100 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 2. ยางสังเคราะห (Synthetic Rubbers) เปนยางที่ไดจากการสังเคราะหโดยเลียนแบบยางธรรมชาติ หรือ พูด งายๆ คือ ยางชนิดนี้ไมสามารถหาไดตามธรรมชาตินะ แตไดจากการสังเคราะหเทานั้น เชน พอลีบิวทาไดอีน (ใชบิวทาไดอีน เปนมอนอเมอร) ยาง SBR (Styrene-Butadiene Rubber) พอลิบิวทาไดอีนมีความยืดหยุนนอย ประกอบดวยมอนอเมอร คือ บิวตะไดอีน หรือ 1, 3 บิวตะไดอีน พอลิคลอโรพรีนมอนอเมอร คือ คลอโรพรีน ยาง SBR หรือ ยางสไตรีน-บิวทาไดอีนเปนโคพอลิเมอร เนื่องจากประกอบดวย 2 มอนอเมอร คือ สไตรีน และ บิวทาไดอีน สามารถทนตอการขัดถูไดดี เกิดปฏิกิริยากับแกสออกซิเจนไดยากกวายางธรรมชาติ และยืดหยุนไดตํ่า กระบวนการวัลคาไนเซชัน (Vulcanization) กระบวนการวัลคาไนเซชันเปนกระบวนการปรับปรุงคุณภาพของยาง ซึ่งใชไดทั้งยางธรรมชาติและยางสังเคราะห โดยการนํากํามะถันมาเผากับยางซึ่งจะเกิดพันธะโคเวเลนซ เชื่อมระหวางโซพอลิเมอรดวยอะตอมซัลเฟอรเปนโมเลกุล เดียวกัน ทําใหคงสภาพที่อุณหภูมิตางๆ ทนตอความรอนและแสงแดด อีกทั้งยังละลายในตัวทําละลายไดยากขึ้น (อางอิงจาก:เอกสารประกอบการสอนโครงการสอนเสริม สโมสรอาจารยจุฬาฯเรื่องผลิตภัณฑปโตรเคมีและพอลิเมอร) ตัวอยางขอสอบ พิจารณาขอความตอไปนี้ a. เอทิลีนจัดเปนมอนอเมอรที่มีขนาดเล็กที่สุดในการผลิตพอลิเมอร b. ซิลิโคนที่ใชในงานศัลยกรรมจัดเปนพอลิเมอรชนิดหนึ่ง c. ไนลอนและอีพอกซีจัดเปนเทอรมอพลาสติก d. ยางธรรมชาติและยางเทียม IR ตางมีไอโซพรีนเปนมอนอเมอร ขอใดถูกตอง 1. a, b และ c 2. a, b และ d 3. a, c และ d 4. b, c และ d เฉลยขอ 2. a. ถูกตอง เนื่องจากเอทิลีนมีโครงสรางโมเลกุลเปน (H2 C=CH2 ) จึงจัดเปนมอนอเมอรที่มีขนาดเล็กที่สุด ที่ใชในการผลิตพอลิ เมอร b. ถูกตอง เนื่องจากซิลิโคนเกิดจาก SiO2 รวมกับอัลคิวคลอไรด(RCL)จะไดสารที่เปนมอนอเมอร c. ผิด เพราะอีพอกซีจัดเปนพลาสติกเทอรโมเซต d. ถูกตอง เนื่องจากยางธรรมชาติและยางเทียม IR มีไอโซพรีนเปนสารตั้งตนเหมือนกัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 101 นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี พอลิเมอร การเกิดพอลิเมอร ยาง พลาสติก ปฏิกิริยาพอลิเมอร 7. ความกาวหนาทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมพอลิเมอร ในปจจุบันนี้ นองๆ ทราบไหมวา ประชากรทั่วโลกมีแนวโนมจํานวนของประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทําใหเกิดการใช ทรัพยากรที่เปนพอลิเมอรในการดํารงชีวิตประจําวันในปริมาณที่มากขึ้นตามไปดวย อีกทั้งยังมีการนําเทคโนโลยีเขามา ประยุกตใช เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานมากขึ้น หรือเพื่อสีสันความสวยงาม ทั้งอุตสาหกรรมพลาสติก เสนใย และยาง โดยนําไปใชทั้งในดานการแพทย การทําเกษตรกรรม รวมถึงงานดานกอสรางดังนั้นกอนจะใชพอลิเมอรชิ้นหนึ่งๆ ไมวาจะเปน ขวดนํ้าดื่ม ถุงพลาสติก ภาชนะตางๆ โดยเฉพาะโฟม