The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยม.1-วิจัยการจำแนกสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ao_jiranan, 2022-02-15 10:33:17

วิจัยม.1-วิจัยการจำแนกสาร

วิจัยม.1-วิจัยการจำแนกสาร



รายงาน

การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์

รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1

นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้
ครูผูช้ ่วย

โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวดั พะเยา
สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ นื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ



ประกาศคุณปู การ

รายงานการพัฒนาชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง การจำแนกและองค์ประกอบของ
สารบรสิ ุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ฉบบั นี้ จัดทำขึ้นโดยสรปุ ผลการพฒั นาชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
เรอื่ ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธ์ิ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่
สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยพฒั นาควบคู่กบั แผนการ
จัดการเรียนรู้ ปีการศึกษา 2564

ขอกราบขอบพระคณุ ท่านผู้อำนวยการวลิ าวัลย์ ปาลี ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราช
ประชานเุ คราะห์ 24 จงั หวัดพะเยา ผู้เชีย่ วชาญ ตลอดจนผูเ้ ก่ียวข้อง ที่กรุณาให้คำแนะนำ
ปรึกษา และตรวจสอบ ความถกู ต้องในผลงานคร้ังน้ี

ขอขอบคุณเพื่อนครู โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวดั พะเยา ทุกท่าน ท่ีให้
คำแนะนำปรึกษา ใหก้ ารสนบั สนนุ รวมทัง้ ให้กำลังใจ ตลอดระยะเวลาท่ีดำเนินการปฏบิ ตั งิ าน

คุณค่าและประโยชนอ์ ันพึงมีในครงั้ น้ี ขอน้อมบชู าแด่พระคณุ บิดามารดา ญาตพิ นี่ อ้ ง
ตลอดจนครู อาจารย์ ทกุ ทา่ น ที่ได้ให้การอบรมสง่ั สอน ใหข้ ้าพเจ้าสามารถดำรงตนและ
บรรลผุ ลสำเร็จแห่งชวี ิตจวบจนปัจจบุ ัน

จิรนันท์ ต่อมหลา้



ชือ่ เรอ่ื ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบ
ของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลุ่มสาระ
ผรู้ ายงาน การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรยี น นางจิรนันท์ ตอ่ มหล้า
ปที ่ศี ึกษาคน้ คว้า โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 24 จังหวดั พะเยา
ปกี ารศกึ ษา 2564

บทคัดยอ่

การศกึ ษาคน้ คว้าครั้งนี้ มคี วามมงุ่ หมายดงั น้ี 1) เพอ่ื หาประสิทธิภาพ
ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชา
วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองการจำแนกและองค์ประกอบ
ของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 3) เพ่ือศกึ ษาดัชนปี ระสทิ ธิผลของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง
การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ของนักเรียนต่อการเรียนด้วยชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสาร
บรสิ ุทธิ์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
กำลงั เรียนในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จงั หวัดพะเยา
สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) จำนวน 20 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศกึ ษาค้นคว้าคร้ังน้ี คอื 1) ชุดกิจกรรมการ
เรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว
20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 2) แผนการ
จัดการเรียนรู้ เร่ืองการจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา
ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 3) แบบทดสอบ



วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชา
วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีที่ 1 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรยี นท่ีมีต่อการเรยี นด้วยชุดการจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
( E1 / E2 ) คา่ ดชั นีความสอดคล้อง ( IOC) ค่าความยากง่าย คา่ อำนาจจำแนก ค่าความเชอ่ื มั่น
ของแบบทดสอบ ค่าดัชนีประสิทธิผล และการทดสอบสมมติฐานใช้ t - test (Dependent
Samples)

ผลการศกึ ษาค้นคว้า ปรากฏดังนี้
1. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรทู้ ผ่ี รู้ ายงานสร้างขึ้นมปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 83.50/82.00

ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ที่ต้งั ไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธ์ิ

รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้
มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรยี นอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01

3. ดชั นปี ระสิทธผิ ลของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 มคี า่ เท่ากับ 0.7008 แสดงว่า นกั เรยี นที่
เรยี นรดู้ ้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรูท้ ี่ผูร้ ายงานพฒั นาขึน้ มคี วามรู้เพ่ิมมากขึ้น 0.7008 หรือคิด
เป็นรอ้ ยละ 70.08

4. การประเมินระดบั ความพึงพอใจของนกั เรียนตอ่ การเรียนด้วยชดุ กิจกรรม
การเรยี นรู้ พบว่า นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา
สังกดั สำนกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ มีความพึงพอใจต่อชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง การ
จำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กล่มุ สาระการ
เรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มากท่ีสุด



สารบญั

บทที่ หนา้

ประกาศคณุ ูปการ .................................................................................................. ก
บทคดั ย่อ ................................................................................................................ ข
สารบัญ ................................................................................................................... ค

1 บทนำ .................................................................................................................... 1
ความเป็นมาและความสำคัญ ................................................................................. 3
ความมงุ่ หมายของการศึกษาคน้ คว้า ...................................................................... 4
สมมติฐานของการศกึ ษาค้นคว้า ............................................................................. 4
ขอบเขตของการศกึ ษาคน้ คว้า ............................................................................... 5
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ ................................................................................................... 5
ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ ับ .................................................................................... 7

2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง.............................................................................. 8
การจดั สาระการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ............. 8
หลักการจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รียนเป็นสำคญั ......................................... 36
แนวทางการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ..................................................... 39
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ........................................................................................... 47
ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ........................................................................................ 60
ดชั นีประสิทธผิ ล ................................................................................................... 67
แนวคิดเกี่ยวกับความพงึ พอใจ .............................................................................. 69
งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ................................................................................................ 71



กรอบแนวคดิ ของการศกึ ษา …............................................................................... 74

3 วธิ ดี ำเนินการศกึ ษาค้นคว้า ................................................................................... 75
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ................................................................................... 76

สารบญั (ตอ่ )

บทที่ หนา้
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการศึกษาคน้ ควา้ .......................................................................... 76
วิธกี ารสรา้ งเครือ่ งมอื และการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ ......................................... 77
วิธดี ำเนินการทดลอง .............................................................................................. 84
การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ................................................................................................ 85
สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ............................................................................... 86

4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล .......................................................................................... 92

5 สรุปผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ ................................................................ 99
สรปุ ผลการศึกษาค้นคว้า ....................................................................................... 104
อภปิ รายผลการศึกษาคน้ คว้า ................................................................................ 106
ข้อเสนอแนะ ......................................................................................................... 109

บรรณานกุ รม ......................................................................................................... 110
ภาคผนวก ………………………………………………………………………………………………….. 113

1

บทท่ี 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคญั

วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์
เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน ท้ังในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่าง ๆ เครื่องมือ
เคร่ืองใช้เพ่ืออำนวยความสะดวกในชีวิตและในการทำงาน ลว้ นเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์
ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดองค์ความรู้
และความเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมาย มีผลให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี
อย่างมาก วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์
คดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ มที ักษะท่ีสำคัญในการค้นควา้ หาความรู้ มคี วามสามารถในการแก้ปัญหา
อย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ (Knowledge based
society) ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all)
เพื่อท่ีจะมีความรคู้ วามเข้าใจโลก ธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยที ่มี นุษย์สร้างสรรคข์ ้ึน และนำความรู้
ไปใชอ้ ย่างมเี หตผุ ล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรูว้ ิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่นำมาใชใ้ นการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ ท่ีดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเขา้ ใจที่ถูกตอ้ งเกยี่ วกับการใชป้ ระโยชน์ การดูแล
รักษา ตลอดจนการพัฒนาส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและย่ังยืน (สถาบัน
ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2546 : 1)

ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีนโยบายปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ให้
สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงในอนาคต โดยได้ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
มุ่งเน้นกระบวนการเรียนร้ทู ้ังด้านความคิด การปฏิบัติ ซึ่งเห็นได้จากการท่ีสถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพยายามปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ให้เอ้ืออำนวยต่อการ
พัฒนาความสามารถของนักเรียน จึงกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ไว้เพื่อให้
นักเรียนมีความเข้าใจในหลักการ ทฤษฎีท่ีเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ขอบเขต ธรรมชาติ
และข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี พัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ
จัดการทักษะในการสอ่ื สาร และความสามารถในการตดั สินใจ ตระหนกั ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง

2

วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และสภาพแวดล้อมในเชงิ ทมี่ ีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและ
กัน สามารถนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
สังคม และการดำรงชีวิต เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
2546 : 1 - 4)

จากข้อมูลผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปที ี่ 1 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สงั กัดสำนกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ
ปีการศึกษา 2563 ค่าเฉล่ียของคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 71.12 ไม่บรรลุเป้าหมาย
ท่ีต้ังไว้ คือ ค่าเฉล่ียร้อยละ 75.00 จึงจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องจดั กิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์
และนำเทคนิคใหม่ ๆ มาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงข้ึน โดยภาพรวมผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากสาเหตุ คือ
ครูไม่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรไู้ ด้ตามจุดประสงค์ของ
หลักสูตร นักเรียนขาดความกระตือรือร้นในการเรียน ขาดกระบวนการในการเสาะแสวงหา
ความรู้ และบรรยากาศในชั้นเรยี นน่าเบ่อื หน่าย (ทวีพร ดษิ ฐส์ ำเรงิ . 2544 : 28)

ดังน้ันครูผู้สอนจึงต้องพัฒนาตนเอง โดยค้นคว้าหาความรู้เรื่องการสอนการผลิตส่ือ
และใช้ส่ือ เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ท่ีสอดคล้องกับจุดประสงค์ และหลกั การของหลักสูตร
ตามพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ หมวดที่ 4 แนวการจัดการศึกษามาตราที่ 24 เนน้ การ
จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด มีการฝึกทักษะ
กระบวนการคิด การประยุกต์ความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเน้นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน
เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน ใฝ่รู้ โดยจัด
สภาพแวดล้อม สื่อการสอน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ. 2542 : 12) เพิ่มประสิทธิภาพในการสอน การจัดการเรียนการสอนของ
ครูผสู้ อนควรเลือกวธิ ีการสอนทเี่ น้นใหน้ ักเรียนมีประสบการณด์ ้วยตนเองใหม้ ากที่สุด ให้นักเรยี น
ค้นควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเองโดยใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตรห์ ลายแบบในการเรียนการสอนแต่ละ
คร้ัง โดยนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนการสอน ครูผู้สอนต้องคำนึงเสมอว่า การสอนที่มี
ประสิทธิภาพน้ันย่อมมีส่วนสัมพันธ์กับความก้าวหน้าในการเรียน วิธีสอน และเนื้อหาวิชา (ภพ
เลาหไพบูลย์. 2545 : 122) นอกจากวิธีการสอนที่หลากหลายแล้ว สง่ิ ที่ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้
ตรงตามจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายคือการนำนวัตกรรมทางการศึกษามาช่วย ในการเรียนการ
สอน เพอ่ื เพ่ิมประสิทธิภาพการศกึ ษาให้สงู ข้นึ สามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนชว่ ยให้นกั เรียนมี

3

คุณภาพเท่าเทียมกัน (ชม ภูมิภาค. 2548 : 98) ซึ่งนวัตกรรมทางการศึกษาน้ี คือ ชุดกิจกรรม
การเรยี นรู้

ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างหน่ึงที่มีลักษณ ะ
เป็นสื่อประสม ท่ีจัดขึ้นสำหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อเนื้อหาท่ีต้องการจะให้นักเรียนได้รับ
ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้สอนเกิดความม่ันใจ พร้อมท่ีจะสอน และช่วยให้นักเรียน
กับผู้สอนมีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมร่วมกัน เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีตอบสนอง ความ
แตกต่างระหวา่ งบุคคล ซ่ึงเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นมอี สิ ระในการเรียนตามความสามารถ
และความสนใจ โดยมีครูคอยแนะนำช่วยเหลือ (บญุ เกอื้ ควรหาเวช. 2543 : 91 - 93) ทำให้
นักเรียนเกิดการเรียนรู้วิธีการทำงานเป็นข้ันตอน ใช้เหตุผลในการวางแผนอย่างมีระบบได้อย่าง
เหมาะสม จากใบความรู้ กิจกรรม แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ ตลอดจนส่ือตา่ ง ๆ
ทคี่ รูผู้สอนเตรยี มไว้อย่างมรี ะบบ แลว้ ยังทำใหน้ ักเรียนสามารถทราบผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
นัน้ ๆ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ไม่เกิดความเบ่ือหน่ายต่อการเรียน (สุวิทย์ มลู คำ และ อรทัย มูลคำ.
2545 : 51) ทำให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ กาญจนา
ฉ่ำแสง (2541 : บทคดั ยอ่ ) ศิรชิ ัย จรี จีรงั ชยั (2545 : บทคัดยอ่ ) จุฬาลกั ษณ์ ไชยสกลุ (2546
: บทคดั ย่อ) สมโภช ภสู่ ุวรรณ (2546 : บทคัดย่อ) ถวิล กลา้ เกดิ (2548 : บทคัดยอ่ )
และคนอื่น ๆ ท่ีทำการวจิ ัยเกย่ี วกับการพัฒนาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ซ่ึงสรปุ ได้ว่า นักเรียน
ที่ได้รับการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน จะทำให้
นกั เรียนมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสงู ขึน้

การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธิ์ เป็นเนอื้ หาสว่ นหนงึ่ ของวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ เปน็ การศกึ ษาเกีย่ วกับการจำแนกสารบรสิ ุทธ์ิ โครงสรา้ งอะตอม
การจำแนกธาตุและการใช้ประโยชน์ ซึ่งมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่
ครูผู้สอนยังไม่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของ
สารบริสุทธิ์ ที่ทำให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับกับสถานการณ์จริงได้ ดังนั้น การจัด
กระบวนการเรยี นการสอนควรจะนำนวัตกรรมมาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรยี นการ
สอน

จากปัญหาในการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละความสำคัญของชุดกิจกรรม
การเรียนรู้ ที่ได้กล่าวมาน้ัน ทำให้ผู้รายงานสนใจที่จะพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้มาใช้เป็น
เทคนิคในการนำเสนอเนอื้ หา เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ โดยออกแบบ
และพัฒนาให้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมคี วามเหมาะสมต่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียน อันจะ
ชว่ ยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์

4

และเพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิผล อีกท้ัง
ยงั เป็นการพฒั นาการเรยี นการสอน และนวัตกรรมเทคโนโลยที างการศกึ ษาตอ่ ไป

ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า

การศึกษาค้นคว้าครงั้ นผ้ี ู้รายงานได้ตง้ั ความมุง่ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้ ไวด้ ังนี้
1. เพือ่ หาประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและ

องคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กล่มุ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

2. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นระหว่างกอ่ นเรยี นและหลังเรียน
ดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวชิ า
วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษา
ปที ี่ 1

3. เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลุม่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1

4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนตอ่ การเรยี นด้วยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
เร่อื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กล่มุ
สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1

สมมติฐานของการศกึ ษาค้นคว้า

การศกึ ษาคน้ คว้าในครั้งน้ีผู้รายงานได้ต้ังสมมติฐานการศึกษาค้นควา้ ไวด้ งั นี้
1. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์

รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ทผ่ี ู้รายงานพฒั นาขน้ึ มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

2. นักเรียนทเี่ รียนดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง การจำแนกและองคป์ ระกอบ
ของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น

5

3. นกั เรยี นที่เรยี นดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ การจำแนกและองค์ประกอบของ
สารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 มีค่าดัชนปี ระสิทธผิ ลไมน่ อ้ ยกวา่ .50 ขน้ึ ไป

4. นักเรยี นทีเ่ รียนด้วยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกและองค์ประกอบ
ของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 มีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้อยูใ่ นระดับมากทสี่ ดุ

ขอบเขตของการศกึ ษาค้นควา้

เพอื่ ใหก้ ารศกึ ษาคน้ คว้าในครัง้ นี้เปน็ ไปตามความมุ่งหมายของการศกึ ษาค้นคว้า
ท่ตี ัง้ ไว้ ผู้รายงานได้กำหนดขอบเขตการศกึ ษาค้นคว้าดงั น้ี

1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา

2563 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกดั สำนักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ
จำนวน 3 หอ้ งเรยี น นกั เรียนจำนวน 60 คน ประกอบด้วย

1.1 นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1/1 จำนวน 21 คน
1.2 นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1/2 จำนวน 19 คน
1.3 นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/3 จำนวน 20 คน
กลุม่ ตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนท่ี 2
ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกัดสำนกั บริหารงาน
การศกึ ษาพเิ ศษ ซงึ่ ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 20 คน

2. เน้ือหา
เนื้อหาท่ีนำมาสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกและ

องค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ของกระทรวงศึกษาธิการ แบ่งเน้อื หาออกเปน็ 3
ชดุ ดงั นี้

ชุดที่ 1 เรื่อง การจำแนกสารบริสุทธิ์
ชุดที่ 2 เร่ือง โครงสรา้ งอะตอม

6

ชดุ ท่ี 3 เรอื่ ง การจำแนกธาตแุ ละการใชป้ ระโยชน์

3. ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการทดลอง คอื ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
โดยใชเ้ วลา 12 ชัว่ โมง 6 แผนจดั การเรยี นรู้

4. ตัวแปรท่ีศกึ ษา
4.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้

ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์
รหสั วิชา ว20203 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

4.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ประสิทธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี น ดชั นปี ระสิทธผิ ล และความพงึ พอใจของนกั เรยี น
ต่อชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชา
วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษา
ปที ี่ 1

นยิ ามศพั ท์เฉพาะ

1. ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายถึง ชดุ สือ่ ประสม ซง่ึ ผลติ ขน้ึ อยา่ งมรี ะบบ
มขี ้ันตอน มคี วามสอดคล้องกับจุดมงุ่ หมาย เน้อื หาวชิ า ทส่ี ามารถนำมาใช้ในการเรยี นการสอน
เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นได้ศกึ ษา และปฏิบัติกจิ กรรมด้วยตนเองเกิดการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองตามความสามารถ
และเกิดการเรียนรูไ้ ด้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ

2. ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสุทธ์ิ
หมายถึง ชุดสื่อประสมวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์ท่ี
ผรู้ ายงานพัฒนาขึ้น เพื่อใช้ประกอบการเรยี นการสอนใน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 กล่มุ สาระการ
เรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีจำนวน 3 ชุด คือ

ชุดที่ 1 เรอื่ ง การจำแนกสารบรสิ ุทธ์ิ
ชดุ ท่ี 2 เร่อื ง โครงสร้างอะตอม
ชดุ ท่ี 3 เรื่อง การจำแนกธาตุและการใช้ประโยชน์
3. การเรยี นด้วยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง การจำแนกและองค์ประกอบของสาร

7

บรสิ ทุ ธ์ิหมายถึง การเรยี นโดยที่ครูใหน้ กั เรียนเรยี นรู้จากชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง การ
จำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการ
เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ซงึ่ ผู้รายงานพัฒนาขน้ึ จำนวน 3 ชดุ

4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเขา้ ใจ เร่ือง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิของนักเรียน โดยพิจารณาจากคะแนนที่ทำแบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธ์ิทางการเรยี นทีผ่ รู้ ายงานสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ

5. ประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของ
สารบริสุทธิ์รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 มีประสิทธภิ าพเชิงประจักษ์ โดยตงั้ เปา้ หมายไว้ที่ 80/80
มีความหมาย ดงั น้ี

- 80 แรก หมายถงึ ประสิทธภิ าพของกระบวนการในการเรียนด้วยชุดกจิ กรรม
การเรียนรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา
ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 คดิ จาก
ร้อยละของคะแนนเฉลย่ี ที่นักเรียนท้งั หมดสามารถทำแบบทดสอบหลังเรียนของชดุ กิจกรรม
การเรียนรู้ในแตล่ ะชุด มคี ่าร้อยละ 80 ข้ึนไป

- 80 หลัง หมายถึง ประสทิ ธภิ าพของผลลัพธใ์ นการเรยี นด้วยชุดกิจกรรม
การเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสทุ ธ์ิรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา
ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 คดิ จากร้อยละ
ของคะแนนเฉล่ยี ของนกั เรยี นท้งั หมดทสี่ ามารถตอบแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธ์ิรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่
สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 หลงั จากเรียนด้วยชดุ กจิ กรรม
การเรียนรู้ มีค่าร้อยละ 80 ข้นึ ไป

6. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง เคร่ืองมือวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นก่อนเรียนและหลงั เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธ์ิรายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ทีผ่ ูร้ ายงานพัฒนาข้นึ เป็นข้อสอบแบบปรนยั
ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ข้อ

7. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 หมายถึง นักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์
24 จังหวดั พะเยา สังกดั สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

8

8. ดชั นปี ระสิทธผิ ล หมายถึง คา่ สถติ ติ ัวบ่งชี้ถงึ ประสทิ ธิภาพของชดุ กจิ กรรม
การเรียนรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา
ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 อันก่อใหเ้ กิด
ความก้าวหนา้ ของผเู้ รียน

9. ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สกึ ความนกึ คิด ความชนื่ ชม การเห็นคุณคา่
และความสำคัญตอ่ การเรยี นดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของ
สารบริสุทธ์ิรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 ทว่ี ัดโดยใชแ้ บบประเมนิ ความพึงพอใจที่ผรู้ ายงานพฒั นาขึน้

ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั

1. ได้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ
รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

2. ได้แนวทางในการนำชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ไปใช้ในการเรยี นการสอน
และปรบั ปรุงวธิ กี ารสอนของกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรบั นกั เรียน
ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ทมี่ ีคุณภาพเหมาะสมย่งิ ข้นึ

3. ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ได้อย่างม่ันใจและเป็นไปตามจุดประสงค์
การเรยี นรู้

4. เป็นกิจกรรมการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ
5. ไดแ้ นวทางในการสร้างชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในเร่อื งอืน่ ๆ ให้แพร่หลายตอ่ ไป

9

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง

ในการศึกษาคน้ คว้าครง้ั นี้ ผูร้ ายงานได้ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง
โดยจดั เรยี งตามลำดับ ดงั นี้

1. การจดั สาระการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตามหลักสตู รการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)

2. หลักการจัดการเรยี นการสอนโดยยดึ ผู้เรียนเป็นสำคญั
3. แนวทางการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
4. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้
5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
6. ดัชนีประสิทธิผล
7. แนวคิดเกี่ยวกบั ความพึงพอใจ
8. งานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้อง

8.1 งานวิจยั ในประเทศ
8.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ

1. การจัดสาระการเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตามหลักสตู รการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)

ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง
พ.ศ. 2560) นไี้ ด้กำหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 8 สาระ ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ สาระท่ี 4 ชีววิทยา
สาระที่ 5 เคมี สาระท่ี 6 ฟิสิกส์ สาระท่ี 7 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ และสาระที่ 8
เทคโนโลยี ซง่ึ องค์ประกอบของหลักสูตร ท้งั ในด้านของเนื้อหา การจดั การเรยี นการสอนและ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้น้ัน มีความสำคัญอย่างย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแตล่ ะระดบั ชนั้ ให้มคี วามต่อเนอ่ื งเชื่อมโยงกันตั้งแตช่ น้ั ประถมศกึ ษา
ปีที่ 1 จนถงึ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 สำหรับกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

10

ได้กำหนดตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ท่ีผู้เรียนจำเป็นต้องเรียนเป็นพ้ืนฐาน เพ่ือให้
สามารถนำความรู้นีไ้ ปใชใ้ นการดำรงชีวติ หรือศกึ ษาตอ่ ในวชิ าชีพทตี่ ้องใช้วทิ ยาศาสตรไ์ ด้
โดยจัดเรยี งลำดับความยากง่าย ของเนอ้ื หาทงั้ 8 สาระ ในแตล่ ะระดับชัน้ ใหม้ ีการเชื่อมโยงความรู้
กับกระบวนการเรียนรู้ และการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นพฒั นาความคิด
ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะท่ีสำคัญท้ังทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้
ขอ้ มลู หลากหลายและประจักษพ์ ยานทีต่ รวจสอบได้

1.1 เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิทยาศาสตรเ์ ปน็ เรื่องของการเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใชก้ ระบวนการ

สงั เกต สำรวจตรวจสอบ และการทดลองเกย่ี วกบั ปรากฏการณท์ างธรรมชาติและนำผลมา
จัดระบบ หลกั การ แนวคิดและทฤษฎี ดงั น้นั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์จงึ มุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนได้
เป็นผ้เู รยี นรูแ้ ละค้นพบดว้ ยตนเองมากท่สี ุด นั่นคือให้ได้ทงั้ กระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วยั
เร่ิมแรกกอ่ นเขา้ เรยี น เมอ่ื อยูใ่ นสถานศกึ ษาและเมือ่ ออกจากสถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแล้ว
การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นสถานศกึ ษามีเปา้ หมายสำคญั ดงั นี้

1. เพื่อให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎที ี่เปน็ พืน้ ฐานในวทิ ยาศาสตร์
2. เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาติและขอ้ จำกัดของวทิ ยาศาสตร์
3. เพื่อใหม้ ีทกั ษะท่สี ำคญั ในการศึกษาคน้ ควา้ และคดิ ค้นทางวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
4. เพอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ และจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา
และการจดั การทกั ษะในการสอื่ สาร และความสามารถในการตัดสินใจ
5. เพ่อื ให้ตระหนกั ถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
มวลมนษุ ยแ์ ละสภาพแวดล้อมในเชิงทม่ี อี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซึ่งกันและกนั
6. เพ่ือนำความร้คู วามเข้าใจในเรือ่ งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ หเ้ กิด
ประโยชน์ตอ่ สังคมและการดำรงชีวติ
7. เพื่อให้เปน็ คนมจี ิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มในการใช้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยา่ งสร้างสรรค์

11

1.2 เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม่งุ หวังให้ผ้เู รยี นไดเ้ รยี นรู้

วทิ ยาศาสตร์ ที่เน้นการเช่อื มโยงความรู้กับกระบวนการ มที กั ษะสำคญั ในการคน้ ควา้ และสรา้ ง
องคค์ วามรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสืบเสาะหาความรูแ้ ละแก้ปญั หาทหี่ ลากหลาย ให้ผ้เู รยี น
มสี ่วนรว่ มในการเรียนรู้ ทกุ ขั้นตอน มีการทำกจิ กรรมด้วยการลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ อย่างหลากหลาย
เหมาะสมกับระดบั ชั้น โดยกำหนดสาระสำคญั ดังน้ี

✧ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ เรียนรูเ้ กีย่ วกบั ชวี ติ ในส่ิงแวดลอ้ ม องค์ประกอบ
ของส่งิ มีชวี ติ การดำรงชีวติ ของมนษุ ยแ์ ละสัตว์การดำรงชวี ิตของพชื พันธกุ รรม ความหลากหลาย
ทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของส่งิ มีชีวิต

✧ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ เรยี นรเู้ ก่ียวกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปลี่ยนแปลง
ของสาร การเคลอ่ื นท่ี พลงั งาน และคลื่น

✧ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ เรียนรูเ้ กยี่ วกับ องคป์ ระกอบของเอกภพ
ปฏิสัมพนั ธ์ ภายในระบบสรุ ิยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณีวิทยา
กระบวนการ เปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อส่งิ มชี ีวติ และสงิ่ แวดลอ้ ม

✧ เทคโนโลยี
● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรูเ้ กีย่ วกบั เทคโนโลยีเพ่อื การดำรงชีวติ

ในสงั คมท่มี กี ารเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรแู้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณติ ศาสตร์
และศาสตร์อ่นื ๆ เพอื่ แกป้ ญั หาหรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรคด์ ว้ ยกระบวนการ
ออกแบบ เชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม
และสิง่ แวดลอ้ ม

● วทิ ยาการคำนวณ เรยี นร้เู ก่ียวกับการคิดเชิงคำนวณ การคดิ วิเคราะห์
แก้ปัญหา เป็นขัน้ ตอนและเป็นระบบ ประยกุ ตใ์ ช้ความรดู้ ้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สาร ในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ิตจริงไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

1.3 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พันธ์

ระหว่างสงิ่ ไม่มชี ีวิต กับสิง่ มชี วี ิต และความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มชี ีวิตกับส่งิ มชี วี ติ ต่าง ๆ ในระบบ
นิเวศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปลยี่ นแปลงแทนทใี่ นระบบนเิ วศ ความหมายของ ประชากร

12

ปัญหาและผลกระทบทีม่ ีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดล้อม รวมท้ังนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสงิ่ มีชีวิต หน่วยพนื้ ฐานของสง่ิ มชี ีวติ
การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ท่ขี องระบบต่าง ๆ
ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทำงานสมั พนั ธ์กนั ความสมั พันธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ท่ี ของอวยั วะต่างๆ
ของพชื ท่ีทำงานสัมพนั ธก์ ัน รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอด
ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม สารพนั ธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่มี ีผลตอ่ ส่ิงมชี ีวิต
ความหลากหลาย ทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของสง่ิ มชี ีวติ รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์

