50 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya จากรูปนองก็คงเห็นและไดคําตอบที่พี่ถามไวตอนแรกแลว ถานองสนใจรายละเอียดตางๆ ของ DNA นองๆ ก็ไปเรียน ในชีวะหรือหาขอมูลเพิ่มเติม ในเคมีนองๆ เรียนเทานี้พอแลว 4.2 RNA (Ribonucleic acid) RNA ก็เปนอีกหนึ่งชนิดของกรดนิวคลีอิก ทําหนาที่เกี่ยวกับการสังเคราะหโปรตีนที่ใชในรางกายและเซลล โครงสราง คลายกับ DNA มาก แตตางกันที่ “นํ้าตาล” เพราะ RNA เปนนํ้าตาลไรโบส นองเห็นความแตกตางไหม ที่ตําแหนงที่ 2 ถาเปนนํ้าตาลไรโบส ก็จะมี –OH แตถาเปน นํ้าตาลดีออกซีไรโบสก็คือ เอา O (oxygen) ออก ไป มันเลยชื่อวา Deoxy- ไง เพราะ De แปลวา “ไมมี” oxy ก็คือ oxygen รวมกันก็เลยแปลวา “ไมมี ออกซิเจน” สําหรับสวนประกอบอื่นๆ ทั้งไนโตรจีนัส เบส (Nitrogenous base) และฟอสเฟต (Phosphate) ที่มาเกาะนํ้าตาลก็เหมือนๆกับ DNA แตตางกันที่ใน RNA ไมมีเบส T (Thymine) แตมี U (Uracil) แทนนะ โครงสรางของ RNA จะเปนเสนเดียว ธรรมดาๆ (single strand) มันจะไมเปนเกลียวคู เหมือนกับ DNA ซึ่งก็คือ สัดสวนของคูเบสจะไม สัมพันธกัน(แตถานองไปเรียนในมหาลัยอาจจะเจอ RNA ที่เปนเกลียวได ในบางกรณีเพื่อประโยชน ของกระบวนการในเซลล แตสวนมากมันก็จะเปน สายเดี่ยวนะ) ที่มา : http://classconnection.s3.amazonaws.com/1527/flashcards/610287/jpg/picture123.jpg ที่มา : http://images.tutorvista.com/cms/ images/81/dna-and-rna.png
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 51 จากรูป เปนการเปรียบเทียบระหวาง RNA และ DNA จะเห็นวา RNA มันไมเปนเกลียวเหมือน DNA และก็ไมมีเบส T แตมี U แทน สําหรับนองที่เรียนสายวิทย นองก็จะไดเรียนวา RNA มีหลายชนิด ไดแก rRNA mRNA tRNA แตสําหรับใน O-NET เอาเทานี้พอ ถาอยากรูเพิ่มเติมลองไปสืบคนไดนะ ตัวอยางขอสอบ ขอความใดตอไปนี้ถูกตอง ก. ไตรกลีเซอไรด 1 โมเลกุล ประกอบดวย กรดไขมัน 1 โมเลกุลและกลีเซอรอล 3 โมเลกุล ข. พันธะเพปไทดพบไดในโมเลกุลของโปรตีน ค. สารชีวโมเลกุล เปนสารที่มีคารบอนและไฮโดรเจนเปนหลัก พบไดทั้งในสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิต ง. ปุยฝายเกิดจากกลูโคสมาเชื่อมตอกันเปนสายยาว 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ข และ ง 4. ค และ ง เฉลย ขอ..... 3. เรามาดูทีละตัวเลือกเลยแลวกันนะ ขอ ก. ผิด เพราะวา ไตรกีเซอไรด ประกอบดวยกลีเซอรอล 1 โมเลกุลและกรดไขมัน 3 โมเลกุล ขอ ค. ผิด เพราะ สารชีวโมเลกุล พบไดในสิ่งมีชีวิตเทานั้น ตัวอยางขอสอบ กําหนดสาย DNA มาให จงหาลําดับเบสที่เปนคูสมกับสายดังกลาว 3’ G A T G T C A 5’ 1. 5’ T G A C A T C 3’ 2. 5’ C A T C A G T 3. 5’ C T A C A G T 3’ 4. 5’ T G A G T A C 3’ เฉลย ขอ 3. กอนอื่นนองๆ ตองจําไดกอนวาเบสตัวไหนคูกับตัวไหน ซึ่งก็คือ A คูกับ T และ G คูกับ C สวนที่มีเขียนวา 3’ และ 5’ ก็คือเปนตัวเลขกํากับวาปลายนั้นคือปลายอะไรนะ ไมตองสนใจอะไร นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี เคมีอินทรีย สารชีวโมเลกุล กรด กรดนิวคลีอีก ไขมัน คารโบไฮเดรต โปรตีน • 15 : เคมีอินทรีย 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-1
52 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya • 17 : โปรตีนและคารโบไฮเดรต http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-2 • 18 : ไขมันและกรดนิวคลีอิก http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-3 • สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : เคมีอินทรีย http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-4 • สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-5 • สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-6 • สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-7 • เคมีอินทรีย ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-8 • เคมีอินทรีย ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-9 • เคมีอินทรีย ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-10
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 53 บทที่ 3 ธาตุและสารประกอบ Introduction สําหรับบทนี้ “ธาตุและสารประกอบ” เปนบทที่เรียกไดวาเปนความรูรอบตัวทางดานเคมีก็วาได เพราะมันเปนอะไรที่ คอนขางประยุกต เราตองอาศัยความจําและความเขาใจชวยกันจึงจะทําขอสอบในบทนี้ได บทนี้นองๆ จะเจออะไร? เราผานบท ที่ 1 มาแลว ไดรูจักกับตารางธาตุ และพี่ก็ไดเกริ่นๆ ไปนิดนึงแลววาธาตุในตารางธาตุมันมีความสัมพันธกัน โดยที่ธาตุในหมู เดียวกันจะมีสมบัติที่คลายๆ กัน ในบทนี้เราก็จะมาเรียนกันวาธาตุในแตละหมูที่วามีสมบัติคลายกัน มันมีสมบัติอยางไร นอกจาก เรื่องตารางธาตุแลวพี่ก็จะเสริมเรื่อง “พันธะเคมีเบื้องตน” ใหดวย จริงๆแลวในเคมีพื้นฐานมันไมไดเรียน แตวาขอสอบมันออก มาถามนิดหนอย ดังนั้นเราจึงตองรูไว อีกเรื่องหลักๆก็คือเรื่องครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งมีการคํานวณนิดหนอย ไมยาก มาก พี่บอกแลวนะวาบทนี้ตองใชทั้งความจําและความเขาใจ ก็ขอใหนองๆ ทําใจสบายๆ บทนี้ไมยาก งั้นเราก็มาเริ่มเรียนกัน เลย Outlines 1. สมบัติตามหมูของตารางธาตุ 2. ตําแหนงของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ 3. พันธะเคมีเบื้องตน (Chemical bond) 4. เลขออกซิเดชัน (oxidation number) 5. แนวโนมตามตารางธาตุเบื้องตน 6. ธาตุกัมมันตรังสี 1. สมบัติตามหมูของตารางธาตุ กอนที่เราจะเริ่มเรียนกันในหัวขอนี้ นองๆ ตองไปทบทวนเนื้อหาเบื้องตนเกี่ยวกับตารางธาตุกอนนะ ใครจําไมไดก็ไป อานทบทวนไดที่บทที่ 1 พี่เคยบอกไปแลววาธาตุที่อยูในหมูเดียวกันในตารางธาตุจะมีสมบัติคลายๆ กัน ในหัวขอนี้เราก็จะมาเรียนรูกันวาที่วา มันคลายกัน สมบัติอะไรของมันที่คลายกัน และจะทําใหตอไปเวลาเราเจอโจทยที่บรรยายสมบัติของธาตุมา และใหเราตอบวา มันคือธาตุอะไรหรืออยูหมูอะไร เราก็จะใชความรูตรงนี้ไปตอบ และก็ถึงแมพี่จะเปนคนที่ไมคอยใหนองๆ เรียนโดยทองจํา พี่จะ เนนความเขาใจ แตวาเนื้อหาสวนนี้หลีกเลี่ยงไมไดจริงๆ ที่ตองจําบาง แตพี่จะพยายามอธิบายเหตุผลประกอบใหนองๆ เขาใจ
54 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ทีนี้ทําความเขาใจกอนนะ จริงๆ พี่ก็เคยพูดไปแลวในบทที่ 1 แตขอยํ้าอีกทีแลวกันนะ “ธาตุในหมูเดียวกันจะมีสมบัติ คลายกัน” หมายถึงเฉพาะธาตุในหมู A เทานั้น ถาดูในรูปตารางธาตุดานบนนี้ ก็คือสวนที่แรเงานั่นเอง สวนพวกธาตุหมู B หรือ โลหะแทรนซิชัน (Transition metal) ในหมูเดียวกันจะไมคอยคลายกันงั้นเรามาเริ่มเรียนทีละหมูไปเลยนะนองๆ 1.1 สมบัติธาตุหมู IA (Alkali metal) 1. เปนของแข็งชนิดออนสามารถใชมีดตัดได นําความรอนและไฟฟาไดดี 2. หมู IA เปนหมูที่มีความเปนโลหะมากที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน 3. มีความหนาแนนตํ่า (Li Na K ลอยนํ้าได) 4. มีขนาดอะตอมใหญที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน 5. มีคาพลังงานไอออไนเซชันลําดับที่ 1 ตํ่าที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน ทําใหเสียอิเล็กตรอนไดงาย หรือเรียกวา เปน“ตัวรีดิวซ” ที่ดี จึงเปนไอออนบวก (cation) 6. ธาตุหมู IA เมื่อรวมตัวกับธาตุอโลหะเกิดพันธะไอออนิก โดยธาตุหมู IA มีเลขออกซิเดชัน (ประจุ) +1 เสมอ 7. ธาตุหมู IA มีความวองไวในการเกิดปฏิกิริยามาก เชน ทําปฏิกิริยากับนํ้าแลวระเบิด 8. เมื่อหลอมเหลวหรือละลายนํ้าสามารถนําไฟฟาได 9. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงมาก เพราะเปนการทําลายพันธะไอออนิก ประโยชนของธาตุหมู IA 1. Cs ใชทําโฟโตเซลลที่เปลี่ยนสัญญาณแสงไปเปนสัญญาณไฟฟา เพราะ Cs เมื่อถูกแสงสามารถเสียอิเล็กตรอนไดงายกวา โลหะอื่นในหมู IA 2. Na และ K ทําหนาที่ถายเทความรอนจากเตาปฏิกรณปรมาณูเพราะ Na นําไฟฟาและความรอนไดดี และราคาถูก 3. Na+ และ K+ มีสวนชวยในกระบวนการตางๆ ในรางกาย เชนระบบกลามเนื้อ 4. ไอออนหมู IA ใชปรุงอาหารได เชน NaCl (เกลือแกง) , KCl 1.2 ธาตุหมู IIA (Alkaline Earth metal) มักพบในดิน 1. สารประกอบหมู IIA เปนสารประกอบไอออนิกยกเวนสารประกอบของ Be เชน BeCl2 เปนสารประกอบโคเวเลนต เพราะ คา IE และ EN มีคาสูงเนื่องจากอิเล็กตรอนบรรจุเต็ม ทําใหมีความเสถียรมาก จึงเสียอิเล็กตรอนไดยาก 2. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงเพราะเปนสารประกอบไอออนิก
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 55 3. เมื่อหลอมเหลวหรือละลายนํ้าสามารถนําไฟฟาได แตนอยกวาหมู IA 4. ทุกธาตุเปนของแข็ง มีความหนาแนนมากกวาหมู 1 ไมสามารถใชมีดตัดได ประโยชนของธาตุหมู IIA 1. Mg ใชทําไสหลอดไฟในแฟลชของกลองถายรูป เพราะเมื่อลุกไหมจะเกิดแสงสวาง 2. โลหะผสมระหวาง Mg และ Al ใชทําสวนประกอบของเครื่องบินเพราะนํ้าหนักเบา 3. Ca และ Mg ใชเปนตัวรีดิวซในการเตรียมโลหะบริสุทธิ์เชนการเตรียมไทเทเนียม (Ti) 4. CaSO4 (แคลเซียมซัลเฟต)ใชทําแผนยิบซัม, Mg(OH)2 (แมกนีเซียมไฮดรอกไซด) ใชในยาสีฟนและยาลดกรดใน กระเพาะอาหาร 5. โลหะผสมระหวาง Be และ Cu ใชทําสวนประกอบของเรือเดินทะเล เพราะทนตอนํ้าทะเล 1.3 ธาตุหมู VIIA (Halogen) 2. ธาตุแฮโลเจนทุกชนิดเปนพิษ หากทําการทดลองจะตองใชตูดูดควัน 3. เปนอโลหะไมนําไฟฟา 4. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวตํ่า เพราะเปนการทําลายแรงลอนดอนเทานั้น ไมไดทําลายพันธะ (อานเพิ่มไดในหัวขอพันธะเคมี เบื้องตน) 5. มีคา IE (Ionization Energy: พลังงานที่ทําใหเสียอิเล็กตรอน) EN (Electronegativity : คาความสามารถในการรับอิเล็กตรอน) สูงจึงรับอิเล็กตรอนไดงาย เปนไอออนลบ (anion) 6. ธาตุหมู VIIA มีเลขออกซิเดชันไดหลายคา เชน KClO , KClO2 , KClO3 , KClO4 โดยที่ Cl มีเลขออกซิเดชัน -1 -3 -5 -7 ตาม ลําดับ (ถานองงงกับคําวา “เลขออกซิเดชัน” ใหขามไปอานเรื่องเลขออกซิเดชัน กอนก็ไดนะ) ปฏิกิริยารีดิวส / ออกซิไดส ของธาตุภายในหมู VIIA เรื่องที่สําคัญของธาตุหมู VIIA หรือธาตุฮาโลเจน คือปฏิกิริยาการรีดิวส/ออกซิไดส (ปฏิกิริยาที่มีการถายเทของอิเล็กตรอน พูดงายๆ ก็คือปฏิกิริยาที่สารตัวหนึ่งทําหนาที่ใหอิเล็กตรอน และอีกตัวทําหนาที่รับอิเล็กตรอน) ของธาตุภายในหมู VIIA ซึ่งเรื่อง นี้ออกขอสอบบอย พี่เลยอยากใหนองๆ ทําความเขาใจใหดีๆ สาร F2 แกส มวง Cl2 ของแข็ง Br นํ้าตาลแดง2 แกส เหลือง เขียว ของเหลว I 2 สถานะ สี 1.