ก็อยาลืมคํานึงถึงภาวะมลพิษตอสิ่งแวดลอมที่ตามมา เพื่อใหโลกของ เรายังคงยั่งยืนไดตราบนานเทานาน เพราะพี่เชื่อวานองๆ ทุกคนก็คงอยากจะใหธรรมชาติอยูกับเราไปนานๆ นั่นเอง • 16 : ปโตเลียมและพอลิเมอร http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-1 • Polymer ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-2 • Polymer ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-3 • Polymer ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-4
102 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya • Polymer ตอนที่ 4 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-5 • Polymer ตอนที่ 5 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-6 • พลาสติก http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-7
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 103 บทที่ 6 ปฏิกิริยาเคมี (Chemical reaction) Introduction ในบทนี้ นองๆ จะไดเรียนเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี นองๆ บางคนอาจจะคิดในใจ คําวา ปฏิกิริยาเคมี มันดูลึกลับ ซับซอน แสดงวามันตองยากมากๆ แนๆ เลย ขามดีกวา แตเดี๋ยวกอน มันไมใชอยางที่นองคิดเลย กอนอื่นพี่จะพามาทําความ รูจักกับคําวา ปฏิกิริยาเคมีกันกอน ซึ่งมันก็ คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาณของสารตั้งตนและสารผลิตภัณฑ โดยสารกอนการ เปลี่ยนแปลงเรียกวา สารตั้งตน (Reactant) และสารที่เกิดใหมเรียกวา ผลิตภัณฑ (Product) และพี่ๆ สัมผัสไดวา อาจมีพลังงาน หรือ บางสิ่งบางอยางที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ก็เปนได ซึ่งสิ่งๆ นั้นเราเรียกมันวา ปฏิกิริยาเคมี นองๆ รูรึเปลา วา ปฏิกิริยาสังเกตไดจากอะไร คําตอบก็คือ การเปลี่ยนสีของสาร การเกิดฟองแกส การเกิดตะกอน หรือการเกิดแกส เชน การ ยอยสลายสารอาหาร การสุกของผลไม ปฏิกิริยาที่เกิดในนํ้าอัดลม การเกิดสนิมของเหล็ก เปนตน ถึงตอนนี้นองๆ นาจะคุนๆ กับปฏิกิริยาเคมีกันบางแลวใชไหม !?^^ Outlines 1. หลักการของการเกิดปฏิกิริยา 2. ประเภทของปฏิกิริยาเคมี 3. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 4. ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี 5. กฎอัตราเร็ว 6. พลังงานกับการดําเนินไปของปฏิกิริยา 1. หลักการของการเกิดปฏิกิริยา เรามารูจักหลักการของการเกิดปฏิกิริยากันดีกวาปฏิกิริยาเกิดไดจากการชนกันของอนุภาค (อะตอม ไอออน หรือโมเลกุล) ของสารที่จะเขาทําปฏิกิริยากัน โดยที่จะตองชนในทิศทางที่เหมาะสม และพลังงานในการชนตองมีคาสูงกวาพลังงานกระตุน หรือพลังงานกอกัมมันต (Activation Energy, Ea) ตามทฤษฎีการชน (Collistion Theory) ดังนั้นพี่จะสรุปหลักการเกิดปฏิกิริยา เคมีงายๆ เปนกราฟดังรูปที่ 1 หรือ พูดงายๆก็คือปฏิกิริยาเคมีนี้ก็เหมือนกับรักแรกพบของนองๆ นั่นเอง ถานองจะหลงรักใคร ซักคนหนึ่ง นองๆ มักจะหลงรักคนที่นองพบครั้งแรก และรูสึกวาคนๆ นั้นนารักกวาคนทั่วๆ ไปจนอยากจะรูจัก ที่สําคัญคงตอง เปนเวลาที่นองโสดดวย ถาไมโสดจะไปมองคนอื่นไดอยางไร จริงไหมละ รูปที่ 1 แสดงจํานวนโมเลกุลที่เกิดปฏิกิริยาได เมื่อพลังงานในการชนตองมีคาสูงกวา พลังงานกระตุน