ระหวา่ งสมบัตขิ อง สสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติ
ของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรง
ทก่ี ระทำต่อวตั ถุ ลักษณะ การเคล่อื นทแี่ บบต่าง ๆ ของวัตถุรวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและ
การถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจำวนั ธรรมชาติ
ของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับเสียง แสง และคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมท้ัง นำความรู้ไปใช้
ประโยชน์

สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และ

วิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซดี าวฤกษแ์ ละระบบสุรยิ ะ รวมทั้งปฏสิ ัมพันธภ์ ายในระบบสุริยะ
ทส่ี ่งผลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก
กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี บิ ัติภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลง
ลมฟา้ อากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมท้ังผลต่อสง่ิ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชวี ิตในสังคม

ทม่ี ีการเปลยี่ นแปลง อยา่ งรวดเรว็ ใชค้ วามรู้และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตรแ์ ละ
ศาสตรอ์ น่ื ๆ เพ่ือแกป้ ญั หาหรอื พัฒนางานอย่างมคี วามคิดสรา้ งสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบ

13

เชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และ
สิง่ แวดลอ้ ม

มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปัญหาท่พี บ
ในชีวิตจรงิ อย่างเป็น ขัน้ ตอนและเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้
การทำงาน และการแก้ปญั หาไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม

1.4 คณุ ภาพผู้เรียน
จบชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6
❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิง่ มชี ีวิต รวมทั้ง

ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มชี วี ติ ในแหล่งทอ่ี ยู่ การทำหน้าทข่ี องสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช และการทำงาน
ของระบบย่อยอาหารของมนษุ ย์

❖ เข้าใจสมบตั ิและการจำแนกกลมุ่ ของวสั ดุ สถานะและการเปล่ยี นสถานะ
ของสสารการละลาย การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงท่ีผนั กลับไดแ้ ละผันกลับไมไ่ ด้
และการแยกสารอย่างง่าย

❖ เขา้ ใจลกั ษณะของแรงโน้มถว่ งของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟา้
และผลของแรงต่างๆ ผลทเ่ี กดิ จากแรงกระทำต่อวตั ถุ ความดัน หลกั การท่ีมีตอ่ วตั ถุ วงจรไฟฟา้
อย่างง่าย ปรากฏการณเ์ บือ้ งต้นของเสยี ง และแสง

❖ เขา้ ใจปรากฏการณก์ ารข้ึนและตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปรา่ งปรากฏ
ของดวงจนั ทร์ องค์ประกอบของระบบสุรยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ
ดาวเคราะหแ์ ละ ดาวฤกษ์ การขน้ึ และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว การเกดิ อปุ ราคา
พฒั นาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ

❖ เข้าใจลกั ษณะของแหลง่ น้ำ วฏั จกั รนำ้ กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก
น้ำค้าง นำ้ คา้ งแข็ง หยาดนำ้ ฟา้ กระบวนการเกิดหนิ วฏั จักรหิน การใชป้ ระโยชน์หนิ และแร่
การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของ
ภยั ธรรมชาติ ธรณพี บิ ตั ิภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณเ์ รอื นกระจก

❖ คน้ หาข้อมลู อย่างมีประสิทธิภาพและประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ตดั สินใจ
เลอื กข้อมูลใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการแกป้ ัญหา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการ
ทำงานร่วมกนั เข้าใจสิทธิและหน้าทีข่ องตน เคารพสทิ ธิของผอู้ ื่น

❖ ตงั้ คำถามหรอื กำหนดปัญหาเกี่ยวกบั สงิ่ ทจ่ี ะเรยี นร้ตู ามทกี่ ำหนดให้

14

หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สรา้ งสมมตฐิ านท่ีสอดคล้องกบั คำถาม
หรือปญั หาทจี่ ะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครอ่ื งมือ อุปกรณ์ และ
เทคโนโลยีสารสนเทศทเ่ี หมาะสม ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลท้ังเชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ

❖ วเิ คราะห์ขอ้ มูล ลงความเหน็ และสรปุ ความสัมพนั ธ์ของข้อมูลทมี่ าจาก
การสำรวจตรวจสอบในรปู แบบท่ีเหมาะสม เพื่อส่ือสารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบได้
อยา่ งมเี หตุผลและหลักฐานอา้ งอิง

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งทจี่ ะเรยี นรู้ มคี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ กยี่ วกบั
เรอ่ื งท่ีจะศกึ ษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่มี ี
หลกั ฐานอ้างองิ และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ผู้อ่ืน

❖ แสดงความรับผดิ ชอบดว้ ยการทำงานทไ่ี ด้รับมอบหมายอยา่ งมุ่งม่ัน
รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใชค้ วามรู้
และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการดำรงชวี ิต แสดงความช่ืนชม ยกยอ่ ง และเคารพสทิ ธิ
ในผลงานของผ้คู ดิ ค้นและศึกษาหาความรู้เพ่ิมเตมิ ทำโครงงานหรือช้นิ งานตามท่ีกำหนดให้
หรอื ตามความสนใจ

❖ แสดงถงึ ความซาบซ้งึ ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเก่ยี วกับการใช้ การดูแล
รกั ษาทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งรู้คณุ ค่า

1.5 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ัดช้นั ปีชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1
สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ

มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวติ และความสัมพันธ์ระหว่างส่งิ มีชีวิตกับส่ิงมชี ีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การ
ถ่ายทอด พลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากรปัญหาและ
ผลกระทบทีม่ ีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และการแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มรวมท้งั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้
-- - ทอ้ งถน่ิ
-

15

สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของส่งิ มีชวี ติ หน่วยพื้นฐานของสง่ิ มชี วี ติ การลำเลยี ง

สารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ทีข่ องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และ
มนษุ ยท์ ีท่ ำงานสัมพันธก์ ัน ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ของพืชที่
ทำงานสมั พันธ์กนั รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้

- ว 1.2 ม1/1 ท้องถ่ิน
เปรียบเทยี บรปู ร่าง
ลักษณะ และ - เซลล์เปน็ หนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มชี วี ติ สิง่ มีชวี ติ - สวนพฤกษศาสตร์
โครงสรา้ งของเซลล์
พืชและเซลล์สตั ว์ บางชนดิ มีเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมีบา พารา สวนปา่
รวมทั้งบรรยาย
หนา้ ทีข่ องผนังเซลล์ มีเซียม ยสี ต์ บางชนิดมีหลายเซลล์ เช่น พืช สตั ว์ - สระน้ำ ใน
เย่ือหุ้มเซลล์ ไซ
โทพลาซมึ นิวเคลยี ส - โครงสรา้ งพนื้ ฐานทพ่ี บทงั้ ในเซลลพ์ ืชและเซลล์ โรงเรียนและ
แวควิ โอล
ไมโทคอนเดรีย และ สตั ว์ และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศนใ์ ช้ ชมุ ชน
คลอโรพลาสต์
แสง ไดแ้ ก่ เย่ือหมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซึม และ

นวิ เคลยี ส โครงสร้างที่พบในเซลล์พืชแตไ่ ม่พบใน

เซลล์สัตว์ ได้แก่ ผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์

- โครงสรา้ งต่าง ๆ ของเซลลม์ ีหนา้ ท่ีแตกต่างกนั

- ผนังเซลล์ ทำหน้าท่ีให้ความแขง็ แรงแกเ่ ซลล์

- เยอื่ หุ้มเซลล์ ทำหนา้ ท่หี อ่ หมุ้ เซลล์และควบคุม

การลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์

- นวิ เคลียส ทำหนา้ ทค่ี วบคมุ การทำงานของเซลล์

- ไซโทพลาซึม มีออรแ์ กเนลล์ที่ทำหนา้ ทีแ่ ตกต่าง

กนั

16

ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการ

เรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ

ม.1 ว 1.2 ม1/2 - แวคิวโอล ทำหนา้ ท่เี ก็บนำ้ และสารต่าง ๆ

ใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง - ไมโทคอนเดรยี ทำหน้าทเ่ี ก่ียวกบั การสลาย

ศกึ ษาเซลล์ และ สารอาหารเพอ่ื ให้ได้พลงั งานแกเ่ ซลล์

โครงสร้างต่าง ๆ ภายใน - คลอโรพลาสต์ เป็นแหล่งที่เกดิ

เซลล์ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง

ม.1 ว 1.2 ม1/3 อธบิ าย - เซลล์ของส่งิ มชี วี ติ มรี ูปรา่ ง ลกั ษณะ ที่

ความสมั พนั ธ์ระหว่าง หลากหลาย และมีความเหมาะสมกับหน้าที่

รปู ร่าง กับการทำหน้าที่ ของเซลล์นนั้ เชน่ เซลลป์ ระสาทส่วนใหญ่ มี

ของเซลล์ เสน้ ใยประสาทเป็นแขนงยาว นำกระแส

ประสาทไปยังเซลล์อ่ืน ๆ ทีอ่ ย่ไู กลออกไป

เซลลข์ นราก เป็นเซลลผ์ วิ ของรากท่มี ีผนงั

เซลล์และเย่ือหุ้มเซลล์ยืน่ ยาวออกมา ลักษณะ

คล้ายขนเสน้ เล็ก ๆ เพื่อเพม่ิ พื้นทผี่ ิวในการดดู

น้ำและธาตุอาหาร

ม.1 ว 1.2 ม1/4 - พืชและสัตวเ์ ปน็ ส่งิ มชี ีวิตหลายเซลล์มกี าร

อธบิ ายการจัดระบบของ จดั ระบบ โดยเรมิ่ จากเซลล์ไปเปน็ เนือ้ เยื่อ

สง่ิ มีชีวิต โดยเริ่มจาก อวยั วะ ระบบอวัยวะ และสิง่ มีชีวติ ตามลำดบั

เซลล์ เนอ้ื เยื่อ อวัยวะ เซลล์หลายเซลล์มารวมกนั เปน็ เนือ้ เยอ่ื

ระบบอวยั วะ จนเป็น เนื้อเยอื่ หลายชนิดมารวมกนั และทำงาน

สง่ิ มชี ีวติ ร่วมกนั เปน็ อวยั วะ อวัยวะต่าง ๆ ทำงาน

ร่วมกันเปน็ ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะทกุ

ระบบทำงานรว่ มกนั เป็นส่งิ มีชวี ติ

ม.1 ว 1.2 ม1/5 - เซลล์มีการนำสารเข้าสเู่ ซลล์ เพอื่ ใชใ้ น วัสดุ อุปกรณ์

อธบิ ายกระบวนการแพร่ กระบวนการตา่ ง ๆ ของเซลล์ และมีการขจัด การทดลองท่ี

และออสโมซิสจาก สารบางอยา่ งทเี่ ซลลไ์ มต่ อ้ งการออกนอกเซลล์ อยู่ใน

หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ การนำสารเขา้ และออกจากเซลล์มหี ลายวิธี ชวี ติ ประจำวนั

และยกตวั อย่างการแพร่ เชน่ การแพรเ่ ป็นการเคล่ือนทข่ี องสารจาก เช่น ไขไ่ ก่ ไข่

และออสโมซิสใน บริเวณทีม่ ีความเข้มขน้ ของสารสูงไปส่บู ริเวณ เป็ด เปน็ ต้น

17

ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการ

เรยี นรู้ท้องถ่ิน

ชีวิตประจำวนั ที่มคี วามเข้มขน้ ของสารตำ่ ส่วนออสโมซสิ

เปน็ การแพร่ของน้ำ ผ่านเย่อื หุ้มเซลล์ จาก

ดา้ นที่มคี วามเขม้ ขน้ ของสารละลายตำ่ ไปยงั

ดา้ นทีม่ ีความเขม้ ข้นของสารละลายสงู กวา่

ม.1 ว 1.2 ม1/6 - กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชที่

ระบุปจั จยั ท่ีจำเปน็ ในการ เกิดขนึ้ ในคลอโรพลาสต์ จำเป็นต้องใช้แสง

สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงและ แก๊สคาร์บอนได-ออกไซด์ คลอโรฟลิ ล์ และนำ้

ผลผลิตท่เี กิดขน้ึ จากการ ผลผลติ ท่ีไดจ้ าก การสงั เคราะห์ด้วยแสง

สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง โดย ไดแ้ ก่ น้ำตาลและแกส๊ ออกซิเจน

ใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์

ว 1.2 ม1/7 - การสังเคราะห์ดว้ ยแสง เปน็ กระบวนการที่ ใบพชื ทม่ี ีใน

อธิบายความสำคัญของ สำคัญต่อสิ่งมีชวี ิต เพราะเป็นกระบวนการ บรเิ วณ

การสังเคราะหด์ ้วยแสง เดียว ท่ีสามารถนำพลงั งานแสงมาเปลี่ยนเป็น โรงเรียนและ

ของพืชต่อส่งิ มีชวี ิตและ พลังงานในรูปสารประกอบอนิ ทรยี ์และเกบ็ ชุมชน เช่น

สิ่งแวดล้อม สะสมในรปู แบบต่าง ๆ ในโครงสรา้ งของพชื ชบาดา่ ง และ

พชื จงึ เปน็ แหลง่ อาหารและพลงั งานทสี่ ำคญั ใบพืชตา่ งๆท่มี ี

ของสิง่ มชี วี ติ อืน่ นอกจากน้กี ระบวนการ สเี ขยี ว

ว 1.2 ม1/8 สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงยงั เปน็ กระบวนการหลกั ใน

ตระหนักในคุณค่าของพชื การสร้างแก๊สออกซเิ จนใหก้ ับบรรยากาศ

ที่มตี ่อสิง่ มชี วี ติ และ เพื่อให้ส่งิ มชี ีวิตอน่ื ใช้ในกระบวนการหายใจ

สิ่งแวดล้อม โดยการ

รว่ มกนั ปลูกและดแู ล

รกั ษาตน้ ไม้ในโรงเรียน

และชุมชน

18

ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระการ

เรียนรูท้ ้องถิ่น

ม.1 ว 1.2 ม1/9 - พืชมีไซเล็มและโฟลเอม็ พชื ท่มี ีอยู่ใน

บรรยายลักษณะ ซึ่งเปน็ เน้อื เย่ือมลี กั ษณะคล้ายทอ่ ท้องถ่นิ เชน่

และหน้าท่ีของไซ เรยี งตวั กนั เปน็ กลุ่มเฉพาะท่ี ผักกระสัง ต้น

เลม็ และโฟลเอม็ โดยไซเลม็ ทำหน้าทล่ี ำเลียงนำ้ และ เทยี น หรือพชื

ธาตุอาหาร มที ิศทางลำเลยี งจากราก ท่มี ีลำตน้

ว 1.2 ม1/10 ไปสู่ลำต้นใบและสว่ นต่าง ๆ ของพืช ลกั ษณะใส
เขยี นแผนภาพท่ี เพือ่ ใช้ในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงรวมถงึ กระบวนการอ่ืน ๆ
บรรยายทิศ สว่ นโฟลเอม็ ทำหนา้ ท่ีลำเลียงอาหารที่ได้จาก
ทางการลำเลียง การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงมีทิศทางลำเลยี ง
สารในไซเล็ม จากบริเวณที่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของ
และโฟลเอม็ ของ พืช