56 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya พี่อยากใหนองๆ ทุกคนจําสีของโมเลกุลของธาตุหมู VIIA ไวหนอย อันนี้จําเปนจริงๆ และพี่ยํ้านิดนึง สีที่พี่ให จําพวกนี้ มันเปนสีของโมเลกุล คําวาโมเลกุลก็คือเปน สารประกอบ (ในทีนี้คือเปนสารประกอบที่มี 2 อะตอม) ไมใช ธาตุหรือไอออน เพราะธาตุมี 1 อะตอม เชน F Cl อันนี้คือ ธาตุ สวนถาเปนไอออนก็เชน F- Cl-เปนตน ทางดานขวามือนี้ สมมติวาคือหมู VIIA ในตารางธาตุ พี่อยาก ใหนองๆ จําวา “ธาตุดานบนชิงอิเล็กตรอนไดเกงกวาตัวลาง” ลําดับความเกงก็จะลดหลั่นตามลูกศรลงมา ก็คือ F ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา Cl Br I Cl ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา Br I Br ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา I พูดอยางนี้นองคงไมเห็นภาพ พี่จะอธิบายดวยสมการ และนองก็ลองสังเกตวาหลักการมันก็แลวกันเชน KBr + Cl 2 Br 2 + KCl ไมมีสี ไมมีสี สีมวง สีเขียว สีนํ้าตาล แดง ไมมีสี ถาดูจากสมการนี้ สมมติเรามีนํ้าคลอรีน (Cl2 ) สีเขียวอยูในหลอดทดลอง และตอมาเราก็นํา KBr (เปนตัวแทนของ Brไมจําเปนตองเปน KBr อาจจะเปน NaBr ก็ได ขอแคเปน Br- ) มาเติม ก็จะเกิดการถายเทอิเล็กตรอนกัน ไดเปนนํ้าโบรมีน (Br2 ) ซึ่งมีสีนํ้าตาลแดง ก็คือวาสีเขียวมันจะหายไป แตเปลี่ยนเปนสีนํ้าตาลแดงแทน การนําไปใชก็คือ เวลาเราทําแล็ปเนี่ย เราไมรู หรอกวาสารที่เรามีคือสารอะไร จริงไหม? เราจะใชการสังเกตสีเดิม และสีที่เปลี่ยนไป เปนเฉลยวาสารที่เรามีคืออะไร เพราะ ฉะนั้นพี่เลยใหนองจําสีไง เพื่อเสริมความเขาใจเพิ่มขึ้น ที่พี่บอกไปแลววา “ธาตุดานบนชิงอิเล็กตรอนไดเกงกวาตัวลาง”เราตองมาขยายความ นิดนึง จริงๆ แลวมันคือ “สารประกอบของธาตุที่อยูดานบน ชิงอิเล็กตรอน จากไอออนที่อยูลางมันไดดีกวา” นองลองดูจาก สมการก็ได สารประกอบของธาตุที่อยูดานบน ก็คือ Cl2 ชิงอิเล็กตรอนของไอออนที่อยูลาง ก็คือ Br- (โบรไมดไอออน) ไดดีกวา มันเลยทําใหเกิดปฏิกิริยาได งั้นเราลองดูตัวอยางปฏิกิริยาที่เกิดไมไดบาง NaCl + I 2 F Cl Br I สาร F2 มวง Cl2 Br นํ้าตาลแดง2 เหลือง เขียว I 2 สี
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 57 ปฏิกิริยาดังภาพนี้ ไมเกิดปฏิกิริยา เพราะอะไร? ก็เพราะวา สารประกอบของธาตุหมู VIIA ในปฏิกิริยานี้คือ I2 (ไอโอดีน) ซึ่ง มันอยูตํ่ากวา Cl- อยางนี้ก็ไมสามารถเกิดปฏิกิริยาได สมมติเปนสารที่เราไมรูวาคือสารอะไร (unknown) ในทีนี้ก็บรรยายไดวา “เมื่อเติมสารละลายใส ไมมีสีลงไปในสารละลายสีมวง จะไมเกิดการเปลี่ยนแปลง) 1.4 แกสเฉื่อยหรือแกสมีตระกูล (inert gas or noble gas) 1. แกสเหลานี้ 1 โมเลกุล มี 1 อะตอม 2. แกสเหลานี้ไมทําปฏิกิริยากับธาตุอื่น เพราะมีความเสถียรแลว เนื่องจากอิเล็กตรอนวงนอกสุด (เวเลนซอิเล็กตรอน) ครบ 8 แลว ยกเวน He ที่มีเวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 2 ประโยชนของแกสเฉื่อย 1. He บรรจุในลูกบอลลูน แทน H2 เพราะอาจเกิดระเบิดได 2. แกสเฉื่อยบรรจุในหลอดไฟจะทําใหไดแสงสีตางๆ 3. Ar ใชบรรจุหลอดไสธรรมดา แทนอากาศ เพราะ Ar ไมทําปฏิกิริยากับลวดรอน จึงทําใหมีอายุการใชงานยาวนาน 1.5 โลหะแทรนซิชัน (Transition metal) 1. ธาตุทรานซิชันมีความเปนโลหะนอยกวาธาตุหมู IA และ IIA 2. แข็ง มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวและความหนาแนนสูง สูงกวาโลหะหมู IA และ IIA ในคาบเดียวกัน เพราะมีขนาดเล็ก จึงมี พันธะโลหะที่แข็งแรงกวา 3. ธาตุทรานซิชันมีสมบัติคลายกันในคาบมากกวาในหมู 4. นําไฟฟาและความรอนไดดี 5. สารประกอบของโลหะทรานซิชันมักมีสี 6. ธาตุทรานซิชันมีเลขออกซิเดชันไดหลายคา ยกเวน Ag+ , Zn2+ , Sc3+ เทานั้น 7. ขนาดอะตอมเล็กลงจากซายไปขวา แตใกลเคียงกันมาก เพราะอิเล็กตรอนไดเพิ่มขึ้นมานั้นไมไดเพิ่มที่ชั้นนอกสุดของ อะตอม แตเพิ่มในชั้นที่ถัดลงมา ทําใหเกิดการบดบังแรงดึงดูดระหวางโปรตอนและอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดทําใหอะตอมไมได เล็กลงมากถึงแมโปรตอนจะเพิ่มก็ตาม 2. ตําแหนงของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ บางครั้งเราอาจจะเคยเห็นตารางธาตุแบบนี้ ใชไหมนองๆ H อยูตรงกลางและมีเสนประลากเชื่อมระหวางหมู IA และ VIIA เปนเพราะอะไรกันนะ เคยสงสัยกันไหม ที่มา : http://www.maceducation.com/e-knowledge/2422210100/17_files/17-3.jpg
58 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya มันเปนเพราะวานักวิทยาศาสตรสรุปไมไดวา H ควรอยูหมูอะไรดี เพราะมันมีสมบัติที่คลายทั้งหมู IA และหมู VIIA เขาจึงใหมันอยูตรงกลางและลากเสนเชื่อมไว เรา ลองมาดูสมบัติที่มันคลายกันทั้งสองหมู จากตารางดานลางนี้นะ 3. พันธะเคมีเบื้องตน (Chemical bond) นองคงเคยไดยินคําวา “พันธะเคมี” ใชไหม เมื่อธาตุตั้งแตสองอะตอมขึ้นไปมาเกิดพันธะเคมีกันก็จะไดเปน “สารประกอบ (compound)” คําถามก็คือทําไมธาตุตางๆ ตองเกิดพันธะเคมี นั่นก็เปนเพราะวา ธาตุ มันไมเสถียร มันเลยตองเปลี่ยนแปลงนิด หนอย โดยการไปจับมือรวมกับธาตุอีกอะตอมนึงเพื่อใหมันเสถียรมากขึ้น และอะไรคือ “ความเสถียร” ความเสถียรพูดงายๆ ก็ ประมาณวา สามารถอยูในธรรมชาติได ความเสถียรของธาตุเราจะดูที่เวเลนซอิเล็กตรอน (อิเล็กตรอนวงนอกสุด) โดยธาตุที่ เสถียรจะมีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 8 (ตามกฎออกเตต) นองๆ ลองคิดถึงพวกแกสเฉื่อย หมู VIIIA เชน He Ne Ar พวกนี้มีเว เลนซอิเล็กตรอนวงนอกเปน 8 (เลยอยูหมู VIIIA) เราจะเรียกแกสพวกนี้วา แกสเฉื่อย (inert gas) หรือ แกสมีตระกูล (noble gas) ที่มันเฉื่อยก็เพราะวามันเสถียรแลว ไมตองดิ้นรนไปเกิดพันธะ หรือเกิดปฏิกิริยาอะไรใหเสถียรมากขึ้น ดังนั้นธาตุอื่นๆ ก็ เลยอยากเลียนแบบแกสเฉื่อย ก็จะพยายามใหเวเลนซอิเล็กตรอนของตนครบ 8 ใหได แตมันก็มีหลายวิธี และเราก็จะมาเรียน กันทุกวิธีเลย แบบคราวๆ ที่พี่บอกวามันมีหลายวิธีที่จะทําใหมีเวเลนซครบ 8 ซึ่งนั่นก็คือ พันธะชนิดตางๆ ไดแก พันธะโลหะ (metallic bond) พันธะไอออนิก (ionic bond) และพันธะโคเวเลนต (covalent bond) 3.1 พันธะโลหะ (Metallic bond) พันธะชนิดนี้งายมาก พี่ก็ขอพูดแคคราวๆ นะ พันธะโลหะนี้ก็คือ พันธะที่ทําใหอะตอมของธาตุที่เปนโลหะ ยึดติดกัน เปน โครงสรางนองหลายคนชอบทองวา “พันธะชนิดนี้จะเกิดกับอะตอมของโลหะเทานั้น” เชน แผนเหล็ก (Fe) ก็จะประกอบดวย อะตอมของ Fe (iron) จํานวนมากมายมหาศาลมายึดเกาะกันดวยพันธะโลหะ ทําใหเปนแผนโลหะอยางที่เราเห็น สมบัติ หมู IA หมู VIIA ไฮโดรเจน เวเลนซอิเล็กตรอน 1 7 1 +1 ตํ่า ตํ่า ของแข็ง โลหะ อโลหะ อโลหะ ของแข็ง ของเหลว แกส แกส นําไฟฟา ไมนําไฟฟา ไมนําไฟฟา สูง สูง สูง คอนขางสูง -1,+1,+3,+5,+7 +1 หรือ -1 เลขออกซิเดชัน การนําไฟฟา พลังงานไอออไนเซชัน ลําดับที่ 1 อิเล็กโตรเนกาติวิตี สถานะที่อุณหภูมิหอง ความเปนโลหะ – อโลหะ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 59 พันธะโลหะ ยึดเหนี่ยวกัน ดวยแรงดึงดูดทางไฟฟาสถิต นองๆ จะเห็นวาที่อะตอมของโลหะมันเปน ไอออนบวก และก็มีอิเล็กตรอน เคลื่อนที่อยูรอบๆ ก็ทําใหดึงดูดกันได สมบัติของพันธะโลหะ - ตีเปนแผนได - ดึงเปนเสนได - นําความรอนไดดี - นําไฟฟาไดดีและนําไดทุกทิศทาง - มีความเงา ลักษณะของโลหะที่ยึด ดวยพันธะโลหะ ที่จริงสมบัติตางๆ ของโลหะนี้มีเหตุผลอธิบายได แตพี่ขอละไวแลวกัน หากนองอยากรู สามารถไปสืบคนเพิ่มเติมได 3.2 พันธะไอออนิก (Ionic bond) พันธะไอออนิกจะเกิดกับธาตุสองธาตุ (บางครั้งอาจจะเปนสองอนุมูลกลุม) โดยที่ธาตุหนึ่งเปนโลหะ อีกธาตุหนึ่งเปน อโลหะ ซึ่งพันธะชนิดนี้เปนแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟา โดยที่อะตอมของโลหะจะเสียอิเล็กตรอนออกไป กลายเปนไอออนบวก (Cation) และอะตอมของอโลหะจะรับอิเล็กตรอนเขาไป กลายเปนไอออนลบ (Anion) ทําใหมีทั้งไอออนบวกและลบอยูดวยกัน ก็เลยเกิดแรงดึงดูดทางไฟฟา (บวกกับลบดูดกัน) เราจะรูไดไงวาธาตุไหนจะเกิดเปนไอออนบวกหรือลบเทาใด? หลักการงายๆ ก็คือ เราตองจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุ นั้นๆ ได และลองดูวาตองเสียหรือรับอิเล็กตรอนเทาไหร เวเลนซมันจึงเปน 8 (ตามกฎออกเตต) อานแลวอาจจะงง มาดูตัวอยาง ก็แลวกัน
60 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya เชน Na (Sodium) มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8, 1 ก็คือเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 1 เราก็ลองคิดซิวาจะทําไงใหมันมีเวเลนซ เปน 8 ก็มี 2 วิธี ก็คือ รับอิเล็กตรอนเขาไป 7 ตัว หรือ เสียอิเล็กตรอนออกมา 1 ตัว นองก็คิดดูวาอะไรมันงายกวากัน.... นั่นก็ คือ..... เสียอิเล็กตรอน 1 ตัว พอมันเสียอิเล็กตรอน 1 ตัว มันก็จะเปน Na+ (Sodium Ion) จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 และ จากเมื่อกี้ที่พี่บอกวา โลหะมันจะเสียอิเล็กตรอน และอโลหะมันจะรับอิเล็กตรอน ก็สอดคลองกับตัวอยางนี้นะ ก็คือ Na เปน โลหะ มันก็จะเสียอิเล็กตรอน พี่ขอใช NaCl (เกลือแกง) เปนตัวอยางของสารประกอบไอออนิกแลวกันนะ พอเราได Na+ แลว อิเล็กตรอนที่มันหลุด ออกมา ก็จะวิ่งไปหา Cl (Chlorine atom) ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 7 พออิเล็กตรอนของ Na ที่หลุดมา วิ่งไปหา Cl ก็จะกลายเปน Cl- (Chloride) ก็จะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 8 นองก็จะเห็นไดวาตอนนี้ทั้ง Na+ และ Clตางก็มีเวเลนซเปน 8 แลว มันเสถียรแลว และเนื่องจาก Na+ เปนประจุบวก ก็จะเกิดแรงดึงดูดกับ Cl- ซึ่งมีประจุลบ ก็เลยทําให มันอยูดวยกันได ที่มา : taksreview.wikispaces.com ที่มา : http://image.tutorvista.com/cms/images/44/magnesium-fluoride.JPG และถาเปน Mg ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 2 ละนองจะทําไง? ก็มาดูวา Mg ทําไงใหมันมีเวเลนซเปน 8 .... นั่นก็คือ เสียอิเล็กตรอนออกไป 2 ตัว และถามันจะเกิดพันธะไอออนิกกับ F ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 7 ทําไง?.... เนื่องจาก F 1 อะตอม ถาจะใหมันมีเวเลนซครบ 8 ก็แครับอิเล็กตรอนเขาไปอีก 1 ตัว เปน F- แตอันนี้ Mg มันเสียอิเล็กตรอน มาแลว 2 ตัว แต F ตองการแค 1 อิเล็กตรอน ทําไงละ? ก็ตองเพิ่ม F เปน 2 อะตอม ใหมารับอิเล็กตรอน 2 ตัวของ Mg ก็จะ กลายเปน MgF2 (magnesium fluoride)
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 61 พี่ขอเสริมนะ ประจุบวกและลบของไอออนที่เรานั่งคิดเมื่อกี้ เดี๋ยวตอไปเราจะเรียกวา “เลขออกซิเดชัน (oxidation number)” ซึ่งพี่จะอธิบายอีกทีหลังจากจบเรื่องพันธะเคมี 3.3 พันธะโคเวเลนท (Covalent bond) พันธะชนิดนี้จะเกิดกับธาตุสองธาตุขึ้นไป โดยที่ทั้งสองธาตุนั้นเปนอโลหะวิธีการเกิดพันธะชนิดนี้เราเดาไดจากชื่อของ พันธะ นั่นก็คือ โค (co-) แปลวา รวมกัน เวเลนท (valent) ก็คือ เวเลนซอิเล็กตรอน ก็แสดงวาพันธะโคเวเลนทคือการใช อิเล็กตรอนวงนอกสุดรวมกันนั่นเอง ยกตัวอยางเชน แกสฟลูออรีน (F2 ) เกิดจากการรวมกันของธาตุฟลูออรีน (F) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา F มี การจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 7 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 7 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก F อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 1 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 1 คู รวมกัน ดังรูป จากรูปดานขวานี้ นองจะเห็นวาอะตอม ฟลูออรีน 2 อะตอม มันแชรอิเล็กตรอนกัน 1 คู ทําใหทั้งสองอะตอม มีเวเลนซเทากับ 8 e- ลักษณะการแชรอิเล็กตรอน 1 คู เราจะเรียก วา พันธะเดี่ยว (single bond) จากรูป ทั้งสองอะตอมคือ ออกซิเจน (O) นองจะเห็นวาอะตอมดานซายและดานขวาแชร อิเล็กตรอน 2 คู ทําใหแตละอะตอมมีเวเลนซ เทากับ 8 e- ในกรณีนี้มีการแชรอิเล็กตรอนกัน 2 คู เราจะเรียกวา พันธะคู (double bond) ตัวอยางตอไป แกสออกซิเจน (O2 ) เกิดจากการรวมกันของธาตุออกซิเจน (O) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา O มี การจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 6 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 6 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก O อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 2 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 2 ตัว รวมกัน ดังรูป