104 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตัวอยางขอสอบ ขอใดเกิดปฏิกิริยาเคมี a. การผลิตนํ้าโคก b. การบมมะละกอดิบจนเปนมะละกอสุก c. การเหม็นหืนของนํ้ามัน เมื่อทิ้งไวนานๆ d. การทําทิงเจอรไอโอดีน โดยผสมไอโอดีนกับเอทานอล 1. ขอ a, b และ c 2. ขอ a, b และ d 3. ขอ a, c และ d 4. ขอ b, c และ d เฉลยขอ 1 ขอ a. การผลิตนํ้าโคกนั้นนองๆจะตองอัดแก็สที่มีชื่อวา คารบอนไดออกไซดลงไปในนํ้า เพื่อทําใหเกิดกรดคารบอนิก ซึ่งสาร ที่ใสลงไป กับสารที่ไดมาเปนสารคนละตัว ดังนั้นฟนธง เกิดปฏิกิริยาเคมีแนนอน ขอ b. การบมผลไมนั้น นองๆจะตองใชแก็สเอทิลีน ซึ่งทําใหผลไมสุกเร็วขึ้น ดังนั้นเกิดปฏิกิริยาเคมีชัวรๆ ขอ c. นองๆ รูใชไหมวา ในอากาศมีกาซออกซิเจน และกาซออกซิเจนตัวนี้แหละ ที่จะเขาไปทําปฏิกิริยาเคมีกับนํ้ามันพืช ที่เปน ไขมันไมอิ่มตัว และเปนปจจัยที่ทําใหเกิดการเหม็นหืน ขอ d. ไอโอดีน สามารถละลายไดในเอทานอล แตไมมีการเปลี่ยนแปลงใหเกิดสารชนิดใหมขึ้นมา ทิงเจอรไอโอดีนคือ เจือจาง ไอโอดีนดวยเอทานอลเฉยๆ เหมือนกับที่นองๆเจือจางนํ้าเชื่อมใหเปนนํ้าหวาน ดังนั้นจึงไมเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ประเภทของปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีสามารถจําแนกไดถึง 3 ประเภทเลย ดังนี้ 1. ปฏิกิริยารวมตัว (Combination) เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวของสารโมเลกุลเล็กๆ รวมเปนสารโมเลกุลใหญ หรือเกิดจากการรวมตัวของธาตุไดเปนสารประกอบ เชน 2H2 (g) + O2 (g) 2H2 O (l) 2. ปฏิกิริยาแยกสลาย (Decomposition) เปนปฏิกิริยาที่เกิดการแยกสลายของสารโมเลกุลใหญใหเปนสารโมเลกุล เล็กลง เชน 2H2 O (l) 2H2 (g) + O2 (g) 3. ปฏิกิริยาแทนที่ (Replacement) เปนปฏิกิริยาการแทนที่ของสารหนึ่งเขาไปแทนที่อีกสารหนึ่ง เชน Mg (s) + H2 SO4 (aq) MgSO4 (aq) + H2 (g) **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ปฏิกิริยารวมตัว ขอเรียกอยางสั้นๆ และเขาใจงายๆ วา หลายรวมเปนหนึ่ง ปฏิกิริยาแยกสลาย เรียกสั้นๆ วา หนึ่งแตกกระจาย และปฏิกิริยาแทนที่ คือ แลกคูกัน 3. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี หลังจากนองๆ รูจักกับปฏิกิริยาเคมีแลว นองๆ มาทําความรูจักกับอัตราการเกิดปฏิกิริยากันดวยดีกวาอัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมีนองๆ สามารถพิจารณาจากปริมาณสารตั้งตนที่ลดลง หรือปริมาณสารผลิตภัณฑที่เกิดขึ้น ณ ชวงเวลาหนึ่งๆ โดย มีความสัมพันธกัน ดังนี้ อัตราการเกิดปฏิกิริยา (R)= ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงไป ( X) เวลา ( t)
