองคงงงวา แลวจะจัดเรียงอิเล็กตรอนได อยางไร แคระดับพลังงานหลักยังจัดไมคอยเปนเลย ยัง มีขอยกเวนอีก พี่ก็อยากจะแนะนําวา นองลองลืมการ จัดเรียงอิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานหลักไปกอนนะ มาเรียนการจัดระดับพลังงานยอยดีกวา เพราะวาแทบ จะไมมีขอยกเวน และถาเราจัดเรียงแบบระดับพลังงาน ยอยไดแลว การจัดระดับพลังงานหลักก็งายมาก ระดับพลังงานยอย (subshell) ในหัวขอที่แลว ระดับพลังงานหลักเราเรียกชื่อแตละชั้นเปน 1 , 2 , 3… ใชไหมครับ และแตละชั้นมีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 2n2 แตพอมาเรียนระดับพลังงานยอย มีชื่อระดับพลังงานที่นองตองจําใหม ดังนี้ ทีนี้พอนองจําไดแลววาระดับพลังงานยอยมี s , p , d , f แลว ขอใหนองๆดูแผนภาพขางลางนี้ใหชินตาไวนะ และควร จะเขียนใหได s มีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 2 ตัว p มีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 6 ตัว d มีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 10 ตัว f มีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 14 ตัว


20 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya แผนภาพนี้นองควรจะจําได และเขียนได เพราะนองตองใชไป ตลอดการเรียนเคมีเลยก็วาได พี่เชื่อวานองทุกคนจําไดอยูแลว ไมไดยาก เลยใชไหม? พอนองจําแผนภาพดานบนไดแลว พี่อยากใหนองนําปากกาแดงมาขีด ลูกศรตามภาพนี้นะ นองหลายคนคงถามวาจะขีดลูกศรไปทําไม? คําตอบก็คือ วา เสนลูกศรเหลานี้คือลําดับการบรรจุอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย สังเกตดีๆ นะ ลูกศรทุกเสนขนานกันนะ ถานองลากลูกศรผิด คําตอบก็จะผิดนะ เพราะฉะนั้นระวังใหดีละ ถานองจําแผนภาพไดแลว และลากลูกศรไดถูกตองแลว ตอมาเราจะ ลองมาจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอยกัน งั้นพี่ขอใชโจทยเหมือนกับ ตัวอยางที่ผานมากอน เพื่อจะใหนองเห็นชัดๆ วามันใชแทนกันได ตัวอยางที่ 1จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (คารบอน) โดยจัดในระดับพลังงานยอย ตอนนี้เรารูแลววา มีอิเล็กตรอน 6 ตัวขั้นตอนตอมาก็คือเราตองมานั่งดูแผนภาพ อานตามทิศทางของลูกศร ถาจบลูกศรเสนหนึ่งแลวใหอานอีกเสนลงมาเรื่อยๆ และคอยบวกเลขที่อยูดานบน s p d f ใหไดครบตามจํานวนอิเล็กตรอนที่ เราตองการ ดังนี้ จัดเรียงไดเปน 1s2 2s2 2p2 (สังเกตวาเลขดานบนบวกกันได 6 แลว) และเมื่อตอนตนพี่บอกวาถานองจัดเรียง อิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานยอยได นองจะสามารถแปลงกลับไปเปนระดับพลังงานหลักได ดังนี้ 1s 2 2s 2 2p2 n=1 มี 2 en=2 มี 4 e-ดังนั้น จึงจัดเปน 2 , 4 ตัวอยางที่ 2 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โซเดียม) โดยจัดในระดับพลังงานยอย เนื่องจาก เรารูวา มีอิเล็กตรอนเทากับ 11 ตัว ดังนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 1s2 2s2 2p6 3s1 1s 2 2s 2 2p6 3s 1 n=1 มี 2 en=2 มี 8 en=3 มี 1 e-ดังนั้น จึงจัดเปน 2 , 8 , 1


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 21 ตัวอยางที่ 3 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โปแตสเซียม) โดยจัดในระดับพลังงานยอย เนื่องจาก เรารูวา มีอิเล็กตรอน 19 ตัว ดังนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 เพราะฉะนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักไดเปน 2, 8, 8, 1 นองๆ จะเห็นไดวาการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย (subshells) มีประโยชนมาก เพราะมีกฎเกณฑ ขอ ยกเวนนอยมาก และยังสามารถแปลงใหเปนในรูปพลังงานหลักไดอีกดวย แตสําหรับขอยกเวนในการจัดเรียงอิเล็กตรอนใน subshells พี่ขอไมอธิบายเหตุผลนะ เพราะวามันจะลึกเกินไปสําหรับนองๆ ที่เรียนทางดานศิลป-ภาษา และศิลป-คํานวณ เพราะ หนังสือเลมนี้ทําขึ้นมาเพื่อใหครอบคลุมเนื้อหา O-net เทานั้น แตหากนองๆ ตองการรูเพิ่มเติม นองๆสามารถไปสืบคนไดนะ 6. ตารางธาตุและการใชประโยชนจากตารางธาตุ สิ่งที่สําคัญมากๆ ในการเรียนเคมี ก็คือ “ตารางธาตุ (periodic table)” เพราะตารางธาตุสามารถบอกรายละเอียดคราวๆของ แตละธาตุใหเราทราบได ดังนั้นเราจึงตองเรียนรูการใชประโยชนจากตารางธาตุ ขอยกเวนในการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย จะไมพบการจัดเรียงเปน 4s2 3d4 และ 4s2 3d9 แตจะเปลี่ยนเปน 4s1 3d5 และ 4s1 3d10 ตามลําดับ เสมอ ขอควรรู อิเล็กตรอนที่อยูวงนอกสุด เรามักเรียกวา เวเลนซอิเล็กตรอน (valence electron)


22 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 6.1 การอานตารางธาตุ 6.2 สวนประกอบของตารางธาตุ Carbon 6 C 12.011 ชื่อธาตุ เลขอะตอม (atomic number) สัญลักษณของธาตุ เลขมวล (mass number) คําศัพทที่ควรรู คาบ คือ แนวนอนของตารางธาตุ ซึ่งจะเรียงตามเลขอะตอมไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีคาบที่ 1–7 สมบัติของธาตุในแตละธาตุในคาบ เดียวกันนั้นมีลักษณะคอนขางแตกตางกันมาก หมู คือ แนวตั้งของตารางธาตุ โดยธาตุที่อยูในหมูเดียวกันจะอิเล็กตรอน วงนอกสุด (valence electron) เทากัน และแตละ ธาตุมีสมบัติคลายๆกันโดยในตารางธาตุจะแบงออกเปนได 2 หมูใหญๆ ไดแก - หมู A (representative) ซึ่งมีทั้งสิ้น 8 หมู (ตั้งแต IA – VIIIA) - หมู B (transition) คือ ธาตุทั้งหมดที่เหลือที่ไมใชหมู A เปนโลหะทั้งหมด บางครั้งเราเรียกวา โลหะแทรนซิชัน เสนขั้นบันได คือ เสนที่กั้นระหวางธาตุที่เปนโลหะและธาตุที่เปนอโลหะ โดยธาตุที่อยูทางดานขวาของเสนขั้นบันได คือ ธาตุ อโลหะธาตุที่อยูทางดานซายมือของเสนขั้นบันได คือ ธาตุโลหะ สวนธาตุที่อยูใกลๆกับเสนขั้นบันได คือ ธาตุกึ่งโลหะ Inner Transition Transition IIA IIIA IVA VA VIA VIIA VIIIA IA คาบ 1 คาบ 2 คาบ 3 คาบ 4 คาบ 5 คาบ 6 คาบ 7 เสนขั้นบันได


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 23 ตัวอยางที่ 1 จงบอกตําแหนงของธาตุ Na (โซเดียม) ในตารางธาตุ เนื่องจากเรารูวา Na มีอิเล็กตรอน 11 ตัว มีการจัดเรียงเปน ตัวอยางที่ 2จงบอกตําแหนงของธาตุ Br (โบรมีน) ในตารางธาตุ เนื่องจากเรารูวา Br มีอิเล็กตรอน 35 ตัว มีการจัดเรียงเปน 6.3 การบอกตําแหนงของธาตุในตารางธาตุ จากหัวขอสวนประกอบของตารางธาตุ นองๆก็นาจะรูจักกับคําวา “คาบ” และ “หมู” แลว ซึ่งเราจะใชประโยชนใน การบอกตําแหนงของธาตุในตารางธาตุได เชน หากเราจะระบุตําแหนงของ Na (โซเดียม) เราก็จะพูดวา Na อยู หมูที่ IA คาบที่ 3 หรือ ตําแหนงของ Ca (แคลเซียม) เราจะไดพูดวา Ca อยูหมูที่ IIA คาบที่ 4 (นองดูไดจากรูปตารางธาตุ) เปนตน พี่คิดวานองคงจะเขาใจหลักการการบอกตําแหนงธาตุแลวนะ ก็คือ ตองบอกทั้งหมู และ คาบ แตสิ่งที่นองๆ จะตองแปลกใจกับความอัศจรรยก็คือ “การจัดเรียงอิเล็กตรอนสามารถบอกตําแหนงของธาตุได” ไมตอง แปลกใจนะนองๆ ก็ที่เราตองมานั่งเรียน งงแลวงงอีกกับเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอน และพี่ก็ยํ้าอยูนั่นแหละวามันสําคัญ ใน ที่สุดนองๆก็ไดเห็นถึงความสําคัญของมันแลว เพราะฉะนั้นใครที่ยังไมเขาใจเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอน ยอนกลับไปอาน ทบทวนเลยนะ พี่ขอบอกไวกอนนะวา “การจัดเรียงอิเล็กตรอน” ที่บอกวาสามารถบอกตําแหนงธาตุไดเนี่ย มันคือ “การจัด เรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก” นะ แตก็คงไมใชปญหาของนองๆ แลวละ เพราะตอนนี้เราจัดแบบ subshells ใหได นั้น มันจะตองแปลงมาเปนแบบระดับพลังงานหลักได งั้นเราลองมาดูตัวอยางดีกวาวา การจัดเรียงอิเล็กตรอนมันบอกตําแหนงของธาตุไดอยางไร?? หลักการ 1. ตัวเลขตัวสุดทาย (อิเล็กตรอนวงนอกสุด หรือ เวเลนซอิเล็กตรอน) คือ หมู ที่ธาตุนั้นอยู 2. จํานวนตัวเลข (จํานวนระดับพลังงาน) คือ คาบ ที่ธาตุนั้นอยู 3. การบอกตําแหนงของธาตุดวยการจัดเรียงอิเล็กตรอน บอกไดแคหมู A เทานั้น เวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 1 ดังนั้น Na อยูหมู IA คาบที่ 3 มีระดับพลังงาน 3 ระดับ Na อยูคาบที่ 3 2 , 8 , 1 2 , 8 , 18 , 7 เวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 7 ดังนั้น Br อยูหมู VIIA คาบที่ 4 มีระดับพลังงาน 4 ระดับ Br อยูคาบที่ 4