62 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตัวอยางสุดทาย แกสไนโตรเจน (N2) เกิดจากการรวมกันของธาตุไนโตรเจน (N) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา N มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 5 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 5 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก N อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 3 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 3 คู รวมกัน ดังรูป จากรูปทางดานขวานี้ ทั้งสองอะตอมคือ ออกซิเจน (O) นองจะเห็นวาอะตอมดานซายและดาน ขวาแชรอิเล็กตรอน 2 คู ทําใหแตละอะตอมมีเวเลนซ เทากับ 8 e- ในกรณีนี้มีการแชรอิเล็กตรอนกัน 3 คู เรา จะเรียกวา พันธะสาม (triple bond) เราอาจจะเขียนโครงสรางโมเลกุลขางตนนี้ เปนโครงสรางแบบเสนก็ได เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เราจะเขียนได ดังนี้ ตามลําดับ F - F O = O N N 4. เลขออกซิเดชัน (oxidation number) เลขออกซิเดชัน คือ เลขที่แสดงคาประจุของธาตุในสารประกอบตางๆ ในบางครั้งนองอาจจะเจอสารประกอบที่มี “อนุมูลกลุม” ก็คือเปนสารประกอบโคเวเลนตที่เปนมีประจุไฟฟา และเกิด พันธะไอออนิกได พี่คิดวานองดูตารางนี้ก็นาจะเพียงพอแลวละ หมู เลขออกซิเดชัน อนุมูลกลุม OH- HCO3 - NO3 - HSO4 - H2PO4 - ClO3 - ClO4 - CN- MnO4 - SO4 2- CO3 2- HPO4 2- Cr2 O7 2- PO4 3- NH4 + IA VA VIA VIIA โลหะทรานซิชัน มีหลายคามากๆ มีหลายคา -2 -1 +1 +2 +3 -1 -2 -3 +1 มีหลายคา IIA IIIA IVA เลขออกซิเดชัน หมู เลขออกซิเดชัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 63 ตารางที่พี่ใหนี้ พี่คิดวาในวิชาเคมีพื้นฐานจําเทานี้ก็เพียงพอแลว แตถาเรียนกันจริงๆ มันมีอีกเยอะมาก แตเอาไวเทานี้ แลวกัน และถานองอยากรูเพิ่มเติมก็สามารถไปสืบคนได ตัวอยางขอสอบ ธาตุ 3 ชนิด มีสัญลักษณดังนี้ ขอใดเปนสูตรเคมีของสารประกอบฟลูออไรด ของธาตุทั้งสามชนิดตามลําดับ 1. XF YF3 ZF2 2. XF Y2 F3 ZF2 3. XF2 Y2 F3 ZF 4. XF2 YF3 ZF เฉลย ขอ 4. สําหรับวิธีการคิดขอนี้ก็คือ นองตองจัดเรียงอิเล็กตรอนใหไดกอนนะ ก็ไดดังนี้ : 2 , 2 : 2 , 8, 3 : 2 , 8, 7 แสดงวา X Y และ Z เปนโลหะหมู IIA IIIA และอโลหะหมู VIIA ตามลําดับ เนื่องจาก ฟลูออไรด เปนอโลหะ เพราะฉะนั้นถา เปนพันธะโลหะเกิดพันธะกับอโลหะก็ตองเปนพันธะไอออนิก และถาเปนอโลหะกับอโหละ ก็เปนพันธะโคเวเลนต ธาตุ X อยู หมู IIA มีเลขออกซิเดชันเปน +2 เพราะฉะนั้นโครงสรางที่เกิดกับฟลูออไรดที่มีประจุ -1 ก็จะเปน XF2 ธาตุ Y อยูหมู IIIA มีเลข ออกซิเดชันเปน +3 เพราะฉะนั้นโครงสรางที่เกิดกับฟลูออไรด ที่มีประจุ -1 ก็จะเปน YF3 ธาตุ Z อยูหมู VIIA ตองการ 1 อิเล็กตรอน เชนเดียวกับ F เพราะฉะนั้นมันเลยแชรเวเลนซกัน 1 คู สูตรโมเลกุลก็เลยเปน ZF 5. แนวโนมตามตารางธาตุเบื้องตน ถาเรียนกันอยางจริงจัง หัวขอเราจะเรียนแนวโนมของหลายอยางมาก แตในเคมีพื้นฐานนี้พี่ขอกลาวถึงเพียง แนว โนมของรัศมีอะตอม ความวองไวของปฏิกิริยา IE และ EN นะนองๆ โดยคําวาแนวโนมตามตารางธาตุ เราจะดูแนวโนม 2 อยางนะ คือ แนวโนมตามหมู และแนวโนมตามคาบ 5.1 แนวโนมของรัศมีอะตอมตามตารางธาตุ ใหญขึ้น เล็กลง
64 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya กอนอื่นนองตองเขาใจกอนวารัศมีอะตอม มีอะไรเปนปจจัยสําคัญ..? ปจจัยสําคัญก็คือ ระดับพลังงานของอิเล็กตรอน ยิ่งมีระดับพลังงานมาก อะตอมก็จะมีรัศมีมาก จริงไหม? สําหรับรัศมีอะตอม หรือเรียกงายๆวา ขนาดของอะตอม ถาเปนตามคาบ มันจะเล็กลง เพราะ ในคาบเดียวกันมี จํานวนระดับพลังงานเทากันแตจํานวนโปรตอน (ประจุบวก) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามคาบ เลยทําใหโปรตอนที่เพิ่มขึ้นมีแรงดึงดูด ทําใหระดับพลังงานมันมาอยูใกลๆ กันมากขึ้น แตถาเปนตามหมู ระดับพลังงานมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยทําใหอะตอมใหญขึ้นดวย นองบางคนอาจจะสงสัยวา “อาว ก็ตามหมู โปรตอนมันก็เพิ่มขึ้น แลวเราสรุปไดไงวามันจะใหญขึ้น” จําไวนะนองๆ ระดับพลังงานมันเปนปจจัยที่สําคัญกวา หมายความวา การเพิ่มขึ้นของระดับพลังงานมีอิทธิพลตอขนาดของอะตอมมากกวาการเพิ่มขึ้นของจํานวนโปรตอน 5.2 แนวโนมของความวองไวของปฏิกิริยาตามตารางธาตุ สําหรับเรื่องความวองไวของปฏิกิริยาเคมี พี่ขอเรียกวา “ความเกง” ก็แลวกัน ซึ่งความเกง เราไมสามารถเหมารวม ทั้งตารางธาตุได เพราะในตารางธาตุเราแบงออกเปน โลหะ กับอโหละ ซึ่งทั้งโลหะและอโหละตางก็มีความเกงตางกัน เหมือนผูชายกับผูหญิง เรามาเปรียบเทียบกันไมได เพราะฉะนั้นเราเลยตองแยกกันคิด สําหรับโลหะ (เสนทึบ) ความวองไวของปฏิกิริยาจะลดลงตามคาบ และเพิ่มขึ้นตามหมู แตถาเปนอโลหะ (เสนประ) ความวองไวของปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นตามคาบ (ตั้งแตหมู IV ถึงหมู VIIA ที่เราไมรวมถึงหมู VIIIA เพราะมันเปนแกสเฉื่อยนะ ไมวองไวอยูแลว) และเพิ่มขึ้นตามหมู เชนเดียวกันกับโลหะ 5.3 แนวโนมของพลังงานไอออไนเซชัน (IE) ตามตารางธาตุ ลดลง เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ลดลง
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 65 IE หรือพลังงานที่นอยที่สุดที่ธาตุรับเขาไปแลวอิเล็กตรอนจะหลุดออกมา นองๆลองคิดตามนะ ธาตุที่อิเล็กตรอนหลุด งายๆ (เปนไอออนบวกไดงาย) ควรจะเปนธาตุจําพวกไหน .... ก็ควรจะเปนโลหะจริงไหม? สวนธาตุจําพวกอโลหะอิเล็กตรอน มันหลุดยากใชปาว (เปนไอออนลบไดงาย) เพราะฉะนั้นถาเปนโลหะ อิเล็กตรอนมันหลุดไดงาย IE มันก็ตองนอย แตอโลหะ อิเล็กตรอนมันหลุดยาก IE มันก็ตองมาก ดังนั้นตามคาบ IE มันก็ตองเพิ่มขึ้น สวนตามหมู IE มันจะลดลง เพราะวาอะตอมมี ขนาดใหญขึ้น แรงดึงดูดที่มีตออิเล็กตรอนมันก็นอย ดังนั้นอิเล็กตรอนมันก็หลุดไดงาย ก็คือ IE นอย 5.4 แนวโนมของอิเล็กโตรเนกาติวิตี (EN) ตามตารางธาตุ แนวโนมของ EN นองก็ใชความเขาใจนะวา EN มันคือความสามารถในการรับอิเล็กตรอน ธาตุโลหะมันไมรับ อิเล็กตรอนอยูแลว สวนอโลหะก็รับอิเล็กตรอนเกง ดังนั้นตามคาบแนวโนมก็ตองเพิ่มขึ้น สวนถาเปนตามหมู เหตุผลก็คลายๆ กับ IE นะ ก็คือ อะตอมมันใหญขึ้น แรงที่มันจะไปดึงอิเล็กตรอนภายนอกเขามา มันก็นอย ดังนั้นธาตุที่อยูลางๆ ของตาราง ธาตุก็รับอิเล็กตรอนไมเกง เพราะฉะนั้นแนวโนมของ EN ตามหมู ก็เลย ลดลง 6. ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive element) ธาตุกัมมันตรังสี คือ ธาตุที่มีความไมเสถียรสูง ปลดปลอยพลังงานในรูปรังสีออกมาไดเพื่อใหมีความเสถียรมากขึ้น โดยการแผรังสีออกมานั้น อาจจะไดธาตุใหมหรือไมก็ได โดยเราจะเรียกรังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีแผรังสีออกมาไดนั้นวา “กัมมันตภาพรังสี” เพราะฉะนั้นใชใหถูก ระหวางคําวา “กัมมันตรังสี” กับ “กัมมันตภาพรังสี” 6.1 รังสีที่ควรรูจัก รังสีแอลฟา ( , ) เปนนิวเคลียสของธาตุ He ซึ่งเสียอิเล็กตรอนไป 2 ตัว ดังนั้นจึงมีประจุเปน +2 รังสีแอลฟามี อํานาจทะลุทะลวงตํ่า มีพลังงานนอยเพราะแตกตัวไดดี เพียงกระดาษแผนเดียวก็กั้นแอลฟาได แอลฟา เบตา โพซิตรอน แกมมา โปรตอน ดิวเทอรอน ตริตอน นิวตรอน รังสีเบตา ( , ) เปนอนุภาคที่มีสมบัติเหมือน อิเล็กตรอน มีประจุ -1 มีอํานาจทะลุทะลวงมากกวา แอลฟาประมาณ 100 เทา แตกตัวไดนอยกวาแอลฟา เบตาสามารถผานแผนโลหะบางๆได เชน แผนตะกั่ว 1 mm แผนอลูมิเนียม 5 mm เพิ่มขึ้น ลดลง รังสี สัญลักษณ , e 0 −1 e 0 +1 +β ,
66 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya รังสีแกมมา เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ความถี่สูง ดังนั้นพลังงานจึงสูงดวย ไมมีมวล ไมมี ประจุ เปนพลังงาน มีอํานาจทะลุลวงสูงที่สุด ผานไม โลหะ เนื้อเยื่อได แตผานคอนกรีตหรือตะกั่วหนาไมได ขอสังเกตนะ นองๆ รังสีแกมมาเปนพลังงาน เลยไมมีสัญลักษณของธาตุเหมือนกับรังสีอื่น “ถานองจําไดก็จะดีมากเลยนะ เพราะวาเดี๋ยวมันจะเอาไปใชในเรื่อง สมการนิวเคลียร” 6.2 สมการนิวเคลียร สมการนิวเคลียรเปนไง?? .... สิ่งที่จะออกขอสอบในหัวขอนี้ก็งายมากๆ นองก็แคดุลสมการนิวเคลียร ซึ่งเดี๋ยวพี่จะ สอนวาตองทําไง หลักการดุลสมการนิวเคลียร ตัวอยางโจทย 1. ……………. 2. ……………. พี่เฉลยขอ 1 กอนนะ นองก็ตองดูวา ฝงสารตั้งตน In ที่มีเลขอะตอม 49 และมวล 116 เปลี่ยนไปเปน Sn ที่มีเลขอะตอม 50 และเลขมวล 116 เราเทียบกันทีละอยาง (เทียบมวลกับมวล เทียบเลขอะตอมกับเลขอะตอม) จะเห็นไดวาเลขมวลไมเปลี่ยน และเลขอะตอมเพิ่มขึ้น แสดงวารังสีที่เปนคําตอบตองเปน , e 0 −1 สวนขอที่ 2 เราคิดทีละอยางรวมเลขมวลกอน ฝงสารตั้งตนได 24 เลขอะตอมฝงสารตั้งตนได 12 ทีนี้ฝงผลิตภัณฑ (อนุภาคแอลฟา) มีเลขมวลแลว 4 และเลขอะตอม 2 ดังนั้นธาตุที่เกิดขึ้นก็ตองเปนธาตุที่มีเลขมวล 20 และเลขอะตอม 10 นองก็อาจจะเขียนไดเปน สมมติเปนธาตุ X แลวกันนะ สมมติวาเราไมรูวาธาตุอะไร 6.3 ครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี (Half-life) เนื่องจากธาตุกัมมันตรังสี เปนธาตุที่ไมเสถียร ตองปลดปลอยพลังงานในรูปของรังสีออกมาตลอดเวลา ก็เลยทําให มวลของธาตุมันจะลดไปเรื่อยๆ ครึ่งชีวิต (Half–life) ใชสัญลักษณเปน คือ ระยะเวลาที่ทําใหธาตุกัมมันตรังสีมีมวลเหลือครึ่งเดียวจากตอนเริ่มตน เชน ธาตุ X มี 100 กรัม ผานไป 10 วัน เหลืออยู 50 กรัม เราจะเรียกวา “ธาตุ X มีครึ่งชีวิตเปน 10 วัน” ถาเราลองมาดูกราฟ การลดลงของมวลของธาตุกัมมันตรังสีก็จะไดดังรูปดานลางนี้ ผลรวมของเลขมวลและเลขอะตอมของสารตั้งตนและผลิตภัณฑตองเทากัน จากกราฟนี้ นองจะเห็นวาเดิมมีอยู 10 กรัม และพอลดลงเหลือ 5 กรัม (ครึ่งหนึ่ง ของ 10) ใชเวลา 25 ป และใชเวลาอีก 25 ป ก็จะลดเหลือ 2.5 กรัม (ครึ่งหนึ่ง ของ 5) เปนอยางนี้ไปเรื่อยๆ เราก็เรียก วาธาตุนี้มีครึ่งชีวิตเปน 25 ป
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 67 การคํานวณครึ่งชีวิต การคํานวณครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี ไมใชเรื่องยาก มีอยูสูตรเดียวเอง ซึ่งสูตรก็คือ เมื่อ n คือ จํานวนครั้งที่ผานครึ่งชีวิต คําวา “จํานวนครั้งที่ผานครึ่งชีวิต” นองงงกันไหม? ... ยกตัวอยางเชน ธาตุ X มีครึ่งชีวิต 10 ป ถาผานไปแลว 40 ป ก็แสดงวาผานครึ่งชีวิตมาแลว 4 ครั้ง วิธีการตรวจสอบกัมมันตรังสี 1. ใชฟลมตรวจสอบ นําฟลมถายรูปไปหุมสารที่ตองการตรวจสอบในที่ที่ไมมีแสง นําฟลมไปลาง หากมีรอยจุดสีดํา แสดงวาวัตถุนั้นแผรังสีได 2. ใหนําสารที่คิดวาเปนสารกัมมันตรังสีเขาใกลสารเรืองแสง หากเปนสารกัมมันตรังสีจะเกิดการเรืองแสงขึ้น 3. เครื่องไกเกอรมูลเลอรเคานเตอร เมื่อรังสีเขาไปในเครื่องวัด จะไปกระทบกับ Ar ซึ่งทําใหแตกตัวเปน Ar+ ทําใหเกิด ความตางศักย เกิดกระแสไฟฟา และเครื่องจะแปลผลออกมาแสดงที่หนาปด ตัวอยางขอสอบ ธาตุกัมมันตรังสี X มีครึ่งชีวิตเทากับ 5,000 ป นักธรณีวิทยาคนพบซากของพืชโบราณที่มี ปริมาณธาตุกัมมันตรังสี X เหลืออยูเพียง 6.25% ของปริมาณเริ่มตน พืชโบราณนี้มีชีวิตประมาณกี่ ปมาแลว 1. 10,000 ป 2. 15,000 ป 3. 20,000 ป 4. 25,000 ป เฉลย ขอ 3. นองๆ ก็ลองใชสูตรที่เรียนไปเลยนะ โดยในที่นี้เขาไมไดกําหนดมาใหวาเริ่มตนมี X กี่กรัม แตเขาใหมาวาพบ 6.25% เราก็สมมติวาเริ่มตนมี 100% ก็แลวกัน ก็ลองไปแทนสูตร ไดเปน ก็ยายขางคํานวน ได n เทากับ 2n =16 นองก็ลองคิดซิวา 2 ยกกําลังอะไรได 16 ซึ่งก็ คือ 4 เพราะ 24 = 16 เพราะฉะนั้น n = 4 หมายความวา ผานครึ่งชีวิตมา 4 รอบ ดังนั้นพืชโบราณ นี้ก็มีอายุ 4 x 5,000 ป = 20,000 ป เครื่องไกเกอรมูลเลอรเคานเตอร ที่มา : radioactive-601.blogspot.com
68 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ปฏิกิริยานิวเคลียร (Nuclear reaction) เปนปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของอะตอมแลวไดธาตุใหมเกิดขึ้น และใหพลังงานมหาศาล ปฏิกิริยา นิวเคลียรมี 2 ประเภท ไดแก 1. ปฏิกิริยาฟชชัน (Fission reaction) คือปฏิกิริยานิวเคลียรที่เกิดจากการยิงนิวตรอนเขาไปในนิวเคลียสธาตุหนัก ทําใหแตกออกไดธาตุเล็กลง และไดนิวตรอนออกมาอีก 2-3 อนุภาค (ฟช แปลวา แตกออก) มนุษยเราก็นําความรูเรื่อง ปฏิกิริยาฟชชันมาใชเชน การผลิตไฟฟาในโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียร ลองดูรูปใหเขาใจมากขึ้นนะ จากรูปนองๆ จะเห็นวา เดิมมีธาตุใหญๆ อยูธาตุ หนึ่ง และก็ยิงอนุภาคนิวตรอนเขาไป ทําใหธาตุ ใหญนั้นแตกออกเปนอีก 2 ธาตุ และก็ไดนิวตรอน หลุดออกมาอีก และนิวตรอนที่หลุดมาก็จะไปชน ธาตุ ทําใหแตกออกไปเรื่อยๆ เราเรียกลักษณะ ปฏิกิริยาแบบนี้วา “ปฏิกิริยาลูกโซ (chain reaction)” เพราะมันไมจบไมสิ้น มันจะเปนอยางนี้ตอ ไปเรื่อยๆ 2. ปฏิกิริยาฟวชัน (fusion reaction) ปฏิกิริยานิวเคลียรที่นิวเคลียสของธาตุเบามา รวมกันเปนธาตุที่หนักขึ้น แตเนื่องจากเวลาเกิด ธาตุใหมขึ้น ตามหลักการมวลของธาตุหนักมัน ควรจะเทากับมวลของธาตุเล็กๆ ที่มารวมกันจริง ไหม? แตปรากฏวามวลของธาตุหนักที่เกิดขึ้น ใหม นอยกวาผลรวมกันของมวลของธาตุเบา 2 ธาตุ ซึ่งมวลที่มัน หายไปนั้นเอง มันเปลี่ยนไปเปน พลังงานที่ปลดปลอยออกมา ปฏิกิริยาแบบนี้เกิด ขึ้นในดวงอาทิตยนะ การนํากัมมันตรังสีไปใชประโยชน - I-131 ใชตรวจสอบความผิดปกติของตอมไทรอยด - Na-24 ใชตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิต - Co-60 รักษาโรคมะเร็ง ถนอมอาหาร - Ra-226 รักษาโรคมะเร็ง - U-238, Pu-239 ใชผลิตไฟฟาในโรงไฟฟา นิวเคลียร - C-14 หาอายุของวัตถุโบราณ ซากดึกดําบรรพ ที่มา: www.plasma.inpe.br
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 69 โทษของสารกัมมันตรังสี หากไดรับรังสีเขาสูรางกายจะมีผลทําใหการสรางเซลลใหมในรางกายมนุษยเกิดการกลายพันธุ โดยเฉพาะเซลล สืบพันธุ สวนผลที่ทําใหเกิดความปวยไขจากรังสี เนื่องจากเมื่ออวัยวะสวนใดสวนหนึ่งของรางกายไดรับรังสี โมเลกุลของธาตุ ตางๆ ที่ประกอบเปนเซลลจะแตกตัว ทําใหเกิดอาการปวยไขได นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี เคมีอินทรีย สารชีวโมเลกุล กรด กรดนิวคลีอีก ไขมัน • 03 : พันธะไอออนิก และพันธะโลหะ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-1 • 04 : พันธะโคเวเลนต http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-2 • 05 : สมบัติของธาตุตามตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-3 • 06 : ปริมาณสารสัมพันธ :โมลและสารละลาย http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-4 • 07 : ปริมาณสารสัมพันธ : สมการเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-5 • สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : พันธะเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-6