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 105 นองๆ อาจจะงงใชไหมวา ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงไปหมายถึงยังไง แลวเราจะรูไดยังไงปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลง ไป คือ ปริมาณสารตั้งตนที่ลดลงหรือผลิตภัณฑที่เพิ่มขึ้นตอระยะเวลา โดยสารที่เรานํามาคิดนั้น จะนําเฉพาะสารที่มีสถานะ เปน กาซ หรือ สารละลายเทานั้น^^เชน สมการ aA+bB cC อัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร _ A_ B C อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย _ 1 A _ 1 B 1 C เมื่อ A และ B แทนสารตั้งตน C แทนสารผลิตภัณฑ a, b และ c แทนคาคงที่ใดๆ ที่ทําใหสมการเปนจริง นองลองเขียนอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสมการนี้กันดูหนอยอยาพึ่งแอบดู เฉลย (ในกลองสี่เหลี่ยมนะ) H2 (g) + O2 (g) H2 O (l) โดยใชเวลา T คําตอบ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย = - = - แตเราจะไมเขียน = เพราะมีสถานะเปนของเหลว ในปฏิกิริยาหนึ่งๆ อาจมีหลายขั้นตอน ซึ่งจะเกิดชาบาง เร็วบางขึ้นกับพลังงานกระตุนที่ใช ถาใชพลังงานมาก ปฏิกิริยาจะเกิดไดชา แตถาใชพลังงานนอยจะเกิดไดเร็ว ซึ่งในปฏิกิริยาจะมีขั้นกําหนดอัตรา (Rate DeterminingStep) โดยจะ เปนขั้นที่ปฏิกิริยาดําเนินไปชาที่สุด หรือใชพลังงานกระตุน (Ea) มากที่สุดนั่นเอง ดังนั้นจากรูปที่ 2 จะไดวาขั้นกําหนด ปฏิกิริยาคือ ขั้นที่ I **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย หลักการเกิดปฏิกิริยา เหมือนเวลานองๆ เดินขึ้นภูเขา ถาภูเขาชันมาก นองๆ ก็ตองใชแรง มากในการกาวเดิน นองก็จะเดินอยางลําบากสุดๆ เลย แตถาภูเขามันไมคอยชัน นองการใชแรงนิดเดียวในการเดิน นองก็ สามารถเดินไดอยางสบายใจเลย ถูกไหมละ รูปที่ 2 แสดงขั้นตอนในการเกิดปฏิกิริยาหนึ่งๆ t c t a t b t t t + +
106 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya นองๆ รูหรือไมวา การเกิดปฏิกิริยาในขณะเริ่มตนจะเกิดไดเร็ว เพราะปริมาณสารตั้งตนยังมีมาก ทําใหปริมาณ ผลิตภัณฑเกิดขึ้นมากเชนกัน แตเมื่อเวลาผานไปอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะชาลง เพราะมีปริมาณสารตั้งตนลดลง ทําใหเกิด ผลิตภัณฑไดชาลงตามไปดวย ถาเทียบแลวก็เหมือนนองๆ ที่ตนเดือน คุณแมใหเงินคาขนมมา อยากกิน อะไรก็ซื้องายจาย คลองกันเลยทีเดียว แตพอใกลๆ จะสิ้นเดือน เกิดปญหาเศรษฐกิจระดับโลกนั่นก็คือ เงินหมด ทําใหอาหารที่เดิมทีนองๆ ซื้อ งายจายคลอง เริ่มขาดแคลน อาหาร ขนมตางๆ เริ่มตองเสียเวลาตัดสินใจในการซื้อนั่นเอง ตัวอยางการเกิดปฏิกิริยาของสมการ ถาพี่เอาขอมูลมาเขียนกราฟ จะสามารถเขียนกราฟแสดงความสัมพันธได ดังนี้ การคํานวณอัตราปฏิกิริยาเคมี • แบบอัตราเร็วคงที่ คือ ปฏิกิริยาที่มีอัตราการลดลงของสารตั้งตน และการเกิดผลิตภัณฑคงที่ตลอดจนสารตั้งตน หมดไปเหมือนกับนองที่บริหารเงินเกงมากๆ มีการวางแผนการใชเงินตั้งแตตนเดือน จนสามารถมีเงินจับจายใชสอย ในปริมาณที่เทากันตลอดทั้งเดือน