45
1. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการสอนแบบหน่ึงที่เน้นกระบวนการ
แสวงหาความรู้ท่ีจะช่วยให้นกั เรยี นได้ค้นพบความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ใหน้ ักเรยี น
ได้ประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้เน้ือหาวิชา กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ประกอบด้วย
ขั้นตอนทส่ี ำคัญดังน้ี
1.1 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียน ซึ่งเร่ือง
ที่สนใจอาจเกดิ ขึ้นจากความสงสัย ความสนใจของนกั เรยี นเอง หรือเกิดจากการอภิปรายในกลุ่ม
เรอื่ งท่ีนา่ สนใจอาจมาจากเหตุการณท์ ่ีกำลงั เกดิ ขึ้นอยู่ในช่วงเวลาน้ัน หรอื เป็นเรื่องที่เช่ือมโยงกับ
ความร้เู ดมิ ท่ีเพ่ิงเรียนรู้มาแล้วเป็นตัวกระตุ้นนักเรยี นสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษา ใน
กรณีที่ยังไม่มีประเด็นใดน่าสนใจ และนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นท่ีต้องการศึกษา
จงึ ร่วมกันกำหนดขอบเขต และแจกแจงรายละเอียดของเร่ืองที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนยิ่งข้ึน
อาจรวมท้ังการรวบรวมความรู้ประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่จะช่วยให้
นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องหรือประเด็นท่ีจะศึกษามากขึ้น และมีแนวทางท่ีใช้ในการสำรวจ
ตรวจสอบอยา่ งหลากหลาย
1.2 ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) เม่อื ทำความเขา้ ใจในประเด็น
หรอื คำถามท่ีสนใจจะศึกษาอย่างถอ่ งแท้แล้วก็มกี ารวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ
ตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมอื ปฏิบัติเพ่ือเกบ็ รวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือ
ปรากฏการณต์ ่าง ๆ วิธกี ารตรวจสอบอาจทำไดห้ ลายวธิ ี เช่น ทำการทดลอง
ทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation)
การศกึ ษาหาข้อมลู จากเอกสารอ้างองิ หรือจากแหลง่ ขอ้ มูต่าง ๆ หรือให้ไดม้ าซึ่งข้อมูล
อย่างเพียงพอท่จี ะใช้ในข้ันต่อไป
1.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) เมือ่ ได้ข้อมูลอย่างเพยี งพอ
จากการสำรวจตรวจสอบแล้ว จงึ นำข้อมูล ขอ้ สนเทศท่ีไดม้ าวิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผล
และนำเสนอผลที่ได้ในรปู ตา่ ง ๆ เช่น บรรยายสรุป สรา้ งแบบจำลองทางคณติ ศาสตร์
หรือรูปวาด สร้างตาราง เป็นต้น การค้นพบในขั้นนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุน
สมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้ โตแ้ ยง้ กับสมมติฐานทต่ี ั้งไว้ หรือไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ประเด็นท่ีได้กำหนดไว้
แตผ่ ลทไ่ี ดจ้ ะอยู่ในรูปใดก็สามารถสรา้ งความร้แู ละช่วยให้เกดิ การเรยี นรไู้ ด้
1.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำความรู้ท่ีสร้างขึ้นไป
เชือ่ มโยงกับความรูเ้ ดิมหรอื แนวคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรอื ข้อสรุปท่ไี ด้ไปใช้
อธิบายสถานการณ์ หรอื เหตุการณ์ หรอื เร่ืองอ่นื ๆ ซ่ึงก็จะช่วยเชื่อมโยงกับเรอื่ งตา่ ง ๆ
46
และทำให้เกดิ ความรกู้ ว้างขวางขน้ึ
1.5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) เปน็ การประเมินการเรยี นร้ดู ้วยกระบวนการ
ตา่ ง ๆ วา่ นกั เรียนมีความรอู้ ะไรบ้าง อยา่ งไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนจ้ี ะนำไปสูก่ ารนำ
ความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ในเรื่องอน่ื ๆ
การนำความรหู้ รอื แบบจำลองไปใชอ้ ธิบายหรือประยุกตใ์ ชก้ บั เหตุการณ์
หรือเร่ืองอื่น ๆ จะนำไปสขู่ ้อโต้แย้งหรือขอ้ จำกดั ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ ป็นประเดน็ หรือคำถาม
หรือปัญหาท่จี ะต้องสำรวจตรวจสอบตอ่ ไป ทำให้เกิดเป็นกระบวนการท่ีต่อเนอื่ งกันไปเร่ือย ๆ จึง
เรยี กว่า Inquiry Cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ จงึ ช่วยให้นกั เรยี นเกิดการเรียนรู้
ทั้งเนื้อหาหลกั และหลักการทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏบิ ตั เิ พื่อให้ได้ความรซู้ ึง่ จะเป็นพื้นฐานใน
การเรียนร้ตู ่อไป
การสืบเสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ นอกจากจะใช้กระบวนการดังกล่าวแล้ว
อาจใช้วิธใี นการสบื เสาะหาความรดู้ ว้ ยรปู แบบอน่ื ๆ อกี ดงั น้ี
การค้นหารูปแบบ (Pattern Seeking) โดยที่นกั เรยี นเรม่ิ ด้วยการสังเกต
และบันทึกปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ หรือทำการสำรวจตรวจสอบโดยท่ีไม่สามารถควบคุมตัว
แปรได้ แล้วคิดหารปู แบบจากขอ้ มูล เช่น จากการสังเกตผลฝรั่งในสวนจากหลายแหล่ง พบว่า
ผลฝรัง่ ท่ีไดร้ บั แสงจะมขี นาดโตกว่าผลฝรั่งทไ่ี ม่ได้รับแสง นักเรียนกส็ รา้ งรูปแบบ
และสรา้ งความรูไ้ ด้ ดังภาพต่อไปนี้
ประเมิน สรา้ งความสนใจ สำรวจและคน้ หา
(Evaluation) (Engagement) (Exploring)
วฎั จกั รการสืบเสาะหาความรู้
(Inquiry Cycle)
ขยายความรู้ อธบิ ายและลงข้อสรุป
(Elaboration) (Explanation)
ภาพ แสดงวฎั จักรการสบื เสาะหาความรู้
47
การจำแนกประเภทและการระบชุ ื่อ (Classification and Identification)
เป็นการจัดประเภทของวัตถุหรือเหตุการณ์เป็นกลุ่ม หรือการระบุช่ือวัตถุหรือเหตุการณ์ท่ีเป็น
สมาชิกของกลุ่ม เชน่ เราจะแบง่ กลุม่ สตั ว์ไมม่ กี ระดูกสนั หลงั เหลา่ นี้ไดอ้ ยา่ งไร วัสดใุ ด
นำไฟฟา้ ไดด้ ี หรือไมด่ ี สารต่าง ๆ เหล่านจ้ี ำแนกอยใู่ นกลุ่มใด
การสำรวจและค้นหา (Exploring) เปน็ การสงั เกตวตั ถุหรือเหตกุ ารณ์
ในรายละเอียดหรอื ทำการสังเกตตอ่ เน่ืองเปน็ เวลานาน เชน่ ไข่กบมีพัฒนาการอย่างไร
เมอ่ื ผสมของเหลวต่างชนิดกันเขา้ ดว้ ยกนั จะเกิดอะไรข้ึน
การพัฒนาระบบ (Developing System) เป็นการออกแบบ ทดสอบ
และปรบั ปรุงส่ิงประดษิ ฐห์ รอื ระบบ
2. การสอนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving Process)
การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหน่ึงคือ เน้นให้นักเรียน
ไดฝ้ ึกแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยผา่ นกระบวนการคิดและปฏิบัตอิ ย่างมรี ะบบ ผลท่ไี ด้จากการฝกึ
จะช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้
กระบวนการหรอื วธิ ีการ ความรู้ ทกั ษะตา่ ง ๆ และความเขา้ ใจในปัญหานนั้ มาประกอบกนั
เพอ่ื เป็นข้อมลู ในการแกป้ ัญหา เพ่ือให้เขา้ ใจไดต้ รงกนั ถงึ ความหมายท่แี ทจ้ รงิ ของปญั หา
ไดม้ ีผู้ให้ความหมายไวด้ งั น้ี
ปญั หา หมายถึง สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือส่งิ ท่ีพบแลว้ ไม่สามารถจะใช้
วิธกี ารใดวธิ ีการหนง่ึ แกป้ ัญหาให้ไดท้ นั ที หรอื เมอ่ื มปี ัญหาเกิดขึน้ แล้วไมส่ ามารถมองเห็น
แนวทางแกไ้ ขได้ทันที
แบบฝึกหัด หมายถึง สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือสิ่งที่พบแล้วสามารถ
แกไ้ ขหรอื เลอื กวิธแี กไ้ ขปญั หาได้ทนั ที หรือมองเห็นได้อย่างชดั เจนว่ามวี ธิ ีแกไ้ ขท่ีแนน่ อน
การแก้ไขปญั หาอาจทำได้หลายวิธี ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับลักษณะของปัญหา ความรู้
และประสบการณข์ องผแู้ ก้ปญั หานน้ั
กระบวนการแก้ปญั หาแต่ละขั้นตอนมคี วามสัมพันธด์ ังภาพตอ่ ไปน้ี
48
นำไปใช้ ปัญหา
ทำความเขา้ ใจ
กบั ปัญหา
ตรวจสอบ ไมส่ ำเร็จ วางแผนและออกแบบวิธี
การแก้ปัญหา เลอื กวิธีอืน่ แกป้ ญั หา
ดำเนินการแก้ปญั หาและ
ประเมินผล
สำเรจ็ ไม่สำเรจ็ ทำความเข้าใจ
2.1 ทำความเขา้ ใจปัญหา ผู้แกป้ ญั หาจะต้องทำความเข้าใจกบั ปญั หาท่พี บ
ให้ถอ่ งแท้ในประเด็นต่าง ๆ คอื (1) ปญั หาถามว่าอยา่ งไร (2) มีขอ้ มลู ใดแลว้ บ้าง
(3) มเี งื่อนไข หรือตอ้ งการขอ้ มูลใดเพมิ่ เติมอกี หรือไม่ การวิเคราะห์ปญั หาอย่างดีจะชว่ ยให้
ขั้นตอนต่อไปดำเนนิ ไปอยา่ งราบรนื่ การจะประเมินว่านักเรยี นเข้าใจปัญหามากน้อยเพยี งใด ทำ
ได้โดยการกำหนดให้นักเรียนเขียนแสดงถึงประเดน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องกับปัญหา
2.2 วางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนน้ีจะเป็นการคิดหาวิธีวางแผนเพื่อแก้ปัญหา
โดยใชข้ ้อมูลจากปญั หาท่ไี ดว้ ิเคราะหไ์ ว้แล้วในขั้นที่ 1 ประกอบกบั ข้อมลู และความรู้
ที่เกีย่ วข้องกบั ปญั หานั้น และนำมาใชป้ ระกอบการวางแผนแก้ปัญหา ในกรณที ่ปี ญั หา
ต้องตรวจสอบโดยการทดลอง ข้ันตอนน้กี ็จะเป็นการวางแผนการทดลอง ซง่ึ ประกอบด้วย
การตั้งสมมติฐาน กำหนดวิธีทดลองหรือตรวจสอบ และอาจรวมท้ังแนวทางในการประเมินผล
การแกป้ ัญหา
2.3 ดำเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล ขั้นตอนนี้จะเป็นการลงมือ
แกป้ ญั หาและประเมนิ ว่าวิธกี ารแกป้ ัญหาและผลทีไ่ ด้ถกู ต้องหรือได้ผลเปน็ อยา่ งไร
ถ้าการแก้ปัญหาทำได้ถูกต้องก็จะมีการประเมินต่อไปว่า วิ ธีการน้ันน่าจะยอมรับไปใช้ในการ
แก้ปัญหาอนื่ ๆ หรือไม่ แต่ถา้ พบวา่ การแกป้ ญั หานั้นไมป่ ระสบผลสำเรจ็ ก็จะต้องยอ้ นกลบั
49
ไปเลือกวิธีการแก้ปัญหาอ่ืน ๆ ท่ีได้กำหนดไว้แล้วในข้ันท่ี 2 และถ้ายังไม่ประสบผลสำเร็จ
นักเรียนจะต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจปัญหาใหม่ว่ามีข้อบกพร่องประการใด เช่น ข้อมูล
กำหนดใหไ้ มเ่ พยี งพอ เพือ่ จะไดเ้ รมิ่ ตน้ การแก้ปัญหาใหม่
2.4 ตรวจสอบการแกป้ ัญหา เป็นการประเมนิ ภาพรวมของการแก้ปัญหา
ท้ังในด้านวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ รวมทั้งการนำไปประยุกต์ใช้
ท้งั น้ีในการแก้ปัญหาใด ๆ ตอ้ งตรวจสอบถึงผลกระทบต่อสังคมและส่ิงแวดลอ้ มด้วย
แม้วา่ จะดำเนินตามขั้นตอนทีก่ ล่าวมาแล้วก็ตาม ผูแ้ กป้ ัญหายังต้องมีความมนั่ ใจ
ว่าจะสามารถแกป้ ัญหานัน้ ได้ รวมทั้งต้องมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กบั การแก้ปญั หา เนอื่ งจาก
บางปัญหาตอ้ งใช้เวลา และความพยายามเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ถ้านักเรียนเกิดความเหน่ือยล้า
จากการแก้ปญั หา กค็ วรให้นกั เรียนได้มีโอกาสพักผ่อน
3. การสอนแบบใช้กิจกรรมการคิดและปฏิบัติ (Hands – on Mind – on
Activities)
นักการศึกษาแนะนำให้ครจู ดั กิจกรรมให้นกั เรียนไดค้ ิด และลงมือปฏิบตั ิ เมื่อ
นักเรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ หรือไดท้ ำการทดลองตา่ ง ๆ ทางวทิ ยาศาสตรก์ จ็ ะเกิดความคดิ และ
คำถามที่หลากหลาย เม่ือนักเรยี นไดท้ ำกิจกรรมจะทำให้สงั เกตผลท่ีเกิดข้ึนด้วยตนเอง
ซงึ่ เป็นข้อมลู ทจ่ี ะนำไปสกู่ ารถามคำถาม การอธิบาย การอภิปราย หาข้อสรปุ และการศึกษา
ตอ่ ไป กจิ กรรมลักษณะนจ้ี งึ สง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั แิ ละฝึกคิด นำมาสู่
การสรา้ งความร้ดู ว้ ยตนเองดว้ ยความเขา้ ใจ และเปน็ การเรยี นร้อู ยา่ งมคี วามหมาย
4. การสอนแบบการเรยี นรู้แบบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative Learning)
การเรียนรู้แบบรว่ มมอื ร่วมใจ เป็นกระบวนการเรยี นรทู้ ่สี ามารถนำมาใช้
ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสมวธิ ีหนึ่ง เนื่องจากขณะท่ีนักเรียนทำกิจกรรม
ร่วมกันในกล่มุ นักเรียนจะไดม้ ีโอกาสแลกเปล่ียนความรู้กับสมาชกิ ของกลมุ่ และการท่ี
แต่ละคนมวี ัยใกลเ้ คยี งกนั ทำให้สามารถสือ่ สารกนั ไดเ้ ป็นอย่างดี แตก่ ารเรียนรแู้ บบรว่ มมือร่วมใจ
ที่มีประสิทธิผลนน้ั ต้องมีรปู แบบหรือมีการจัดระบบอยา่ งดี นักการศึกษาหลายท่าน
ได้ทำการศึกษาคน้ คว้าอย่างกวา้ งขวางเพือ่ จะนำมาใช้ในการเรียนการสอนวชิ าตา่ ง ๆ รวมทง้ั วิชา
วทิ ยาศาสตร์ด้วย
แนวคิดหลักท่ีจะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วย 6 ประการ ดังภาพ ต่อไปน้ี
50
ภาพ แนวคิดของการเรียนรแู้ บบ Cooperative Learning
4.1 การจดั กล่มุ กล่มุ ที่จะเรียนร้ดู ้วยกนั อยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล ควรเป็น
กล่มุ ละ 4 คน ประกอบดว้ ยนกั เรยี นทีม่ ผี ลสมั ฤทธ์ิในการเรยี นสูง ปานกลาง คอ่ นข้างต่ำ
และต่ำ และหญิงชายเท่า ๆ กัน ในบางกรณีอาจจัดกลุ่มโดยวธิ ีอ่ืน เช่น ในการศึกษาเร่ืองลึกเฉพาะ
เช่น ทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ควรจดั กลุ่มนกั เรียนที่มีความสนใจเหมอื นกัน หรอื จดั กลุ่ม
โดยวิธสี มุ่ เมอ่ื ต้องการทบทวนความรู้ และจดั ให้อยู่ในกล่มุ เดยี วกนั ประมาณ 6 สัปดาห์
จึงเปล่ยี นจัดกลุ่มใหม่
4.2 อดุ มการณ์ หมายถึง ความมุง่ มัน่ และอุดมการณข์ องนักเรยี น
ที่จะรว่ มงานกัน นักเรียนจะตอ้ งมีความมงุ่ มั่นทจ่ี ะเรียนรู้ และมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการ
ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ส่ิงเหล่าน้ีต้องสร้างให้เกิดข้ึนและให้คงไว้ โดยให้ทำกิจกรรม
หลากหลาย เชน่ การสร้างความมุ่งมัน่ ของกลุม่ ที่จะทำงานรว่ มกนั การสร้างความมงุ่ มัน่
ของช้นั เรยี นทจ่ี ะชว่ ยกนั
4.3 การจัดการ เพ่ือให้กลุ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ังการจัดการ
ของครูและการจัดการของนักเรียนภายในกลุ่ม ครูจะต้องมีการจัดการที่ดีเพื่อให้การทำงานกลุ่ม
ประสบความสำเรจ็ เช่น การควบคุมเวลา การกำหนดสัญญาณให้นักเรยี นหยดุ กจิ กรรม เป็นต้น
4.4 ทกั ษะทางสงั คม เป็นทกั ษะในการทำงานร่วมกนั มคี วามสัมพนั ธ์ทด่ี ี
ต่อกัน ให้ความชว่ ยเหลอื กนั ให้กำลงั ใจซึง่ กันและกัน รับฟังความคดิ เห็นของกันและกนั
51
4.5 หลักการพนื้ ฐาน ไดแ้ ก่
1) การชว่ ยเหลือซงึ่ กนั และกันโดยมีแนวคิดว่า เมื่อเราได้รบั ประโยชนจ์ าก
เพ่ือนก็จะได้ประโยชนจ์ ากเรา ความสำเร็จของกลมุ่ คือความสำเรจ็ ของแต่ละคน
2) ยอมรับวา่ แตล่ ะคนในกลมุ่ ตา่ งมคี วามสามารถและมีความสำคญั
ต่อกลมุ่ แต่ละคนมสี ว่ นในการทำงานให้กลุ่มสำเร็จ
3) ทุกคนในกลุ่มต้องให้ความรว่ มมือ และมีสว่ นร่วมในงานของกลมุ่ อย่าง
เทา่ เทยี มกนั
4) ทกุ คนในกลุม่ ตอ้ งปฏิสมั พันธ์กันตลอดเวลาที่ทำงานในกลุม่
4.6 โครงสร้างของกิจกรรม หมายถงึ รปู แบบของกิจกรรมในการทำงานกลมุ่ ซ่ึง
มหี ลากหลาย ท้งั น้ขี ึ้นอยู่กบั ปญั หาหรอื สถานการณ์ที่จะศึกษา ตวั อยา่ งเช่น
1) กิจกรรมจดั ค่สู ลบั กันพูดในหวั ขอ้ และในเวลาทีก่ ำหนด
(Timed – Pair – Share) เชน่ เมื่อคนหน่ึงพดู อีกคนหนงึ่ ฟงั แล้วสลับกันคนละ 1 นาที
2) นักเรยี นแต่ละคนในกลุ่มเขียนแสดงความคดิ ในเรอ่ื งใดเรือ่ งหนึง่
ในกระดาษแผน่ เดียวกนั แล้ววนไปเร่ือย ๆ (Round Table) จนนักเรยี นทกุ คนเขียนท้งั หมด
แล้วนำมาสรุป
3) มอบหมายให้ตวั แทนของสมาชิกในกลุ่มไปรวมกลุ่มใหม่ เรียกว่า กลุ่ม
เชี่ยวชาญ (Expert Group) กลุ่มเช่ียวชาญนี้จะศึกษาเรื่องย่อยที่แบ่งไว้เป็นตอนในชว่ งเวลาหนึ่งแล้ว
กลับมาอธบิ ายใหส้ มาชิกในกล่มุ เดิม (Home Group) ในท่สี ดุ นักเรียนท้ังหมดจะเรยี นรู้
เรอื่ งทงั้ หมดจากเพ่ือน นนั่ คอื นกั เรียนแต่ละคนในหน่งึ กลมุ่ ได้รบั มอบหมายงานเพียงหนง่ึ ชิ้นย่อย แต่
ต้องตอ่ ชนิ้ ยอ่ ยให้เต็มรูป (Jigsaw) น่นั คือ ต้องเรียนรทู้ ้งั เร่อื งแล้วมกี ารทดสอบเปน็ คะแนนของแต่
ละคน
จะเห็นได้วา่ รูปแบบของกิจกรรมท่ีจะกระตุ้นให้นักเรียนเรียนรู้โดยร่วมมือร่วม
ใจกนั ในการทำงานกลุ่ม ไมว่ า่ จะเปน็ รูปแบบใด นกั เรียนจะได้ใช้ความคดิ และตอ้ งมี