24 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 7. พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy: IE) ไหนๆ นองก็ไดเรียนเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอนแลว เราก็นาจะรูคาพลังงานบางอยางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง อิเล็กตรอนภายในธาตุกันหนอยเนอะ พี่พูดคราวๆ นะ หากนองอยากรูเพิ่มเติม สามารถไปสืบคนเพิ่มเติมได พลังงานไอออไนเซชัน (IE) คือ พลังงานนอยที่สุดที่ธาตุรับเขาไปจนทําใหธาตุนั้นเสียอิเล็กตรอนออกไปไดโดยมันจะมี ลําดับนิดหนอย เชน IE1 (ไอออไนเซชันลําดับที่ 1) คือ พลังงานที่นอยที่สุดที่จะทําใหอิเล็กตรอนตัวที่หนึ่ง (นับจากเวเลนซเขาไป ถึงชั้นในสุด) หลุดออกไปจากอะตอม เชน IE5 (ไอออไนเซชันลําดับที่ 5) ก็คือ พลังงานนอยที่สุดที่จะทําใหอิเล็กตรอนตัวที่ 5 (นับจากเวเลนซ) หลุดออกไปจากอะตอม ถายังไมเขาใจ ลองมาดูภาพนะ จากรูป นองจะเห็นวาเปนอะตอมของ Na ซึ่งจัดเรียง อิเล็กตรอนเปน 2,8,1 เพราะฉะนั้น IE1 ก็จะเปนพลังงานที่ Na ดูดเขาไป เพื่อทําใหอิเล็กตรอนตัวที่ 1 นั้นหลุดออกไป และ ก็เปนเชนนี้ไปเรื่อยๆ โดย IE1<<IE2<IE3 … ทําไมระหวาง IE1และ IE2จึงเปนสัญลักษณ <<(นอยกวามากๆ) ก็เปนเพราะวา พออิเล็กตรอนตัวที่ 1 หลุดออกไปแลว การจะใชพลังงานมาดึงอิเล็กตรอนอีกตัวนึงที่อยูคนละระดับ พลังงานจะตองใชพลังงานเยอะมากๆ ดังนั้น คาพลังงานที่ตองใชมันเลยตางกันมาก Idea นี้มีประโยชนดวยนะนอง เพราะ เราสามารถดูคา IE และสามารถทํานายไดวาธาตุนั้นอยูหมูอะไร อยางตัวอยางนี้ IE1<<IE2แสดงวามีเวเลนซ 1 ตัว ก็เทากับ วาอยูหมู IA อีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญก็คือวา เมื่อกี้มีคําวา “ธาตุรับพลังงาน” หรือ “ธาตุดูดพลังงาน” เขาไป นั่นหมายความ พลังงาน ไอออไนเซชัน (IE) เปนการเปลี่ยนแปลงแบบ ดูดพลังงาน (endothermic) และในเมื่อมันเปนพลังงาน ดังนั้นหนวยของ IE ก็ ตองเปนหนวยของพลังงาน เชน จูล (J) แคลอรี (cal) เปนตน ดังนั้น ธาตุที่มี IE นอยๆ ก็หมายความวา “ใชพลังงานนอยในการทําใหอิเล็กตรอนหลุดออกไป” ซึ่งก็แปลวา ธาตุนั้น มีแนวโนมเปนไอออนบวก (cation) สูง เชน พวกโลหะ ในทางกลับกัน ถาธาตุใดมี IE มากๆ หมายความวา ธาตุนั้นเสีย อิเล็กตรอนยาก ซึ่งมันจะรับอิเล็กตรอนไดดี (เปนไออนลบไดดี) เชนพวกอโลหะ ซึ่งเราจะไปเรียนกันในหัวขอตอไปนะ 8. อิเล็กโตรเนกาติวิตี (Electronegativity: EN) อิเล็กโตรเนกาติวิตี หรือ EN ตรงกันขามกับ IE อยางสิ้นเชิงเลยนะ EN คือ ความสามารถในการรับอิเล็กตรอน พี่ยํ้า นะวาเปน “ความสามารถ” ไมใชพลังงานนะ เพราะฉะนั้นมันไมมีหนวย เพียงแตไวเปรียบเทียบความสามารถในการรับ อิเล็กตรอนกับธาตุอื่นเทานั้น ถาธาตุใดมี EN สูงๆ แปลวา มีความสามารถรับอิเล็กตรอนไดดี ก็คือเปนไอออนลบไดดี เชนพวกอโลหะ ในทางกลับ กัน พวกโลหะ รับอิเล็กตรอนไดไมดี เพราะฉะนั้น EN ของโลหะจะตํ่า IE2 IE3 IE3


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 25 นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี อะตอม โครงสรางอะตอม ตารางธาตุ อนุภาคมูลฐาน • 01 : โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-1 • สอนศาสตร : ม.ปลาย : เคมี : โครงสรางอะตอม http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-3 • โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-4 • โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-5 • โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-6 • 02 : ตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-2


C P 26 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya บทที่ 2 สารชีวโมเลกุลเบื้องตน Introduction สําหรับในบทสารชีวโมเลกุลนี้ พี่ขอยํ้ากับนองๆ ทุกคนวาเปนบทที่สําคัญมาก เพราะเปนบทที่ออกขอสอบ O-Net มาก ที่สุด ในทุกๆปนะ โดยเนื้อหาจะแตกตางจากเนื้อหาวิชาเคมีที่นองไดเรียนมาในบทอื่นๆ เพราะบทอื่นๆ สวนมากเปนเคมีที่เรียก วาเคมีอนินทรีย (Inorganic Chemistry) ซึ่งก็คือเคมีที่ไมเกี่ยวของกับสิ่งมีชีวิต แตสารชีวโมเลกุลจะเปนอีกสาขาหนึ่งของเคมี คือเปนเคมีอินทรีย (Organic Chemistry) ที่เกี่ยวของกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แตนองๆ ทําใจสบายๆนะ ไมไดยากเกินไป ถานอง เรียนบทนี้ไดดี พี่รับรองวาในการสอบ O-Net ในสวนวิชาเคมี นองทําไดดีอยางแนนอน Outlines 1. คารโบไฮเดรต 2. โปรตีน 3. ลิพิด 4. กรดนิวคลิอิก 5. ตัวอยางขอสอบ 1. คารโบไฮเดรต (Carbohydrates) คารโบไฮเดรต เปนสารชีวโมเลกุลที่พบไดมากที่สุดในโลก มีตนกําเนิดมาจากการสังเคราะหดวยแสง (photosynthesis) ซึ่งหนาที่ของมันก็มีมากมาย แตหลักๆ ก็คือเปนแหลงสะสมพลังงานของสิ่งมีชีวิต โดยคารโบไฮเดรต 1 กรัม ใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี ซึ่งหากเราพูดคําวา “คารโบไฮเดรต” มันจะมีความหมายที่กวางมาก ที่รวมถึงสารจําพวก นํ้าตาล แปง ไกลโคเจน เซลลูโลส เปนตน ที่จริงคารโบไฮเดรตยังมีอีกมากมาย แตพี่ขอพูดถึงเนื้อหาเบื้องตนที่เราตองใชในการสอบแลวกันนะ งั้นเรา มาดูกันที่หัวขอแรกกันเลย 1.1 นํ้าตาล (Saccharides) พี่เชื่อวานองๆ คงรูจักนํ้าตาลเปนอยางดี นํ้าตาลที่ใชในการปรุงอาหารนั้น ที่นองรูจักนั้น มันเปนแคสวนหนึ่งของนํ้าตาลที่พี่จะ สอนในหัวขอนี้ เดี๋ยวเราจะไดมาดูกันวา นํ้าตาล มีอะไรบาง กอนอื่นนองตองรูจักกอนวานํ้าตาลนั้นเปนสารประกอบประเภทอะไร นํ้าตาลมี 2 ประเภท ใหญๆ คือ นํ้าตาลอัลโดส และนํ้าตาลคีโตส นํ้าตาลอัลโดส คือ นํ้าตาลที่เปน “สารประกอบของพอลิไฮดรอกซีอัลดีไฮด” (polyhydroxyaldehydes) นํ้าตาลคีโตส คือ นํ้าตาลที่เปน “สารประกอบของพอลิไฮดรอกคีโตน” (polyhydroxyketones) โห!!! นี่มันสารประกอ บอะไรเนี่ย ชื่อยาวมาก แตเพื่อความงาย นองดูรูปโครงสรางของนํ้าตาลทั้งสองนี้นะ