70 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya • สมบัติของธาตุตามหมู http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-7 • ธาตุและสารประกอบ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-8 • ธาตุและสารประกอบ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-9 • ธาตุและสารประกอบ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-10 • เคมี ม.ปลาย - พันธะเคมี ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-11 • เคมี ม.ปลาย - พันธะเคมี ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-12
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 71 บทที่ 4 เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ (Fossil) Introduction แมวาชื่อของบทๆ นี้ จะดูสะเทือนใจสําหรับคนมีอายุเล็กนอย แตบทนี้มีเสนหของมันอยูเล็กๆ เสนหของมันก็คือ ทองจําแหลก กอนอื่นเลย มารูจักกับคําวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ หรือ บางคนอาจเคยไดยินคําวา อินทรียวัตถุกันกอนดี กวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพหรืออินทรียวัตถุเปนเชื้อเพลิงพื้นฐานในการดํารงชีวิตที่สําคัญ ซึ่งเกิดจากการทับถมกันมาเปน เวลานานนับหลายลานป ดวยอุณหภูมิและความดันสูง จึงเกิดการยอยสลายผานกระบวนการหลายขั้นตอนและแปลงสภาพ ไป ซึ่งนองๆรูรึเปลาวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพนี้สามารถแบงไดหลากหลายประเภท Outlines 1. ถานหิน 2. หินนํ้ามัน 3. ปโตรเลียม 4. ปโตรเคมีภัณฑ 5. มลพิษจากปโตรเคมีภัณฑ รูปแสดงประเภทตางๆ ของถานหิน (ที่มา : http://energyearth.co.th/product?lang=th) ประเภทของเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ สามารถแบง ไดเปน 3 ประเภท 1. ถานหิน (Coal) กําเนิดมาจากซากพืช ในภาวะที่มีออกซิเจน อยางจํากัดหรือไมมีออกซิเจนเลย จากนั้นจึงเกิดการ เปลี่ยนแปลงอยางชาๆ จนกลายมาเปนถานหิน ซึ่งนองเชื่อไหม วา ถานหินนี้เปนหินตะกอนชนิดหนึ่งที่สามารถใชเปนแรเชื้อ เพลิงและทําใหติดไฟได และมีลักษณะเปนหินสีนํ้าตาลออนจนถึง สีดํา มีทั้งชนิดผิวมันและผิวดาน นํ้าหนักเบา และประกอบไป ดวยธาตุที่สําคัญหลายธาตุ อาทิ คารบอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และกํามะถัน นอกจากนี้ยังมีธาตุหรือสารอื่น เชน ปรอท โครเมียม ทองแดง นิกเกิล สารหนู และซิลีเนียม เจือปน อยูเล็กนอยดวย ซึ่งรูไหมวา เมื่อนองๆนําถานหินไปใชเปนเชื้อ เพลิงสารที่เจือปนอยูนี้จะสามารถสงผลตอปญหาสุขภาพของ นองๆ และสิ่งแวดลอมไดดวยนะ โดยถานหินที่มีคุณภาพดีจะมี จํานวนคารบอนสูงและมีธาตุอื่นๆ ตํ่า เมื่อนํามาเผาจะใหความ รอนมาก ซึ่งสามารถแบงถานหินไดเปน 5 ประเภท มีอะไรบาง เรามาดูกัน
72 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 1) พีต (Peat) ขั้นแรกในกระบวนการเกิดถานหิน เปนซากพืชบางสวนที่ไดสลายตัวไปแลวสามารถใชเปนเชื้อเพลิงได แตมีความชื้นมาก 2) ลิกไนต (Lignite) มีซากพืชหลงเหลืออยูเล็กนอย มีความชื้นมาก เปนถานหินที่ใชเปนเชื้อเพลิง แตจะมีควันและเถา ถานมาก นิยมใชในการผลิตไฟฟา 3) ซับบิทูมินัส (Subbituminous) เปนถานหินที่มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นตํ่า แตมีปริมาณคารบอนสูงกวาลิกไนต ใชเปนแหลงพลังงานสําหรับผลิตไฟฟาและงานอุตสาหกรรม 4) บิทูมินัส (Bituminous) เปนถานหินเนื้อแนน แข็ง มีสีดํามันวาว ใชเปนเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ 5) แอนทราไซต (Anthracite) มีอายุการเกิดนานที่สุด ลักษณะเปนสีดํา เนื้อแนน แข็งและเปนมัน มีปริมาณออกซิเจน และความชื้นตํ่า แตมีปริมาณคารบอนสูงกวาถานหินชนิดอื่น แมจะจุดไฟติดยาก แตเมื่อติดไฟจะมีควันนอยใหความรอนสูง อีก ทั้งไมมีสารอินทรียระเหยออกมาจากการเผาไหม จึงจัดวาเปนถานหินที่ใหความรอนไดดีที่สุด ประโยชนและโทษของถานหิน ถานหินถือเปนผลผลิตที่ไดจากธรรมชาติ และมีประโยชนอยูมากมายทีเดียว นองๆ รูรึเปลาวา แหลงถานหินใน ประเทศไทยสามารถพบไดในทั่วทุกภาคของประเทศไทยเลย แตสวนใหญจะอยูในเขตภาคเหนือซึ่งจะมีคุณภาพเปนขั้นลิกไนต และซับบิทูมินัส จึงใหความรอนไมสูงนักซึ่งนํามาใชเปนเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟา การถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต ผลิต ถานกัมมันต การบมใบยาสูบ การผลิตอาหารอีกทั้งยังสามารถนํามาทําถานสังเคราะหเพื่อดูดซับกลิ่น หรือการทําคารบอนด ไฟเบอรที่เปนวัสดุแข็งและเบาไดดวย สวนโทษของถานหิน เมื่อเกิดการเผาไหมจะทําใหเกิดแกสที่เปนมลพิษทางอากาศหลายชนิด ไดแก CO2 , CO, SO2 และ NO ซึ่งกาซเหลานี้นองๆทราบอยูแลวใชไหมวา เปนปจจัยของภาวะเรือนกระจกที่สงผลเสียตอโลกของเราอยางมากมาย **เกร็ดความรูเพิ่มเติม** ภาวะเรือนกระจก คือ ภาวะที่ชั้นบรรยากาศของโลกยอมใหรังสีผานลงมายังผิวโลกได อีกทั้งจะดูดกลืนรังสีคลื่นยาว ชวงอินฟราเรดที่แผออกจากพื้นผิวโลกเอาไวและก็จะคายพลังงานความรอนใหกระจายซํ้าไปซํ้ามาอยูภายในชั้นบรรยากาศและ พื้นผิวโลก ซึ่งผลกระทบที่ตามมานั้น สงผลโดยตรงตอสภาพภูมิอากาศของโลก และสิ่งมีชีวิตพื้นผิวโลกอยางมากมาย นองๆ รูหรือไม!? ในภาวะปกติของชั้นบรรยากาศของโลกนั้น จะประกอบดวย โอโซนไอนํ้าและกาซชนิดตางๆ ซึ่งทํา หนาที่กรองรังสีบางชนิดใหผานมาตกกระทบพื้นผิวโลกโดยรังสีที่ตกกระทบพื้นผิวโลกนี้จะสะทอนกลับออกนอกชั้นบรรยากาศ ไปสวนหนึ่ง และที่เหลือพื้นผิวโลกที่ประกอบดวยพื้นนํ้า พื้นดิน และสิ่งมีชีวิตจะดูดกลืนเอาไวหลังจากนั้นก็จะคายพลังงานออก มาในรูปรังสีอินฟราเรดแผกระจายขึ้นสูชั้นบรรยากาศและแผกระจายออกนอกชั้นบรรยากาศไปอีกสวนหนึ่งผลที่เกิดขึ้นคือทําให โลกสามารถ รักษาสภาพสมดุลทางอุณหภูมิไวไดจึงมีวัฏจักรนํ้า อากาศ และฤดูกาลตางๆ ดําเนินไปอยางสมดุลเอื้ออํานวยตอ การดํารงชีวิตพืชและสัตวโลกจึงเปรียบเสมือนเรือนปลูกพืชขนาดใหญที่มีไอนํ้าและกาซตางๆ ทั้งนี้ชั้นบรรยากาศมีลักษณะ คลายกับกระจกที่คอยควบคุมอุณหภูมิ และวัฏจักรตางๆ บนโลกใหเปนไปอยางสมดุลแตสิ่งที่เกิดขึ้นในปจจุบัน ชั้นบรรยากาศ ของโลกมีปริมาณกาซบางชนิดที่มากเกินไปซึ่งเปนปจจัยที่ทําใหเสียสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งกาซที่มีผลกระทบตอภาวะโลกรอน มีหลายชนิด อาทิ ไอนํ้า (H2 O) นองเชื่อหรือไม วาไอนํ้าเปนกาซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดบนโลก โดยมีอยูในอากาศประมาณ 0 - 4% เลยทีเดียว ขึ้นอยูกับลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และอุณหภูมิเชน ในบริเวณเขตรอนใกลเสนศูนยสูตรและ ชายทะเลจะมีไอนํ้าอยูมากสวนในบริเวณเขตหนาวแถบขั้วโลกอุณหภูมิตํ่าจะมีไอนํ้าในบรรยากาศเพียงเล็กนอย ไอนํ้าเปนสิ่งจําเปนตอสิ่งมีชีวิตอีกทั้ง เปนสวนหนึ่งของวัฏจักรนํ้าในธรรมชาติ นอกจากนี้ นํ้าสามารถเปลี่ยนสถานะ ไปมาทั้ง 3 สถานะ จึงเปนตัวพาและกระจายความรอนแกบรรยากาศและพื้นผิว
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 73 กาซคารบอนไดออกไซด (CO2 ) เปนกาซอีกชนิดหนึ่งที่พี่เชื่อวานองๆคงรูจักกันมาตั้งแตเด็ก ซึ่งในยุคเริ่มแรกของ โลกและระบบสุริยะ มีกาซคารบอนไดออกไซดในบรรยากาศถึง 98% กันเลยทีเดียว เนื่องจากดวงอาทิตย ยังมีขนาดเล็กและแสงอาทิตยยังไมสวางเทาทุกวันนี้จึงทําใหกาซคารบอนไดออกไซดชวยทําใหโลกอบอุนเหมาะ สําหรับเปนถิ่นที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิตเมื่อเวลาผานไป ดวงอาทิตยมีขนาดใหญขึ้นและนํ้าฝนนี่เองที่เปนตัวการ ในการละลายกาซคารบอนไดออกไซดในอากาศลงมายังพื้นผิวแพลงกตอนและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบางชนิด รวมถึง พืชบางชนิดมีความสามรถในการตรึงกาซคารบอนไดออกไซดในอากาศ และมาสรางเปนอาหารโดยการสังเคราะห ดวยแสง ทําใหภาวะเรือนกระจกลดลง ธรรมชาติของกาซคารบอนไดออกไซดเกิดขึ้นจากการหลอมละลายของ หินปูนซึ่งโผลขึ้นมาจากปลองภูเขาไฟ และการหายใจของสิ่งมีชีวิต กาซคารบอนไดออกไซดมีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเผาไหมในรูปแบบตาง ๆเชน การเผาไหมเชื้อเพลิง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาปาเพื่อใชพื้นที่ สําหรับอยูอาศัยและการทําปศุสัตว เปนตน โดยการเผาปาเปนการปลอยกาซคารบอนไดออกไซดขึ้นสูชั้นบรรยากาศ ไดโดยเร็วที่สุดเนื่องจากตนไมมีคุณสมบัติในการตรึงกาซคารบอนไดออกไซดไวกอนที่จะลอยขึ้นสูชั้นบรรยากาศ ดังนั้นเมื่อพื้นที่ปาลดนอยลงกาซคารบอนไดออกไซดจึงลอยขึ้นไปสะสมอยูในบรรยากาศไดมากยิ่งขึ้นและทําให พลังงานความรอนสะสมบนผิวโลกและในบรรยากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 1.56 วัตต /ตารางเมตร(ซึ่งยังไมรวมผล ทางออมที่จะเกิดขึ้น) แลวนองๆ ทราบกันหรือเปลาวาปริมาณกาซคารบอนไดออกไซดมาจากประเทศใดมากที่สุด จากผลสํารวจเรียงจากมากไปหานอยก็คือตั้งแตป ค.ศ.1950 10 อันดับแรกก็คือ 1.สหรัฐอเมริกา 2. สหภาพยุโรป 3. รัสเซีย 4. จีน 5. ญี่ปุน 6. ยูเครน 7. อินเดีย 8. แคนาดา 9. โปแลนด 10. คาซัคสถาน เปนตน กาซมีเทน (CH4 ) กาซชนิดนี้เกิดขึ้นจากการยอยสลายของซากสิ่งมีชีวิตแมวาในอากาศจะมีเพียง 1.7 ppm แตกาซมีเทนมีคุณสมบัติของกาซเรือนกระจกสูงกวากาซคารบอนไดออกไซดในปริมาณที่เทากัน หรือ พูดงายๆก็คือ กาซมีเทนสามารถดูดกลืนรังสีอินฟราเรดไดดีกวากาซคารบอนไดออกไซด กาซมีเทนมีปริมาณ เพิ่มขึ้นเนื่องจากการทํานาขาว การทําปศุสัตวการเผาไหมมวลชีวภาพ การเผาไหมเชื้อเพลิงประเภทถานหิน นํ้ามัน และกาซธรรมชาติซึ่งนองๆเชื่อหรือไมวา การเพิ่มขึ้นของกาซมีเทนนั้น จะสงผลกระทบโดยตรงตอภาวะ เรือนกระจกมากเปนอันดับ 2 รองจากกาซคารบอนไดออกไซดเลยทีเดียว กาซไนตรัสออกไซด (N2 O) โดยทั่วไป กาซชนิดนี้เกิดจากการยอยสลายซากสิ่งมีชิวิตโดยแบคทีเรีย แตสาเหตุที่ ทําใหปริมาณกาซไนตรัสออกไซดเพิ่มสูงขึ้นในปจจุบันนั้นมาจากอุตสาหกรรมที่ใชกรดไนตริกในกระบวนการผลิต เชนอุตสาหกรรมผลิตเสนใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมีและพลาสติกบางชนิด เปนตนซึ่งนองๆรูไหมวา กาซไนตรัสออกไซดที่เพิ่มขึ้นสงผลกระทบโดยตรงตอการเพิ่มพลังงานความรอนที่สะสมบนพื้นผิวโลก และ หากลอยขึ้นสูบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟยรมันจะทําปฏิกิริยากับกาซโอโซนทําใหเกราะปองกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต ของโลกลดนอยลงอีกดวย สารประกอบคลอโรฟลูออโรคารบอน (CFC) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ฟรีออน Freon” สารวายรายตัวการในการ เกิดภาวะโลกรอน ซึ่งสารชนิดนี้ไมไดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแตเกิดจากชีวิตประจําวันของนองๆ นั่นแหละ สารชนิดนี้มีแหลงกําเนิดมาจากโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณเครื่องใชในชีวิตประจําวัน เชน ตูเย็น เครื่องปรับ อากาศและสเปรย เปนตน สาร CFC นี้มีองคประกอบเปนคลอรีนฟลูออไรด และโบรมีน ซึ่งความสามารถของมัน นั้นรายแรงมาก เพราะมีความสามารถในการทําลายโอโซนที่เปนชั้นบรรยากาศของนองๆ นั่นเอง ปกติแลว สาร CFC ในบริเวณพื้นผิวโลกจะทําปฏิกิริยากับสารอื่นแตเมื่อมันดูดกลืนรังสีอุลตราไวโอเล็ตในบรรยากาศชั้น สตราโตสเฟยรโมเลกุลจะแตกตัวใหคลอรีนอะตอมเดี่ยว และทําปฏิกิริยากับกาซโอโซนเกิดกาซคลอรีนโมโนออกไซด (ClO) และกาซออกซิเจน นองๆอาจจะคิดวา ถาคลอรีนจํานวน 1 อะตอมสามารถทําลายกาซโอโซน 1 โมเลกุล ก็คงไมนาจะเปนปญหาอะไรแตพี่จะบอกวามันไมใชอยางที่นองๆคิด เพราะวาคลอรีน 1 อะตอม สามารถทําลาย