การปฏิบัติดว้ ย แล้วจึงแสดงความคิดของตนเองแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในกลมุ่ กับเพ่ือนต่างกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือรว่ มใจจงึ ทำใหน้ กั เรยี นพัฒนากระบวนการคดิ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะ
ทางสังคม รวมทัง้ การจัดการ
จากแนวคดิ เกี่ยวกับการเรยี นการสอนที่กลา่ วมาแลว้ กิจกรรมสว่ นใหญ่
ภายในห้องเรียนจะดำเนินไปด้วยตัวของนักเรียนเอง โดยครูทำหน้าท่ีเป็นผู้กระตุ้นการเรียนรู้
วางแผนจัดกิจกรรม และจัดหาแหล่งข้อมูลท่ีจะให้เกิดการเรียนรู้ รวมทั้งเป็นผู้ขยายความรู้
ความคดิ ของนักเรียนให้สมบูรณ์ ครจู งึ มบี ทบาทสำคญั หลายประการมากกว่าเปน็ ผู้สอน
52
อยา่ งเดียว จากการวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรยี นการสอนในรปู แบบรว่ มมอื ร่วมใจนท้ี ำให้
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นทกุ คนพัฒนากา้ วหนา้ ขนึ้
4. ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
4.1 ความหมายของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
จากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ในปัจจุบัน สิ่งหน่ึงที่มี
ความสำคญั ต่อการศึกษาของชาติคือ นวัตกรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา และชุดกิจกรรม
การเรียนรู้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างหนึ่งท่ีได้เข้ามามีบทบาทต่อการเรียนการสอน
และช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการสอน
มาจากคำในภาษาองั กฤษที่เรยี กชอ่ื ต่างกนั เชน่ Learning package , Instructional package
หรอื Instructional kits ซ่ึงชดุ กจิ กรรมการเรียนรหู้ รือชดุ การสอนมีความหมายเหมือนกนั
ในท่ีน้ีผ้รู ายงานใชค้ ำวา่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งชดุ กิจกรรมการเรียนรมู้ นี กั การศึกษา
ใหค้ วามหมายไว้ดังน้ี
บญุ เกื้อ ควรหาเวช (2543 : 91) กล่าวว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง
ส่ือการสอนชนดิ หน่ึงซึ่งเป็นชุดของสือ่ ประสม ท่ีจัดขน้ึ สำหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อ เนื้อหา
และประสบการณ์ของแต่ละหน่วยท่ีต้องการจะให้ผ้เู รียนได้รับ โดยจัดเอาไว้เป็นชุด ๆ บรรจุอยู่
ในซอง กล่อง หรือกระเป๋า สามารถชว่ ยให้ผ้เู รียนได้รบั ความรู้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และยังช่วย
ใหผ้ สู้ อนเกดิ ความมัน่ ใจพรอ้ มทจ่ี ะสอน
ศริ ิมา เผ่าวิริยะ (2544 : 12) กล่าวว่า ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ หมายถึง
ส่อื การเรียนที่จัดไว้เปน็ ชุด เพอื่ อำนวยความสะดวกให้แกค่ รู และนกั เรยี น ทงั้ ยังชว่ ย
เปล่ียนพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนให้สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
สมโภช ภูส่ วุ รรณ (2546 : 14) กล่าวว่า ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ หมายถึง
สอ่ื การเรยี นท่ีถกู ผลิตข้นึ อย่างมีระบบ มขี ้นั ตอน ผสมผสานโดยยึดความสมั พันธ์กนั
ของจดุ มงุ่ หมายการเรียนรู้ เน้ือหาในกลุ่มวชิ า เทคนคิ การสอน ท่ีเหมาะสมกบั นักเรยี น
ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันในขณะดำเนินกิจกรรมการเรียน ท้ังสามารถตรวจสอบตนเอง
ตรวจสอบกันเองและได้รับการตรวจสอบประสิทธิภาพการเรียนจากครู เป็นส่ือผสมท่ีจัดทำขึ้น
โดยยดึ ความสนใจของนักเรียน ชว่ ยอำนวยความสะดวกแก่การเรียนการสอน และสนบั สนุนให้
การเรยี นการสอนเปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
53
ถาวร ลักษณะ (2547 : 9) กลา่ ววา่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การนำ
นวัตกรรมการสอนต้ังแต่ 2 ชนิดขน้ึ ไปมาสัมพันธ์กันในลักษณะของสื่อประสม ที่สอดคล้องกับ
หน่วยการเรียน หัวข้อเน้ือหา ประสบการณ์ ท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ เพื่อมุ่งให้
ผู้เรยี นได้เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมการเรียนรอู้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ที่ตง้ั ไว้
ศุภชัย ดาวสมบูรณ์ (2548 : 8) กล่าวว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง
ผลผลิตที่เกิดจากเทคโนโลยีทางการศึกษา ซึ่งผลิตออกมาในรูปส่ือผสมต่าง ๆ โดยมีการ
จดั ลำดบั ขัน้ ตอนการใชอ้ ย่างเป็นระบบ มจี ุดมุ่งหมายเพ่อื ให้การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
มปี ระสิทธิภาพ มีการวดั ผลการเรียนรทู้ ันทหี ลงั จากเรียนจบในหนว่ ยนั้น ๆ
จากทรรศนะของนักการศึกษาดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
หมายถึง ชุดสื่อประสม ซ่ึงผลิตขึ้นอย่างมีระบบ มีขั้นตอน มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย
เน้ือหาวิชา ท่ีสามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรยี นได้ศึกษา และปฏิบัติกจิ กรรม
ด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถ และเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
4.2 แนวคดิ และหลกั การของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรเู้ ปน็ นวัตกรรมการศกึ ษา เพ่อื ส่งเสริมประสิทธภิ าพ
ทางการเรียนร้แู ก่ผู้เรียน ในการสร้างชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้น้ันได้คำนึงถงึ ความเหมาะสม
กบั วัยของผูเ้ รียน ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์และลกั ษณะของเน้อื หาวชิ า นอกจากน้ี
ในการสรา้ งชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ยงั ได้คำนึงถงึ จติ วิทยาการเรยี นร้สู ำหรับผู้เรยี น ซ่ึงมี
นกั การศึกษาไดเ้ สนอแนวคิดและหลักการของชดุ กิจกรรมการเรียนรูไ้ ว้ดังน้ี
จุฑามาศ เจตนก์ สิกจิ (2552 : 10 อา้ งถึงใน ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. 2523 :
119 - 120) ได้สรุปแนวคดิ ท่นี ำมาสู่การสรา้ งชุดกิจกรรมการเรียนรไู้ ว้ดงั นี้
แนวคิดท่ี 1 เป็นแนวคิดตามหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับทฤษฎีความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล นักการศึกษาได้นำแนวคิดนี้มาจัดการเรียนการสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่าง
ระหว่างบุคคลของผู้เรียน จัดการศึกษาให้อิสระในการเรียนรู้ด้วยตนเองตามกำลังความสามารถ
ของแต่ละคน
แนวคิดท่ี 2 เป็นแนวคิดที่พยายามท่ีจะเปล่ียนการเรียนการสอนแบบเดิม
ท่ียึดครูเป็นศูนย์กลาง มีครูเป็นแหล่งความรู้นั้นมาเป็นการจัดประสบการณ์และส่ือประสม
ทตี่ รงตามเนอ้ื หาวิชาในรปู ของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยให้นักเรียนหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
จากชุดกิจกรรมการเรยี นรู้
54
แนวคิดที่ 3 เป็นแนวคดิ ทีพ่ ยายามจะจัดระบบการผลติ และการใช้
อุปกรณ์การสอนใหเ้ ปน็ ไปในรูปส่อื ประสม โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพ่อื เปล่ียนจากการใชส้ ่ือ
เพ่ือ “ช่วยครสู อน” มาเป็นการ “ช่วยนักเรียนเรยี น”
แนวคิดท่ี 4 เป็นแนวคิดท่ีพยายามจะสร้างปฏิสัมพันธ์ให้เกิดข้ึนระหว่างครู
กับนกั เรียน นกั เรียนกับสภาพแวดลอ้ ม โดยนำสือ่ การสอนและทฤษฎกี ระบวนการกลมุ่
มาใช้ในการประกอบกิจกรรมรว่ มกันของนกั เรยี น
แนวคิดท่ี 5 เป็นแนวคิดท่ียึดถือหลักวทิ ยาการเรียนรู้มาจัดสภาพการเรียนรู้
เพ่อื ใหก้ ารเรียนรมู้ ปี ระสทิ ธิภาพ โดยการเปิดโอกาสใหน้ กั เรียน
1) ได้เขา้ ร่วมในกจิ กรรมการเรียนดว้ ยตนเอง
2) ไดร้ บั ทราบว่าการตดั สินใจหรอื การทำงานของตนถกู หรอื ผิดไดท้ นั ที
3) มีการเสริมแรงบวกท่ีทำใหน้ ักเรยี นภาคภูมิใจท่ีได้ทำถกู หรอื คิดถูก อัน
จะทำให้กระทำพฤตกิ รรมนั้นซ้ำอกี ในอนาคต
4) ได้ค่อยเรียนรูไ้ ปทีละขั้นตอนตามความสามารถและความสนใจ
ของนักเรียนเองโดยไม่ต้องมีใครบังคับ จะต้องมีเครื่องมือช่วยให้บรรลุจุดหมายปลายทาง
โดยการจดั การสอนแบบโปรแกรมในรูปของกระบวนการและใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้
เปน็ เครือ่ งมือสำคัญ
บุญเก้ือ ควรหาเวช (2543 : 92 - 94) ได้เสนอแนวคิดและหลักการท่ีนำมาใช้
ในการสรา้ งชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้
1. การประยุกต์ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล การเรียนการสอน
จะตอ้ งคำนึงถงึ ความต้องการ ความถนดั และความสนใจของผเู้ รยี นเปน็ สำคญั โดยมคี รู
คอยแนะนำชว่ ยเหลอื ตามความเหมาะสม
2. การเปลย่ี นแนวการเรยี นการสอนจากทย่ี ดึ ครเู ปน็ หลัก เปลี่ยนมาเป็น
การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรยี นเรยี นเอง โดยการใชแ้ หลง่ ความรจู้ ากสื่อหรือวธิ กี ารตา่ ง ๆ
โดยนยิ มจดั อย่ใู นรปู ของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ การเรียนในลกั ษณะน้ีผเู้ รียนจะเรยี นจากครเู พยี ง
ประมาณ 1 ใน 4 ส่วน สว่ นท่เี หลือผเู้ รยี นจะเรยี นจากส่ือด้วยตนเอง
3. การใช้ส่ือการสอนได้เปล่ียนแปลงและขยายตัวออกไป โดยมีแนวโน้มใหม่
เป็นการผลิตสื่อการสอนแบบประสมให้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ อันจะมีผลต่อการใช้ของครู
คือ เปลี่ยนจากการใช้สื่อเพื่อช่วยครูสอน มาเป็นใช้สื่อการสอน เพื่อช่วยผู้เรียนเรียน คือใช้สื่อ
การสอนต่าง ๆ ด้วยตนเองโดยอยูใ่ นรปู ของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
4. ปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างผูส้ อนกับผ้เู รยี น ผู้เรยี นกบั ผู้เรียน และผเู้ รยี น
55
กบั ส่ิงแวดล้อม แนวโน้มในปัจจุบันและอนาคตของกระบวนการเรยี นร้ตู ้องนำกระบวนการกลุ่ม
สัมพันธ์มาใช้ในการเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นประกอบกิจกรรมรว่ มกัน ทฤษฎี กระบวนการกลุม่ จงึ เป็น
แนวคดิ ทางพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งนำมาสกู่ ารจัดระบบการผลิตส่ือออกมาในรูปของชุดกจิ กรรม
การเรียนรู้
5. การจดั สภาพส่ิงแวดล้อมการเรียนร้ไู ด้ยึดหลกั จิตวทิ ยาการเรยี นมาใช้
โดยจัดระบบการเรยี นการสอนทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดม้ ีโอกาสรว่ มในกจิ กรรมการเรยี น
ด้วยตนเอง มีทางทราบว่าการตัดสนิ ใจหรอื การทำงานของตนถูกหรือผดิ อยา่ งไร มีการเสริมแรง
บวกท่ที ำใหผ้ ู้เรียนภาคภูมใิ จทไี่ ดท้ ำถกู หรือคดิ ถูก อันจะทำใหก้ ระทำพฤตกิ รรมนั้นซำ้ อีก
ในอนาคต และให้คอ่ ยเรยี นรู้ไปทลี ะข้นั ตอนตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียนเอง
โดยไมม่ ีการบงั คบั ซึ่งเป็นเครอ่ื งมอื ชว่ ยใหบ้ รรลุจุดมงุ่ หมายปลายทาง โดยการจัดการเรียน
การสอนแบบใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้เปน็ เคร่อื งมือสำคัญ
จากทรรศนะของนักการศึกษาดงั กล่าวสามารถสรุปไดว้ ่า แนวคดิ และหลักการ
ในการสร้างชุดกิจกรรมการเรยี นรไู้ ด้คำนึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคล เพอ่ื สนองความสามารถ
ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน จัดประสบการณ์และส่ือประสมท่ีตรงตามเน้ือหาวิชา
โดยให้นักเรียนหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม มีการเสริมแรง
และให้ผเู้ รยี นทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง เพอื่ ชว่ ยให้ผ้เู รยี นบรรลจุ ุดมงุ่ หมายของการเรียน
ไดด้ ยี ง่ิ ข้นึ
4.3 ประเภทของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
กอ่ นท่จี ะสรา้ งชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผ้สู ร้างจะตอ้ งเลอื กประเภทของ
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้เสยี กอ่ น เพราะว่าชดุ กจิ กรรมการเรียนร้แู ตล่ ะประเภทมีจุดม่งุ หมาย
ในการใช้แตกตา่ งกันไป ในการจดั ประเภทของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ มีนกั การศกึ ษา
หลายทา่ นไดจ้ ดั ชดุ กิจกรรมการเรียนรูอ้ อกเป็นประเภทตา่ ง ๆ ดังนี้
บุญเก้ือ ควรหาเวช (2543 : 94 - 95) ได้แบง่ ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
ไว้ 3 ประเภท สรุปได้ดังน้ี
1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้
สำหรับผู้สอนจะใชส้ อนผู้เรียนเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อให้รแู้ ละเขา้ ใจในเวลาเดียวกัน มุ่งในการขยาย
เน้ือหาสาระให้ชัดเจนย่ิงขึ้น สื่อที่ใช้ ได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์
เทปบนั ทึกเสยี ง หรือกิจกรรมท่กี ำหนดไว้ ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้น้บี างคนอาจจะเรียกวา่
ชุดการสอนสำหรับครู
56
2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มกิจกรรม เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้
สำหรบั ให้ผเู้ รียนเรียนร่วมกันเปน็ กล่มุ เลก็ ๆ ประมาณ 5 - 7 คน โดยใชส้ ่อื การสอนท่ีบรรจไุ ว้
ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะในเน้ือหาวิชาที่เรียนและให้ผู้เรียนมีโอกาส
ทำงานร่วมกัน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชนิดนี้มักใช้ในการสอนแบบศูนย์การเรียนและการสอน
แบบกลุ่มสมั พนั ธ์
3. ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบรายบคุ คลหรือชุดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล คือผู้เรียน
จะต้องศกึ ษาหาความรู้ตามความสามารถและความสนใจของตนเอง อาจจะเรยี นที่โรงเรียนหรือ
ท่ีบ้านก็ได้ ส่วนมากมักจะมุ่งให้ผู้เรียน ได้ทำความเข้าใจในเนื้อหาวิชาท่ีเรียนเพิ่มเติม ผู้เรียน
สามารถจะประเมินผลการเรยี นด้วยตนเองได้ด้วย
สวุ ิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ (2545 : 52 – 53) ไดแ้ บง่ ชดุ กจิ กรรม
การเรยี นรู้ไว้ 3 ประเภท สรุปไดด้ ังน้ี
1. ชุดกจิ กรรมการเรยี นรปู้ ระกอบคำบรรยายของครู เป็นชุดกจิ กรรม
การเรียนรูส้ ำหรบั ผูเ้ รียนกลมุ่ ใหญ่ หรอื เป็นการสอนท่มี งุ่ เนน้ การปพู ื้นฐานให้ทุกคนรบั รู้
และเข้าใจในเวลาเดียวกัน มุ่งในการขยายเน้ือหาสาระให้ชัดเจนย่ิงข้ึน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบน้ีลดเวลาในการอธิบายของผสู้ อนให้พูดน้อยลง เพิ่มเวลาให้ผูเ้ รยี นได้ปฏบิ ตั ิมากขึน้
โดยใช้สอื่ ทม่ี อี ยพู่ ร้อมในชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ในการนำเสนอเนื้อหาตา่ ง ๆ สงิ่ สำคญั คือ
สือ่ ทีน่ ำมาใชจ้ ะต้องใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ ห็นชัดเจนทกุ คนและมีโอกาสได้ใช้ครบทุกคนหรอื ทุกกลมุ่
2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มกิจกรรม หรือชุดกิจกรรมการเรียนรู้
สำหรบั การเรยี นเปน็ กลมุ่ ยอ่ ย เปน็ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้สำหรบั ให้ผเู้ รียนเรยี นรว่ มกนั
เป็นกลุ่มย่อย ประมาณกลุ่มละ 4 - 8 คน โดยใชส้ ่ือการสอนตา่ ง ๆ ที่บรรจุไว้ในชุดการสอน
แต่ละชดุ มุ่งทีจ่ ะฝึกทักษะในเนื้อหาวชิ าทเี่ รยี น โดยใหผ้ เู้ รยี นมีโอกาสทำงานร่วมกัน
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรชู้ นดิ นมี้ ักใชใ้ นการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม
3. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคลหรอื ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามเอกัตภาพ
เป็นชดุ กจิ กรรมการเรียนรสู้ ำหรับเรียนดว้ ยตนเองเปน็ รายบคุ คล คือผเู้ รียนจะต้องศกึ ษา
หาความรู้ตามความต้องการและความสนใจของตนเอง อาจจะเรียนที่โรงเรียนหรือท่ีบ้านก็ได้
จดุ ประสงคห์ ลกั คือมงุ่ ใหท้ ำความเข้าใจกับเนอ้ื หาวชิ าเพมิ่ เติม ผเู้ รยี นสามารถประเมนิ ผล
การเรียนด้วยตนเองได้
จากทรรศนะของนักการศึกษาดังกล่าว สามารถสรปุ ได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
มี 3 ประเภท คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคล ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเรียน
57
เป็นกลุ่มยอ่ ยหรอื กล่มุ กจิ กรรม และชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ประกอบคำบรรยายของครู ผู้รายงาน
จึงดำเนินการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยมีการผสมผสานท้ังแบบรายบุคคลและแบบกลุ่ม
กิจกรรมข้ึน ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกัน เพ่ือให้การเรียนการสอนประสบ
ผลสำเรจ็ ตามทีห่ วัง
4.4 องค์ประกอบของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ถอื เปน็ อุปกรณ์ที่สำเรจ็ รูปท่ชี ่วยให้เกิดเทคนคิ การสอนและ
กระบวนการเรียนรู้ได้ผล อันเป็นคุณลักษณะหน่ึงของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และการสร้าง
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้นั้น ผู้สร้างจะต้องศึกษาองค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อท่ีจะ
ได้นำมากำหนดเป็นองค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะสร้างข้ึน มีนักการศึกษา
หลายทา่ นได้กล่าวถงึ องค์ประกอบของชดุ กจิ กรรมการเรยี นร้ไู วด้ ังน้ี
บญุ เกอื้ ควรหาเวช (2543 : 95 - 96) ไดก้ ล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญ
ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้สรปุ ไดด้ งั นี้
1. คู่มือครู เป็นคู่มือและแผนการสอนสำหรับผู้สอนหรือผู้เรียนตามแต่ละ
ชนิดของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ภายในคู่มือจะชี้แจงถึงวิธีการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
อย่างละเอยี ด
2. บตั รคำสั่งหรือคำแนะนำ จะเปน็ ส่วนทบี่ อกใหผ้ ูเ้ รียนดำเนินการเรียนหรือ
ประกอบกิจกรรมแตล่ ะอย่างตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ บัตรคำส่ังจะมีอยู่ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบกลมุ่ และรายบคุ คล ซ่งึ ประกอบด้วย
2.1 คำอธิบายในเรื่องท่ีจะศึกษา
2.2 คำสง่ั ให้ผ้เู รียนดำเนินกจิ กรรม
2.3 การสรุปบทเรียน
3. เนอื้ หาสาระและสอ่ื จะบรรจุไว้ในรปู ของสือ่ การสอนต่าง ๆ ประกอบดว้ ย
บทเรียนโปรแกรม สไลด์ เทปบันทึกเสียง ฟิลม์ สตรปิ แผ่นภาพโปรง่ ใส วัสดุกราฟกิ
หนุ่ จำลอง ของตัวอย่าง รูปภาพ ผ้เู รียนจะศกึ ษาจากสอื่ การสอนตา่ ง ๆ ท่ีบรรจอุ ยูใ่ น
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ตามบัตรคำสง่ั ทก่ี ำหนดไว้ให้
4. แบบประเมินผล ผ้เู รียนจะทำการประเมนิ ผลความรู้ด้วยตนเองกอ่ น
และหลังเรียน แบบประเมินผลท่ีอยใู่ นชุดกิจกรรมการเรยี นรู้อาจจะเปน็ แบบฝกึ หดั ให้เตมิ คำ
ในช่องว่าง เลือกคำตอบทถี่ ูก จับคู่ ดูผลจากการทดลอง หรอื ให้ทำกจิ กรรม
58
สวุ ิทย์ มูลคำ และ อรทยั มูลคำ (2545 : 52) ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบสำคัญ
ของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ดงั น้ี
1. คู่มอื การใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เป็นค่มู อื หรือแผนการสอนสำหรบั
ผสู้ อนใช้ศึกษาและปฏิบัติตามขัน้ ตอนต่าง ๆ ซ่ึงมรี ายละเอียดชแ้ี จงไว้อย่างชัดเจน
2. บัตรคำสัง่ หรือบตั รงาน เปน็ เอกสารทบี่ อกให้ผู้เรยี นประกอบกิจกรรม
แตล่ ะอย่างตามขั้นตอนทก่ี ำหนดไว้ บรรจุอย่ใู นชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ บตั รคำสั่งหรอื บตั รงานจะ
มีครบตามจำนวนกลุ่มหรือจำนวนผู้เรียน ซึง่ ประกอบด้วย คำอธิบายในเร่อื งท่จี ะศกึ ษา คำสง่ั ให้
ผู้เรียนประกอบกจิ กรรม และการสรปุ บทเรียน
3. เนื้อหาสาระและสอื่ การเรยี นประเภทต่าง ๆ จัดไว้ในรปู ของสื่อการสอน
ทห่ี ลากหลาย อาจแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทดงั น้ี
3.1 ประเภทเอกสารสงิ่ พิมพ์ เชน่ หนงั สอื วารสาร บทความ
ใบความรขู้ องเนอ้ื หาเฉพาะเรอ่ื ง บทเรยี นโปรแกรม
3.2 ประเภทโสตทัศนูปกรณ์ เช่น รปู ภาพ แผนภาพ แผนภูมิ
สมุดภาพ เทปบนั ทึก - เสียง เทปโทรทัศน์ สไลด์ วีดทิ ัศน์ ซดี รี อม โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน
4. แบบประเมินผล เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดและประเมินความรู้ด้วยตนเอง
ท้งั กอ่ นและหลังเรยี น อาจจะเป็นแบบทดสอบชนิดจบั คูเ่ ลอื กตอบหรือกาเคร่อื งหมายถกู ผดิ ก็ได้
จากทรรศนะของนักการศกึ ษาดังกลา่ ว สามารถสรปุ ได้วา่ องค์ประกอบ
ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มอี งคป์ ระกอบท่สี ำคัญ คอื คมู่ อื การใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
บัตรคำสงั่ หรอื บัตรงาน เนอื้ หาสาระ และส่ือการเรียน และการประเมินผล
สำหรบั การศึกษาค้นควา้ คร้งั นี้ ผรู้ ายงานกำหนดองค์ประกอบของชุดกจิ กรรม
การเรยี นรู้ ตามของ บุญเก้อื ควรหาเวช (2543 : 95 - 96) ประกอบดว้ ย คำนำ คำชี้แจง
คำแนะนำสำหรบั ครู คำแนะนำสำหรบั นกั เรยี น จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ใบความรู้ กิจกรรม เฉลยกิจกรรม แบบทดสอบหลังเรยี น และเฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น -
หลังเรียน
4.5 ขน้ั ตอนในการสรา้ งชุดกิจกรรมการเรียนรู้
ในการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สร้างชุดกิจกรรมการเรยี นร้จู ะต้องมคี วามรู้
เก่ียวกับหลักการและข้ันตอนในการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เม่ือสร้างโดยอาศัยขั้นตอน
ดงั กล่าวจะได้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมและมีประสิทธภิ าพ มนี ักการศึกษาเสนอ
หลักการและข้ันตอนในการสรา้ งชุดกจิ กรรมการเรยี นรไู้ วด้ งั นี้
59
จุฑามาศ เจตน์กสิกิจ (2552 : 15-17 อ้างถึงใน วิชัย วงษ์ใหญ่. 2525 : 189 -
192) ไดเ้ สนอข้นั ตอนการสร้างชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ สรปุ ได้ดังนี้
1. ตอ้ งศกึ ษาเนอ้ื หาสาระของเนอ้ื หาวิชาอยา่ งละเอยี ดว่า สิง่ ทจ่ี ะนำมา
ทำเปน็ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้นัน้ จะมงุ่ เน้นใหเ้ กดิ การเรียนรู้อะไรกับผูเ้ รยี น และวิเคราะห์
แบง่ หน่วยการเรยี นการสอนออกเป็นเรื่องยอ่ ย ๆ และพจิ ารณาให้ละเอียดเพอ่ื ไม่ให้เกิด
การซ้ำซอ้ นในหน่วยอน่ื ๆ ควรจะเรียงลำดับเนื้อหาตามขน้ั ตอนจากพน้ื ฐานของผูเ้ รียน
2. เมอื่ ศกึ ษาเนื้อหาสาระแลว้ จากนนั้ จึงตัดสนิ ใจวา่ จะทำการสอนแบบใด
โดยกำหนดว่าผูเ้ รียนคอื ใคร (Who is learning) จะใหอ้ ะไรแก่ผเู้ รียน (Give what comidtion)
จะทำไดก้ จิ กรรมอย่างไร (Does what activities ) จะทำไดด้ อี ย่างไร (How well criterion)
ส่ิงเหลา่ น้ีเปน็ เกณฑ์กำหนดการเรียน
3. กำหนดหนว่ ยการเรียนการสอน ประมาณเน้ือหาสาระว่าเราจะถ่ายทอด
เนื้อหาสาระไดต้ ามกำหนดหนว่ ยการเรียนท่สี นกุ น่าเรยี น ให้ความช่ืนบานแกผ่ ้เู รยี น
หาส่อื การเรียนไดง้ ่าย พยายามศึกษาหลักการความคดิ รวบยอดอะไรหัวข้อยอ่ ยอะไรบา้ ง
แตล่ ะหวั เร่ืองย่อยพยายามดึงเอาแกนหลกั การเรยี นร้อู อกมาให้ได้
4. กำหนดความคดิ รวบยอด ต้องสอดคล้องกับหนว่ ยและหัวเรื่อง
โดยการสรปุ หลักการเพ่อื เปน็ แนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรียน เพราะความรวบยอด
เปน็ เรอื่ งของความเขา้ ใจ อันเกิดจากประสบการณ์สมั ผัสสิ่งแวดล้อม ซึ่งสมองจะสรุปแกน่ แท้
ของเรอ่ื งนน้ั ๆ
5. จดุ ประสงค์การเรียนต้องสอดคล้องความคิดรวบยอด โดยกำหนดเป็น
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึง่ หมายถงึ ความสามารถของผเู้ รยี นท่ีแสดงออกมาหลังจาก
การเรียนแลว้ ถา้ ผ้สู อนกำหนดชัดเจนมากเท่าใด กย็ ังมที างประสบความสำเรจ็ ในการสอน
มากเท่านั้น จึงต้องตรวจสอบจุดประสงค์การเรียนแต่ละขอ้ ให้ถกู ตอ้ งและครอบคลุมเนือ้ หา
6. การวิเคราะห์งาน คือการนำจุดประสงค์แตล่ ะขอ้ มาทำการวิเคราะห์
เนื้อหากิจกรรมการเรยี นการสอน จากนน้ั จงึ ลำดับกจิ กรรมการเรียนใหเ้ หมาะสมถูกต้อง
กบั จดุ ประสงคท์ ตี่ ้ังไว้
7. เรียงลำดบั กิจกรรมการเรียนการสอน ภายหลังจากท่ีนำจดุ ประสงค์
การเรยี นแต่ละข้อมาวิเคราะหง์ านแล้ว โดยการจัดเรียงกจิ กรรมทง้ั หมดใหม้ ารวมเป็นกจิ กรรม
การเรียนท่สี มบูรณ์ท่ีสดุ เพ่ือไม่ใหเ้ กิดการซำ้ ซอ้ นในการเรียน โดยคำนงึ ถึงพ้นื ฐานของผเู้ รียน
(Entering behavior) วิธดี ำเนินการให้เกดิ ขนึ้ ในการเรยี นการสอน (Instructional
60
procedures) ตลอดจนการตดิ ตามผล การประเมนิ ผล การประเมินพฤติกรรมผูเ้ รียนท่ี
แสดงออก เม่ือมกี ารเรียนการสอนแลว้
8. ส่ือการเรียน คอื วสั ดอุ ุปกรณแ์ ละกิจกรรมท่คี รแู ละนกั เรยี นตอ้ งทำ
เพอ่ื เปน็ แนวทางในการเรียนรู้ ซง่ึ ครตู ้องจัดทำและหามาไวใ้ หเ้ รียบรอ้ ย ถ้าสอื่ น้นั มขี นาดใหญโ่ ต
หรือมีคณุ คา่ มากตอ้ งจดั เตรียมเอาไว้กอ่ น แลว้ เขียนไว้ในค่มู อื ใหช้ ดั เจนว่าอยูท่ ่ีใด เชน่
เครอื่ งบันทึกเสียง เคร่อื งฉายสไลด์ ส่งิ ของทเี่ ก็บได้ไมท่ นทาน เนา่ เป่ือยได้ เชน่ ใบไม้ พืช
สัตว์ เป็นตน้
9. การประเมินผล คือ การตรวจสอบหลงั การเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียน
ได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตามจุดประสงคท์ เี่ ราต้ังใจไวห้ รือไม่ การประเมนิ ผลนี้จะใช้
วิธีใดก็ได้แต่ต้องตรงกับจุดประสงค์ที่เราต้ังไว้ ถ้าหากว่าการประเมินผลไม่ตรงตามจุดหมาย
กำหนดไว้ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ีสรา้ งข้นึ มาก็จะทำให้เสยี เวลาและไม่มคี ุณค่าตามท่ตี ้องการ
10. การทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือหาประสิทธิภาพ เพ่ือพิจารณา
รูปแบบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้จะสร้างออกตามลักษณะอย่างไร รูปแบบจะเป็นซอง แฟ้ม
กล่อง แล้วแต่ความสะดวกในการใช้ การเก็บรักษา ความสวยงาม ส่วนการหาประสิทธิภาพ
ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ก็เพ่ือปรับปรุงให้เหมาะสม โดยการนำไปทดลองกับกลุ่มผู้เรียนขนาด
เลก็ ๆ ดูกอ่ น เพื่อตรวจสอบขอ้ บกพร่องและแก้ไขปรับปรุงเสยี ก่อนจงึ นำไปทดลอง
กบั ผ้เู รียนกลุม่ ใหญ่ตอ่ ไป โดยกำหนดข้ันตอนดังน้ี
10.1 ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้นู ต้ี ้องการทราบความรูเ้ ดมิ ของผู้เรียนหรอื ไม่
10.2 การนำเขา้ สู่บทเรยี นน้ีมคี วามเหมาะสมหรือไม่
10.3 การประกอบกิจกรรมการเรยี นการสอนมีความสบั สนวนุ่ วาย
กับผู้เรียนและดำเนนิ เป็นไปตามข้นั ตอนท่ีกำหนดไว้หรือไม่
10.4 การสรุปผลการเรียน เพอ่ื เป็นแนวทางไปสูค่ วามคิดรวบยอด
หรอื หลกั การสำคญั ของการเรยี นรใู้ นหน่วยนั้น ๆ ดหี รือไม่ หรือต้องการปรับเพิ่มเตมิ อยา่ งไร
10.5 การประเมินผลหลังเรียน เป็นการตรวจสอบพฤติกรรมการเรียนรู้
วา่ เปลีย่ นหรือไม่ ให้ความเช่ือมั่นมากนอ้ ยเพยี งใด
บุญเกอ้ื ควรหาเวช (2543 : 97 - 99) ไดเ้ สนอขน้ั ตอนการสร้างชุดกจิ กรรม
การเรยี นรู้ สรุปได้ดงั นี้
1. การกำหนดหมวดหมเู่ น้อื หาและประสบการณ์ เปน็ การกำหนด
หมวดวิชา กลมุ่ ประสบการณ์หรอื อาจจะเปน็ การบูรณาการกบั เนอื้ หาวชิ าอ่ืน
61
2. กำหนดหน่วยการสอน ในข้ันนี้ก็เป็นการแบ่งเน้ือหาวิชาออกเป็นหน่วย
สำหรับการสอนในแต่ละคร้ังซ่ึงอาจเป็นหน่วยการสอนละ 60 นาที 120 นาที หรือ 180
นาที โดยจะขึน้ อยกู่ บั เนอื้ หาวิชาหรอื ระดบั ช้ัน
3. กำหนดหัวเรื่อง เม่ือกำหนดหน่วยการสอนแต่ละครั้งได้แล้ว ก็เป็นการ
แบ่งเน้อื หาของหน่วยการสอนนั้นให้ย่อยลงมาอย่างท่ีเรยี กได้ว่า หวั เรื่อง โดยพจิ ารณาเนื้อหา
และกจิ กรรมการเรียนในเนื้อหาน้ัน ๆ ประกอบกัน
4. กำหนดมโนทัศน์และหลักการ เป็นการกำหนดสาระสำคญั จากหวั เร่ืองใน
หน่วยนั้น ๆ โดยพิจารณาว่าในหัวเร่ืองนั้น มีสาระสำคัญหรือหลักเกณฑ์อะไรท่ีผู้เรียนจะต้อง
เรยี นรหู้ รือให้เกิดขึน้ หลังจากเรียนจากชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้
5. กำหนดวัตถุประสงค์ เป็นการเขียนจุดประสงค์ของการสอนในหน่วยน้ัน
เพ่อื จะทราบได้วา่ ผเู้ รียนควรจะตอ้ งมีพฤติกรรมอย่างไร หลังจากท่ีเรียนในเร่อื งนั้นแลว้
6. กำหนดกิจกรรมการเรยี นในแต่ละหนว่ ยจะต้องใหส้ อดคลอ้ งกับ
วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรมทก่ี ำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการผลติ ส่อื การสอนตอ่ ไป
7. กำหนดการประเมนิ ผล เปน็ การกำหนดวิธกี ารท่จี ะวัดดวู ่าผู้เรยี น
เรยี นแลว้ สามารถบรรลุวตั ถุประสงคข์ องหน่วยเนอ้ื หานัน้ ๆ หรอื ไม่ โดยพิจารณาวตั ถปุ ระสงค์
เชงิ พฤตกิ รรมทีเ่ ตรยี มไว้
8. การเลอื กและผลิตสื่อการสอน จะตอ้ งพิจารณาวา่ ลกั ษณะเนอ้ื หา
และลักษณะผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ ส่ือชนิดใดหรือกิจกรรมการเรียนแบบใดจึงจะเหมาะสม
สอดคลอ้ ง และทำใหผ้ ูเ้ รยี นบรรลวุ ัตถปุ ระสงคข์ องการเรียนได้มากทีส่ ุด
9. การหาประสทิ ธภิ าพชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เม่อื สร้างชดุ กิจกรรม
การเรยี นรู้เสรจ็ เรยี บร้อยแล้ว จำเป็นท่จี ะต้องนำชดุ กิจกรรมการเรียนรูไ้ ปทดลองใช้
เพ่ือตรวจดูว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้น้ันสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
เพยี งใดและหากพบวา่ ยงั มขี ้อบกพร่องก็จะนำไปปรบั ปรงุ แก้ไขจนทำให้การเรยี นรู้
จากชดุ กิจกรรมการเรยี นรูน้ นั้ บรรลุวตั ถปุ ระสงคท์ ว่ี างไว้
10. การใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ีผา่ นการทดลองหา
ประสทิ ธิภาพและปรับปรุงแล้วจึงจะสามารถนำไปใช้ในห้องเรยี นปกติได้ โดยจะมีขนั้ ตอนต่าง ๆ
ในการใชด้ งั นี้คือ
10.1 ผเู้ รียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพอื่ พิจารณาความร้พู ื้นฐาน
ของผู้เรียนกอ่ นเรยี นเนื้อหานน้ั ๆ
10.2 ขั้นนำเขา้ สู่บทเรยี น
62
10.3 ข้ันประกอบกจิ กรรมการเรยี นการสอน
10.4 ข้นั สรุปบทเรยี น
10.5 ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพ่ือพิจารณาว่าผู้เรียนบรรลุ
วัตถปุ ระสงคข์ องการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใด
จากทรรศนะของนักการศึกษาดังกล่าวได้เสนอขั้นตอนในการสร้างชุดกิจกรรม
การเรยี นรไู้ วห้ ลายขั้นตอน สำหรบั การศึกษาคน้ คว้าครง้ั นี้ ผู้รายงานไดจ้ ัดลำดบั ขน้ั ตอน
ในการสรา้ งชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้
1. กำหนดเนื้อหา เรอื่ ง ทจ่ี ะนำมาสรา้ งเปน็ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
2. กำหนดหน่วยการสอน โดยแบ่งเนอื้ หาออกเปน็ หนว่ ยย่อย ๆ
ให้เหมาะสมกับเวลาทก่ี ำหนด
3. กำหนดหวั เรอ่ื ง โดยแบง่ เนอ้ื หาของหนว่ ยการสอนใหย้ ่อยลงมา
4. กำหนดความคิดรวบยอดให้สอดคลอ้ งกับหนว่ ยและหวั เรื่อง
5. กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรใู้ ห้สอดคล้องกับความคดิ รวบยอด