พชื

ว 1.2 ม1/11 - พชื ดอกทกุ ชนิดสามารถสบื พนั ธุ์ พชื ดอกใน

อธิบายการ แบบอาศยั เพศได้ และบาง ชุมชน

สืบพันธแุ์ บบ ชนิดสามารถสืบพนั ธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศได้

อาศยั เพศ และไม่

อาศัยเพศของพชื

ดอก

ว 1.2 ม1/12 - การสบื พันธ์แุ บบอาศยั เพศเปน็ การสบื พันธ์ทุ มี่ ีการผสมกัน พชื ดอกใน

อธบิ ายลักษณะ ของสเปริ ์มกบั เซลล์ไข่การสืบพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศของพืช ชมุ ชน

โครงสร้างของ ดอกเกดิ ขน้ึ ที่ดอก โดยภายในอบั เรณูของสว่ นเกสรเพศผูม้ ี

ดอกท่ีมีส่วนทำให้ เรณู ซ่งึ ทำหนา้ ท่ีสร้างสเปริ ม์ ภายในออวุลของส่วนเกสร

เกิดการถา่ ยเรณู เพศเมยี มถี งุ เอม็ บรโิ อ ทำหนา้ ท่ีสร้างเซลล์ไข่

รวมทัง้ บรรยาย - การสบื พันธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ

การปฏสิ นธขิ อง เปน็ การสืบพนั ธุท์ ีพ่ ืชตน้ ใหมไ่ มไ่ ด้เกดิ จากการปฏิสนธิ

พืชดอก การ ระหวา่ งสเปริ ม์ กับเซลล์ไขแ่ ต่เกิดจากส่วนต่าง ๆ

เกดิ ผลและเมล็ด ของพชื เช่น ราก ลำต้น ใบ มีการเจริญเติบโตและพฒั นาขึ้น

การกระจายเมล็ด มา เป็นต้นใหม่ได้

และการงอกของ - การถ่ายเรณู คือ การเคลอื่ นย้ายของเรณู

19

ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการ

เรยี นรทู้ อ้ งถ่นิ

เมลด็ จากอบั เรณไู ปยงั ยอดเกสรเพศเมยี ซ่งึ เกีย่ วขอ้ งกบั

ลกั ษณะและโครงสร้างของดอก เช่น สีของกลบี ดอก

ตำแหน่งของเกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี โดยมสี ิง่ ที่ช่วย

ในการถ่ายเรณเู ชน่ แมลง ลม

ม.1 ว 1.2 ม1/13 - การสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศเปน็ การสบื พนั ธุท์ ม่ี ี -

ตระหนกั ถึง การผสมกนั ของสเปิรม์ กบั เซลล์ไข่ การสืบพันธุ์ แบบอาศยั

ความสำคญั ของ เพศของพชื ดอกเกดิ ข้ึนทีด่ อก โดยภายในอับเรณูของสว่ น

สัตวท์ ช่ี ่วยใน เกสรเพศผู้มีเรณู ซ่งึ ทำหนา้ ท่ีสรา้ งสเปิรม์ ภายในออวลุ

การถ่ายเรณู ของสว่ นเกสรเพศเมีย มถี งุ เอ็มบรโิ อ ทำหนา้ ที่สรา้ งเซลล์

ของพืชดอก ไข่

โดยการไม่ - การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เปน็ การสืบพันธท์ุ ่พี ืชตน้

ทำลายชีวติ ของ ใหมไ่ ม่ได้เกิดจากการปฏสิ นธิระหว่างสเปริ ม์ กบั เซลลไ์ ข่

สตั ว์ที่ช่วยใน แต่เกดิ จากส่วนตา่ ง ๆ ของพืช เชน่ ราก ลำต้น ใบ มีการ

การถา่ ยเรณู เจรญิ เตบิ โตและพฒั นาขนึ้ มา เป็นต้นใหม่ได้

- การถา่ ยเรณู คือ การเคล่ือนย้ายของเรณูจากอบั เรณูไป

ยงั ยอดเกสรเพศเมีย ซึ่งเกย่ี วขอ้ งกบั ลกั ษณะและ

โครงสร้างของดอก เช่น สีของกลีบดอก ตำแหน่งของเกสร

เพศผ้แู ละเกสรเพศเมยี โดยมสี ง่ิ ที่ช่วยในการถา่ ยเรณู เชน่

แมลง ลม

- การถา่ ยเรณูจะนำไปสูก่ ารปฏิสนธิ ซึง่ จะเกิดข้ึนที่ถงุ

เอม็ บรโิ อภายในออวุล หลงั การปฏิสนธิจะไดไ้ ซโกต และ

เอนโดสเปริ ม์ ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเปน็ เอม็ บรโิ อ ออวุล

พัฒนาไปเป็นเมลด็ และรงั ไขพ่ ัฒนาไปเป็นผล

- การถา่ ยเรณูจะนำไปสกู่ ารปฏสิ นธิ ซึ่งจะเกิดขึ้นท่ถี งุ

เอ็มบริโอภายในออวลุ หลังการปฏิสนธจิ ะไดไ้ ซโกต และ

เอนโดสเปิรม์ ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเปน็ เอม็ บรโิ อ ออวุล

พฒั นาไปเปน็ เมลด็ และรังไข่พัฒนาไปเปน็ ผล

20

ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการ

เรียนรู้

ท้องถ่ิน

- ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากตน้ เดมิ โดย

วธิ ีการต่าง ๆ เม่อื เมลด็ ไปตกในสภาพแวดล้อมท่ี

เหมาะสมจะเกดิ การงอกของเมลด็ โดยเอม็ บริโอ

ภายในเมล็ดจะเจรญิ ออกมา โดยระยะแรกจะอาศยั

อาหารทส่ี ะสมภายในเมล็ด จนกระท่งั ใบแทพ้ ฒั นา

จนสามารถสังเคราะหด์ ้วยแสงไดเ้ ตม็ ท่ี และสร้าง

อาหารได้เองตามปกติ

ม.1 ว 1.2 ม1/14 อธบิ าย - พชื ตอ้ งการธาตุอาหารท่ีจำเป็นหลายชนดิ ในการ

ความสำคญั ของธาตุ เจรญิ เติบโตและการดำรงชวี ิต

อาหารบางชนดิ ทม่ี ีผล - พืชต้องการธาตุอาหารบางชนดิ ในปรมิ าณมาก

ตอ่ การเจริญเตบิ โต ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซียม แคลเซียม

และการดำรงชีวิตของ แมกนเี ซยี ม และกำมะถัน ซึ่งในดนิ อาจมไี มเ่ พยี งพอ

พืช สำหรบั การเจริญเตบิ โตของพชื จึงตอ้ งมกี ารใหธ้ าตุ

อาหารในรปู ของปยุ๋ กับพืชอยา่ งเหมาะสม

ว 1.2 ม1/15 เลือกใช้

ปยุ๋ ท่มี ีธาตอุ าหาร

เหมาะสมกบั พชื ใน

สถานการณท์ กี่ ำหนด

ว 1.2 ม1/16 เลือก - มนุษยส์ ามารถนำความรู้เรอ่ื งการสืบพนั ธุ์ แบบ การ

วธิ ีการขยายพนั ธ์พุ ชื ให้ อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มาใช้ในการขยายพันธ์ุ ขยายพนั ธ์พุ ชื

เหมาะสมกบั ความ เพอ่ื เพิม่ จำนวนพชื เชน่ การใช้เมลด็ ทีไ่ ด้จากการ โดยใช้พชื ใน

ต้องการของมนษุ ย์ สบื พันธุแ์ บบอาศัยเพศมาเพาะเล้ยี ง วธิ ีการนจี้ ะได้ โรงเรยี นและ

โดยใช้ความรเู้ กย่ี วกบั พืชในปริมาณมาก แต่อาจมีลกั ษณะท่ีแตกตา่ งไป ชมุ ชน

การสบื พนั ธ์ขุ องพชื จากพ่อแม่ สว่ นการตอนกิง่ การปกั ชำ การตอ่ กิ่ง

การติดตา การทาบกง่ิ การเพาะเลย้ี งเน้อื เยือ่ เป็น

21

ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้

ทอ้ งถิ่น

ว 1.2 ม1/17 อธิบาย การนำความรเู้ ร่อื งการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

ความสำคญั ของ ของพชื มาใชใ้ นการขยายพันธุ์ เพื่อให้ได้พืชที่มี

เทคโนโลยี การ ลักษณะเหมือนต้นเดมิ ซ่งึ การขยายพนั ธ์แุ ต่ละ

เพาะเลีย้ งเนอื้ เยื่อพชื วิธี มีขน้ั ตอนแตกตา่ งกัน จงึ ควรเลอื กให้

ในการใช้ประโยชน์ เหมาะสมกบั ความตอ้ งการของมนุษย์

ดา้ นตา่ ง ๆ

ม.1 ว 1.2 ม1/18ตระหนัก โดยต้องคำนึงถงึ ชนดิ ของพืชและลกั ษณะการ

ถงึ ประโยชน์ของการ สืบพนั ธุ์ของพชื

ขยายพันธพุ์ ืช โดย - เทคโนโลยกี ารเพาะเลี้ยงเน้อื เย่อื พชื เปน็ การ

การนำความรไู้ ปใชใ้ น นำความรเู้ กยี่ วกับปัจจัยทีจ่ ำเปน็ ต่อการ

ชีวติ ประจำวนั เจริญเติบโตของพชื มาใช้ในการเพมิ่ จำนวนพชื

และทำใหพ้ ืชสามารถเจริญเตบิ โตได้ในหลอด

ทดลอง ซึง่ จะไดพ้ ืชจำนวนมากในระยะเวลาส้นั

และสามารถนำเทคโนโลยีการเพาะเล้ียง

เนื้อเย่อื มาประยุกต์ เพ่ือการอนุรกั ษ์พนั ธกุ รรม

พืช ปรบั ปรุงพนั ธพ์ุ ชื ที่มีความสำคญั ทาง

เศรษฐกิจ การผลิตยาและสาระสำคญั ในพืช

และอ่ืน ๆ

สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมสาร

พันธกุ รรม การเปลีย่ นแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มผี ลต่อสง่ิ มีชวี ิต ความหลากหลาย
ทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการของส่ิงมีชีวติ รวมทงั้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้
ม.1 - - ท้องถนิ่

22

สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ อง

สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาคหลักและธรรมชาติของ
การเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ า
เคมี

ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้
ทอ้ งถน่ิ

ม.1 ว 2.1 ม1/1 - ธาตุแต่ละชนดิ มสี มบัตเิ ฉพาะตวั และมีสมบัติ

อธิบายสมบตั ิทาง ทางกายภาพบางประการเหมือนกันและบาง

กายภาพบางประการ ประการตา่ งกัน ซ่งึ สามารถนำมาจดั กลมุ่ ธาตุ

ของธาตโุ ลหะ อโลหะ เปน็ โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ธาตโุ ลหะมีจดุ

และก่ึงโลหะ โดยใช้ เดือด จุดหลอมเหลวสงู มีผิวมันวาว นำความ

หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ รอ้ นนำไฟฟ้า ดึงเป็นเส้นหรอื ตีเป็นแผน่ บาง ๆ

ท่ไี ด้จากการสงั เกต ได้ และมคี วามหนาแน่นท้งั

และการทดสอบ และ สูงและต่ำ ธาตุอโลหะ มีจดุ เดือด จุด

ใชส้ ารสนเทศที่ได้ หลอมเหลวตำ่ มีผิวไมม่ ันวาว ไมน่ ำความร้อน

จากแหลง่ ขอ้ มูลต่าง ไม่นำไฟฟ้า เปราะ แตกหกั ง่าย และมีความ

ๆ รวมทงั้ จัดกลมุ่ ธาตุ หนาแน่นตำ่ ธาตุกงึ่ โลหะมีสมบตั ิบางประการ

เปน็ โลหะ อโลหะ ก่ึง เหมอื นโลหะ และสมบัตบิ างประการเหมือน

โลหะ อโลหะ

ว 2.1 ม1/2 - ธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ท่ี

วิเคราะหผ์ ลจากการ สามารถแผ่รงั สีได้ จดั เป็นธาตกุ มั มนั ตรงั สี

ใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ - ธาตุมที ัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ การใชธ้ าตโุ ลหะ

กงึ่ โลหะ และธาตุ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกมั มันตรงั สี ควรคำนึงถงึ

กมั มนั ตรังสี ท่ีมตี อ่ ผลกระทบตอ่ สิง่ มชี ีวติ สิ่งแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ

ส่ิงมีชวี ติ สิง่ แวดล้อม และสังคม

เศรษฐกจิ และสงั คม

จากขอ้ มูลทีร่ วบรวม

ได้

23

ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระการ

เรยี นรทู้ ้องถ่ิน

ม.1ว 2.1 ม1/3 - ธาตโุ ลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ ท่ี

ตระหนักถึงคุณค่าของการ สามารถแผร่ ังสีได้ จดั เป็นธาตุกัมมันตรังสี

ใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ กึง่ - ธาตมุ ที ้งั ประโยชน์และโทษ

โลหะ ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี การใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ ธาตุ

โดยเสนอแนวทางการ กัมมนั ตรังสี ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ิต

ใชธ้ าตอุ ย่างปลอดภัย ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสงั คม

คมุ้ ค่า

ม.1 ว 2.1 ม1/4 สารบรสิ ุทธ์ิประกอบด้วย

เปรียบเทยี บจุดเดือด สารเพียงชนดิ เดยี ว ส่วนสารผสม

จดุ หลอมเหลวของสาร ประกอบดว้ ยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึน้ ไป สาร