74 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya กาซโอโซน 1 โมเลกุล ไดนับพันครั้งเนื่องจากเมื่อคลอรีนโมโนออกไซดทําปฏิกิริยากับออกซิเจนอะตอมเดี่ยวแลว จะสามารถเกิดคลอรีนอะตอมเดี่ยวขึ้นอีกครั้งและเกิดเปนปฏิกิริยาลูกโซไปเรื่อยๆเชนนี้ จึงเปนการทําลายโอโซน อยางตอเนื่องแมวาปจจุบันนี้ จะมีการจํากัดการใชกาซประเภทนี้ใหนอยลง แตปริมาณของสารคลอโรฟลูออโร คารบอนยังคงสะสมอยูในชั้นบรรยากาศไมสูญหายไปไหน อีกทั้งยังเปนตนเหตุที่ทําใหมีพลังงานความรอนสะสม บนพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นอีกดวย โอโซน (O3 ) เปนกาซที่ประกอบดวยธาตุออกซิเจนจํานวน 3 โมเลกุล มีอยูเพียง 0.0008% ในบรรยากาศ โอโซนมีอายุอยูในอากาศไดเพียง 20 - 30 สัปดาหแลวก็สลายตัว โอโซนเกิดจากกาซออกซิเจน (O2) ดูดกลืน รังสีอุลตราไวโอเล็ตแลวแตกตัวเปนออกซิเจนอะตอมเดี่ยว (O) จากนั้นออกซิเจนอะตอมเดี่ยวรวมตัวกับ กาซออกซิเจนและโมเลกุลชนิดอื่นที่ทําหนาที่เปนตัวกลาง แลวใหผลผลิตเปนกาซโอโซนออกมา นองๆ อาจจะสงสัย วาที่ผานมากลาววา โอโซนชวยปองกันรังสีที่มายังโลก แลวทําไมถึงเปนปจจัยหนึ่งใหเกิดสภาวะโลกรอนขึ้นได คําตอบนั้นก็คือ กาซโอโซนมี 2 บทบาท หรือ พูดงายๆ เปนทั้งพระเอก และผูรายในกาซชนิดเดียวกัน ขึ้นอยูกับวา ระดับชั้นบรรยากาศที่อยูนั้นอยูชั้นไหน ซึ่งโอโซนที่อยูในชั้นสตราโตสเฟยรจะทําหนาที่ทําหนาที่กรองรังสี อุลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตยออกไป 99% กอนถึงพื้นโลก เพราะหากรางกายมนุษยไดรับรังสีนี้มากเกินไป จะทําใหเกิดมะเร็งผิวหนัง สวนจุลินทรียขนาดเล็กอยางเชนแบคทีเรียก็จะถูกฆาตาย สวนโอโซนที่อยูใน ชั้นโทรโพสเฟยรมีคุณสมบัติเปนกาซเรือนกระจกมากที่สุด ซึ่งจะดูดกลืนรังสีอินฟราเรดทําใหเกิดพลังงาน ความรอนสะสมบนพื้นผิวโลก โอโซนในชั้นนี้เกิดจากการเผาไหมมวลชีวภาพและการสันดาปของเครื่องยนต สวนใหญเกิดขึ้นจากการจราจรติดขัด เครื่องยนต เครื่องจักรและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งปะปนอยู ในหมอกควัน นั่นเอง ฯลฯ อาทิ กาซไฮโดรฟลูโรคารบอน (HFCS) กาซเปอรฟลูโรคารบอน (CFCS) และกาซซัลเฟอรเฮกซาฟลูโอโรด (SF6) เปนตน ผลกระทบจากภาวะโลกรอนหลักๆที่นองควรทราบมี 2 อยางไดแก ปรากฏการณเอลนิโญ ปรากฏการณนี้ ทําใหเกิดการกอตัวของเมฆและฝนเหนือนานนํ้าบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียง ใตจะลดลงและจะขยับไปทางตะวันออก ทําใหบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟกเขตศูนยสูตรรวมทั้งประเทศเปรูและ ประเทศเอกวาดอรมีปริมาณฝนมากกวาคาเฉลี่ย ขณะที่มีความแหงแลงเกิดขึ้นที่อินโดนีเซียอีกทั้งบริเวณเขตรอนของ ออสเตรเลีย (พื้นที่ทางตอนเหนือ) มักจะเริ่มฤดูฝนลาชานอก จากนี้ยังมีความเกี่ยวของเชื่อมโยงกับความผิดปกติของภูมิอากาศ ในพื้นที่ซึ่งอยูหางไกลดวยเชน ความแหงแลงทางตอนใตของแอฟริกา ในฤดูหนาวและฤดูรอนของซีกโลกเหนือ (ระหวางเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ และ เดือนมิถุนายน – สิงหาคม) รูปแบบของฝนและอุณหภูมิหลายพื้นที่ผิดไปจากปกติดวย เชนในฤดู หนาวบริเวณตะวันออกเฉียงใตของแอฟริกาและตอนเหนือของประเทศบราซิลแหงแลงผิดปกติ ขณะที่ทางตะวันตกของประเทศ แคนาดา และตอนบนสุดของอเมริกามีอุณหภูมิสูงผิดปกติ สวนบางพื้นที่บริเวณกึ่งเขตรอนของอเมริกาเหนือและอเมริกาใต บราซิลตอนเหนือถึงอารเจนตินาตอนกลาง มีปริมาณนํ้าฝนผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลตอการเกิดและการเคลื่อนตัวของพายุหมุนเขตรอนอีกดวย โดยปรากฏการณเอลนีโญไมเอื้อ อํานวยตอการกอตัวและการพัฒนาของพายุหมุนเขตรอนในมหาสมุทรแอตแลนติก ทําใหพายุหมุนเขตรอนในบริเวณที่พี่บอก ไปลดลง ในขณะที่บริเวณดานตะวันตกของประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกามีพายุพัดผานมากขึ้น สวนพายุหมุนเขตรอนใน มหาสมุทรแปซิฟกเหนือดานตะวันตกที่มีการกอตัวทางดานตะวันออกของประเทศฟลิปปนส มีเสนทางเดินของพายุขึ้นไปทาง เหนือมากกวาที่จะเคลื่อนตัวมาทางตะวันตกผานประเทศฟลิปปนสลงสูทะเลจีนใต ประเทศไทยโดยเฉพาะในชวงฤดูรอนและ ตนฤดูฝนมีปริมาณฝนตํ่ากวาปกติมากขึ้น สําหรับอุณหภูมิปรากฏวาสูงกวาปกติทุกฤดูโดยเฉพาะในชวงฤดูรอนและตนฤดูฝน และสูงกวาปกติมากขึ้นในกรณีที่มีขนาดปานกลางถึงรุนแรง อยางไรก็ตามในชวงกลางและปลายฤดูฝนไมสามารถหาขอสรุป
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 75 เกี่ยวกับสภาวะฝนในปเอลนีโญไดชัดเจนซึ่งพี่เชื่อวานองๆทุกคนคงไมอยากใหเกิดเพราะมันจะทําใหประเทศไทยรอน ปรากฏการณลานีญา ปรากฏการณนี้มีผลทําใหอากาศลอยขึ้นและกลั่นตัวเปนเมฆและฝนบริเวณมหาสมุทรแปซิฟก ตะวันตกเขตรอนทําใหประเทศออสเตรเลีย ประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟลิปปนสมีแนวโนมที่จะมีฝนมากและมีนํ้าทวม ขณะ ที่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟกเขตรอนทางดานภาคตะวันออกมีฝนนอยและแหงแลง นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลไปยังพื้นที่ซึ่งอยูหาง ไกลออกไปดวย ซึ่งพบวาแอฟริกาใตมีแนวโนมที่จะมีฝนมากกวาปกติและมีความเสี่ยงตออุทกภัยมากขึ้นดวยขณะที่บริเวณ ตะวันออกของทวีปแอฟริกาและตอนใตของทวีปอเมริกาใตมีฝนนอยและเสี่ยงตอการเกิดความแหงแลงทางดานประเทศ สหรัฐอเมริกาจะแหงแลงกวาปกติอุณหภูมิพื้นผิวบริเวณเขตรอนโดยเฉลี่ยจะลดลงและมีแนวโนมตํ่ากวาปกติในชวงฤดูหนาว ของซีกโลกเหนือทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟก บริเวณประเทศญี่ปุนและเกาหลีมีอุณหภูมิตํ่ากวาปกติ ขณะที่ทางตะวันตกเฉียงใตของมหาสมุทรรวมถึงพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียมีอุณหภูมิสูงกวาปกติ ทางดานประเทศไทยปริมาณฝนสวนใหญสูงกวาปกติโดยเฉพาะชวงฤดูรอนและตนฤดูฝนเปนระยะที่มีผลกระทบตอสภาวะฝน ของประเทศไทยชัดเจนกวาชวงอื่น ทวาในชวงกลางและปลายฤดูฝนมีผลกระทบตอสภาวะฝน ของประเทศไทยไมชัดเจน หาก พิจารณาดานอุณหภูมิปรากฏวาลานีญามีผลกระทบตออุณหภูมิในประเทศไทยชัดเจนกวาฝนโดยทุกภาคของประเทศไทยมี อุณหภูมิตํ่ากวาปกติทุกฤดู และพบวาลานีญาที่มีขนาดปานกลางถึงรุนแรงสงผลใหปริมาณฝนของประเทศไทยสูงกวาปกติมาก ขึ้นขณะที่อุณหภูมิตํ่ากวาปกติมากขึ้น 2. หินนํ้ามัน (Oil Shale) เปนหินตะกอนที่มีสารประกอบสําคัญ คือ เคอโรเจน แทรกอยูระหวางชั้นหินตะกอนเมื่อนองๆนํา หินนํ้ามันมาสกัดดวยอุณหภูมิที่สูงพอ เคอโรเจนจะสลายตัวใหนํ้ามันหิน ซึ่งหินนํ้ามันนี้นองเชื่อไหมวาเกิดจากการสะสมและ ทับถมตัวของซากพืชและสัตวเล็กๆ ภายใตแหลงนํ้าที่มีภาวะเหมาะสมคืออยูภายใตความกดดันสูงและมีปริมาณออกซิเจนจํากัด ซึ่งหินนํ้ามันมีองคประกอบที่สําคัญ 2 ประเภท (พี่เนนใหวา นองควรเขาใจ และแยกความแตกตางของทั้งสองชนิดดวยนะ) คือ สารประกอบอนินทรีย ไดแก แรธาตุตางๆ ที่ไดจากชั้นหิน ซึ่งประกอบดวยกลุมแรที่สําคัญ 3 กลุม คือ กลุมแรซิลิ เกต กลุมแรคารบอเนต และกลุมแรซัลไฟดและฟอสเฟต สารประกอบอินทรีย ประกอบดวย บิทูเมนและเคอโรเจน นอกจากหินนํ้ามันจะใชเปนเชื้อเพลิงหรือแหลงพลังงานไดแลว ยังสามารถนํามาผลิตเปนนํ้ามันกาด พาราฟน นํ้ามันหลอลื่น ไข แนฟทาลีน และนํ้ามันเชื้อเพลิงไดอีกดวย *** NOTE : 1. สารประกอบอินทรีย คือ สารที่ประกอบที่มีองคประกอบหลักเปน C, H และ O ซึ่งสารประกอบอินทรียสวน ใหญ มักพบในสิ่งมีชีวิต สวนสารประกอบอนินทรีย คือ สารที่มีธาตุอื่นเปนองคประกอบหลัก2. คําวา “องคประกอบหลัก” ใน ที่นี้หมายถึง มี % รอยละโดยมวลรวมกันแลวมีคามากกวาธาตุอื่นๆ 3. ปโตรเลียม (Petroleum) กอนอื่นพี่แนะนําใหนองๆ รูถึงรากศัพทของคําวา Petroleum กันกอนดีกวา รากศัพทของ Petroleum = Petra + Oleum ซึ่ง Petra ก็หมายถึงหิน (Rock) สวน Oleum คือนํ้ามัน (Oil) ดังนั้นปโตรเลียมจึงหมายถึง “นํ้ามันที่อยูในหิน” ปโตรเลียม จึงประกอบไปดวยสารไฮโดรคารบอนเปนหลัก และอาจมีธาตุไนโตรเจน ออกซิเจน และกํามะถัน เปนองคประกอบรวมอยูดวย ซึ่งมีสถานะทั้งในรูปของแข็งและกึ่งของแข็ง (มีชื่อเรียกหลากหลาย) ของเหลว หรือแกส เชน นํ้ามันดิบ (Crude Oil) และแกส ธรรมชาติ (Natural Gas) ตามลําดับดวยเหตุนี้จึงสามารถนํามาใชประโยชนในอุตสาหกรรมปโตรเคมีไดอยางหลากหลาย แต กอนอื่น พี่จะพานองๆ มาเริ่มจากการสํารวจหาแหลงปโตรเลียมกันกอน
76 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya การสํารวจหาแหลงปโตรเลียม ถึงตอนนี้ นองๆ นาจะรูกันแลววา ปโตรเลียมคืออะไร ตัวอยางเชนอะไรบาง พี่จะพานองๆ มารูจักกับการสํารวจหา แหลงปโตรเลียมกันดีกวา แหลงปโตรเลียมสวนใหญจะอยูใตพื้นดิน จึงตองมีการสํารวจและขุดเจาะขึ้นมาใชประโยชน ซึ่งก็มี วิธีการสํารวจอยูหลายวิธี ไมวาจะเปนการสํารวจทางธรณีวิทยา (ทําแผนที่ภาพถายทางอากาศ) การสํารวจทางธรณีฟสิกส (วัด คาความเขมของสนามแมเหล็กโลก) การวัดความโนมถวงของโลก การวัดคลื่นไหวสะเทือนและที่นิยมที่สุดคือ การเจาะสํารวจ เพื่อดูความยากงายของการขุดเจาะ จากนั้นจึงนําเขาสูกระบวนการกลั่นนํ้ามัน นอกจากนี้ยังตองสํารวจหาขอมูลทางดาน วิศวกรรมปโตรเลียมที่เกี่ยวของ เชน ความดันของแหลงปโตรเลียม อัตราการไหล ความสามารถในการผลิตปโตรเลียม และ ชนิดของปโตรเลียมในแหลงสะสมตัวอีกดวย 3.1 นํ้า มันดิบ(Crude Oil) นํ้ามันดิบที่ขุดพบจากการสํารวจนั้น ประกอบไปดวยสารไฮโดรคารบอนเปนหลัก แตก็มีสารประกอบอื่นเจือปนอยูจึง ตองทําการกลั่นแยกนํ้ามันดิบกอนนํามาใชงาน เพื่อใหเปนผลิตภัณฑนํ้ามันสําเร็จรูปชนิดตางๆ ตามตองการ และเหมาะสมตอ การใชประโยชน การกลั่นแยกนํ้ามันดิบ การกลั่นแยกนํ้ามันจะนิยมใชวิธีการกลั่นลําดับสวน (Fractional distillation) โดยนํานํ้ามันดิบมากลั่นในหอกลั่นลําดับ สวน เริ่มจากนํ้ามันดิบจะถูกสงผานเขาไปในเตาเผาที่มีอุณหภูมิสูงมาก หลังจากนั้นนํ้ามันดิบจะไหลผานไปในหอกลั่น ซึ่งใน หอกลั่นจะมีถาดเรียงกันเปนชั้น ๆ เมื่อสารไดรับความรอนจนถึงจุดเดือดจะควบแนนและกลั่นตัวลงมาเปนของเหลวในถาดชั้น นั้นๆ โดยชั้นบนสุดจะเปนชั้นที่นํ้ามันมีจุดเดือดตํ่าที่สุดนองๆ สงสัยไหมวา ทําไมถึงเปนเชนนี้ สาเหตุเนื่องจากวา สารที่มีจํานวน คารบอนนอย ทําใหมีจุดเดือดตํ่าและระเหยขึ้นไปไดสูง สวนชั้นถัดมาจะมีจุดเดือดสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังรูปแสดงการกลั่นแยกนํ้ามัน ดิบในหอกลั่นลําดับสวนทําใหสามารถแยกชนิดของนํ้ามันดิบออกจากกันได ตามชวงจุดเดือดที่ตางกัน ตามตารางลําดับ ผลิตภัณฑที่ไดจากการกลั่นลําดับสวน หรือ พูดงายๆ ก็คือวา ยิ่งสารที่เล็กยิ่งระเหยไดงาย รูปแสดงการกลั่นแยกนํ้ามันดิบในหอกลั่นลําดับสวน ที่มา : http://chemistryquiz.exteen.com/20081201/fractional-distillation
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 77 ตารางแสดงลําดับผลิตภัณฑที่ไดจากการกลั่นลําดับสวน และประโยขนที่ใช **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ตารางนี้ พยายามทําความเขาใจนะ ลําดับความคิดใหเปนแลวขอสอบจะเปนเรื่องงาย เชน ระหวาง แก็สหุงตม กับ นํ้ามันหลอลื่น ขอใดมีจุดเดือดตํ่ากวา นองๆ คิดไปพรอมๆ พี่นะ แก็สหุงตมมีสถานะเปนแก็ส นํ้ามันหลอลื่นมี สถานะเปนของเหลว แก็สยอมระเหยไดงายกวาของเหลว สารที่ระเหยไดงายกวาแสดงวาเปนสารที่ตัวเล็กกวา ดังนั้นแก็ สหุงตมจึงมีจุดเดือดตํ่ากวานํ้ามันหลอลื่นนั่นเอง เรื่องนี้ขอเนนอีกรอบ พยายามลําดับความคิดใหเปน เกร็ดความรูเพิ่มเติม** • คุณสมบัติพื้นฐานของแกสที่นองควรรูไดแก 1. คาความรอน (Heating Value) หมายถึงปริมาณความรอนที่เชื้อเพลิงที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส คายออก มาจากการทําปฏิกริยากับออกซิเจนและแกสไอเสียที่เกิดจากการเผาไหมถูกทําใหกลับมามีอุณหภูมิ 25 องศา เซลเซียสเหมือนเดิม 2. คาความถวงจําเพาะ (Specific Gravity) อากาศที่นองๆ รูจักกันดีนองมีคาความถวงจําเพาะเทากับ 1 ดังนั้น แกสที่มีคาความถวงจําเพาะมากกวา 1.0 เปนแกสที่มีความหนาแนนมากกวาอากาศ ซึ่งเมื่อรั่วไหลออกสู บรรยากาศในปริมาณมาก จะไหลลงไปที่พื้น แตจะลอยอยูเรี่ยๆ กับพื้น และคอยๆ กระจายออกสูบรรยากาศ อยางชาๆ 3. ความดันไอ )Vapour Pressure) คือ คาความดันของของเหลวที่ไดรับความรอนจนกระทั่งเกิดการเดือด 4. ความสามารถในการติดไฟ (Flammability) คาที่แสดงถึงความสามารถในการติดไฟ ยิ่งมีคามาก แสดงวา สามารถเกิดการติดไฟไดงาย 5. จุดติดไฟอัตโนมัติ (Autoignition Temperature) การที่เชื้อเพลิงจะเกิดการติดไฟหรือเผาไหมได จะตองมี จํานวนคารบอน ประเภท ประโยชน จุดเดือด (o C) 1 – 4 แกสปโตรเลียม แนฟทาเบา แนฟทาหนัก นํ้ามันเบนซิน นํ้ามันเบนซิน, ใชทําตัวทําละลาย แกสหุงตม, เชื้อเพลิง < 30 30 - 110 65 - 170 170 - 250 5 – 7 6 – 12 10 – 14 14 – 19 19 – 35 มากกวา 35 มากกวา 35 มากกวา 35 นํ้ามันเตา บิทูเมน นํ้ามันหลอลื่น ไข นํ้ามันหลอลื่น นํ้ามันหลอลื่น ใชกับเครื่องยนตเรือเดินสมุทร, เครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดใหญ ยางมะตอย > 350 > 500 > 500 > 500 นํ้ามันกาด นํ้ามันดีเซล เชื้อเพลิงเครื่องยนต, ใชกับ เครื่องกําเนิดไฟฟา 250 - 340 ใชกับตะเกียง, เชื้อเพลิง
78 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya องคประกอบ 3 ประการ คือ เชื้อเพลิง อากาศและพลังงาน (ความรอนหรือเปลวไฟ) แตเมื่อเชื้อเพลิงผสมกับ อากาศและมีอุณหภูมิสูงเพียงพอก็จะสามารถเผาไหมไดเองโดยไมตองมีประกายไฟ • คําวา แกสหุงตมนองๆ อาจจะยังไมคุน แตหากพี่บอกวา แก็ส LPG (Liqueified Petroleum Gas) นองๆ นาจะรูจักกันมากกวา นองรูหรือไมวาแก็ส LPG ประกอบดวยแกสโพรเพน (Propane) และแกสบิวเทน (Butane) เปนสวนประกอบหลักและจะบรรจุ ในสภาพเปนของเหลวโดยการอัดใหมีความดัน ประมาณ 100 - 130 ปอนดตอตารางนิ้วกระบวนการเกิดของแก็ส LPG เกิดได 2 วิธี คือ 1. ผลิตจากกระบวนการแยกแกสของแกสธรรมชาติ 2. ผลิตจากกระบวนการกลั่นนํ้ามันในโรงกลั่นนํ้ามันตางๆ • คําวา NGV (Natural Gas for Vehicle) ที่นองรูจักกันคือ กาซธรรมชาติสําหรับยานยนต ซึ่งมีคุณสมบัติที่สําคัญ คือ 1. สัดสวน ของคารบอนใน NGV นอยกวาเชื้อเพลิงชนิดอื่น และมีคุณสมบัติเปนกาซทําใหการเผาไหมสมบูรณ มากกวาเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปลอยออกจากเครื่องยนตใชกาซธรรมชาติมีปริมาณตํ่ากวาเชื้อเพลิงชนิดอื่นซึ่งเปนการชวยโลกทางหนึ่ง ที่นองๆสามารถทําได 2. เปนเชื้อเพลิงที่สะอาดไมกอใหเกิดควันดําหรือสารพิษที่เปนอันตรายตอสุขภาพของประชาชน ตัวอยางขอสอบ ขอใดคือเหตุผลหลักที่ผูประกอบการใชการกลั่นลําดับสวนแทนการกลั่นแบบธรรมดาในการกลั่นนํ้ามันดิบ 1. ในนํ้ามันดิบมีสารที่มีจุดเดือดใกลเคียงกันจึงแยกดวยการกลั่นแบบธรรมดาไมได 2. การกลั่นลําดับสวนจะไมมีเขมาที่เกิดจากการเผาไหมไมสมบูรณ 3. การกลั่นแบบธรรมดาตองใชเชื้อเพลิงมากกวาการกลั่นลําดับสวน 4. การกลั่นแบบธรรมดาจะไดสารปรอทและโลหะหนักออกมาดวย เฉลยขอ 1 การกลั่นนํ้ามันดิบจะใชวิธีการกลั่นลําดับสวน เนื่องจากมีสารที่มีจุดเดือดใกลเคียงกัน ทําใหไมสามารถแยกไดดวย การกลั่นแบบธรรมดา ตัวอยางขอสอบ สมบัติของตัวทําละลายในอุตสาหกรรมเคมีที่ไดจากการกลั่นปโตรเลียมขอใดถูกตอง 1. ประกอบดวยสารไฮโดรคารบอนที่มีจํานวนคารบอนนอยกวา 5 อะตอม 2. เปนสารไฮโดรคารบอนที่ละลายนํ้าได 3. มีจุดเดือดสูงกวานํ้ามันดีเซล 4. มีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิและความดันปกติ เฉลยขอ 4 มีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิและความดันปกติเพราะตัวทําละลายในอุตสาหกรรมเคมีจะตองเปนของเหลวที่ อุณหภูมิและความดันปกติจึงสามารถใชงานได ตัวอยางขอสอบ จากภาพการกลั่นนํ้ามันปโตรเลียม