และครอบคลมุ เนือ้ หาสาระของการเรยี นรู้
6. กำหนดกจิ กรรมการเรยี นการสอนให้สอดคลอ้ งและเหมาะสมกับ
จดุ ประสงค์
7. กำหนดแบบการวัดและประเมินผล ซ่งึ สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์
8. เลือกและผลิตส่ือการสอน ที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอน
เนือ้ หาสาระ และการประเมินผล
9. หาประสิทธภิ าพของชุดกิจกรรมการเรียนรฉู้ บับร่าง
10. ทดลองใชแ้ ละหาประสิทธภิ าพขนั้ สดุ ท้าย
4.6 ประโยชนข์ องชุดกิจกรรมการเรยี นรู้
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ มปี ระโยชน์ต่อการเพ่ิมคณุ ภาพการเรยี นรใู้ นกระบวน
การเรียนการสอนเป็นอย่างมาก มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้
ดังน้ี
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 110 - 111) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรม
การเรียนรู้ไวด้ งั น้ี
1. สง่ เสริมการเรียนแบบรายบคุ คล ผเู้ รียนเรยี นไดต้ ามความสามารถ
63
ความสนใจ ตามเวลาและโอกาสท่ีเหมาะสมของแต่ละคน
2. ช่วยขจัดปัญหาการขาดแคลนครู เพราะชุดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วยให้
ผเู้ รียนเรียนได้ด้วยตนเองหรอื ตอ้ งการความชว่ ยเหลือจากผสู้ อนเพยี งเลก็ นอ้ ย
3. ช่วยในการศึกษานอกระบบโรงเรียน เพราะผู้เรียนสามารถนำเอา
ชุดกจิ กรรมการเรียนร้ไู ปใชไ้ ด้ทุกสถานทแี่ ละทกุ เวลา
4. ชว่ ยลดภาระและชว่ ยสร้างความพรอ้ มและความม่ันใจให้แก่ครู
5. เป็นประโยชนใ์ นการสอนแบบศูนย์การเรยี น
6. ชว่ ยให้ครวู ัดผลผเู้ รยี นได้ตรงตามความมงุ่ หมาย
7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น ฝึกการตัดสินใจ แสวงหา
ความรดู้ ว้ ยตนเอง และมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสงั คม
8. ช่วยให้ผเู้ รียนจำนวนมากไดร้ บั ความรู้แนวเดียวกันอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
9. ช่วยฝกึ ใหผ้ เู้ รียนรู้จักเคารพ นบั ถือ ความคดิ เห็นของผอู้ ื่น
สวุ ทิ ย์ มลู คำ และ อรทัย มลู คำ (2545 : 57) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์
ของชดุ กจิ กรรมการเรียนร้ไู วด้ งั นี้
1. สง่ เสรมิ การเรยี นเปน็ รายบคุ คล โดยผู้เรียนสามารถเรยี นได้
ตามความสามารถ ความสนใจ ตามเวลาและโอกาสทเี่ หมาะสมของแต่ละคน
2. แก้ปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอน เพราะชุดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วยให้
ผู้เรียนสามารถเรยี นได้ดว้ ยตนเอง และตอ้ งการความช่วยเหลือจากผ้สู อนเพียงเลก็ น้อย
3. ส่งเสริมการจัดการศึกษานอกโรงเรียนและการจัดการศึกษาตลอดชีวิต
เพราะผู้เรยี นสามารถนำเอาชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ไปใชไ้ ดท้ กุ สถานทีแ่ ละทกุ เวลาไม่จำกดั
ชน้ั เรียน
4. สร้างความมน่ั ใจและชว่ ยลดภาระของผสู้ อน
5. ผ้เู รียนสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง มีโอกาสฝึกการตดั สินใจและ
การทำงานร่วมกับกลุ่ม
6. ช่วยให้ผเู้ รียนจำนวนมากได้รับความร้แู นวเดียวกันอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
จากทรรศนะของนกั การศกึ ษาดงั กล่าว สามารถสรุปได้วา่ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
เปน็ ส่ือท่ชี ่วยครูผ้สู อนในการถ่ายทอดเน้ือหาวิชาไปสผู่ ู้เรยี นอย่างมีประสิทธภิ าพ ชว่ ยตอบสนอง
ความต้องการและความสามารถของผเู้ รียนแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นบรรลุ
วตั ถุประสงค์ตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ซึ่งชุดกิจกรรมการเรยี นร้แู ต่ละประเภท จะมคี ำแนะนำ
วิธีการใชแ้ ละการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เปน็ ไปอยา่ งมีระบบ มีข้ันตอนจากงา่ ยไปสู่ยาก และท่ี
64
สำคัญ คอื ประกอบดว้ ยสอื่ การสอนหลาย ๆ ชนิดที่สอดคล้องกบั เนื้อหา อนั จะสง่ ผลใหผ้ ู้เรียน
เขา้ ใจได้ดี และรวดเร็วยิง่ ขน้ึ ทำให้ผเู้ รยี นประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง และเป็นไป
ในแนวทางเดียวกัน ทัง้ นีเ้ พราะชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ไดม้ กี ารกำหนดจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ท่ีแน่นอนและชัดเจนในการท่ีจะให้ผูเ้ รยี นทำกจิ กรรมและแสดงพฤตกิ รรมเป็นไปตามเป้าหมาย
ทต่ี อ้ งการจะประเมนิ นอกจากนี้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรยู้ ังชว่ ยลดภาระใหค้ รู ทำใหค้ รมู ีเวลา
ในการเตรยี มการสอนและศกึ ษาคน้ คว้าหาความรู้เพิ่มเตมิ เอ้ือตอ่ การพฒั นาศกั ยภาพของครู
4.7 การหาประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
ในการสรา้ งชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้นนั้ จะตอ้ งมกี ารทดสอบผลของการใช้
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ให้ไดม้ าตรฐานเสยี ก่อนจงึ จะนำไปใช้ในการเรยี นการสอนจริง
โดยกำหนดประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนรูไ้ ว้ คอื เนือ้ หาทเี่ ปน็ ข้อเท็จจรงิ
เกณฑ์ทตี่ ้งั ไว้ไมต่ ่ำกวา่ 80/80
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2544 : 130 - 133) ไดก้ ลา่ วถงึ การหาประสทิ ธิภาพ
ของชดุ กิจกรรมการเรียนรไู้ ว้ดงั นี้
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผลิตข้ึนใช้ในโรงเรียนแต่ละหัวเรื่องน้ันนับว่ามีคุณค่า
อยา่ งไรก็ตามเพอ่ื เป็นหลกั ประกันว่าชดุ กิจกรรมการเรียนรูน้ ั้นดีมคี ุณภาพ จะต้องผา่ น
การตรวจสอบและวเิ คราะหค์ ณุ ลักษณะทเ่ี ปน็ เกณฑ์ประสิทธภิ าพของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
แต่ละประเภทเสยี ก่อน การประเมนิ ประสทิ ธภิ าพมดี ว้ ยกนั 2 ลกั ษณะ คอื
1. ประเมนิ โดยผ้ชู ำนาญการ เป็นการนำชุดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ผลติ ขนึ้
ไปใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญเกยี่ วกบั ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้เปน็ ผปู้ ระเมิน ซ่ึงมกั เป็นคณุ ลกั ษณะ
ทางกายภาพ เช่น ความถูกต้องเชิงเนื้อหา การผลิต การใช้ คุณภาพของส่ือ การออกแบบ
เปน็ ตน้ ผู้ชำนาญการที่จะประเมินอาจประกอบดว้ ย ผชู้ ำนาญด้านเนือ้ หา ผชู้ ำนาญ
ดา้ นเทคโนโลยีทางการศึกษา ผูช้ ำนาญด้านการวดั ผลและประเมินผล
2. การประเมินประสิทธิภาพการเรียนรู้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้จะมีคุณค่า
ต่อเม่ือนำไปสอนนักเรียนแล้วนักเรียนเกิดการเรียนรู้สูงข้ึนตามเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนด
ดังนน้ั การประเมินประสิทธิภาพ จึงตอ้ งนำสือ่ การสอนไปใช้ทดลองกบั นักเรยี นในระดบั
ที่ระบุในส่อื น้ัน การทดลองตอ้ งทำหลาย ๆ คร้ัง และนกั เรยี นมีจำนวนมากทตี่ ่างสภาพแวดลอ้ มจึง
จะไดผ้ ลเปน็ มาตรฐานทั่วกัน
การประเมินผลประสิทธภิ าพชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ถา้ เป็นส่ือเดยี่ วผ้ผู ลติ
ส่ือการสอนนน้ั จะต้องสรา้ งแบบทดสอบขณะเรยี น แบบทดสอบกอ่ นเรยี น/หลงั เรยี น
65
เพ่อื จะใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบประสิทธิภาพด้วย สว่ นส่ือการสอนทเี่ ป็นส่ือประสมซงึ่ มี
แบบทดสอบอยแู่ ลว้ เม่ือนำไปทดลองใช้จะนำผลของการทำแบบทดสอบตา่ ง ๆ
มาคำนวณประสทิ ธิภาพได้เลย
สำหรบั การประเมนิ ประสิทธภิ าพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ในเร่ืองการเรยี นรมู้ ี
นักการศึกษาคือ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2544 : 134 - 135) ได้กล่าวถึงความจำเปน็ ที่จะต้องหา
ประสทิ ธิภาพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สรุปได้ดังน้ี
1. เปน็ การประกนั คุณภาพของชดุ กิจกรรมการเรียนรวู้ า่ อยใู่ นขน้ั สูงเหมาะสม
ทจี่ ะลงทนุ ผลิตออกมาเปน็ จำนวนมาก
2. เปน็ การช่วยให้ไดช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรทู้ มี่ ีคุณค่าทางการสอนจรงิ
ตามเกณฑ์ทกี่ ำหนดไว้
3. ทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่าเนื้อหาสาระท่ีบรรจุลงในชุดกิจกรรมการเรียนรู้
เหมาะสมงา่ ยตอ่ การเขา้ ใจ
นอกจากนี้ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2544 : 49 - 52) ไดก้ ำหนดเกณฑก์ ารประเมนิ
ประสิทธภิ าพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ไว้ดงั นี้
การกำหนดเกณฑ์การประเมนิ ประสิทธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
ตอ้ งคำนงึ ถึงกระบวนการและผลลัพธ์ โดยกำหนดตวั เลขเปน็ ร้อยละของคะแนนเฉล่ยี มีค่าเป็น E1/E2
E1 คอื ค่าประสิทธภิ าพของกระบวนการ คดิ เป็นรอ้ ยละของคะแนนท่ีนกั เรยี น
ไดร้ บั โดยเฉล่ียจากการทำแบบฝึกหดั และการประกอบกจิ กรรม
E2 คอื ค่าประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ (พฤตกิ รรมท่ีเปล่ียนในตัวนักเรียน
หลงั เรยี น) คดิ เปน็ รอ้ ยละของคะแนนทนี่ กั เรยี นไดร้ ับจากการทดสอบหลงั เรยี น
การกำหนดเกณฑ์ประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยปกตเิ นื้อหา
ท่เี ป็นความรู้ ความจำ มักจะต้ังไว้ 80/80 85/85 หรอื 90/90 ส่วนเน้อื หาทเี่ ป็นทักษะ
อาจตัง้ ไว้ตำ่ กว่าน้ี เช่น 75/75
การทดสอบประสิทธภิ าพโดยใช้สูตรดงั กลา่ วข้างตน้ ต้องดำเนินการ
เปน็ ข้นั ตอนดังนี้
1. แบบเด่ียว (1 : 1) นำชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนกั เรียนจำนวน
1 - 3 คน โดยทดลองกบั นกั เรยี นเกง่ ปานกลาง และอ่อน การทดลองแตล่ ะคร้ังตอ้ งปรับปรุง
ส่ือใหด้ ีขึน้
2. แบบกลุ่ม (1 : 10) นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองกับ
นกั เรยี นจำนวน 4 - 6 คน ที่มคี วามสามารถคละกนั แลว้ ทำการปรับปรงุ ใหด้ ีข้ึน
66
3. ภาคสนาม (1 : 100) นำชุดกิจกรรมการเรยี นรไู้ ปทดลองใช้ในชน้ั เรียน
ทมี่ ีนักเรียนตัง้ แต่ 30 - 100 คน หากการทดสอบภาคสนามให้คา่ E1 และ E2 ไม่ถงึ เกณฑ์
ท่ตี ง้ั ไวจ้ ะต้องปรบั ปรงุ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้และทำการทดสอบหาประสิทธภิ าพซ้ำอกี
ในกรณีประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสร้างข้ึนไม่ถึงเกณฑ์ท่ีตั้งไว้
เน่อื งจากมีตัวแปรท่ีควบคุมไม่ได้ เช่น สภาพห้องเรียน ความพร้อมของนกั เรียน บทบาท และ
ความชำนาญในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรขู้ องครู เปน็ ตน้ ให้มรี ะดับผิดพลาดได้ตำ่ กว่าเกณฑ์
ที่กำหนด 2.5
จากหวั ข้อกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ ในการศกึ ษาค้นคว้าครงั้ นี้ผรู้ ายงาน
ได้กำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ 80/80 ระดับผิดพลาดได้ต่ำกว่า
ทก่ี ำหนด 2.5
การหาคา่ E1 และ E2 ของชุดกจิ กรรมการเรียนรทู้ สี่ ร้างข้นึ คำนวณคา่
ทางสถิติโดยใช้สตู รต่อไปนี้
สตู รที่ 1
E1 = X หรอื X x 100
N x 100 A
A
เม่ือ
E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการในชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
X หมายถึง คะแนนรวมของนกั เรยี นจากแบบทดสอบประจำหน่วย
N หมายถงึ จำนวนนกั เรยี น
A หมายถงึ คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบประจำหน่วย
สูตรที่ 2
E2 = F หรอื F x 100
N x 100 B
B
เมื่อ
E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรใู้ นการเปลีย่ น
พฤตกิ รรมของผ้เู รียน
F หมายถึง คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน
N หมายถงึ จำนวนนกั เรยี น
67
B หมายถงึ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน
ประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ส่ี รา้ งขึน้ กำหนดไว้ 3 ระดบั คือ
1. สูงกว่าเกณฑ์ เมอ่ื ประสิทธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ งู กวา่ เกณฑ์
ที่ตงั้ ไวม้ ีคา่ เกินร้อยละ 2.5 ข้ึนไป
2. เท่าเกณฑ์ เมื่อประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับหรือสูงกว่า
เกณฑท์ ่ตี ง้ั ไวแ้ ต่ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 2.5
3. ต่ำกว่าเกณฑ์ เม่อื ประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นร้ตู ่ำกวา่ เกณฑ์
แต่ไมต่ ่ำกว่ารอ้ ยละ 2.5 ถอื ว่ายังมปี ระสทิ ธิภาพท่ยี อมรบั ได้
5. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
ภัทรา นิคมานนท์ (2543 : 88 - 89) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
หมายถึง แบบทดสอบทใี่ ชว้ ัดปรมิ าณความรคู้ วามสามารถ ทกั ษะเก่ียวกับดา้ นวชิ าการ
ที่ได้เรียนรู้มาในอดีตว่ารับรู้ได้มากน้อยเพียงไร โดยทั่วไปแล้วมักใช้วัดหลังจากทำกิจกรรม
เรียบร้อยแลว้ เพือ่ ประเมนิ การเรียนการสอนว่าไดผ้ ลอย่างไร
สุทธิรัตน์ เลิศจตุรวิทย์ (2543 : 43) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถงึ ผลของการเรียนการสอนท่ีรวมถงึ ความรูค้ วามสามารถในการเรยี นไวด้ ว้ ยกนั
และแสดงออกเปน็ พฤติกรรมไวท้ ้งั 3 ด้าน ไดแ้ ก่ พทุ ธพิ ิสยั จิตพสิ ัย และทักษะพสิ ัย
มัณฑนา ฟักขาว (2549 : 36) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง
คุณลักษณะหรือความสามารถทางสมองของบุคคลท่ีพัฒนาข้ึน ทั้งทางด้านความรู้ ความจำ
และทักษะ ความรู้สกึ และค่านยิ ม ซง่ึ ไดจ้ ากการเรียนรูป้ ระสบการณ์และส่งิ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ
สรุปได้วา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง ความสามารถและคณุ ลักษณะ
ทางการเรยี นของแต่ละบุคคลจากการไดร้ ับประสบการณ์ภายใตส้ ง่ิ แวดลอ้ มต่าง ๆ ในการ
พัฒนาสมอง ด้านความรู้ ความจำและทกั ษะตา่ ง ๆ
5.2 การวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ตามแนวคิดของบลูม (Bloom. 1982 : 45) ถือว่าส่ิงใดกต็ ามที่มปี ริมาณอยู่จริง
สงิ่ นั้นสามารถวดั ได้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นกอ็ ยู่ภายใตก้ รอบแนวคดิ ดงั กล่าว ซ่งึ ผลการวัด
จะเปน็ ประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคตขิ องนักเรยี น
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2548 : 3 - 16) ได้นำ
68
การวดั ผลดา้ นพุทธิพสิ ยั มาใชส้ ำหรบั วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแนวคิดของ
คลอพเฟอร์ (Klopfer) มาปรบั ปรุงโดยไดจ้ ำแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ดา้ นพุทธิพสิ ยั ดงั น้ี
1. ดา้ นความรคู้ วามจำ (Knowledge)
2. ด้านความเข้าใจ (Comprehension)
3. ด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skilla)
4. ด้านการนำความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ (Application)
ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงส่ิงที่เคยเรียนรู้
มาแล้วเก่ียวกับข้อเท็จจริง ศัพท์ นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ
หลักการ กฎ ทฤษฎี และแนวคิดทส่ี ำคญั ๆ ทางวิทยาศาสตร์ นักเรยี นทมี่ คี วามสามารถ
ในดา้ นน้ีจะแสดงออกโดยสามารถให้คำจำกัดความหรือนิยามเล่าเหตุการณ์ จดบันทึก เรียกช่ือ
อ่านสญั ลกั ษณ์และระลกึ ถงึ ข้อสรปุ ได้
ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย แปลความ ตีความ
สร้างข้อสรปุ ขยายความ นกั เรียนที่มคี วามสามารถด้านน้ีจะแสดงออกโดยสามารถเปรยี บเทยี บ