บริสทุ ธแิ์ ละสารผสม บรสิ ทุ ธ์แิ ต่ละชนดิ มสี มบัติบางประการทเี่ ป็นคา่

โดยการวัดอณุ หภมู ิ เฉพาะตวั เช่น จุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงท่ี

เขยี นกราฟ แปล แต่สารผสมมจี ุดเดือดและจดุ หลอมเหลวไม่คงท่ี

ความหมายข้อมูลจาก ขน้ึ อยกู่ บั ชนิดและสดั สว่ นของสารท่ีผสมอยู่

กราฟ หรือสารสนเทศ ดว้ ยกนั

ม.1 ว 2.1 ม1/5 - สารบริสุทธิ์แต่ละชนดิ มคี วามหนาแน่น หรือ

อธิบายและ มวลต่อหนงึ่ หนว่ ยปริมาตรคงท่ี เปน็ คา่ เฉพาะ

เปรยี บเทยี บความ ของสารน้นั ณสถานะและอุณหภมู ิหน่ึงแตส่ าร

หนาแน่นของสาร ผสมมคี วามหนาแน่นไม่คงทข่ี ้ึนอยกู่ บั ชนดิ และ

บริสุทธ์ิและสารผสม สัดสว่ นของสารที่ผสมอยดู่ ้วยกนั

ม.1 ว 2.1 ม1/6
ใช้เครอ่ื งมือเพ่อื วัดมวล
และปรมิ าตรของสาร
บรสิ ทุ ธิ์และสารผสม

24

ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้

ทอ้ งถ่ิน

ม.1 ว 2.1 ม1/7 - สารบริสุทธิแ์ บ่งออกเป็นธาตแุ ละสารประกอบ

อธบิ ายเกี่ยวกบั ธาตุประกอบด้วยอนุภาคท่เี ลก็ ทีส่ ุดทีย่ ังแสดง

ความสมั พนั ธ์ สมบัตขิ องธาตนุ ั้นเรยี กวา่ อะตอม ธาตแุ ต่ละชนิด

ระหวา่ งอะตอม ประกอบด้วยอะตอมเพยี งชนดิ เดียวและไม่

ธาตุ และ สามารถแยกสลายเปน็ สารอนื่ ไดด้ ้วยวิธที างเคมี

สารประกอบ ธาตเุ ขียนแทนดว้ ยสญั ลกั ษณธ์ าตุ สารประกอบ

โดยใช้ เกิดจากอะตอมของธาตุตง้ั แต่ 2 ชนิดขน้ึ ไป

แบบจำลองและ รวมตวั กันทางเคมใี นอตั ราสว่ นคงที่ มสี มบัติ

สารสนเทศ แตกตา่ งจากธาตุทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบ สามารถแยก

เปน็ ธาตไุ ด้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตุและสารประกอบ

สามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ยสูตรเคมี

- อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นวิ ตรอน และ

อิเล็กตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุชนิด

เดยี วกนั มีจำนวนโปรตอนเทา่ กันและเป็นค่า

เฉพาะของธาตุน้ัน นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟา้

สว่ นอเิ ลก็ ตรอนมปี ระจุไฟฟ้าลบ เม่ือ

ว 2.1 ม1/8 อะตอมมจี ำนวนโปรตอนเทา่ กบั จำนวน ตวั อย่าง

อธิบาย อเิ ล็กตรอน จะเปน็ กลางทางไฟฟ้า โปรตอนและ องคป์ ระกอบ

โครงสร้าง นิวตรอนรวมกนั ตรงกลางอะตอมเรียกวา่ ของสารใน

อะตอมท่ี นวิ เคลียส สว่ นอิเล็กตรอนเคล่อื นท่ีอยใู่ นทว่ี ่าง ชีวติ ประจำวัน

ประกอบดว้ ย รอบนิวเคลยี ส

โปรตอน

นวิ ตรอน และ

อิเล็กตรอน โดย

ใช้แบบจำลอง

25

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการ

เรียนรู้

ท้องถนิ่

ม.1 ว 2.1 ม1/9 อธบิ าย -สสารทกุ ชนดิ ประกอบด้วยอนุภาค โดยสารชนิด วัตถุทมี่ อี ยู่

และเปรยี บเทียบการ เดยี วกันท่ีมีสถานะของแข็ง ของเหลว แก๊สจะมีการ รอบๆตวั

จัดเรียงอนุภาค แรง จดั เรียงอนภุ าค แรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค การ

ยึดเหนย่ี วระหว่าง เคลอ่ื นทีข่ องอนภุ าคแตกตา่ งกนั ซง่ึ มผี ลตอ่ รปู รา่ ง

อนุภาค และการ และปรมิ าตรของสสาร

เคล่อื นท่ีของอนภุ าค - อนุภาคของของแขง็ เรยี งชิดกนั มแี รงยึดเหนยี่ ว

ของสสารชนดิ ระหว่างอนุภาคมากทสี่ ดุ สั่นอยกู่ ับที่ ทำให้มีรปู ร่าง

เดยี วกนั ในสถานะ และปริมาตรคงที่

ของแข็ง ของเหลว - อนภุ าคของของเหลวอยู่ใกล้กัน มีแรงยดึ เหน่ยี ว

และแกส๊ โดยใช้ ระหวา่ งอนุภาคนอ้ ยกว่าของแข็งแตม่ ากกว่าแก๊ส

แบบจำลอง อนภุ าคเคล่ือนที่ได้แต่ไม่เป็นอสิ ระเท่าแก๊ส ทำให้มี

รูปรา่ งไม่คงที่แตป่ ริมาตรคงท่ี

- อนุภาคของแกส๊ อยู่ห่างกนั มาก มแี รง

ยึดเหนยี่ วระหว่างอนภุ าคน้อยทส่ี ุดอนุภาค

เคลื่อนท่ไี ด้อยา่ งอสิ ระทกุ ทิศทาง ทำใหม้ รี ูปรา่ ง

และปริมาตรไม่คงท่ี

ม.1 ว 2.1 ม1/10อธิบาย • เมื่อให้ความรอ้ นแก่ของเหลว อนภุ าคของ

ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ของเหลวจะมพี ลงั งานและอณุ หภูมิเพิม่ ขึ้นจนถงึ

พลังงานความร้อน ระดบั หนงึ่ ซง่ึ ของเหลวจะใชค้ วามรอ้ นในการ

กบั การเปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนสถานะเปน็ แกส๊ เรียกความรอ้ นท่ี

ขอ งส ส าร โด ย ใช้ ใชใ้ นการเปลีย่ นสถานะจากของเหลวเปน็ แกส๊ วา่

หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ และอณุ หภูมิ

และแบบจำลอง ขณะเปลี่ยนสถานะจะคงท่ี เรียกอุณหภมู นิ วี้ ่า จุด

เดอื ด

• เมอ่ื ทำใหอ้ ุณหภมู ิของแกส๊ ลดลงจนถึงระดบั หนึ่ง

แกส๊ จะเปลย่ี นสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กอณุ หภูมิ

26

ชัน้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการ

เรยี นรู้

ท้องถน่ิ

น้ีวา่ จดุ ควบแนน่ ซึ่งมอี ณุ หภูมเิ ดียวกับจุดเดอื ด

ของของเหลวนน้ั

• เม่ือทำให้อณุ หภมู ขิ องของเหลวลดลงจนถึงระดับ

หนึง่ ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเปน็ ของแข็ง เรยี ก

อุณหภมู นิ ้วี ่า จุดเยอื กแข็ง ซง่ึ มอี ุณหภูมิเดียวกบั จุด

หลอมเหลวของของแขง็ นัน้

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจำวัน ผลของแรงทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ

ลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้
ท้องถน่ิ

ม.1 ว 2.2 ม 1/1สร้าง - เมือ่ วัตถอุ ย่ใู นอากาศจะมีแรง
แบบจำลองทอี่ ธบิ าย ทีอ่ ากาศกระทำต่อวตั ถุในทกุ ทิศทาง
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง แรงที่อากาศกระทำตอ่ วตั ถุขึน้
ความดันอากาศกับ อยกู่ บั ขนาดพน้ื ที่ของวตั ถุนน้ั
ความสงู จากพื้นโลก แรงที่อากาศกระทำตง้ั ฉากกบั ผิววตั ถุ
ตอ่ หนึง่ หน่วยพน้ื ท่ี เรียกว่าความดนั อากาศ
-ความดันอากาศมีความสมั พนั ธ์
กบั ความสงู จากพ้นื โลก
โดยบรเิ วณที่สูงจากพนื้
โลกขนึ้ ไป อากาศเบาบางลง
มวลอากาศน้อยลง ความดันอากาศก็จะ
ลดลง

27

สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน

ปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างสสาร และพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลื่น
ปรากฏการณท์ ่ีเกย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทั้งนำความรไู้ ปใช้
ประโยชน์

ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการ
เรยี นรทู้ อ้ งถิ่น

ม.1 ว 2.3 ม 1/1 - เม่ือสสารไดร้ บั หรือสูญเสยี ความรอ้ นอาจ -

วิเคราะห์ แปลความหมาย ทำให้สสารเปลยี่ นอณุ หภมู ิ เปล่ียนสถานะ

ข้อมูล และคำนวณ หรอื เปลย่ี นรปู รา่ ง

ปรมิ าณความร้อนที่ทำให้ - ปรมิ าณความร้อนทีท่ ำใหส้ สารเปลี่ยน

สสารเปล่ยี นอณุ หภมู แิ ละ อณุ หภมู ขิ ึ้นกบั มวล ความร้อนจำเพาะ และ

เปล่ียนสถานะ โดยใช้ อุณหภูมิ ทเี่ ปล่ยี นไป

สมการ - ปรมิ าณความรอ้ นที่ทำใหส้ สารเปลีย่ น

Q = mcΔt และ สถานะข้นึ กับมวลและความร้อนแฝง

Q = mL จำเพาะ โดยขณะท่สี สารเปล่ยี นสถานะ

ว 2.3 ม 1/2ใช้เทอรม์ อ อุณหภูมจิ ะไมเ่ ปลยี่ นแปลง

มเิ ตอรใ์ นการวดั อุณหภูมิ

ของสสาร

ม.1 ว 2.3 ม 1/3สรา้ ง - ความร้อนทำให้สสารขยายตวั หรือหดตัว -

แบบจำลองทอี่ ธิบายการ ได้ เนือ่ งจากเม่ือสสารได้รบั ความร้อนจะทำ

ขยายตัวหรือหดตัวของ ให้อนภุ าคเคลอ่ื นทเ่ี ร็วข้นึ ทำใหเ้ กดิ การ

สสารเนอื่ งจากได้รับหรือ

สูญเสยี ความร้อน

ม.1 ว 2.3 ม 1/4 ตระหนกั ถงึ ขยายตวั แตเ่ มอื่ สสารคายความร้อนจะทำให้

ประโยชนข์ องความรู้ของ อนภุ าคเคลือ่ นท่ีชา้ ลง ทำให้เกดิ การหดตัว

การหดและขยายตัวของ - ความรเู้ รอ่ื งการหดและขยายตวั ของ

สสารเนอื่ งจากความรอ้ น สสารเนือ่ งจากความรอ้ นนำไปใชป้ ระโยชน์

โดยวิเคราะหส์ ถานการณ์ ไดด้ ้านตา่ ง ๆ เชน่ การสรา้ งถนน การสร้าง

28

สาระการ

ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เรียนรู้

ท้องถ่ิน

ปัญหา และเสนอแนะ

วิธกี ารนำความรู้มา รางรถไฟ การทำเทอรม์ อมเิ ตอร์

แกป้ ญั หาในชีวิตประจำวนั

ม.1 ว 2.3 ม 1/5 วิเคราะห์ - ความรอ้ นถา่ ยโอนจากสสารที่มีอุณหภูมสิ ูง

สถานการณ์การถา่ ยโอน กวา่ ไปยงั สสารท่ีมอี ณุ หภูมิต่ำกวา่ จนกระทงั่

ความร้อนและคำนวณ อณุ หภมู ขิ องสสารทัง้ สองเท่ากนั สภาพท่ีสสาร

ปรมิ าณความรอ้ นท่ถี า่ ยโอน ท้งั สองมีอณุ หภมู ิเท่ากัน เรียกวา่ สมดุลความ

ระหวา่ งสสารจนเกดิ สมดุล ร้อน

ความร้อนโดยใช้สมการ - เมือ่ มีการถา่ ยโอนความรอ้ นจากสสารที่มี

Qสูญเสยี = Qได้รับ อณุ หภูมิตา่ งกันจนเกดิ สมดุลความร้อน ความ

ร้อนทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ของสสารหน่ึงจะเทา่ กบั ความ

รอ้ นทล่ี ดลงของอกี สสารหน่งึ ซ่งึ เป็นไปตาม

กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน

ว 2.3 ม 1/6สรา้ ง -การถา่ ยโอนความร้อนมี 3 แบบ คือ การนำ

แบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการ ความรอ้ น การพาความร้อน และการแผร่ งั สี

ถา่ ยโอนความร้อนโดยการ ความรอ้ น การนำความรอ้ นเปน็ การถ่ายโอน

นำความรอ้ น การพาความ ความร้อนท่ีอาศยั ตวั กลาง โดยทตี่ วั กลางไม่

รอ้ น การแผร่ ังสีความร้อน เคลอื่ นที่ การพาความร้อนเป็นการถา่ ยโอน

ความร้อนท่อี าศัยตัวกลาง โดยท่ตี วั กลาง

ว 2.3 ม 1/7ออกแบบ เคลือ่ นทไี่ ปดว้ ย สว่ นการแผร่ ังสคี วามร้อน

เลือกใช้ และสร้างอุปกรณ์ เปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นที่ไมต่ อ้ งอาศัย

เพื่อแกป้ ัญหาใน ตัวกลาง

ชีวติ ประจำวนั โดยใช้ความรู้ - ความรูเ้ กีย่ วกบั การถา่ ยโอนความร้อน

เก่ยี วกบั การถา่ ยโอนความ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั ได้

รอ้ น เชน่ การเลือกใช้วัสดุเพอื่ นำมาทำภาชนะ

29

บรรจอุ าหาร เพอ่ื เก็บความร้อน หรือการ
ออกแบบระบบระบายความร้อนในอาคาร

สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอก

ภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทั้งปฏสิ ัมพันธภ์ ายในระบบสุริยะทส่ี ่งผลตอ่ สิง่ มชี ีวิต
และการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ

ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้
-- - ท้องถน่ิ
-

30

สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการ

เปลยี่ นแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณีพิบัติภยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและ
ภูมอิ ากาศ