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 79 a. จํานวนอะตอมของคารบอน A มากกวา B b. จุดเดือดและความหนืดของ A มากกวา C c. เปนกระบวนการแยกทางกายภาพดวยการกลั่นแบบลําดับสวน จงพิจารณาขอความ ขอใดผิด 1. ขอ a และ b เทานั้น 2. ขอ a และ c เทานั้น 3. ขอ b และ c เทานั้น 4. ขอ a, b และ c เฉลยขอ 1 ขอ a และ b เทานั้นจากภาพพี่เชื่อวานองๆ นาจะทราบวาเปนการกลั่นลําดับสวน ที่เมื่ออุณหภูมิมากขึ้นจะทําให นํ้ามันที่มีจุดเดือดตํ่า ความหนืดนอย มวลโมเลกุลตํ่า หรือจํานวนอะตอมของคารบอนนอยกวานั้นจะสามารถระเหยขึ้นไปไดสูงกวา นํ้ามันที่ควรรูจัก ตอนนี้พี่จะพานองๆ มาทําความรูจักกับนํ้ามันกันตอดีกวา นํ้ามันมีอยูดวยกันหลายประเภท ทั้งที่ไดมาจากการกลั่นแยก นํ้ามันดิบ และที่คิดคนขึ้นมาใหมจากเทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้นนองๆ จึงควรรูจักและเลือกใชใหเหมาะสมกับการใชงาน (ถึงตอนนี้ พี่อยากจะใหนองๆ สังเกตดูวา ที่บานของนองๆ ใชนํ้ามันชนิดไหนกันบาง แลวเรามาดูคุณสมบัติของนํ้ามันแตละ ประเภทกันเลย) นํ้ามันเบนซินหรือแกสโซลีน เปนเชื้อเพลิงที่ระเหยไดงาย ไดมาจากการกลั่นนํ้ามันดิบในโรงกลั่นในประเทศไทยนิยม ใชเปนเบนซิน 91 และเบนซิน 95 นํ้ามันดีเซลแบงเปน 2 ชนิด คือ นํ้ามันดีเซลหมุนเร็วหรือโซลา ใชกับเครื่องยนตที่มีความเร็วรอบสูงเกิน 1,000 รอบตอนาที เชน รถยนตเครื่องยนตดีเซล นํ้ามันดีเซลหมุนชาหรือขี้โล ใชกับเครื่องยนตที่มีความเร็วรอบตํ่ากวา 1,000 รอบตอนาที เชน เครื่องจักรโรงงาน เครื่องยนต เดินทะเล แกสโซฮอลมาจากคําวา Gasoline + alcohol เปนเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมระหวางนํ้ามันเบนซินกับเอทานอล แกส โซฮอลถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเปนพลังงานทางเลือกทดแทนนํ้ามันเบนซิน โดยมีการเผาไหมที่สมบูรณขึ้น เนื่องจากโครงสรางทาง เคมีของแอลกอฮอล ทําใหลดมลพิษในอากาศ อีกทั้งแกสโซฮอลมีราคาตํ่ากวานํ้ามันเบนซินโดยทั่วไป ***NOTE : นองๆ มักจะเห็นตามปมนํ้ามันเวลาคุณพอคุณแมเติมนํ้ามัน เชน Gasohol E20 นองๆ รูหรือไมวา คําวา E20 หมาย ถึงนํานํ้ามันเบนซิน มาผสมกับเอทานอลบริสุทธในอัตราสวน 80 : 20 รึพูดงายๆ คือ เบนซิน 80 สวนผสมกับเอทานอลบริสุทธ 20 สวนนั่นเอง ดีโซฮอล มาจากคําวา Diesel + alcohol เปนเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมระหวางนํ้ามันดีเซลกับเอทานอลพบวาดีโซ ฮอลสามารถลดควันดําไดรอยละ 50 แตมีตนทุนการผลิตที่มีราคาแพง จึงไปผลิตไบโอดีเซลแทน ไบโอดีเซลจัดเปนสารประเภทเอสเทอร ที่ผลิตจากนํ้ามันพืช นํ้ามันสัตว ผานกระบวนการทรานสเอสเตอริฟเคชัน (Transesterification Process) โดยใชนํ้ามันทําปฏิกิริยากับแอลกอฮอล ซึ่งไบโอดีเซลถือเปนพลังงานทดแทนดีเซลได เปนอยางดี การบอกคุณภาพของนํ้ามัน เลขออกเทน ใชบอกคุณภาพนํ้ามันเบนซิน ซึ่งเปนคาตัวเลขที่แสดงเปนรอยละโดยมวลของไอโซออกเทนในของผสม ระหวางไอโซออกเทนและเฮปเทนหรือ เปอรเซ็นตของไอโซออกเทนในสวนผสมระหวางไอโซออกเทนและเฮปเทน ซึ่งแสดง ถึงความสามารถในการตอตานการชิงจุดระเบิดของเครื่องยนต
80 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya โครงสรางของไฮโดรคารบอนที่เปนกิ่งจะมีคุณคาดีกวาโครงสรางแบบโซตรง และสามารถกําหนดเลขออกเทนได ดังนี้ - เลขออกเทน 100 คือ นํ้ามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหมไดดีเหมือนกับไอโซออกเทน - เลขออกเทน 0 คือ นํ้ามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหมเหมือนกับเฮปเทน **NOTE : 1. นํ้ามันเบนซินคาออกเทน 87 มีสีเขียวนําไปใชกับมอเตอรไซดเครื่องยนตสองจังหวะ และรถยนตที่มีเครื่องยนตเบนซิน รุนเกาที่มีกําลังอัดในหองเผาไหมนอยกวา 8.5 ตอ 1 2. นํ้ามันเบนซินคาออกเทน 91 มีสีแดงนําไปใชกับรถยนตที่มีเครื่องยนตสี่จังหวะและมีกําลังอัดในหองเผาไหมตั้งแต 8.5 - 10.0 ตอ 1 3. นํ้ามันเบนซินคาออกเทน 95 มีสีเหลืองนําไปใชกับรถยนตที่มีเครื่องยนตเบนซินสี่จังหวะและมีกําลังอัดในหองเผา ไหมมากกวา 10.0 ตอ 1 4. การใชนํ้ามันที่มีคาออกเทนสูงกวาคาที่กําหนดไวบนยานพาหนะ ไมทําใหเครื่องมี กําลังเพิ่มขึ้น หรือ ขับไดเร็วขึ้นแต อยางใด เพียงแตจะเพิ่มคาใชจายใหมากกวาตางหาก 5. การใชนํ้ามันที่มีคาออกเทนตํ่ากวาที่กําหนดไวบนยานพาหนะ อาจทําใหเครื่องยนตเสียหายได 6. ความแรงของยานพาหนะ ไมขึ้นกับชนิดของนํ้ามัน แตขึ้นกับสภาพการใชงาน การดูแลบํารุงรักษา และสภาพ เครื่องยนตในขณะนั้น เชน นํ้ามันเบนซินที่มีเลขออกเทน 95 จะมีสมบัติการเผาไหมเชนเดียวกับเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมไอ โซออกเทนรอยละ 95 กับเฮปเทนรอยละ 5 โดยมวล การเพิ่มเลขออกเทนใหนํ้ามันเบนซิน หากตองการใหคุณภาพนํ้ามันดีขึ้นคือ ตองมีเลขออกเทนสูงขึ้น มีวิธีการเติมสารเพิ่มเลข ออกเทนได 2 วิธี คือ 1. เติมเตตระเมทิลเลด (TML : [Pb (CH3 ) 4 ]) หรือ เตตระเอธิลเลด (TEL : [Pb (CH3 CH2 ) 4 ]) ลงในนํ้ามันเบนซิน ทําให นํ้ามันมีเลขออกเทนสูงขึ้น แตจะกอใหเกิดสารปรอท (Pb)เปนสารมลพิษตามมา 2. เติม เมทิลเทอรเทียรีบิวทิลอีเทอร (Methyl Tertiary Butyl Ether ; MTBE) อาจเรียกกันวา นํ้ามันไรสารตะกั่ว หรือยู แอลจี (Unleaded gasoline ; ULG) ทําใหนิยมใช MTBE มากกวา TEL, TML เพราะไมเกิดมลภาวะในภายหลัง MTBE
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 81 เลขซีเทนใชบอกคุณภาพนํ้ามันดีเซล ซึ่งเปนคาตัวเลขที่แสดงเปนรอยละโดยมวลของซีเทน ในของผสมระหวางซี เทนและแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน ซึ่งเกิดการเผาไหมหมด กําหนดเลขซีเทนได ดังนี้ - เลขซีเทน 100 คือ นํ้ามันดีเซลที่มีสมบัติในการเผาไหมดีเหมือนกับซีเทน - เลขซีเทน 0 คือ นํ้ามันดีเซลที่มีสมบัติในการเผาไหมเหมือนกับแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน สรุปการบอกคุณภาพของนํ้ามัน **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย อยาลืมจําสูตรเคมีตางๆ นะ สําคัญมากสําหรับบทนี้ เพราะถานองจําสูตรได โครงสรางกเขียนได ชิวๆ เลย ตัวอยางขอสอบ ถาผสมนํ้ามันเบนซิลที่มีคาออกเทนเทากับ80 กับไอโซออกเทน ดวยอัตราสวน 3:1 จะทําใหไดนํ้ามันเบนซิลที่มีคาออกเทนเปน เทาใด 1. 95 2. 87 3. 85 4. 83 เฉลย ขอ3 มีคาออกเทน 85 โดยคิดจาก ถานํ้ามันมีคาออกเทน 300 สวน จะมีคุณภาพเหมือนไอโซออกเทน 240 สวน และถา มีคาออกเทน 100 สวนจะไดวามีคุณภาพเหมือนไอโซออกเทน100 สวน (อัตราสวน 3 : 1) จากนั้นผสมกันเปน 400 สวน จะมี ไอโซออกเทน 240+100 = 340 สวน เทียบไดเปน (340/400)*100 = 85 ตัวอยางขอสอบ นํ้ามันเบนซินชนิด 1 และ 2 มีเลขออกเทน 95 และ 75ตามลําดับ มีองคประกอบเปนสารที่มีโครงสรางในรูป A และ B เลขออกเทน – คุณภาพนํ้ามันเบนซิน เลขซีเทน – คุณภาพนํ้ามันดีเซล A B
82 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya พิจารณาขอความตอไปนี้ ก. นํ้ามันเบนซิน 1 มีสาร B มากกวาเบนซิน 2 ข. นํ้ามันเบนซิน 1 มีสาร A 95 สวน แตเบนซิน แตเบนซิน 2 มีสาร A เพียง 75 หนวย ค. สาร B ทําใหประสิทธิภาพการเผาไหมของนํ้ามันเบนซิน 1 มากกวาเบนซิน 2 ง. การเติมสาร B ลงในนํ้ามันเบนซิน 1 และ 2 เปนการเพิ่มคุณภาพ เพราะเลขออกเทนสูงขึ้น ขอใดถูก 1.ข เทานั้น 2. ก, ค และ ง เทานั้น 3.ข, ค และ ง เทานั้น 4. ก, ข, ค และ ง เฉลยขอ 2 ก, ค และ ง เทานั้นที่ถูกตอง เนื่องจากสาร A คือ เฮปเทน และสาร B คือไอโซออกเทน การปรับคุณภาพนํ้ามัน 1. กระบวนการแตกสลาย (Cracking) แตกโมเลกุลขนาดใหญเปนโมเลกุลขนาดเล็กโดยใชความรอนตัวเรงปฏิกิริยาและ ความดันตํ่า C 10 H 22 C 8 H 16 + C 2 H 6 2. รีฟอรมมิง (Reforming) การเปลี่ยนรูปแบบโครงสรางสาร เชน โซตรงเปลี่ยนเปนโซกิ่ง หรือ โครงสรางแบบวงเปลี่ยน เปนอะโรมาติก โดยใชความรอนตัวเรงปฏิกิริยา 3. แอลคิเลชัน (Alkylation) เปนการรวมโมเลกุลของแอลเคนกับแอลคีนใหยาวขึ้นหรือมีกิ่งมากขึ้น Catalyst heat Catalyst heat H2 SO4 +
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 83 4. โอลิโกเมอไรเซชัน (Oligomerization) เปนการรวมตัวของโมเลกุลเล็กๆ ที่ยังไมอิ่มตัว (มีพันธะคู หรือ พันธะสาม) โดยใช ความรอนหรือตัวเรงปฏิกิริยาและเกิดเปนผลิตภัณฑที่ยังมีพันธะคูเหลืออยู 3.2 แกสธรรมชาติ(Natural Gas) แกสธรรมชาติ มีลักษณะเปนแกสที่ไมมีสีไมมีกลิ่น และมีสถานะเปนแกสที่อุณหภูมิและความดันปกติ โดยเกิดจากการ ทับถมและแปรสภาพของอินทรียสารในชั้นหินใตผิวโลก แกสธรรมชาตินี้จะประกอบไปดวยสารประกอบไฮโดรคารบอนหลาย ชนิดเชน มีเทน (CH4 ) อีเทน (C2 H6 ) โพรเพน(C3 H8 ) บิวเทน (C4 H10) ฯลฯ รวมถึงยังมีสารประกอบอื่นที่ไมใชไฮโดรคารบอน เชน นํ้า (H2 O) คารบอนไดออกไซด (CO2 ) ไฮโดรเจนซัลไฟด (H2 S) และไอปรอท (Hg) ปนอยูดวย จึงตองนํามาผานกระบวนการ แยกแกสธรรมชาติตอไป การแยกแกสธรรมชาติ การแยกแกสธรรมชาติ ทําเพื่อแยกสารที่ไมตองการออก จากนั้นนําแกสผสมที่ผานการแยกแกสที่ไมตองการออกแลวไปเพิ่ม ความดันและลดอุณหภูมิจนกลายเปนของเหลว และนําเขาสูหอกลั่นเพื่อแยกแกสตางๆ สามารถสรุปเปนขั้นตอนได ดังนี้ 1. แยกแกสเหลวออกจากแกสธรรมชาติ โดยผานหนวยแยกของเหลว 2. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดปรอท เนื่องจากไอปรอทมีผลตอการสึกกรอนของระบบทอแกสและเครื่องมือตางๆ 3. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดแกสคารบอนไดออกไซด โดยใหทําปฏิกิริยากับโพแทสเซียมไฮดรอกไซด (KOH) 4. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดความชื้น นั่นคือกําจัดไอนํ้า โดยใชสารดูดซับที่มีรูพรุนสูงและสามารถดูดซับนํ้าออกจาก แกสได 5. ทําใหแกสเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดยการเพิ่มความดันและลดอุณหภูมิลง นําแกสเหลวที่ได ไปรวมกับแกส เหลวที่แยกไวในขั้นตอนที่ 1 6. ผานไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแกสมีเทน โพรเพน และบิวเทนตามลําดับโดยการเพิ่มอุณหภูมิ ผลิตภัณฑที่ไดจากแกสธรรมชาติ 1. มีเทน (Methane) เปนสารที่มีอยูมากในแกสธรรมชาติ ใชเปนเชื้อเพลิงสําหรับการ ผลิตกระแสไฟฟาหรือเปน เชื้อเพลิงรถยนตและใชผลิตสารที่สําคัญของโรงงาน อุตสาหกรรม เชน ผลิตกาว ปุยเคมีแอมโมเนีย เปนตน 2. อีเทน (Ethane) ใชผลิตเชื้อเพลิง และการผลิตพลาสติกในอุตสาหกรรมปโตรเคมี 3. โพรเพน (Propane) ใชสําหรับผลิตพลาสติกในอุตสาหกรรมปโตรเคมี 4. บิวเทน (Butane) ใชเปนวัตถุดิบในการผลิตยางเทียมและไนลอน 5. เพนเทน (Pentane) ใชในการผลิตปุยและเมทานอล 6. คารบอนไดออกไซด (Carbon dioxide) ใชในการถนอมอาหาร,ผลิตนํ้าอัดลมหรือ ผลิตนํ้าแข็งแหง 7. แกสโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline ; NGL) ประกอบดวยแกสเพนเทน เฮกเซนและสารประกอบอื่น ๆ ที่มี คารบอนผสมอยูตั้งแต C5 H12 ขึ้นไป โดยแกสชนิดนี้สามารถนํามากลั่นเปนนํ้ามันเบนซิน เปนวัตถุดิบสําหรับเปนตัวทําละลาย และใชในโรงงานอุตสาหกรรมปโตรเคมีได +