แสดงความสัมพันธ์ อธิบาย ชี้แจง จำแนก จัดหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความ
เขียนภาพประกอบ ตัดสนิ ใจเลือก แสดงความคิดเห็น จัดเรียงลำดับ อา่ นกราฟ แผนภูมิและ
ภาพได้
ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
สำหรบั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย การสังเกตและการวัด การมองเห็นปัญหา
และวธิ ีการแกป้ ญั หา การตีความหมายขอ้ มูลและการสรุป การสร้าง การทดสอบ
และการปรบั ปรุงจำลอง
ดา้ นการนำความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ หมายถงึ
ความสามารถในการผสมผสานความร้แู ละนำกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ าใช้ในการแกป้ ญั หา
ต่าง ๆ
สมนึก ภทั ทยิ ธนี (2546 : 73 - 83) กลา่ วว่า แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบท่ีครูสร้างกับแบบทดสอบ
มาตรฐาน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทที่ครสู ร้างมีหลายแบบ
แต่ท่นี ิยมใชม้ ี 6 แบบ ดังน้ี
1. ขอ้ สอบแบบอัตนยั หรอื ความเรยี ง (Subjective or Essay Test)
69
เป็นข้อสอบทม่ี ีเฉพาะคำถาม แลว้ ใหน้ ักเรยี นเขยี นตอบอย่างเสรี เขยี นบรรยายตามความรู้
และขอ้ คดิ เห็นของแต่ละคน
ข้อดีของขอ้ สอบแบบอัตนัยหรอื บรรยาย
1) สามารถวัดพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ไดท้ ุกดา้ น โดยเฉพาะพฤตกิ รรม
ด้านการสังเคราะห์
2) ผตู้ อบได้มโี อกาสแสดงความคิดเห็นหรอื เจตคตขิ องคน
3) โอกาสในการตอบเดาโดยไมม่ ีความรู้ในเรือ่ งนั้นแล้วไดค้ ะแนน
มนี อ้ ยมาก
4) วดั ความสามารถในการเขยี นและสง่ เสริมการใชภ้ าษาได้เปน็ อยา่ งดี
ขอ้ จำกัดของข้อสอบอัตนยั หรือบรรยาย
1) ออกคำถามวัดได้น้อยข้อ เนื่องจจากแตล่ ะข้อจะต้องใช้เวลาตอบนาน
จึงวัดได้ไมค่ ลมุ หลักสตู รหรือเนอื้ หาสาระท่ีสำคัญ
2) การตรวจให้คะแนนมักจะมีความคลาดเคล่ือนมาก ควบคุมให้เกิด
ความยุติธรรมไดย้ าก
3) ไมเ่ หมาะทีจ่ ะใชส้ อบกบั นกั เรยี นจำนวนมาก ๆ เพราะใชเ้ วลา
ในการตรวจ
4) ลายมือของผู้ตอบและประสิทธภิ าพในการเขยี นบรรยายอาจจะมีผลต่อ
คะแนน
2. ข้อสอบแบบกาถูก - ผิด (True - false Test) คือ ข้อสอบแบบ
เลอื กตอบทม่ี ี 2 ตัวเลอื ก แต่ตัวเลอื กดังกลา่ วเป็นแบบคงทแ่ี ละมคี วามหมายตรงกันขา้ ม
ข้อดขี องขอ้ สอบแบบกาถกู – ผดิ
1) สรา้ งได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
2) ถามไดจ้ ำนวนมากขอ้ และครอบคลมุ เน้อื หา
3) ใช้เวลาในการสอบนอ้ ย
4) ตรวจให้คะแนนได้งา่ ยและยุติธรรม กลา่ วคือ ตรวจคะแนน
ได้ตรงกันไม่ว่าใครตรวจก็ตาม
ขอ้ จำกัดของขอ้ สอบแบบกาถกู - ผิด
1) ในบางวิชาเป็นการยากท่จี ะสรา้ งขอ้ ความทีเ่ ปน็ จรงิ หรอื เป็นเทจ็
โดยสมบูรณ์ ซง่ึ ถา้ ไมถ่ ามกจ็ ะขาดเน้อื หาตอนนั้น
2) มกั วดั พฤติกรรมดา้ นความร้คู วามจำมากกว่าด้านอ่ืน
70
3) ไมส่ ามารถชี้จุดอ่อนของการเรยี นได้อยา่ งแท้จริง จงึ ใชใ้ นการวนิ จิ ฉัยไม่ได้
4) โอกาสทีต่ อบโดยการเดาแล้วถกู ไดค้ ะแนนมมี ากกวา่ ข้อสอบ
ชนิดอืน่ ๆ จึงไมเ่ หมาะทจ่ี ะนำไปใช้วัดโดยทวั่ ๆ ไป
3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วย
ประโยคหรอื ขอ้ ความท่ียังไมส่ มบูรณ์แลว้ ให้ผตู้ อบเติมคำหรือประโยคหรือข้อความลงในช่องวา่ งที่
เว้นไวน้ ั้นเพอื่ ให้มใี จความสมบูรณแ์ ละถกู ตอ้ ง
ข้อดขี องข้อสอบแบบเตมิ คำ
1) สรา้ งไดง้ า่ ย สะดวก รวดเร็ว
2) สามารถสรา้ งคำถามวัดในเรอ่ื งหนง่ึ ๆ ไดห้ ลายขอ้
3) โอกาสเดาโดยไม่มคี วามรู้แล้วไดค้ ะแนนมีนอ้ ยมาก
ข้อจำกดั ของข้อสอบแบบเติมคำ
1) มักจะวัดความรู้ความจำเพียงอยา่ งเดียว ไม่ได้วดั สมรรถภาพสมอง
ท่ีลกึ กวา่ นี้
2) ถ้าส่วนท่ีต้องเติมมีหลายเรื่องหรือหลายประโยคจะไม่เหมาะในการ
สรา้ งขอ้ สอบแบบเติมคำ เพราะการเว้นท่อี าจแนะคำตอบแก่นักเรียนได้
3) ถ้าขยี นข้อความหรือประโยคนำไมด่ ี ผ้ตู อบจะตอบไปคนละทิศ
ละทาง เพราะเขา้ ใจไมต่ รงกนั
4. ข้อสอบแบบตอบส้นั ๆ (Short Answer Test) ข้อสอบประเภทน้ี
คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำ แตแ่ ตกตา่ งกันทขี่ อ้ สอบแบบตอบส้นั ๆ เขยี นเปน็ ประโยค
คำถามสมบรู ณ์ (ขอ้ สอบเตมิ คำเป็นประโยคหรือขอ้ ความทย่ี งั ไม่สมบูรณ)์ แลว้ ให้ผู้ตอบ
เป็นคนเขียนตอบ คำตอบทตี่ ้องการจะส้ันและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไมใ่ ช่เป็นการบรรยาย
แบบข้อสอบอัตนยั หรือความเรียง
ข้อดขี องขอ้ สอบแบบตอบส้ัน ๆ
1) เดาคำตอบได้ยากเพราะตอ้ งเขียนคำตอบ
2) เหมาะท่จี ะวัดพฤตกิ รรมด้านความร้คู วามจำหรือใหจ้ ำข้อความ
ทกุ ประโยค ทกุ คำพูด หรอื ความรูเ้ กย่ี วกับ กฎ นยิ าม ทฤษฎี หลกั การ
3) สามารถวัดขอ้ เท็จจริงในเน้ือหาวชิ าทเ่ี สนอในรูปแผนท่ี รปู ภาพ
รปู จำลองต่าง ๆ
71
ข้อจำกัดของขอ้ สอบแบบตอบส้นั ๆ
1) มีปัญหาในการตรวจให้คะแนน เพราะคำตอบที่ผู้เรียนเขียนตอบน้ัน
อาจจะมีผิดพลาดเลก็ น้อยด้านภาษา ทำให้ไม่ได้คะแนนหรือได้คะแนนเป็นบางส่วน ทั้ง ๆ ท่ี
นักเรยี นมีความรู้ในเรอื่ งนั้น
2) การเขยี นคำตอบใหจ้ ำเพาะเจาะจงและมคี ำตอบเพยี งคำตอบเดยี ว
จริง ๆ ทำได้ยากและตอ้ งใช้เวลาสรา้ งมาก
3) มกั จะถามไดเ้ ฉพาะพฤตกิ รรมทีเ่ กยี่ วกับความรู้ ความจำ ผ้ตู อบ
ไมส่ ามารถแสดงความคิดได้เตม็ ท่ี
5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหน่ึง
โดยมคี ำหรอื ขอ้ ความแยกออกจากกนั เปน็ 2 ชดุ แลว้ ใหผ้ ู้ตอบเลือกจบั ค่วู ่าแตล่ ะขอ้ ความ
ในชดุ หนง่ึ (ตวั ยืน) จะค่กู ับคำหรอื ขอ้ ความใดในอกี ชดุ หน่ึง (ตวั เลือก) ซึ่งมคี วามสมั พันธ์กัน
อย่างใดอยา่ งหน่ึง ตามท่ีผูอ้ อกข้อสอบกำหนดไว้
ขอ้ ดขี องขอ้ สอบแบบจับคู่
1) สร้างได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
2) เหมาะท่ีจะนำไปวดั ความจำหรือความจริงตามทอ้ งเรื่อง
3) ตรวจใหค้ ะแนนได้ง่ายและยตุ ธิ รรม กลา่ วคอื ตรวจให้คะแนน
ไดต้ รงกนั ไมว่ ่าใครตรวจกต็ าม
ขอ้ จำกัดของข้อสอบแบบจบั คู่
1) ข้อสอบมกั จะไม่เป็นเอกพนั ธ์
2) ไมส่ ามารถวัดพฤตกิ รรมประเภทความคดิ สร้างสรรค์
3) เปดิ โอกาสให้ไดค้ ะแนนโดยการเดาค่อนขา้ งสงู
4) ไม่เหมาะทจ่ี ะนำข้อสอบชนดิ นี้ไปสร้างขอ้ สอบจำนวนมาก ๆ ข้อหรือ
นำไปวดั ให้ครอบคลมุ ทุกเน้ือหา
6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) คำถามแบบเลือกตอบ
โดยทว่ั ไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คอื ตอบนำหรือคำถาม (Stem) กับตอบเลือก (Choice)
ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกท่ีเป็นคำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมี
คำถามท่กี ำหนดใหน้ ักเรียนพิจารณา แลว้ หาตัวเลอื กที่ถูกต้องมากที่สดุ เพียงตัวเลือกเดียว
จากตัวเลือกอนื่ ๆ และคำถามแบบเลอื กตอบท่ีดี นยิ มใชต้ ัวเลือกทใี่ กลเ้ คยี งกัน ดเู ผิน ๆ
จะเห็นวา่ ทกุ ตัวเลอื กถูกหมด แต่ความจริงมนี ำ้ หนกั ถกู มากนอ้ ยแตกตา่ งกัน
72
ข้อดขี องข้อสอบแบบเลอื กตอบ
1) มีความเท่ียงตรงสูง เพราะสามารถเขยี นคำถามวดั ได้ครอบคลมุ
ทุกเนอ้ื หา และทกุ พฤติกรรมของด้านพทุ ธิพสิ ัย
2) ตรวจให้คะแนนไดง้ ่าย สะดวก รวดเรว็ และยตุ ิธรรม
3) สามารถนำมาวเิ คราะหแ์ ละปรบั ปรุงให้ดยี ่ิงขน้ึ จนเปน็ มาตรฐานได้
4) ตดั ปญั หาเรอื่ งการอ่านเนื่องจากลายมอื ผตู้ อบอ่านยาก
5) สามารถวนิ จิ ฉยั ขอ้ บกพรอ่ งหรือความไมเ่ ขา้ ใจในเน้ือหา
ไดอ้ ย่างเปน็ ระบบ
ข้อจำกดั ของขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ
1) สิน้ เปลืองคา่ ใช้จา่ ยสงู
2) ใช้เวลาในการสร้างมาก โดยเฉพาะการเขียนตัวลวงใหม้ ีคณุ ภาพ
3) ไมเ่ หมาะทจี่ ะวดั ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
ส่วนสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 7) กล่าวว่า
การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบท่ีประกอบด้วย
การกำหนดจุดมุ่งหมายและวิธีการวัดผลประเมินผล การสร้างเครื่องมือ และการดำเนินการ
ตามท่ีวางแผนไว้
การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนท่ีเร่ิมจากการกำหนด
จุดม่งุ หมายดา้ นต่าง ๆ ซึ่งอาจประกอบด้วย ความรคู้ วามคิด กระบวนการเรียนรู้ เจตคติ
และโอกาสในการเรียนรู้ ตอ่ จากน้นั จงึ กำหนดวธิ กี ารวดั ผลประเมนิ ผลทห่ี ลากหลาย
ท้ังการประเมิน จากการทดสอบด้วยข้อสอบ และการประเมินตามสภาพจริงจากการปฏิบัติงาน
และผลงานของผู้เรียน ท้งั น้ีจะต้องกำหนดเกณฑ์ทีส่ ามารถนำไปใช้ประเมิน
ได้อย่างเท่ียงตรงและนำมาตัดสนิ ระดบั คุณภาพเพื่อสรุปความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี น
สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544 : 93) กล่าววา่ การประเมินตามสภาพจริง
เป็นวธิ กี ารท่ีออกแบบมาเพอ่ื สะท้อนให้เห็นถึงพฤตกิ รรมและทักษะทจ่ี ำเปน็ ของนักเรียน
ในสถานการณ์ที่เป็นจริงแห่งโลกปัจจุบัน เป็นงานที่นักเรียนแสดงออกในภาคปฏิบัติ
(performance) เป็นกระบวนการเรียนรู้ (process) ผลผลิต (product) และแฟ้มสะสมงาน
(portfolio) เป็นการประเมินทใ่ี ช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลายวิธี ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เพอื่ ตรวจสอบคุณภาพของงานหรือของโปรแกรมวชิ า
73
ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 268) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพจริง
หมายถึง การคน้ หาพฤติกรรมท่แี ท้จริงในดา้ นความรู้ ความคิด ทกั ษะ และลกั ษณะนิสัย
ที่ซับซ้อนของผู้เรียน ด้วยวิธีการท่ีหลากหลายโดยการกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความรู้
ความสามารถออกมาได้อยา่ งอิสระ เปน็ กระบวนการทีธ่ รรมชาตสิ อดคลอ้ งกบั ชวี ิต
และประสบการณป์ ระจำวัน โดยมุ่งให้ผ้เู รียนประเมนิ ตนเอง โดยการสะทอ้ นความรูส้ ึก
ตอ่ ผลงานร่วมกับบคุ คลท่ีเก่ียวขอ้ ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่อื การพัฒนาการของผู้เรยี นในทุก ๆ ด้าน
และเพือ่ พฒั นาการสอนอย่างต่อเน่อื ง
บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2540 : 24) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง
หมายถึง การประเมินผลงานท่ีแท้จริงที่นักเรียนแสดงหรอื กระทำ และ/หรือสร้างความร้ขู ้ึนมา
ด้วยตนเอง นักเรียนจำเป็นต้องแสดงทักษะหรือกระบวนการหรือสร้างผลงานท่ีแสดงถึงส่ิงท่ีรู้
และสามารถทำได้มากกว่าการตอบขอ้ สอบแบบเลอื กตอบซึง่ อาจวัดได้เพียงความสามารถ
ในการจำหรือทำข้อสอบเท่าน้นั
สุวิทย์ มูลคำ (2541 : 14) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง
หมายถึง การวัดและประเมินผลกระบวนการทำงานในด้านสมองหรือการคิด และจิตใจผู้เรียน
อยา่ งตรงไปตรงมาตามสิ่งที่ผูเ้ รยี นกระทำ โดยพยายามตอบคำถามวา่ ผู้เรยี นทำอย่างไร
และทำไมจงึ ทำอยา่ งนน้ั การได้ขอ้ มูลวา่ “เขาทำอยา่ งไร และทำไม” จะช่วยใหผ้ ู้สอน
ได้ช่วยผู้เรียนพัฒนาการเรยี นของผเู้ รยี นและการสอนของผูส้ อน ทำให้การเรียนการสอน
มคี วามหมายและทำให้เกิดความอยากในการเรยี นรตู้ ่อไป
สามารถสรุปได้ว่า การประเมินตามสภาพจริง หมายถึง วิธีการตรวจสอบ
พฤตกิ รรม ทักษะและกระบวนการเรยี นรู้ จากการทำกจิ กรรมต่าง ๆ ของผู้เรยี นดว้ ยวธิ ีการ
ทห่ี ลากหลาย ทำให้สะท้อนผลการเรยี นรทู้ ี่เกิดขึน้ จริงจากผู้เรียนและผู้สอนสามารถนำไปพัฒนา
และส่งเสริมผู้เรยี นใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ
ชาญชยั ยมดษิ ฐ์ (2548 : 268) กล่าวว่า หลกั การประเมินผลตามสภาพจริง
มหี ลกั การดงั นี้ คอื
1. ประเมนิ พฤตกิ รรมทีซ่ ับซอ้ นเกี่ยวกบั ความรู้ ความคิด ทักษะ
และลกั ษณะนิสยั
2. ไมเ่ น้นการใชแ้ บบทดสอบวัดพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง
3. วดั ด้วยวธิ กี ารท่หี ลากหลาย
4. ใชก้ ระบวนการสังเกตพฤตกิ รรมผู้เรยี นสะท้อนผ่านผลผลติ ของงาน
5. ผเู้ รียนสะท้อนความรสู้ กึ นึกคดิ ต่อชวี ิตจริง
74
6. เป็นกระบวนการเรียนรู้
7. หลักบานการสอนและการประเมนิ ผลต้องไปด้วยกัน
8. เน้นปฏสิ ัมพนั ธ์ที่ดรี ะหว่างนกั เรียนกับผทู้ เ่ี กยี่ วข้อง
9. เป็นกระบวนการพัฒนาท่ีตอ่ เน่อื งจนเปน็ นสิ ยั
10. เปน็ การสบื คน้ ความร้มู าสะท้อนความสามารถที่แท้จรงิ
11. มเี กณฑม์ าตรฐานลว่ งหนา้ ใหท้ ราบ
12. มีโอกาสในการนำเสนอผลงาน
13. มีโอกาสแสดงความคิดขน้ั สูง
14. ใหข้ ้อมูลหลากหลาย
15. บูรณาการวิชาตา่ ง ๆ อย่างกลมกลนื
16. ให้โอกาสสะท้อนความรูส้ ึกของตนเองออกมา
และได้สรุปวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงซึ่งมีรูปแบบและวิธีการ
แตกต่างกนั ไปในหลาย ๆ ลักษณะ อาจประเมนิ ไวท้ ง้ั กระบวนการ 4P ซ่งึ ประกอบด้วย
P1 = กระบวนการ (process)
P2 = ผลผลิต (product)
P3 = การปฏิบตั ิงาน (performance)
P4 = แฟ้มสะสมงาน (portfolio)
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ สามารถใชว้ ธิ กี าร ดงั นี้
1. สอบปากเปล่า
2. โต้วาที
3. แสดงนิทรรศการ
4. แสดงกจิ กรรมในโอกาสต่าง ๆ
5. ใช้ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
6. การสงั เกตการสอน
7. การแก้ปญั หา
8. การแสดง บันทึก
9. การทดลอง
10. สำรวจพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติ
11. งานประดษิ ฐ์
12. งานโครงการ
75
13. แสดงผลงาน การสบื ค้น
14. งานปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลมุ่
15. บนั ทกึ
16. การสังเกต
17. หนงั สอื
18. ทดสอบในลกั ษณะต่าง ๆ
19. หลกั ฐานร่องรอย
20. การสบื ค้น พัฒนาการ
21. การส่มุ เหตุการณ์
22. การสุม่ จบั เวลา
เกณฑ์การประเมินส่วนมากประกอบด้วย 5 สเกล แต่ละสเกลจะบอกใหท้ ราบ
ถึงลักษณะสำคัญท่ีผู้เรียนแสดงออกมา โดยการปฏิบัติที่สอดคล้องกับคะแนนที่ได้ในแต่ละสเกล
ผลจากการใช้รูบริคจะได้ข้อมูลท่ีสำคัญสำหรับผู้สอน ผู้ปกครองและผู้ท่ีสนใจเพ่ือให้ทราบว่า
ผู้เรียนไดเ้ รียนรอู้ ะไรและสามารถทำสง่ิ ใดได้บ้าง ในการดำเนินการประเมินอาจพิจารณา
ใหน้ ้ำหนกั เกณฑ์แตกต่างกันได้ตามนำ้ หนักความสำคญั ซึง่ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม
ความเพยี งพอ ความเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ของผู้เก่ยี วขอ้ งและแตล่ ะเกณฑ์ควรแบง่ เปน็ คณุ ภาพ
ในระดบั ต่าง ๆ
พิศาล สร้อยธุหร่ำ (2544 : 42) กล่าวถึง การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ควรมีแนวทางการวดั และประเมินผล ดงั น้ี
1. ตอ้ งวดั และประเมินผลทัง้ ความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะ
และกระบวนการ เจตคติ คา่ นิยมในวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งโอกาสในการเรียนร้ขู องผ้เู รยี น
2. มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนที่กำหนดไว้ในหลกั สูตรการศึกษา
ขน้ั พ้นื ฐานกลมุ่ วิทยาศาสตร์
3. กระทำอย่างตรงไปตรงมา ภายใตข้ อ้ มูลที่มี
4. นำไปสกู่ ารสรปุ ประเมินผลที่สมเหตุสมผล
5. มีความเทย่ี งตรง เป็นธรรม ท้ังวิธีการวดั และโอกาสของการประเมนิ
สรปุ ไดว้ ่า แบบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเปน็ การวัดความสามารถ
และคุณลักษณะของแต่ละบุคคลในดา้ นพุทธิพิสยั เป็นหลัก ได้แก่ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การนำความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้