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการ
เรียนรทู้ อ้ งถ่นิ
- ว 3.2 ม 1/1 - โลกมบี รรยากาศหอ่ หมุ้ นักวทิ ยาศาสตร์
-

สรา้ งแบบจำลองที่ ใช้สมบัติและองค์ประกอบของบรรยากาศ

อธิบายการแบง่ ชั้น ในการแบ่งบรรยากาศของโลกออกเป็นช้ัน

บรรยากาศ และ ซึ่งแบง่ ไดห้ ลายรูปแบบตามเกณฑท์ ีแ่ ตกต่างกนั

เปรยี บเทียบ โดยทั่วไปนกั วิทยาศาสตร์ใช้เกณฑก์ ารเปลี่ยนแปลง

ประโยชน์ของ อณุ หภมู ติ ามความสูงแบ่งบรรยากาศได้เป็น 5 ชน้ั

บรรยากาศแต่ละ ไดแ้ ก่ ชั้นโทรโพสเฟยี รช์ ั้นสตราโตสเฟยี ร์ ช้นั มีโซส

ช้ัน เฟยี ร์ ช้ันเทอรโ์ มสเฟยี ร์ และช้ันเอกโซสเฟียร์

• บรรยากาศแตล่ ะชั้นมปี ระโยชน์ตอ่

สงิ่ มชี วี ิตแตกต่างกัน โดยชั้นโทรโพสเฟียรม์ ี

ปรากฏการณ์ ลมฟ้าอากาศทีส่ ำคญั ตอ่ การดำรงชีวิต

ของสิง่ มชี ีวิต ช้ันสตราโตสเฟยี ร์ช่วยดูดกลนื รังสี

อัลตราไวโอเลตจากดวงอาทติ ยไ์ มใ่ หม้ ายังโลกมาก

เกินไป ชัน้ มีโซสเฟียรช์ ่วยชะลอวัตถุนอกโลกทผี่ ่าน

เขา้ มา ให้เกดิ การเผาไหมก้ ลายเปน็ วัตถุขนาดเลก็

ลดโอกาสทีจ่ ะทำความเสยี หายแก่สง่ิ มชี วี ิตบนโลก

ชน้ั เทอรโ์ มสเฟียร์สามารถสะท้อนคลืน่ วทิ ยุ และช้ัน

เอกโซสเฟียรเ์ หมาะสำหรับการโคจรของดาวเทียม

รอบโลกในระดบั ต่ำ

31

ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการ

เรยี นรูท้ อ้ งถ่นิ

ม.1 ว 3.2 ม 1/2อธบิ าย - ลมฟ้าอากาศ เป็นสภาวะของอากาศในเวลา

ปจั จยั ท่ี หน่ึงของพนื้ ท่หี นงึ่ ทมี่ ีการเปลี่ยนแปลง

มีผลตอ่ การ ตลอดเวลาขนึ้ อยกู่ บั องค์ประกอบ

เปล่ียนแปลงองค์ ลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อณุ หภมู อิ ากาศ ความกดอากาศ

ประกอบของลมฟ้า ลม ความชนื้ เมฆ และหยาดนำ้ ฟา้ โดยหยาดนำ้ ฟ้า

อากาศ ทพ่ี บบอ่ ยในประเทศไทยไดแ้ ก่ ฝน

จากข้อมูล ทร่ี วบรวม องค์ประกอบลมฟา้ อากาศเปล่ยี นแปลงตลอด

ได้ เวลาข้ึนอยกู่ ับปจั จัยตา่ ง ๆ

เชน่ ปริมาณรงั สีจากดวงอาทติ ย์และลกั ษณะ

พ้นื ผิวโลกสง่ ผลต่ออุณหภมู ิอากาศ

อณุ หภมู ิอากาศและปรมิ าณไอนำ้ สง่ ผล

ตอ่ ความชื้น ความกดอากาศส่งผลตอ่ ลม

ความช้ืนและลมส่งผลตอ่ เมฆ

ม.1 ว 3.2 ม 1/3 - พายุหมนุ เขตร้อนเกิดเหนอื มหาสมทุ ร

เปรยี บเทยี บ หรอื ทะเล ทีน่ ำ้ มอี ุณหภมู สิ งู ตั้งแต่ 26-27

กระบวนการเกิดพายุ องศาเซลเซยี ส ขึ้นไป ทำให้อากาศทีม่ ี

ฝนฟา้ คะนองและ อณุ หภมู แิ ละความชน้ื สูงบรเิ วณนั้น

พายหุ มนุ เขตร้อน เคลอื่ นที่สูงขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ เปน็ บริเวณกวา้ ง

และผลท่มี ีตอ่ อากาศจากบริเวณอ่นื เคลอื่ นเข้ามาแทนที่

สง่ิ มีชวี ิตและ และพัดเวยี นเขา้ หาศูนยก์ ลางของพายุ ยิ่งใกล้

ส่งิ แวดล้อม รวมทัง้ ศูนยก์ ลาง อากาศจะเคลอ่ื นท่พี ดั เวียนเกอื บเปน็ วงกลม

นำ และมอี ัตราเร็วสงู ทีส่ ดุ พายหุ มนุ เขตรอ้ นทำให้เกดิ

เสนอแนวทางการ คลื่นพายุซัดฝ่ัง ฝนตกหนกั ซึง่ อาจกอ่ ให้เกิดอันตราย

ปฏบิ ัติตนให้ ต่อชวี ติ และทรัพย์สนิ จงึ ควรปฏบิ ัติตนให้ปลอดภัยโดย

เหมาะสมและ ตดิ ตามข่าวสาร การพยากรณ์อากาศ และไม่เขา้ ไปอยู่

ปลอดภัย ในพ้ืนท่ที ี่เสีย่ งภัย

32

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการ
เรียนรู้ท้องถิ่น
ม.1 ว 3.2 ม 1/4อธิบายการ - การพยากรณอ์ ากาศเปน็ การคาดการณ์ ลมฟ้า ข้อมูลการ
พยากรณ์อากาศ และ อากาศ ที่จะเกิดขึน้ ในอนาคตโดยมกี ารตรวจวัด พยากรณ์
พยากรณ์อากาศ องค์ประกอบลมฟ้าอากาศ การสื่อสารแลกเปล่ียน อากาศของ
อย่างงา่ ยจากข้อมลู ท่ี ข้อมลู องคป์ ระกอบลมฟา้ อากาศระหว่างพืน้ ท่ี การ ทอ้ งถนิ่ ตนเอง
รวบรวมได้ วิเคราะห์ขอ้ มูลและสรา้ งคำพยากรณ์อากาศ
- การพยากรณ์อากาศสามารถ
ม.1 ว 3.2 ม 1/5ตระหนักถึง นำมาใชป้ ระโยชน์ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่
คุณค่า การใชช้ ีวติ ประจำวนั การคมนาคม
ของการพยากรณ์อากาศ การเกษตร การป้องกนั และเฝา้ ระวังภัยพบิ ัติ ทาง
โดยนำเสนอแนวทางการ ธรรมชาติ
ปฏิบตั ิตน
และการใชป้ ระโยชนจ์ าก - ภมู ิอากาศโลกเกิดการเปลยี่ นแปลง
คำพยากรณอ์ ากาศ อยา่ งตอ่ เนอื่ งโดยปัจจยั ทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบัน
การเปล่ยี นแปลงภูมิอากาศเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
ม.1 ว 3.2 ม 1/6อธบิ าย เนือ่ งจากกจิ กรรมของมนุษย์ในการปลดปล่อยแก๊ส
สถานการณแ์ ละ เรอื นกระจกสบู่ รรยากาศ แกส๊ เรือนกระจกท่ีถกู
ผลกระทบการ ปลดปล่อยมากที่สุด ได้แก่ แก๊คาร์บอนไดออกไซด์
เปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศ ซ่งึ หมนุ เวียนอยใู่ นวัฏจักรคาร์บอน
โลกจากขอ้ มูลท่ี - การเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศโลกก่อให้เกดิ
รวบรวมได้ ผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อมเชน่ การ
หลอมเหลวของนำ้ แขง็ ขั้วโลก การเพม่ิ ข้ึนของระดบั
ม.1 ว 3.2 ม 1/7ตระหนกั ถึง ทะเล การเปลีย่ นแปลงวัฏจักรนำ้ การเกิดโรคอุบัติ
ผล ใหมแ่ ละอบุ ัติซำ้ และการเกิดภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ
กระทบของการ ท่ีรนุ แรงข้ึน มนษุ ยจ์ งึ ควรเรียนรูแ้ นวทางการปฏิบตั ิ
เปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศ ตนภายใตส้ ถานการณ์ดงั กล่าว ทงั้ แนวทางการ
โลก โดยนำเสนอแนว ปฏิบตั ติ นใหเ้ หมาะสมและแนวทางการลดกิจกรรม
ทางการปฏิบัติตนภายใต้ ทส่ี ง่ ผลต่อการเปล่ยี นแปลงภมู อิ ากาศโลก
การเปล่ยี นแปลง
ภูมิอากาศโลก

33

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวติ ในสงั คมท่มี ีการ

เปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ความรู้และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ ่นื
ๆ เพือ่ แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และ
สงิ่ แวดลอ้ ม

ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการ

เรียนรทู้ ้องถน่ิ

ม.1 ว 4.1 ม 1/1อธบิ ายแนวคิด - เทคโนโลยี เป็นสิง่ ท่ีมนุษย์สรา้ งหรือพฒั นาขึน้

หลกั ของเทคโนโลยีใน ซ่ึงอาจเปน็ ไดท้ ง้ั ช้ินงานหรือวิธกี าร เพ่อื ใช้

ชวี ติ ประจำวันและวิเคราะห์ แกป้ ัญหา สนองความต้องการ หรือเพมิ่

สาเหตุหรือปจั จัยทส่ี ่งผลต่อ ความสามารถในการทำงานของมนษุ ย์

การเปลีย่ นแปลงของ - ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลุ่มของส่วนตา่ ง ๆ

เทคโนโลยี ตั้งแตส่ องส่วนขน้ึ ไปประกอบเขา้ ด้วยกันและ

ทำงานรว่ มกันเพือ่ ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ โดยใน

การทำงานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบ

ไปดว้ ยตัวปอ้ น (input) กระบวนการ

(process) และผลผลิต (output) ทีส่ ัมพนั ธก์ ัน

นอกจากนรี้ ะบบทางเทคโนโลยอี าจมีขอ้ มูล

ยอ้ นกลบั (feedback) เพือ่ ใชป้ รบั ปรุงการ

ทำงาน ได้ตามวตั ถุประสงค์ ซงึ่ การวิเคราะห์

ระบบทางเทคโนโลยีชว่ ยให้เข้าใจองคป์ ระกอบ

และการทำงานของเทคโนโลยี รวมถงึ สามารถ

ปรับปรงุ ให้เทคโนโลยีทำงานไดต้ ามตอ้ งการ

- เทคโนโลยีมีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาต้ังแต่

อดีตจนถึงปัจจบุ ัน ซึ่งมสี าเหตุหรอื ปจั จัยมาจาก

หลายดา้ น เชน่ ปญั หา ความตอ้ งการ

ความก้าวหน้าของศาสตรต์ า่ ง ๆ เศรษฐกิจ

สังคม

34

ชนั้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการ
เรยี นรู้
ม.1 ว 4.1 ม 1/2 ระบุ - ปญั หาหรือความต้องการในชีวติ ประจำวันพบไดจ้ ากหลายบริบท ทอ้ งถนิ่
ปญั หาหรอื ความ ขน้ึ กับสถานการณท์ ี่ประสบ เชน่ การเกษตร การอาหาร
ต้องการใน - การแกป้ ญั หาจำเป็นตอ้ งสืบค้น รวบรวมข้อมลู ความร้จู าก
ชวี ติ ประจำวนั ศาสตร์ต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง เพ่ือนำไปสู่ การออกแบบแนวทางการ
รวบรวม วเิ คราะห์ แกป้ ญั หา
ข้อมูลและแนวคิดที่
เก่ยี วข้องกบั ปญั หา

ม.1 ว 4.1 ม 1/3ออกแบบ - การวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจเลือกข้อมลู ทจ่ี ำเป็น โดย

วธิ กี ารแกป้ ญั หา โดย คำนึงถึงเง่อื นไข และทรพั ยากรทม่ี ีอยู่ ชว่ ยให้ไดแ้ นวทางการ

วิเคราะห์เปรียบเทียบ แก้ปญั หาทเ่ี หมาะสม

และตดั สินใจเลอื ก - การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทำได้หลากหลายวิธี เช่น การ

ข้อมลู ที่จำเปน็ รา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขยี นผงั งาน

นำเสนอแนวทางการ - การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทำงานกอ่ นดำเนินการ

แกป้ ญั หาใหผ้ อู้ น่ื เข้าใจ แกป้ ญั หาจะชว่ ยให้ทำงานสำเร็จไดต้ ามเป้าหมายและลด

วางแผนและ ขอ้ ผิดพลาดของการทำงานทอี่ าจเกดิ ข้นึ

ดำเนินการแกป้ ญั หา

ว 4.1 ม 1/4 ทดสอบ - การทดสอบ และประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบช้ินงานหรอื วธิ ีการ
ประเมนิ ผล และระบุ ว่าสามารแก้ปัญหาได้ตามวัตถุประสงคภ์ ายใตก้ รอบของปัญหา
ขอ้ บกพร่องท่ีเกิดขึ้น เพอื่ หาขอ้ บกพรอ่ ง และดำเนนิ การปรบั ปรุง โดยอาจทดสอบซ้ำ
พรอ้ มทั้งหาแนว เพื่อใหส้ ามารถแก้ปัญหาได้
ทางการปรับปรุงแกไ้ ข -การนำเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอดแนวคิดเพอ่ื ให้ผอู้ ่ืนเข้าใจ
และนำเสนอผลการ เกี่ยวกบั กระบวนการทำงานและชนิ้ งานหรือวธิ ีการทไ่ี ด้ ซึ่งสามารถ
แก้ปญั หา ทำได้หลายวธิ ี เช่น การเขียนรายงาน การทำแผน่ นำเสนอผลงาน
การจัดนทิ รรศการ การนำเสนอผ่านสือ่ ออนไลน์

35

ชัน้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระการ

เรียนรู้ท้องถิ่น

ม.1 ว 4.1 ม 1/5 ใช้ความรูแ้ ละ - วัสดแุ ต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกนั เชน่

ทักษะเกีย่ วกบั วสั ดุ อปุ กรณ์ ไม้ โลหะ พลาสตกิ จึงต้องมีการวิเคราะห์

เครอ่ื งมอื กลไก ไฟฟ้า หรอื สมบตั ิ เพอื่ เลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะ

อเิ ล็กทรอนิกส์ เพื่อ ของงาน

แกป้ ญั หาได้อย่างถกู ตอ้ ง - การสร้างชนิ้ งานอาจใช้ความรู้ เรอ่ื งกลไก

เหมาะสมและปลอดภยั ไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เช่น LED บซั เซอร์

มอเตอรว์ งจรไฟฟา้

- อปุ กรณ์และเคร่อื งมือในการสร้างชนิ้ งาน

หรอื พัฒนาวิธกี ารมีหลายประเภท ตอ้ ง

เลือกใช้ใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภัย

รวมท้งั รูจ้ กั เก็บรกั ษา

สาระที่ 4 เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวติ จริงอย่าง

เปน็ ขั้นตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน และ

การแก้ปญั หาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ รู้เท่าทนั และมจี ริยธรรม

ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการ

เรียนรู้ท้องถนิ่

ม.1 ว 4.2 ม1/1 ออกแบบ - แนวคิดเชิงนามธรรม เปน็ การประเมิน

อัลกอริทมึ ที่ใช้แนวคิดเชิง ความสำคญั ของรายละเอยี ดของปญั หา

นามธรรมเพือ่ แกป้ ญั หาหรือ แยกแยะสว่ นที่เป็นสาระสำคัญออกจากสว่ นที่

อธบิ ายการทำงานท่พี บใน ไมใ่ ชส่ าระสำคญั

ชวี ิตจริง - ตัวอย่างปญั หา เช่น ตอ้ งการปูหญ้าในสนาม

ตามพ้นื ทท่ี กี่ ำหนด โดยหญา้ หน่งึ ผนื มคี วาม

กวา้ ง 50 เซนตเิ มตร ยาว 50 เซนตเิ มตร จะ

ใชห้ ญ้าทงั้ หมดก่ีผืน

36

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการ

เรยี นรทู้ ้องถิ่น

ม.1 ว 4.2 ม1/2ออกแบบ - การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่มี ีการใช้ตัว

และเขยี นโปรแกรม แปร เง่อื นไข วนซ้ำ

อยา่ งง่าย เพอ่ื - การออกแบบอัลกอริทึม เพ่ือแกป้ ัญหา ทาง

แกป้ ัญหาทาง คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งง่าย อาจใชแ้ นวคดิ

คณติ ศาสตรห์ รอื เชงิ นามธรรมในการออกแบบ เพื่อให้การแกป้ ัญหา

วิทยาศาสตร์ มปี ระสทิ ธิภาพ

- การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ข้ันตอนจะชว่ ยให้

แก้ปญั หาได้

อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

• ซอฟตแ์ วร์ที่ใช้ในการเขยี นโปรแกรม เช่น

Scratch, python, java, c

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการ การ

เคล่ือนที่ โปรแกรมคำนวณหาพนื้ ที่ โปรแกรม

คำนวณดัชนมี วลกาย

ว 4.2 ม1/3 รวบรวม • การรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ข้อมูลปฐมภมู ิ

ข้อมลู ปฐมภูมิ ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ผล จะทำให้ได้

ประมวลผล สารสนเทศเพอ่ื ใช้ในการแกป้ ัญหาหรือการตดั สินใจ

ประเมินผล นำเสนอ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ขอ้ มลู และสารสนเทศ • การประมวลผลเปน็ การกระทำกับขอ้ มลู เพอ่ื ให้

ตามวตั ถปุ ระสงค์โดย ได้ผลลพั ธท์ ม่ี ีความหมายและมีประโยชน์ตอ่ การ

ใชซ้ อฟตแ์ วร์ หรอื นำไปใชง้ าน สามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น คำนวณ

บรกิ ารบนอินเทอร์เน็ต อัตราส่วน คำนวณค่าเฉลย่ี

ท่หี ลากหลาย • การใชซ้ อฟต์แวร์หรือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เนต็ ท่ี

หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ ง

ทางเลือก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้แกป้ ัญหา

ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ

• ตัวอยา่ งปัญหา เน้นการบูรณาการกบั วิชาอ่นื เช่น

ต้มไขใ่ หต้ รงกับพฤติกรรมการบริโภค คา่ ดัชนมี วล

กายของคนในท้องถิ่น การสร้างกราฟผลการ

ทดลองและวิเคราะห์แนวโน้ม

37

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระการ

ม.1 ว 4.2 ม1/4ใช้เทคโนโลยี เรียนรทู้ ้องถิน่
สารสนเทศอย่างปลอดภัย
ใช้สือ่ และแหลง่ ขอ้ มูลตาม • ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั เช่น
ข้อกำหนดและข้อตกลง
การปกป้องความเป็นส่วนตัวและอตั ลักษณ์

• การจัดการอัตลักษณ์ เชน่ การตง้ั รหสั ผ่าน

การปกปอ้ งข้อมูลสว่ นตวั

• การพิจารณาความเหมาะสมของเนอื้ หา เชน่

ละเมิดความเปน็ ส่วนตวั ผอู้ ่ืน อนาจาร วจิ ารณ์

ผอู้ ื่นอย่างหยาบคาย

• ขอ้ ตกลง ข้อกำหนดในการใช้สื่อหรือ

แหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ เชน่ Creative

commons

38

คำอธบิ ายรายวชิ า

ว 21101 วทิ ยาศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 80 ชั่วโมง จำนวน 2.0 หน่วยกติ

.....................................................................................................................................................................

ศึกษา วิเคราะห์ สมบัติทางกายภาพ ของธาตุท่ีเป็น โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุ

กัมมันตรงั สี จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น และใช้เครื่องมือเพ่ือวัดมวลและปริมาตร

ของสารบริสุทธ์ิและสารผสม อะตอม ธาตุ และสารประกอบ โครงสร้างอะตอมท่ีประกอบดว้ ย

โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน การจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคและการ

เคล่ือนที่ของอนุภาค พลังงานความร้อนกับการเปล่ียนสถานะของสสาร เปรียบเทียบรูปร่าง

ลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ การใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง

ความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับหน้าที่ของเซลล์ การจัดระบบส่ิงมีชีวิต กระบวนการแพร่และ

การออสโมซิส ปัจจัยท่ีจำเป็น และความสำคัญของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คุณค่าของ

พืชท่มี ีต่อสิ่งมชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม การลำเลยี งสารของไซเล็มและโฟลเอม็ การสืบพันธ์ุแบบอาศัย

เพศและไม่อาศัยเพศ ลักษณะโครงสร้างดอก การถ่ายเรณู การปฏิสนธิ การเกิดผลและเมล็ด

การกระจาย การงอกของเมล็ด การเลือกใช้ธาตุอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช การ

ขยายพนั ธุ์พืช ความสำคัญเทคโนโลยีการเพาะเล้ยี งเนอื้ เย่ือพชื

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การ

สืบค้นข้อมูล บันทึก จัดกลุ่มข้อมูล อธิบาย อภิปรายและสร้างแบบจำลอง เพ่ือให้เกิดความรู้

ความคิด ความเข้าใจ สามารถนำเสนอส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสิน โดยใช้

หลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีได้จากการสังเกต การทดลองแบบจำลอง และใช้สารสนเทศที่ได้จาก

แหล่งข้อมูลต่างๆ เห็นคุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีจิต

วทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ีเหมาะสม

(วิทยาการคำนวณ) อธิบายแนวคิดหลักของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน วิเคราะห์

สาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ระบุปัญหาหรือความต้องการใน

ชีวิตประจำวัน รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคิดที่เก่ียวข้องกับปัญหา ออกแบบวิธีการ

แก้ปัญหา วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จำเป็น นำเสนอแนวทางการ

แก้ปัญหาให้ผู้อ่ืนเข้าใจ วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา ใช้ความรู้ ทักษะเกี่ยวกับวัสดุ

อุปกรณ์ เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง เหมาะสมและ

ปลอดภัย ทดสอบ ประเมินผล และระบุข้อบกพร่องท่ีเกิดข้ึน กำหนดแนวทางการปรับปรุง

แก้ไขและนำเสนอผลการแกป้ ัญหาหรอื พฒั นางาน

39

รหสั ตวั ช้ีวัด รวมทง้ั หมด 33 ตัวชวี้ ดั
มาตรฐาน ว 1.2 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4, ม.1/5 , ม.1/6 , ม.1/7 , ม.1/8 , ม.1/9 , ม.
1/10 , ม.1/11 ,ม.1/12, ม.1/13 , ม.1/14 , ม.1/15 , ม.1/16 , ม.1/17 , ม.1/18
มาตรฐาน ว 2.1 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4 , ม.1/5, ม.1/6, ม.1/7, ม.1/8, ม.1/9, ม.1/10
มาตรฐาน ว 4.1 ม.1/1 , ม.1/2 , ม.1/3 , ม.1/4 ม.1/5

2. หลักการจดั การเรยี นการสอนโดยยึดผ้เู รยี นเป็นสำคญั

ทิศนา แขมมณี (2545 : 119 - 147) ไดใ้ ห้ความหมายและรปู แบบการจดั
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญไว้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ
น้นั หมายถงึ การให้ผูเ้ รียนเป็นจุดสนใจหรือสง่ิ ที่สำคญั ทส่ี ุดหรอื ส่งิ ทีต่ ้องคำนงึ ถงึ มากที่สุด
ในการจดั การเรยี นการสอน ซง่ึ จะแสดงออกเปน็ รปู ธรรมให้เห็นจากบทบาทของผเู้ รยี น
ในการเรียนรู้ บทบาทในการเรียนรู้ หมายถึง การมีส่วนรว่ มของผู้เรียนท้ังด้านกาย สติปญั ญา
อารมณ์ และสังคมในกิจกรรมหรือกระบวนการเรียนรู้มากกว่าท่ีผู้สอนจะดำเนินการเป็นหลัก
กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่แี สดงออกถึงบทบาทดงั กล่าวคือ ผูเ้ รยี นไดม้ โี อกาสการเคล่อื นไหว
ใช้ความคิด ลงมอื ทำ ย้ำความรู้สึกและฝกึ สมั พนั ธ์ การจดั การเรยี นการสอนใหผ้ ้เู รียน
เป็นสำคญั จึงจัดได้อย่างหลากหลาย แตกตา่ งกนั ตามรูปแบบ วธิ ีการ เทคนิค และจดุ เนน้
ของรปู แบบน้ัน ๆ สง่ ผลให้เกดิ รปู แบบและลักษณะการจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รยี น
เปน็ สำคัญ ดังน้ันจึงไดเ้ สนอแนวคิดในการจดั การเรียนการสอนไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ ดงั น้ี

1. แบบเน้นตัวผู้เรียน
1.1 การจัดการเรียนการสอนตามเอกัตภาพ ผู้เรียนแต่ละคนมีภูมิหลัง

สติปัญญา ความสามารถ ความถนัด แบบการเรียนรู้ ความสนใจและความต้องการไม่
เหมือนกัน การจัดการเรียนการสอนจึงต้องจัดให้เหมาะสมกับภูมิหลัง ลักษณะและความ
ต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคล จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดี พัฒนาความสามารถและ
ศกั ยภาพตามบุคคลนั้น ๆ

1.2 การจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนนำตนเอง สามารถช่วยให้ผู้เรียนพึ่งพาตนเอง
และพัฒนาตนเองได้ ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดี ได้มาก จดจำได้นานและนำไปใช้
ประโยชนไ์ ดม้ ากขึ้น การจัดการเรยี นรู้แบบน้ี เช่ือว่า ผูเ้ รยี นมแี บบการเรียนรู้ทีแ่ ตกตา่ งกนั

40

2. แบบเน้นความรแู้ ละความสามารถ
2.1 การจัดการเรียนรแู้ บบรู้จรงิ การเรยี นรู้ของผู้เรียน มีความสัมพนั ธ์กับเวลา

ทผ่ี ูเ้ รียนไดร้ บั ในการเรยี นรู้ ผเู้ รียนสามารถเรยี นได้ตามวตั ถุประสงคถ์ ้ามีเวลามากพอ
การสอนท่ีมีคุณภาพสูงจะทำให้ผู้เรียนใช้เวลาน้อยกว่าการสอนท่ีมีคุณภาพต่ำ และถ้าผู้เรียน
ได้รับโอกาสในการเรียนรู้และคุณภาพการสอนท่ีเป็นไปตามความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน
แลว้ ผเู้ รียนจะบรรลวุ ัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ได้เช่นเดยี วกนั ทุกคน

2.2 การจดั การเรียนรู้แบบรบั ประกันผล ผู้เรียนทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้
และประสบความสำเร็จได้ ถ้าไดร้ ับความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความต้องการ
โดยผู้สอนต้องมีวตั ถุประสงค์ในการเรียนรู้ทช่ี ดั เจน ปฏิบตั ไิ ดจ้ รงิ และมกี ารทดสอบ
เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู เกี่ยวกับปัญหาและความตอ้ งการของผูเ้ รียน

2.3 การจัดการเรียนการสอนแบบมโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอดของความรู้
โดยการสรา้ งความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เปน็ การเรยี นรแู้ บบองคร์ วมและเหน็ ความสมั พนั ธ์
ของข้อมลู

3. แบบเน้นประสบการณ์
3.1 การจัดการเรยี นรู้แบบเน้นประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นแหลง่ ท่ีมา

ของความรู้และเป็นพื้นฐานทำให้เกดิ ความคิด ความรู้ และการกระทำของคน การเร่ิมเรยี นจาก
ประสบการณ์จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเห็นรปู ธรรมท่ีชดั เจน สามารถนำไปส่กู ารเรยี นรู้
ในเชิงรูปธรรมได้ การจดั การเรียนรู้ทผี่ เู้ รยี นได้รับจากประสบการณ์ตรงและค้นพบด้วยตนเอง
จะทำให้การเรียนรู้นนั้ มคี วามหมายต่อตนเอง เกิดความผูกพัน ความต้องการและรบั ผิดชอบ
ท่จี ะเรยี นรู้ตอ่ ไป

3.2 การจัดการเรียนรแู้ บบรับใชส้ งั คม จากประสบการณก์ ารเรยี นรู้
จากรปู ธรรมไปส่นู ามธรรม เมือ่ ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรูแ้ ลว้ และรับรถู้ ึงความรู้ทมี่ ีความหมาย
ต่อตนเอง จะนำไปใช้ในด้านการรับใช้สังคม ประสบการณ์ท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้จากสภาพจริงน้ัน
จงึ สามารถนำไปเปน็ ประโยชนใ์ นชวี ิตและสังคมได้