ตัวอยางขอสอบ ปฏิกิริยาของสาร A สลายตัว ดังสมการ A 4B ไดขอมูลดังตาราง 2H2 O2 (aq) 2H2 O(l) + O2 (g) จงหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร A ในชวง 0 – 2 วินาที และชวง 5 – 8 วินาที - ชวง 0 - 2 s = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 3.0 - 2.6 mol/L = 0.2 mol/L.s - ชวง 5 - 8 s = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 2.0 - 1.4 mol/L = 0.2 mol/L.s เวลา (s) 2 – 0 s เวลา (s) 8 – 5 s เวลา เวลา เวลา H2 O H2 O2 O2 เวลา (s) สาร A ที่เหลือ (mol/L) 0 3.0 2.6 2.0 1.4 1.0 2 5 8 10
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 107 เวลา (s) 2 – 0 s จงหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร A และ B - R A = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 3.0 – 1.0 mol/L = 0.2 mol/L.s - R B = R A x 4 = 0.2 mol/L.s x 4 = 0.8 mol/L.s หมายเหตุ 4/1 มาจากตัวเลขในสมการของสาร A และ B ที่ดุลสมการแลว นั่นคือเมื่อสาร A สลายตัว 1mol/L จะเกิดสาร B 4 mol/L • แบบอัตราเร็วไมคงที่ คือ ปฏิกิริยาที่มีอัตราการลดลงของสารตั้งตนในชวงแรกจะเกิดอยางรวดเร็วและคอยๆ ชา ลงเรื่อยๆ จนสารตั้งตนหมดไป เหมือนกับนองๆ คนที่ปกติทั่วไป ใชจายตามใจฉัน ตนเดือนจึงเปนชวงที่มีความสุข ที่สุด เพราะอยากไดอะไร ก็มีเงินซื้อทันที แตสิ้นเดือนการจะกินขาวจานหนึ่ง ยังตองคิดแลวคิดอีก ตัวอยางขอสอบ ปฏิกิริยาเคมีระหวางลวดแมกนีเซียมกับกรดซัลฟวริก เปนดังสมการ Mg(s) + H2 SO4 (aq) MgSO4 (aq) + H2 (g) บันทึกเวลาการเกิดแกส H2 เริ่มตนจนถึงปริมาตร 5cm3 ดังตาราง จากขอมูลในตาราง ขอใดถูกตอง ปริมาตร H2 ที่เกิด (cm3 ) อัตราการเกิดปฏิกิริยา (cm3 /s) อัตราชวงเกิดแกส H2 ปริมาตร 3 - 5cm3 อัตราเฉลี่ย สาร A ที่เหลือ (mol/L) 1 0.16 1. 2. 3. 4. 0.25 0.50 0.25 0.18 0.18 0.25 0.27 1 2 5 9 14 20 2 3 4 5
108 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 4. ปจจัยที่มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. ธรรมชาติของสาร สารตั้งตนที่มีพันธะที่ออนแอหรือแตกออกงายจะเกิดปฏิกิริยาไดงายกวา และสารตั้งตนที่มีความ ซับซอนของโครงสรางนอยจะเกิดปฏิกิริยาไดเร็วกวาสารที่มีโครงสรางซับซอน (โครงสรางขนาดใหญ) 2.อุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิเพิ่ม ปฏิกิริยาจะเกิดเร็วขึ้น เนื่องจากโมเลกุลของสารจะมีพลังงานจลนสูงขึ้น ทําให เกิดการชนกันของโมเลกุลมากขึ้น แสดงไดดังรูป 3. พื้นที่ผิวสัมผัส หากสารมีพื้นที่ผิวสัมผัสตอตัวทําละลายมาก ปฏิกิริยาจะเกิดไดเร็วขึ้น เชน กอนสังกะสี > เศษสังกะสี > ผงสังกะสี ดังภาพ 4. ตัวเรงปฏิกิริยา/ตัวคะตะลิสต (Catalyst) เมื่อเติมตัวเรงลงในสารตั้งตนจะทําใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น โดยตัวเรงจะไมมีผล ตอผลิตภัณฑเมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยา เชนปฏิกิริยา Cl- + O3 ClO- + O2 ClO- + O2- Cl- + O2 จะมี Cl ทําหนาที่เปนตัวเรงปฏิกิริยาโดยลดพลังงานกระตุนลง **ถาไมเขาใจนึกถึงเวลาเราตองไปเรียน แลวมีภาพแมถือไมเรียวคอยเปนตัวกระตุน/ตัวเรงใหเรา รีบไปเรียนนั่นเอง !! เฉลยขอ 2 ดุลสมการ Mg(s) + H2 SO4 (aq) MgSO4 (aq) + H2 (g) อัตราเฉลี่ย = ปริมาตร H2 ที่เกิด (cm3 ) = 5 (cm3 )= 0.25 cm3 อัตราชวงเกิดแกส H2ปริมาตร 3 - 5cm3 = ปริมาตร H2 ที่เกิด (cm3 ) = 5 – 3 (cm3 ) เวลาที่ใชทั้งหมด (s) 20 (s) เวลาที่ใช (s) 20 – 9 (s) = 0.18 cm3
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 109 5. ตัวหนวง เมื่อเติมตัวหนวงจะทําใหปฏิกิริยาเกิดชาลง เนื่องจากจะเขาไปเพิ่มพลังงานกระตุน **ถาไมเขาใจนึกภาพตอนนองๆ ถึงหนาโรงเรียน แลวเจอเพื่อนชวนเขารานเกม เพื่อนนองนั่นละ ตัวหนวงชั้นยอด ทําใหนองเขาโรงเรียนชาลง หรือ ไมเขาเลย !! 6. ความเขมขน สารตั้งตนที่มีความเขมขนสูง จะมีจํานวนโมเลกุลในระบบมากทําใหเกิดการชนกันไดงาย ดังนั้นปฏิกิริยาจะ เกิดเร็วขึ้น **มุมเล็กๆขอเมาทมอย ถาเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับโอกาสการจีบผูหญิงใหสําเร็จ ตัวอยางขอสอบ เมื่อนําเหล็กใสลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกชิ้นหนึ่ง วิธีที่ทําใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น โดยไมเพิ่มปริมาณเหล็กและกรด a. ใหความรอน b. ใชแทงแกวคนใหทั่ว c. เติมนํ้ากลั่นลงไปเทาตัว d. ใชผงเหล็กนํ้าหนักเทากันแทนชิ้นเหล็ก ขอใดถูกตอง 1. ขอ a, b และ c 2. ขอ a, b และ d 3. ขอ a, c และ d 4. ขอ a, b, c และ d เฉลยขอ 2 ขอ a. ถูก เนื่องจากการใหความรอนเปนการเพิ่มอุณหภูมิใหกับปฏิกิริยา ทําใหปฏิกิริยาเกิดไดเร็วขึ้น ขอ b. ถูก เนื่องจากการใชแทงแกวคนเปนการเพิ่มโอกาสใหโมเลกุลชนกันมากขึ้น สงผลใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น ขอ c. ผิด เนื่องจากการเติมนํ้ากลั่นลงไปเทาตัวนั้น เปนการลดความเขมขนของกรด ซึ่ง จะสงผลใหปฏิกิริยาเกิดไดชาลง นอกจากจะไมทําใหเร็วขึ้นแลว ยังทําใหชาลงอีกดวย ขอ d. ถูก เนื่องจากการใชผงเหล็กเปนการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสหะหวางเหล็กกับกรดมากขึ้น จึงเกิดปฏิกิริยาไดเร็วขึ้น ปจจัยอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ธรรมชาติของสาร พื้นที่ผิวสัมผัส ตัวเรงปฏิกิริยา/ตัวคะตะลิสต (Catalyst) ตัวหนวง ความเขมขน ความสูญเสียความมั่นใจ ความตั้งใจในการจีบ โอการในการจีบผูหญิงสําเร็จ หนาตาของผูจีบ ถาหนาตาดีมีชัยไปกวาครึ่ง ระยะเวลาที่เขาหา เขาหามาก สําเร็จมาก แรงผลักดันและความรัก