76
ซ่ึงแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีหลายแบบ ควรเลือกให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ที่ต้องการวัด
และพบว่าในปัจจุบันจะเน้นการประเมินผลตามสภาพจริงซ่ึงได้ขยายแนวคิดของการประเมิน
ออกไป โดยให้สิทธิ์ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมในการประเมินผล ใช้การประเมินผลเป็นกระบวนการ
ท่สี อดคลอ้ งกบั เปา้ หมายของการสอนและสภาพชีวติ จริง
6. ดัชนีประสทิ ธผิ ล
ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล (Effectiveness Index) หมายถงึ ตัวเลขทแ่ี สดงถึง
ความกา้ วหน้าในการเรยี นของผู้เรียน โดยการเทียบคะแนนท่ีเพ่ิมข้นึ จากคะแนนการทดสอบ
ก่อนเรียน กบั คะแนนทไี่ ด้จากการทดสอบหลังเรียน และคะแนนเตม็ หรอื คะแนนสูงสุด
กบั คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบกอ่ นเรียน เม่อื มีการประเมินส่อื การสอนทผ่ี ลติ ขึน้ มา เรามกั จะ
ดูถงึ ประสทิ ธผิ ลทางดา้ นการสอนและการวัดประเมนิ ผลทางสือ่ นัน้ ตามปกติแล้วเปน็ การประเมิน
ความแตกตา่ งของค่าคะแนนใน 2 ลักษณะ คือ ความแตกต่างของคะแนนการทดสอบ
กอ่ นเรยี น และคะแนนทดสอบหลังเรยี น หรือเป็นการทดสอบเกย่ี วกบั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ระหวา่ งกลุ่มทดลอง และกลุม่ ควบคมุ ในทางปฏิบตั สิ ่วนมากจะเนน้ ทผี่ ลความแตกต่าง
ทแ่ี ทจ้ รงิ มากกวา่ ผลความแตกตา่ งทางสถิติ แตใ่ นบางกรณกี ารเปรยี บเทียบเพียง 2 ลกั ษณะ
ก็อาจจะยงั ไม่เพยี งพอ เช่น ในกรณขี องการใช้ส่ือในการเรยี นการสอนปรากฏวา่ กลมุ่ ที่ 1
การทดสอบกอ่ นเรยี นไดค้ ะแนน 18% การทดสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนน 67% และกลุ่มที่ 2
การทดสอบก่อนเรียนได้คะแนน 27% การทดสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนน 74% ซ่ึงเมอ่ื วิเคราะห์
ผลทางสถิติพบว่า คะแนนทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียนแตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสำคัญ
ทางสถิติทง้ั สองกลุ่ม แต่เม่อื เปรยี บเทยี บคะแนนการทดสอบหลังเรียนระหวา่ งกลุม่ ท้งั สอง
ผลปรากฏวา่ ไมม่ ีความแตกต่างกัน ซ่งึ ไมส่ ามารถระบุได้วา่ เกดิ ขึน้ เพราะสิง่ ทดลอง
(Treatment) นั้นหรือไม่ เนือ่ งจากการทดสอบทั้งสองกรณคี ะแนนพ้ืนฐาน (คะแนนทดสอบ
กอ่ นเรียน) แตกต่างกนั ซง่ึ จะส่งผลถึงคะแนนการทดสอบหลงั เรียนทีจ่ ะเพิ่มขึน้ ไดส้ งู สุด
ของแต่ละกรณี (เผชิญ กจิ ระการ. 2546 : 1)
ฮอฟแลนด์ (Hovland. 1949 อ้างถงึ ใน เผชิญ กิจระการ. 2546 : 1) ได้เสนอ
ดชั นีประสทิ ธผิ ล (Effectiveness Index) ซ่ึงไดจ้ ากการหาความแตกต่างของการทดสอบ
ก่อนการทดลองและการทดสอบหลังการทดลองด้วยคะแนนสูงสุดที่สามารถทำเพิ่มขนึ้
ฮอฟแลนด์ ไดเ้ สนอวา่ คา่ ความสมั พนั ธ์ของการทดลองจะสามารถทำได้อย่างถกู ตอ้ งแน่นอน
ต้องคำนงึ ถึงความแตกต่างของคะแนนพน้ื ฐาน (คะแนนทดสอบกอ่ นเรียน) และคะแนน
77
ที่สามารถทำได้สงู สุด ดัชนีประสิทธผิ ลจะเป็นตวั บ่งชถี้ ึงขอบเขตและประสทิ ธิภาพของส่ือ
เวบบ์ (Webb. 1963 อ้างถึงใน เผชิญ กจิ ระการ. 2546 : 1) กล่าวถงึ
การเปรยี บเทียบความแตกต่างของคะแนน โดยใชว้ ธิ กี าร 3 แบบ ซ่งึ เพิ่มเติมจาก
ดัชนปี ระสทิ ธผิ ลของฮอฟแลนด์ โดย เวบบ์ ให้ความสนใจเฉลยี่ คา่ รอ้ ยละของคะแนน
ซ่ึงเรียกว่า วธิ ีการ Conytional โดยคำนวณจากการนำคะแนนคา่ รอ้ ยละของกลุ่มควบคุม
ลบออกจากคะแนนรอ้ ยละของกลุ่มทดลอง แล้วจึงหารด้วยรอ้ ยละของกลุ่มควบคุม ผลท่ไี ด้
จะแสดงถึงร้อยละทเ่ี พิ่มขึ้น (หรอื ทดลอง) เปรียบเทียบคะแนนของกลุม่ ควบคุม
ดัชนีประสทิ ธผิ ลมรี ูปแบบในการหาค่าดังน้ี (เผชิญ กิจระการ. 2546 : 1-2)
E.I. = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน - ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น
(จำนวนนักเรียน x คะแนนเต็ม) - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
หรอื
P2 - P1
E.I. = 100% -
P1
หมายถงึ จำนวนเศษของ E.I. เปน็ เศษทไ่ี ด้จากการวัดระหวา่ งการทดสอบ
ก่อนเรียน (P1) และการทดสอบหลังเรยี น (P2) ซงึ่ คะแนนทง้ั สองประเภทนี้ จะแสดงถงึ
คา่ ร้อยละของคะแนนรวมสูงสดุ ทีน่ ักเรยี นสามารถทำได้ ต่อมา เวบบ์ ได้ปรบั รปู แบบ
ของการแสดงค่าของดัชนีประสทิ ธิผลใหม่ โดยการคูณด้วย 100 เพื่อให้คา่ ที่ออกมาเปน็ ร้อยละ
ซง่ึ จะช่วยให้ดูหรือตีค่าได้สะดวกขึ้น ดัชนปี ระสทิ ธิผลสามารถนำมาประยุกต์ใชเ้ พ่ือประเมินผล
สือ่ โดยเร่ิมจากการทดสอบก่อนเรียน ซ่ึงเป็นตัววัดค่าว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานอยู่ในระดับใด
รวมถงึ การวัดความเชื่อ เจตคติ ความตงั้ ใจของผู้เรียน โดยการนำคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบ
มาแปลงให้เปน็ ร้อยละ แล้วหาค่าคะแนนสูงสุดที่เป็นไปได้ จากนัน้ นำนกั เรยี นเข้ารับการทดลอง
เสรจ็ แล้วทำการทดสอบหลงั เรียน ได้เท่าไหร่นำมาหารด้วยค่าท่ีได้จากค่าทดสอบก่อนเรียนสูงสุด
ท่ีผ้เู รยี นสามารถทำได้ ลบดว้ ยคะแนนทดสอบก่อนเรยี น โดยทำใหอ้ ยู่ในรปู ร้อยละ
จากการคำนวณพบวา่ ดัชนปี ระสทิ ธิผลจะมคี ่าอย่รู ะหวา่ ง -1.00 ถงึ 1.00
หากค่าการทดสอบก่อนเรียนเปน็ 0 และการทดสอบหลังเรียนปรากฏวา่ นักเรียนไมม่ ี
การเปลย่ี นแปลง คือ ได้คะแนนเท่าเดิม แต่ถ้าคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น (P1) = 0
78
และค่าคะแนนทดสอบหลงั เรียนทำได้สงู สุด คือ เตม็ (P2) = 100 ค่า E.I จะเท่ากับ 1.00
ในทางตรงกันข้าม ถ้าคะแนนทดสอบหลังเรียนน้อยกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรยี น คา่ ทไี่ ด้
ออกมาจะมคี า่ เป็นลบ
7. แนวคดิ เกี่ยวกบั ความพึงพอใจ
7.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
ความหมายของความพึงพอใจ ไดม้ ีผูใ้ ห้ความหมายเก่ยี วกับความพึงพอใจ
(Satisfaction) ไวด้ ังนี้
มยุรี ศรีคะเนย์ (2547 : 91) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง
สภาพหรอื ระดบั ความพงึ พอใจทมี่ ีผลมาจากความสนใจและเจตคตขิ องบคุ คลท่มี ีต่องาน
ดำริ มุศรีพันธ์ุ (2545 : 39) ได้อธิบายความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า
ความพงึ พอใจคอื ทัศนคติโดยทว่ั ๆ ไปของบคุ คลท่ีจะนำไปสกู่ ารประเมินผลและความคาดหวังตอ่ งาน
ลกั ขณา ศิรวิ ฒั น์ (2549 : 132) ได้กลา่ วถึงความพึงพอใจว่า ความพงึ พอใจ
หมายถึงพฤติกรรมทส่ี นองความต้องการของมนษุ ย์และเปน็ พฤตกิ รรมที่นำไปสู่จดุ มุ่งหมายที่ตง้ั ไว้
ศรีสุดา ญาติปล้มื (2547 : 69) ไดใ้ ห้ความหมายของความพึงพอใจวา่
ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความร้สู ึกรัก ชอบ พอใจ หรือเป็นเจตคติทีด่ ขี องบุคคลท่มี ีต่อสงิ่ ใด
สงิ่ หน่งึ ซ่งึ เกดิ จากการได้รับการตอบสนองความต้องการหรือความคาดหวังในทางทดี่ ี
ทง้ั ด้านวัตถุและด้านจติ ใจ เป็นความรู้สึกเม่อื ไดร้ ับความสำเรจ็ ความต้องการหรอื แรงจูงใจ
จากทก่ี ล่าวมาสรุปได้ว่า ความพงึ พอใจ คือ ความรสู้ ึก ท่าทีของบคุ คล
ที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ที่เอนเอียงไปในทางบวก ซ่ึงเป็นพฤติกรรมที่บุคคล
แสดงออกมาหลงั จากทไ่ี ด้รับประสบการณใ์ นส่งิ ทตี่ รงตามความต้องการ หรือเป็นความรูส้ กึ
ท่ีมีความสขุ เม่ือไดร้ ับผลสำเรจ็ ตามความมุ่งหมาย ดงั นนั้ ความพึงพอใจในการเรยี น
จึงหมายถงึ ความรสู้ กึ ของผู้เรยี นท่มี ีต่อการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของครูผู้สอน
7.2 การสร้างแบบสอบถามความคิดเห็น
นกั วิชาการได้อธิบายลักษณะของแบบสอบถามไว้ดงั น้ี
กองวิจัยทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 57-58) ได้กล่าวว่า
แบบสอบถามเป็นรายการคำถามที่ส่งไปให้คนตอบตามความสมัครใจ เกี่ยวกับเรื่องท่ีต้องการ
ทราบ เพื่อมุ่งเก็บขอ้ มูลประเภทขอ้ เทจ็ จรงิ
พิชติ ฤทธจ์ิ รญู (2547 : 217) กลา่ วว่า แบบสอบถามเป็นชุดของคำถาม
79
ท่ีใช้สอบถามข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นต่าง ๆ ของผู้ตอบ เพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงท้ังในอดีต
ปัจจุบัน และคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งต้องมีส่วนประกอบ คือ คำชี้แจง สถานภาพ
ผู้ตอบ และข้อความที่เก่ียวกบั ตวั แปรท่ีจะวัด ซึ่งรปู แบบของแบบสอบถามมี 2 ประเภท คือ
1. คำถามแบบปลายปิด เปน็ การสรา้ งรายการใหผ้ ู้ตอบเลอื กตอบ
จากตัวเลอื กทีก่ ำหนดให้ อาจจะมี 2-3 ข้อ หรอื มากกว่านกี้ ไ็ ด้ ซง่ึ มหี ลายรูปแบบดงั นี้
- แบบสอบถามขอ้ มลู สว่ นตวั
- แบบสำรวจรายการ เปน็ การถามเรอื่ งตา่ ง ๆ ให้ผู้ตอบกาเครื่องหมาย
เพอื่ แสดงวา่ มี/ไม่มี เห็นด้วย/ไม่เหน็ ดว้ ย หรือ ชอบ/ไม่ชอบ เป็นตน้ ซ่งึ แบบสำรวจรายการ
กเ็ ป็นส่วนหน่งึ ของแบบสอบถามปลายปิด
- มาตราส่วนประมาณค่า เป็นส่วนหน่ึงของแบบสอบถามปลายปิด
เช่นเดียวกับแบบสำรวจรายการ ใช้วัดจิตพิสัย เช่น เจตคติ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ฯลฯ แต่มี
ลักษณะต่อเนื่องท่ีละเอียดกว่าแบบสำรวจรายการ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ มาตราส่วน
ประมาณคา่ แบบตัวเลข มาตราสว่ นประมาณค่าแบบพรรณนา และมาตราส่วนประมาณคา่ แบบกราฟ
2. คำถามแบบปลายเปิด เป็นแบบสอบถามท่ีไม่กำหนดคำตอบ แต่จะให้
ผตู้ อบแสดงความคิดเห็นอย่างอสิ ระ เชน่ ท่านมีความคดิ เห็นอย่างไรเกย่ี วกับการเรียนการสอน
ในปัจจุบนั
วิธกี ารสรา้ งแบบสอบถาม มกี ระบวนการดังนี้
1. นำจุดประสงค์ของการวิจยั มาวเิ คราะหอ์ อกเป็นตัวแปรท่ีจะวดั
2. แยกรายการของส่งิ ทจ่ี ะสอบถามในแต่ละตวั แปรน้ันให้ชดั เจนและครอบคลมุ
3. คำถามและข้อความแต่ละข้อ ควรมีประเด็นเดียว
4. แต่ละคำถามควรสั้น กะทัดรัด เป็นปรนัย ตรงไปตรงมา ได้ใจความ
เข้าใจง่าย
5. เรียงคำถามในแตล่ ะขอ้ ให้ต่อเนอื่ งสัมพนั ธก์ ันเป็นลกู โซ่
6. ในหวั ขอ้ ใหญก่ ล่าวถงึ ประเดน็ เดียว ครอบคลุมตวั แปรทจ่ี ะศึกษา
ท้ังในแนวกว้างและแนวลกึ หลีกเล่ียงคำถามท่ที ำให้ผูต้ อบเกิดอคติในการตอบ หรือไม่พอใจ
ทจี่ ะตอบ
จึงสรุปได้ว่า ในการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียน
ดว้ ยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง วัสดุและสมบัติของวสั ดุ รายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์
80
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 รูปแบบท่ีเหมาะสมที่สุดคือ คำถาม
แบบปลายปิด แบบมาตราส่วนประมาณค่า มี 5 ระดบั ซงึ่ เป็นแบบทส่ี ร้างง่ายและใช้สะดวก
ทส่ี ุด และใช้จำนวนคี่เพื่อให้คา่ ตรงกลางแทนคา่ เฉล่ยี สามารถเกบ็ ข้อมลู ไดจ้ ำนวนมาก
สรปุ ผลได้ง่าย และผ้ตู อบจะมีความสบายใจ เป็นอิสระในการตอบมากทสี่ ดุ
8. งานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง
ในการศกึ ษาค้นคว้าคร้ังน้ี ผู้รายงานได้ศกึ ษาคน้ คว้างานวิจยั ในประเทศ
และตา่ งประเทศ ดงั นี้
8.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
กาญจนา ฉำ่ แสง (2541 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจยั เรอ่ื ง ชดุ การสอน เร่ือง
กลไกมนุษย์ ในวชิ าวิทยาศาสตร์ สำหรบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 เพ่ือศึกษาความก้าวหน้าของผล
การเรียนและความคิดเหน็ ของผูเ้ รียนเกีย่ วกบั ชดุ การสอน เรื่อง กลไกมนุษย์ ของนกั เรียน
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 จำนวน 43 คน ชุดการสอนท่สี รา้ งขน้ึ แบง่ เป็น 6 ชุด เคร่อื งมือที่ใช้
ในการรวบรวมข้อมลู เป็นแบบทดสอบและแบบสอบถามความคดิ เห็นของผู้เรียน พบวา่
ความก้าวหนา้ ของผูเ้ รียนจากการเรียนด้วยชดุ การสอนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หลงั เรียนสงู กวา่
ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และนักเรียนมคี วามพึงพอใจในระดับมาก
ศิริชยั จีรจีรังชัย (2545 : บทคดั ย่อ) ไดศ้ ึกษาผลการพัฒนา เร่อื ง การพัฒนา
ชดุ การเรียน วิชาวทิ ยาศาสตร์ ว203 เร่อื ง อาหาร สำหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2
กลมุ่ ตัวอยา่ งเป็นนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนพังตรุราษฎรร์ งั สรรค์ สงั กดั
กรมสามญั ศึกษา จังหวดั กาญจนบรุ ี จำนวน 35 คน ผลการวจิ ยั พบว่า ชดุ การเรยี น
มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 81.42/82.68 และผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เร่ือง อาหาร
ของนกั เรียนก่อนและหลงั การใชช้ ุดการเรียนตา่ งกนั อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01
จุฬาลกั ษณ์ ไชยสกุล (2546 : บทคัดยอ่ ) ได้ทำการวิจยั เรอื่ ง การสร้าง
ชุดการสอน กล่มุ วชิ าสร้างเสรมิ ประสบการณ์ชวี ติ เรื่อง สตั ว์ สำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5
โดยมีจดุ ม่งุ หมายเพ่อื สรา้ งชุดการสอน กลมุ่ วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เรือ่ ง สัตว์ สำหรับ
นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 จากผลการวิจยั พบวา่ ชุดการสอนท่สี ร้างข้นึ มปี ระสิทธภิ าพ
82.63/80.53 และค่าดัชนปี ระสทิ ธิผล 0.64
สมโภช ภู่สุวรรณ (2546 : บทคดั ย่อ) ได้ทำการวิจัยเรือ่ ง การพัฒนา
ชดุ การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตรท์ เี่ น้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
81
เรอื่ ง สารและสมบัตขิ องสาร สำหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีจดุ มงุ่ หมาย
เพอื่ ศึกษาปญั หาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 พัฒนาชดุ การเรียน
การสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ทเี่ น้นทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง สารและสมบัตขิ องสาร
สำหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นและทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใช้ชุดการเรยี นการสอน และไดร้ ับ
การสอนปกติ จากผลผลการวจิ ยั พบวา่ ครผู ู้สอนมีความเหน็ ว่าปัญหาการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ด้านตัวป้อนมปี ญั หามากท่ีสดุ ชุดการเรียนการสอนท่สี ร้างข้นึ
มปี ระสทิ ธภิ าพ 89.39/90.11 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ทีก่ ำหนดไว้ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
และทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทไ่ี ดร้ ับการสอน
โดยใชช้ ุดการเรยี นการสอนสูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการสอนตามปกติ อยา่ งมีนยั สำคัญท่รี ะดับ .05
ถวิล กล้าเกิด (2548 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวจิ ัยเรือ่ ง การพัฒนาชดุ การเรียน
วชิ าวิทยาศาสตร์ เร่อื ง เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ในบ้าน สำหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยมี
จุดม่งุ หมายเพอื่ พัฒนาชุดการเรยี นการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ภายในบา้ น
สำหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 และเพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี น
ก่อนใชแ้ ละหลงั ใช้ชดุ การสอน จากผลการวจิ ัยพบวา่ ชุดการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง
เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ภายในบ้าน สำหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 มีประสิทธภิ าพเท่ากับ
86.55/81.13 และผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ภายในบ้าน
สำหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ท่ีไดร้ บั การสอนโดยชุดการเรียนภายหลงั เรยี นสูงกว่า
กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ธวัทชยั ฉิมกรด (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวจิ ยั เรื่อง การพัฒนาชุดการเรยี น
การสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง หินและการเปล่ียนแปลง สำหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
โดยมจี ดุ มุ่งหมายเพอ่ื พฒั นาชุดการเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง หนิ และการปลี่ยนแปลง
สำหรับนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 และเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี น
ของนักเรยี นที่ไดร้ บั การสอนโดยใชช้ ดุ การเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ กบั นักเรยี นท่ไี ดร้ บั
การสอนปกติ จากผลการวิจัยพบวา่ ชดุ การเรียนการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง หินและ
การเปล่ยี นแปลง สำหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 มปี ระสทิ ธภิ าพ 88.67/86.06
ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 และผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์หลังเรียน
ของนกั เรียนทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยใช้ชุดการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตรส์ งู กว่านกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั
การสอนตามปกตอิ ย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .05
82
สพุ ัตรา สัตยากูล (2552 : 75) ได้ทำการวิจยั เร่อื ง การพฒั นาชุดฝึกทักษะ
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ พฒั นา
ชดุ ฝกึ ทักษะ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพ
ตามเกณฑ์ 80/80 และเพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ก่อนและหลังการใชช้ ุดฝึกทักษะ ผลการวิจัย
พบวา่ ชุดฝึกทักษะ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 มปี ระสทิ ธิภาพ
83.14/82.58 และนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กว่า
กอ่ นเรยี นดว้ ยชดุ ฝึกทักษะ กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติ
ทีร่ ะดับ .01
จฑุ ามาศ เจตน์กสิกิจ (2552 : บทคัดยอ่ ) ได้ทำการวจิ ัย เรื่อง การพัฒนา
ชดุ การสอนวชิ าเคมี เรื่อง ไฟฟา้ เคมี สำหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โดยมีจุดม่งุ หมาย
เพอื่ พฒั นาชุดการสอนวิชาเคมีให้มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษาค่าดชั นีประสิทธิผล
ของชุดการสอนวชิ าเคมี เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมกี ่อนเรียนและหลังเรียน
ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ท่ีไดร้ บั การสอนโดยใชช้ ุดการสอนวชิ าเคมี ศกึ ษาความคงทนใน
การเรยี นร้วู ชิ าเคมขี องนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอนวชิ าเคมี
และเปรียบเทียบจำนวนนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ที่ไดร้ บั การสอนโดยใช้ชุดการสอน
วิชาเคมีที่มคี ะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมีผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 80 ของคะแนนเตม็
กับเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ของนกั เรยี นทงั้ หมด ผลการวิจัยพบวา่ ชุดการสอนวชิ าเคมีท่พี ฒั นาขึ้น
มีประสทิ ธิภาพ 87.48/81.43 มคี า่ ดัชนปี ระสิทธิผล 0.68 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาเคมี
ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีไดร้ บั การสอนโดยใชช้ ดุ การสอนหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น
อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 มีความคงทนในการเรียนร้วู ชิ าเคมีอย่างมนี ัยสำคัญ
ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 และนกั เรียนร้อยละ 76 ของนักเรยี นทง้ั หมด มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
วิชาเคมีผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 80 ของคะแนนเต็ม
8.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
มีค (Meek. 1972 : 4296 – A อ้างถงึ ใน จฑุ ามาศ เจตน์กสิกจิ . 2552 : 40)
ได้ทำการวิจัยเรอ่ื ง การเปรียบเทียบวิธีการสอนแบบใช้ชุดการสอนกับวิธีการสอนแบบธรรมดา
โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้จากการใช้ชุดการสอน และวิธีสอน
แบบธรรมดา สำหรับสอนนักศกึ ษาครู จากผลการวจิ ยั พบว่า วธิ กี ารสอนโดยใชช้ ดุ การสอน
มีประสทิ ธิภาพสงู กว่าการสอนด้วยวธิ ีสอนแบบธรรมดาอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01
83
เดล (Dale. 1973 : 6481 – A อ้างถึงใน จฑุ ามาศ เจตนก์ สิกิจ. 2552 : 40)
ไดท้ ำการวิจัยเร่ือง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นระหว่างการเรยี นโดยวิธสี อนปกติกบั การเรยี น
โดยใช้ชุดการสอนของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน จากผลการวิจัยพบว่า
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั ศกึ ษาท่เี รียนโดยใช้ชุดการสอนสงู กวา่ นักศึกษาท่ีเรยี น
โดยวิธสี อนปกติ อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดบั .05
ววี าส (Vivas. 1985 : 603 อ้างถึงใน จุฑามาศ เจตนก์ สกิ ิจ. 2552 : 41)
ได้ศึกษา การออกแบบพัฒนาและประเมนิ ค่าของการรับรทู้ างความคิดของนกั เรียนเกรด 1
ในประเทศเวเนซูเอลา่ โดยใช้ชุดการสอน จากผลการวจิ ยั พบว่า นักเรียนท่ีไดร้ บั การสอน
โดยใช้ชดุ การสอน มคี วามสามารถเพ่ิมข้ึนในด้านความคดิ ด้านความพรอ้ มในการเรยี น
ด้านความคดิ สรา้ งสรรค์ ด้านเชาวป์ ัญญา และด้านการปรับตวั ทางสังคม หลังจากไดร้ ับ
การสอนด้วยชดุ การสอนสงู กวา่ นักเรียนท่ีไดร้ บั การสอนแบบปกติ
จากผลการวิจัยทั้งในประเทศและตา่ งประเทศ จะเหน็ ไดว้ ่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น นักเรียนไดป้ ฏบิ ัตจิ ริง มีความรับผดิ ชอบต่อตนเอง
ซง่ึ ผู้รายงานเช่ือว่าหากครูผู้สอนจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้
จะสง่ ผลทำใหน้ กั เรยี นมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสูงขึน้
กรอบแนวคดิ ของการศกึ ษาค้นควา้
ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง การจำแนกและ 1. ประสิทธภิ าพของ
องค์ประกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
รหสั วชิ า ว21101 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 3. ดัชนีประสิทธผิ ล
4. ความพึงพอใจ
ภาพ แสดงกรอบแนวคิดของการศึกษาคน้ คว้า
84
บทที่ 3
วธิ ีการดำเนินการศึกษาคน้ คว้า
การศกึ ษาคน้ ควา้ เรอื่ ง การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบริสุทธิ์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 เปน็ การศึกษาค้นคว้าเชงิ กง่ึ ทดลอง (Quasi-
Experimental Research) ใช้รปู แบบการทดลองแบบกลุม่ เดียวทดสอบกอ่ นหลัง (One-Group
Pretest Posttest Design) ดังแสดงไว้ในตาราง (สวุ ิมล ตริ กานันท์. 2549 : 24)
ตาราง แบบแผนการทดลอง
กล่มุ ทดลอง ทดสอบกอ่ นเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรยี น
E TE1 X TE2
สัญลักษณ์ท่ีใช้ในแบบแผนการทดลอง
E แทน กลุม่ ทดลอง
TE1 แทน ทดสอบก่อนเรียนของกลุ่มทดลอง
X แทน การเรียนโดยใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ
TE2 แทน ทดสอบหลังเรยี นของกลมุ่ ทดลอง
วธิ ีการดำเนนิ การศกึ ษาค้นคว้า นำเสนอตามลำดับตอ่ ไปน้ี
1. ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง
2. เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า
3. วธิ ีการสร้างเครื่องมอื และการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ
4. วธิ ีดำเนินการทดลอง
5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
6. สถิติทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
85
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
1. ประชากร
ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 24 จังหวดั พะเยา สังกัดสำนกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ
จำนวน 3 หอ้ งเรียน นกั เรียนจำนวน 60 คน ประกอบดว้ ย
1.1 นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 /1 จำนวน 21 คน
1.2 นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 /2 จำนวน 19 คน
1.3 นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 /3 จำนวน 20 คน
2. กล่มุ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 /3 ภาคเรยี นที่ 2
ปีการศึกษา 2564 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จงั หวดั พะเยา สังกัดสำนักบริหารงาน
การศึกษาพิเศษ ซ่งึ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 20 คน
เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า
เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ครงั้ นี้ ประกอบด้วย
1. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้
มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยแบง่ เน้ือหาออกเป็น 3 ชุด คอื
ชุดที่ 1 เรอ่ื ง การจำแนกสารบริสุทธ์ิ
ชดุ ท่ี 2 เรือ่ ง โครงสรา้ งอะตอม
ชุดท่ี 3 เร่ือง การจำแนกธาตแุ ละการใช้ประโยชน์
2. แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง การเปลี่ยนแปลงของสาร รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
รหสั วชิ า ว15101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5
จำนวน 6 แผน รวม 12 ชว่ั โมง คือ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจำแนกสารบรสิ ทุ ธิ์
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 2 เรอื่ ง การจำแนกสารบรสิ ทุ ธ์ิ (ต่อ)
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3 เร่อื ง โครงสร้างอะตอม
86
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง โครงสรา้ งอะตอม (ต่อ)
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5 เรอื่ ง การจำแนกธาตุและการใชป้ ระโยชน์
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 6 เรอ่ื ง การจำแนกธาตุและการใช้ประโยชน์ (ตอ่ )
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบ
ของสารบรสิ ุทธ์ิรายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 ซ่งึ ผู้รายงานสรา้ งขนึ้ เอง เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน
20 ขอ้
4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี อ่ การเรยี นดว้ ยชดุ กิจกรรม
การเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา
ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1
วิธกี ารสร้างเครอื่ งมือและการหาคุณภาพของเครอ่ื งมือ
1. การสรา้ งและหาคุณภาพชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1
ผู้รายงานดำเนินการตามขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. วเิ คราะหห์ ลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง
พ.ศ. 2560) คู่มือครู แบบเรียน และเอกสารท่ีเก่ยี วข้องกบั วิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษา
ปีท่ี 5 เพอ่ื กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ ขอบเขต ความครอบคลมุ เนือ้ หา และพฤตกิ รรม
ที่ต้องการ
2. ศึกษารายละเอียดเกีย่ วกับหลักการและวธิ กี ารสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้
3. กำหนดเนอ้ื หาในการสรา้ งชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
4. ดำเนนิ การสรา้ งชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกและองคป์ ระกอบ
ของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 คือ
ชดุ ที่ 1 เรือ่ ง การจำแนกสารบริสุทธิ์
ชดุ ท่ี 2 เรือ่ ง โครงสรา้ งอะตอม
ชดุ ที่ 3 เรอ่ื ง การจำแนกธาตุและการใช้ประโยชน์
87
5. นำชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสาร
บริสทุ ธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 เสนอตอ่ ผู้เชยี่ วชาญ จำนวน 5 คน ไดแ้ ก่
5.1 ผศ.ดร.ภาณุพฒั น์ ชัยวร
5.2 รศ.ดร.วไิ ลพร ลกั ษมวี าณิชย์
5.3 นางสาวศมาพร กันทะมาศ
5.4 นางวนชั พร กันทะวงั
5.5 นางพัชรี ชูบวั
เพอื่ ขอรบั การตรวจสอบคุณภาพชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใชแ้ บบตรวจสอบคุณภาพแบบมาตราสว่ น
ประมาณค่า 5 ระดับ คำตอบของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนให้คะแนนดงั น้ี
มากทีส่ ดุ ใหค้ ะแนนเป็น 5
มาก ให้คะแนนเป็น 4
ปานกลาง ให้คะแนนเปน็ 3
นอ้ ย ให้คะแนนเปน็ 2
นอ้ ยทส่ี ดุ ใหค้ ะแนนเปน็ 1
การแปลความหมายคา่ เฉล่ียนำ้ หนกั คะแนน แบง่ เปน็ 5 ระดับ คือ
ค่าเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ
คา่ เฉล่ยี 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีคุณภาพอยูใ่ นระดับมาก
คา่ เฉลยี่ 2.51 – 3.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดบั ปานกลาง
คา่ เฉล่ีย 1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี ณุ ภาพอยู่ในระดบั นอ้ ย
คา่ เฉล่ีย 1.00 – 1.50 หมายถึง มคี ณุ ภาพอยู่ในระดับนอ้ ยทีส่ ดุ
เกณฑ์ค่าเฉลยี่ คุณภาพของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสทุ ธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ต้ังแต่ 3.51 ขนึ้ ไป ถอื วา่ ใช้ได้
6. นำแบบตรวจสอบคุณภาพชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กล่มุ สาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ทไ่ี ดจ้ ากผ้เู ช่ียวชาญมาตรวจให้คะแนนหาคา่ เฉลี่ย
และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน และดำเนนิ การปรบั ปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ
88
7. นำชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ
รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ที่ผา่ นการตรวจสอบคณุ ภาพแลว้ ไปทดลองใชก้ ับนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่
1 ทีไ่ ม่ใชก่ ลมุ่ ตัวอย่าง เพ่อื หาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 แบง่ เป็น 3 ขนั้ ตอน คอื
ขั้นที่ 1 การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจำแนก
และองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุม่ สาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 เป็นรายบุคคล
ขั้นที่ 2 การหาประสิทธิภาพของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง การจำแนก
และองคป์ ระกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 เปน็ กลุ่มยอ่ ย
ขัน้ ที่ 3 การหาประสทิ ธิภาพของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การจำแนก