C P ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 27 จากรูปโครงสรางของนํ้าตาลสองชนิด ที่มีคารบอน 5 ตัว เหมือนกัน นองจะเห็นวามีความแตกตางกันตรงที่พี่ทํากรอบ สี่เหลี่ยมเอาไว ตรงนั้นเราเรียกวา “หมูฟงกชัน” (functional group) ซึ่งหมูฟงกชันนี้เองจะเปนตัวกําหนดสมบัติตางๆของสาร อินทรีย หากเปนนํ้าตาลอัลโดส (aldose) ก็จะมีหมูอัลดีไฮดในสารประกอบ สวนนํ้าตาลคีโตส (ketose) ก็จะมีหมูคีโตนใน สารประกอบ แตสิ่งที่เหมือนกันของนํ้าตาลทั้งสองชนิดคือ มีหมูไฮดรอกซี (hydroxy: -OH) เหมือนกัน ซึ่งนองๆ จะเห็นไดจาก ที่ชื่อสารมีคําวา “พอลิไฮดรอกซี” คําวา “พอลิ (poly)” หมายถึง จํานวนมาก นอกจากการแบงนํ้าตาลตามประเภทของหมูฟงกชันแลว ยังแบงไดตามขนาดไดอีกดวย ดังนี้ 1.2 นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharides) นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ นํ้าตาลเชิงเดี่ยว คือ คารโบไฮเดรตที่มีนํ้าตาลเพียง 1 หนวย มีคารบอนตั้งแต 3 อะตอมขึ้น ไป มีสูตรอยางงายคือ (CH2 O)n ที่สําคัญๆ อยากใหนองรูจักคือ กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส ไรโบส ไรบูโลส เปนตน หมูอัลดีไฮด หมูคีโตน H H H H OH CH 2 OH C C C C HO HO O CH 2 OH C O H OH H OH C C CH 2 OH กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส


28 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya นองอาจจะงงวา กลูโคสกับกาแลกโทสตางกันอยางไร? ดูดีๆ นะ จะเห็นวาหมู OH ตําแหนงคารบอนที่ตําแหนงที่ 4 มันสลับกันใชไหมเอย?? การสลับกันเพียงเล็กนอยของโครงสราง ทําใหเปลี่ยนเปนนํ้าตาลคนละชนิดกันเลยนะ แตเรื่อง โครงสรางที่มันสลับกันแบบนี้นองไมตองไปเครียดมากนะ มันจะลึกเกินไป ไวไปเรียนในมหาวิทยาลัยแลวกันนะ แตพี่กลัวนอง จะไมเห็นความแตกตาง ก็เลยบอกเฉยๆ ออ มีอีกเรื่องนึง นองหลายคนอาจจะสงสัยวาทําไมเมื่อกี้พี่พูดถึงนํ้าตาลอัลโดสกับคี โตส โครงสรางมันเปนเสนตรง แลวทําไมตอนนี้นํ้าตาลมันเปนโครงสรางวงแหวนปด พี่พูดคราวๆ แลวกันนะวา ในโครงสราง ที่มันเปนเสนตรง บังเอิญวามันมีหมูฟงกชันบางตัวในเสนตรงนั้นทําปฏิกิริยากันเองได มันก็เลยทําปฏิกิริยากันจนทําใหเปนรูป วงปดนะ แตนองไมตองสนใจมาก เผื่อนองบางคนสงสัยพี่เลยอธิบายไว นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวนี้สําคัญมากเลยนะนองๆ เพราะเดี๋ยวพอเรียนตอไป เราจะพบวามันเปนหนวยยอยของคารโบไฮเดรต อื่นๆ อีกเยอะแยะเลยแหละ การที่มันเปนหนวยยอยเรามีศัพทไวเรียกดวยนะ เรียกวามันเปน “มอนอเมอร (monomer)” หมายความวาถาพวก กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส มันมารวมตัวกัน ตอเปนสายยาวๆ มันจะไดสารใหมขึ้นมานะ ซึ่งสารใหมที่ เกิดขึ้นมาจากหนวยยอยพวกนี้เราก็จะเรียกวา “พอลิเมอร (polymer)” นองเริ่มสงสัยแลวใชไหมวามันรวมตัวตอกันยาวๆ แลว ไดสารอะไร งั้นเราไปดูกันในหัวขอตอไปเลย 1.3 ออลิโกแซ็กคาไรด (Oligosaccharides) ออลิโกแซ็กคาไรด คือ นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวตั้งแต 2 – 10 โมเลกุล มาตอกันดวยพันธะไกลโคซิดิก (ไมตองจําชื่อพันธะ ก็ได แตพี่อยากใหนองคุนๆชื่อเอาไว) และเสียนํ้า (H2 O) ออกไป 1 โมเลกุล แตในที่นี้พี่ขออธิบายเฉพาะที่นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว ตอกัน 2โมเลกุล เปนนํ้าตาลโมเลกุลคู (Disaccharides) ซึ่งนองๆนาจะไดเคยรูจักมาบางจากการเรียน ม.ตน เชน ซูโครส (นํ้าตาล ทราย) มอลโทส และแลกโทส คุนๆ ไหม งั้นเรามาทบทวนกันนะ กลูโคส + ฟรุกโทส กลูโคส + กลูโคส แลกโทส + กลูโคส ซูโครส (sucrose) หรือนํ้าตาลทราย แลกโทส (lactose) มอลโทส (maltose) นํ้าตาลโมเลกุลคูเหลานี้ที่พี่ยกมาเปนตัวอยาง สามารถแตกตัวกลับไปเปนนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวไดนะนองๆ ซึ่งมีหลาย วิธี ยกตัวอยางเชน ใหความรอนและใชกรดเปนตัวเรงใชเอนไซมเปนตน


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 29 1.4 พอลิแซ็กคาไรด (Polysaccharides) พอลิแซ็กคาไรด ก็คือ การนํานํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides) หลายๆตัว (มากกวา 10 โมเลกุล) มาตอเขาดวยกัน ดวยพันธะไกลโคซิดิก ทําใหเกิดเปนสารตางๆ ที่มีสมบัติแตกตางกันออกไป ในที่นี้พี่จะอธิบายแค แปง(starch) เซลลูโลส (cellulose) และ ไกลโคเจน (glycogen) 1) แปง (starch) นองๆ คงจะรูจักแปงเปนอยางดี แปงก็คือ อาหารจําพวกแปง แบบที่เราเรียนกันตั้งแตประถมอะนะ เชน ขาว แปงมัน สําปะหลัง เปนตน แตตอนนี้เราจะมาเรียนรูโครงสรางกันหนอยนะ เนื่องจากแปงเปนพอลิแซ็กคาไรดที่ใหญมาก จึงประกอบ ดวยพอลิแซ็กคาไรดยอยๆ อีก 2 ชนิด ไดแก ก.อะไมโลส (Amylose) อะไมโลส เปนพอลิแซ็กคาไรดชนิดหนึ่ง มีหนวยยอยๆเปนกลูโคส มีลักษณะเปนเสนตรง เปนองคประกอบของแปงประมาณ 20% ทดสอบกับสารละลายไอโอดีนไดสีนํ้าเงิน ข. อะไมโลเพกติน (Amylopectin) อะไมโลเพกติน เปนพอลิแซ็กคาไรดสวนใหญของแปง คือประมาณ 80% มีหนวยยอยเปนกลูโคสเหมือนกับอะไมโลสแหละ แต วามันเปนโครงสรางที่ตอกับอะไมโลสแลวเปนกิ่งแยกยอยออกมา ทดสอบกับสารละลายไอโอดีนไดสีนํ้าตาลแดง ทําใหโครงสราง ของแปงเปนโครงสรางแบบกิ่งนะนองๆ การยอยสลายแปง การยอยสลาย (Hydrolysis) ของแปง ทําไดหลายวิธี เชน เติมกรด นํ้าลาย (มีเอนไซมยอยอยู) ยีสต ตมใหรอน เปนตน และเนื่องจากแปงมีขนาดโมเลกุลใหญมาก การสลายตัวเลยไมไดกลูโคสในตอนแรก แตจะเปนลําดับยอยสลายลงมา เรื่อยๆ ดังนี้ แปง เด็กซตริน มอลโทส กลูโคส 2) ไกลโคเจน (glycogen) ไกลโคเจน เปนคารโบไฮเดรตที่สะสมในเซลลของสัตว มักจะพบในตับและกลามเนื้อไกลโคเจนมีลักษณะเปนโซกิ่ง แต มีขนาดและมวลโมเลกุลมากกวา อะไมโลเพกตินมีหนวยยอยเปนกลูโคสเชนกัน


30 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 3) เซลลูโลส (cellulose) เซลลูโลส เปนคารโบไฮเดรตที่พบมากที่สุดในโลกเลยนะนองๆ เพราะวามันเปนสวนประกอบของผนังเซลล (cell wall) ของสาหรายสีเขียวและพืช เซลลูโลสมีพอลิเมอรของกลูโคสโครงสรางเปนเสนตรง และเซลลูโลสเปนโครงสรางที่แข็งแรงมาก ในชีวิตประจําวันของเราก็มีการใชประโยชนจากเซลลูโลสเยอะนะ เชน สําลี กระดาษทิชชู ฝาย เปนตน เซลลูโลสทําหนาที่เปนโครงสรางของพืช เมื่อยอยสลายเซลลูโลสจะได Disaccharides ที่มีชื่อวา “เซลโลไบโอส” ซึ่ง เปนไอโซเมอรของมอลโทส และถายอยตอไปอีกก็จะไดกลูโคส การทดสอบคารโบไฮเดรต กอนอื่นเราตองรูกอนวา “การทดสอบ” คืออะไร และทําไปเพื่ออะไร เพราะวาอีกสามหัวขอที่ตอจากนี้เราก็จะตองเรียน เรื่องการทดสอบ พี่เลยขออธิบายความหมายและจุดประสงคไปกอนดีไหม? นองๆ จะไดเขาใจกันวาเราเรียนทําไม ถาสมมติวานองเขาไปทําแล็ปในหองแล็ป มีสารใสอยูในบีกเกอรหลายใบ เรามองแลวก็ดูเหมือนๆ กัน ไมตางกัน ไมสามารถ แยกแยะออกไดวาคือสารอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงตองเรียนวิธีการทดสอบดวยวิธีตางๆ เพื่อจะไดสรุปวาสารที่อยูในบีกเกอร ตางๆ คืออะไร นองๆ จะสังเกตเห็นไดวาจริงๆ แลวหนวยยอยที่สุดของคารโบไฮเดรตก็คือ นํ้าตาล นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราก็ ตองรูวิธีการทดสอบนํ้าตาล เราจะใช “สารละลายเบเนดิกต” ในการทดสอบนํ้าตาล โดยไมใชวานํ้าตาลทุกชนิดจะทดสอบได แตพี่อยากใหนองจํา ไวแคตัวเดียวที่ทดสอบกับเบเนดิกตไมได คือ ซูโครสหรือนํ้าตาลทรายนั่นเอง สวนสาเหตุพี่ขออธิบายสั้นๆ งายๆ วา ซูโครสมัน