110 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya Rate = k[A]m[B]n เมื่อ Rate แทนอัตราการเกิดปฏิกิริยา k แทนคาคงที่อัตรา [A] แทนความเขมขนของสารตั้งตน A [B] แทนความเขมขนของสารตั้งตน B m,n แทนคาคงที่ใดๆ ซึ่งหาไดจากผลการทดลองเทานั้น โดยถาเปนปฏิกิริยาขั้นตอนเดียว m และ n จะมีคาเทากับตัวเลขขางหนาของสารตามสมการที่ดุลแลว แต หากเปน ปฏิกิริยาที่มีหลายขั้นตอน อัตราเร็วของปฏิกิริยารวมจะขึ้นกับขั้นที่เกิดชาที่สุด และเรียก m + n วาอันดับของปฏิกิริยา เชน 1) ถาผลการทดลองได m = 0, n = 0 แสดงวา R = k แสดงวา สารตั้งตนไมมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยา ไมวาความเขมขนจะเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะไม เปลี่ยนแปลง จึงเปนปฏิกิริยาอันดับศูนยทั้งของ A, B และปฏิกิริยารวม 2) ถาผลการทดลองได m = 1, n = 0 แสดงวา R = k [A] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับสาร A เทานั้น ถาความเขมขนของสาร A เปลี่ยนอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะ เปลี่ยน จึงจัดเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ A เปนอันดับศูนยเมื่อเทียบกับ B และมีปฏิกิริยารวมเปนอันดับหนึ่ง 3) ถาผลการทดลองได m = 1, n = 1 แสดงวา R = k [A] [B] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ Bถาความเขมขนของสารใดสารหนึ่งเปลี่ยน แปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับ A หรือ B และมีปฏิกิริยารวมเปน อันดับสอง 4) ถาผลการทดลองได m = 2, n = 1 แสดงวา R = k [A]2 [B] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ B แตขึ้นกับ A เปน 2 เทาของ B ถาความ เขมขนของสารใดสารหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับสอง เมื่อเทียบกับ A และเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับ B และมีปฏิกิริยารวมเปนอันดับสาม 5) ถาผลการทดลองได m = 2, n = 2 แสดงวา R = k [A]2 [B]2 แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ B ถาความเขมขนของสารใดสารหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับสอง เมื่อเทียบกับ A หรือ B และมีปฏิกิริยา รวมเปนอันดับสี่ 5. กฎอัตราเร็ว (Law of Mass Action) อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเปนสัดสวนโดยตรงกับความเขมขนของสารตั้นตนที่เขาทําปฏิกิริยา หรือพูดงายๆ คือ อัตราจะเยอะ จะนอยขึ้นกับความเขมขน ถาความเขมขนมาก อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดเร็ว ถาความเขมขนนอย อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะชา เหมือนนองๆ ถานองๆ มีเงินมาก โอกาสที่จะจับจายใชสอยก็มาก แตถานอยโอกาสที่จะจับ จายใชสอยก็จะนอยตามไปดวย เขียนเปนสัญลักษณไดวา Rate [A]m [B]n และสามารถสรุปเปนกฎอัตราไดเปน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 111 A + B + E C + D 6. พลังงานกับการดําเนินไปของปฏิกิริยา • ปฏิกิริยาดูดความรอน (Endothermic Reaction) สวนใหญใชในการสลายพันธะ ใหแตกออกจากกัน โดยดูดความ รอนจากสิ่งแวดลอมเขาไป มีผลทําใหอุณหภูมิตํ่าลง นึกถึงเมื่อนองๆ เอามือไปจับถุงนํ้าโคก นองๆ จะพบวามันเย็น เพราะมัน ดูดความรอนจากภายนอก