3.3 การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง จะเป็นการเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์กับ
บรบิ ทของเรื่องน้ัน ๆ ผู้เรียนจะสามารถเผชิญปัญหาและแก้ปัญหาได้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้
พัฒนาทักษะท่ีจำเป็นต่อการดำรงชีวติ เน่ืองจากปัญหาต่าง ๆ น้ัน ต้องการการตัดสินใจและ
ลงมอื ทำ จึงส่งผลใหเ้ กดิ ความรู้ ทกั ษะและเจตคติอนื่ ๆ ดว้ ย

41

4. แบบเนน้ ปัญหา
4.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก การฝึกให้ผู้เรียนได้เผชิญ

ปัญหาหรอื สถานการณ์จริง ทำให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้อย่างมีความหมาย และสามารถพัฒนา
ทักษะกระบวนการต่าง ๆ อันเป็นทักษะท่ีสำคัญต่อการดำรงชีวิต และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
กระบวนการแกป้ ัญหานั้นอาจใหผ้ ู้เรียนวเิ คราะห์และแก้ปัญหาร่วมกนั เพ่ือใหเ้ หน็ ทางเลือกและ
วธิ กี ารอนั หลากหลาย

4.2 การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้โครงการเปน็ หลกั การใช้โครงการ
เป็นกิจกรรมที่มีความสัมพันธ์กับสภาพความเป็นจริง ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
การจัดการเรียนการสอนจะเนน้ กระบวนการสืบสวนเพือ่ พัฒนาสตปิ ญั ญาขัน้ สงู มีผลิตภณั ฑห์ รือ
ผลงานที่เป็นรูปธรรม สามารถแสดงต่อสาธารณชนได้ อันนำไปสู่การอภิปรายแลกเปล่ียนและ
การวิพากษ์วจิ ารณไ์ ด้อย่างชดั เจน

5. แบบเนน้ ทกั ษะกระบวนการ
5.1 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบสวน การสบื สวน

เป็นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทจ่ี ำเปน็ ต่อการแสวงหาความรู้และศึกษาข้อความรู้ทจ่ี ะนำไปสู่
การค้นพบความร้ใู หม่ โดยท่คี รผู สู้ อนช่วยกระตนุ้ และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่
ผู้เรยี น เชน่ แหลง่ ข้อมูล การศึกษาขอ้ มลู การวิเคราะหข์ ้อมูล การสรุปข้อมูล การดำเนินการ
อภปิ ราย และการทำงานร่วมกัน เปน็ ตน้

5.2 การจดั การเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการคิด เปน็ การจดั การเรียน
การสอนที่ผสู้ อนตอ้ งกระตุ้นใหผ้ ้เู รียนเกดิ ความคดิ ขยายอยา่ งต่อเน่อื งจากความรู้เดิมที่มี
ในลักษณะใดลกั ษณะหนง่ึ เช่น คิดอยา่ งหลากหลาย คิดอยา่ งละเอยี ด คดิ อย่างลกึ ซึ้ง
เล็งเห็นการณ์ไกล ความคดิ อย่างมเี หตมุ ผี ล ถูกตอ้ งและนา่ เชือ่ ถือ เปน็ ตน้ โดยที่ครผู สู้ อน
จำเปน็ ต้องฝึกทักษะและกระบวนการคิดตา่ ง ๆ ตามความเหมาะสมกบั พน้ื ฐานของผเู้ รยี น
ได้แก่ ทักษะการคิดข้นั พ้ืนฐาน ทักษะการคดิ ทเี่ ป็นแกนสำคญั ทกั ษะการคดิ ขน้ั สูง ทกั ษะ
การคิดโดยแยบคาย หรือกระบวนการคิดต่าง ๆ เช่น กระบวนการคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
กระบวนการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ กระบวนการแก้ปญั หา หรอื กระบวนการไตรต่ รอง เปน็ ต้น

5.3 การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม การจัดการเรยี นการสอน
แบบนีม้ ุ่งหวังใหผ้ ูเ้ รียนทำงานร่วมกนั มีวัตถปุ ระสงค์และดำเนินงานรว่ มกัน แบง่ หนา้ ท่ี
อย่างเหมาะสม ทำงานอย่างเป็นกระบวนการ เพอ่ื ให้ผู้เรียนเกิดทักษะทางดา้ นสังคมและขยาย
ขอบเขตการเรยี นรใู้ หก้ วา้ งขวางขน้ึ

5.4 การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจัย กระบวนการวิจัย

42

เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีใช้ในการแสวงหาความรู้ ผู้เรียนสามารถใช้กระบวนการนี้
เปน็ เครื่องมือในการศึกษาความรตู้ ่าง ๆ ไดต้ ลอดชวี ิต ถ้าผ้เู รียนได้รบั ประสบการณ์ตรง
จากการวจิ ัยแลว้ จะชว่ ยให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้อยา่ งลึกซ้ึง และมคี วามหมายมากข้ึน
ผลของการวจิ ัยเป็นเน้ือหาสาระในการเรยี นรไู้ ดเ้ ปน็ อย่างดี

5.5 การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการเรียนร้ดู ้วยตนเอง
เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนดำเนินการแสวงหาความรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นต่อ
การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนจะต้องช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้ ช่วยพัฒนา
ทกั ษะและคำปรกึ ษาทเ่ี หมาะสม การติดตามพบปะพดู คุย อภปิ รายผลงาน จะทำให้ผู้เรียน
เกดิ การใฝ่รู้ตอ่ ไป

6. แบบเนน้ บรู ณาการ
จากแนวความคิดวา่ ธรรมชาตแิ ละชีวติ จริง ทุกอย่างมคี วามสัมพันธ์กัน

การเรียนรูค้ วรมีลักษณะเปน็ องค์รวม ผ้เู รยี นจงึ สามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ การเรียนรู้
โดยใช้วิธีการแก้ปัญหาโดยนำความรหู้ ลาย ๆ ด้านมาประกอบกัน และพัฒนาผ้เู รยี นในดา้ น
พทุ ธพิ ิสัย ทักษะ และเจตคตไิ ปพร้อม ๆ กนั มีการขยายความรู้ในมุมกว้าง ขา้ มรายวิชาได้
นอกจากน้ีการบรู ณาการยังสามารถบูรณาการระหวา่ งการเรยี นรกู้ ับกระบวนการเรียนรู้
การบูรณาการระหว่างพฒั นาการทางความรแู้ ละพัฒนาการทางจิตใจ การบูรณาการระหว่าง
ความรู้กบั การกระทำ และการบูรณาการระหวา่ งสิ่งที่เรยี นในโรงเรยี นกับสงิ่ ทอี่ ย่ใู น
ชีวิตประจำวัน

การศึกษาค้นคว้าคร้งั นี้ ผู้รายงานตระหนกั ถงึ ความจำเปน็ ในการจัดการเรียน
การสอนเป็นอย่างยิง่ เพราะเปน็ กระบวนการสำคญั ท่ีทำให้ชุดกจิ กรรมการเรียนร้เู กิด
ประสทิ ธภิ าพได้มากทส่ี ดุ ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้เป็นเพียงส่อื ประกอบท่ีช่วยใหก้ ารจดั การเรยี น
การสอนสมบูรณ์ขนึ้ เท่านัน้ ครูผู้สอนยงั คงบทบาทสำคญั อย่างหลีกเลีย่ งไมไ่ ด้ การจัดการเรียน
การสอนในการศกึ ษาคน้ คว้าน้ไี ดใ้ ช้หลกั การสอนหลายประการมาประยกุ ตใ์ ช้ใหเ้ กิดประสิทธภิ าพ
สูงสุด แต่ม่งุ เนน้ แบบทกั ษะกระบวนการเป็นหลัก เพราะมีความเหมาะสมกับธรรมชาตขิ องวชิ า
วทิ ยาศาสตรอ์ ย่างมาก ทั้งยังสอดคล้องกบั แนวทางการจัดการเรยี นการสอนของสถาบันสง่ เสรมิ
การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใหแ้ นวทางไวด้ ้วย

43

3. แนวทางการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์

ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้
ครูผู้สอนต้องศึกษาวัตถุประสงค์ของการสอนวิทยาศาสตร์ หลักการสอนวิทยาศาสตร์
กระบวนการเรียนการสอนท่ีใช้ในการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคนคิ การสอนวิทยาศาสตร์
ซึ่งมีนกั การศึกษาหลายทา่ นได้ทำการศึกษาไวด้ ังน้ี

3.1 วตั ถปุ ระสงคข์ องการสอนวิทยาศาสตร์
ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้มีประสิทธิผลนั้นต้องมีการตั้งวัตถุประสงค์ไว้

ลว่ งหนา้ สำหรบั วตั ถุประสงคข์ องการสอนวิทยาศาสตรไ์ ด้มนี ักการศึกษากลา่ วไว้ดงั นี้
ภพ เลาหไพบูลย์ (2540 : 90) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการสอน

วทิ ยาศาสตร์พอสรุปไดว้ า่ การสอนวิทยาศาสตรม์ ีวตั ถุประสงค์หลักอยู่ 2 ประการ ดงั นี้
1. ด้านความรู้วิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge) มุ่งให้ผู้เรียนมี

ความรคู้ วามเขา้ ใจในเนือ้ หาความรู้วิทยาศาสตร์ เพียงพอท่ีจะเป็นพ้ืนฐานในการศกึ ษาหาความรู้
ต่อไป ช่วยให้เข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและปกป้องส่ิงแวดล้อมได้
อย่างเหมาะสม ตลอดจนรู้เท่าทันเทคโนโลยี (เลือกใชเ้ ป็น ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ และมีโทษ
นอ้ ยที่สดุ )

2. ด้าน กระบวน การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific
Processes) มุ่งฝึกให้ผู้เรียนมีกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพ่ือท่ีจะนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวันได้ มีศักยภาพและจิตวิญญาณในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม วินิจฉัยและ
แก้ปัญหา มีการตัดสินใจท่ีเหมาะสม ซึ่งประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์

3.2 หลกั การสอนวทิ ยาศาสตร์
ในการสอนวิทยาศาสตร์เพ่ือให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ ครผู ู้สอนจะต้องรู้

หลักการสอนดว้ ย ซ่งึ หลกั การสอนวทิ ยาศาสตร์ไดม้ นี กั การศกึ ษาหลายทา่ นกล่าวไว้ดังน้ี
จำนง แย้มพรายแข (2546 : 32) ได้ให้แนวคดิ เกี่ยวกับหลักการสอนวิทยาศาสตร์

ไว้ว่า ในการเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตรใ์ ห้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
เพือ่ เปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอนควรยึดหลกั ดงั น้ี

1. การจัดการเรียนการสอนใหเ้ หมอื นกับสภาพชวี ิตจริงเพื่อใหเ้ ด็กนำไปใชไ้ ด้

44

2. สอนเพ่ือแก้ไขเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมใหด้ ีขึ้น
3. สอนให้เดก็ เหน็ ความสมั พันธ์และความสำคัญของสง่ิ ตา่ ง ๆ ทีเ่ รียน
เพอ่ื ปรับปรงุ ความเปน็ อยใู่ หด้ ขี น้ึ
4. สอนโดยใหเ้ ด็กมีสว่ นร่วมในการวางแผนการสอน คน้ ควา้ หาความรู้
ดว้ ยตนเอง สามารถสรปุ เป็นความรู้นำไปใชไ้ ด้
5. สอนโดยเนน้ ปฏิบตั ิจริงมากกว่าการท่องจำกฎเกณฑ์
6. สอนเพือ่ ปลูกฝงั คณุ ลักษณะทด่ี ีงามตา่ ง ๆ ให้มใี นตัวเดก็
7. สอนเพ่อื ปูพื้นฐานทางประชาธิปไตยใหม้ ีในตัวเด็ก และสามารถปฏบิ ัติตน
ใหเ้ ป็นพลเมืองดีของชาติ
8. สอนจากสิง่ ทีเ่ ปน็ ปัญหาใกล้ตัวเด็กไปสู้สง่ิ ที่ไกลออกไปโดยใช้วิธสี อนตา่ ง ๆ
คือ การอภปิ ราย การซักถาม การศกึ ษาหาความรดู้ ้วยตนเอง การทำงานร่วมกนั
เป็นกลุ่ม การแก้ปัญหา และการปฏิบัติจริง ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น
ทำเป็น และแก้ปญั หาเปน็
ภพ เลาหไพบลู ย์ (2540 : 63) ได้ใหแ้ นวคิดเก่ยี วกับหลักการสอนไว้วา่
วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทศ่ี กึ ษาเรื่องราว หรือการคน้ พบปรากฎการณข์ องสงิ่ ต่าง ๆ ในธรรมชาติ
ประกอบดว้ ยเนื้อหา หรือตัวความรูว้ ิทยาศาสตร์ และกระบวนการแสวงหาความรู้
ทางวทิ ยาศาสตรน์ ัน้ เกิดจากประสบการณโ์ ดยการใช้ประสาทสัมผสั แลว้ ใช้กระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์เขา้ คน้ ควา้ เพอ่ื ให้ได้คำตอบหรอื ตัวความรูอ้ อกมา ซงึ่ ประกอบด้วย วิธีการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
จากหลักการสอนวิทยาศาสตร์ของนักการศึกษาดังกล่าวพอสรุปได้ว่า การสอน
วิทยาศาสตร์ควรจัดการเรยี นการสอนให้ใกล้เคียงกับสภาพชีวิตจริง ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีงาม
เหน็ ความสำคัญของสง่ิ ตา่ ง ๆ นกั เรยี นมีสว่ นร่วมในการวางแผนการสอน ค้นคว้าหาความรู้
ดว้ ยตนเอง สอนจากปัญหาใกลต้ ัวเดก็ ไปสสู่ ิ่งที่ไกลออกไป แลว้ สอนเพือ่ ปูพ้ืนฐาน
ทางประชาธปิ ไตยให้มีในตัวเดก็ สามารถปฏบิ ตั ิตนให้เปน็ พลเมอื งดขี องชาติ

3.3 รปู แบบวิธีการสอนวิทยาศาสตร์
ในการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ครผู ู้สอนจะตอ้ งทราบว่าตนเอง

จะสอนให้นักเรียนได้รับความรู้ในเน้อื หาใด มีทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ได้ดว้ ยวิธีใด ซ่ึง
รปู แบบวธิ ีการสอนวิทยาศาสตรไ์ ดม้ ีนกั การศกึ ษาทำการศึกษาและเสนอแนะไว้ดงั น้ี
(กรมวิชาการ. 2545 : 146)


Click to View FlipBook Version