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 31 ไมมีหมู Aldehyde group ที่ใชในการเกิดปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกตเหมือนกับตัวอื่น เลยทําใหทดสอบไมได แลวเราจะรูไดอยางไรวาสารในบีกเกอรของเรามันเปนสารละลายนํ้าตาล?? หลังจากที่นําสารนั้นมาตมกับเบเนดิกต (สารสีฟา) แลว สารละลายในบีกเกอรจะมีตะกอนสีแดงอิฐ เกิดขึ้น สมการที่เห็นขางบนนี้ นองไมตองจํานะ รูแควาถาสารที่เราทดสอบเปลี่ยนสีสารละลายเบเนดิกตจากสีฟาเปนตะกอน สีแดงอิฐ ก็แสดงวาสารนั้นเปนนํ้าตาล โจทยตัวอยาง พิจารณาขอมูลของสาร A B และ C ตอไปนี้ สาร A B และ C นาจะเปนสารอะไร สาร ตัวเลือก 1 2 3 4 A B C แหลงที่พบ A ไกลโคเจน ไกลโคเจน ไกลโคเจน เซลลูโลส เซลลูโลส ไกลโคเจน เซลลูโลส เซลลูโลส แปง แปง แปง แปง B C ในคนและสัตว ในพืชเทานั้น ในพืชที่เปนเมล็ดและหัว สายยาว ไมละลาย โซกิ่ง ไมละลาย โครงสราง การละลายนํ้า โซตรงและโซกิ่ง ละลายนํ้าไดเล็กนอย


32 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตอบขออะไรนองๆ?? เฉลยก็คือ ..... ขอ 1. มาดูวิธีการคิดกันนะ พี่เลือกดู B กอน เขาบอกวามีแตในพืชเทานั้น ก็แสดงวาตองเปน “เซลลูโลส” เพราะเซลลูโลสเปนสวน ประกอบของผนังเซลลของพืช ซึ่งมาดูที่ตัวเลือก B เปนเซลลูโลสก็มี 2 ขอ เหลือสาร A และ C ที่ตองคิด ซึ่งนองจะเลือกดู จากอะไรก็ได พี่วาก็พอๆ กัน เชน สาร A เขาบอกวาพบในคนและสัตว พี่ก็คิดวาตองเปน “ไกลโคเจน” แนเลย เพราะวาไกลโคเจน เปนคารโบไฮเดรตที่สะสมในกลามเนื้อและตับของคนและสัตว และสาร B ก็ตองเปนแปง ซึ่งอาจจะดูไดจากพบในพืชที่เปนหัว และเมล็ด 2. โปรตีน (Protein) เปนสารชีวโมเลกุลที่มีมวลโมเลกุลมาก ประกอบดวยธาตุ C H O N เปนหลัก โดยหนวยที่เล็กที่สุดของโปรตีนคือ “กรด อะมิโน (Amino acid)” หมายความวาโปรตีนเปนพอลิเมอรของกรดอะมิโนนั่นเองนะนองๆ นอกจากนี้โปรตีนก็เปนแหลงพลังงาน ของรางกายเชนกันกับคารโบไฮเดรต และโปรตีน 1 กรัมใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี เหมือนกับคารโบไฮเดรต กรดอะมิโนคืออะไร?? คําถามที่ตามมาของนองๆใชไหม กรดอะมิโนก็คือ กรดอินทรียชนิดหนึ่ง ที่มีหมูคารบอกซิล (-COOH) กับ อะมิโน (-NH2 ) เกาะอยูที่คารบอนเดียวกัน ( -amino อานวา แอลฟาอะมิโน) ดังรูป โดยพื้นฐานของกรดอะมิโน ก็คือจะมีหมูคารบอกซิลและหมูอะมิโนเกาะที่คารบอนเดียวกัน ( -amino) แบบนี้นะ แตวาที่ ทําใหกรดอะมิโนแตกตางกันก็คือ หมูโซขางที่จะเขามาเกาะนั่นเอง รูปดานลางนี้เปนชื่อและโครงสรางของกรดอะมิโนมาตรฐานนะ ทําไมถึงตองมีคําวา “มาตรฐาน” นั่นก็เปนเพราะวามี กรดที่มีสมบัติตางๆ เหมือนกรดอะมิโน คือ มีหมูคารบอกซิลและหมูอะมิโนเกาะอยูที่คารบอนเดียวกัน ( -amino) แตไมไดเปน สวนประกอบของโปรตีนแตในระดับเรารูเทานี้ก็พอแลว ใครอยากรูเพิ่มไปลองหาอานไดนะ ดังนั้นเราจะเรียกกรดอะมิโนที่เปน สวนประกอบของโปรตีนวา “กรดอะมิโนมาตรฐาน” นองๆ ไมตองจําโครงสรางของมัน อานชื่อใหพอคุนหูคุนตาก็พอแลว หมูอะมิโน หมูโซขาง หมูคารบอกซิล R H COOH 2 N H C


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 33 ที่มา : www.proteinsynthesis.org 2.1 กรดอะมิโนจําเปน (Essential Amino Acid: EAA) คือ กรดอะมิโนที่รางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นเองได ตองรับจากภายนอก ไดแก เมไทโอนิน ทรีโอนิน ไลซีน เวลีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน ฟนิลอะลานีน ทริปโตเฟน ฮิทิดีน (สําหรับในเด็กทารกมี อารจีนีน เพิ่มดวย) และถาโปรตีนที่เรารับประทานเขาไป มีกรดอะมิโนจําเปนครบ เราจะเรียกวา “โปรตีนสมบูรณ (complete proteins)” เชน เนื้อ ปลา เปด ไก ไข นม แตถาโปรตีนที่มี EAA ไมครบเราจะเรียกวา “โปรตีนไมสมบูรณ (incomplete proteins)” เชน พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช เปนตน 2.2 พันธะเพปไทด (peptide bond) พันธะเพปไทด ก็คือ พันธะที่เชื่อมระหวางกรดอะมิโนตั้งแต 2 โมเลกุลขึ้นไป ตอกันไปเรื่อยๆ จนเปนพอลิเมอรของกรดอะมิโน ซึ่งก็คือ โปรตีน นั่นเอง


34 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya H2N N N N H H H H H H H3C CH3 C C C C O O O O O จากรูป นองๆเห็นไหมวา มีกรดอะมิโนอยู 2 โมเลกุล (ดานบน) มันจะมาตอกันดวยพันธะเพปไทด มันตองมีการสูญเสีย นํ้า (H2 O) ออกไป 1 โมเลกุล จึงจะเกิดพันธะเพปไทดได ขอสังเกตจากรูปนะนองๆ อันนี้พี่เสริมใหนะ คือ เนื่องจากกรดอะมิโนมันมีปลาย 2 ฝง ก็คือ ปลาย –COOH (เราเรียก วา C-terminus) และปลาย –NH2 (เราเรียกวา N-terminus) การสูญเสียนํ้า (H2 O) จะมีการดึง OH ออกจาก C-terminus และ ดึง H ออกจาก N-terminus เมื่อมารวมกันก็จะไดนํ้า (H2 O) 1 โมเลกุล พอดีและตอจากนี้นองๆ ก็คงดูตําแหนงของพันธะ เพปไทดเปนแลวใชไหม?? ซึ่งก็คือตําแหนง –CO-NH- งั้นเราลองมาดูตัวอยางโมเลกุลของโปรตีน และใหนองๆ ลองแยกออก มาใหเปนกรดอะมิโนยอยๆ โดยการตัดที่ตําแหนงพันธะเพปไทดนะ นองลองมาคอยๆ ตัดที่ตําแหนงพันธะเพปไทด (-CO-NH-) ดูซิวาโมเลกุลโปรตีนที่เห็นนี้ประกอบดวยกรดอะมิโนยอยๆ กี่โมเลกุล จากรูปที่พี่ตัดใหดูนี้ นองๆก็จะเห็นไดวาโมเลกุลโปรตีนที่ใหไปนั้น ประกอบไปดวยกรดอะมิโนยอยๆ 4 โมเลกุล (เททระเพปไทด) 2.2.1 การเรียกชื่อพอลิเพปไทด เนื่องจากโปรตีนก็คือกรดอะมิโนที่มาเรียงตอกันดวยพันธะเพปไทด โปรตีนบางตัวก็อาจจะมีกรดอะมิโนมาตอกันเพียงสอง โมเลกุล โปรตีนบางตัวก็อาจจะมีกรดอะมิโนมาตอกัน 3 4 5 … โมเลกุล ใชไหม? ทีนี้เราจะเรียกชื่อมันยังไงละ? สมมติพี่ให แทนสัญลักษณของกรดอะมิโน และแทนพันธะเพปไทดแลวกันนะถามีกรดอะมิโน 2 โมเลกุล เชื่อมกันดวยพันธะเพปไทด เรา เรียกวา ไดเพปไทด ไตรเพปไทด เททระเพปไทด H2N N N N H H H H H H H3C CH3 C C C C O O O O O