และองคป์ ระกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคสนาม
ซึง่ มรี ายละเอียดการดำเนนิ การ ดงั นี้
7.1 การหาประสิทธภิ าพขน้ั ท่ี 1 ทำการทดลองใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
เรื่อง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 กบั นักเรียนช้นั
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 24 จังหวดั พะเยา สังกดั สำนักบรหิ ารงาน
การศกึ ษาพิเศษ ซ่ึงไดม้ าด้วยวิธกี ารส่มุ อยา่ งง่าย (Simple random sampling) โดยใช้วธิ จี บั
สลาก จำนวน 3 คน คอื กลมุ่ เกง่ จำนวน 1 คน กลุ่มปานกลาง จำนวน 1 คน และ
กลุ่มอ่อน จำนวน 1 คน เพ่ือศึกษาความเหมาะสมของภาษา เวลา และสภาพท่วั ไป โดยทำ
การสงั เกตและบนั ทึกสว่ นทม่ี ีปญั หา ดำเนนิ การนำขอ้ มลู จากการสงั เกตพฤตกิ รรมและ
ข้อบกพร่องทพ่ี บจากการทดลองขนั้ รายบคุ คลมาปรบั ปรุง ในส่วนของคำทีพ่ ิมพ์ผดิ คำถามท่ีไม่
ชัดเจน ตวั หนังสือไมค่ มชดั ตวั หนังสือเลก็ เกนิ ไป และเพิ่มสีสันให้ภาพมีความสดใส น่าสนใจ
และกำหนดเวลาเพ่ิมข้นึ แลว้ นำไปหาประสิทธิภาพข้ันท่ี 2
7.2 การหาประสิทธิภาพข้ันที่ 2 ทำการทดลองใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้
เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 กับนักเรยี นชัน้
89
มธั ยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกัดสำนกั บริหารงาน
การศกึ ษาพิเศษ ซ่ึงไดม้ าดว้ ยวธิ กี ารสุ่มอยา่ งงา่ ย (Simple random sampling) โดยใชว้ ธิ จี บั
สลาก จำนวน 9 คน คือ กลุ่มเกง่ จำนวน 3 คน กลมุ่ ปานกลาง จำนวน 3 คน และ
กลุม่ อ่อน จำนวน 3 คน ทำการสังเกตและบันทึกสว่ นที่มปี ัญหา นำขอ้ มูลมาปรับปรงุ แก้ไขชดุ
กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสทุ ธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
รหัสวิชา ว20203 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 แลว้
นำไปหาประสทิ ธภิ าพข้นั ท่ี 3
7.3 การหาประสทิ ธภิ าพขนั้ ท่ี 3 ทำการทดลองใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้
เรอ่ื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 กับนกั เรียนชัน้
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/2 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สงั กัดสำนกั บริหารงาน
การศกึ ษาพิเศษ ซงึ่ ได้มาด้วยวธิ ีการส่มุ อย่างงา่ ย (Simple random sampling) โดยใชว้ ธิ ีจับ
สลาก จำนวน 19 คน คอื กลุ่มเก่ง จำนวน 6 คน กลุม่ ปานกลาง จำนวน 7 คน และ
กลมุ่ อ่อน จำนวน 6 คน เพ่อื หาข้อบกพร่องในการส่ือความหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน
ระยะเวลาในการสอน แลว้ ปรับปรงุ แกไ้ ข จนเป็นชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ที่สมบรู ณ์ จึงนำไปใช้จรงิ กบั นกั เรียนชนั้
มัธยมศึกษาปที ่ี 1/3 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 24 จงั หวดั พะเยา สงั กดั สำนักบรหิ ารงาน
การศกึ ษาพเิ ศษ ซ่ึงเป็นกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. การสร้างและหาคุณภาพแผนการจดั การเรียนรู้ เรื่อง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
ผ้รู ายงานดำเนินการตามขน้ั ตอน ดงั นี้
1. ศึกษาหลกั สตู รการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ
พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วชิ าวิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 เก่ียวกับหลักการ จุดม่งุ หมาย โครงสรา้ ง เวลาเรียน การวัดผล
ประเมินผล คน้ ควา้ ขอ้ มลู เอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ งกับสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ คู่มือการจดั
การเรียนรู้
90
2. วิเคราะหส์ าระการเรยี นรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้
และเวลาเรียน
3. วิเคราะหห์ นงั สอื เรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบ
ของสารบริสทุ ธ์ิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
4. ศกึ ษารายละเอียดเกีย่ วกบั หลกั การและวิธกี ารสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้
กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
5. กำหนดรปู แบบการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยยดึ องคป์ ระกอบ
การเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ดงั นี้
5.1 สาระสำคัญ
5.2 มาตรฐานและตัวช้วี ดั
5.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
5.4 สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
5.5 คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
5.6 สาระการเรยี นรู้
5.7 กจิ กรรมการเรยี นรู้
5.8 สือ่ การเรยี นรู้
5.9 แหลง่ เรียนรู้
5.10 การวัดผลประเมินผล
6. เขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสาร
บริสุทธ์ิ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยจดั ทำให้สอดคล้องกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ กิจกรรมการ
เรียนรู้ การวัดผลประเมนิ ผล จำนวน 6 แผน รวม 12 คาบ (แผนละ 2 คาบ) ดังน้ี
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง การจำแนกสารบรสิ ุทธ์ิ
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรอ่ื ง การจำแนกสารบริสทุ ธ์ิ (ตอ่ )
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 เรื่อง โครงสร้างอะตอม
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 4 เรอ่ื ง โครงสร้างอะตอม (ตอ่ )
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5 เรอ่ื ง การจำแนกธาตแุ ละการใชป้ ระโยชน์
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 6 เรอ่ื ง การจำแนกธาตแุ ละการใช้ประโยชน์ (ตอ่ )
91
7. นำแผนการจดั การเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสาร
บริสุทธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่สี ร้างเสร็จแล้วเสนอต่อผ้เู ชย่ี วชาญ จำนวน 5 คน ชดุ เดมิ
เพื่อขอรบั การตรวจสอบคุณภาพแผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของ
สารบริสทุ ธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใช้แบบตรวจสอบคุณภาพแบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5
ระดบั คำตอบของผ้เู ชี่ยวชาญแตล่ ะคนให้คะแนน ดังนี้
มากทีส่ ุด ให้คะแนนเปน็ 5
มาก ใหค้ ะแนนเป็น 4
ปานกลาง ให้คะแนนเป็น 3
น้อย ให้คะแนนเปน็ 2
น้อยทีส่ ุด ใหค้ ะแนนเปน็ 1
การแปลความหมายค่าเฉลีย่ นำ้ หนกั คะแนน แบง่ เปน็ 5 ระดบั คอื
คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มคี ุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด
ค่าเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี ุณภาพอยใู่ นระดบั มาก
คา่ เฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มคี ณุ ภาพอย่ใู นระดับปานกลาง
ค่าเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถึง มคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั นอ้ ย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถงึ มคี ุณภาพอยูใ่ นระดับนอ้ ยท่ีสุด
เกณฑค์ า่ เฉล่ียของคุณภาพแผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบรสิ ุทธิ์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ตัง้ แต่ 3.51 ขึ้นไป ถอื ว่าใช้ได้
8. นำแบบตรวจสอบคุณภาพแผนการจัดการเรยี นรู้ เรื่อง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลุม่ สาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ท่ไี ดจ้ ากผู้เชีย่ วชาญมาตรวจให้คะแนนหา
คา่ เฉลี่ย และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และดำเนนิ การปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะของ
ผูเ้ ช่ยี วชาญ ใหแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสทุ ธ์ิ
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั
มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 มีคณุ ภาพยง่ิ ขึ้น และนำแผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ทผ่ี ่านการตรวจสอบคุณภาพและปรบั ปรุง
92
แลว้ ไวใ้ ชก้ บั นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1/3 โรงเรียน...................สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี
การศกึ ษา…………………… ซึ่งเปน็ กลุ่มตัวอย่าง
3. การสร้างและหาคณุ ภาพแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรื่อง
การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลมุ่
สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1
ผู้รายงานดำเนินการตามขัน้ ตอน ดงั นี้
1. ศึกษาและวเิ คราะห์หลักสูตรการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1
2. ศึกษาทฤษฎีและวิธกี ารสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนแบบปรนยั
3. วเิ คราะหเ์ น้อื หา คำอธิบายรายวชิ า จุดประสงค์การเรยี นรู้ และกำหนด
จำนวนขอ้ สอบให้ครอบคลมุ เนอื้ หาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ โดยขอ้ สอบมีการวัดพฤติกรรม
ทั้งดา้ นความรคู้ วามจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์
และการประเมินค่า
4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรือ่ ง การจำแนกและ
องคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก
จำนวน 20 ข้อ
5. นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสุทธ์ิ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 เสนอผู้เชย่ี วชาญ จำนวน 5 คน ชุดเดมิ
เพื่อประเมินความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ คำตอบของผูเ้ ชี่ยวชาญแต่
ละคนใหค้ ะแนน ดังนี้
สอดคล้อง ใหค้ ะแนนเปน็ 1
ไม่แนใ่ จ ใหค้ ะแนนเปน็ 0
ไม่สอดคลอ้ ง ให้คะแนนเปน็ -1
ค่า IOC มคี ่าระหว่าง -1 ถงึ 1 คา่ ดัชนี IOC ท่ีดีควรมคี า่ ใกล้ 1
ข้อทีม่ คี ่า IOC ต่ำกว่า 0.5 ควรมีการปรับปรุงแก้ไข
6. หลังจากผู้เชย่ี วชาญประเมินความสอดคลอ้ งแล้ว นำมาวเิ คราะหค์ ะแนน
ความสอดคล้องรายข้อ โดยพิจารณาคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง ตง้ั แต่ 0.5 ขนึ้ ไป
93
7. จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอื่ ง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบริสทุ ธิ์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 แล้วนำไปทดลองใชก้ ับนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปที ่ี 1 /1 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จงั หวัดพะเยา สังกดั สำนักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ
ซง่ึ เคยเรยี นเน้ือหานีม้ าแลว้ ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน
32 คน
8. นำกระดาษคำตอบมาตรวจให้คะแนน แลว้ วิเคราะห์ค่าความยากง่าย
และค่าอำนาจจำแนก โดยได้คา่ ความยากง่ายของข้อสอบระหวา่ ง 0.20 ถึง 0.80
ส่วนคา่ อำนาจจำแนก มคี ่าตัง้ แต่ 0.20 ข้ึนไป
9. คัดเลอื กข้อสอบที่ผ่านการหาคา่ ความยากงา่ ยและค่าอำนาจจำแนก
จำนวน 30 ข้อ
10. นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20203 กล่มุ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทผี่ ่านการหาค่าความยากงา่ ยและค่าอำนาจ
จำแนกแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24
จังหวดั พะเยา สงั กดั สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ซงึ่ เคยเรียนเน้อื หานม้ี าแล้ว ไดม้ าโดยการ
เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 30 คน เพื่อวิเคราะห์ค่าความเช่ือมั่น
ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรือ่ ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ุทธ์ิ
รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ซึ่งควรมคี ่าความเชอื่ ม่ันต้ังแต่ .70 ขึน้ ไป (สมจติ รา เรืองศร.ี 2548 : 218) ได้
คา่ ความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบ
ของสารบริสทุ ธิ์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 เท่ากบั 0.76
11. จัดพิมพ์แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื ง การจำแนกและ
องค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ทีเ่ ปน็ ฉบับจริง เพื่อนำไปใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื กับ
กลุ่มตวั อยา่ งต่อไป
94
4. การสรา้ งและหาคณุ ภาพแบบประเมินความพงึ พอใจของนกั เรียนท่มี ตี อ่
การเรียนด้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสทุ ธ์ิ
รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ผรู้ ายงานดำเนินการตามขน้ั ตอน ดังน้ี
1. วิเคราะห์ลกั ษณะของขอ้ มลู ทต่ี อ้ งการ โดยวเิ คราะห์จากจุดประสงค์
การเรียนรู้ และกำหนดโครงสร้างเน้ือหาของแบบประเมนิ ความพึงพอใจ
2. ศกึ ษาวธิ ีการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจและกำหนดรปู แบบ
ของแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ
3. สรา้ งแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีตอ่ การเรียน
ดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ือง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์ รายวชิ า
วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษา
ปที ี่ 1 มีลักษณะเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ ตามวิธกี ารลิเคอร์ท (Likert) ซ่ึงมี
ระดบั ความพงึ พอใจ 5 ระดบั คือ ความพึงพอใจมากท่สี ดุ ความพงึ พอใจมาก ความพึงพอใจ
ปานกลาง ความพงึ พอใจนอ้ ย และความพงึ พอใจน้อยท่สี ดุ ส่วนรายการประเมนิ แต่ละข้อ
ครอบคลมุ องคป์ ระกอบดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี
3.1 องค์ประกอบด้านสาระการเรยี นรู้
3.2 องคป์ ระกอบดา้ นกจิ กรรมการเรียนรู้
3.3 องค์ประกอบด้านส่อื การเรียนรู้
3.4 องค์ประกอบด้านการวดั ผลประเมนิ ผล
4. นำแบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรียนตอ่ การเรียนด้วยชุดกิจกรรม
การเรียนรู้ เร่อื ง การจำแนกและองคป์ ระกอบของสารบริสุทธิ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว
20203 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 เสนอต่อ
ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ชุดเดิม เพ่อื ตรวจพิจารณาความเหมาะสมของข้อความ การใช้
ภาษาชดั เจน และจำนวนข้อของแบบประเมนิ
5. ปรบั ปรุงแกไ้ ขแบบประเมินความพงึ พอใจของนกั เรียนต่อการเรยี น
ดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์ รายวิชา
วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว20203 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 1 ตามที่ผเู้ ช่ยี วชาญเสนอแนะแลว้ นำไปทดลองใช้กับนกั เรยี นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1/2 โรงเรียน
ราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกดั สำนักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ ซึ่งไดม้ าโดยการ
เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 19 คน เพ่อื วิเคราะห์คา่ ความเช่อื ม่ันของ