84 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 8. แกสปโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas ; LPG) ประกอบดวยแกสโพรเพนและบิวเทน ใชเปนเชื้อเพลิง ในการหุงตมในอุตสาหกรรมและครัวเรือน อีกทั้งยังใชเปนเชื้อเพลิงสําหรับรถยนตและโรงงานอุตสาหกรรมไดดวย 4. ปโตรเคมีภัณฑ ตอนนี้พี่เชื่อวา นองๆคงเชี่ยวชาญในความรูพื้นฐานของทั้งแก็ส และนํ้ามัน ชนิดตางๆ แลว ดังนั้น พี่จะพานองๆ มา รูจักกับคําวา ปโตรเคมีภัณฑกันดีกวา ปโตรเคมีภัณฑเปนการนําผลิตภัณฑที่ไดจากการแยกนํ้ามันดิบและแกสธรรมชาติ มาใช เปนสารตั้งตนในอุตสาหกรรมปโตรเคมี โดยสามารถแบงไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1. อุตสาหกรรมขั้นตน เปนการนําสารประกอบไฮโดรคารบอนที่ไดจากแกสธรรมชาติหรือนํ้ามันดิบมาผลิตสารโมเลกุลขนาด เล็กที่เรียกวา มอนอเมอร (monomer) เชน อีเทนและโพรเพนผลิตเอทิลีนและโพรพิลีน แนฟทาผลิตเบนซีน โทลูอีน และไซลีน เบนซีนทําปฏิกิริยากับเอทิลีนไดเปนสไตรีนที่ใชผลิตพอลิสไตรีน 2. อุตสาหกรรมขั้นตอเนื่อง เปนการนํามอนอเมอรที่ไดจากอุตสาหกรรมขั้นตนมาผลิตสารโพลิเมอร (Polymer) ซึ่งกลายเปน โมเลกุลขนาดใหญขึ้น ผลิตภัณฑจากอุตสาหกรรมตอเนื่องนี้ จะนําไปใชเปนสารตั้งตนในอุตสาหกรรมตางๆ ตอไป 5. มลพิษจากปโตรเคมีภัณฑ เชื่อไหมวา นองๆ ทุกคนก็เคยเปนผูสรางมลพิษที่เกิดจากผลิตภัณฑปโตรเคมีภัณฑ ทําไมพี่ถึงพูดเชนนี้ เพราะชีวิต ประจําวันของคนเราไมสามารถเลี่ยงจากการสรางมลพิษได ดังนั้นพี่จะพานองๆ มารูถึงผลกระทบตอสิ่งแวดลอมกันกอน ผลก ระทบตอสิ่งแวดลอมเกิดจากการเผาไหมถานหินหรือปโตรเลียมเปนสิ่งที่มนุษยใชเปนประจําในทุกๆ วัน ไมวาจะเปนการใชนํ้ามัน หรือแกสในการเดินทางหรือขนสง การผลิตกระแสไฟฟา การทําผลิตภัณฑตางๆ เชนการผลิตยา พลาสติก และสบู จึงเกิดเปน มลพิษสูสิ่งแวดลอมเปนจํานวนมาก ทั้งที่เกิดจากการผลิตและการใชปโตรเคมี โดยมีสาเหตุหลักอยู 2 ประการ คือ การเพิ่ม จํานวนของประชากรและความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี ซึ่งสามารถจําแนกมลพิษออกไดเปน 3 ทาง ไดแก 1. มลพิษทางอากาศ พี่เชื่อวา นองๆ ทุกคนเคยสรางมลพิษทางอากาศแนนอน อากาศที่มีสารเจือปนอยูในปริมาณที่สูงกวาระดับปกติเปน เวลานาน และทําใหเกิดอันตรายแกมนุษย สัตว พืช หรือทรัพยสินตางๆ มีทั้งมลพิษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน ไฟไหม ภูเขาไฟระเบิด แผนดินไหว และที่เกิดจากการกระทําของมนุษย ไดแก มลพิษจากทอไอเสียของรถยนต การใชสารทําความเย็น การผลิตในขั้นตางๆ จากกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะ เปนตน แกสคารบอนไดออกไซด(CO2 ) มาจากการเผาไหมเชื้อเพลิงตางๆ เมื่อปลอยสูชั้นบรรยากาศในปริมาณมาก จะเกิด ปรากฏการณเรือนกระจก เนื่องจากจะเก็บความรอนบางสวนไวในโลกไมใหสะทอนกลับสูบรรยากาศทั้งหมด จนกลายเปนภาวะ โลกรอน แกสคารบอนมอนอกไซด (CO) เปนแกสที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น เกิดจากการเผาไหมที่ไมสมบูรณเชื้อเพลิงของรถยนต สามารถเขาสูรางกายไดทางลมหายใจ เมื่อรวมตัวกับฮีโมโกลบิน จะขัดขวางการลําเลียงและขนสงกาซออกซิเจนของเลือดไป ยังสวนตางๆของรางกาย จนมีภาวะเลือดเปนกรดและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได แกสซัลเฟอรไดออกไซด (SO2 ) เปนแกสที่ไมมีสี แตมีกลิ่นฉุนกอใหเกิดอันตรายตอระบบทางเดินหายใจ และเปน สาเหตุของฝนกรด (pH ตํ่ากวา 5.6) ซึ่งจะทําลายระบบนิเวศน ปาไม และแหลงนํ้า รวมถึงการกัดกรอนทําลายสิ่งกอสรางและ โบราณสถาน แกสไนตริกออกไซด (NO) และแกสไนโตรเจนไดออกไซด (NO2 ) เกิดจากการสันดาปของเชื้อเพลิงที่มีไนโตรเจนเปน องคประกอบหรือมาจากแหลงอุตสาหกรรม ซึ่งเปนอันตรายตอระบบทางเดินหายใจ โลหะผุกรอน เปนสาเหตุของฝนกรด และ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 85 ทําใหพืชผลเสียหายและสีซีดจาง สารประกอบไฮโดรคารบอน มาจากการเผาไหมเชื้อเพลิงไมหมด มีผลตอระบบทางเดินหายใจ สารคลอโรฟลูออโรคารบอน (Chlorofluorocarbon; CFC) เปนสารใชทําความเย็น สารขับดันในกระปองสเปรย และ สารในอุตสาหกรรมโฟม สาร CFC ทําลายชั้นโอโซนในบรรยากาศและทําใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก 2. มลพิษทางนํ้า นํ้าเสีย คือ นํ้าที่มีสิ่งเจือปน ซึ่งมาจากแหลงกําเนิดตางๆ ไดแก อาคารบานเรือนชุมชนโรงงานอุตสาหกรรมและการ ทําการเกษตร สวนสารที่ทําใหเกิดมลพิษทางนํ้า ไดแก สารอินทรีย ฟอสเฟต และนํ้ามัน โดยเฉพาะนํ้ามันถือเปนสวนที่เกี่ยวของ กับอุตสาหกรรมปโตรเลียมโดยตรง เมื่อไหลลงสูแหลงนํ้าจะลอยอยูบนผิวนํ้า ทําใหออกซิเจนในอากาศไมสามารถละลายลงสู แหลงนํ้าได สัตวนํ้าในบริเวณนั้นจึงขาดออกซิเจนและตายลงในที่สุด การบอกคุณภาพนํ้า DO (Dissolved Oxygen) คือ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยูในนํ้า ซึ่งควรจะมีคา DO ไมนอยกวา 3 mg/dm3 BOD (Biological Oxygen Demand) คือ ปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียใชยอยสลายสารอินทรียในนํ้า มีคาไมควรเกิน 100 mg/dm3 COD (Chemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณออกซิเจนที่สารเคมีใชในการยอยสลายสารอินทรียในนํ้า ซึ่งควร มีคานอยๆ 3. มลพิษทางดิน มลพิษดานสุดทายนี้ คือ ปญหามลพิษของดินซึ่งเกิดจากการทําลายสมดุลทางธรรมชาติจนกอใหเกิดมลภาวะทางภาค พื้นดิน ดินเปนอนุภาคที่มีขนาดเล็ก อีกทั้งสามารถฟุงกระจายไปในอากาศความรุนแรงของมลพิษทางดินขึ้นอยูกับอนุภาคดิน นั้นมีองคประกอบอยางไรสภาพทางอุตุนิยมวิทยา สภาพพื้นที่ เปนตนหากอนุภาคดินถูกพัดพาไปยังแหลงนํ้าดินที่เปนมลสาร จะกอใหเกิดปญหามลพิษทางนํ้า โดยตรงทั้งทางคุณภาพและปริมาณ อีกทั้งยังกอใหเกิดปญหาโดยออมเมื่ออนุภาคดินนั้นมี ธาตุอาหารที่สงเสริมการเจริญเติบโตของพืชนํ้า กอใหเกิดภาวะขาดออกซิเจนในแหลงนํ้าสัตวนํ้าในแหลงนํ้านั้นไดรับผลกระทบ เกิดกลิ่นเหม็นของกาซไขเนา (hydrogen sulfide, H2 S) อันตรายของมลภาวะทางดินตอสิ่งมีชีวิต ไดแก 1. อันตรายตอมนุษย ตัวอยางเชนพิษของสารประกอบไนเทรตไนไทรตในยาปราบศัตรูพืช จากนํ้าดื่ม นํ้าใชในแหลง เกษตรกรรมและจากผลผลิตทางการเกษตร เชน ผัก ผลไม จนถึงระดับที่เปนพิษตอรางกายได 2. อันตรายตอสัตว สัตวที่หากินในดินจะไดรับพิษจากการสัมผัสสารพิษในดินโดยตรงและจากการบริโภคอาหารที่มีสาร พิษปะปนอยู 3. อันตรายตอพืชและสิ่งมีชีวิตในดิน พืชจะดูดซึมสารพิษเขาไป ทําใหเจริญเติบโตผิดปกติ ผลผลิตตํ่า หรือเกิดอันตราย และการสูญพันธุขึ้น จากการศึกษามลพิษทางดานตางๆ ไป นองๆ รูสึกเหมือนพี่ไหมวา ชีวิตคนเรานี่อยูไมหางไกลจากมลพิษเลย ดังนั้นทาง ที่ดีที่สุด พวกเราจึงควรดูแลรักษาสุขภาพใหดีอยูเสมอ ออกกําลังกายเปนประจํา ทานอาหารที่มีประโยชนใหครบ 5 หมู และ ถูกสุขอนามัย เทานี้นองก็จะสามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมที่มีแตมลพิษไดอยางสบายๆ นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่ Tag : สอนศาสตร เคมี เชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพ ถานหิน ปโตเลียม ผลิตภัณฑเคมี แกสธรรมชาติ นํ้ามัน
86 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya • 16 : ปโตเลียมและพอลิเมอร http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-1 • สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : เชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพและผลิตภัณฑ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-2 • เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-3 • เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-4 • เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-5 • แกสธรรมชาติ (Natural Gasses) http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-6 • นํ้ามันดิบ (Oil) http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-7
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 87 บทที่ 5 พอลิเมอร (Polymer) Introduction ในบทผานๆ มา สารเคมีที่นองๆ พบเจอ มักจะเปนสารเคมีเพียงตัวใด ตัวหนึ่ง อาจจะตัวเล็ก ตัวใหญปะปนกันไป แต ในบทนี้ สารเคมีที่นองๆ จะไดพบ ไมเพียงแตจะเปนสารเคมีที่มีโครงสรางขนาดใหญ แตพี่ขอบอกวา มันใหญมากเลยทีเดียว จนไมสามารถเขียนเต็มๆ ได ทางเดียวที่นองจะเขียนสูตรโครงสรางของสารจําพวกนี้ได คือ นองตองเขียนอยางยอ และที่ สําคัญสารประเภทนี้ อยูรอบๆตัวนองทั้งนั้นเลย ซึ่งพี่ขอเรียกสารเหลานี้วาเปนสารตระกูล “พอลิเมอร” กอนที่จะเขาสูบท เรียน พี่อยากใหนองๆลองพิจารณาถึงสิ่งรอบตัววา นองๆ คิดวาสิ่งรอบตัวนองนั้น มีสิ่งใดบางที่นาจะจัดเปนสารตระกูล พอ ลิเมอร Outlines 1. ความหมาย และชนิดของพอลิเมอร 2. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร 3. โครงสรางและสมบัติของพอลิเมอร 4. พลาสติก 5. เสนใย 6. ยาง 7. ความกาวหนาทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมพอลิเมอร 1. ความหมายและชนิดของพอลิเมอร พอลิเมอร คือ สารที่มีนํ้าหนักมวลโมเลกุลสูง สามารถพบไดในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และนํามาใชประโยชนตอการดํารงชีวิตของ มนุษยไดมาก อีกทั้งยังมีบทบาทสําหรับกระบวนการในอุตสาหกรรมตางๆ เชน พลาสติก ยางพารา และเสนใยสังเคราะห เปนตน โดยพอลิเมอรบางชนิดสามารถเกิดขึ้นไดเองตามธรรมชาติ เชนคารโบไฮเดรต เซลลูโลส โปรตีน และยางธรรมชาติ และบางชนิดไดจากการสังเคราะหขึ้น เชน พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิไวนิลคลอไรด และพอลิเมทิลเมทาคริเลต เปนตน กอนที่จะศึกษาตอ พี่จะพานองๆ มารูจักกับรากศัพทของคําวา พอลิเมอรกันกอนดีกวา คําวา พอลิเมอร นั้นเปนทับศัพทมาจาก ภาษาอังกฤษที่เขียนวา Polymer ซึ่ง Polymer มีรากศัพทมาจาก Poly + Meros ซึ่ง Poly หมายถึง จํานวนมากและ Meros คือ สวนหรือหนวย เมื่อรวมกันจะหมายความวาสารโมเลกุลขนาดใหญที่ประกอบดวยหนวยซํ้าๆ กันของมอนอเมอร (Monomer) มาเชื่อมตอกันดวยพันธะโคเวเลนต ดังภาพ
88 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ชนิดของพอลิเมอร พอลิเมอรเปนสารที่มีอยูหลากหลายชนิด แตละชนิดจะมีการกําเนิด คุณสมบัติ องคประกอบ และประโยชนที่ใชแตกตางกัน ออกไปจึงมีการจัดจําแนกประเภทพอลิเมอรตามเกณฑ ดังนี้ • พิจารณาตามการกําเนิดแบงได 2 ชนิด คือ - พอลิเมอรธรรมชาติ (Natural Polymers) พอลิเมอรชนิดนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินองสามารถพบไดในสิ่งมี ชีวิตซึ่งจะมีความแตกตางกันไปตามชนิดของสิ่งมีชีวิตและตําแหนงที่นองๆสามารถพบในสิ่งมีชีวิตไดเชนไกลโคเจน กรดนิวคลี อิก เซลลูโลสเสนใยพืช และไคติน - พอลิเมอรสังเคราะห (Synthetic Polymers) เปนพอลิเมอรที่มนุษยเปนผูสังเคราะหขึ้น โดยการนําสารมอนอ เมอรจํานวนมากมาทําปฏิกิริยาเคมีกันภายใตสภาวะที่เหมาะสม และเกิดพันธะโคเวเลนตตอกันจนกลายเปนโมเลกุลพอลิเมอร ไดแก พลาสติก ไนลอน ยางสังเคราะห และเสนใยสังเคราะห เปนตนซึ่งพอลิเมอรสังเคราะหนี้ นองๆจะไมสามารถหาจาก ธรรมชาติได เพราะตองผานกรรมวิธี หรือ แปรรูปออกมาตามความตองการเทานั้น • พิจารณาตามมอนอเมอรที่เปนองคประกอบแบงได 2 ชนิด คือ - โฮโมพอลิเมอร (Homo polymer) เปนพอลิเมอรที่เกิดจากมอนอเมอรชนิดเดียวกันทั้งหมดมาตอกัน (คําวา Homoหมายถึง ชนิดเดียว) เชน โฮโมพอลิเมอรธรรมชาติ: แปง เซลลูโลส และไกลโคเจน ตางก็มีมอนอเมอรคือกลูโคสสวนยางธรรมชาติมีมอนอเมอร คือไอโซพรีน โฮโมพอลิเมอรสังเคราะห: พอลีเอทิลีน มีมอนอเมอรคือเอทิลีน สวนพอลีสไตรีน มีมอนอเมอรคือสไตรีนสามารถแสดงเปน ภาพการตอกันของมอนอเมอรได ดังนี้ ตัวอยางโครงสรางของเซลลูโลส - โคพอลิเมอร (Co - polymer) เปนพอลิเมอรประกอบดวยมอนอเมอรมากกวา 1 ชนิดขึ้นไปเชนโปรตีน กรดนิวคลี อิก พอลิเอสเทอร พอลิเอไมดเปนตน สามารถแสดงเปนภาพการตอกันของมอนอเมอรได (คําวา Co- หมายถึง มากกวา 1 ชนิดมารวมกัน) ดังนี้
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 89 ตัวอยางโครงสรางของพอลิเพปไทด มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย นองๆ อาจเคยไดยินคําวา “มาโคกันนะ” หรือ “มาจอยกันนะ” ซึ่งหมายถึง มารวมกัน คําวา Homo- และ Co- เปนคําขยาย ซึ่ง Homo- หมายถึง ชนิดเดียว สวน Co- หมายถึง มากกวา 1 ชนิดมาอยูรวมกัน ดังนั้น Homopolymer จึงมีพอลิเมอรเพียงชนิดเดียว สวน Copolymer มีพอลิเมอรมากกวา 1 ชนิด ตัวอยางขอสอบ ขอใดเปนพอลิเมอรธรรมชาติทั้งหมด 1. แปง เซลลูโลส พอลิสไตรีน 2. ไกลโคเจน ไขมัน ซิลิโคน 3. โปรตีน พอลิไอโซพรีน กรดนิวคลีอิก 4. ยางพารา พอลิเอทิลีน เทฟลอน เฉลยขอ 3 โปรตีน พอลิไอโซพรีน กรดนิวคลีอิก ขอ 1. ผิด เพราะพอลิสไตรีนเปนพอลิเมอรสังเคราะห ขอ 2. ผิด เพราะไกลโคเจนเปนพอลิเมอรสังเคราะห สวนไขมันไมใชพอลิเมอร ขอ 3 ถูก เพราะโปรตีน พอลิไอโซพรีน และกรดนิวคลีอิก จัดเปนพอลิเมอรธรรมชาติทั้งหมด ขอ 4. ผิด เพราะพอลิเอทิลีน และเทฟลอน เปนพอลิเมอรสังเคราะห 2. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร ถึงตอนนี้นองๆ นาจะรูจักพอลิเมอรชนิดตางๆ กันแลว พี่จะพานองๆ มารูจักกับกลไกในการเกิดพอลิเมอรที่นองพึ่งได เรียนรูไปกันดีกวา ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร คือ ปฏิกิริยาการรวมตัวกันของมอนอเมอรและเกิดเปนพอลิเมอร เรียกวาปฏิกิริยา พอลิเมอรไรเซชัน (PolymerizationReaction) ซึ่งแบงไดเปน 2 แบบ ดังนี้ - ปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบเติม (Addition Polymerization) หรือแบบรวมตัว เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากมอนอ เมอรที่ไมอิ่มตัว (แอลคีน) มารวมตัวกันเปน พอลิเมอร โดยไมมีการกําจัดสวนใดออกจากโมเลกุลของมอนอเมอร เชน การเกิด พอลิเอทิลีน พอลีสไตรีนพอลิไวนิลคลอไรด เปนตน (ถาเทียบงายๆก็คือ สารมอนอเมอรที่เดิมทีจับสองแขน (พันธะคู) จะสละ 1 แขนเพื่อไปจับกับมอนอเมอรอีกตัว ทําใหเดิมการจับสองแขน (พันธะคู) เหลือจับเพียงแขนเดียว (พันธะดี่ยว) นั่นเอง) ตัวเรง + +
90 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya - ปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบควบแนน (Condensation Polymerization)เกิดจากมอนอเมอรที่ทีหมูฟงกชัน มากกวา 1 หมู มาทําปฏิกิริยากัน แลวเกิดพอลิเมอร โดยมีโมเลกุลเล็กๆ เชน H2 O , NH3 , HCl หรือ CH3 OHเกิดขึ้นเปนผลพลอยได (นองๆลองพิจารณาคําวา ควบแนน พี่อยากรูวานองๆรูสึกเหมือนพี่ไหม พี่รูสึกวา คําวาควบแนน เหมือนกันนําสิ่งของ 2 สิ่งขึ้น ไปมารวมตัวกัน) ตัวอยาง การเกิดไนลอน 6, 6 จะมี H2 O เกิดขึ้น 3. โครงสรางและสมบัติของพอลิเมอร หลังจากที่นองๆ รูชนิด และกลไกการเกิดของพอลิเมอรแลว พี่จะพานองๆ มารูจักกับโครงสรางและสมบัติของ พอลิเมอรกัน ซึ่งโครงสรางขอพอลิเมอรนี้มีทั้งหมด 3 แบบใหญๆ ที่แตกตางกัน ไดแก 1. พอลิเมอรแบบเสน (Linear Polymers) มีลักษณะเปนโซตรงยาว โครงสรางจะชิดกันมาก ทําใหมีลักษณะแข็ง เหนียว ความหนาแนนสูง จุดหลอมเหลวสูง เมื่อไดรับความรอนจะออนตัวและกลับมาแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิตํ่าสามารถจําแนก ตามโครงสรางไดเปน 3 แบบ คือ 1.1) พอลิเมอรที่สายโซเรียงชิดกันมากเปนพอลิเมอรที่แข็งแรงขุนและเหนียวเชนพอลิเอทิลีน 1.2) พอลิเมอรที่โมเลกุลอยูหางกันเปนพอลิเมอรที่ใสมากกวาพอลิเมอรที่สายโซเรียงชิดกัน เชน พอลิไวนิลคลอไรด และพอลิสไตรีน นํ้า : ผลพลอยได