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 35 นองๆ หลายคนมักจะงงกับจุดนี้ เพราะวา การอานมันจะขึ้นตนดวย จํานวนที่เปนภาษาละตินและกรีก (โมโน ได ไตร เททระ...) และตามดวยคําวา “เพปไทด” ซึ่งถานองลองยอนกลับไปดูรูป Sense มันมักจะบอกวา มันบอกจํานวนพันธะเพปไทด ใชไหม? เชน เททระเพปไทดมันมี 3 พันธะเพปไทด มันก็นาจะชื่อวา “ไตรเพปไทด” แตจริงๆ ไมใชนะ จํานวนที่ระบุนั้นเปนจํานวน ของกรดอะมิโนเลย เพราะฉะนั้น มีกรดอะมิโน 4 โมเลกุล ก็ชื่อวา “เททระเพปไทด” เลย ระวังดีๆนะ!! เฉลย ถานองลองวงกลมตัดที่พันธะเพปไทด จะไดรูปอยางที่พี่วงนี้นะ ซึ่งมีพันธะเพปไทด 2 พันธะ มีกรดอะมิโน 3 โมเลกุล แตมีกรด อะมิโนเพียง 2 ชนิด เพราะโมเลกุลแรกและโมเลกุลที่สอง เปนกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน จากรูป มีพันธะเพปไทดกี่พันธะ มีกรดอะมิโนกี่โมเลกุล และมีกรดอะมิโนกี่ชนิด ตัวอยางขอสอบ ตัวเลือก 1 2 2 2 2 2 2 3 3 3 3 3 3 3 4 4 จํานวนพันธะเพปไทด กรดอะมิโน (โมเลกุล) กรดอะมิโน (ชนิด) O O O C C C C N C N C C N H H H H H H H H H H H O O O C C C C N C N C C N H H H H H H H H H H H


36 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 2.3 โครงสรางของโปรตีน โครงสรางปฐมภูมิ (Primary structure) โครงสรางปฐมภูมิก็คือโครงสรางที่งายๆมีกรดอะมิโนมา เรียงตอกันเปนสายยาวๆ อาจจะมีพันธะที่เกิดขึ้นระหวาง กรดอะมิโนดวยกันเองนอกเหนือจากพันธะเพปไทดได เชน พันธะไดซัลไฟดที่เกิดระหวางกรดอะมิโนซิสเทอีน (Cysteine) ที่มา : http://imgarcade.com/1/collagen-primary-structure/ ที่มา: http://kvhs.nbed.nb.ca/gallant/biology/tertiary_structure.jpg\ โครงสรางทุติยภูมิ (Secondary structure) ประกอบดวย 2 ลักษณะ ไดแกเกลียวแอลฟาและแบบจีบเบตา เปนเสนออนนุม เชน Fibrin พบเปนโครงสรางหลักในเคอราทิน โครงสรางตติยภูมิ (Tertiary structure) เกิดจากโครงสรางแบบเกลียวแอลฟา แตสวนที่ ไมใชเกลียวแอลฟา มวนตัวเขาหากันเพราะมีแรง ยึดเหนี่ยวออนๆ โครงสรางแบบนี้จะมีลักษณะ จําเพาะขึ้นอยูกับการเรียงตัวของกรดอะมิโนและ พรอมที่จะทําหนาที่ตางๆ ในสิ่งมีชีวิต ที่มา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 37 ที่มา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/ โครงสรางจตุรภูมิ (Quaternary structure) เกิดจากการรวมตัวของหนวยยอยชนิดเดียวกัน หรือตางชนิดกันของโครงสรางแบบตติยภูมิ โดยอาจจะรวมตัวเปนโปรตีนกอนกลมหรือ โปรตีนเสนใย 2.4 การทดสอบโปรตีน เชนเดียวกับการทดสอบคารโบไฮเดรตนะนองๆ โปรตีนเราก็ตองรูวิธีการทดสอบเชนกันนะ โดยการทดสอบโปรตีนเรา จะใช “สารละลาย CuSO4 ในสารละลายเบส NaOH” ซึ่งมีสีฟาโดยเมื่อทดสอบแลวถามีโปรตีนจะไดสีมวง - ชมพู วิธีการนี้เรา เรียกวา “การทดสอบไบยูเร็ต” ซึ่งการทดสอบนี้ก็มีขอจํากัดนะ คือ ทดสอบไดแตโปรตีนที่มีพันธะเพปไทดตั้งแต 2 พันธะขึ้นไป (ไตรเพปไทดขึ้นไป) ดังนั้นการทดสอบไบยูเร็ตนี้จึงไมสามารถใชทดสอบกรดอะมิโนได จากรูปดานบนนี้ สารสีมวง – ชมพู ที่ไดจากการทดสอบโปรตีน ก็เปนเพราะวาเปนสีของสารเชิงซอนของ Cu นั่นเอง คําถามตอมานองคงสงสัยวาแลวถาเราอยากจะทดสอบกรดอะมิโนจะทําไง?? มันก็มีอีกวิธีหนึ่งที่ใชในการทดสอบกรดอะมิโน นั่นก็คือ เราจะใชสารนินไฮดริน ในการทดสอบ โดยถามีกรดอะมิโน จะไดสีมวงในการทดสอบดวยนินไฮดริน 2.5 การเสียสภาพโปรตีน (Protein Denaturation) กอนอื่นนองตองเขาใจหลักการของ “การเสียสภาพ” กอนนะ คือ การเสียสภาพของโปรตีน มันตางจากการไฮโดรไลส (Hydrolyse) เพราะการไฮโดรไลสคือการสลายพันธะไปเลย ซึ่งสําหรับโปรตีนก็คือการสลายพันธะเพปไทด แตถาเปนการไฮ โดรไลสของคารโบไฮเดรตก็จะเปนการสลายพันธะไกลโคซิดิกที่เชื่อมระหวางโมเลกุลของนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว แตการเสียสภาพ ของโปรตีนคือการที่โปรตีนสูญเสียสภาพโครงสรางจตุรภูมิ ตติยภูมิ ทุติยภูมิ มาเปน ปฐมภูมิ กลาวคือ พันธะเพปไทดยังคงอยู แตสภาพการทํางานของโปรตีนนั้นๆ อาจจะเสียสภาพไป งั้นเรามาดูปจจัยที่ทําใหโปรตีนเสียสภาพกัน มีดังนี้ 1) ความรอน 2) สารละลายกรด 3) สารละลายเบส 4) แอลกอฮอล 5) โลหะหนัก


38 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 2.6 ประเภทและหนาที่ของโปรตีน จริงๆ แลวประเภทและหนาที่ตางๆ ของโปรตีนยังมีอีกเยอะแยะเลยนะ แตพี่เลือกที่สําคัญๆ มาใหนองดูกันนะ 2.7 คุณคาทางชีววิทยา คุณคาทางชีววิทยา คือ โปรตีนจากแหลงอาหารที่รางกายสามารถนําไปใชสรางเนื้อเยื่อได เชน ไข มีคุณคาทาง ชีววิทยา 100 แสดงวา ไข มีแหลงโปรตีนที่รางกายสามารถนําไปสรางเนื้อเยื่อได 100% เราลองมาดูตารางคุณคาทาง ชีววิทยากันนะ ประเภท หนาที่ ตัวอยางของโปรตีน เอนไซม โครงสราง ลําเลียงสาร ฮอรโมน แอนติบอดี ไข 100 93 75 86 72 56 44 นมวัว เนื้อสัตวและปลา ขาว ขาวโพด ถั่วลิสง ขาวสาลี โปรตีนจากแหลงอาหาร คุณคาทางชีววิทยา - ยอยสลายซูโครส - ยอยสลายโปรตีน - สรางเอ็นและกระดูกออน - สรางผม ขน และผิวหนัง - ลําเลียงออกซิเจน - เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญกลูโคสใน รางกาย - ทําใหรางกายเจริญเติบโตไดปกติ - ภูมิคุมกัน - ซูเครส - ทริปซิน - คอลลาเจน - เคราติน - ฮีโมโกลบิน - อินซูลิน - ฮอรโมนเจริญเติบโต (Growth Hormone) - อิมมูโนโกลบูลิน ที่มา : หนังสือสาระการเรียนรูพื้นฐานสารและสมบัติของสาร