และมีผลทําใหอุณหภูมิโดยรอบลดตํ่าลง โดยใชพลังงานเทากับพลังงานกระตุน แตจะดูดเก็บพลังงาน ไวสวนหนึ่ง ( E)ดังรูปที่ 3 เขียนสมการไดเปน • ปฏิกิริยาคายความรอน (Exothermic Reaction) สวนใหญใชในการสรางพันธะ โดยคายความรอนใหสิ่งแวดลอม มีผลทําใหอุณหภูมิเพิ่มขึ้นนึกถึงเมื่อนองๆ จับถุงใสนํ้าแกงรอนๆ นองๆ จะพบวามันรอน เพราะมันคายความรอนสูภายนอก และมีผลทําใหอุณหภูมิรอบๆ สูงขึ้น โดยใชพลังงานเทากับพลังงานกระตุน แตจะคายพลังงานออกมา ( E) ดังรูปที่ 3 เขียน สมการไดเปน A + B C + D + E รูป 3.1 ปฏิกิริยาดูดความรอน รูป 3.2) ปฏิกิริยาคายความรอน ดังนั้นจึงสรุปสั้นๆ ไดวา “สรางคาย สลายดูด” ตัวอยางขอสอบ จากขอมูลตอไปนี้ สารละลาย X Y Z 25 25 26 23 25 สารละลายใส ไมมีสี สารละลายใส ไมมีสี สารละลายใส ไมมีสี สารละลายสีเหลือง ตะกอนสีขาว X ผสม Y X ผสม Z อุณหภูมิ (O C) ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
112 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ขอสรุปใดถูก 1. X และ Z เปนสารเดียวกัน 2. Y ผสมกับ Z เกิดปฏิกิริยาดูดความรอน 3. X ผสมกับ Z เกิดปฏิกิริยาคายความรอน 4. X และ Y ไมทําปฏิกิริยากัน เฉลยขอ 2 ขอ 2 ถูก เนื่องจากเมื่อ Y ผสมกับ Z แลวมีอุณหภูมิตํ่าลง จึงเกิดปฏิกิริยาดูดความรอน ตัวอยางขอสอบ สารละลาย A, B และ C ตางก็เปนสารละลายที่ไมมีสี เมื่อนําสารแตละชนิดที่มีความเขมขนและปริมาณเทากันมาผสมกันที่ อุณหภูมิ 25 O C ไดผลดังตาราง ขอสรุปใดไมถูกตอง 1. A กับ B เกิดปฏิกิริยาคายความรอน 2. B กับ C เปนสารละลายชนิดเดียวกัน 3. B กับ C ทําปฏิกิริยากัน โดยไมคายความรอน 4. B กับ C เปนสารละลายตางชนิดที่ไมทําปฏิกิริยากัน เฉลยขอ 1 ขอ 1 ผิด เนื่องจากเมื่อ A ผสมกับ B แลวมีอุณหภูมิตํ่าลง จึงเกิดปฏิกิริยาดูดความรอน สารละลาย อุณหภูมิหลังผสม ( สิ่งที่สังเกตได O C) 24 25 A ผสมกับ B B ผสมกับ C สารละลายสีฟา สารละลายใส ไมมีสี
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 113 นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี ปฏิกิริยาเคมี สมดุลเคมี การเกิดปฏิกริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี • 09 : อัตราการเกิดปฎิกิริยาเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-1 • 10 : สมดุลเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-2 • สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : อัตราการเกิดปฎิกิริยาเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-3 • สมดุลเคมี ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-4 • สมดุลเคมี ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-5 • สมดุลเคมี ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-6 • สมดุลเคมี ตอนที่ 4 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-7 • สมดุลเคมี ตอนที่ 5 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-8