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 91 1.3) พอลิเมอรที่มีอะโรมาติกเปนองคประกอบในสายโซเปนพอลิเมอรที่มีความใสมากที่สุด เชน พอลิเอทิลีนเทเรฟ ทาเลต (PET) หรือขวดพลาสติก มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ขวดนํ้าที่นองๆ ดื่ม ก็ขวด PET นะ 2. พอลิเมอรแบบกิ่ง (Branched Polymers) มีสวนประกอบหลักอยู 2 สวน ดังตอไปนี้ 2.1) สวนที่เปนโซหลัก – ประกอบดวยมอนอเมอรชนิดเดียวเทานั้น 2.2) สวนที่เปนโซกิ่ง -เปนมอนอเมอรอีกชนิดหนึ่ง ที่ไมไดอยูในโซหลักดวยโครงสรางแบบกิ่ง ทําใหพอลิเมอรชนิดนี้ ไมสามารถจัดเรียงตัวชิดกันได จึงมีความยืดหยุนสูง มีความหนาแนนตํ่า และมีจุดหลอดเหลวตํ่ากวาพอลิเมอรแบบเสน เชน พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนตํ่า (Low Density Polyethylene; LDPE) 3. พอลิเมอรแบบรางแห (Cross–Linked Polymers) เปนพอลิเมอรที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหวางพอลิเมอรที่มี โครงสรางแบบเสน หรือแบบกิ่งตอเนื่องกันเปนรางแห ซึ่งมีจุดหลอมเหลวสูง เมื่อขึ้นรูปแลวจะไมสามารถหลอมหรือ เปลี่ยนแปลงรูปรางได ถาพันธะที่เชื่อมโยงระหวางโซหลักมีจํานวนนอย พอลิเมอรจะมีสมบัติยืดหยุนและออนตัวสูง แตถามี จํานวนพันธะมาก พอลิเมอรจะแข็งและไมยืดหยุน เชน เบกาไลต เมลามีน อีพอกซี โครงสรางของอีพอกซี
92 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya สรุป รูปโครงสรางของพอลิเมอร ไดดังนี้ โครงสรางแบบเสน โครงสรางแบบกิ่ง โครงสรางแบบรางแห 4. พลาสติก พลาสติก เปนพอลิเมอรอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอัดใหเปนรูปรางตางๆ เพื่อเหมาะสมตอการนําไปใชประโยขน เชน ภาชนะบรรจุของ ขวดพลาสติก จาน ชอน เกาอี้ วัสดุทําอุปกรณไฟฟา ฯลฯ อีกทั้งยังใชแทนวัสดุธรรมชาติไดโดยพลาสติกมีทั้ง ชนิดแข็ง ชนิดไมแข็ง มีหลายสีขึ้นอยูกับกระบวนการผลิต พลาสติกเปนรอยขูดขีดไดงาย เมื่อใชไปนานๆ จะเปราะแตกได และ จะละลายไดดีในตัวทําละลายอินทรีย พี่เชื่อวา นองๆ คงรูจักกับ พลาสติกอยางดีแนนอน เพราะชีวิตประจําวันของนองๆก็คง ปฏิเสธไมไดวา พบกับพลาสติกบอยมากๆ แตนองๆ ทราบรึเปลาวาพลาสติกสามารถออกแบงเปน 2 ประเภท ดังตอไปนี้ 1. เทอรมอพลาสติก (Thermoplastic) เปนพลาสติกที่สามารถเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาได ระหวางพลาสติกแข็งและ พลาสติกหลอม โดยจะออนตัวเมื่อไดรับความรอน แตเมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็ง ตัว จึงสามารถเปลี่ยนรูปรางได โดยที่สมบัติของพลาสติกไมเปลี่ยนแปลง ดัง นั้นพลาสติกประเภทนี้จึงนํากลับมาใชใหมไดซึ่งพอลิเมอรประเภทนี้มีโครงสราง แบบเสนหรือแบบกิ่ง และมีการเชื่อมตอระหวางโซพอลิเมอรนอยมาก ตัวอยาง เชน พอลิเอทิลีน พอลิไวนิลคลอไรด พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีนตัวอยางในชีวิต ประจําวัน เชน ขวดนํ้าพลาสติกที่นองๆ ใชดื่มกัน 2. พลาสติกเทอรมอเซต (Thermosetting plastic) เปนพลาสติกที่ไมสามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหมไดอีกเมื่อขึ้นรูปโดยการผาน ความรอนหรือแรงดันแลว เนื่องจากพอลิเมอรประเภทนี้มีโครงสรางแบบ รางแห เมื่อแข็งตัวแลวจะมีความแข็งมาก ทนตอความรอนและความดันได ดีกวาเทอรมอพลาสติก ถาใหอุณหภูมิสูงมากจะแตกและไหมเปนเถา ตัวอยางเชน พอลิฟนอลฟอรมาลดีไฮด พอลิเมลามีนฟอรมาลดีไฮด และ พอลิยูรีเทน ตัวอยางเชน ทอนํ้าสีตางๆ ตามบานเรือนของนองๆ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 93 มุมเล็กๆขอเมาทมอย พลาสติกเทอรโมเซต มีคําวา “เซต” ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษคําวา set ที่แปลวา กําหนดติดตั้ง ดังนั้นพลาสติกเทอรโมเซตจึงเปนชนิดของพลาสติกที่ถูกกําหนดติดตั้งไว จึงไมสามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหมไดอีก ตางกับ เทอรโมพลาสติก ที่สามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหม ตารางแสดงสูตรโครงสราง คุณสมบัติและประโยชนของมอนอเมอรและพอลิเมอรชนิด ตางๆ ที่เกิดจากปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบเติม ประเภท เทอรมอพลาสติก มอนอเมอร พอลิเมอร เอทิลีน (H2 C=CH2 ) โพรพิลีน (H2 C=CH-CH3 ) ไวนิลคลอไรด } (H2 C=CH-Cl) เตตระฟลูออโรเอทิลีน (F2 C=CF2 ) สไตรีน เผา : กลิ่นพาราฟน ใชทําเครื่องใช ของเลน และ ฉนวนไฟฟา เผา : กลิ่นพาราฟน ใชทําขวดนํ้าอัดลม ภาชนะบรรจุ สารเคมี พอลิเอทิลีน (PE) พอลิโพรพิลีน (PP) พอลิไวนิลคลอไรด (PVC) พอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน หรือ เทฟลอน (PTFE) พอลิสไตรีน (PS) คุณสมบัติ/ประโยชน เผา : กลิ่นกรดเกลือ ใชทําทอนํ้า ทอสายไฟฟากระเบื้องยาง ฉนวนสายหุมไฟฟา ใชเคลือบผิวภาชนะที่ใชในครัว ทําสายไฟ เผา : กลิ่นคลายจุดตะเกียง ใชทําโฟม วัสดุลอยนํ้า ฉนวนไฟฟา
94 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ตารางแสดงสูตรโครงสราง คุณสมบัติและประโยชนของมอนอเมอรและพอลิเมอรที่เกิด จากปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบควบแนน (PMMA) พอลิอะคริโลไนไตรต (PAN) อะคริโลไนไตรต ใชทํากระจกแวนตา กระจก ครอบไฟทายรถ หรือพลาสติก ตกแตงบาน ทนตอเชื้อราไดดี ใชทําเสื้อผาและผาออมเด็ก มอนอเมอร พอลิเมอร ไดเมทิลเทเรฟทาเลต + เอทิลีนไกลคอล กรดอะดิปก + เฮกซะเมทิลีนไดเอมีน บิส – ฟนอลเอ + ฟอสจีน 1,4 – บิวเทนไดออล + เฮกซะเมทิลีนไดไอโซ ไซยาเนต ใชทําขวดนํ้าอัดลม ขวดนํ้าดื่มชนิดแข็ง และใส ทําเสนใย เอ็น แห อวน เชือก ดายเสนเทปวีดิโอ เทปเพลง หรือทํา หินออนเทียม ใชทําเชือก ดายถุงนอง ชุดชั้น ใน ชิ้นสวนเครื่องจักรกล หรือ ปลอกหุมสายไฟฟา พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ดาครอนหรือโทรเรเทโทรอน พอลิเอไมด (PA) หรือ ไนลอน 6,6 พอลิคารบอเนต (PC) พอลิยูริเทน (PU) คุณสมบัติ/ประโยชน ประเภท เทอรมอพลาสติก ใชทํากลองบรรจุเครื่องมือเครื่อง โทรศัพท ขวดบรรจุนํ้าดื่ม ขวดนมเด็ก หรือภาชนะที่ใชแทนเครื่องแกว ใชทําเสนใยของชุดวายนํ้า ลอรถเข็น นํ้ายาเคลือบผิว บุเกาอี้ เมทิลเมทาคริเลต พอลิเมทิลเมทาคริเลต ลักษณะใส โปรงแสง
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 95 ฟนอล + ฟอรมาลดีไฮด ยูเรีย + ฟอรมาลดีไฮด เมลามีน + ฟอรมาลดีไฮด ใชทํากาว หรือแผงวงจรไฟฟา ใชทํากาว โฟม หรือแผงวงจร อิเล็กทรอนิกส พอลิฟนอล-ฟอรมาลดีไฮด (เบกาไลท, PF) พอลิยูเรีย-ฟอรมาลดีไฮด (UF) พอลิเมลามีน-ฟอรมาลดีไฮด (MF) ประเภท เทอรมอพลาสติก ใชทําถวย ชาม แผงวงจร หรือผาใบกันนํ้า นิยมใชทําขวดขวดนํ้าดื่ม ขวดนํ้า อัดลม ทําเปนภาชนะบรรจุตางๆ เชน ทัป เปอรแวร ขวดนม ถังนํ้ามัน โตะ และเกาอี้แบบพับได ถุงพลาสติก ทําพลาสติกหออาหาร ถุงหูหิ้ว ขวด บรรจุชนิดบีบ กลองอุปกรณตางๆ ภาชนะบรรจุเครื่องดื่มอาหาร ไวนิลหรือพอลิไวนิลคลอไรด (PVC) พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนสูง PETE พอลิเอทิลีน HDPE V หมายเลข สัญญลักษณ ชื่อ การใชประโยชน 1 2 3 จากที่เห็นนองๆ อาจจะคิดวา พลาสติกจะเปนสิ่งที่มี ประโยชนและนิยมนํามาใชมาก แตหารูไมวา พลาสติกเปน ปญหาหลักทางดานการกําจัด เพราะวายอยสลายไดยาก อีก ทั้งในปจจุบันสังคมมีความคํานึงถึงสิ่งแวดลอมมากขึ้น โดยมี สมาคม อุตสาหกรรมพลาสติกแหงอเมริกา (The Society of the Plastics Industry, Inc.)ไดกําหนดสัญลักษณมาตรฐานของ พลาสติกยอดนิยมกลุมตางๆ ที่สามารถนํากลับมาหมุนเวียน หรือรีไซเคิล (Recycle) ไว 7 ประเภทหลักๆ โดยหากพลาสติก ใดสามารถนํามารีไซเคิลได ก็จะมีสัญลักษณที่ประกอบดวยรูป ลูกศร 3 ตัว วนเปนรูปสามเหลี่ยมรอบตัวเลขตัวหนึ่ง
96 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya ถุงหูหิ้ว ขวดพลาสติกบางชนิด ถุงเย็นสําหรับบรรจุอาหาร ใชทําภาชนะบรรจุอาหาร ขวดบรรจุ ยา สามารถนํามารีไซเคิลเปนกลอง แบตเตอรี่ในรถยนต ชิ้นสวนรถยนต ทําโฟม พลาสติกที่ใชแลวทิ้งเชน ถวย ชอน สอม มีด สามารถนํามาหลอมใหมได พอลิสไตรีน พอลิโพรพิลีน PETE พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนตํ่า PP PS OTHER อื่นๆ 4 5 6 7 ตัวอยางขอสอบ คุณสมบัติของพลาสติกชนิดหนึ่ง มีดังนี้ a. เปนเทอรมอพลาสติก b. ประกอบดวยมอนอเมอรเพียงชนิดเดียว c. ใชทํารองเทา กระดาษติดผนัง d. เมื่อไหมไฟจะเกิดควันสีขาว กลิ่นคลายกรดเกลือ จงพิจารณาวาพลาสติกชนิดใด มีสมบัติดังกลาว 1. พอลิสไตรีน 2. พอลิไวนิลคลอไรด 3. พอลิโพรพิลีน 4. พอลิยูเรียฟอรมาลดีไฮด เฉลยขอ 2. พอลิไวนิลคลอไรด เนื่องจากเปนโฮโมพอลิเมอรที่ประกอบดวยมอนอเมอรเพียงชนิดเดียว และเปนเทอร มอพลาสติกที่สามารถนํากลับมาใชใหมได โดยโครงสรางของพอลิไวนิลคลอไรดเปน ซึ่งมี Cl อยู เมื่อไหมไฟจึงเกิดปฏิกิริยาที่มีกลิ่นคลายกรดเกลือ (HCl) เคล็บลัดที่ไมลับ ถาถามเรื่องคุณสมบัติ เราไมจําเปนตองรูคุณสมบัติทุกชนิดก็ได แตตองพิจารณาจุด เดนๆ ใหเปนมากกวา
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 97 ถุงพลาสติก โฟม ดามจับเตารีด กระดาษปดผนัง เตาเสียบไฟฟา ฟลมถายภาพ เกาอี้พลาสติก ดอกไมพลาสติก ตัวอยางขอสอบ ขอใดจัดประเภทของพลาสติกไดถูกตอง เฉลยขอ 4. เทอรมอพลาสติก – กระดาษปดผนัง พลาสติกเทอรมอเซต – เตาเสียบไฟฟา สวนขออื่นที่ผิด เนื่องจากจัดไมตรงกับประเภทของพลาสติก และการจัดประเภทที่ถูกตอง มีดังนี้ เทอรมอพลาสติก – เกาอี้พลาสติก ดอกไมพลาสติก ฟลมถายภาพ พลาสติกเทอรมอเซต – ดามจับเตารีด 5. เสนใย นองๆ รูจักกับคําวา เสนใย ดีมากนอยอยางไรกันบาง หลังจากที่เราเรียนเกี่ยวกับพลาสติก ซึ่งเปนพอลิเมอรชนิดแรก ไปแลว ตอนนี้พี่จะพานองๆ มารูจักกับเสนใยที่เปนพอลิเมอรอีกชนิดหนึ่งกันตอ เสนใย คือ พอลิเมอรที่มีโครงสรางของโมเลกุล เหมาะสมตอการนํามาทําเปนเสนดาย สามารถเกิดขึ้นเองในธรรมชาติและไดจากการสังเคราะห จึงสามารถจําแนกประเภท ของเสนใยตามลักษณะการเกิดได 3 รูปแบบ ไดแก 1. เสนใยธรรมชาติ (Natural Fibers) เปนเสนใยที่สามารถเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ คุณสมบัติดูดซับนํ้าไดดีและแหงชา แตขึ้นราและยับงาย มีแหลงกําเนิดจากแหลงตางๆ ดังนี้ 1.1) เสนใยจากพืช (เซลลูโลส) เปนโฮโมพอลิเมอร ประกอบดวยโมเลกุลของกลูโคสจํานวนมาก มีโครงสรางเปนโซ กิ่งใชในการผลิตสิ่งทอ เสนใยชนิดนี้ ไดแก เสนใยเซลลูโลส ซึ่งไดจากสวนตางๆของพืช เชน ฝาย ปาน ปอ ลินิน นุน ใยสับปะรด ใยมะพราว ศรนารายณ เปนตน 1.2) เสนใยจากสัตว (โปรตีน) ไดแก เสนใยไหม ขนแกะ ขนแพะผม เปนตน ซึ่งเสนใยเหลานี้ มีสมบัติคือเมื่อเปยกนํ้า ความเหนียวและความแข็งแรงจะลดลง เสนใยจะหดตัว โดยถาสัมผัสแสงแดดนานๆ จะสลายตัวดังนั้นการทําความสะอาดจึง ใชการซักแหง 1.3) เสนใยจากสินแร (ใยหิน) เชน แรใยหิน มีความทนทานตอการกัดกรอนของสารเคมี ทนไฟ และไมนําไฟฟา 2. เสนใยกึ่งสังเคราะห (Semi-Synthetic Fibers) เปนเสนใยที่นําสารจากธรรมชาติ มาปรับปรุงใหเหมาะกับการใช งาน นิยมใชทําผาเช็ดตัว และผาออม ไดแก เซลลูโลสแอซีเตต วิสคอส-เรยอง และแบมเบอรกเรยอง เปนตน 3. เสนใยสังเคราะห (Synthetic Fibers) เปนเสนใยที่สังเคราะหขึ้น เพื่อใชทดแทนเสนใยจากธรรมชาติ โดยใชสาร อนินทรียหรือสารอินทรียมาสังเคราะหมีคุณสมบัติดีกวาเสนใยธรรมชาติ คือ แหงเร็ว ไมยับงาย อีกทั้งยังทนตอสารเคมี เชื้อ เทอรมอพลาสติก พลาสติกเทอรมอเซต 1 2 3 4
98 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya รา และจุลินทรียได โดยแบงไดเปน 3 ประเภท คือ 3.1) พอลิเอสเทอร เชน ดาครอนหรือโทเรเทโทรอนมีประโยชนในการทําเชือก ฟลม ใชบรรจุในหมอน อีกทั้ง ยังเปนผาที่ทนตอความรอนและสารเคมี โดยเมื่อซักแลวจะไมตองรีด 3.2) พอลิเอไมด เชน ไนลอน มีหลายชนิด เชน ไนลอน 6 ไนลอน 6,6 หรือ ไนลอน 6,10 ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดง จํานวนคารบอนอะตอมในมอนอเมอรของเอมีนและกรดคารบอกซิลิกตามลําดับดังรูป โครงสรางของไนลอน 6 3.3) พอลิอะคริโลไนไตรลเชน โอรอน ใชเปนผาออมสําหรับเด็ก เสนใยจากธรรมชาติเสนใยที่มนุษยผลิตขึ้น คําถาม หลังจากนองๆ ไดเรียนเกี่ยวกับประเภทของเสนใยไป ไหน นองๆลองยกตัวอยาง สิ่งของในชีวิตประจําวัน และลองถามตัวเองดูซิวา เปนเสนใยประเภทไหน มุมเล็กๆขอเมาทมอย เสนใย ธรรมชาติ เสนใยกึ่ง สังเคราะห เสนใย สังเคราะห โครงสรางของไนลอน 66
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya 99 สรุปประเภทของเสนใย ดังแผนภาพ เสนใย เสนใยธรรมชาติ เซลลูโลส เสนใยกึ่งสังเคราะห ใยหิน เสนใยสังเคราะห เรยอน พอลิเอสเทอร โปรตีน พอลิอะคริโลไนไตรล อื่นๆ พอลิเอไมด ยาง (Rubber) 6. ยาง นอกจาก พลาสติก และเสนใยแลว ยางก็เปนพอลิเมอรอีกชนิดหนึ่งที่นองๆนาจะรูจักกันดี นองๆ รูหรือไมวายางเปน พอลิเมอรที่มีความยืดหยุนสูง มีความตานทานแรงดัน เปนฉนวนได และออนตัวเมื่อไดรับความรอน ซึ่งยางสามารถแบงได เปน 2 ประเภทตามแหลงกําเนิด ทั้งที่กําเนิดจากธรรมชาติหรือมาจากการสังเคราะหขึ้น ดังนี้ 1. ยางธรรมชาติ (Natural Rubbers)เปนพอลิเมอรที่เกิดจากตนยาง ประกอบดวย มอนอเมอร “ไอโซพรีน” ที่เชื่อม ตอกัน 1,500 ถึง 15,000 หนวย ยางพารา หรือ พอลิไอโซพรีน มีโครงสรางเปนแบบ cis – Isoprene (มีหมูที่เหมือนกันอยูดานเดียวกันของพันธะ คู) คุณสมบัติที่ดี คือ ยืดหยุนไดสูง ยางกัตตา ยางบาราทา ยางชิคเคิล หรือ พอลิไอโซพรีนมีโครงสรางเปนแบบ trans– Isoprene (มีหมูที่เหมือน กันอยูดานตรงขามกันของพันธะคู) เปนยางที่ไดจากตนยางกัตตา, ตนยางบาราทาและตนยางซิคเคิล