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 39 3. ลิพิด (Lipid) ลิพิด คืออะไร? ลิพิดก็คือ ไขมัน (Fat) หรือนํ้ามัน (Oil) ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ไข (Wax) และสารสเตียรอยด (Steroid) นั่นเอง นองหลายคนอาจจะสงสัยวาไขมันและนํ้ามัน ตางกันอยางไร? เดี๋ยวบทนี้เราจะมาเฉลยคําตอบแลวกันนะ 3.1 ไขมันและนํ้ามัน (Fat and Oil) ไขมันและนํ้ามัน มีสวนประกอบที่เหมือนกันก็คือ เปนสารประเภทเอสเทอร (Ester) ที่เกิดปฏิกิริยาเอส เทอริฟเคชัน (Esterification) จากกลีเซอรอลและกรดไขมัน นองหลายคนอาจจะงงกับยอหนานี้.... อะไรคือเอสเทอร? และ เอสเทอริฟเคชัน มันคืออะไรเนี่ย? เอาเปนวาพี่จะอธิบายคราวๆ นะ ในทางเคมีอินทรียเรามีการศึกษาปฏิกิริยาหลายๆ อยาง แตปฏิกิริยาที่สําคัญปฏิกิริยาหนึ่ง เรียกวา “ปฏิกิริยาเอส เทอริฟเคชัน (Esterification)” เปนปฏิกิริยาที่เกิดจาก การนําสารที่เปนแอลกอฮอล (Alcohol) มาทําปฏิกิริยากับ สารที่เปนก รดอินทรียหรือเรียกวา กรดคารบอกซิลิก (Carboxylic acid) โดยมีตัวเรงปฏิกิริยาเปนกรดแก จะทําใหเกิดสารประเภทหนึ่ง ขึ้น เราเรียกวาสารประเภท “เอสเทอร (Ester)” อันนี้เปนหลักการคราวๆ นะ ซึ่งเราลองกลับมาดูที่รูปดานบนของเรากันนะ จะเห็นไดวาแอลกอฮอลที่นํามาทําปฏิกิริยานี้คือ กลีเซอรอล (Glycerol) มาทําปฏิกิริยากับกรดไขมัน ซึ่งก็คือกรดอินทรีย นั่นเอง มีตัวเรงและความรอน ทําใหไดไขมันและนํ้ามันออกมาเปนผลิตภัณฑทางดานขวา ซึ่งไขมันและนํ้ามันก็คือสารประ เภทเอสเทอรนั่นเองหรือบางทีเรามักเรียกไขมันหรือนํ้ามันวา “ไตรกลีเซอไรด (Triglyceride)” คํานี้นองนาจะเคยคุนๆหูบาง เนอะ เพราะฉะนั้นตอไปนี้หากไดยินคํานี้อีก ก็ใหเขาใจวาเปนไขมันและนํ้ามันแลวกัน ทีนี้สิ่งที่ตามมาก็คือ แลวอะไรละที่เปนตัวแบงแยกวาปฏิกิริยาไหนจะเกิดไขมัน และปฏิกิริยาไหนจะเกิดนํ้ามัน? คํา ตอบก็คือ กรดไขมัน นั่นเอง แลวจะดูไดยังไงละ? เราลองมาดูกันในหัวขอถัดไปนะ 3.2 กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไมอิ่มตัว (Saturated and Unsaturated Fatty Acid) สิ่งที่จะบอกเราไดวาผลิตภัณฑของเราที่ไดหลังเกิดปฏิกิริยาสะปอนนิฟเคชัน วาจะไดไขมัน หรือ นํ้ามัน ขึ้นอยูกับกรด ไขมัน เพราะเราสามารถแบงกรดไขมันออกเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1) กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) กรดไขมันอิ่มตัว คือ กรดไขมันที่ไมมีพันธะคูอยูภายในโครงสรางโมเลกุลเลย มีแตพันธะเดี่ยว (Single bond) ที่เรา


40 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya เรียกวาอิ่มตัว เพราะวาโครงสรางของมันอิ่มตัวไปดวยไฮโดรเจน (H) ไมสามารถเติมอะไรลงไปไดอีก มีสูตรเคมีเปน Cn H2n+1COOHเพราะฉะนั้นเวลามันเกิดปฏิกิริยากับกลีเซอรอล จะได “ไขมัน (Fat)” ซึ่งจะมีลักษณะเปนของแข็งที่อุณหภูมิ หอง เชน พวกไขมันสัตว เปนตน 2) กรดไขมันไมอิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid) กรดไขมันไมอิ่มตัว คือ กรดไขมันที่มีพันธะคูอยางนอย 1 ตําแหนงในโครงสราง ทําใหโครงสรางไมไดอิ่มตัวดวย ไฮโดรเจน (H) เวลาเกิดปฏิกิริยากับกลีเซอรอลก็จะได “นํ้ามัน” ซึ่งมีลักษณะเปนของเหลวที่อุณหภูมิหอง เชน นํ้ามันพืช เปนตน ลองมาดูรูปนี้ นองๆ จะเห็นวาถาเปนโครงสรางที่อิ่มตัว โครงสรางจะเปนเสนตรง ดูคอนขางหนาแนน แตถาเปนโครงสราง ไขมันที่ไมอิ่มตัว ตําแหนงที่เปนพันธะคูจะทําใหเกิดมุมงอมุมบิดในโครงสราง ทําใหโครงสรางไมหนาแนนนะ ดังนั้นหลักการจํางายๆ ก็คือ ถาโครงสรางมันหนาแนน (อิ่มตัว) เวลาเกิดปฏิกิริยา ผลิตภัณฑที่ไดจะเปนของแข็ง (ไข มัน) แตถาเปนโครงสรางที่ไมหนาแนน (ไมอิ่มตัว) จะไดผลิตภัณฑที่เปนของเหลว (นํ้ามัน) นองๆ ควรจะรูจักกรดไขมันอิ่มตัวและไมอิ่มตัวไวบางนะ ดูจากตารางขางลางนี้ หมูฟงกชันของ กรดไขมัน พันธะคูนี้ ไมนับนะนองๆ ที่มา : vichakarn.triamudom.ac.th ลอริก (C11H23COOH) โอเลอิก (C17H33COOH) ไมรีสติก (C13H27COOH) ไลโนเลอิก (C17H31COOH) ปาลมิติก (C15H31COOH) ไลโนเลนิก (C17H29COOH) สเตียริก (C17H35COOH) กรดไขมันจําเปน กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไมอิ่มตัว


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 41 หยดมาก ไมอิ่มตัว หยดนอย อิ่มตัว สาเหตุที่ไลโนเลอิกและไลโนเลนิก เปนกรดไขมันจําเปนเพราะวารางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นมาไดเอง จึงตองรับมาจาก อาหาร 3.3 การทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ก็เหมือนกับหัวขอที่ผานมา เราตองรูวิธีการทดสอบ สําหรับการทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ไมยากเลย แตวาพี่ ยํ้ากับนองๆ ทุกคนนะวา หัวขอนี้ออกขอสอบทุกป ยํ้า!! ออกทุกป ปละ 1-2 ขอ เพราะฉะนั้นนองๆ ตองเรียนรูอยางตั้งใจ และทําความเขาใจ และเดี๋ยวทายบทเราลองมาดูขอสอบดวยกัน วิธีการที่เราใชทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ที่เราเรียนในชั้น ม.ปลายนี้ จะบอกไดแควาอะไรอิ่มตัวหรือไมอิ่มตัว มากกวากัน คือเปนแคการเปรียบเทียบความอิ่มตัวของกรดไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป แตเราไมสามารถบอกไดวาอิ่มตัวหรือไม อิ่มตัวมากนอยขนาดไหนนะอานแลวอาจจะงง ไวลองไปดูตัวอยางดวยกันนาจะเขาใจขึ้น สําหรับวิธีที่เราใช และเปนวิธีงายๆ คือ การทดสอบดวยการหยดนํ้าคลอรีน (Cl2) นํ้าโบรมีน (Br2) หรืออาจจะเปน สารละลายไอโอดีน (I2) ก็ได (ใชสารประกอบของธาตุหมู VIIA เพราะมีสมบัติรับอิเล็กตรอนไดดี) โดยพวกสารประกอบหมู VIIA นี้ มีสมบัติที่เห็นไดชัดคือมันเปนสารที่มีสี เชน คลอรีนมีสีเขียวเหลือง โบรมีนมีสีนํ้าตาล ไอโอดีนมีสีมวง เมื่อหยดสาร พวกนี้ลงไปในสารละลายกรดไขมันที่เตรียมไว มันจะถูกฟอกจางสี (สีของสารจะหายไป) เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ หรือปฏิกิริยาการเติมกับสารละลายกรดไขมัน (ไมตองซีเรียสเรื่องชื่อของปฏิกิริยานะ) ซึ่งเราจะดูความอิ่มตัว-ไมอิ่มตัวไดจาก จํานวนหยดที่เราหยดสารประกอบหมู VIIA จนกวาสารละลายกรดไขมันจะไมสามารถฟอกจางสีได พูดงายๆ ก็คือ เราจะนับ จํานวนหยดที่เราหยดพวกสารประกอบหมู VIIA ไปเรื่อยๆ จนกวาสีมันจะไมจางหายไปนั่นเองโดยถาจํานวนหยดที่หยดลงไป จนกวาสีจะไมหายเปนจํานวนมาก หมายความวา กรดไขมันนั้นมีความไมอิ่มตัวมากในทางกลับกันถาจํานวนหยดที่หยดลงไป จนกวาสีจะไมหาย เปนจํานวนนอย หมายความวา กรดไขมันนั้นมีความอิ่มตัวมาก 3.4 สมบัติตางๆ ของกรดไขมัน 1. กรดไขมันที่เสถียรมักจะมี C เปนเลขคู สวนใหญพบ C 16 อะตอม และ C 18 อะตอม 2. ในกรณีที่มีจํานวนคารบอนเทากัน ไขมันจะมีจุดเดือดสูงกวานํ้ามัน เพราะกรดไขมันอิ่มตัวจะมีมวลโมเลกุลสูงกวา และมีรูป รางที่มีความหนาแนนสูง จึงทําใหมีจุดเดือดสูงกวา 3. ในกรณีที่มีจํานวนคารบอนเทากัน การเผาไหมนํ้ามันจะเกิดเขมามากกวาไขมัน 4. ไขมันและนํ้ามันจะละลายในตัวทําละลายอินทรีย เพราะเปนสารที่ไมมีขั้ว 5. การเหม็นหืน นํ้ามันจะเหม็นหืนไดงายกวาไขมัน เพราะการเหม็นหืนเกิดจาก O2 ในอากาศเขาทําปฏิกิริยากับตําแหนง พันธะคู ไดแอลดีไฮด และกรดไขมันเล็กๆ ซึ่งเหม็นหืน ** ในปจจุบัน นํ้ามันพืช มักเติมสาร BHA BHT หรือวิตามิน E ทําใหไมเหม็นหืน 6. ในรางกายของคนและสัตว มีกรดไขมันอิ่มตัวเปนสวนมาก 7. หากรับประทานไขมันอิ่มตัวมากๆ อาจจะสงผลใหเปนโรคเสนเลือดหัวใจอุดตัน


42 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตัวอยางขอสอบ ตาราง ปริมาณกรดไขมันชนิดตางๆ ในนํ้ามันบางชนิด จากขอมูลในตาราง นํ้ามันชนิดใดฟอกจางสีนํ้าโบรมีนใหหายไปไดมากที่สุด ................? เฉลย นํ้ามันชนิด D เพราะวา มีความไมอิ่มตัวสูงที่สุด โดยดูจากรอยละของกรดไขมันที่มันมี เนื่องจากนองๆ รูวา สูตรเคมีของกรดไขมันที่อิ่มตัวคือ CnH2n+1COOH จะเห็นไดวากรดไขมันที่ไมอิ่มตัวก็จะมี C17H33CO2H C17H3 1CO2 H C17H29CO2 H ใชไหม? และนํ้ามันชนิด D ก็มีรอยละของกรดไขมันพวกนี้สูงที่สุด ก็เลยตองใชนํ้าโบรมีนในการ ฟอกสีมากที่สุด 3.6 การทดสอบไขมันและนํ้ามัน อันนี้ตางจากการทดสอบความอิ่มตัวนะ โดยการทดสอบไขมันและนํ้ามันนั้นงายมากๆ เพียงแตทดสอบดวยกระดาษ หากเปนไขมันและนํ้ามันจะทําใหกระดาษที่ทดสอบโปรงแสง 3.7 สบูและผงซักฟอก นองรูหรือไมวาสบูและผงซักฟอกหรือผลิตภัณฑทําความสะอาดเกือบทุกชนิด ทํามาจากอะไร? แนนอนวาพี่เอามาสอน ในหัวขอนี้ นองก็คงตอบไดแลววา..... สบูและผงซักฟอกมันมีที่มาจากลิพิดแนนอน เฉลยนะ สบูและผงซักฟอกที่เราใชกันอยู ทุกวันทํามาจากไขมันหรือนํ้ามัน ขึ้นอยูกับประเภท ชนิด ของผลิตภัณฑ เพราะฉะนั้นในหัวขอนี้เราก็จะมาดูโครงสรางและหลัก การทํางานของผลิตภัณฑทําความสะอาดที่เราใชกันทุกๆ วัน สบู/ผงซักฟอก ไขมัน (Triglyceride) กลีเซอรอล เกลือโซเดียมคารบอกซิเลต รอยละของกรดไขมัน นํ้ามัน A 43.8 23.4 13.6 9.6 4.3 2.3 0.0 0.0 1.4 6.1 22.7 11.5 19.0 26.0 8.0 7.9 32.1 46.9 17.6 40.3 2.1 10.5 3.4 26.0 0.0 0.0 0.0 0.0 B C D C11H23C O2 H C13H27C O2 H C15H31C O2 H C17H35C O2 H C17H33C O2 H C17H31C O2 H C17H29C O2 H


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 43 ดูจากสมการดานบนนี้นะ สบูและผงซักฟอกทั่วๆ ไปเปน เกลือของกรดไขมัน นองคงจะงงวา “อาว สบูที่เราใชทุกวัน เปนเกลือหรอเนี่ย?” อาๆ มาดูสมการกันกอนแลวกัน เริ่มจากเรามีไขมันซึ่งก็คือ ไตรกลีเซอไรด ทําปฏิกิริยากับเบสแก (ในที่นี้ คือโซเดียมไฮดรอกไซด : NaOH) ตมใหรอน เราจะไดผลิตภัณฑเปนสบู ซึ่งเปนเกลือของกรดไขมัน 3 โมล (หนวยของการวัด ปริมาณสาร) และไดกลีเซอรอลออกมาดวย โดยสวนมากเบสที่เรานํามาใชตมก็มักจะเปนโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) หรือ โซดาไฟ หรืออาจจะใชโพแทสเซียมไฮดรอกไซด (KOH) หรือดางคลี ก็ได 3.7.1 สบูกอน VS. สบูเหลว นองๆ เคยสงสัยไหมวา.... สบูกอนและสบูเหลวตางกันอยางไร หรือมีวิธีการผลิตตางกันอยางไร ..... จริงๆ แลวกรรมวิธี ไมแตกตางกันเลยนะ ก็ใชสมการเมื่อกี้นี้แหละ แตถาตองการสบูกอน เราจะใชไตรกลีเซอไรดที่เปน “ไขมัน (Fat)” จําไดไหม.. ไขมัน พี่สอนไปแลววามันเปนของแข็ง เพราะโครงสรางมันหนาแนน (ถาลืมกลับไปอานใหมเลยนะ) สวนถาเปนสบูเหลวจะใช “นํ้ามัน (Oil)” เพราะโครงสรางไมหนาแนน เวลาไดเปนสบูออกมาก็จะไดสบูเหลวนั่นเอง 3.7.2 การทํางานของสบูและผงซักฟอก สบูและผงซักฟอกมันทําความสะอาด รางกายและเสื้อผาของเราไดอยางไร? เราลองมาดูที่โครงสรางของสบูกันกอน แลวกัน จากรูป นองจะเห็นโครงสรางของ สบู ซึ่งเราจะแบงเปน 2 สวน คือ สวนหัวที่ มีขั้ว (polar head) และสวนหางที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) ซึ่งลักษณะที่โครงสรางของ มันมีทั้ง สวนที่มีขั้วและไมมีขั้ว จึงทําใหมัน สามารถทําความสะอาดสิ่งสกปรกได ขั้วในที่นี้หมายถึง ขั้วของโมเลกุล ซึ่งเปนสภาพทางไฟฟานะ นองไมตองซีเรียสมาก เอาเปนวา Na+ เปนหัวของโครงสราง เราจะเห็นวา Na+ มีประจุบวกอยู นั่นแหละ เราเรียกวามันมีขั้ว สวนหางที่ไมมีขั้วก็จะเปนสวนที่เปนไฮโดรคารบอน (สารประกอบ ที่มีแต H และ C) ของกรดไขมัน สวนนี้จะไมมีขั้วนะ ทีนี้ความพิเศษมันอยูตรงที่ อะไรก็ตามที่มีขั้วมันจะละลายไดในสารที่มีขั้ว และอะไรก็ตามที่ไมมีขั้วจะละลายไดในสารที่ ไมมีขั้ว เราเรียกหลักการนี้วา “like dissolve like” โดยสบูเนี่ยมันมีสวนที่มีขั้วและไมมีขั้วอยูภายในโมเลกุลเดียวกัน เลยทําให มันละลายนํ้าได (นํ้ามีขั้ว) และสามารถดึงคราบไขมัน (ไขมันไมมีขั้ว) ออกจากรางกายได


44 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 3.7.3 ทําไมนํ้ากระดางทําใหสบูหมดประสิทธิภาพ? นองๆ คงจะรูจัก “นํ้าออน” และ “นํ้ากระดาง” กันตั้งแตสมัย ม.ตน แลวใชปะ ลืมกันไปหรือยัง งั้นพี่จะทวนใหนิดหนอย แลวกันนะ แตกอนเราเรียนกันมาวา “นํ้ากระดาง” คือนํ้าที่ทําใหสบูไมมีฟอง แตมา ม.ปลาย แลว เราตองรูเพิ่มขึ้น ก็คือการที่มัน ทําใหสบูไมเกิดฟอง เปนเพราะวามันไปทําใหสบูหมดประสิทธิภาพการทําความสะอาด โดยการไปทําใหสบูตกตะกอน แตไมใช ตะกอนแบบกอนหินนะ แตมันจะเปนตะกอนเบา ที่เราเรียกวา “ไคลสบู” คลายเปนคราบโดยที่นํ้ากระดางมันจะมี Mg2+ , Ca2+ งั้นเราลองมาดูสมการกันดีกวา 2C 17 H 35 COOH + Ca2+ C 17 H 35 COOH Ca + Na+ สบู สบูที่ถูกแทนที่ดวย Ca2+ มีลักษณะเปนของแข็ง 3.7.4 ผงซักฟอก โครงสรางของผงซักฟอกก็คลายๆสบูแตตางกันตรงที่ Polar Head เวลาเราอาบนํ้า สบูมันจะละลายนํ้า และอยูในรูป “ไมเซลล (micelle)” ดังรูปดานขวานี้ นองจะเห็นคําวา “Hydrophillic head” ซึ่งมันก็คืออันเดียวกับคําวา “polar head” คือมันเปน สวนที่ชอบนํ้า ซึ่งคําวา (phil แปลวา ชอบ) ดังนั้นมันก็จะหัน หัวออกไปในนํ้า ทําใหสบูสามารถละลายนํ้าได สวนหางที่หันไป รวมกันดานใน “Hydrophobictail” (pho แปลวา ไมชอบ) คืออัน เดียวกับ “nonpolar tail” มันเปนสวนที่ไมชอบนํ้า หรือสวนที่ ไมมีขั้ว มันก็จะหันตัวเองหนีนํ้า ซึ่งทําใหสามารถไปดึงเอาพวก คราบสกปรก คราบไขมันออกมาได (ไขมันไมมีขั้ว ก็จะละลาย อยูในสวน nonpolar tail)


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 45 ผงซักฟอกมีหลายชนิด ดังนี้ โครงสรางที่ 1 : เปนโซตรง จุลินทรียสามารถยอยสลายไดทั้งหมด กอใหเกิดปญหาสิ่งแวดลอมนอย โครงสรางที่ 2 : เปนโซกิ่งและมีวงเบนซีน จุลินทรียสามารถยอยสลายไดเปนสวนใหญ กอใหเกิด ปญหาสิ่งแวดลอม โครงสรางที่ 3 : เปนโซกิ่งมากและมีวงเบนซีน จุลินทรียไมสามารถยอยสลายได กอใหเกิดปญหา สิ่งแวดลอม 3.7.5ปญหาของผงซักฟอก 1. โครงสรางบางชนิดสลายตัวไดยาก ทําใหเกิดปญหาตอสิ่งแวดลอม 2. ในผงซักฟอกมีสารประกอบพวกฟอสเฟต (PO4 3-) จากสาร Na5 P3 O10 (โซเดียมไตรฟอสิฟอสเฟต) ซึ่งเปนสารชวย ทําความสะอาด และลดความกระดางของนํ้า สารนี้จะทําใหพืชเจริญเติบโตไดดี เพราะเหมือนเราเติมปุย P ใหพืช และเมื่อพืช เหลานี้ตายลงตองยอยสลายดวย O2 ทําใหนํ้ามี O2 ไมเพียงพอทําใหเกิดปญหานํ้าเนาได 3.7.6 การทดสอบฟอสเฟต การตรวจสอบฟอสเฟตทําไดโดยเติมสารละลายแอมโมเนียมโมลิบเดต (NH4 ) 2 MoO4 ลงไปในนํ้าตัวอยาง ถานํ้านั้นมีฟอสเฟตจะ ไดตะกอนสีเหลือง ลองดูสมการนิดนึงแลวกันนะ 3NH4 + + 12MoO4 2- + PO4 3- + 24H+ (NH4 ) 3 PO4 12MoO3 + 12H2 O นอกจากไขมันและนํ้ามันที่เรารูแลววาคือลิพิดแลว ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ก็เปนชนิดหนึ่งของลิพิดดวย แตในชั้น ม.ปลาย พี่จะขอพูดถึงแค ฟอสโฟลิพิด ไข และสเตียรอยด นะ 3.8 ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ฟอสโฟลิพิด คือ ไตรกลีเซอไรด (ไขมันหรือนํ้ามัน) ที่ถูกแทนที่ดวยฟอสเฟต (PO4 3-) 1 ตําแหนง โดยสวนของกรดไขมัน ก็จะเปนสวนที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) ซึ่งไมชอบนํ้าในขณะที่ฟอสเฟต (PO4 3-) เปนโมเลกุลที่มีขั้ว เพราะฉะนั้นก็จะเปน (polar head) ซึ่งชอบนํ้า อานแลวก็คลายๆกับเรื่องสบูเลยใชไหม? หลักการคลายๆกัน เราลองมาดูโครงสรางกันกอน


46 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya อันนี้เปนโครงสรางของ ไตรกลีเซอไรด หรือไขมัน ที่เรารูจักกัน จะเห็นไดวามีกลีเซอรอล 1 โมเลกุล และมีกรด ไขมัน 3 โมเลกุลมาเกาะ ถาเปนฟอสโฟลิพิด ก็จะเปนฟอสเฟต มาเกาะแทนที่กรดไขมันไป 1 ตําแหนง ที่มา:http://homepage.smc.edu/wissmann_paul/anatomy2textbook/phospholipids.html


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 47 ที่มา: http://cnx.org/resources/4e1c51290fa732e94a25cbdf7bf159df/Figure_09_01_08.jpg เราจะพบฟอสโฟลิพิดอยูที่เยื่อหุมเซลล (Cell membrane) โดยเปนโครงสรางที่หันสวนที่มีขั้ว (polar head) ออกไป สองฝง (ฝงในเซลลและนอกเซลล) และหันสวนที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) เขาหากัน นอกจากเยื่อหุมเซลลแลวยังพบไดที่ เซลลประสาท อีกดวย 3.9 ไข (Waxes) ไข คือ ไขมันชนิดหนึ่ง แตเปนไขมันที่เกิดจากกรดไขมันที่มีโซยาว (C14– C30) และแอลกอฮอลที่มีโซยาว (C16– C30) ตัวอยาง ไข เชน ขี้ผึ้ง 3.10 สเตียรอยด (Steroids) สเตียรอยด คือ ลิพิดที่ไมมีกลีเซอรอล และกรดไขมัน มีโครงสรางเปนวง C 15 H 31 COOH + C 30 H 61 OH C 15 H 31 COOC 30 H 61 + H 2 O สเตียรอยด จะมีโครงสรางหลักๆ ที่ เหมือนๆ กันก็คือ รูปนี้นะ เราเรียกวา “สเตีย รอยด นิวเคลียส (steroid nucleus)” สวนสิ่ง ที่ทําใหสารส เตียรอยดตางกันก็คือหมูที่จะ มาเกาะที่ตําแหนงตางๆ ของสเตียรอยด นิวเคลียส


48 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya จากแผนภาพสเตียรอยดนี้ นองก็จะเห็นวาสารสเตียรอยดมีเยอะมาก แตหลักๆ ก็จะมีสเตียรอยด นิวเคลียสเหมือนกัน และ ตางกันที่หมูที่มาเกาะ ก็จะทําใหชื่อและหนาที่มันเปลี่ยนไปแลว ที่เอามาใหดูนั้นเปนฮอรโมนในรางกายมนุษย จริงๆยังมีสารส เตียรอยดอีกเยอะแยะ ใครอยากรูเพิ่มเติมไปคนเพิ่มได 4. กรดนิวคลิอิก (Nucleic Acid) นองคงรูจักกับ “กรดนิวคลิอิก” แลวนะ เพราะเรียนมาในชีวะ ตั้งแต ม.4 แลว และเราจะเอามาเรียนในเคมีดวย เพื่อ เปนการตอกยํ้า แตการเรียนในวิชาเคมีไมไดละเอียดเทากับในชีวะนะ เราเนนเฉพาะลักษณะทั่วๆ ไป อยางที่นองๆ รูกรดนิวคลิอิก เปนกรดที่เปนสวนประกอบของสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต กรดนิวคลิอิกมี 2 ชนิด ก็คือ 1) DNA (Deoxyribonucleic Acid) 2) RNA (Ribonucleic Acid) DNA เปนรหัสพันธุกรรมในรางกายที่ควบคุมลักษณะตางๆ บนรางกายเรา มันก็จะมีอยูทุกๆ เซลลอะนะ สวน RNA ก็ จะมีอีกหลายประเภท ซึ่งนองๆ เรียนมาในชีวะ (สําหรับเด็กสายวิทย) สําหรับขอสอบ O-Net ก็ไมไดออกยากขนาดนั้น งายๆ ก็ คือ RNA ทําหนาเกี่ยวกับการสังเคราะหโปรตีนเพื่อนํามาใชประโยชนในเซลลและรางกายของเรา 4.1 DNA (Deoxyribonucleic acid) รูปทางดานขวามือนี้ก็คือหนาตาของ DNA ที่เปนสาร พันธุกรรมของรางกายสิ่งมีชีวิตก็จะมีลักษณะเปน เกลียวบันไดเวียนขวา และนองเห็นราวบันไดที่เปนเม็ด กลมๆ สีฟาและสีแดงไหม และเห็นขั้นบันไดแตละขั้น ไหมพี่ใหนองทายวามันคืออะไร….? เดี๋ยวอานไปเรื่อยๆ นองก็จะรูคําตอบเอง ที่มา : www.astrochem.org 4.1.1 โครงสรางและองคประกอบของ DNA DNA มีหนวยยอยๆ (มอนอเมอร) เปน “นิวคลีโอไทด (nucleotide)” เพราะฉะนั้นเวลามันเปนสายยาวๆ ก็คือมันเปนพอลิเมอรของนิวคลีโอไทด เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะเรียกวา “พอลินิวคลีโอไทด (polynucleotide)” งั้นเรา มาดูโครงสรางของนิวคลีโอไทด ก็จะรูโครงสรางของ DNA โครงสรางพื้นฐานของนิวคลีโอไทดก็จะเปนแบบรูปดานขวานี้ก็คือ มีเบส (base), นํ้าตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose sugar) และฟอสเฟต (phosphate) แตนอง ก็คงจะรูมาจากชีวะแลววา นิวคลีโอไทดมี 4 แบบ ซึ่งตัวที่ทําใหตางกันก็คือเบส (ไนโตรจีนัสเบส) ที่มาเกาะนั่นเองที่มี A (adenine) , T (thymine) , G (guanine) ,และ C (cytosine) แตหลักๆก็คือ นํ้าตาลดีออกซีไรโบส และฟอสเฟตก็เหมือนกันนะ


ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 49 ที่มา : http://www.bio.miami.edu/tom/courses/protected/MCB6/ch02/2-17.jpg ที่มา: http://legacy.owensboro.kctcs.edu/gcaplan/lab/Image173.gif หมายเหตุ Uracil เปนเบสที่พบใน RNA โดยทําหนาที่แทน Thymine ที่อยูใน DNA 4.1.2 เบสคูสม (complementary base) และโครงสรางแบบเกลียวของ DNA จริงๆ แลวตอนแรกๆ ที่นักวิทยาศาสตรศึกษา DNA เขาไมรูหรอกวา DNA มีลักษณะเปนเกลียวคูอยางที่เราเห็นในรูป แตเผอิญวามีนักวิทยาศาสตรคนนึงเขาตั้งขอสังเกตวาเบส A และ T มีสัดสวนเทาๆกัน และเบส G และ C ก็มีสัดสวนเทาๆ กัน ประกอบกับตอมานักวิทยาศาสตรอีกคนก็ไดใชเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ (ไมตองจําชื่อการทดลองนะ) ปรากฏวา พบวา DNA มันเรียงตัวเปนเกลียวคู เหมือนขั้นบันได โดยขั้นบันไดก็คือเบสคูสมกัน (complementary base) เกิดพันธะ ไฮโดรเจนกัน โดยเปน A จับกับ T ดวย 2 พันธะไฮโดรเจน และ C จับกับ G ดวย 3 พันธะไฮโดรเจนและบริเวณราวบันได (DNA Backbone) ก็คือ นํ้าตาลดีออกซีไรโบสและฟอสเฟต


Click to View FlipBook Version